RUSE เล่ห์รัก กลปรารถนา > 26 - 02/03/2019 [END] - หนังสือ พร้อมส่ง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: RUSE เล่ห์รัก กลปรารถนา > 26 - 02/03/2019 [END] - หนังสือ พร้อมส่ง  (อ่าน 26704 ครั้ง)

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
04
เหตุร้ายจากความบังเอิญ







  หลังจากแยกย้ายกับฟ่านมู่เหยียน หวังหยูเฟิงก็มาซื้อของใช้ที่ห้างสรรพสินค้าต่อ ชายหนุ่มใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงก็ได้ของที่ต้องการครบถ้วน แต่ทว่าเมื่อเขากำลังขับรถออกจากลานจอดรถ รถยนต์คันหนึ่งก็ขับตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ปึง!

รถยนต์ของหวังหยูเฟิงสั่นสะเทือนไปทั้งคัน นัยน์ตาสีดำเบิกกว้างด้วยความตกใจ หลังจากควบคุมสติกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้สำเร็จ จังหวะของชีวิตที่เหมือนหยุดเต้นไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก็กลับมาทำงานเป็นปกติ

 นายตำรวจเคราะห์ร้ายถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธที่ปะทุขึ้นภายใต้สีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากลมสงบก่อนพายุมา

หวังหยูเฟิงเดินลงจากรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย แล้วมองดูสภาพยานพาหนะคันเก่งของตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ

ให้ตายเถอะ!

ผู้กองหวังสบถกับตัวเองในใจ เมื่อเห็นประตูด้านที่นั่งข้างคนขับยุบจนไม่ได้รูป ถ้าอีกฝ่ายเหยียบเบรกไม่ทัน เขาก็คงโดนอัดเละไม่ต่างกัน

"ขอโทษครับ! คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า!"

 เสียงทักของคู่กรณี ทำให้หวังหยูเฟิงต้องหันไปมอง ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความกังวลและตกใจจนเหมือนตื่นตระหนก แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจกลับเป็นรูปร่างที่คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน โดยเฉพาะเส้นผมสีดำที่ถูกมัดไว้ด้านหลัง แต่คนที่มีรูปร่างแบบนี้ก็มีอยู่เกลื่อนสายตาเช่นเดียวกัน

"พอดีผม..."

"คุณมีใบขับขี่หรือเปล่า"

สัญชาตญาณความเป็นตำรวจสั่งให้หวังหยูเฟิงถามไปแบบนั้น ชายหนุ่มคู่กรณีรีบกลับไปที่รถยุโรปคันโตที่ได้รับความเสียหายเล็กน้อย แล้วกลับมาหาเขาอีกครั้งพร้อมกับใบขับขี่ที่ส่งมาให้ดู

  'เจิ้ง หยุน'

นัยน์ตาแวววาวสีดำอ่านข้อความบนบัตร ก่อนจะเลื่อนไปมองคนตรงหน้าเขม็ง แล้วส่งใบขับขี่คืนให้ เมื่อไม่พบความผิดปกติอะไร นอกจากทักษะการขับรถที่เข้าขั้นอันตรายต่อคนรอบข้าง

“ผมว่าคุณควรเรียกประกันมาได้แล้วนะครับ คุณเจิ้ง”

“เอ...คุณรู้จักผมด้วยหรือครับ!”

 “ผมอ่านจากใบขับขี่ของคุณ”

“ครับ เดี๋ยวผมขอตัวโทรเรียกประกันมาดูก่อน”

หวังหยูเฟิงพยักหน้า เขาลอบมองท่าทางสุภาพปนซื่อของคู่กรณีอย่างนึกอ่อนใจ ความสงสัยที่มีอยู่คลายลง เมื่อเห็นสภาพรถยนต์ของตัวเองอีกครั้ง

"รอสักครู่นะครับ คุณ..."

"หวังหยูเฟิงครับ"

 "อ่าครับ...คุณหวัง เรื่องค่าเสียหายทั้งหมด ผมจะเป็นคนรับผิดชอบเองครับ ไม่ต้องกังวล"

"มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว"

 หวังหยูเฟิงถอนหายใจ แล้วเดินไปหยิบสิ่งของที่จำเป็น รวมไปถึงของใช้ทั้งหมดที่เพิ่งซื้อมาจัดเตรียมให้เรียบร้อย เพราะรถยนต์คันนี้คงได้ไปอู่แทนที่จะกลับบ้านพร้อมกับเขา

หลังจากรอได้เพียงไม่นาน พนักงานจากบริษัทประกันภัยก็มาจัดการเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไร ผู้กองหนุ่มก็หยิบทุกอย่างที่เตรียมเอาไว้ แล้วตั้งใจจะไปเรียกแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับบ้าน

"ถ้าไม่รังเกียจ ให้ผมไปส่งไหมครับ"

หวังหยูเฟิงหันไปมองอีกฝ่ายที่ฉายความรู้สึกผิดอยู่เต็มใบหน้า แล้วลอบถอนหายใจออกมา

"ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองจะสะดวกกว่า"

"ไม่จริงหรอกครับ ผมไปส่งสะดวกกว่าอยู่แล้ว ที่จริง...ผมรู้สึกผิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น"

"คุณได้รับผิดชอบในส่วนของคุณพอแล้ว"

"แต่ผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ถ้าผมไม่ได้ไปส่งคุณเพื่อไถ่โทษของตัวเอง คืนนี้ผมคงนอนไม่หลับ"

"ลำบากคุณเอาเปล่าๆ"

"ไม่เลยครับ ถ้าคุณปฏิเสธต่างหากที่ทำให้ผมลำบากใจ"

หวังหยูเฟิงสบสายตากับเจิ้งหยุนเหมือนต้องการค้นหาความนัยจากแววตาสีเข้มที่เต็มไปด้วยความจริงจัง ก่อนจะลอบถอนหายใจอีกครั้งอย่างจนใจ ถึงแม้จะมีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เขารู้สึกแปลกก็ตาม แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วจนคล้ายเป็นภาพลวงตาหรือสิ่งที่จินตนาการไปเอง

"ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณด้วยก็แล้วกัน"

เจิ้งหยุนยกยิ้มขึ้น เขาเดินไปช่วยถือของ พลันสายตาก็ปะทะกับเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คนตรงหน้าถืออยู่

"คุณหวังเป็นตำรวจหรือครับ" เจิ้งหยุนเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ และเมื่อหวังหยูเฟิงตอบรับ เขาก็ยิ้มแห้งออกมา "แล้วแบบนี้ผมจะโดนข้อหาทำร้ายเจ้าหน้าที่หรือเปล่าครับเนี่ย"

“มันเป็นอุบัติเหตุ” หวังหยูเฟิงบอกเสียงเรียบ แล้วมองอีกฝ่ายที่มีรอยยิ้มต่างไปจากเดิม

"โชคดีที่เป็นอุบัติเหตุ ไม่อย่างนั้นผมคงแย่" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินนำไปที่รถยนต์ของตัวเอง





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ถึงแม้จะระแวงการขับรถของเจิ้งหยุน แต่ตลอดการเดินทางก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทำให้ผู้กองดวงตกอดคิดขึ้นมาด้วยความข้องใจไม่ได้ว่า เหตุใดเจ้าของรถคันนี้ถึงได้มีทักษะการขับรถล้มเหลวในช่วงเวลานั้นขึ้นมาได้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะอ้างว่าลดความเร็วไม่ทันก็ตาม แต่ทำไมต้องใช้ความเร็วขนาดนั้นในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าด้วย

หวังหยูเฟิงเก็บงำความคิดอยู่ในใจ เขาปรายตามองคนขับเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังเส้นทางที่คุ้นเคย

  ถึงหวังหยูเฟิงจะเป็นตำรวจ แต่ก็ไม่ได้เป็นพวกขี้ระแวงสิ่งรอบตัวจนกลายเป็นคนวิตกจริต เขาไม่อยากให้ความสงสัยก่อเกิดเป็นอคติจนมองใครในแง่ร้ายโดยใช่เหตุ

ความคิดเป็นสิ่งที่หมุนเวียนอย่างรวดเร็ว การควบคุมไม่ให้สิ่งที่ไหลผ่านสมองวิ่งเตลิด ก็คือการฝึกฝนจิตใจของตัวเอง แล้วหวังหยูเฟิงก็เชื่อมั่นว่า ตัวเองทำสิ่งนั้นได้ดีเสมอ

หากไม่มีหลักฐานหรือเหตุจูงใจมากพอ มันก็แค่ความโชคร้ายครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาเท่านั้น แล้วคนเราก็คงมีโชคชะตาที่ตกอับดวงกุดได้ไม่กี่ครั้งนักหรอก

"จอดตรงนั้นก็ได้"

"ครับ"

 เมื่อรถยนต์จอดที่หน้าทางเข้าของอพาร์ตเมนต์ หวังหยูเฟิงก็หยิบสิ่งของของตัวเอง แล้วหันไปเปิดประตูรถ

"เดี๋ยวครับ! คุณหวัง" เจิ้งหยุนเรียก ก่อนจะส่งนามบัตรของตัวเองไปให้ "มีอะไรติดต่อได้ตลอดเวลาเลยนะครับ"

"ขอบคุณ" หวังหยูเฟิงตอบรับ แล้วสอดนามบัตรใส่กระเป๋าเสื้ออย่างไม่ค่อยสนใจนัก แต่ไม่ทันจะได้ปิดประตูรถ เสียงของคนที่มาส่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง

"แล้วคุณจะไม่แลกนามบัตรกับผมหน่อยหรือครับ"

“ถ้าคุณมีอะไร ก็ติดต่อผมที่สถานีตำรวจก็แล้วกัน”

เจิ้งหยุนมองนายตำรวจที่เดินหายเข้าไปในอพาร์ตเมนต์แล้วแค่นยิ้มออกมา เขาหยิบแว่นกันแดดมาใส่ ก่อนจะเร่งเครื่องยนต์ขับเคลื่อนไปตามถนนใหญ่อีกครั้ง

ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวเท่าไร...





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣






ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


ทุกเช้าหวังหยูเฟิงจะต้องขับรถคันเก่งของตัวเองไปทำงาน ทว่าในวันนี้ชายหนุ่ยต้องเดินทางเบียดเสียดคนในรถไฟใต้ดิน ก่อนจะขึ้นรถโดยสารประจำทางมาลงหน้าสถานีตำรวจ

"อ้าว! ผู้กองหวัง! รถไปไหนล่ะครับ ถึงได้โหนรถเมล์มากับผม"

คนถูกทักหันไปมองต้นเสียงจากด้านหลัง ใบหน้าซื่อของเหอผิงแสดงความสงสัย หวังหยูเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้ แล้วพวกเขาทั้งสองคนก็เเดินมาด้วยกัน

"รถของผมโดนชน ตอนนี้อยู่ที่อู่"

"แล้วผู้กองหวังเป็นอะไรหรือเปล่าครับ!"

"ไม่เป็นอะไร แต่ประตูยุบไปเลย"

หวังหยูเฟิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจแกมบ่น แล้วเดินเข้าห้องทำงานของตัวเอง หลังจากเตรียมงานตอนเช้าได้เพียงไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ก่อนที่เว่ยเจียวเซินจะเดินเข้ามา

"เมื่อวานรถของผู้กองหวังโดนชนหรือคะ" เธอถามพร้อมกับวางเอกสารไว้บนโต๊ะทำงานของผู้กองหนุ่ม "แล้วบาดเจ็บอะไรหรือเปล่าคะ เห็นหมวดเหอเล่าว่าประตูยุบเลย"

"ไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าโดนชนฝั่งที่ผมขับ ป่านนี้ไม่ตายก็คงนอนโรงพยาบาลอีกรอบ" หวังหยูเฟิงบอกเสียงเนือย เขาหันไปมองแขกอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องทำงานของตัวเอง

“อะไรกัน แยกจากกันแป๊บเดียวก็เกิดเรื่องเลยหรือ” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาสีเข้มมีแววยั่วล้ออย่างชัดเจน “แล้วไปทำอีท่าไหนล่ะ”

 “ก็ท่าปกตินั่นแหละ โดนชน ไม่ได้ไปชนใคร”

“หึ! แล้วไม่เรียกมาจ่ายค่าปรับหน่อยหรือ”

หวังหยูเฟิงไม่ได้สนใจคำหยอกของเพื่อนสนิท ก่อนจะหันไปตั้งใจทำงานของตัวเองต่อ ฟ่านมู่เหยียนยิ้มขึ้น แล้วหันไปทางผู้หมวดสาวที่ยังไม่ได้เดินไปไหน

"หมดเวลาจีบหยูเฟิงแล้วครับหมวดเว่ย ทำงานๆ"

"ผู้กองฟ่านพูดอะไรคะ ดิฉันไม่ได้จีบผู้กองหวังสักหน่อย"

ฟ่านมู่เหยียนมองเว่ยเจียวเซินที่เดินออกจากห้องทันทีด้วยรอยยิ้มขำ และเมื่ออยู่ตามลำพังกับเพื่อนสนิท เขาก็นั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะทำงานที่มีเจ้าของกำลังใช้งานอยู่

"แล้วนายมีอะไร" หวังหยูเฟิงเอ่ยถามเสียงเรียบ ทั้งที่สายตายังมองเอกสารที่อยู่ตรงหน้า

"เมื่อคืนเพิ่งจับผู้ต้องหาได้คนหนี่ง เป็นยามที่เฝ้าตึกของถานอี้เทา" ฟ่านมู่เหยียนตอบ ก่อนจะสบตากับคนถามนิ่ง "แล้วได้คีย์เวิร์ดที่น่าสนใจมา"

"อะไร" หวังหยูเฟิงเอ่ยถามต่อ เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

"กาเบรียล นายคิดว่าอะไร" ฟ่านมู่เหยียนถามกลับพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก เมื่อเห็นเพื่อนสนิทยังมีท่าทีนิ่งเฉย

"คงไม่ได้เพ้อถึงเทวดาหรอกใช่ไหม" หวังหยูเฟิงตอบเสียงเรียบ แล้วปิดแฟ้มงานที่เพิ่งอ่านจบลง

"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ตลกดี คืนนี้ไปหากาเบรียลกันไหมล่ะ" ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้ม เขาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายอารมณ์

"อืม" หวังหยูเฟิงตอบรับ ก่อนจะหยิบแฟ้มงานอีกฉบับมาอ่านต่อ





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ภายในคฤหาสน์หลังย่อมที่ถูกตกแต่งอย่างร่วมสมัย เจิ้งหยุนนั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดพลางเช็กตัวเลขของตลาดหุ้นที่วิ่งไม่หยุดโดยไม่ได้สนใจอู่หนิงที่เดินเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย

"นายครับ อู่ส่งรายละเอียดค่าซ่อมรถของคุณหวังมาแล้วครับ"

"อืม วางไว้บนโต๊ะนั่นแหละ"

“ช่างบอกว่า จะต้องทำสีใหม่ด้วย เลยมาถามว่า ต้องการจะเปลี่ยนสีหรือใช้สีเดิมครับ”

“สีเดิมเป็นสีเทา แต่หยูเฟิงชอบสีขาว”

เจิ้งหยุนเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วหันไปมองอู่หนิงอย่างใช้ความคิด

“นายว่าฉันทุบรถนี่ทิ้ง แล้วซื้อคันใหม่ให้เขาเลยดีหรือเปล่า”

“ถ้าทำแบบนั้นคุณหวังอาจจะโกรธก็ได้นะครับ”

“อืม...แต่มันเก่ามากแล้ว ฉันไม่อยากให้เขาใช้หรอก ดูไม่เหมาะกับระดับผู้กองอย่างเขาเท่าไร”

เจิ้งหยุนมองอู่หนิงที่ยืนรอรับคำสั่งอย่างสงบ ก่อนจะก้มหน้าลงสนใจโทรศัพท์มือถือของตัวเองตามเดิม

“เอาตามนี้ ไปบอกช่างว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้มันซ่อมไม่ได้อีก”

“แล้วแบบนี้จะอ้างกับคุณหวังอย่างไรล่ะครับ”

"ของจะพัง มันก็ต้องมีสาเหตุอยู่แล้วล่ะน่า ไม่ต้องห่วง"

อู่หนิงรับคำ แล้วเดินจากมาอย่างหนักใจ ก่อนที่เขาจะถ่ายทอดคำสั่งให้ช่างซ่อมรถทำลายรถทิ้งแทน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยเอื่อยท่ามกลางความเงียบสงบในห้องทำงานของหวังหยูเฟิง ชายหนุ่มหลับตาลงพลางลิ้มรสชาติของคาเฟอีนอย่างผ่อนคลาย เพียงไม่นานเสียงของโทรศัพท์ตั้งโต๊ะก็ดังขัดขึ้น

 "สวัสดีครับ"

[คุณหวังหยูเฟิงใช่ไหมครับ]

"ครับ"

 [ผมเจิ้งหยุนนะครับ ผมจะมาแจ้งข่าวเรื่องรถของคุณ]

"ครับ"

[เอ่อ...เมื่อครู่นี้ทางอู่เพิ่งแจ้งมาว่า รถของคุณหวังระเบิดน่ะครับ]

คนฟังแทบสำลักกาแฟที่กำลังดื่มอยู่ เขาขมวดคิ้วขึ้น เมื่ออีกฝ่ายยังอธิบายต่อ

[พอดีช่างใหม่ไม่รู้เรื่อง ดันสูบบุหรี่ใกล้รถของคุณที่ถังน้ำมันรั่วพอดี แต่ผมตามเรื่องให้แล้ว ทางอู่จะรับผิดชอบเรื่องนี้เต็มที่ครับ]

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

หวังหยูเฟิงสบถกับตัวเองพร้อมกับลุกขึ้นยืน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องไปดูรถยนต์คันเก่งที่กลายเป็นเศษเหล็กด้วยตาของตัวเองก่อน

"ผมจะไปดูสภาพก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง"

[คุณจะมาตอนไหนครับ ผมจะได้ไปคุยเรื่องค่าเสียหายทีเดียวเลย]

 "ตอนนี้ครับ"

