ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
……………………..
ตอนที่ 2
จิดาภางุนงงเมื่อคนรับใช้วิ่งมาบอกว่าครอบครัวของพี่สาวยกโขยงกันมาถึงบ้าน หล่อนรีบเดินออกมาดูด้วยความเป็นห่วง เพราะกังวลว่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่หลานชายทำงานอยู่ในท้องที่เกิดเหตุ แต่พอเห็นว่าจิณณะมาด้วย ก็ยิ้มออก
“จิณ เป็นยังไงบ้างลูก” หล่อนถามพลางจับเนื้อจับตัวหลานชาย ความห่วงใยของจิดาภาทำให้ชายหนุ่มเริ่มชั่งน้ำหนักเรื่องที่ควรทำกับไม่
แต่ถ้าไม่ทำ...เขาจะกลับเข้าไปอยู่ในพื้นที่อย่างปลอดภัยได้อย่างไร
ไหนจะเรื่องที่คุณกอบกุลจะจับเขาแต่งงานกับผู้หญิงที่ไหนอีกก็ไม่รู้
เพื่อความเอาตัวรอด ชายหนุ่มจึงฉีกยิ้มอ่อนให้ดูน่าสงสาร
“ก็หนักอยู่เหมือนกันครับ น้าภา”
“ย้ายกลับมากรุงเทพฯดีไหม ไปอยู่ทางนั้นทุกคนเป็นห่วงกันหมด”
จิณณะเหลือบมองบิดามารดา แต่ไม่มีใครกล้าสบตาเขาสักคน อันที่จริงทั้งโกศลและจรรยาไม่อยากมาด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาอ้างเรื่องความเป็นความตาย พ่อแม่ถึงได้ยอมมาด้วย
“ผมยังย้ายไม่ได้ครับ ที่มาวันนี้เลยจะมาขอความช่วยเหลือจากน้าภา”
“ให้น้าช่วย? ให้น้าช่วยอะไร บอกมาเลย ให้น้าติดต่อคุณเทียมให้ไหม”
“เอ่อ...น้าทศกับ...กับพี่ทิศอยู่รึเปล่าครับ” เขาถามไปอีกเรื่อง จิดาภากะพริบตาอย่างงุนงง แต่ก็ตอบตามตรง
“คุณทศไปทำงาน ส่วนทิศ...” ยังไม่ทันพูดถึงลูกเลี้ยง ประตูอัลลอยก็เลื่อนเปิดอัตโนมัติ รถยนต์หรูวิ่งเข้ามาจอดที่โรงรถ
“นั่นไง ทิศมาพอดี”
จิณณะเม้มปากเล็กน้อย เขาจับจ้องไปที่รถเบนซ์สีดำก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงจะก้าวเท้าลงมา เป็นการเจอกันครั้งที่ 2 ในรอบ 2-3 วัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้นับสิบปี ไม่ได้เจอกันเลย
“จิณมีอะไรกับทิศหรือ” จิดาภาถามอย่างสงสัย หลานชายแท้ๆหันมามองหล่อน แต่เขาไม่พูดอะไรจนกระทั่งพิทักษ์ก้าวเท้าขึ้นบันไดเตี้ยหน้าบ้านมาที่หน้าประตูซึ่งพวกเขายืนอยู่
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่สูงกว่าจิณณะแค่เล็กน้อยอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็กพอดีตัว เขาถอดแว่นตากันแดดออกตอนที่ยกมือไหว้โกศลและจรรยา ก่อนจะหันมามองจิณณะ
“มีอะไรกันหรือครับ”
ประโยคแรกของพิทักษ์เหมือนอากาศที่กดทับไหล่สองข้างของจิณณะ เขาไม่คิดว่าจะมาเจรจาโดยมีเจ้าตัวอยู่ด้วย แต่...ไม่รู้วันนี้ก็ต้องรู้วันพรุ่งนี้อยู่ดี เพราะไม่ว่ายังไงเขาต้อง ‘เป็นแฟนกับพิทักษ์’ ให้ได้!
“ผมมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือนิดหน่อย เราเข้าไปคุยกันข้างในได้ไหมครับ” แขกผู้มาเยือนเอ่ย มองพิทักษ์แล้วถึงได้หันไปมองจิดาภา
เจ้าบ้านหันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะเป็นฝ่ายจิดาภาที่เดินนำทุกคนเข้าไปด้านใน จิณณะเดินประกบน้าสาว มีบิดามารดาตามหลังราวกับเป็นผู้สนับสนุน ส่วนพิทักษ์มองส่งเป็นคนสุดท้าย
สายตาของชายหนุ่มจับจ้องไปที่หลานชายของแม่เลี้ยงที่สูงที่สุดในกลุ่มข้างหน้า ความช่วยเหลือที่เจ้าตัวร้องขอ พิทักษ์รู้สึกถึงลางสังหรณ์ประหลาดที่พุ่งตรงมาหาเขา!
...................
“น้าภาทราบเรื่องงานศพเมื่อคืนแล้วใช่ไหมครับ” จิณณะเกริ่นประโยคแรกทันทีที่นั่งลงบนโซฟาตัวยาวเคียงข้างจิดาภา น้าสาวของเขามีสีหน้าเป็นกังวล ลูบมือเขาอย่างห่วงใย
“ที่มีคนเข้าไปยิงปืนขู่ในงานศพใช่ไหม น้าไม่สบายใจเลยนะจิณ ย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯไม่ดีกว่าหรือ”
จิดาภาเป็นผู้หญิงที่จิตใจดีและมีเมตตา ดูอย่างที่รักใคร่เอ็นดูลูกเลี้ยงซึ่งติดมากับสามีก็ได้ จิณณะคาดหวังพอสมควรว่าหล่อนจะไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเขาซึ่งเป็นหลานชายแท้ๆ เพียงแต่...ความช่วยเหลือที่เขาอยากได้จากน้าสาว ไม่ใช่การย้ายกลับเข้ากรุงเทพ
“ถ้าย้ายกลับเข้ามา คุณย่าจะบังคับให้ผมแต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รักครับ น้าภา” เขาทำสีหน้าสลด เรื่องถูกจับแต่งงานก็เรื่องหนึ่ง เรื่องที่อยากตามสืบความจริงในพื้นที่เกิดเหตุก็อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องกลัวตายก็เรื่องหนึ่ง แต่สามเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันจนจิณณะแทบไม่ได้หายใจหายคอ
ทว่า...มีใครบางคนที่จะช่วยเขาแก้ปัญญาสามเรื่องนี้ในคราวเดียวกันได้
ดวงตาเหลือบไปมองลูกเลี้ยงของน้าสาวที่นั่งอยู่ที่โซฟาเดี่ยวอีกตัว รายนั้นกำลังมองเขาอยู่ เป็นครั้งที่สองที่เจอกัน และเป็นครั้งที่สองที่สายตาของพิทักษ์มองมาที่เขาอย่างคาดคั้น
จิณณะเบี่ยงสายตากลับมามองที่จิดาภา
“น้าภาครับ ผมไม่อยากแต่งงาน” เขาย้ำ หน้าตาเศร้าสร้อยและเต็มไปด้วยความทุกข์
“แต่ถ้าจิณยังอยู่ที่นั่น ทั้งพ่อทั้งแม่ ทุกๆคนก็เป็นห่วงกันไปหมด”
“ผมทราบว่าทำให้ทุกคนเป็นห่วง แต่ว่า...ผมกลับมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ไม่ได้ คุณย่าต้องบังคับผมแต่งงานแน่ๆ” จิดาภาถอนหายใจ
“งั้นน้าจะฝากให้คุณเทียมช่วยดูแลจิณดีไหม”
“ผมเป็นข้าราชการ ทำแบบนั้นไม่เหมาะหรอกครับ”
“แล้วน้าจะช่วยจิณแบบไหนได้บ้าง บอกมาเลย ถ้าน้าช่วยได้ น้าจะช่วยทุกอย่าง” จิดาภาผู้มีเมตตากับคนรอบข้าง ยิ่งกับหลานแท้ๆ หล่อนยิ่งพร้อมช่วยเหลือ จิณณะกลืนน้ำลาย เขารู้ว่าวิธีการนี้ช่างเห็นแก่ตัว แต่ถ้ามันจะทำให้เขารอดพ้นจากทุกปัญหาที่เข้ามาในเวลานี้ มันก็น่าทำ
ปลัดหนุ่มเหลือบไปมองพิทักษ์ที่ยังจ้องมาที่เขา
“ผม...ได้ยินมาว่าพี่ทิศยังโสด”
จิดาภากะพริบตาปริบๆ หันไปมองลูกเลี้ยง พิทักษ์เองก็ชะงักเพราะไม่คิดว่าเรื่องที่จิณณะพูดมาทั้งหมดจะวกเข้ามาเรื่องสถานภาพของเขาได้อย่างไร
“จิณหมายความว่ายังไง” น้าสาวหันกลับมาถาม พลางมองเลยไปยังจรรยาและโกศล ทั้งพี่สาวและพี่เขยพากันหลบตา หล่อนจึงหันกลับมามองหลานชายผู้ซึ่งยังมองตรงมาที่หล่อน
“ผม...จะมาขอ...” จิดาภาชะงักกึก
“ขอ? ขออะไร?”
