บทที่ 33 สะสาง
หลังจากทุกๆ ฝ่ายเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มทยอยแยกกันออกเดินทางเป็นกลุ่มเล็กๆ แล้วค่อยไปรวมตัวกันที่จุดนัดพบเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะองค์ราชาฟอลคอนไม่อยากให้คนภายนอกรับรู้เรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นท่านพาราคีทและผู้สมรู้ร่วมคิดอาจจะได้รับข้อหากบฏซึ่งมีบทลงโทษที่ค่อนข้างหนัก ส่วนข้าราชบริพารคนอื่นๆ ก็จำเป็นต้องเห็นด้วย เพราะลูกหลานสายรองจำนวนไม่น้อยมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย
ส่วนผม ท่านเซเรส กับทีมเฮดีสก็ยังคงเดินทางไปด้วยกันเหมือนเดิม อยู่ๆ ผมก็รู้สึกกังวลขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าต้องไปเจอกับอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าเรื่องมันจะจบลงยังไง แล้วจะจบลงด้วยดีทุกฝ่ายรึเปล่า ยิ่งคิดก็อดที่จะรู้สึกกังวลไม่ได้
“ก๊าสสสส” เสียงก้อนหินที่อยู่ในร่างเล็กๆ และบินอยู่ข้างๆ ร่างแปลงของมาสทิฟฟ์ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ ก้อนหินบินเข้ามากอด เอาหัวถูที่อกแล้วเงยหน้าขึ้นมองตาแป๋วอย่างปลอบโยนทำให้ผมอดจะกอดมันคืนแน่นๆ ไม่ได้
“นั่นสินะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ แค่พยายามทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ขอบใจนะก้อนหิน”
“ก๊าสสสสส” มันตอบรับแล้วกระดิกหางไปมาอย่างสบายใจเมื่อเห็นผมคลายความกังวลลงได้ มันซุกตัวเข้ากับอกผมอย่างอ้อนๆ จนอดจะหัวเราะด้วยความเอ็นดูไม่ได้ การกระทำของมันทำให้ผมแทบจะลืมไปเลยว่าตอนนี้ก้อนหินมีร่างที่เกือบจะโตเต็มวัยแล้ว
“จะสบายเกินไปแล้วนะก้อนหิน” เสียงเอ่ยแซ็วของมาสทิฟฟ์ทำให้ก้อนหินเงยหน้าขึ้นมาจากอกของผมแล้วขยับปีนลงไปนั่งที่หลังของมาสทิฟฟ์ และเอาหัวโขกประท้วง
“เฮ้ๆ ถึงกับทำร้ายร่างกายกันเลยเรอะ” มาสทิฟฟ์แกล้งโวยวาย
“ก๊าสสสส”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” พวกเราทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน ผมขำที่ก้อนหินตอบกลับไปว่าสมควร ส่วนคนอื่นๆ คงขำกับการกระทำของมัน เสียงหัวเราะของทุกคนทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและอุ่นใจมากขึ้น ไม่เห็นจำเป็นต้องคิดมากเลยนี่นา ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวสักหน่อย ยังมีคนที่รักและปรารถนาดีอยู่ด้วยอีกตั้งมากมาย ไม่เห็นจำเป็นต้องกลัวอะไรไปล่วงหน้าเลย ผมได้แต่มองทุกคนด้วยความรู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ
เมื่อเราไปถึงจุดนัดพบก็พบว่ามีคนมารออยู่จำนวนหนึ่งแล้ว รอเพียงไม่นานทุกคนก็มาพร้อมกันหมด มองจากสายตาคร่าวๆ แล้วก็น่าจะมีร้อยกว่าคน ส่วนฝีมือก็คงไม่ธรรมดาแน่ๆ เพราะทุกกลุ่มมาถึงในเวลาที่รวดเร็วและเงียบกันมาก ตอนนี้ทุกคนกลับมาใช้ร่างมนุษย์เหมือนเดิม เพื่อความสะดวกในการสื่อสารกัน
เมื่อคนพร้อมแล้วองค์ราชาฟอลคอนก็ส่งสัญญาณให้เริ่มออกเดินทางกันต่อเลย ถึงแม้จะมีคนร่วมเดินทางจำนวนมาก แต่ก็เป็นไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจนผมรู้สึกทึ่ง ด้านหน้าขบวนเป็นแม่ทัพและนักรบคนสำคัญของอาณาจักรคอยคุ้มกันองค์ราชาอยู่ ส่วนรอบขบวนก็ล้อมรอบไปด้วยนักรบของอาณาจักร ส่วนผมได้รับคำสั่งให้อยู่ตรงกลาง โดยมีทีมเฮดีสคุ้มครองอีกชั้น เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่ผู้ร่วมชะตากับมังกรต้องตายก่อนวัยอันควร
เราเดินทางกันไปจนถึงในป่าลึกที่เงียบสงัดแต่รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่อันตราย ท่านจอมปราชญ์ลิเวอร์ส่งสัญญาณให้ขบวนเดินทางหยุดแล้วปรับเปลี่ยนขบวน จากที่ตอนแรกนักสู้อยู่รอบขบวนด้านนอกปรับเปลี่ยนเป็นจอมเวทย์ขึ้นมาอยู่ข้างหน้าแทน แม้แต่ท่านเซเรสก็เดินไปร่วมที่ด้านหน้าด้วย ก้อนหินที่บินอยู่ก็ลงไปยืนที่พื้นจ้องไปข้างหน้าเขม็งเหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ท่าทีของคนรอบข้างทำให้ผมกระชับดาบในมือไว้มั่นเป็นการเตรียมพร้อม
“มนตร์บังตา” พรีซาขยับมากระซิบบอกผมเบาๆ
เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ตรงเข้ามาทำให้แต่ละคนเตรียมอาวุธขึ้นมาถือไว้อย่างพร้อมเพรียง แต่สิ่งที่พ้นแนวต้นไม้มาทำให้ผมต้องอึ้ง เพราะมันไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างเหมือนเสือที่มีฟันแหลมคมวาววับโผล่พ้นปากมา อีกทั้งยังมีเขี้ยวที่ยาวมากกว่าเสือปกติหลายเท่า
“ไทก์” อื้อหือ... ชื่อเท่สมตัวนะมึงน่ะ ผมนึกในใจเมื่อได้ยินชื่อของสัตว์ตรงหน้าจากไซเลอร์
“ถึงขนาดฆ่าไทก์มาสร้างมนตร์บังตาเลยเหรอ” เสียงพึมพำด้วยน้ำเสียงเครียดๆ ของพรีซากับเสียงกัดฟันกรอดของร็อตและชเนาเซอร์ทำให้ผมต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ
“ไทก์เป็นสัตว์ที่อันตรายพอๆ กับลิฟฟ่อน แต่มันเป็นสัตว์ที่หายากยิ่งกว่าลิฟฟ่อนซะอีก พรีซาคงกังวลเรื่องอันตรายของมัน ร็อตน่าจะกังวลเรื่องความหายากของมัน ส่วนชเนาเซอร์เพิ่งจะมีเรื่องกระทบจิตใจเกี่ยวกับสัตว์ที่นำมาสร้างมนตร์บังตาก่อนหน้านี้น่ะ” ไซเลอร์ขยับมาอธิบายให้ผมฟัง ขณะที่สายตาเรายังคงมองไปด้านหน้าตาแทบจะไม่กระพริบเพราะอยากรู้ว่าจอมเวทย์จะจัดการกับมันยังไง