เมื่อวางสายไปแล้ว หวังหยูเฟิงก็เปลี่ยนเครื่องแบบ ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานด้วยอารมณ์หงุดหงิด

"ผู้กองหวังจะไปไหนคะ" เว่ยเจียวเซินเอ่ยถาม ขณะที่ชายหนุ่มเดินผ่านโต๊ะทำงานของเธอ

"ผมจะไปธุระหน่อย ถ้ามู่เหยียนมาหา บอกเขาว่าเจอกันที่ร้านเลย" เขาบอกเสียงเรียบเป็นปกติ ก่อนจะเดินทางออกจากสถานีตำรวจด้วยความร้อนใจ





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




หวังหยูเฟิงเดินเข้ามาในอู่ซ่อมรถขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ก่อนจะเห็นเจิ้งหยุนกำลังยืนคุยอยู่กับช่างคนหนึ่ง

"คุณหวัง" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปทางช่างที่ยืนอยู่ข้างกัน "พาคุณหวังไปดูรถก่อน"

"เชิญทางนี้เลยครับ" ช่างใหญ่ประจำอู่รีบพาลูกค้าไปยังรถยนต์ที่มีปัญหาอย่างรวดเร็ว

"คุณปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร!" ผู้กองหนุ่มถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งตวาด หลังจากเห็นสภาพรถยนต์ของตัวเอง เขาก็แทบจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้

ถึงรถยนต์คันนี้จะไม่ได้หรูหราหรือมีราคาแพง แต่มันก็เป็นสมบัติที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงและเงินสะสมของการทำงานที่ผ่านมา อีกทั้งยังเป็นเสมือนเพื่อนคนสำคัญที่เขาดูแลมาหลายปีด้วย

"เป็นความผิดที่เราจะรับผิดชอบเต็มที่ครับ" ช่างใหญ่ยอมรับแต่โดยดีด้วยใบหน้าสำนึกผิดที่ทำให้เจ้าทุกข์ผ่อนลมหายใจอย่างหงุดหงิด

"ผมคุยเรื่องค่าเสียหายทั้งหมดแล้วครับ ถ้าคุณไม่ขัดข้องอะไร เขาจะซื้อรถยนต์คันใหม่ให้คุณ" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ ทั้งที่ยังมีพื้นอารมณ์ไม่ปกตินัก แต่ก็เก็บอาการของตัวเองเอาไว้

"โอเค ที่จริงรถของผมก็ไม่ได้แพงอะไร แล้วก็รุ่นเก่าพอสมควร ผมขอแค่ค่ารถตามราคาขายมือสองปัจจุบันก็พอแล้วกัน" ผู้เสียหายเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น ตำรวจอย่างเขาไม่อยากเอาเปรียบใคร ขอแค่ค่าเสียหายตามสมควรก็พอ ก่อนที่เขาจะหันไปทางเจิ้งหยุนต่อ "ส่วนคุณก็ช่วยจ่ายค่าซ่อมตามที่คุณต้องจ่ายให้ผมเท่านี้ก็พอครับ"

 "แล้วคุณหวังจะไม่ซื้อรถคันใหม่หรือครับ" เจิ้งหยุนเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย

"เรื่องนั้นผมจะตัดสินใจเองทีหลังครับ" หวังหยูเฟิงตอบ แล้วหันไปทางช่างใหญ่อีกครั้ง "คุณคงไม่มีปัญหากับการตัดสินใจของผมใช่ไหม"

"ครับ" ช่างใหญ่ตอบรับ หลังจากลอบมองไปทางเจิ้งหยุนที่พยักหน้ารับ "ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบประเมินราคา แล้วโอนเงินเข้าบัญชีของคุณหวังนะครับ"

ผู้กองหนุ่มตอบรับในลำคอ แล้วหันไปทางเจิ้งหยุนอีกครั้ง

"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อน"

"ตอนนี้ก็เย็นแล้ว กรุณาให้เกียรติไปทานมื้อเย็นเพื่อรับคำขอโทษจากผมด้วยนะครับ"

"ขอโทษทีครับ ผมมีธุระที่ต้องทำต่อ แล้วคุณก็ไม่ต้องคิดมาก คุณรับผิดชอบในส่วนของคุณแล้ว ผมขอตัว"

หวังหยูเฟิงเดินออกจากอู่ซ่อมรถพลางมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาหกโมงเย็น ก่อนจะโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทเพื่อทำภารกิจในคืนนี้ต่อ

เจิ้งหยุนมองตามหลังของผู้กองหนุ่มจนหายไปจากสายตา ก่อนจะหันไปหาช่างใหญ่ที่ยืนอยู่ด้วยกัน แล้วส่งเช็คใบหนึ่งไปให้

"ขอบคุณครับคุณเจิ้ง" ช่างใหญ่ตอบรับด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นตัวเลขสำหรับเรื่องยุ่งยากกับชื่อเสียงที่ด่างพร้อย

 เจิ้งหยุนไม่ได้สนใจ ชายหนุ่มเดินไปอีกทางหนึ่งที่มีอู่หนิงยืนรออยู่ เมื่อชายในชุดสูทเห็นเจ้านายเดินมาใกล้ เขาก็รีบเปิดประตูให้ทันที

"ผมเตรียมแคตตาล็อกรถทั้งหมดเอาไว้พร้อมแล้วครับ" อู่หนิงเอ่ยขึ้น หลังจากขับรถมาได้ระยะหนึ่ง

"เอาไปทิ้ง" เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงเรียบ และอู่หนิงก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้านายของเขากำลังอารมณ์เสีย ซึ่งสาเหตุคงมาจากผู้กองหนุ่มที่อีกฝ่ายสนใจอยู่

"แล้วจะตรงไปที่ผับหรือกลับที่พักครับ" อู่หนิงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง ตอนนี้เขาไม่อยากเสี่ยงกับความแปรปรวนของเจ้านายสักเท่าไร

  "กลับที่พัก" เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ ก่อนการเดินทางหลังจากนั้นจะมีแต่ความเงียบ





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




พระจันทร์ส่องสว่างภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี หวังหยูเฟิงนั่งกินบะหมี่รอเพื่อนได้เพียงไม่นาน คนที่นัดกันไว้ก็เดินทางมาถึง ฟ่านมู่เหยียนนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

"แล้วเมื่อตอนเย็นไปไหนมา"

"รถระเบิดที่อู่เลยต้องไปดู"

คนฟังเลิกคิ้วขึ้นพลางมองเพื่อนสนิทอย่างแปลกใจ ดูเหมือนช่วงนี้อีกฝ่ายจะเจอเรื่องร้ายบ่อยเกินไปจนน่าเป็นห่วง

"เป็นแบบนั้นได้อย่างไร มีคนไปวางระเบิดใต้ท้องรถหรือ"

"เปล่า น้ำมันรั่ว แล้วโดนไฟเลยระเบิด"

สีหน้าเบื่อหน่ายของหวังหยูเฟิง ทำให้ฟ่านมู่เหยียนต้องหัวเราะออกมาเบาๆ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด

"เล่าเหมือนเรื่องปกติเลยนะ"

"ก็เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์"

"เฮ้อ...ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ก็มีเรื่องให้ตกใจได้ตลอด ช่วงนี้นายคงดวงตกจนฉุดไม่อยู่"

หวังหยูเฟิงถอนหายใจเป็นคำตอบรับ บางทีความโชคดีของเขาคงหมดไป ตั้งแต่การรอดตายจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ได้

"แล้วคืนนี้ตั้งใจจะทำอะไรบ้าง" หวังหยูเฟิงเอ่ยถาม ฟ่านมู่เหยียนอมยิ้มออกมาเล็กน้อย

"ก็คงต้องดูลาดเลาไปก่อน ผับนี้เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ก็ดังพอตัว" ฟ่านมู่เหยียนบอกพร้อมกับสบสายตากับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม "ส่วนรายละเอียดอื่น คืนนี้ก็คงต้องหาด้วยตัวเอง"

หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ เขาลุกขึ้นยืนเพื่อบอกคนที่มีใบหน้าแต้มรอยยิ้มบางว่าพร้อมแล้ว

กาเบรียล...ทูตสวรรค์ที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าจะแอบซ่อนความมืดอะไรเอาไว้บ้าง





TBC++++++++++ 05  ใต้ปีกของทูตสวรรค์


​Marionetta ,สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดปีและตลอเไปค่ะ ^^ เอามาลงส่งท้ายปลายปีนี้ เจอกันปีหน้าค่ะ อิอิ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
05
ใต้ปีกของทูตสวรรค์







แสงสปอร์ตไลท์สาดส่องเข้าจังหวะกับเสียงเพลง ภายในผับกาเบรียลที่คึกคักเช่นทุกคืนที่ผ่านมา อู่หนิงยืนมองพนักงานและลูกค้าเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยเหมือนที่ทำเป็นประจำ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นคนสำคัญของเจ้านายเข้าพอดี

ผู้กองหวังหยูเฟิง!

อู่หนิงมองตามคนที่แต่งกายนอกเครื่องแบบแทบไม่ละสายตา หวังหยูเฟิงมากับเพื่อนอีกคน ซึ่งเป็นตำรวจเหมือนกัน หลังจากที่ได้สืบประวัติของอีกฝ่าย เขาก็รู้เรื่องรอบตัวของผู้ชายคนนี้โดยละเอียด

อันที่จริงแล้วการที่มีลูกค้าหน้าใหม่มาใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่คงไม่ใช่กับลูกค้าที่เป็นตำรวจที่มีนิสัยซื่อตรงต่อหน้าที่และไม่ชอบเที่ยวกลางคืนอย่างผู้กองคนนี้ ถึงตอนนี้ผับกาเบรียลจะไม่มีสิ่งล่อตาผู้พิทักษ์กฏหมายให้เอาผิดได้ ทว่าในฐานะผู้จัดการ เขาก็ยังไม่ควรวางใจ

จะบอกนายดีหรือเปล่า?

อู่หนิงลอบมองลูกค้าคนสำคัญอย่างพิจารณา ตอนนี้เจิ้งหยุนอารมณ์ไม่ดี แต่ถ้าบอกว่า ผู้กองหวังมาหา เจ้านายของเขาก็อาจจะอารมณ์ดีขึ้น แต่นั่นก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเหมือนกัน

เอาเป็นว่า..คอยสังเกตไปก่อนก็แล้วกัน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หวังหยูเฟิงยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นลิ้มรสชาติเพียงเล็กน้อย เขากวาดสายตามองผู้คนโดยรอบอย่างสังเกต

"คนเยอะดีจริงๆ" ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น ก่อนจะมองไปรอบตัว "โดยทั่วไปก็ปกติดี แบบนี้คงต้องเจอกับกาเบรียลตัวจริง"

 "แล้วใครเป็นเจ้าของที่นี่"

               "เจิ้งหยุน ทายาทคนเล็กของอีเดน"

หวังหยูเฟิงนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงคู่กรณีที่เพิ่งอัดรถยนต์ของเขายับ แล้วสุดท้ายก็ระเบิดคาอู่ รวมไปถึงนามบัตรที่ได้รับมา ซึ่งข้อความบนกระดาษการ์ดแผ่นนั้นระบุเพียงตำแหน่งกรรมการบริษัทอีเดนคอร์เปอเรชั่นเท่านั้น

ท่าทางที่เหมือนครุ่นคิดบางอย่างของเพื่อนสนิท ก็ไม่รอดพ้นสายตาของฟ่านมู่เหยียนได้

"ทำไมหรือ"

"พอดีว่าเป็นคนที่เพิ่งขับรถชนฉันเมื่อหลายวันก่อน"

ฟ่านมู่เหยียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มมองเพื่อนสนิทที่ยังมีสีหน้าปกติ ทั้งที่คำบอกเล่าเมื่อครู่นี้ได้จุดข้อสงสัยให้สว่างวาบในความคิดของเขาก็ตาม

"แบบนี้ก็พอจะมีข้ออ้างเข้าหาแล้วสินะ ฉันก็กำลังคิดอยู่ว่า จะทำอย่างไรไม่ให้เหยื่อไหวตัวก่อน"

"แค่จับตามองตามปกติก็พอแล้ว"

"ตามใจ ก็มันงานของนายนี่หว่า"

"โยนงานกันเห็นๆ"

"อะไรกันเล่า! นี่ก็เป็นงานภาคต่อของถานอี้เทาที่นายต้องรับผิดชอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือ"

 หวังหยูเฟิงได้แต่มองเพื่อนสนิทอย่างคาดโทษ แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรอีก ถึงอีกฝ่ายจะไม่บอก เขาก็จะอาสารับงานนี้โดยตรงอยู่แล้ว

               เมื่อชายหนุ่มนึกถึงบุคคลที่สาม ภาพของเจิ้งหยุนในความทรงจำก็ทำให้เขาคิดอย่างสงสัย ก่อนความคิดจะวิ่งไปถึงกลุ่มปริศนาที่ตอนนี้ยังตามหาตัวไม่ได้

               แต่จะว่าไปแล้วผู้ต้องสงสัยของเขาก็ใกล้เคียงผู้ชายในคืนนั้นอยู่ไม่น้อย ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่อยากเดาสุ่มจนเกิดเป็นอคติ ในเมื่อยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด ผู้ชายคนนั้นก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์

"ถึงตอนนี้ตระกูลเจิ้งจะล้างมือจนสะอาดแล้ว แต่เมื่อก่อนก็เคยพัวพันกับธุรกิจมืดอยู่ไม่น้อย อีเดน คอร์เปอเรชั่นคงมีรากฐานมาจากผลประโยชน์ที่ผิดกฏหมายแน่นอน" ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้นต่อ ก่อนจะอมยิ้มออกมา "ไม่แน่ว่าในสวนสวรรค์นั่น ก็คงมีแอ๊ปเปิ้ลเน่าให้เราตามอะไรได้บ้าง"

"อืม" หวังหยูเฟิงตอบรับ ก่อนจะมองบรรยากาศโดยรอบอีกครั้ง

ถ้าหากกาเบรียลไม่ใช่ทูตสวรรค์ดังที่แสดงออกมา เขาจะเด็ดปีกอันงดงามให้จำนนต่อกฏหมายให้ได้





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣







 อีกด้านหนึ่งของคฤหาสน์ริมทะเลที่สวยงาม เจิ้งหยุนที่กำลังผ่อนคลายอารมณ์ขุ่นมัวด้วยเครื่องดื่มรสร้อนแรงนอนเอกเขนกบนโซฟานุ่ม ก่อนที่ชายหนุ่มจะถูกขัดจังหวะ เมื่อสาวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาหา

"นายค่ะ มีแขกมาขอพบค่ะ"

 "ฉันไม่รับแขก"

"เอ่อ...แต่เขาอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทของนาย"

     "ใคร"

"คุณหลีซิงค่ะ"

เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเรียบเรียงเรื่องราวในความคิดบางส่วนได้

"ให้เข้ามา"

เมื่อได้คำตอบรับของเจ้านาย หญิงสาวผู้เป็นบ่าวก็รีบเดินออกไปจากห้อง เพียงไม่นานแขกผู้มาเยือนในยามวิกาลก็เดินเข้ามา

 ใบหน้าขาวกระจ่างพร้อมกับนัยน์ตาเรียวตามแบบฉบับรับกับจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากสีอ่อน โครงหน้านุ่มนวลถูกล้อมรอบด้วยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างลงตัว รูปร่างผอมบางทว่าสง่างามอย่างถือดีเปล่งประกายชวนมอง

"นั่งก่อนสิ" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นมิตร ทว่าไม่อาจคลายสีหน้ากังวลของอีกฝ่ายที่กำลังนั่งลงได้

               "ผม..."

"ฉันรู้ว่านายต้องการจะพูดอะไร"

เจิ้งหยุนยกยิ้มขึ้น แล้วจิบเครื่องดื่มที่บรรจุในแก้วสวยหรูอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลาย ซึ่งต่างจากความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง

"พี่หยุน ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรเลย"

หลีซิงเป็นลูกชายอย่างลับๆ ของถานอี้เทาที่เติบโตอยู่ที่อเมริกา หลังจากคดีครั้งล่าสุดได้ดับชีวิต อิทธิพล รวมไปถึงอำนาจของบิดาลง ชีวิตของเขาที่ปูทางด้วยบารมีของผู้ให้กำเนิดก็จบสิ้น สุดท้ายเด็กหนุ่มก็พบว่า ตัวเองไม่เหลืออะไร นอกจากเงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่ตอนนี้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้พลิกผันโชคชะตาราวกับฝันร้ายที่คาดไม่ถึง ทำให้หลีซิงผู้เป็นดั่งมังกรแก้วทะยานตกลงสู่หุบเหวลึก ไม่ว่าจะหันไปทางใด ก็เหลือแต่ตัวเองในความมืด เด็กหนุ่มวัยยี่สิบปีอย่างเขาจะไปทำอะไรได้ ดังนั้นจึงต้องกลับมายังประเทศบ้านเกิดเพื่ออาศัยร่มเงาจากคนที่ไว้ใจ

บุคคลที่มีอำนาจพอจะให้เขาได้หยิบยืมกำลังเพื่อสะสางความแค้นใจจากการจากไปของบิดา บุรุษที่เขาแอบมีใจให้อย่าง...เจิ้งหยุน

"เรื่องพ่อของนาย ฉันเสียใจ"

 "ถึงเขาจะไม่ใช่คนดีของสังคม แต่เขาก็เป็นพ่อที่ดีของผมเสมอ"

ถึงแม้ถานอี้เทาจะทำธุรกิจผิดกฏหมาย แต่หลีซิงก็ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีในฐานะลูกชายในเงามืดเพียงคนเดียวมาตลอด บิดาที่หวังจะให้เขาเติบโตและรอดพ้นจากภัยร้ายและอันตรายจากอำนาจที่ตัวเองพัวพันอยู่

หลีซิงไม่เคยบอกความจริงเรื่องนี้กับใคร ยกเว้นเจิ้งหยุน ผู้ชายเพียงคนเดียวที่เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ที่อเมริกา

"หลีซิง นายอยากให้ฉันช่วยอะไร"

"ผมอยากรู้ว่า ใครเป็นคนฆ่าพ่อของผม!"