“ขอพี่ทิศครับ”
“ข...ขอทิศ?...ขอทิศไปทำไม?”
“ขอให้พี่ทิศมาเป็นแฟนผมครับ”
“อะไรนะ?!!” จิดาภาร้องลั่น ส่วนพิทักษ์นั้นถึงกับหงายหลังพิงพนักไปแล้ว
“อย่างที่น้าภากับ...พี่ทิศทราบ...” จิณณะพูดต่ออย่างไว เขามองทั้งน้าสาวและมองพิทักษ์ ซึ่งบัดนี้เรียก ‘พี่’ เต็มปากเต็มคำเพื่อความสนิทสนมกลมเกลียว
“คุณย่าบังคับให้ผมแต่งงานกับคนที่คุณย่าหาให้ ผมกลับมาอยู่กรุงเทพฯไม่ได้ แต่ถ้าจะอยู่ในพื้นที่ต่อไป พ่อแม่ก็เป็นห่วง จะฝากให้คุณเทียมช่วยดูแลผม แต่ตัวผมเป็นข้าราชการ วันดีคืนดีจะเข้าไปอยู่ใกล้ชิดคุณเทียม เรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้น...ผมจำเป็นต้องมีคู่ และต้องมี...เอ่อ...มีคนที่ทำให้ผมอยู่ใกล้คุณเทียมโดยที่ไม่ถูกเพ่งเล็งว่าเป็นข้าราชการแต่อาศัยอำนาจคนท้องถิ่น ถ้าหากทุกคนรับรู้ว่าผมเป็นคนของพี่ทิศ ทุกอย่างจะจบครับน้าภา ผมไม่ต้องแต่งงานกับคนที่คุณย่าหาให้ และผมอยู่ในพื้นที่อย่างปลอดภัยเพราะถือว่าเป็นคนของหลานคุณเทียม”
“แต่...แต่...ทั้งจิณทั้งทิศ เป็น...เป็นผู้ชาย...”
“ทั้งผมทั้งพี่ทิศก็ยังเป็นผู้ชายครับ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพียงแต่ทำให้คนอื่นๆเข้าใจว่าผมเป็นคนของพี่ทิศเท่านั้นเอง เรื่องนี้พี่ทิศไม่เสียหายแน่นอน” จิดาภาพูดไม่ออก หรือต้องบอกว่าหล่อนช็อกจนหัวสมองอื้ออึงไปหมด ทว่าก่อนที่จิณณะจะได้กล่อมต่อ เสียงทุ้มแต่เข้มงวดของคนที่นั่งหลังพิงพนักก็ดังขึ้น
“นี่เรียกว่าวิธีการแก้ปัญหาหรือ?!” จิณณะหันไปมองเจ้าของเสียง กำลังจะตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ‘ใช่’ แต่พิทักษ์ไวกว่า
“ก่อปัญหาชัดๆ!” ร่างสูงลุกพรวดจากโซฟาแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นทันที ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวหงุดหงิดและอารมณ์เสียขนาดไหนกับการขอความช่วยเหลือของจิณณะ ทว่าปลัดหนุ่มไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังคำปฏิเสธ เขาหันกลับมาทางน้าสาว
“ผมรู้ว่ามันดูไร้สาระ แต่ผมต้องการความช่วยเหลือจริงๆครับน้าภา ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ผมยินดีเคลียร์ทุกอย่างเพื่อพี่ทิศจะได้กลับมามีชีวิตแบบเดิม”
น้าสาวยังคงพูดไม่ออก แต่จิณณะไม่รอให้หล่อนปฏิเสธอีกคน
“ขอผมคุยกับพี่ทิศหน่อยนะครับ” เขาลุกจากโซฟา แต่ก่อนจะเดินออกจากห้องก็ไม่วายหันกลับมาส่งสายตาให้มารดาช่วยตะล่อมจิดาภาต่อ จรรยาทำหน้าปั้นยาก แต่พอคิดถึงความอยู่รอดปลอดภัยของบุตรชายแล้ว หล่อนก็ทำได้เพียงลุกมานั่งข้างน้องสาว
“ช...ช่วยพี่ ช่วยลูกพี่สักครั้งนะภา แล้วพี่จะไม่ขออะไรจากภาอีกเลย”
เป็นประโยคเดียวที่จรรยานึกออก และเป็นประโยคเดียวที่ทำให้จิดาภาพูดอะไรไม่ออกนอกจากนวดขมับตัวเองอย่างอับจนปัญญา
ใครหนอ คิดวิธีช่วยเหลือแบบนี้...