หลังจากฝูงไทก์นับสิบโผล่พ้นแนวพุ่มไม้ออกมาแล้ว พวกมันก็พุ่งตรงเข้ามาเพื่อโจมทีทันที จอมเวทย์ที่อยู่ด้านหน้าทุกคนก็เริ่มร่ายเวทย์ขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่จะมีกลุ่มพลังงานสีทองพุ่งเข้าไปปะทะกับฝูงไทก์ทั้งหมด
“กรรรรรร” เสียงคำรามของไทก์ดังลั่นไปทั่วทั้งผืนป่า
พลังงานสีดำที่พุ่งออกมาจากฝูงไทก์ปะทะเข้ากับแสงสีทองที่พุ่งไปจากจอมเวทย์ก่อให้เกิดกระแสลมแรงที่พัดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ผมรีบก้มลงไปอุ้มก้อนหินไว้ในอ้อมแขนทันทีเพราะกลัวมันจะปลิวไปซะก่อน ส่วนไซเลอร์ก็ขยับเข้ามาบังพวกเราเอาไว้อีกที
“ก๊าสส” ก้อนหินเงยหน้าขึ้นมาบอกผมว่าไม่ต้องเป็นห่วง
“รู้แล้วว่าตัวใหญ่ขึ้นแล้ว แต่มันอดห่วงไม่ได้นี่นา”
“ก๊าสสสส” มันหันเข้ามากอดแล้วถูกับตัวผมอย่างออดอ้อน โอ๊ย! แค่นี้ก็หลงจะแย่แล้วหิน ไม่ต้องอ้อนมากขนาดนี้ก็ได้ ผมจับมันกอดด้วยความมันเขี้ยว ลืมสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้าไปชั่วขณะ
“อะแฮ่ม” จนได้ยินเสียงกระแอมเรียกสติจากชเนาเซอร์ที่อยู่ข้างๆ นั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัวแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบไป
แหะๆ ลืมตัวไปหน่อย
“โฮกกกกกกกก” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของไทก์ดังขึ้นมาเพียงไม่นานสายลมก็เริ่มสงบลง ผมจึงขยับโผล่หัวออกไปดู ก็พบว่าไทก์กลุ่มแรกถูกจัดการไปเรียบร้อยแล้ว ตัวที่เหลืออยู่จึงพุ่งเข้ามาใหม่
“กรรรรรรรรร”
ไซเลอร์รีบขยับเข้ามาเพื่อบังลมบังฝุ่นให้เราทั้งคู่อีกครั้ง ถึงจะอยากออกไปแค่ไหนคนบังก็ไม่ยอมให้ทำ เพราะไม่ว่าจะขยับซ้ายขยับขวา ไซเลอร์ก็ขยับตามมาบังได้ทุกครั้งอย่างกับมีตาหลัง ผมเลยได้แต่ยอมอยู่นิ่งๆ ให้พี่แกปกป้องไป
“โฮกกกกกกกกกก”
สายลมเริ่มสงบลงอีกครั้ง ผมก็เลยขยับออกมาดู ซึ่งไซเลอร์ก็ไม่ได้ห้ามอะไร เพราะเมื่อออกไปดูก็พบว่าไทก์ถูกจัดการไปหมดแล้ว ตอนนี้จอมเวทย์กำลังช่วยกันร่ายเวทย์เพื่อทำลายกำแพงที่กั้นอยู่ตรงหน้าอยู่ แต่นอกจากพลังงานสีดำที่อาบกำแพงไว้แล้ว ยังมีพลังงานสีทองพุ่งออกมาเป็นระยะอีกด้วย
“พลังจากเกล็ดมังกร ใช้เกล็ดมังกรเข้าช่วย” เมื่อท่านเซเรสบอก ท่านมอลทีสกับท่านเบอร์มีส จอมปราชญ์แห่งบาอัลที่มาสมทบด้วยก็ใช้เกล็ดมังกรของเคลเบรอสและบาอัลออกมาส่งพลังไปช่วย ทำให้เกิดเป็นแสงสีทองอาบไล้ไปทั่วกำแพงที่อยู่ด้านหน้า
เปรี๊ยะๆๆๆๆ กำแพงที่ใสราวกระจกค่อยๆ มีรอยร้าวขยายออกไปเรื่อยๆ
แว้บบบบ ก่อนที่จะสลายและหายไป
ทุกคนต่างระแวดระวัง ด้วยกลัวว่าจะมีอะไรเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น แต่พอรอไปได้สักพัก เมื่อพบว่าทุกอย่างยังคงเงียบสงบ เหล่าจอมเวทย์ตรวจสอบแล้วไม่พบพลังเวทย์ใดๆ อีก ท่านเซเรสก็บอกให้ออกเดินทางต่อได้