"นายจะแก้แค้น?"

หลีซิงกำมือแน่น ก่อนจะมองรอยยิ้มบางของเจิ้งหยุนอย่างจริงจัง เพราะเขามีกำลังไม่พอ สิ่งที่ตั้งใจไว้ก็เป็นเพียงวิมานในอากาศที่เอื้อมไม่ถึง เว้นเสียแต่จะได้รับความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า

เขารู้จักผู้ชายคนนี้ดี ถึงแม้ภายนอกเจิ้งหยุนจะสวมหน้ากากเป็นคนสุภาพนุ่มนวล แต่หากได้ใกล้ชิดก็จะรู้ถึงความน่ากลัวที่หลบซ่อนอยู่ ดังนั้นบุรุษตรงหน้าจึงจัดเป็นบุคคลที่ควรถอยห่างอย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าสำหรับหลีซิงแล้ว...ความอันตรายนั้นกลับมีเสน่ห์น่าหลงใหลจนยากจะถอนตัว ถึงรู้ว่าไฟจะแผดเผาเพียงใด เขาก็ยอม เพื่อได้สัมผัสความร้อนแรงนั้น

"ผมรู้ว่าพี่ช่วยได้ ที่จริง...ผมก็พอจะรู้อะไรมาบ้างแล้ว" เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง คนฟังก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "สมบัติส่วนหนึ่งของพ่อถูกขายต่อ มีบางส่วนที่ถูกโอนเป็นชื่อของกงเจ๋อตวน"

หลีซิงพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ยามที่นึกถึงศัตรู นัยน์ตาเรียวสวยเป็นประกายเกรี้ยวกราด เจิ้งหยุนก็ได้แต่มองและรับฟังความอัดอั้นของเด็กหนุ่มอย่างขอไปที

"ผมรู้ว่ามันเป็นคู่แข่งของพ่อ แล้วจะต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่"

"ถ้าเป็นแบบนั้น ตำรวจคงจัดการไปนานแล้ว"

"เพราะกฏหมายยังจัดการมันไม่ได้ ผมเลยต้องลงมือเอง!"

"หืม? นายจะเป็นศาลเตี้ยตัดสินคนอย่างกงเจ๋อตวน? นี่มันเสี้ยนงัดไม้ซุงชัดๆ"

"เสี้ยนอย่างผมคงทำอะไรไม่ได้ แต่จะให้อยู่เฉย ผมก็ทำไม่ได้เหมือนกัน พี่ช่วยผมด้วยเถอะ"

"นายจะฆ่าไอ้แก่นั่น มันคุ้มหรือ"

"ถึงผมจะต้องตาย ก็ต้องเอามันไปด้วย!"

เจิ้งหยุนมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ถึงเขาจะไม่ได้สนใจหลีซิงเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มเอาชีวิตไปทิ้งเปล่า ทว่าสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นก็บ่งชัดว่า อีกฝ่ายคิดใคร่ครวญและเตรียมใจมาพร้อมแล้ว

"แน่ใจแล้วหรือ"

"วางใจเถอะ ผมไม่คิดเอาชีวิตไปทิ้งเล่นหรอก"

หลีซิงคลี่ยิ้มออกมา ถึงแม้น้ำเสียงของเจิ้งหยุนจะเรียบเฉยอย่างเคย แต่เนื้อความที่แสดงความห่วงใยแม้เพียงน้อยนิด ก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของเขาพองโตแล้ว

"อืม คืนนี้ก็พักอยู่ที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ฉันจะหาที่พักให้"

"ขอบคุณครับ"

เจิ้งหยุนระบายยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะส่งแก้วเหล้าให้อีกฝ่ายอย่างเอื้อเฟื้อ ซึ่งหลีซิงก็รับไมตรีนั้นด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้น

หากสุดท้ายเขาจะไม่สามารถไขว่คว้าสิ่งใดกลับคืนมาได้ ก็ขอให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ชายคนนี้ก็พอ





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣


ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


แสงแดดและลมทะเลโชยเอี่อย นัยน์ตาคมทอดมองท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขตด้วยความผ่อนคลาย เมื่อเทียบกับความวุ่นวายของเมืองที่เป็นไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ความเรียบง่ายที่แสนลงตัวของธรรมชาติก็เป็นศิลปะชั้นยอดที่หาได้ยากในปัจจุบัน

เจิ้งหยุนยืนมองทิวทัศน์เบื้องหน้าครู่หนึ่ง ก่อนเสียงเคาะประตูจะดังขึ้น หลังจากนั้นอู่หนิงก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีระมัดระวัง

"ผมมารายงานเรื่องที่ผับเมื่อคืนนี้ครับ"

"อืม มีอะไร"

"เมื่อคืนนี้ผมเจอคุณหวังมาที่ผับกับฟ่านมู่เหยียนที่ตามคดีของ

กงเจ๋อตวนอยู่ครับ"

"แล้วอย่างไร"

"ผมคิดว่า การที่คุณหวังมา อาจเพื่อหาข้อมูลบางอย่าง"

เจิ้งหยุนมองคนตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์ เขายกแก้วกาแฟขึ้นดื่มด้วยรอยยิ้มบาง

"เขาอาจจะแค่มาเที่ยวตามประสา แต่ถึงจะไม่เป็นแบบนั้น ก็ไม่เห็นต้องกังวล พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด"

"ครับ"

"อู่หนิง นายไปเตรียมที่พักให้หลีซิง แล้วก็พาเขาไปหาไป๋ลู่เหอด้วย"

"ครับ"

หลีซิงเป็นลูกชายของถานอี้เทาที่เจ้านายของเขาเป็นคนดับลมหายใจ และที่สำคัญไปกว่านั้นเด็กหนุ่มคนนี้กำลังมีใจให้คนตรงหน้าอยู่

ถ้าหากหลีซิงรู้ว่า คนที่ตัวเองมีใจให้เป็นคนที่พรากพ่อของตัวเองไป เด็กหนุ่มคนนั้นจะทำอย่างไร

จนกว่าความจริงจะปรากฏ เจิ้งหยุนคงทำอะไรสักอย่าง บางทีการพาหลีซิงไปหาไป๋ลู่เหอก็อาจเป็นแผนการบางอย่างที่เจ้านายของเขาคิดเอาไว้ก็ได้

ช่วยเหลือหรือกำจัด...

"ออกไปได้แล้ว"

อู่หนิงโค้งตัวด้วยความเคารพ ก่อนจะเดินออกจากห้อง แล้วเตรียมการตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายต่อ

 ...แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ลูกน้องอย่างเขาก็คงต้องทำตามอยู่ดี





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




หลังจากไปลอบสังเกตอยู่ที่ผับกาเบรียลระยะหนึ่ง ผู้กองหนุ่มก็ยังไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์อย่างที่คาดเอาไว้

ถ้าต้องการความจริง ก็คงต้องล้วงความลับจากเจ้าของผับโดยตรงเท่านั้น

หวังหยูเฟิงใช้เวลาสามวันในการเคลียร์งานต่างๆ ที่ค้างเอาไว้ให้เรียบร้อย ก่อนจะเริ่มค้นหาประวัติของเจิ้งหยุนอย่างจริงจังด้วยตัวเองอีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวทำภารกิจจับตามองอย่างเป็นทางการ

เจิ้งหยุนเป็นทายาทคนเล็กของนักธุรกิจใหญ่ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นเจ้าของอีเดน คอร์เปอเรชั่น ในปัจจุบันบริษัทนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดในเศรษฐกิจถึงหนึ่งในสามของประเทศ ชายหนุ่มเติบโตและเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อเมริกา แล้วเพิ่งย้ายกลับมาเมื่อสามปีก่อน ต่อมาเขาก็เปิดผับกาเบรียลที่เมืองนี้เมื่อครึ่งปีก่อน โดยรวมทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากนี้ยังไม่เคยมีคดีความหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฏหมาย

เมื่อหวังหยูเฟิงนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาที่ดูไร้พิษภัย เขาก็ได้แต่นึกข้องใจ แต่คนเราจะดูกันแค่ภายนอกไม่ได้ ภายใต้หน้ากากนั้นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่สายตามองเห็น

"โชคดีนะคะผู้กองหวัง" เว่ยเจียวเซินเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านโต๊ะทำงานของเธอ

"มีอะไรก็ติดต่อผมหรือมู่เหยียนแล้วกัน"

"ค่ะ"

หวังหยูเฟิงเดินออกมาจากสถานีตำรวจ ก่อนจะขี้นมอเตอร์ไซค์ที่ยืมมาจากเพื่อนสนิท ซึ่งตอนนี้กำลังยุ่งหัวหมุนอยู่ในห้องทำงาน แล้วเร่งเครื่องทะยานไปยังคฤหาสน์ริมทะเล ซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าของผับกาเบรียลที่ต้องสงสัย





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




ความร้อนจากแสงอาทิตย์ถูกลิดรอนด้วยลมทะเลและร่มเงาที่ทอดตัวผ่าน ถึงอย่างนั้นนายตำรวจที่หลบซ่อนอยู่ก็ปรากฏเม็ดเหงื่อทั่วใบหน้า

หวังหยูเฟิงยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เขามองความเคลื่อนไหวในคฤหาสน์ด้วยกล้องส่องทางไกลตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น แต่ก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย

หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนที่ออกมาเดินเล่นในสวน ก่อนจะหยิบแซนด์วิชขึ้นมากินแก้หิวด้วยความเบื่อหน่าย โดยที่สายตายังจับจ้องเป้าหมายอยู่ตลอด

ช่วงเวลาที่เลยผ่านระบายสีของท้องฟ้าให้เข้มขึ้นทีละน้อย สายลมจากทะเลหอบไอเย็นเข้ามาเป็นระยะ ทว่าผู้กองหนุ่มก็ยังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ทั้งที่ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา เขาจะไม่ได้อะไรที่มีประโยชน์เลยก็ตาม

               หวังหยูเฟิงมองตามผู้ชายที่กำลังเดินเข้าคฤหาสน์ ก่อนหยิบอุปกรณ์สื่อสารที่กำลังสั่นในกระเป๋ากางเกงออกมา

     "ว่าอย่างไร"

[ ได้เรื่องอะไรบ้างไหม]

"ไม่มี แล้วทางนั้น?"

[อืม ปกติ ก็คิดอยู่แล้ว คงไม่โผล่หางมาง่ายๆ หรอก แล้วเอาอย่างไรต่อ]

"ก็คงต้องรอดูต่อ จนกว่ากาเบรียลจะขยับตัวนั่นแหละ"





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




"อู่หนิง เขายังอยู่หรือเปล่า"

"อยู่ครับ"

เจิ้งหยุนมองภาพนอกหน้าต่างที่คุ้นเคยพร้อมกับนึกถึงนายตำรวจที่ริอาจเป็นกาฝากเกาะตามกำแพงบ้านของเขาตั้งแต่เมื่อวาน แล้วยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

ถึงแม้อีกฝ่ายจะระวังตัวดีสักแค่ไหน แต่ไม่อาจรอดพ้นการทำงานของกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ทั่วบริเวณได้อยู่ดี

ตอนนี้ไม่ใช่แค่หวังหยูเฟิงที่จับตามองเขา เขาเองก็เฝ้ามองหวังหยูเฟิงเช่นเดียวกัน

อย่าดูถูกกันนักสิ คุณตำรวจ...

เจิ้งหยุนหลับตาลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันด้วยการท่องโลกอินเทอร์เน็ตและติดตามข่าวสารจากเว็บไซต์ต่างๆ

อู่หนิงมองเจ้านายที่ใช้เวลาในโลกส่วนตัวครู่หนึ่ง ถึงเจิ้งหยุนจะดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรที่กำลังตกเป็นเป้าหมายของตำรวจ แต่ในฐานะบอดี้การ์ดส่วนตัวและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากเจิ้งเทียนให้คอยจัดการไม่ให้เรื่องที่น้องชายทำบานปลายเกินความจำเป็น ในสถานการณ์ที่ยังคาดเดาไม่ได้อย่างตอนนี้ เขาจึงไม่อาจเก็บความนิ่งนอนใจได้เต็มที่

"แล้วเรื่องคุณหวัง..."

"ไปหาคนมา"

"ครับ"

เจิ้งหยุนถอนสายตาจากหน้าจอแท็บเล็ต ก่อนจะหันไปมองลูกน้องที่ยังยืนฟังคำสั่งอย่างสงบด้วยรอยยิ้มบาง

"คัดมือดีมาสักหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวจะตายเปล่า เพราะผู้กองเขายิงแม่น"




▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣


ความเมื่อยล้าที่ร้องประท้วง ทำให้หวังหยูเฟิงต้องขยับร่างกายเล็กน้อย แต่ก็ระมัดระวังสิ่งรอบข้างเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ วันนี้เป็นวันที่สี่แล้วที่เขาลอบจับตามองความเป็นไปของผู้ต้องสงสัย แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับฝังตัวอยู่แต่ในที่พัก แถมยังใช้ชีวิตประจำวันได้น่าเบื่อเป็นปกติ

หรือว่าจะไม่มีอะไร...

หวังหยูเฟิงเก็บรวบรวมความคิดได้เพียงครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะขยับตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเป้าหมายเดินขึ้นรถยนต์คันหรูในเวลาพลบค่ำ

เมื่อรถยนต์แล่นผ่านสายตาราวห้าเมตร เขาก็ขับมอเตอร์ไซค์ตาม โดยเว้นระยะไว้ช่วงหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะจอดรถที่หน้าภัตตาคารเฟยลี่ ซึ่งเป็นภัตตาคารชั้นหนึ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่คนมีฐานะ แล้วเดินเข้าไปข้างใน

มีนัดกับใคร?

หวังหยูเฟิงอยากจะตามเข้าไปทันที แต่เพราะการแต่งตัวของเขาในตอนนี้ บริกรที่ยืนต้อนรับคงไม่อนุญาตแน่ ชายหนุ่มนึกเสียดาย แล้วมองหาใครสักคนที่จะพาตัวเองเข้าไปด้านในได้ ผู้กองหวังเดินเลาะไปยังด้านหลังของภัตตาคาร ก่อนจะเห็นบริกรคนหนึ่งยืนสูบบุหรี่อยู่ริมกำแพง

หวังหยูเฟิงใช้ทักษะที่ฝึกฝนมาโจมตีผู้บริสุทธิ์ แล้วนึกขอโทษอีกฝ่ายอยู่ในใจ ในขณะที่เขากำลังลอกคราบคนตรงหน้าเพื่อปลอมตัวเข้าเป็นบริกรในภัตตาคารหรูแทน

อันที่จริงแล้วชายหนุ่มไม่ค่อยถนัดเรื่องสายลับหรือการแอบแฝงเพื่อหาข้อมูลแบบนี้นัก แต่ในเมื่อสถานการณ์ไม่มีทางเลือก เขาก็จำเป็นต้องทำ

หวังหยูเฟิงในชุดสูทบริกรเดินเข้าไปทางประตูหลังอย่างไม่รีบร้อน เขากวาดตามองความวุ่นวายในโรงครัวที่มีเชฟกำลังทำงานอย่างคร่ำเคร่ง แล้วรีบรุดผ่านไปยังพื้นที่ต้อนรับและให้บริการลูกค้าที่อยู่ด้านนอก

แสงไฟสีส้มอ่อนทำให้รู้สึกนุ่มนวล เสียงเพลงหวานจากนักร้องสาวที่คัดสรรมาอย่างดีขับกล่อมอารมณ์และบรรยากาศให้รื่นรมย์ชวนให้เจริญอาหารมากกว่าเดิม

หวังหยูเฟิงกวาดตามองรอบหนึ่ง แต่เขาก็ไม่เห็นคนที่กำลังตามหา ก่อนสายตาจะหยุดมองบันไดที่มุ่งตรงไปยังชั้นสอง ซึ่งคงเป็นห้องอาหารระดับวีไอพี

นายตำรวจหนุ่มไม่รอช้าที่จะก้าวไปยังสถานที่ต้องสงสัย ทว่าปลายเท้าก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น

"ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน"

หวังหยูเฟิงหันไปมองด้วยท่าทีปกติ ใบหน้าสวยอ่อนหวานที่ล้อมรอบด้วยเรือนผมดัดลอนยาวสีเปลือกไม้มองเขาอย่างพิจารณา

"ผมเพิ่งมาใหม่ครับ"

"อย่างนั้นหรือ"

เสียงตอบรับดังขึ้น ก่อนริมฝีปากที่แต้มด้วยลิปสติกสีแดงสดจะคลี่ยิ้มอย่างพอใจ ร่างบางในชุดราตรีสีงาช้างเรียบหรูเดินตรงเข้ามา แล้วใช้ปลายนิ้วช้อนใบหน้าของผู้กองหนุ่มเพื่อทอดมองอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง

หวังหยูเฟิงกลั้นลมหายใจเล็กน้อย เมื่อสบกับนัยน์ตากลมโตของคนตรงหน้า ถึงแม้อีกฝ่ายจะงดงามชวนฝันไม่ต่างจากภาพวาด แต่เขารู้ดีว่า เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์นั้นมาจากฝีมือการศัลยกรรมจากแพทย์ชั้นยอด และที่สำคัญไปกว่านั้น...ไป๋ลู่เหอเป็นผู้ชาย!

"ถ้าเธอมาใหม่ก็ต้องสัมภาษณ์กับฉันก่อน ตามมาสิ"

ไป๋ลู่เหอวาดรอยยิ้มสวย ก่อนจะเดินนวดนาดราวกับพญาหงส์นำเขาขึ้นไปยังชั้นสองของภัตตาคารอย่างสง่างาม

โชคเข้าข้างเขาแล้ว!