.............................
คนรับใช้บอกกับจิณณะว่าพิทักษ์อยู่ในห้องทำงานบนชั้นสองปีกซ้ายของบ้าน ปลัดหนุ่มอาศัยความเป็นญาติให้คนรับใช้พานำไปยังชั้นบน มาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้เขามาหยุดอยู่แค่นี้ก็เห็นจะใช่ที่
พอมาหยุดอยู่ที่หน้าประตู เขาก็ไล่ให้คนรับใช้ไปทำอย่างอื่นเสีย ส่วนตัวเองเคาะประตูสามทีแล้วก็ถือวิสาสะเปิดเข้าไปในห้อง
ห้องทำงานกว้างขวางมีโมเดลสนามกอล์ฟตั้งอยู่กลางห้อง กิจการที่พิทักษ์ดูแลอยู่คือสนามกอล์ฟขนาดใหญ่ติดอันดับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขาไม่ได้สนใจว่ามันหรูหราและสวยงามแค่ไหน ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือการหาทางคุยกับพิทักษ์
“ถึงกับต้องขึ้นมาที่นี่เลยหรือ” เสียงทุ้มดังมาจากเบื้องหลัง จิณณะหันไปมองถึงได้พบคนที่เขาต้องการพูดคุยเป็นการส่วนตัว
พิทักษ์ยืนอยู่ที่ประตูระเบียง ก่อนจะเดินกลับเข้ามาขยี้มวนบุหรี่ลงกับที่เขี่ย อารมณ์เสียขนาดไหนไม่ต้องบอก เพราะทั้งๆที่ไม่ใช่คนติดบุหรี่ แต่ก็ถึงขั้นต้องหยิบมาสูบ
ทว่าจิณณะไม่รู้เรื่องที่นี้ เขาเพียงปรายตามองว่าที่เขี่ยบุหรี่อยู่ไกลมือของลูกเลี้ยงของน้าสาวเพียงพอที่จะไม่หยิบมาขว้างใส่หัวเขา พอพิทักษ์เดินไปนั่งบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่แล้วจ้องมาทางเขา ปลัดหนุ่มถึงได้เอ่ยปาก
“ผมมาเพื่อขอร้องพี่”
เจ้าของห้องทำงานกลอกตามองเพดานเพื่อระงับอารมณ์
“วิธีของคุณมันไม่ใช่การแก้ปัญหา!”
“แล้ววิธีไหนคือการแก้ปัญหา”
“กลับมาอยู่กรุงเทพฯ!”
“ผมยังกลับไม่ได้”
“ทำไม?” จิณณะนิ่งไปอึดใจหนึ่ง เขารู้ว่าเรื่องถูกบังคับแต่งงานจะเอามาอ้างกับพิทักษ์ไม่ได้ คนอย่างนี้...ต้องใช้เหตุผลอย่างอื่น
“...คนที่มายิงขู่ในงานศพ...จงใจขู่ผม” เขาตัดสินใจพูดความจริง พิทักษ์เบิกตากว้าง
“แล้วแบบนี้ยังจะดื้ออยู่ที่นั่นต่ออีกหรือ?!”