ขบวนเดินทางถูกปรับใหม่อีกครั้ง โดยรอบนอกของขบวนมีทั้งนักสู้และจอมเวทย์สลับกัน เพราะจากที่เห็นก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝั่งน่ามีจอมเวทย์ฝีมือไม่ธรรมดาอยู่ด้วย หากถูกโจมตีตรงจุดไหนจะได้ตั้งรับได้ทัน
เราเดินเข้าไปในป่าที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ แต่น่าแปลกที่ป่าด้านในนี้กลับดูโปร่งขึ้น เหมือนกับว่าต้นไม้ใบหญ้าบริเวณนี้มันหายไป เมื่อเราเดินไปถึงบริเวณที่เป็นลานโล่งๆ ท่านแม่ทัพด้านหน้าก็ส่งสัญญาณให้เราหยุดเดิน
ทุกคนหยุดนิ่งทันทีเหมือนถูกสตาฟ แม้แต่ผมยังรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตรายและความผิดปกติ รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจับจ้องเราอยู่
แซ่กๆๆๆ
เสียงการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างที่ดังแทรกความเงียบขึ้นมารอบๆ ขบวน ทำให้ทุกคนกระชับอาวุธประจำตัวที่ถืออยู่ในมือไว้มั่น ทุกคนหันหน้าออกนอกขบวนแล้วจ้องไปด้านหน้าของตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เมื่อเห็นกลุ่มคนที่ถืออาวุธครบมือโผล่พ้นมาจากพุ่มไม้มา ทุกคนก็ยิ่งระแวดระวังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
“ข้าไม่ได้มาเพื่อทำร้าย แต่มาเพื่อขอเจรจา” องค์ราชาฟอลคอนทรงเอ่ยขึ้นก่อน
พวกมันเหลือบมองตากัน แต่ก็ยังคงเงียบไม่ตอบโต้อะไรกลับมา
“ข้าต้องการพบพาราคีท”
“ต้องการพบกระหม่อมเพื่ออะไร” เสียงของคนที่เดินแหวกกลุ่มคนออกมาถามขึ้น ผมจำได้ว่าเขาเป็นคนที่จับผมกรอกพิษรักในคุกใต้ดิน
“ข้าขอให้เจ้าหยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ซะ แล้วข้าจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ไม่มีทาง” คนที่ก้าวออกมาเคียงข้างท่านพาราคีทเป็นคนตอบ ผมจำได้ว่าเขาคือจอมเวทย์ที่เราเจอตอนผมหนีออกมาจากคุกใต้ดิน ท่านพาราคีทหันไปมองจอมเวทย์คนนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาพูดกับองค์ราชา
“มันสายไปแล้วฝ่าบาท กระหม่อมมาไกลเกินจะกลับไปได้แล้ว อีกอย่างกระหม่อมคงไม่สามารถทำใจให้อภัยในเรื่องที่พระองค์ทำร้ายจิตใจพี่สาวกระหม่อมได้”
“อย่าพูดให้มากความเลย ถ้าไม่อยากตายส่งมังกรมรกตออกมาให้เราซะดีๆ” คนพูดน่าจะเป็นคนที่มาจากมิติอื่น เพราะการแต่งกายแปลกๆ ไปจากคนมิตินี้
แหม่... คำพูดอย่างกับลอกมาจากตัวร้ายในละคร ผมได้ยินแล้วแทบจะกลอกตา
“พาราคีท” องค์ราชามีสีพระพักตร์หนักใจและผิดหวัง
“พูดมากเสียเวลา” จบคำพูดของกลุ่มคนที่มาจากต่างมิติ พวกมันก็พุ่งเข้าใส่กลุ่มคนของเราทันที!