TBC ++++++++ 06****หลุมพรางที่ซ่อนเร้น



Marionetta มาลงต่อหลังจากช่วงปีใหม่แล้วค่ะ หยูเฟิงกำลังจะตกอยู่ในเงื้อมมือมาร 555

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
06
หลุมพรางที่ซ่อนเร้น







หวังหยูเฟิงเดินตามร่างสูงเพรียว นัยน์ตาสีดำมองรอบกายอย่างจับสังเกต บริเวณชั้นสองของภัตตาคารเฟยลี่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์ตะวันออกแบบผสมผสาน ทางเดินยาวปูด้วยพรมอย่างดีตัดผ่านทางที่ขนาบข้างด้วยห้องอาหารที่ให้บริการแบบส่วนตัว ซึ่งตอนนี้เจิ้งหยุนก็อาจจะอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งที่เขากำลังเดินผ่าน

หวังหยูเฟิงเดินตามไปจนสุดทาง ก่อนที่ไป๋ลู่เหอจะพาเขาขึ้นบันไดมายังชั้นสาม ซึ่งน่าจะเป็นเขตส่วนตัวของอีกฝ่าย

“เชิญ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้น เมื่อเจ้าของภัตตาคารเปิดประตูไม้เนื้ออ่อนสลักลวดลายบานหนึ่ง

ภายในห้องนี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย สิ่งที่เด่นที่สุดคือโซฟาหนังมันเงาสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางห้อง ไป๋ลู่เหอคลี่ยิ้ม ก่อนจะปิดประตู บรรยากาศชวนอันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้เคลื่อนตัวโดยรอบ หวังหยูเฟิงหันไปมองร่างเพรียวที่ไม่ต่างจากพญาหงส์อย่างไม่ไว้ใจ แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วออกมา เมื่ออีกฝ่ายออกคำสั่ง

"ถอดเสื้อออก"

"เอ่อ..."

 "หรือจะให้ฉันถอดไห้"

ขาเรียวที่หลบซ่อนในชุดราตรีก้าวเข้าหา ท่าทางสง่างามที่แฝงไปด้วยการคุกคาม ทำให้หวังหยูเฟิงผงะ ผู้กองหนุ่มรีบตั้งสติรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน

โชคร้ายขั้นสุดยอด!

หวังหยูเฟิงได้แต่บริภาษอยู่ในใจ เขาเองก็เตรียมใจมาส่วนหนึ่งแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า อีกฝ่ายจะซื่อตรงต่อความต้องการของตัวเองมากขนาดนี้

"ถ้าเธอทำให้ฉันพอใจ เธออาจจะได้เลื่อนขั้นหรือขึ้นเงินเดือนก็ได้นะ"

"ผม..."

"อย่ากลัวไปเลย ฉันเอ็นดูเด็กเสมอ"

จัดการเลยดีไหม!

หวังหยูเฟิงขบคิดอย่างเคร่งเครียด เพียงชั่วอึดใจต่อมาร่างเพรียวบางก็เข้ามาประชิดเขาอย่างรวดเร็ว

"เป็นเด็กดีของฉันเถอะนะ" ไป๋ลู่เหอเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มหวาน มือบางเข้าจู่โจมที่ชุดเครื่องแบบบริกรด้วยความเร็วที่น่ากลัว ผู้กองหนุ่มที่กำลังถูกรุกรานได้แต่ปัดป้องพัลวัน

หากเขาทำอะไรไป๋ลู่เหอตอนนี้ ก็คงต้องหนีกลับแบบคว้าน้ำเหลว...

"อย่าทำสีหน้าแบบนั้นสิ ฉันยิ่งต้องการมากขึ้นไปอีก"

ไป๋ลู่เหอแลบลิ้นเลียริมฝีปากสีสดด้วยสายตาเป็นประกาย หวังหยูเฟิงรู้สึกสะท้านจนขนลุกไปทั่วร่าง เมื่อคนตรงหน้าเข้ากอดรัด มือเรียวลากผ่านร่างกายของเขาอย่างย่ามใจ ก่อนเรี่ยวแรงที่ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกจะผลักผู้กองหนุ่มให้ล้มไปนอนบนโซฟานุ่ม

"ร่างกายของเธอบอกฉันหมดแล้ว" ไป๋ลู่เหอแย้มยิ้ม ร่างกายงดงามทาบทับชายหนุ่มอย่างหมายมาด "ช่างไร้เดียงสาเหลือเกินนะ"

คนๆ นี้!

หวังหยูเฟิงที่กำลังถูกจู่โจมตัดสินใจเด็ดขาด นัยน์ตาสีดำเป็นประกายวาบ ถ้าหากยังอ่อนข้อให้แบบนี้ ไป๋ลู่เหอได้เขมือบเขาแน่!

ถึงอีกฝ่ายจะมีรูปร่างบอบบางราวกับเทพธิดา แต่กำลังกายกลับไม่ต่างจากชายฉกรรจ์เลย นอกจากนี้ยังมีความเร็วที่น่าตกตะลึงอีก ไป๋ลู่เหอต้องมีทักษะการต่อสู้ที่น่ากลัวแน่นอน ซึ่งผู้กองหวังก็ไม่ถนัดการต่อสู้แบบประชิดเสียด้วย

"เธอกำลังทำให้ฉันอดใจไม่ไหวแล้วนะ"

ทว่าในขณะที่ผู้กองหวังกำลังจะลงมือตอบโต้เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากบานประตูที่ถูกเปิดออก

"คุณนายไป๋สายไปสิบห้านาทีแล้ว!"

หวังหยูเฟิงชะงักความคิดของตัวเอง ถึงชายหนุ่มจะไม่ได้หันไปมอง แต่เขาก็จำเสียงนี้ได้

เจิ้งหยุน!

"เสี่ยวหยุนล่ะก็! รอหน่อยไม่ได้หรือ" ไป๋ลู่เหอบ่นเสียงขุ่น ทั้งที่มือเรียวที่เต็มไปด้วยพละกำลังอันน่าตกใจยังจับผู้กองหนุ่มเอาไว้

"คุณมีเวลาอีกเยอะ แต่ผมไม่"

"เชอะ! ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเทียนสุดหล่อ ฉันไม่ยุ่งกับคนอย่างเธอหรอก"

"รีบมา ผมจะไปรอที่ห้อง"

      หวังหยูเฟิงลอบฟังคำสนทนาอย่างใช้ความคิด ก่อนที่ชายหนุ่มจะสะดุ้งเฮือก เมื่อถูกคนตรงหน้าจูบตรงต้นคอชวนให้ขนลุกซู่

"รอฉันอยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวจะมาสัมภาษณ์ต่อ"

ไป๋ลู่เหอเดินออกจากห้อง ก่อนเสียงล็อกประตูจากด้านนอกจะทำให้ชายหนุ่มที่ถูกขังขมวดคิ้ว เขาลูบแขนของตัวเองไปมา

ขยะแขยงเป็นบ้า!

ผู้กองหนุ่มถอนหายใจ แล้วมองโดยรอบเพื่อหาช่องทางหนี ซึ่งดูเหมือนว่าหน้าต่างจะเป็นทางเดียวที่ช่วยเขาได้  หวังหยูเฟิงเดินไปเปิดหน้าต่างออก ลมกลางคืนเบาบางปะทะมาที่ใบหน้า นัยน์ตาสีดำทอดมองภาพโดยรอบจากมุมสูงของชั้นสามอย่างใช้ความคิด

ห้องที่ไป๋ลู่เหอขังชายหนุ่มเอาไว้อยู่ที่ด้านข้างของภัตตาคาร การจะออกจากที่นี่ไปได้ ก็คงต้องเสี่ยงตายกับความสูงเท่านั้น

ก่อนที่จะลักลอบเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ผูู้กองหวังไม่ได้มาตัวเปล่า หลังจากผลัดเปลี่ยนเอาชุดบริกรมาใส่ เขาก็ยังมีปืนพกขนาดเล็กและมีดสั้นเอนกประสงค์ไว้ใช้ในยามฉุกเฉินด้วย

หวังหยูเฟิงมองหาอุปกรณ์ที่พอจะช่วยตัวเองได้ เขาดึงผ้าม่านและผ้าปูโต๊ะที่ใช้ภายในห้องนี้ออกมา แล้วเริ่มสร้างเชือกผ้าแบบเร่งด่วนทันที

 ถึงจะเสียดายที่ตอนนี้ต้องถอนตัวจากการติดตามเจิ้งหยุนไปก่อน แต่คืนนี้หวังหยูเฟิงก็ยังไม่ถอดใจ ถ้าเข้าไปไม่ได้ เขาก็จะรอจนกว่าผู้ต้องสงสัยจะออกมา

  หลังจากสร้างเครื่องมือในการหลบหนีสำเร็จ ผู้กองหวังก็มองลงไปข้างล่างเพื่อวัดความสูงจากสายตาโดยประมาณ แล้วพบว่าความยาวของเชือกผ้าไม่อาจส่งเขาลงข้างล่างได้อย่างปลอดภัย แต่ก็พอจะใช้ระเบียงหน้าต่างไต่ลงไปข้างล่างได้

หวังหยูเฟิงได้แต่นึกทอดถอนใจ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังโรยเชือกผ้าฉุกเฉินไปด้านนอกหน้าต่าง





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




กว่าหวังหยูเฟิงจะหลบหนีมาถึงชั้นล่างได้สำเร็จ ก็ใช้เวลาพักใหญ่ เขาหอบหายใจถี่และร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ ทั้งที่อากาศกำลังเย็นสบาย

ตอนนี้ชายหนุ่มไม่รู้ว่า เจิ้งหยุนอยู่ที่ไหนแล้ว เขาจึงติดต่อไปหาเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มที่กำลังจับตามองความเคลื่อนไหวแถวที่พักของผู้ต้องสงสัย แต่ปรากฏว่าเจ้าของคฤหาสน์ริมทะเลยังไม่กลับ

ถ้าหากคืนนี้เขาตามตัวอีกฝ่ายไม่ได้ ก็คงต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง

หวังหยูเฟิงรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ทว่าในขณะที่เขาเฝ้ามองทางเข้าออกของภัตตาคารหรูได้ครู่ใหญ่ คนที่กำลังตามหาก็เดินออกมา

นัยน์ตาสีดำจ้องมองเป้าหมายนิ่ง แล้วผู้กองหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อมีมือปืนที่ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะยิงผู้ต้องสงสัยของเขาอย่างอุกอาจ

ปัง!

หลังจากเสียงกระสุนปืนดังขึ้น หวังหยูเฟิงก็ชักอาวุธที่มียิงใส่ผู้ร้ายที่ก่อเหตุต่อหน้าต่อตาทันทีี ลูกกระสุนเจาะเข้าที่มือของผู้ร้ายที่กำลังถือปืนอย่างแม่นยำ และก่อนที่เขาจะทันได้ยิงล้อรถเพื่อขัดขวางการหลบหนี อีกฝ่ายก็เร่งเครื่องยนต์ทะยานห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้กองหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อสกัดจับ

"ผมฝากด้วย"

[ครับผู้กองหวัง]

หลังจากตัดการติดต่อ หวังหยูเฟิงก็เดินเข้าไปหาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เจิ้งหยุนจับแขนขวาที่เปื้อนเลือดของตัวเองเอาไว้

"นายครับ!"

อู่หนิงรีบประคองเจ้านายของเขาด้วยความเป็นห่วง ทว่าคนเจ็บกลับยิ้มเย็นเป็นการตอบรับ

"ฉันไม่เป็นไร แค่เฉี่ยวน่ะ" เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะหันไปมองนายตำรวจด้วยสีหน้าแปลกใจ "คุณหวังมาที่นี่ได้อย่างไรครับ"

"ผมบังเอิญผ่านมา" หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย

  "แล้วทำไมถึงแต่งชุดพนักงานของที่นี่ล่ะครับ" เจิ้งหยุนถามต่อ โดยไม่ได้สนใจสีหน้าไม่รับแขกของนายตำรวจ "หรือว่าเป็นงานเสริมหลังเลิกงานประจำ?"

"ผมว่าคุณควรห่วงตัวเองมากกว่าการถามไร้สาระกับผม" หวังหยูเฟิงตอบเสียงห้วน เขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ เจิ้งหยุนระบายยิ้มบาง

"ขอบคุณที่ช่วยผมเอาไว้นะครับ ผมชอบตำรวจจัง" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ก่อนสายตาจะเปลี่ยนไป เมื่อนัยน์ตาคมจับจ้องไปที่ต้นคอของผู้กองหนุ่ม "นั่นรอยอะไร"

หวังหยูเฟิงยังไม่ทันเข้าใจคำถาม เขาก็ต้องถอยเท้าหนีเล็กน้อย เมื่อคนเจ็บใช้มือที่เปื้อนเลือดของตัวเองเช็ดคราบลิปสติกที่ต้นคอขาวด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์

  "นี่คุณ..."

"รอยสกปรก"

หวังหยูเฟิงมองท่าทีของเจิ้งหยุนด้วยความประหลาดใจ เขายกมือขึ้นแตะตรงต้นคอที่อีกคนเพิ่งสัมผัส ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อปลายนิ้วเปื้อนของเหลวสีแดง

"ขอโทษครับ ตั้งใจจะเช็ดรอยให้คุณ แต่ดันทำเลือดเปื้อนคุณแทนจนได้"

เจิ้งหยุนส่งยิ้มบางมาให้อีกครั้ง นัยน์ตาเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นประกายที่ผู้กองหวังเดาไม่ออก

"ช่างเถอะ คุณควรไปโรงพยาบาลได้แล้ว เพราะหลังจากที่คุณทำแผลเสร็จ ผมคงต้องเชิญคุณไปคุยที่สถานีตำรวจ"

"ด้วยความยินดีครับ"




▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


เนื่องจากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้หวังหยูเฟิงต้องกลับมาทำงานที่สถานีตำรวจอีกครั้ง แล้วพบว่าคนร้ายเมื่อคืนนี้หนีรอดไปได้

ผู้กองหวังถอนหายใจ ทั้งที่คดีเก่ายังไม่คลี่คลาย คดีใหม่ก็มาสร้างความปวดหัวเพิ่มขึ้นอีก เขาปิดแฟ้มรายงานที่เพิ่งอ่านจบ ก่อนจะหันไปสนใจ เหอผิงที่เดินเข้ามาในห้องทำงาน

“เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“พรุ่งนี้คุณเจิ้งจะมาให้ปากคำครับ”

“อืม”

หวังหยูเฟิงยกแก้วกาแฟเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยความเหนื่อยล้า เขาเสียเวลาไปหลายวันในการติดตามผู้ต้องสงสัย ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือตัวแปรปริศนา

ไป๋ลู่เหอกับเจิ้งหยุนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

แล้วใครที่คิดร้ายกับผู้ชายคนนั้น?

ถึงตอนนี้จะไม่มีหลักฐานมายืนยัน แต่จิตใต้สำนึกของเขาก็เชื่อว่า ผู้ต้องสงสัยไม่ใช่แค่กรรมการบริษัทหรือเจ้าของผับธรรมดาแน่นอน

“ผู้กองหวังได้นอนบ้างหรือเปล่า กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ”

เหอผิงมองหัวหน้าด้วยความเป็นห่วง นอกจากร่างกายจะอ่อนเพลียแล้ว สมองก็คงทำงานหนัก ตอนนี้ปมคดีที่พยายามจะแก้กลับพันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าที่คิด

"ขอบใจมาก แต่ผมยังไหว" หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มบาง วันนี้เขาจะกลับไปพักผ่อน โดยมอบหมายให้ลูกน้องจับตามองแทน

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ”

หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ เมื่อกลับมาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง เขาก็ทบทวนเรื่องราวที่เกิดชึ้นทั้งหมดในความคิด ตั้งแต่ถานอี้เทาที่ถูกฆ่าตายจากกลุ่มคนปริศนา จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ที่ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ถูกยิง

ในเวลานี้บุคคลที่อยู่เหนือใครในแวดวงมืดและกล้ากระทำผิดโดยไม่เกรงกลัวต่อกฏหมาย ก็คงจะเป็นกงเจ๋อตวน ตำรวจทุกนายต่างรู้ดี ถานอี้เทากับกงเจ๋อตวนไม่ถูกกัน พวกเขาเปรียบเสมือนไม้กระดานที่อยู่คนละฟาก แล้วรอจังหวะให้อีกฝ่ายเพลี้ยงพล้ำ

แต่จากคำบอกเล่าของฟ่านมู่เหยียนที่ตามไล่บี้กงเจ๋อตวนอยู่ ผู้มีอิทธิพลรายนี้ไม่ได้เคลื่อนไหว เขายังคงซุ่มรอจังหวะเพิ่มหลบหนีสายตาของตำรวจ

ตอนนี้นอกจากเรื่องของถานอี้เทากับกงเจ๋อตวนแล้ว คดีเล็กน้อยจากกลุ่มคนที่เคยหวั่นเกรงอำนาจของผู้มีอิทธิพลใหญ่ก็ก่อเหตุไม่เว้นแต่ละวัน มันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อผู้คุมอำนาจล้ม ผู้อ่อนแอที่ถูกควบคุมต่างก็พยายามดันตัวเองมาแทนที่ หวังหยูเฟิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้นัก มีเพียงประเด็นเดียวที่เขาจะต้องตามหาต่อไป

ใครกันที่เป็นคนล้มยักษ์...

ผู้กองหนุ่มวางแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะ ก่อนจะคว้าเสื้อคลุม แล้วเดินออกจากห้องทำงานของตัวเอง

  ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เขาอาจจะได้คำตอบไม่มากก็น้อย





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




"เสี่ยวหยุน! เป็นอย่างไรบ้าง!"