“ต่อให้ผมหนี พวกนั้นก็ต้องตามเก็บผมอยู่ดี”
“ทำไมต้องเก็บคุณ”
“ผมบอกไม่ได้ เป็นความลับราชการ” จิณณะบอกปัด ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมทองสุกถึงถูกฆ่า หรืออาจจะถูกหมายหัวอยู่แล้ว ส่วนเขาเป็นคนที่อยู่ผิดที่ผิดเวลา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็กลายเป็นคนที่จะถูกเก็บเป็นรายต่อไป ถ้า...ไม่สามารถหาคนคุ้มกะลาหัวได้
“ถ้าคุณไม่พูด ผมก็ไม่ช่วย!” เสียงของพิทักษ์แข็งกร้าว ทว่าที่แกร่งยิ่งกว่าเสียงของเขาคือสายตาของจิณณะที่ยังคงมองตรงมาราวกับจะต้องได้ในสิ่งที่ร้องขอ
“แต่ถ้าพี่ไม่ช่วย ผมก็คงไม่รอด” เป็นการยื่นข้อเสนอที่ทำเอาคนเสียงแข็งถึงกับพูดไม่ออก เพียรบอกตัวเองว่าระหว่างเขาและจิณณะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆต่อกันเลย หากจิณณะจะเป็นอะไรไปสักคน เขาก็ไม่เดือดร้อน แต่ดูเหมือนคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยจะเข้าใจเหตุผลนี้ดี เพราะเจ้าตัวพูดต่อทันที
“น้าภา...คงจะเสียใจมากทีเดียว”
ใช่! ข้อเดียวที่พิทักษ์และจิณณะเกี่ยวข้องกันคือจิณณะเป็นหลานของจิดาภา ส่วนเขาเป็นลูกเลี้ยงที่จิดาภาเลี้ยงมายี่สิบกว่าปี
“อย่าเอาแม่ภามาขู่ผม!”
“ผมไม่ได้ขู่พี่ ผมแค่พูดความจริง ผมมีปัญหา และพี่คือคนเดียวที่จะช่วยผมได้ แต่ถ้าพี่ไม่ช่วย ผมก็ทำอะไรไม่ได้ และ...อาจจะไม่รอด” สีหน้าของคนพูดว่าจะไม่รอดนั้นเรียบเฉยราวกับเจ้าตัวตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องโน้มน้าวให้พิทักษ์ยอมช่วยเหลือ
เจ้าของห้องทำงานเดาะลิ้นกับเพดานปากอย่างงุ่นง่าน จ้องมองหลานของแม่เลี้ยงแล้วก็อยากกระโจนเข้าไปเขย่าตัวดูสักทีว่าในสมองมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ถึงได้สรรหาวิธีการประหลาดพิลึกแบบนี้ออกมา
“ต้องให้ผมช่วยยังไง?!” แต่ไม่ว่าจะอยากเขย่าตัวแรงๆ หรืออยากจะปฏิเสธแค่ไหน แต่พิทักษ์ก็ทนเพิกเฉยต่อสีหน้าเศร้าหมองของมารดาเลี้ยงไม่ได้ จิดาภาดูแลและเอาใจใส่เขาและน้องชายมาแต่เล็ก หากไม่มีหล่อน ทั้งเขาและน้องคงไม่เติบโตขึ้นมาเป็นคนเต็มคนอย่างทุกวันนี้
“ง่ายนิดเดียว พี่ทำเหมือนผมเป็นแฟนพี่”
คนฟังถึงกับหลับตานวดขมับแล้วคำรามในคอ
“นั่นไม่เรียกว่าง่าย!” ทว่าจิณณะยักไหล่
“พี่ไม่เคยมีแฟนหรือ” นอกจากจะอยากกระโจนเข้าไปเขย่าแล้ว พิทักษ์อยากฉีกเนื้อคนถามตาใสเป็นชิ้นๆด้วยซ้ำ
“พี่ก็แค่ทำเหมือนผมเป็นคนของพี่ ทำให้คนอื่นรับรู้ว่าผมอยู่ใกล้คุณเทียม ผมแค่อยากได้บารมีลุงของพี่คุ้มครองผม”
“แล้วจะทำอะไรต่อไป”
“ผมจัดการเอง” จิณณะพูดง่ายๆ แต่สายตาของพิทักษ์ยังจ้องเขม็งราวกับจะบอกว่าการพูดด้วยท่าทางสบายๆแบบนี้ไม่มีทางได้รับความช่วยเหลือ
“...มันเป็นความลับราชการ ผมพูดมากกว่านี้ไม่ได้ แต่เอาเป็นว่าพี่ไม่เดือดร้อนหรอก ผมแค่อยากให้คุณย่าเลิกบังคับผมแต่งงาน แล้วก็แค่อยากได้ความปลอดภัยในระหว่างที่อยู่ที่นั่น ถ้าทุกอย่างเคลียร์ เรื่องของเราก็จบ” ไม่พูดอย่างเดียว แต่ปลัดหนุ่มแบมือสองข้างพลางยกไหล่ให้ยกดูว่า จบจริงๆ ไม่มีอะไรเหลือในมือสักนิด พิทักษ์ต้องเบือนสายตาหนีเพื่อสงบสติอารมณ์อยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองหลานของจิดาภาอีกครั้ง
“ทันทีที่ทุกอย่างเรียบร้อย เรื่องนี้ต้องจบ!”