“อยู่ใกล้ๆ ข้าไว้นะก้อนดิน” ไซเลอร์บอก เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น
ผมกระชับดาบในมือแน่น เหลือบมองก้อนหินที่กางเล็บออกมาเตรียมพร้อมต่อสู้เหมือนกัน จึงรีบหยิบขวดยาที่รีดจากพิษงูมาเทใส่เล็บมันทันที เจอเล็บหินเวอร์รีนก่อนเป็นไง หึๆๆ
“ระวังตัวด้วยนะหิน”
“ก๊าสส”
การต่อสู้ในรอบนอกเป็นไปอย่างสูสี เพราะจำนวนคนของฝั่งนั้นมีไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งนักสู้ ทั้งคนที่โดนเวทย์ควบคุม ทั้งจอมเวทย์ที่มาจากมิติอื่นบางคนฝีมือก็ไม่ธรรมดา และมีกำลังเสริมทยอยโผล่ออกมาเรื่อยๆ จนเริ่มจะมีคนที่ฝ่าจากรอบนอกเข้ามาด้านในได้เรื่อยๆ แล้ว
เมื่อมีกลุ่มคนจากฝั่งนั้นเข้ามาใกล้ แก๊งเฮดีสก็ล้อมรอบตัวผมไว้ แล้วเริ่มลงมือปะทะทันที ส่วนผมก็คอยหาโอกาสซัดเข็มใส่คนที่ฝีมือดีๆ เพื่อตัดกำลังไว้ก่อน ส่วนคนฝีมืออ่อนๆ ก็ปล่อยให้พี่ๆ จัดการไป เพราะเข็มมีจำนวนจำกัด จะใช้อย่างพร่ำเพรื่อไม่ได้
ขนาดไซเลอร์กับเพื่อนๆ คอยกันเอาไว้แล้วก็ยังมีคนเข้ามาใกล้ผมจนได้ เหมือนมันมีเป้าหมายที่ผมกับก้อนหินอยู่แล้ว ทั้งผมทั้งก้อนหินจึงต้องขยับเข้าไปต่อร่วมสู้ด้วย ใครมันจะยอมให้จับตัวกันได้ง่ายๆ กัน!
ถ้าสู้กับคนที่ฝีมืออ่อนกว่าก็เอาชนะด้วยฝีมือและทำให้สลบได้ไม่ยาก แต่ถ้าเป็นคนที่ฝีมือสูสีหรือเก่งกว่าก็ใช้เข็มยาสลบเป็นเครื่องทุ่นแรง หาโอกาสหยิบมาซัดหรือไม่ก็ปักลงไปบนเนื้อของคู่ต่อสู้ สลบเหมือดไปทุกราย ของเค้าดีจริงๆ!
“กรรรรร”
สาเหตุที่ทำให้ต้านเอาไว้ลำบากก็เพราะว่า นอกจากมนุษย์แล้วสัตว์ป่าอันตรายอื่นๆ ที่ถูกเวทย์ควบคุมก็เริ่มโผล่จากป่าเข้ามาโจมตีพวกเราด้วย ไม่เว้นแม้แต่มังกรขาวดำอีกนับสิบตัวที่น่าจะอยู่ในป่าลึกแล้วถูกเวทย์ควบคุมไว้ ซึ่งตอนนี้พวกมันกำลังบินตรงมาทางนี้แล้ว
และคนอื่นๆ ก็คงจะเห็นเช่นกัน เพราะผมเหลือบไปเห็นคนของอาณาจักรรุคหลายๆ คนยกอะไรสักอย่างที่เป็นแท่งยาวๆ เล็กๆ ที่ห้อยคอไว้ขึ้นมาเป่า เดาว่าคงเป่าเรียกมังกรของตัวเองมาช่วยด้วย
แว้บบบ
เมื่อเห็นดังนั้น ก้อนหินก็เปลี่ยนร่างเป็นขนาดใหญ่ขึ้น ผมรีบจบการต่อสู้แล้วหาโอกาสล้วงขวดยาสลบเทใส่เล็บให้มันเพิ่ม เพราะคิดว่าก้อนหินคงไม่อยากจะฆ่าเผ่าพันธุ์เดียวกันหรอก ยิ่งถูกเวทย์ควบคุมมาแล้วก็คงยิ่งไม่อยากฆ่าแน่ๆ
“ก๊าสสสสสสส” ก้อนหินคำรามดังก้องป่า เสียงของมันทำให้มังกรที่ร่อนลงสู่พื้นดินเซแล้วสะบัดหัวเหมือนเริ่มจะได้สติ แต่เสียงร่ายมนตร์ที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากจุดใดจุดหนึ่งของป่า ทำให้มันกลับมาถูกควบคุมอีกครั้ง
“ก๊าสสสสสสสสสสส” ก้อนหินคำรามอีกครั้งเพื่อเรียกมังกรที่มีจิตแข็งแกร่งพอที่จะไม่ถูกควบคุมให้มาช่วย ก่อนที่ตัวมันจะพุ่งเข้าไปสู้กับมังกรที่ถูกเวทย์ควบคุมมา!