"มาทำไม"

เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เมื่อเห็นว่าใครที่เดินทางมาหา และพอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ เขาก็ยิ่งหงุดหงิด

"คิดว่าฉันอยากจะมานักหรือ เธอโดนยิงที่หน้าร้านของฉันนะ จะให้ทำเฉยได้หรือ"

ไป๋ลู่เหอในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนนั่งไขว่ห้างบนโซฟานุ่ม โดยไม่ต้องรอคำอนุญาตของใคร

"ก็ยังไม่ตาย"

"ย่ะ! ก็ยังนึกเสียดายอยู่เนี่ย"

 "แต่วันนี้อาจจะมีคนตายก็ได้ ถ้าผมหมดความอดทน"

เจิ้งหยุนมองร่างเพรียวตรงหน้าอย่างเย็นชา แต่คนอย่างไป๋ลู่เหอผู้งามสง่าไม่ได้สนใจ นัยน์ตากลมโตทอดมองอีกฝ่าย มือบางลูบเส้นผมของตัวเองเล่นอย่างผ่อนคลาย

 "เธอนั่นแหละที่เป็นตัวบั่นทอนความอดทนของคนอื่น พูดจาอะไรก็ให้เกียรติสุภาพสตรีอย่างฉันบ้าง"

"หึ! ผู้หญิงอะไรไล่ปล้ำผู้ชาย แถมยังมีไอ้นั่นอยู่อีก"

"ฉันถือคติไม่ลืมรากเหง้าของตัวเองต่างหาก"

ใบหน้าสวยหวานมองคู่สนทนาด้วยสายตาขุ่นมัว ถึงเขาจะทำศัลยกรรมทั่วตัว แต่ก็ยังอยากใช้ส่วนสำคัญทางเพศที่ได้มาตั้งแต่เกิดและไม่ได้นิยมให้ใครมาแทงข้างหลัง

  "จะอ้างอะไรก็ช่าง แต่ความจริงก็ยังเหมือนเดิม"

เจิ้งหยุนมองคนตรงหน้าอย่างดูแคลน ยิ่งหวนไปนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้อีกครั้ง เขาก็ยิ่งโมโห

"บางทีฉันควรจะตบสั่งสอนเธอบ้าง"

"ก็น่าลองว่า มือของคุณกับกระสุนของผม อะไรจะเร็วกว่ากัน"

ไป๋ลู่เหอเลิกคิ้วขึ้น นิ้วเรียวกรีดกราย ริมฝีปากสีสวยวาดรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

"รับรองได้เลยว่า ถ้าเธอทำให้ฉันเป็นแผลแม้แต่นิดเดียว เธอแหลกคามือฉันแน่เสี่ยวหยุน"

"แต่ผมว่าสมองของคุณคงกระจุยก่อนจะได้รับรู้อะไร"

ทั้งสองฝ่ายจ้องมองกันอย่างลองเชิง ก่อนนัยน์ตากลมจะถอนสายตาไปสนใจชามะลิที่กำลังส่งกลิ่นหอมแทน

 "วันนี้เธอเป็นอะไร ธรรมดาไม่ไล่กัดใครแบบนี้นี่ หงุดหงิดที่โดนยิงหรือ"

เจิ้งหยุนไม่ได้ตอบ ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจระบายอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่เมื่อครู่ เขาก็ไม่ได้ชอบความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้เท่าไรนัก

"จริงๆ แล้วคนที่ควรหงุดหงิดคือฉันมากกว่านะ เมื่อคืนนี้กำลังได้เหยื่อดีเลย แต่เธอก็มาขัดจังหวะ แล้วรู้ไหม พอฉันกลับไปอีกครั้ง เขาก็หนีออกไปทางหน้าต่างแล้ว น่าสนใจจริงๆ"

น้ำเสียงหวานเล่าเรื่องอย่างลื่นไหล โดยไม่ได้สนใจสีหน้าของคนฟังที่มืดมนลงเรื่อยๆ ทั้งที่เจ้าของคฤหาสน์กำลังจะดับไฟโทสะของตัวเองลง แต่แขกที่ไม่ได้รับเชิญดันกวนตะกอนให้ถ่านไฟอารมณ์ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

ปัง!

     เพง! "ตายแล้ว!" ไป๋ลู่เหอร้องขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อแก้วชาที่เขากำลังถือแตกเป็นเสี่ยงจากลูกกระสุน นัยน์ตากลมโตตวัดมองชายหนุ่มที่ตีหน้าเฉยอย่างไม่พอใจ

"เล่นไม่รู้เรื่อง! ถ้ามือฉันเป็นแผล เดี๋ยวก็ได้ตายจริงหรอก!"

"หึ!"

เจิ้งหยุนหันไปสนใจกาแฟของตัวเองแทนท่าทางไม่สบอารมณ์ของคนตรงหน้า ชายหนุ่มแค่ต้องการเอาคืนที่ไป๋ลู่เหอมาแตะต้องคนที่ตัวเองกำลังสนใจบ้างเท่านั้น ว่ากันตามจริงแล้วถึงเขาจะไม่ได้เกรงกลัวหรือเคารพอีกฝ่ายอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็ไม่ได้นึกอยากหาเรื่องกับคุณนายไป๋นัก

“ดีนะที่ชุดไม่เปื้อน” ร่างบางบ่นอุบพลางสำรวจสภาพของตัวเองไปด้วยความกังวล

  “หลบทันแล้วยังจะบ่นอะไรอีก” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างนึกรำคาญ เพราะรู้อยู่แล้วว่าไป๋ลู่เหอจะไม่เป็นอะไร เขาถึงได้ทำไปตามอารมณ์ หากอีกฝ่ายจะได้เลือดก็คงเป็นผลพลอยได้ ร่างเพรียวส่งสายตาค้อนกลับมา

  “ช่วยสำนึกผิดบ้างเถอะ” ไป๋ลู่เหอต่อว่าอย่างระอา ใบหน้าสวยที่เคยบูดบึ้งเปลี่ยนเป็นปลงตก “ถ้ารู้ว่าโตแล้วไม่น่ารักแบบนี้ จับหักคอทิ้งตั้งแต่เด็กเลยก็ดี”

   คนถูกว่าส่งสายตาไม่พอใจออกมา แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีหรือตอบโต้ด้วยคำพูดอีก เพราะเขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ไป๋ลู่เหอเก่งและเคี้ยวยากจนใครหลายคนคาดไม่ถึง




TBC+++++++  07ความเคลื่อนไหวที่เงียบงัน

​Marionetta มาต่อแล้วค่ะ เป็นตอนที่ชอบคุณนายไป๋มากๆ เรื่องนี้มีแต่คนหื่น 5555

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
07
ความเคลื่อนไหวที่เงียบงัน






อู่หนิงที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ได้แต่นึกปลงตกกับอาการหัวร้อนของเจ้านาย เขารีบส่งผ้าเช็ดมือให้ไป๋ลู่เหอ แล้วสั่งให้สาวรับใช้นำชามาเสิร์ฟใหม่อย่างรู้งาน

เรื่องเมื่อคืนนี้ ถึงจะไม่มีใครเล่าให้ฟังชัดเจน ชายหนุ่มก็เดาเหตุการณ์ทั้งหมดได้ ตั้งแต่ที่เจ้านายของเขาเดินทางไปยังภัตตาคารเฟยลี่เพื่อคุยธุระกับไป๋ลู่เหอ

นอกจากเรื่องงานแล้ว อีกนัยยะหนึ่งก็เพื่อล่อหวังหยูเฟิงให้ตามมา จากนั้นก็รอจังหวะ เมื่อแน่ใจว่าผู้กองหวังที่ตกเป็นเป้าหมายอยู่ในสายตา เขาก็โทรศัพท์ให้ลูกน้องฝีมือดีจัดฉากการลอบยิง

ถ้าวิเคราะห์จากสถานการณ์แล้ว การกระทำนี้ก็เพื่อสร้างความสับสนให้หวังหยูเฟิง ตบตานายตำรวจที่เฝ้าจับผิดอยู่หลายวัน ทว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้านายของเขามีเพียงอย่างเดียว

เจิ้งหยุนต้องการเรียกร้องความสนใจและหาทางใกล้ชิดคนที่เล็งเอาไว้เท่านั้น!

อู่หนิงได้แต่นึกทอดถอนใจกับความบ้าบิ่นที่แสนอันตราย ทุกอย่างก็เหมือนจะลงล็อกตามแผน แต่กลับมีเรื่องที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น

การที่หวังหยูเฟิงได้เจอกับไป๋ลู่เหอ

คนทั่วไปอาจจะมองเห็นแต่ความงดงามและชื่นชมกับทุกอิริยาบถของไป๋ลู่เหอ ทว่าหากได้รู้จักในระดับหนึ่งก็จะทราบว่า แท้จริงแล้วร่างบางราวกับเทพธิดาจำแลงเป็นผู้ชาย แน่นอนว่าคุณนายไป๋นิยมชมชอบเพศเดียวกัน และถ้าสนิทสนมกันเป็นอย่างดีก็จะทราบอีกว่า เขาแข็งแกร่ง เพราะเป็นบุตรคนโตของตระกูลหม่า ซึ่งสืบทอดและมีสำนักในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อันเลื่องชื่อ อีกทั้งที่นี่ก็เปรียบเสมือนแหล่งที่ใช้คัดเลือกคนมีฝีมือไปเป็นบอดี้การ์ดแห่งหนึ่ง

เดิมทีไป๋ลู่เหอเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำสำนักอย่างยิ่ง แต่เพราะรสนิยมส่วนตัวที่ไม่อาจเป็นที่ยอมรับในตระกูล ทำให้ว่าที่ผู้นำขับไล่ตัวเองออกมา แล้วเปลี่ยนแซ่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีอำนาจพอจะควบคุมสำนักหม่าอยู่เบื้องหลัง

แต่ความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปร่างบอบบางไม่ได้มีแค่นั้น เพราะถ้าหากรู้จักไป๋ลู่เหออย่างแนบแน่นลึกซึ้งก็จะรู้อีกว่า หญิงสาวประเภทสองคนนี้ยังมีอาวุธประจำตัวที่ได้มาตั้งแต่เกิด แถมยังเป็นฝ่ายรุกยามที่ได้ออกรบในสงครามสวาทอีกด้วย

อาจเป็นเพราะฟีโรโมนใสสะอาดของหวังหยูเฟิงที่ล่อลวงเจ้านายของเขาอยู่นั้น ก็ส่งกลิ่นหอมล่อหลอกไป๋ลู่เหอเช่นเดียวกัน และนำพารอยลิปสติกที่ต้นคอของผู้กองหนุ่ม ซึ่งสิ่งนั้นก็ทำให้เจิ้งหยุนหัวเสียไม่น้อย

โชคยังดีที่หวังหยูเฟิงยังไม่ถูกพญาหงส์กลืนกินไปทั้งตัวเสียก่อน

"เสี่ยวหนิง รับใช้คนบ้าอย่างนี้คงเหนื่อยแย่สินะ ถ้าทนไม่ไหว ก็มาอยู่กับฉันได้"

ไป๋ลู่เหอส่งยิ้มให้บอดี้การ์ดหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามประจำตัวของเจิ้งหยุนอย่างเชิญชวน อู่หนิงได้แต่โค้งรับเล็กน้อยอย่างสำรวม

"ผมยินดีรับใช้นายไปจนตายครับ"

"เชอะ!"

 ไป๋ลู่เหอสะบัดผมลอนสีเปลือกไม้อย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่ร่างบางจะย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นในการมาที่นี่ของตัวเอง

"แล้วตกลงเรื่องที่โดนยิงว่าอย่างไร" ไป๋ลู่เหอเอ่ยถามอย่างข้องใจ ถึงจะหมั่นไส้อีกฝ่ายเต็มประดา แต่เขาก็ไม่นึกนิ่งดูดาย อาจเป็นเพราะเคยดูแลชายหนุ่มมาตั้งแต่ยังเด็ก

"ไม่มีอะไร" เจิ้งหยุนตอบเสียงเรียบ แล้วเปลี่ยนเรื่องราวกับเหตุการณ์เฉียดตายที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นแค่เรื่องธรรมดาสามัญ "แล้วเรื่องที่วานไปเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง"

"ก็พอจะได้ข่าวอยู่หรอก ไอ้แก่นั่นมีกำหนดจะส่งอาวุธเถื่อนราวเดือนหน้า" ไป๋ลู่เหอตอบเสียงเรียบ หลังจากมองสภาพร่างกายและท่าทางของชายหนุ่มที่ยังปกติดี เขาก็วางใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน "เสี่ยวเทียนเร่งมาหรือ"

"เปล่า ก็แค่อยากจัดการให้จบไวๆ" เจิ้งหยุนตอบ เขาละสายตาจากคู่สนทนาไปยังวิวทะเลด้านนอก "จะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น"

"ทำอย่างอื่น? เธอตั้งใจจะทำอะไรต่ออย่างนั้นหรือ" ไป๋ลู่เหอถามต่อด้วยความสนใจ เจิ้งหยุนหันสายตากลับมามองอย่างเย็นชา

"ไม่ใช่เรื่องของคุณ"

"เชอะ!"

ไป๋ลู่เหอลุกขึ้นยืน ร่างบางลูบผมของตัวเองเล่นด้วยท่าทางงดงาม นัยน์ตากลมทอดมองชายหนุ่มผมยาวที่ยังนั่งอย่างมีมาดไม่สนใจใคร

"ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อน เดี๋ยวต้องไปอบผิวสักหน่อย"

"เชิญ"

คำตอบรับที่แฝงเจตนาขับไล่อย่างไม่ปิดบัง ไม่ได้ทำให้ไป๋ลู่เหอขัดเคืองใจ ขาเพรียวที่สวมใส่รองเท้าส่นสูงสีขาวมุกก้าวออกจากห้องอย่างสง่างาม ก่อนจะหมุนตัวกลับมาเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างออก

 "จริงสิ! เรื่องของหลีซิง"

เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาได้ฝากฝังลูกชายของ

ถานอี้เทาให้ไป๋ลู่เหอดูแล เพราะเกรงเด็กหนุ่มจะตายเปล่า ถ้าหากมุทะลุ

จะแก้แค้นกงเจ๋อตวน

"ฉันส่งเขาไปที่สำนักเมื่อหลายวันก่อน จื่อฝานเพิ่งรายงานมาเมื่อคืน ดูเหมือนว่าจิตใจจะเข้มแข็งดี แต่ร่างกายไม่เอื้อเท่าไร"

"อืม"

"จะไม่ถามอะไรต่อหรือ เธอเป็นคนฝากฝังมานี่"

"ไม่มี ไม่ได้อยากรู้อะไร"

ไป๋ลู่เหอไม่ต่อบทสนทนาอีก ร่างบอบบางหายลับไปจากสายตาเจ้าของคฤหาสน์





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





“คุณเจิ้งมาแล้วค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

หวังหยูเฟิงในชุดเครื่องแบบเก็บเอกสารที่กำลังทำอยู่ให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อไปสอบปากคำผู้ต้องสงสัย ซึ่งตอนนี้ก็พ่วงตำแหน่งผู้เสียหายจากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ด้วย

เมื่อผู้กองหนุ่มเดินเข้าไปในห้องสอบสวน เจิ้งหยุนที่วันนี้ใส่เพียงเสื้อเชิ้ตขาวสะอาดและกางเกงยืนส์สีซึดก็หันมามอง แล้วยกยิ้มทักทาย

“สวัสดีครับคุณหวัง”

“สวัสดีครับ แผลของคุณเป็นอย่างไรบ้าง”

“โอเคครับ ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เพราะความช่วยเหลือของคุณแท้ๆ”

หวังหยูเฟิงไม่ได้โต้ตอบกับเจิ้งหยุนอีก เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม นัยน์ตาสีนิลทอดมองคนตรงหน้าที่มีท่าทางสบายอารมณ์ ผิดกับความรู้สึกของเขาที่กำลังเคร่งเครียดขึ้น หลังจากเตรียมการสำหรับการสอบปากคำเสร็จ ผู้กองหวังก็เริ่มทำหน้าที่ของตัวเอง

“ผมจะขอถามถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ คุณคิดว่า ทำไมคุณถึงถูกลอบยิง”

“ไม่รู้สิครับ”

“คุณสงสัยใครเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า”

“ไม่มีหรอกครับ”

“คุณเจิ้ง กรุณาให้ความร่วมมือด้วยครับ”

หวังหยูเฟิงมองคนตรงหน้าอย่างกดดัน ทว่าอีกฝ่ายก็ยังตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่อง

“ผมก็ตอบเท่าที่ผมรู้นะครับ”

เจิ้งหยุนคิดว่าตัวเองไม่ได้โกหก เรื่องที่ทำไมเขาถึงถูกลอบยิง ถึงจะเป็นคำสั่งของตัวเอง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมถึงได้คิดทำแบบนั้น

ก็แค่อยากทำล่ะมั้ง...