“แน่นอน ผมเป็นผู้ชาย ไม่คิดจะเป็นแฟนพี่ไปตลอดหรอก”
พิทักษ์ไม่พูดอะไรอีก ความหงุดหงิดยังสุมเต็มอก แต่การที่เขายืนเงียบโดยไม่ไล่ตะเพิดจิณณะออกจากห้องทำงานก็เป็นคำตอบแล้วว่าอีกฝ่ายประสบความสำเร็จในการร้องขอความช่วยเหลือจากเขา
“ช่วงนี้ ผมคงต้องแวะไปหาพี่บ่อยๆ ก่อนไปผมจะโทร.ไปบอกไว้ก่อน”
พิทักษ์เงียบ ไม่ตอบ แต่ก็ดูรู้ว่าฟังอยู่
“อาจจะต้องมีออกงานด้วยกันบ้าง พี่ไม่ต้องบอกว่าเราเป็นแฟนกัน เอาให้คลุมเครือก็พอ”
“ผมรู้! ผมไม่บ้าที่จะพูดอะไรแบบนั้นหรอก!”
คราวนี้คนหงุดหงิดหันมากระแทกเสียง ทว่าจิณณะไม่ถือสา เขายักไหล่ไม่ยี่หระกับอารมณ์ของลูกเลี้ยงของน้าสาว
“ดีครับ ถ้างั้นไว้เจอกัน อาจจะเป็นพรุ่งนี้ที่ผมจะเข้าไปหาพี่ ปกติอยู่ที่ไหน สนามกอล์ฟ?” ปลัดหนุ่มปรายตาไปยังโมเดลสนามกอล์ฟที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
“อือ” เป็นคำตอบที่เจ้าตัวไม่ค่อยอยากตอบเท่าไรนัก เพราะไม่มองหน้าจิณณะเลยสักนิด แต่ก็เป็นอีกครั้งที่จิณณะไม่สนใจกับท่าทีของอีกฝ่าย
“แล้วไว้ผมจะโทร.ไปหาก่อนไปเยี่ยม” เขาว่าอย่างนั้น แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆจากคนที่เมินสายตาหนีไม่มองเขาอีก จิณณะพอจะเข้าใจว่าพิทักษ์น่าจะต้องการเวลาเพื่อปรับอารมณ์พอดู เขาถอยไปยืนที่ประตูห้อง แต่พอหันไปเปิดประตู เสียงของเจ้าของห้องก็ดังขึ้น
“มีเบอร์ผมหรือ”
ปลัดหนุ่มหันกลับไปมอง เขาไม่ตอบ แต่ยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ทว่าดวงตาที่มองตรงมานั้น ทำให้พิทักษ์ตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่ง
จิณณะไม่ได้มาที่นี่พร้อมกับคำขอร้อง แต่มาที่นี่พร้อมกับความมุ่งมั่นว่าจะต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ
ไม่มีเสียงตอบจากคนถูกถาม มีเพียงเสียงปิดประตูลงแผ่วเบาเมื่อคนมาเยือนออกจากห้องไปโดยทิ้งรอยยิ้มที่มุมปากและสายตาแน่วแน่เอาไว้ ชายหนุ่มถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะลุกจากโต๊ะเดินไปหยิบที่เขี่ยบุหรี่แล้วเดินออกไปนอกระเบียง
บุหรี่มวนที่ 2 ถูกจุดไฟในวันที่ไม่ใช่แค่ลางสังหรณ์มาเยือน แต่เป็น ‘ปัญหา’ ที่มาเหยียบถึงห้องทำงานของเขา
จิณณะ!
.............................
จิดาภาเดินวนอยู่หน้าห้องทำงานของลูกเลี้ยง หล่อนไม่รู้จะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอย่างไรดี
มันเป็นความละอาย...
ปนเปกับความกังวล...