ผมแทบจะไม่มีสมาธิกับการต่อสู้เพราะเป็นห่วงก้อนหิน ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีวันตายแต่มันก็เจ็บเป็นเลยอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงทำให้พลาดเสียจังหวะไป จนเกือบจะโดนดาบฟัน ยังดีที่ไซเลอร์ซัดเข็มมาช่วยไว้ได้ทันไม่งั้นคงแย่ ผมพยายามรวบรวมสมาธิกับการต่อสู้ใหม่ เพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้คนอื่นๆ
แต่คู่ต่อสู้ที่เข้ามาประชิดตัวคนใหม่นี่เห็นหน้าชัดๆ แล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลาย ชิบหายละ! นักรบของรุค คุ้นๆ ว่าจะเป็นเพื่อนๆ ของทีมเฮดีสที่ถูกควบคุมอยู่ ผมกระชับดาบให้มั่น เมื่อคนตรงหน้าพุ่งเข้ามาก็พยายามหลบให้ไวแล้วหาโอกาสหยิบเข็มยาสลบออกมาทิ่มให้เร็วที่สุด
ถ้าคนที่เข้ามาหาผมได้มีฝีมือขนาดนี้แสดงว่าคนอื่นๆ ก็คงตึงมือเช่นเดียวกัน ถึงได้กันเอาไว้ไม่ได้ ผมพยายามหลบเลี่ยงคมดาบ แต่ฝีดาบที่แรงและเร็วทำให้ผมหาโอกาสหยิบเข็มออกมาไม่ได้
“โอ๊ะ!”จนสุดท้ายก็เพลี่ยงพล้ำโดนคมดาบบาดผิวเนื้อตรงแขนเข้า จนได้แผลเลือดอาบไปทั้งแขน
“ก้อนดิน”
“ก๊าสสสส”
ทั้งไซเลอร์และก้อนหินพยายามจะผละมาช่วย แต่เนื่องจากคู่ต่อสู้ของทุกคนต่างไม่ธรรมดา ส่วนคู่ต่อสู้ของก้อนหินก็มีหลายตัว จึงทำให้ไม่สามารถผละออกมาได้เร็วดั่งใจ
ผมพยายามต่อสู้อย่างสุดความสามารถ แต่ฝีมือที่ต่างกันจนเกินไป ทำให้ได้แผลเฉี่ยวๆ มาอีกหลายแห่ง และเนื่องจากอาการบาดเจ็บ ทำให้ฝีมือผมยิ่งตกเป็นรอง จนในที่สุดก็ถูกปัดดาบออกจากมือ คนจากมิติอื่นที่รอจังหวะอยู่แล้วจึงถือโอกาสเข้ามาประชิดตัว ล็อคคอ แล้วเอาดาบพาดคอผมไว้
“หยุด! ถ้าไม่อยากให้ไอ้เด็กนี่ตาย”
ถึงจะอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมแบบนี้ ผมก็อยากจะถอนหายใจกับบทผู้ร้ายในละครของคนที่เอาดาบพาดคออยู่จริงๆ
การต่อสู้ค่อยๆ หยุดชะงักลงทีละคู่ โดยเฉพาะฝั่งราชาฟอลคอนที่ผละออกจากคู่ต่อสู้ก่อน แต่ก็ยังระแวดระวังดูท่าทีกันอยู่ เพียงแต่สีหน้างงงันของคนฝั่งตรงข้ามก็ทำให้ผมพลอยงงไปด้วย
“อย่าทำอันตรายเขานะ” เสียงร้องห้ามของท่านพาราคีทดังขึ้น เมื่อคนที่จับผมไว้กดดาบแน่นขึ้นจนคมดาบบาดคอผมเลือดไหลซิบๆ และบาดมือที่ผมพยายามใช้ต้านแรงกดของดาบไว้ เหมือนกับว่าสิ่งที่ไอ้คนนี้ทำอยู่ไม่ใช่แผนที่ท่านพาราคีทวางไว้แต่แรก
“ข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ ชักช้ากันอยู่ได้ รีบจบเรื่องบ้าๆ นี่ซะที ข้ารอมานานเต็มทีแล้ว ถ้ายุ่งยากนักก็ฆ่าแม่ง”