ส่วนเรื่องที่เขาไม่ได้สงสัยใคร เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาจากแผนการของตัวเองทั้งนั้น

ถึงคำถามที่ผ่านไปจะไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีจนชวนให้หงุดหงิด แต่หวังหยูเฟิงก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร นอกจากจดบันทึกคำให้การไว้เป็นหลักฐาน แล้วเริ่มตั้งคำถามต่อไป

“เมื่อคืนนี้คุณไปที่ภัตตาคารเฟยลี่ทำไม”

“ผมไปกินข้าวครับ”

นัยน์ตาสีดำสบมองกับดวงตาคมอย่างจับผิด แต่สิ่งที่ค้นพบคือท่าทางปกติของคนตรงหน้า

“คุณรู้จักกับไป๋ลู่เหอหรือเปล่า”

“รู้จักครับ ตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ ผมก็เป็นลูกค้าขาประจำของเขา”

“เป็นไปได้ไหมที่เหตุการณ์เมื่อคืนนี้เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ”

“บางทีอาจจะเป็นคู่แข่งที่ไม่ชอบหน้าผมก็ได้มั้งครับ”

"แล้วตอนนี้คุณทำธุรกิจอะไรบ้าง"

"ผมมีผับเป็นของตัวเอง แล้วก็กินเงินกงสีที่บริษัทของครอบครัวเป็นรายได้เสริมครับ"

"คุณมาอยู่ที่นี่นานหรือยัง"

"ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ราวหนึ่งปีมั้งครับ"

"แล้วทำไมคุณถึงเลือกมาอยู่ที่นี่"

"อืม ก็ดูเหมือนที่นี่จะน่าอยู่ แล้วผมก็ดีใจที่ได้เจอตำรวจอย่างคุณหวังด้วย"

หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนที่ยังไม่ได้แสดงท่าทางผิดปกติอะไร นอกจากการให้ปากคำที่แทบจะเสียเปล่า

"ครับ แล้วคุณรู้จักถานอี้เทาหรือเปล่า"

เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาแสดงท่าทีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า

"ผมไม่แน่ใจ แล้วเขาเป็นใครหรือครับ"

 "ถานอี้เทาคือผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งของเมืองนี้ แต่เขาเพิ่งถูกฆ่าตายเมื่อปลายเดือนก่อน"

"อย่างนั้นหรือครับ"

เจิ้งหยุนแค่ยิ้มรับไปตามเรื่อง ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร ถ้าหากจะถูกไล่ต้อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แถมเขายังรู้สึกสนุกด้วยซ้ำ

 ในการสอบปากคำครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากเกมวิ่งไล่จับ คนส่วนใหญ่มักจะชอบเป็นผู้ที่วิ่งไล่ เพราะเหมือนมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่าย แต่เขาไม่คิดแบบนั้น

สำหรับเจิ้งหยุนแล้ว การได้หาวิธีหลบหลีกจากการถูกวิ่งไล่และเหยียบย่ำความล้มเหลวของคนไล่จับที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าครั้งแล้วครั้งเล่า มันสนุกและน่าสนใจมากกว่า

"เรื่องของเขาเป็นข่าวดัง นอกจากการตายของเขาแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่ตึกของเขาถูกไฟไหม้ด้วย คุณน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง"

"อืม ก็เหมือนผมจะเคยได้ดูข่าวไฟไหม้ตึกอยู่เหมือนกันนะครับ"

"คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้"

"ก็ดีมั้งครับ ผู้ร้ายตายไป บ้านเมืองก็สงบสุขมากขึ้น แล้วคุณหวังคิดว่าอย่างไรล่ะครับ"

 "ผมคิดว่า คนผิดควรถูกลงโทษตามกฏหมายมากกว่าการถูกฆ่าโดยใครบางคน"

"นั่นสินะครับ ว่าแต่...ผู้มีอิทธิพลที่ตายไปแล้วคนนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของผมหรือครับ"

เจิ้งหยุนแสดงสีหน้าสงสัยออกมาอย่างชัดเจน ผู้กองหวังยังทำท่าทางนิ่งเฉยเฝ้าสังเกตพฤติกรรมและบทสนทนาอย่างเก็บงำความคิด

"เพราะถานอี้เทาที่เคยมีอำนาจตายไป พวกลูกน้องหรือกลุ่มคนที่อยากจะครองอำนาจแทนก็อาจจะอยากก่อเรื่องขึ้นเพื่อประกาศศักดาของตัวเองก็ได้"

"แย่จังเลยนะครับ ผมก็เป็นแค่คนทำมาหากินธรรมดาด้วย แล้วตอนนี้จับคนร้ายได้หรือยังครับ"

"ยังครับ ถ้าจับได้จะแจ้งให้คุณทราบอีกครั้ง หลังจากนี้อาจจะเรียกคุณมาสอบปากคำเป็นระยะ"

"ได้ครับ"

หลังจากจบการสอบปากคำเบื้องต้น หวังหยูเฟิงก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ โดยที่มีเจิ้งหยุนลุกขึ้นยืนตาม

“คุณหวังครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อยครับ”

“อะไรครับ”

หวังหยูเฟิงมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างนึกแปลกใจ เจิ้งหยุนผ่อนลมหายใจออกมา ใบหน้าหล่อเหลาแสดงท่าทีไม่มั่นใจ

“เรื่องเมื่อคืนนี้ แล้วก็เรื่องที่คุณเพิ่งเล่าให้ฟัง ทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าไรครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองใบหน้านิ่งเฉยของอีกฝ่ายอย่างกังวล “ผมอยากได้คนคุ้มกันเป็นพิเศษจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

“เรื่องนั้นผมจะลองสอบถามให้” หวังหยูเฟิงตอบรับไปตามเรื่อง เขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ อย่างไรก็ต้องถามสารวัตรก่อน

“ครับ ต้องรบกวนคุณหวังแล้ว”





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


“ได้เรื่องอะไรบ้าง”

หวังหยูเฟิงมองฟ่านมู่เหยียนเล็กน้อย ก่อนจะสนใจคอมพิวเตอร์ที่กำลังทำงานอยู่ต่อ เขาเพิ่งทำการสอบปากคำเสร็จสิ้นเมื่อชั่วโมงก่อน

“น่าสงสัยมากกว่าเดิม”

“นั่นสิ ตอนนี้ก็ยังปัดความเป็นไปได้ของเจิ้งหยุนไม่ได้”

“คงต้องจับตามองไปก่อน จนกว่าจะได้อะไรเพิ่มเติม”

ฟ่านมู่หยียนพยักหน้ารับ ก่อนเสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานของอีกฝ่ายจะดังขึ้น

“สวัสดีครับ”

[ผู้กองหวังมาพบผมที่ห้องตอนนี้ด้วย]

“ครับ"

หลังจากหวังหยูเฟิงวางสาย ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ท่าทางของเพื่อนสนิท ทำให้ฟ่านมู่เหยียนต้องเอ่ยถามด้วยความสงสัย

"จะไปไหน”

“สารวัตรเรียก”

คำตอบที่ได้รับ ทำให้คนฟังต้องพ่นลมหายใจออกมา แล้วกดยิ้มที่มุมปาก

“ขอให้โชคดี”

“อืม”

หวังหยูเฟิงเดินออกจากห้องทำงานของตัวเองด้วยความเบื่อหน่าย เพราะเขารู้ดีว่า การที่สารวัตรเรียกหาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





“ขออนุญาตครับ”

หวังหยูเฟิงเดินเข้ามาในห้องทำงานของสารวัตรใหญ่ ก่อนที่เขาจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน

“ผมได้รับเรื่องมาว่า เมื่อคืนมีคดีที่ภัตตาคารเฟยลี่ใช่ไหม”

“ครับ ตอนนี้สอบปากคำผู้เสียหายเบื้องต้นแล้ว เหลือตามจับตัวคนร้าย”

“อืม ผมได้คุยกับคุณเจิ้งเมื่อครู่นี้ เขาอยากให้ตำรวจเข้าไปคุ้มกัน เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย”

หวังหยูเฟิงนึกประหลาดใจ เขาไม่คิดว่า เจิ้งหยุนที่กำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยจะกล้าติดต่อกับสารวัตรด้วยตัวเอง

“ครับ ผมกำลังจะส่งเรื่องนี้แจ้งท่านพอดี”

“ในเมื่อคุณก็จับตามองดูเขาอยู่แล้ว คุณก็ควรจะรับหน้าที่นี้ไม่ใช่หรือ"

ผู้กองหนุ่มชะงักความคิดของตัวเอง แล้วมองคนตรงหน้านิ่ง สารวัตรเองก็มองเขาด้วยท่าทีสุขุม นัยน์ตาที่ผ่านประสบการณ์ฉายแววน่ายำเกรง

“เอ่อ...ก็จริงอย่างที่ท่านว่า”

หวังหยูเฟิงยอมรับ ในตอนแรกเขานึกแปลกใจที่ตัวเองได้รับหน้าที่เพิ่มแบบกะทันหัน ทั้งที่สถานีตำรวจแห่งนี้ก็ยังมีเจ้าหน้าที่อีกหลายนายที่เหมาะสม ทว่าเมื่อได้ยินคำอธิบายเพิ่มและพิจารณาอีกครั้ง ชายหนุ่มก็เข้าใจ หน้าที่นี้เหมาะกับเขามากที่สุดแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นงานนี้คุณก็รับผิดชอบไปแล้วกัน”

“ครับ”





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ภายในคฤหาสน์ริมทะเล ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาสีดำทอดมองแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันผ่านหน้าต่างอย่างสงบ เขายกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อทบทวนเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้และต่อจากนี้

"นายคิดว่าคุณหวังจะรับหน้าที่นี้หรือครับ"

หลังจากเดินทางกลับที่พักได้ครู่หนึ่ง เจิ้งหยุนก็สั่งให้อู่หนิงต่อสายหาสารวัตรที่ดูแลสถานีตำรวจที่ผู้กองหวังทำงานอยู่ แล้วพูดคุยถึงความต้องการของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เจาะจงเลือกตำรวจคนไหนเป็นพิเศษ

"อืม เพราะนี่เป็นโอกาสดีที่จะจับตามองฉันอย่างใกล้ชิด”

“แล้วถ้าเกิดว่าเป็นคนอื่น?"

เจิ้งหยุนหันมามองอู่หนิงเล็กน้อย ถึงอีกฝ่ายจะมีบทบาทในฐานะลูกน้อง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ถือตัวและไว้วางใจไม่ต่างจากเพื่อนหรือคนในครอบครัว ทุกสิ่งที่เขาคิดและต้องการจะทำ คนตรงหน้าจะรับรู้เสมอ

"ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันจะให้อีเดนจัดการ"

ในฐานะเจ้าของผับกาเบรียล เจิ้งหยุนคงไม่มีสิทธิ์ไปสั่งการข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนไหนได้ ทว่าในฐานะของกรรมการบริหารของอีเดน คอร์เปอเรชั่นแล้วไม่ใช่

บริษัทอีเดน คอร์เปอเรชั่นได้ควบคุมธุรกิจหลายอย่างภายในประเทศ นอกจากนี้ยังบริจาคเงินสนับสนุนหน่วยงานรัฐและเอกชนต่างๆ ในแต่ละปีไม่น้อย และการใช้อำนาจในการเลือกนายตำรวจที่ต้องการสักคนก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก

"หึ! ฉันจะให้เขาตามติดแบบไม่ให้คลาดสายตาเลย"



TBC+++++++  08ล่ากับผู้ถูกล่า



Marionetta มาแล้วค่ะ ^^ ช่วงนี้ยุ่งมาก ก็จะมาช้าหน่อยนะคะ แฮะๆ ขอบคุณืที่ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5

08
ผู้ล่ากับผู้ถูกล่า





เนื่องจากรถยนต์ของตัวเองชะตาขาดไปแล้ว ตอนนี้หวังหยูเฟิงก็ยังไม่มีเวลาไปมองหาเพื่อนคู่ใจคันใหม่ ผู้กองหนุ่มเลยยึดมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนสนิทมายืมใช้ชั่วคราว

หวังหยูเฟิงเดินทางมาถึงคฤหาสน์ริมทะเลในเวลาเช้า ถึงจะมาทำงานแต่เขาก็ไม่ได้สวมเครื่องแบบตำรวจ วันนี้ชายหนุ่มใส่เพียงเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลกับกางเกงสแลคสีดำเท่านั้น

ประตูรั้วขนาดใหญ่เปิดออกต้อนรับ หวังหยูเฟิงขับมอเตอร์ไซค์ไปจอดที่ด้านข้างของคฤหาสน์ ทั้งที่เมื่อหลายวันก่อนเขาได้แต่สังเกตการณ์จากด้านนอกเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าจะได้เข้ามาในที่พักของผู้ต้องสงสัยแบบนี้

“ยินดีต้อนรับครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยทักขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง เมื่อผู้กองหนุ่มเดินเข้ามาด้านในของคฤหาสน์

"ครับ ผมได้รับหน้าที่ให้มาดูแลคุณ ฝากตัวด้วย" หวังหยูเฟิงตอบรับ เขาลอบมองโดยรอบอย่างสำรวจ

ถึงภายนอกคฤหาสน์จะดูสวยงาม ทว่าการตกแต่งด้านในกลับไม่ได้ดูโอ่อ่าหรูหราอย่างที่คิดเอาไว้ ถึงอย่างนั้นเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นของที่นี่ก็ดูราคาแพงจนคนทั่วไปยากที่จะเป็นเจ้าของ

“ผมก็ฝากตัวด้วยเหมือนกันครับ ไม่นึกเลยว่า สารวัตรจะส่งคุณมา” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นต่อ ชายหนุ่มไม่ได้สนใจท่าทางเคร่งขรึมของอีกฝ่ายนัก เพราะบุคลิกแบบนี้ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหวังหยูเฟิง “ตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมจะให้อู่หนิงพาคุณไปที่ห้องพัก”

หวังหยูเฟิงมองไปยังชายหนุ่มอีกคน อู่หนิงเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดสูทสีดำสุภาพ ใบหน้าเรียบนิ่ง ทำให้เขาดูหนักแน่นมั่นคง ชายหนุ่มโค้งตัวเคารพอย่างนอบน้อม

"เชิญทางนี้เลยครับ"

ผู้กองหวังเดินตามอู่หนิง โดยทำเป็นไม่รับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองตามหลัง

ตั้งแต่วันแรกที่หวังหยูเฟิงเริ่มจับตามองจากด้านนอก ผู้กองหนุ่มก็สังเกตได้ถึงความไม่ธรรมดาของผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ นอกจากการเข้าออกที่ดูเข้มงวดมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะเดิมทีตระกูลเจิ้งเคยทำงานในวงการมืดมาก่อน ทว่าเมื่อเขาได้เข้ามาด้านในกลับรู้สึกผิดคาดเล็กน้อย

นอกจากเจิ้งหยุนกับอู่หนิงแล้ว เขาก็เห็นแค่สาวรับใช้ธรรมดาไม่กี่คนเท่านั้น ไร้วี่แววของบอดี้การ์ดอย่างที่คนมีอิทธิพลทั่วไปมักจะมี ถ้าหากมีใครคิดจะบุกเข้ามาอย่างจริงจัง ก็คงลอบเข้ามาได้ไม่ยาก

หลังจากเดินผ่านชั้นล่างได้สักพัก ชายหนุ่มก็นึกแปลกใจ เมื่ออู่หนิงพาเขาขึ้นมาที่ชั้นสองของคฤหาสน์แทนที่จะเป็นด้านหลังหรือที่พักสำหรับลูกจ้าง

ถึงหวังหยูเฟิงจะมาในฐานะตำรวจเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้เจ้าของบ้าน แต่เขาก็ระวังตัวไม่ต่างจากการเหยียบย่างเข้ามาในเขตแดนของศัตรู

ผู้กองหนุ่มรู้ดีอยู่แก่ใจว่า เวลานี้คนที่ควรระวังและอันตรายก็คือคนที่เขาต้องคุ้มครองนั่นแหละ!

นี่คือห้องพักของผู้กองหวังครับ" อู่หนิงเอ่ยขึ้น เมื่อเดินนำอีกฝ่ายมาหยุดที่หน้าประตูบานหนึ่ง "บนชั้นนี้นอกจากคนรับใช้ที่ต้องขออนุญาตในการทำความสะอาด ก็มีแค่ผมกับนายเท่านั้นครับ"

"คุณเป็นพ่อบ้านที่นี่หรือ" หวังหยูเฟิงเอ่ยถามกลับ เขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายตามติดราวกับเงาของเจิ้งหยุน จากข้อมูลที่ได้สืบค้นมาก่อนหน้านี้ ก็รู้พียงแต่ว่า อู่หนิงถูกคนตระกูลเจิ้งชุบเลี้ยงและทำหน้าที่เป็นคนสนิทคอยติดตามลูกชายคนเล็กของตระกูล

"ผมดูแลทุกอย่างที่นี่ครับ" อู่หนิงตอบอย่างสุภาพ ก่อนจะผายมือไปยังทางเดินที่ทอดยาวต่อ "ถัดออกไปจากห้องของคุณเป็นห้องของนายครับ ส่วนผมจะอยู่ชั้นล่างด้านหลังของที่นี่ ภายในห้องมีโทรศัพท์สายในอยู่ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมสามารถติดต่อผมได้ทุกเมื่อครับ"

"ให้ผมพักที่นี่จะดีหรือ" หวังหยูเฟิงถามต่ออย่างไม่เข้าใจ อันที่จริงเขาควรจะไปพักที่ไหนสักแห่ง ซึ่งไม่น่าจะเป็นห้องที่อยู่ติดกับห้องส่วนตัวของเจ้าของคฤหาสน์

อู่หนิงมองใบหน้าของผู้กองหวังที่ปิดบังความสงสัยไว้ไม่มิด แล้วอธิบายต่ออย่างใจเย็น คำถามของอีกฝ่ายล้วนอยู่ในการคาดเดาของเจ้านายทั้งหมด

"ก็อย่างที่คุณเห็น นอกจากคนที่ดูแลการเข้าออกที่ประตูรั้วแล้ว ภายในคฤหาสน์หลังนี้ก็มีแค่ผมกับสาวรับใช้อีกไม่กี่คน ถ้าหากมีใครคิดจะบุกเข้ามา ก็ทำได้ไม่ยาก" อู่หนิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าจุดความสงสัยในความคิดของคนฟังขึ้นมาเรื่อยๆ "นายไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัวครับ แต่เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้น ถึงจะอยากหาคนอื่นมาคุ้มกัน นายก็ยังไม่วางใจ แต่ถ้าเป็นตำรวจก็พอจะเชื่อใจได้ครับ"

"แต่ก็คงไม่เกี่ยวกับที่ผมได้พักอยู่ข้างห้องของคุณเจิ้งหรอก"

"เกี่ยวครับ ถ้าหากผู้กองหวังไปพักที่อื่น แล้วเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น จะดูแลนายได้ทันท่วงทีหรือครับ"

"หมายความว่า ถ้าคนไหนมีหน้าที่คุ้มครองคุณเจิ้ง ก็จะได้พักที่ห้องนี้อย่างนั้นหรือ"

"ไม่ใช่ครับ เฉพาะผู้กองหวังคนเดียวเท่านั้น"

"ทำไมครับ"

"เพราะนายเชื่อใจคุณอย่างไรล่ะครับ"

หวังหยูเฟิงมองอู่หนิงอย่างพิจารณา ถึงคำถามของเขาจะได้รับคำตอบ แต่ก็มองออกว่าเป็นแค่ข้ออ้างเสียมากกว่า

ผู้ชายคนนั้นวางแผนอะไรไว้หรือเปล่า?