และห่วงใย
ละอายใจกับการขอความช่วยเหลือของครอบครัวพี่สาว แต่ก็กังวลเรื่องหลานชาย ถึงอย่างนั้นหล่อนก็เป็นห่วงความรู้สึกของลูกเลี้ยง
บานประตูถูกเปิดออก ทำเอาหญิงวัยปลายร่างผอมหันมอง หล่อนสบตากับพิทักษ์ ก่อนที่เป็นฝ่ายชายหนุ่มเอ่ยปาก
“เขากลับไปกันแล้วหรือ” เขาที่ว่า พิทักษ์หมายรวมทั้งบิดามารดาของจิณณะด้วย
จิดาภาได้แต่พยักหน้ารับ ตอนที่จิณณะลงมาบอกว่าพิทักษ์ยอมช่วยเหลือ เจ้าตัวก็ยกมือไหว้ขอตัวกลับเลย หล่อนไม่รั้งเอาไว้สักนิดเพราะห่วงความรู้สึกลูกเลี้ยง พอส่งครอบครัวพี่สาวแล้วก็ถึงได้รีบขึ้นมาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องของพิทักษ์จนกระทั่งตอนนี้
แต่...พอพิทักษ์ออกมาพบหน้า ก็กลายเป็นจิดาภาเสียเองที่พูดอะไรไม่ออก สีหน้าลำบากใจ ดูแล้วมีเรื่องอยากพูดแต่ไม่รู้จะพูดอะไรนั้น พิทักษ์ที่แม้เป็นเพียงลูกเลี้ยงแต่ก็ถูกหล่อนเลี้ยงดูมายี่สิบกว่าปี มีหรือเขาจะดูไม่ออกว่ามารดาเลี้ยงรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“เขาคงบอกแม่ภาแล้ว”
คราวนี้ เขาที่ว่า จิดาภาเข้าใจว่าชายหนุ่มเจาะจงไปที่หลานชายของหล่อนเพียงคนเดียว
“จิณบอกว่าทิศจะช่วย...”
ชายหนุ่มไม่ตอบ มองเมินไปทางอื่น อารมณ์ของเขาไม่คงที่นัก แต่ไม่ใช่ความผิดของจิดาภาเลยที่เขาอารมณ์เสีย ที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้ส่วนหนึ่งเพราะคนสร้างปัญหา และสองคือตัวเขาที่ยอมช่วยเหลือเพราะเหตุผลเพียงข้อเดียวคือเจ้าตัวเป็นหลานของจิดาภา
“แม่...” จิดาภาพูดไม่ออก หล่อนอยากขอบคุณเขาที่ยอมให้ความช่วยเหลือหลานชาย แต่มันก็ช่างเป็นคำขอบคุณที่เห็นแก่ตัวเกินไปที่จะพูดออกมา
“ผมช่วยเพราะเขาเป็นหลานแม่ภา” พิทักษ์พูดเรียบๆ จิดาภาได้แต่พยักหน้ารับรู้ ทว่าสีหน้าของหล่อนยังเต็มไปด้วยความกังวล ความห่วงใย และความรู้สึกผิด
ชายหนุ่มถอนหายใจเบา โอบบ่าเล็กของจิดาภาราวกับจะปลอบประโลม
“แม่ภาไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องคิดอะไรแทนบ้านนั้น ผมช่วยเพราะเขาเป็นหลานของแม่ภาก็จริง แต่ผมช่วยเท่าที่ผมช่วยได้ อะไรที่มากกว่าที่ผมจะทำได้ ผมก็ไม่ทำ” พิทักษ์พูดอย่างตรงไปตรงมา แต่เป็นความตรงไปตรงมาที่พอจะช่วยคลายความละอายในใจของแม่เลี้ยงลงได้ หล่อนเงยหน้ามองแล้วยิ้มจาง
“แม่ไม่รู้จะขอบใจทิศยังไงดี”
“ไม่ต้องหรอกครับ ไปเถอะ ลงไปทานข้าวกัน นี่พ่อกลับมาหรือยัง”
“ยัง แต่โทร.มาบอกว่าออกจากบริษัทแล้ว” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
“ดีครับ ผมจะได้บอกพ่อเรื่องนี้ด้วย” พิทักษ์พูดอย่างนิ่งสงบ จิณณะคิดจะขอความช่วยเหลือจากเขา ก็ต้องรู้ว่าคนอย่างเขาจะช่วยก็ต่อเมื่อ ‘รู้’ ทั้งหมด ข้ออ้างเรื่องความลับราชการ ใช้กับเขาไม่ได้!