อย่าให้ก้อนหินโตนะมึง จะส่งไปฝังแม่งที่แกนโลก ไม่ต้องส่งกลับมิติเดิมหรอก ส่งไปก็หนักโลกเปล่าๆ ผมคิดด้วยความโมโหและเจ็บใจ ที่ต้องมาตกเป็นเครื่องมือในการต่อรองของมัน
“เจ้าต้องการอะไร” องค์ราชาฟอลคอนถามหยั่งเชิง
“ส่งเกล็ดมังกรทั้งหมดมาให้ข้า”
“ไหนตกลงจะรอให้มังกรโตก่อนไง” เสียงของหนึ่งในคนที่เข้าร่วมกับท่านพาราคีทเอ่ยแย้งขึ้นมา
“กว่ามังกรจะโต ต้องรออีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ ข้ารอนานขนาดนั้นไม่ไหวหรอก ตอนนี้ข้าต้องการแค่เกล็ดมังกร ใครจะรอมังกรโตก็ตามใจ แต่ข้าไม่รอแน่ แค่ได้เกล็ดมังกรไป เราก็สามารถเดินทางข้ามมิติไปเอาสิ่งที่ต้องการมาไว้ในกำมือได้อยู่แล้ว ทีนี้เราก็จะรวยไม่รู้เรื่อง ใครจะอยู่ฝั่งเดียวกับข้าก็ก้าวมายืนข้างหลังข้า”
หลังจากที่มันพูดจบ กลุ่มของท่านพาราคีทก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย กลุ่มคนที่มาจากรุคยังคงอยู่ข้างท่านพาราคีทและจอมเวทย์คนนั้นเช่นเดิม แต่กลุ่มคนที่มาจากต่างมิติส่วนใหญ่จะเดินมาอยู่ฝั่งของคนข้างหลังผมแทน
“เอาละ ถ้าไม่อยากให้ไอ้เด็กนี่ตาย ก็ส่งเกล็ดมังกรมาให้ข้าได้แล้ว รึจะลองปล่อยให้มันตายไปก่อนที่มังกรจะโตก็ตามใจ” มันพูดขู่ แล้วกดคมดาบเข้ามาอีกนิด
คนที่ถือเกล็ดมังกรทั้งสามหันไปสบตากัน ก่อนที่ท่านมอลทีสจะเดินเข้ามาเป็นคนแรก
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ! วางเกล็ดมังกรไว้บนพื้น แล้วเดินกลับไป อย่าตุกติก คนที่เหลือวางอาวุธลงให้หมด”
เมื่อท่านมอลทีสวางเกล็ดมังกรลงแล้วถอยออกไป ส่วนคนที่เหลือก็ค่อยๆ วางอาวุธลง
“พวกเจ้าระวังหลังให้ข้า คนที่เป็นเวทย์สร้างเวทย์คุ้มกันให้ด้วย” มันบอกกับคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างรอบคอบ
ท่านเบอร์มีสจอมปราชญ์แห่งบาอัลก็เดินมาวางเกล็ดมังกรเป็นคนถัดไป ส่วนเกล็ดมังกรเกล็ดสุดท้ายซึ่งเป็นของอาณาจักรรุคที่ถูกขโมยมานั้นอยู่กับจอมเวทย์ที่ยืนเคียงข้างท่านพาราคีท
คนๆ นั้นยังคงยืนนิ่งอยู่จนท่านพาราคีทเอ่ยปาก
“เราจะให้เขาตายไม่ได้” เจ้าตัวจึงยอมเดินออกมาแล้ววางไว้ข้างๆ กับเกล็ดมังกรอีกสองอัน
“น้องข้าไปหยิบมันมา” มันบอกให้คนที่อยู่ข้างหลังเดินไปหยิบเกล็ดมังกรกลับมา
เมื่อคนคนนั้นเดินกลับมาถึงแล้วมันก็กระซิบข้างหู
“ในเมื่อข้าได้เกล็ดมังกรแล้ว เจ้าก็อย่าอยู่เลย” มันกดดาบเข้ามาจนมือที่ผมใช้ดันดาบไว้แทบจะต้านไม่ไหว!
“ดิน!”
“ก๊าสสสสสสสสสสสส”
“หยุดนะ”
“อย่านะ”
สิ้นเสียงร้องเรียกชื่อผมของก้อนหินก็เกิดแสงสว่างสีทองที่พุ่งออกมาจากร่างของมันก่อนจะกระจายอาบไปทั่วอาณาบริเวณจนแสบตา
(มีต่อค่ะ)