"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ" อู่หนิงเอ่ยลาพร้อมกับโค้งตัวเคารพอย่างมีมารยาทอีกครั้ง แล้วเดินจากไป

 ผู้กองหวังลอบถอนหายใจออกมา ก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้าไปในห้องที่ต้องพักในช่วงนี้





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




ห้องพักของหวังหยูเฟิงดูดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก ไม่ว่าจะเป็นเตียงนุ่มขนาดใหญ่ ตู้ไม่สลักสวยงาม หรืออ่างอาบน้ำราคาแพง สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดนั้นไม่เหมาะกับการให้แขกแบบเขานัก

หวังหยูเฟิงเดินวนรอบห้องสี่เหลี่ยมอย่างสำรวจ ซึ่งก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากกระจกเงาบานใหญ่ที่กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของผนัง ชายหนุ่มยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เงาสะท้อนของตัวเองฉายชัดถึงความสงสัย ชายหนุ่มเคาะที่กระจกเงาเบาๆ แล้วมองไปที่ขอบกระจกทั้งสี่ด้าน แต่ดูเหมือนว่ามันจะถูกฝังไว้กับผนังอย่างแน่นหนา

ผู้กองหวังขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจ ถึงจะไม่มีอะไร แต่สัญชาตญาณของเขายังร้องเตือนอยู่ดี

 เอาเถอะ! เขาอาจะคิดมากไปเองก็ได้...

ชายหนุ่มตัดใจจากความรู้สึกคาใจที่อธิบายไม่ได้ เขาเดินตรงไปที่หน้าต่าง แล้วมองทิวทัศน์ด้านนอก ท้องฟ้าสดใสในตอนนี้มีเมฆบางส่วน เบื้องล่างของผืนฟ้ากว้างมีชายหาดและทะเลที่ไกลสุดสายตา พื้นที่สวยงามแบบนี้ต้องมีราคามากเกินกว่าที่เขาจะประเมินได้แน่นอน

หวังหยูเฟิงวิเคราะห์ถึงทำเลโดยรอบของคฤหาสน์หลังนี้ ด้านหน้าติดถนน มีรั้วและกำแพงใหญ่เป็นปราการยักษ์ อีกทั้งยังมีคนคอยตรวจดูการเข้าออกอย่างเข้มงวด ส่วนด้านหลังก็มีชายหาดส่วนตัวที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ถ้ามีบอดี้การ์ดเฝ้าระวังแต่ละด้านเป็นอย่างดี ที่นี่ก็ไม่ต่างจากเซฟเฮาส์ของมาเฟียที่ไร้จุดบอด

หวังหยูเฟิงละสายตาจากวิวข้างหน้าต่าง ชายหนุ่มจัดเก็บของใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อย และเริ่มคิดทบทวนสิ่งที่จะต้องทำ นอกเหนือจากการคุ้มกันเจ้าของที่พักแห่งนี้

การสืบหาเบาะแสหรือหลักฐานบางอย่างที่นำพาให้เขาเข้าไปค้นพบความจริงที่ถูกซ่อนเอาไว้

ความลับของเทวทูตที่เปื้อนเลือด





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





"อาหารถูกปากไหมครับ"

"ครับ"

หวังหยูเฟิงได้แต่รู้สึกตงิดอยู่ในใจ ตอนนี้ผู้กองหนุ่มกำลังร่วมมื้อกลางวันกับเจิ้งหยุนที่มีท่าทางอารมณ์ดีในห้องรับประทานอาหาร

"คุณหวังจะรับของหวานอะไรเพิ่มไหมครับ"

"ไม่ครับ ขอบคุณ"

เจิ้งหยุนพยักหน้ารับ ก่อนจะโบกมือไล่สาวรับใช้ให้เดินออกไป ทำให้ห้องรับประทานอาหารเหลือเพียงเจ้าของคฤหาสน์กับตำรวจที่มีหน้าที่คุ้มกันเท่านั้น

หวังหยูเฟิงวางแก้วน้ำผลไม้ของตัวเองอย่างเชื่องช้า เขาลอบมองท่าทางของคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะไปด้วย การถูกรับรองเป็นอย่างดีเกินความจำเป็น ทำให้ผู้กองหวังหวาดระแวงเป็นเท่าตัว

เขาก็แค่ตำรวจธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ก็เหมือนเป็นลูกจ้างที่มีหน้าที่ดูแลนายจ้าง ซึ่งเจิ้งหยุนไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากขนาดนี้

หรือว่าจะมีจุดประสงค์บางอย่าง?

"คุณหวังมีอะไรที่อยากถามผมหรือเปล่าครับ" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ผู้กองหนุ่มที่จมอยู่ในความคิดหันไปมอง "วันนี้ผมไม่มีธุระที่ไหน ถ้าคุณหวังอยากจะสำรวจพื้นที่ ผมจะรับอาสานำทางให้เองครับ"

หวังหยูเฟิงรู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม แต่ผู้กองหนุ่มก็เก็บอาการเอาไว้ นอกจากจะได้เข้ามาด้านในของคฤหาสน์แล้ว ผู้ต้องสงสัยก็ยังเอื้อเฟื้อนำทางให้เขาตรวจสอบอีกด้วย!

เจิ้งหยุนต้องการอะไรกันแน่! หรือทุกอย่างที่เขาระแวงมาตลอด จะเป็นแค่เรื่องที่คิดไปเอง!

"ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอรบกวนด้วย"

"ด้วยความยินดีครับ"

ถึงหวังหยูเฟิงจะสงสัยและประหลาดใจมากก็ตาม แต่เขาก็ไม่ยอมพลาดโอากาสดีที่ถูกเสนอมาให้แน่นอน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


หลังจากที่ทั้งสองคนเดินออกมาจากห้องรับประทานอาหารด้วยกัน เจิ้งหยุนที่เป็นเจ้าบ้านก็เริ่มแนะนำที่พักของตัวเอง

"ผมซื้อคฤหาสน์หลังนี้มาจากเศรษฐีคนหนึ่ง หลังจากตกแต่งเพิ่มเติมเสร็จ ผมถึงย้ายมาอยู่ แล้วก็เริ่มทำกิจการที่เมืองนี้"

"คงราคาแพงมาก"

เจิ้งหยุนหันมาส่งยิ้มให้ผู้กองหวังเล็กน้อย ซึ่งต่างจากสีหน้าไร้อารมณ์ของนายตำรวจ

"ครับ คุณหวังก็คงจะรู้แล้วว่า เมื่อก่อนครอบครัวของผมทำอะไร"

หวังหยูเฟิงหันไปสบตากับผู้ต้องสงสัย ถึงเจิ้งหยุนจะแสดงท่าทีเหมือนไม่มีอะไร แต่เขามั่นใจว่า ตัวเองกำลังถูกลองเชิงอยู่

"แสดงว่าคฤหาสน์หลังนี้อาจจะมาจากเงินที่ผิดกฏหมายหรือครับ"

"ฮ่าๆ ไม่ใช่หรอกครับ" เจิ้งหยุนตอบรับอย่างอารมณ์ดี ชายหนุ่มทอดมองใบหน้าเรียบเฉยที่นัยน์ตาทอประกายจริงจังอย่างพอใจ "เงินที่ใช้ซื้อที่นี่ มาจากการทำธุรกิจในช่วงหลายปีก่อน ผมไม่ชอบยุ่งกับเรื่องผิดกฏหมายหรอกครับ"

ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีผู้ร้ายคนไหนยอมรับความผิดของตัวเองออกมาอยู่แล้ว...

หวังหยูเฟิงไม่ได้ต่อบทสนทนา เขามองทางที่อีกฝ่ายเดินนำมา ตอนนี้พวกเขากำลังออกจากคฤหาสน์ผ่านทางประตูด้านหลัง ลมทะเลพัดเอื่อย เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังเป็นระยะ ความร้อนจากแสงอาทิตย์ส่องประกายหาดทรายขาวให้งดงามมากกว่าเดิม

"ที่นี่เป็นชายหาดส่วนตัวครับ ถ้าขับเรือออกไปสักห้ากิโลเมตรก็จะสามารถดูปะการังน้ำตื้นได้"

"คุณได้สัมปทานจากรัฐอย่างนั้นหรือ" ผู้กองหนุ่มถามขึ้นพร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างจับผิดเต็มที่ ถ้าทะเลส่วนตัวแห่งนี้ได้มาอย่างไม่ชอบธรรม เขาจะได้เก็บความผิดเพิ่มอีกคดี

"ใช่ครับ ผมเสียภาษีให้รัฐทุกปี ถ้าคุณหวังไม่เชื่อ ก็สามารถตรวจสอบได้"

หวังหยูเฟิงแค่มองตอบกลับเท่านั้น ถึงคนตรงหน้าจะไม่เอ่ยท้า เขาก็ต้องตรวจสอบแน่นอน ผู้กองหนุ่มตั้งปณิธานในใจ ก่อนนัยน์ตาสีดำจะสังเกตเห็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ติดเชิงเขาสุดชายหาด

"นั่นเป็นบ้านของใครครับ"

"ครอบครัวของคนงานที่ดูแลเรือครับ" เจิ้งหยุนตอบ ก่อนจะพาผู้กองหวังเดินไปยังบ้านหลังนั้นอย่างใจกว้าง "ผมมีสปีดโบ๊ทกับเจ็ทสกีครับ บางทีเวลาเบื่อๆ ก็ขับเรือออกไปตกปลา"

"ผมไม่เห็นจะมีเรือแถวนี้"

"มีโรงเก็บเรืออยู่ที่ด้านข้างของภูเขาครับ ถ้าจะไปเอาต้องขับเจ็ทสกีไป"

"คุณบอกผมหมดอย่างนี้จะดีหรือ"

หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนนอย่างไม่เข้าใจ ทว่าอีกฝ่ายก็แค่ยิ้มรับธรรมดา นัยน์ตาคมมองไปเบื้องหน้าด้วยท่าทางผ่อนคลาย

"ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็มันไม่ได้มีอะไรผิดกฏหมาย"

ผู้กองหนุ่มที่ตั้งใจจับผิดถึงกับคิ้วกระตุก แต่เขาก็พยายามเก็บความขุ่นเคืองใจที่อาจจะโดนอีกฝ่ายเหน็บแนมแบบทางอ้อมอยู่

หึ! ก็ให้มันจริงอย่างที่พูดก็แล้วกัน...





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หลังจากก้าวเท้าบนพื้นทรายมาได้ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงหน้าบ้านพักที่เป็นจุดหมาย เจิ้งหยุนเป็นฝ่ายเดินนำเปิดประตูเข้าไปก่อน โดยละเลยมารยาทอย่างการเคาะประตูไป

หวังหยูเฟิงที่เดินทิ้งระยะเล็กน้อยตามเข้าไปในบ้าน ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่มีใครอยู่ แล้วในไม่กี่วินาทีต่อมา ประสาทการรับรู้ของเขาทั้งหมดก็ตื่นตัวขึ้นกะทันหัน เมื่อรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งตรงมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว

ผู้กองหนุ่มเบิกตากว้าง เสี้ยวพริบตาร่างกายของเขาก็ถูกผลักออกไปด้านข้างจนเกือบล้ม แล้วสิ่งนั้นก็ถูกเจิ้งหยุนปัดวิถีการเคลื่อนที่ออกด้วยมือเปล่า

เคร้ง!

มืดสั้นคมกริบร่วงลงบนพื้นไม้ขัดมัน ผู้กองหนุ่มที่ตกตะลึงชั่วครู่หันหลังกลับไปมอง แล้วก็พบว่า ผู้ที่ลงมือเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่กำลังมีใบหน้าเผือดสี

"ต...ตายแล้ว! ขอประทานโทษค่ะ! ด...ดิฉันไม่ทราบว่า น...นายมาด้วย!" เธอร้องบอกเสียงสั่นด้วยความตกใจพร้อมกับรีบโค้งคำนับหลายรอบอย่างตื่นตระหนกและลนลาน

หวังหยูเฟิงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างพิจารณา นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงปามีดใส่คนอื่นแบบไม่ลังเลได้แบบนี้ หรือเธอจะคิดว่า เขาเป็นผู้ร้ายเข้ามาปล้นบ้านอย่างนั้นหรือ

ผมเป็นตำรวจนะครับ! เดี๋ยวก็แจ้งข้อหาทำร้ายเจ้าหน้าที่หรอก!

ผู้กองหวังได้แต่บริภาษอยู่ในใจ แต่ดูเหมือนว่าคนที่น่าจะมีปัญหามากกว่า ก็คงจะเป็นเจ้านายของเธอ ปฏิกิริยาเฉียบไวแบบนั้น คนไม่รู้เรื่องก็ยังดูออกว่า อีกฝ่ายต้องมีทักษะทางร่างกายที่ดีมาก ถ้าเจิ้งหยุนไม่ผลักเขาออก วันนี้ชายหนุ่มอาจจะได้แผลไปแล้วก็ได้

"ช่างเถอะ นี่ผู้กองหวังหยูเฟิง เขาจะมาดูแลความปลอดภัยให้ฉันช่วงนี้"

"เอ๋? อ่า..." หญิงวัยกลางคนมีท่าทีงุนงง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเข้มขึ้นของเจ้านาย หล่อนก็รีบพยักหน้ารับรู้ "สวัสดีค่ะผู้กองหวัง ดิฉันจูอ้ายหรงค่ะ เรื่องเสียมารยาทเมื่อครู่นี้ต้องขอประทานโทษด้วยนะคะ"

"...ครับ"

มันไม่ใช่แค่การเสียมารยาทแล้ว แต่เป็นการสังหารเลยไม่ใช่หรือ?!

หวังหยูเฟิงมองหญิงวัยกลางคนที่ผ่อนสีหน้าเคร่งเครียดลงไปบางส่วน ถ้าไม่ได้เจอด้วยตาของตัวเอง เขาคงไม่เชื่อแน่ว่า จูอ้ายหรงคนนี้จะทำอะไรแบบนั้นได้

"ป้าจูเป็นแม่ครัวครับ แล้วก็มีลูกสาวที่ทำงานในคฤหาสน์ด้วย คนงานที่ดูแลเรือก็เป็นสามีของแก" เจิ้งหยุนอธิบาย ก่อนจะหันไปทางจูอ้ายหรงต่อ "บอกลุงจูด้วย พรุ่งนี้ฉันจะใช้สปีดโบ๊ท"

"ค่ะ"

"ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะครับ คุณหวังไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม"

"ครับ ผมโอเค"

เจิ้งหยุนพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินนำออกจากบ้านพัก หวังหยูเฟิงหันไปมองจูอ้ายหรงที่เดินมาส่งอย่างนอบน้อมอีกครั้ง

แม่ครัวที่ดี ควรมีทักษะการปามีดที่น่ากลัวแบบนี้หรือเปล่า...





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





เนื่องจากช่วงนี้เจ้านายของอู่หนิงมีแขกพิเศษที่ต้องดูแล เรื่องกิจการและปัญหาต่างๆ เขาเลยต้องรับไว้เองทั้งหมด ชายหนุ่มนั่งทำงานไปได้สักพัก ก็มีเสียงเคาะประตูเรียก

"แย่แล้วค่ะพี่หนิง!"

"เข้ามา มีอะไร"

อู่หนิงมองสาวรับใช้ในชุดกระโปรงสีดำยาวคลุมเข่าที่สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนอย่างเฉยชา แตกต่างจากท่าทีร้อนรนของผู้มาเยือน

"เมื่อกี้แม่เพิ่งโทรมาเล่าให้ฟังว่า เผลอปามีดใส่แขกของนายเข้าค่ะ!"

จูเยี่ยนหลันเอ่ยขึ้นด้วยความไม่สบายใจ ใบหน้าอ่อนเยาว์มีเม็ดเหงื่อประดับอยู่อย่างเคร่งเครียด

"แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนั้นได้" อู่หนิงถามต่อด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ภายในใจก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาเช่นเดียวกัน

ขนาดไป๋ลู่เหอแค่ทิ้งรอยลิปสติกไว้ยังโดนยิง แล้วกับจูอ้ายหรงที่เป็นเพียงแม่ครัวปามีดใส่ จะไม่โดนฆ่าในเวลานั้นเลยหรือ!

"พอดีแม่เห็นหลังไวๆ ของคนแปลกหน้าที่กำลังเดินเข้าบ้าน ไม่ทันได้มองว่านายก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่ธรรมดานายก็ไม่เคยไปที่นั่นอยู่แล้ว แม่ก็เลย..."