ถ้าจะเก็บเป็นความลับราชการ ก็ให้ราชการช่วยสิ ถ้าจะให้เขาช่วย เขาก็ต้องรู้ว่าความลับที่ว่าคือเรื่องอะไร!
................................
จิณณะรู้ว่าเขามีเวลาไม่มากนัก ยิ่งหาสาเหตุเรื่องที่ทองสุกถูกฆ่าได้เร็ว ก็ยิ่งจัดการคนบงการได้ไวเท่านั้น นั่นหมายความว่าชีวิตของเขาจะปลอดภัย ไหนจะเรื่องที่ต้องทำให้คุณกอบกุลผู้เป็นย่าเห็นว่าเขาเป็นหลานนอกคอกที่ไม่ควรเจ้ากี้เจ้าการแม้กระทั่งเรื่องแต่งงานอีก
เช้าวันต่อมา ชายหนุ่มขับรถจากกรุงเทพมาที่ว่าการอำเภอ ทำงานจนเกือบเที่ยงก็ดำเนินการแผนการขั้นต่อไปทันที
เขากดเบอร์ที่ได้มาจากมารดา แล้วรอสายอยู่อึดใจหนึ่ง ปลายสายรับ แต่ไม่พูดอะไร คาดว่าคงจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นเบอร์เขา
“พี่ทิศให้ผมไปหาที่ไหนดี”
เที่ยงนี้เขาจะแวะไปหาพิทักษ์เป็นครั้งแรก แน่นอนว่าจงใจใส่เสื้อโปโลที่มีสกรีนชื่อกิจกรรมของหน่วยงานอยู่กลางหลัง ชนิดที่ถ้าเดินไปไหนในจังหวัดนี้ ทุกคนต้องรู้ว่าเขาทำงานอะไร
‘ผมอยู่ที่สนามกอล์ฟ’ คำว่า ‘ผม’ จากปลายสายทำเอาจิณณะส่ายหัว ขยันสร้างกำแพงเหลือเกิน ทั้งๆที่ยินยอมให้ความช่วยเหลือแล้วแท้ๆ
“โอเค เดี๋ยวผมไปรับ”
‘รับไปไหน’ ปลายสายรีบถามเสียงฟังดูหงุดหงิด แต่จิณณะหมุนปากกาในมือเล่นเหมือนกำลังสบายอารมณ์
“เที่ยงแล้วก็ต้องทานข้าวไงครับพี่” ถึงอีกฝ่ายจะพูดจาสุภาพมา แต่ปลัดหนุ่มก็อาศัยลูกเนียนเรียกอย่างสนิทสนมให้สมกับที่เราจะเป็นของกันและกัน
‘ทานที่คลับนี่ล่ะ’
จิณณะเลิกคิ้วเล็กน้อย ลืมไปสนิทว่าสนามกอล์ฟของพิทักษ์นั้นนอกจากจะใหญ่โตติดอันดับในภูมิภาคนี้แล้ว ยังหรูหราไม่เป็นสองรองใคร ได้ข่าวว่าถึงขั้นจ้างเชฟมือดีทำอาหารที่คลับของสนามด้วยซ้ำ
แต่ทานที่คลับสนามกอล์ฟตอนเที่ยงของวันธรรมดา แล้วมันจะเป็นที่กล่าวขานได้ยังไงว่า จิณณะกับพิทักษ์คบหากันอยู่
‘ผมมีประชุมตอนบ่าย ถ้าไม่ทานที่นี่ คุณก็ไม่ต้องมา เพราะผมไม่ไปทานที่อื่น’ ปลายสายทำเสียงเข้ม แต่จิณณะไม่ใช่คนยอมความง่ายๆ
“ก็ได้” ไม่ใช่คนยอมง่าย แต่ถ้ายอมล่ะก็ ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน “...แต่เย็นนี้ไปงานศพกับผม”
อีกฝ่ายเงียบ คาดว่าน่าจะกำลังกัดฟันอยู่ แต่จิณณะไม่รอให้คนกัดฟันกับข้อเสนอของเขาคิดหาอะไรมาโต้แย้ง
“แล้วเจอกัน” ปลัดหนุ่มว่าอย่างนั้น ก่อนจะกดตัดสาย ลดโทรศัพท์ในมือมาอยู่ในระดับสายตาแล้วแยกเขี้ยว
ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นหลานคุณเทียม หมอนี่จะเป็นคนสุดท้ายบนโลกใบนี้ที่เขาจะขอความช่วยเหลือ!
.........................