จูเยี่ยนหลันมีสีหน้ากังวล เท่าที่จำได้เจ้านายไม่เคยไปที่บ้านของเธอมาก่อน ทุกครั้งจะติดต่อผ่านทางอู่หนิงมาโดยตลอด แล้วใครจะคาดคิดว่า วันหนึ่งอีกฝ่ายจะมากะทันหันแบบนี้

ถึงแม้ตอนนี้หญิงสาวจะอายุได้สิบเก้าปีและมีงานทำ อีกทั้งยังสามารถออกเรือนและดูแลตัวเองได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่อยากให้มารดาตายจากไปไหน

"ถ้าป้าจูยังปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก เธอก็น่าจะรู้นี่"

เจิ้งหยุนเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก แถมความแรงของน้ำที่วนอยู่ในอารมณ์ก็แปรปรวนจนยากจะคาดเดา ถ้าเป็นปกติจูอ้ายหรงคงไม่รอด แต่หล่อนก็ยังมีโชค เพราะเจ้านายของเขาไม่กล้าทำอะไรไม่ดีต่อหน้าหวังหยูเฟิงอยู่แล้ว และข้อยืนยันก็พิสูจน์ได้จากการที่อีกฝ่ายยังมีลมหายใจมาเล่าให้ลูกสาวฟัง

"...นั่นสิค่ะ พอตกใจก็ไม่ทันได้คิดอะไรเลย" จูเยียนหลันยกมือขึ้นทาบที่หน้าอกของตัวเอง หัวใจของเธอที่เต้นระรัวก่อนหน้านี้กลับมาทำงานเป็นปกติอีกครั้ง "ขอบคุณมากค่ะพี่หนิง"

"อืม ทีหลังก็ระวังหน่อย นายมีสิทธิ์ไปที่ไหนก็ได้ที่ท่านอยากไป"

"ค่ะ"

หญิงสาวโค้งตัวเคารพคนที่มีตำแหน่งสูงกว่า ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้อง ทว่าร่างบางก็ชะงัก เธอยกมือข้างขวาขึ้นรับกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกส่งมาให้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้หันกลับไปมอง

"รายการอาหารเย็นนี้"

     "รับทราบค่ะ"

หลังจากเหลือตัวเองเพียงลำพัง อู่หนิงก็ต้องถอนหายใจออกมา เจ้านายของเขาคงกลัวผู้กองหวังจะเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำ เลยชวนออกไปเดินเล่น แต่ก็ดันเจอเรื่องแบบนั้นเข้าจนได้ ไม่รู้ป่านนี้หวังหยูเฟิงสงสัยไปถึงไหนแล้ว

ถึงที่นี่จะไม่มีบอดี้การ์ดที่คอยเดินตรวจตราเพื่อความปลอดภัยเหมือนที่พักของผู้มีอิทธิพลทั่วไป แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนมีทักษะการต่อสู้ที่ได้รับการยอมรับ

เพราะมีคนที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องใช้คนมากให้รกสายตา ข้ารับใช้ทุกคนในคฤหาสน์หลังนี้สามารถฆ่าคนได้ตามคำสั่งของเจ้านายโดยไร้ข้อกังขา

อู่หนิงที่จมอยู่ในภวังค์ความคิดตั้งสมาธิกลับมาที่งานของตัวเองอีกครั้ง เนื่องจากผับกาเบรียลได้รับความนิยม ทำให้มีปัญหาทั้งเรื่องคู่แข่งทางธุรกิจและการทะเลาะวิวาทภายในอยู่บ่อยครั้งจนน่าเบื่อ แล้วตอนนี้เจ้านายของเขาก็ผลักภาระไม่รับรู้อะไร นอกจากความเป็นไปของผู้กองหวังเท่านั้น

เฮ้อ...หวังว่าคืนนี้จะไม่มีเรื่องให้ปวดหัวเพิ่ม





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





พระจันทร์นวลสว่างลอยเด่น แสงดาวส่องประกายรายล้อมไม่ต่างจากผืนผ้าขนาดใหญ่สีเข้มที่ประดับด้วยอัญมณีเลอค่า

วันนี้เจิ้งหยุนอารมณ์ดีมากจนมองข้ามอะไรหลายอย่างที่น่าหงุดหงิดใจ การเฝ้ามองใบหน้าและท่าทีสงสัยที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ของหวังหยูเฟิง ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกรื่นรมย์ไม่น้อย

ยิ่งอยากรู้ เขาก็จะบอกใบ้

ยิ่งอยากค้นหา เขาก็จะพาไป

แล้วสุดท้ายอีกฝ่ายก็จะไม่พบอะไร นอกจากความว่างเปล่า

พอนึกถึงภาพใบหน้าที่จริงจังเต็มไปด้วยความผิดหวัง ทว่านัยน์ตาสีดำก็ยังมุ่งมั่นอย่างไม่ยอมแพ้ เจิ้งหยุนก็รู้สึกสบอารมณ์จนอยากแกล้งอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก

หลังจากจัดการกับถานอี้เทา ชายหนุ่มก็ไม่เหลือร่องรอยและหลักฐานอะไร หากผ่านไปอีกหลายปีข้างหน้า เขาก็อาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น

แต่ถ้าหวังหยูเฟิงต้องการจะเอาเรื่องให้ได้ สิ่งเดียวที่พอจะเป็นเบาะแส ก็คงเป็นรอยแผลที่เขาตั้งใจเก็บเอาไว้

รอยแมวกัด...

  ถึงอย่างนั้นรอยแผลนี้ก็ไม่ใช่หลักฐานที่ฟ้องชัดเอาความผิดกับเขาได้อยู่ดี

เจิ้งหยุนยกยิ้มขึ้นกับตัวเอง ชายหนุ่มไม่ได้สนใจว่า หวังหยูเฟิงสงสัยและอยากรู้อะไร เขารู้แค่ว่า ตัวเองต้องการอะไร ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว

เส้นผมสีดำยาวเงางามที่มักจะถูกรวบต่ำเอาไว้เสมอถูกปล่อยออก เจิ้งหยุนถือแก้วไวน์แดงเดินไปที่โซฟานุ่ม ก่อนที่เขาจะทอดมองกระจกบานใหญ่ที่กำลังฉายภาพของใครบางคนอยู่

ตอนนี้หวังหยูเฟิงที่ร่างกายเปลือยท่อนบนกำลังเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า โดยไม่ได้รับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองอยู่เลยสักนิด หลังจากวางแผนเรื่องของหวังหยูเฟิง เจิ้งหยุนก็ปรับปรุงห้องเล็กน้อย เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร

เขาแค่ไม่อยากให้คนที่กำลังสนใจอยู่คลาดสายตาเท่านั้นเอง





TBC+++++++++  09เชื้อไฟที่เริ่มปะทุ

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
09
เชื้อไฟที่เริ่มปะทุ







ถึงแม้การอาสาสำรวจคฤหาสน์ของเจิ้งหยุนจะทำให้หวังหยูเฟิงได้ข้อมูลอะไรหลายอย่าง แต่เรื่องที่ผู้กองหนุ่มต้องการกลับไม่มีวี่แวว

หวังหยูเฟิงตื่นขึ้นแต่เช้ามืด ชายหนุ่มเดินออกจากห้องนอนของตัวเอง แล้วมองไปยังห้องที่อยู่ถัดออกไปอย่างพิจารณา

 ห้องของเจิ้งหยุน...

ถ้าเข้าไปในห้องนั้นได้ เขาอาจจะได้ข้อมูลบางอย่างก็ได้ แต่จะทำอย่างไร ถึงจะมีโอกาสนั้น

ผู้กองหวังเดินไปตามทางที่ทอดยาวเบื้องหน้า เขาเดินเลยผ่านห้องพักของเจิ้งหยุนเพื่อสำรวจสถานที่ แล้วย่างก้าวที่ดำเนินอยู่ก็ต้องชะงัก เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหา

"อรุณสวัสดิ์ครับ"

อู่หนิงโค้งตัวทักทายอย่างสุภาพ หวังหยูเฟิงไม่ได้ตกใจนัก เพราะถ้าอีกฝ่ายเป็นพ่อบ้านของคฤหาสน์หลังนี้ก็คงต้องทำงานตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง

"อรุณสวัสดิ์ครับ"

"ผู้กองหวังจะไปไหนหรือครับ" อู่หนิงเอ่ยถามด้วยท่าทีเยือกเย็น นัยน์ตาคมเข้มมองแขกคนสำคัญของเจ้านายอย่างสงบ

"ผมแค่อยากเดินเล่น" หวังหยูเฟิงตอบ แล้วถือโอกาสสอบถามคนตรงหน้าเลยทีเดียว "คุณพอจะบอกผมได้หรือเปล่าว่าที่ชั้นนี้มีห้องอะไรบ้าง"

"ครับ ชั้นสองแบ่งเป็นสองฝั่ง ทางด้านซ้ายที่พวกเราอยู่ตอนนี้ นอกจากห้องพักของนายกับผู้กองหวัง ก็มีห้องพักของพี่ชายของนาย ส่วนด้านขวามีห้องสมุดและห้องพักใช้รับรองแขกอีกสามห้องครับ"

หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ พี่ชายของเจิ้งหยุนก็คือเจิ้งเทียน ซึ่งตอนนี้เป็นประธานบริษัทอีเดน คอร์เปอเรชั่นคนปัจจุบัน ถึงจะคาใจอะไรหลายอย่าง แต่ตอนนี้เขานึกสนใจสิ่งหนึ่งที่เพิ่งได้รับรู้มา

"ผมขอเข้าไปในห้องสมุดหน่อยได้หรือเปลา"

"ได้ครับ"

อู่หนิงเดินนำหวังหยูเฟิงไปยังห้องสมุดของคฤหาสน์แห่งนี้ ชายหนุ่มมองแผ่นหลังตรงของคนที่เดินนำไป ก่อนจะมองทางโดยรอบ นอกจากของตกแต่งจำพวกเครื่องเรือนและแจกันดอกไม้แล้ว ที่นี่ก็ไม่มีกรอบรูปหรือภาพวาดอะไรประดับผนัง

"เชิญตามสบายครับ อาหารเช้าจะเริ่มตอนแปดโมงครับ"

"ขอบคุณครับ"

อู่หนิงโค้งตัวลาอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินจากไป หวังหยูเฟิงหันไปมองเล็กน้อย แล้วกลับมาสนใจห้องที่อยู่ตรงหน้า เขาเดินเข้าไปข้างในด้วยความรู้สึกคาดหวังที่ก่อตัวขึ้น





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





"อรุณสวัสดิ์ครับนาย"

“อืม”

เจิ้งหยุนในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำก้าวออกมาจากห้องน้ำอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ชายหนุ่มจะปลดอาภรณ์ของตัวเองออก เผยร่างเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสวยงามพอเหมาะ มีเพียงเส้นผมสีดำยาวที่ช่วยปกปิดแผ่นหลังกว้างเอาไว้

"ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม แล้วรับเครื่องแต่งกายที่อู่หนิงส่งมาให้ ก่อนหน้านี้เขาเดินไปมองหวังหยูเฟิงผ่านกระจก แต่ก็ไม่เห็นใครในห้อง

“ห้องสมุดครับ” อู่หนิงตอบ เมื่อเห็นเจ้านายปรายตามอง เขาจึงอธิบายต่อ “เมื่อเช้าผมเห็นผู้กองหวังสำรวจชั้นนี้ตั้งแต่ตีห้า พอรู้ว่ามีห้องสมุด เขาเลยขอเข้าไปครับ”

“อืม คงอยากไปค้นอะไรล่ะมั้ง” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากแต่งตัวเสร็จ เขาก็หวีผมที่ชื้นของตัวเอง

“น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ” อู่หนิงตอบรับพร้อมกับส่งไดร์เป่าผมให้เจ้านายอย่างรู้จังหวะ การอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของเจิ้งหยุนเป็นหนึ่งในหน้าที่ของเขา

ถึงอู่หนิงจะสามารถช่วยแต่งกายให้กับเจ้านายได้ แต่มีเพียงอย่างเดียวที่เขาไม่มีสิทธิ์แตะต้อง หากไม่ได้รับอนุญาตคือเส้นผม

ทุกวันนี้เจิ้งหยุนไม่เคยให้เรือนผมสีดำยาวของตัวเองผ่านมือช่างคนไหน ถ้าชายหนุ่มต้องการตัด ก็จะให้อู่หนิงที่ถูกสั่งให้ไปเรียนตัดผมเบื้องต้นเป็นคนจัดการเท่านั้น

อู่หนิงยืนมองเจ้านายที่กำลังไดร์ผมของตัวเองอย่างสงบ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มรัดผม เขาก็เดินไปเก็บไดร์เป่าผมเข้าที่เดิม เจิ้งหยุนมองตัวเองในกระจกเงาอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“แล้วเขาจะอยู่ในห้องสมุดนานแค่ไหน”

“ไม่ทราบครับ แต่ผมแจ้งผู้กองหวังเรื่องเวลาอาหารเช้าไปแล้วครับ”

“อืม ออกไปได้แล้ว”

อู่หนิงโค้งตัวเคารพเจ้านาย แล้วเดินออกไปอย่างสุภาพ เจิ้งหยุนไม่ได้สนใจคนสนิทอีก เขาเดินไปที่หน้าต่างมองทิวทัศน์ยามเช้าที่ประกอบด้วยท้องฟ้าและทะเลอันสวยงามอย่างเหม่อลอย





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





“เมื่อคืนนอนหลับสบายไหมครับ”

คำทักทายจากเจ้าของคฤหาสน์ ทำให้ผู้กองหนุ่มที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดต้องหันไปมอง เขาก้มหัวทักทายกลับเล็กน้อย แล้วเดินไปนั่งร่วมรับประทานอาหารเช้าอย่างเป็นปกติ

“ครับ”

หลังจากสาวรับใช้เริ่มเสิร์ฟอาหารเช้า หวังหยูเฟิงก็มองเจ้าของสถานที่แห่งนี้เล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลายังคงแต้มด้วยรอยยิ้มบางอย่างที่เห็นจนชินตา

“เมื่อเช้าคุณไปที่ห้องสมุดมาหรือครับ ที่นั่นมีแต่หนังสืออ่านเล่นสมัยที่ผมอยู่ที่อเมริกากับแผ่นหนังเก่าที่ไม่ได้หยิบมาดูอีก” เจิ้งหยุนเริ่มต้นบทสนทนาระหว่างมื้ออาหารพร้อมกับมองนายตำรวจด้วยสายตาเป็นประกาย “แล้วคุณหวังเจออะไรที่น่าสนใจบ้างไหมครับ”

"แล้วอะไรที่คุณคิดว่าน่าสนใจ"

หวังหยูเฟิงสบตากับเจิ้งหยุน หลังจากเข้าไปใช้เวลาในห้องสมุดของคฤหาสน์หลายชั่วโมง เขาก็ไม่ได้อะไรที่ต้องการสักอย่าง

"ที่นั่นผมเก็บหนังสือการ์ตูนยกชุดไว้หลายเรื่องเลย ถ้าคุณสนใจ ผมแนะนำได้นะครับ"

“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ”

“ว่าแต่...คุณหวังชอบอ่านหนังสือแนวไหนหรือครับ”

 “ผมอ่านได้ทุกแนว”

ในวัยเด็กของหวังหยูเฟิงไม่ได้สุขสบายนัก ชายหนุมเติบโตในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า การช่วยเหลือตัวเองและค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอเป็นเรื่องจำเป็นในการผลักดันคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาเลือกอ่านหนังสือทุกแนว แม้กระทั่งหนังสือภาพเด็ก โดยมีความเชื่อว่า หนังสือทุกเล่มสามารถให้ความรู้กับคนอ่านเสมอ

“ผมก็อ่านได้ทุกแนวเหมือนกันครับ แล้วแต่สถานการณ์กับอารมณ์ในช่วงนั้น”

 “แล้วตอนนี้ล่ะ”

หวังหยูเฟิงมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเกี่ยวกับคดีที่ตามอยู่ แต่การศึกษาพฤติกรรม ความคิด หรือรสนิยมของผู้ต้องสงสัยก็อาจจะนำพาเขาไปสู่ความเป็นไปได้บางอย่าง

“อืม...ก็คงนิยายสืบสวนมั้งครับ อยากรู้ว่าสุดท้ายตำรวจจับผู้ร้ายได้อย่างไร”

แล้วเมื่อใดที่หวังหยูเฟิงเริ่มปล่อยวางข้อสันนิษฐานของตัวเองบางอย่าง เจิ้งหยุนก็มักจะรั้งข้อสงสัยให้ผู้กองหนุ่มต้องเก็บงำความคิดอีกครั้งเสมอ คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน

 “เท่าที่ผมเคยอ่านมา ตอนจบ...ถ้าหากผู้ร้ายไม่โดนตำรวจจับ ก็มักจะฆ่าตัวตายหนีความผิด”

“นั่นสินะครับ ถ้าคนร้ายหนีไปได้ นิยายก็คงไม่จบ”

"แล้วถ้าหากคุณเป็นผู้ร้าย คุณจะทำอย่างไร" หวังหยูเฟิงถามลองเชิง เขาก็อยากรู้ว่า อีกฝ่ายจะตอบอย่างไร

"ถ้าผมเป็นผู้ร้าย ก็คงหาวิธีที่ทำให้ตำรวจมาเอาผิดไม่ได้ตั้งแต่แรก" เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงสบาย นัยน์ตาคมแวววาวอย่างนึกสนุก

"ไม่มีผู้ร้ายคนไหนทำผิดแล้วหนีรอดจากกฏหมายได้" หวังหยูเฟิงเอ่ยย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้านิ่งสงบเผยความเคร่งเครียดออกมา

"นั่นสินะครับ แล้วถ้าคุณเป็นผู้ร้าย จะทำอย่างไรครับ" เจิ้งหยุนถามกลับไปบ้าง เขาไม่ได้จริงจังกับคำถามแฝงนัยของนายตำรวจนัก จะตอบเลี่ยงไปก็ได้ แต่ก็อยากแกล้งอีกฝ่ายให้เครียดเล่นนิดหน่อยเท่านั้น   

  "ผมไม่รู้หรอก เพราะผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้ร้าย" หวังหยูเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เจิ้งหยุนที่ตั้งใจฟังคำตอบแสดงสีหน้าตัดพ้อออกมา

"ขี้โกงนี่ครับ แบบนี้ก็แสดงว่าผมคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้ร้ายได้อย่างนั้นหรือ" เจิ้งหยุนเอ่ยประท้วงอย่างไม่จริงจังนัก แล้วคลี่ยิ้มบางตามปกติ "เอาเถอะครับ ถ้าคุณหวังเอาผิดกับผมได้ ผมก็ยอมให้จับ"

 หวังหยูเฟิงมองอีกฝ่ายอย่างใช้ความคิด สมองของชายหนุ่มกลั่นกรองคำพูดนั้น แล้วขมวดคิ้วออกมา

สารท้าทายหรือแค่การพูดเลื่อนลอย?

"เมื่อถึงเวลานั้น ถึงคุณไม่ยอมให้จับ ผมก็ไม่ปล่อยให้ลอยนวลแน่นอน"

เจิ้งหยุนยิ้มรับกับสีหน้าจริงจังของหวังหยูเฟิง เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่า ระหว่างพวกเราใครจะจับใครได้ก่อนกัน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เจิ้งหยุนก็ไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อพักผ่อนตามแบบคนไม่มีอะไรทำ โดยที่มีหวังหยูเฟิงเดินตามมาด้วย

“แล้ววันนี้คุณมีธุระที่ไหนหรือเปล่า” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามขึ้น ถ้าหากวันนี้อีกฝ่ายยังเก็บตัว เขาก็คงไม่ได้อะไรและเสียเวลาเปล่าไปอีกวัน

“อันที่จริงก็ไม่ใช่ธุระหรอกนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อย “วันนี้ผมจะพาคุณหวังไปดูปะการังครับ”

“ฮะ?!” หวังหยูเฟิงตอบรับอย่างประหลาดใจ สีหน้านิ่งเฉยก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด

เจิ้งหยุนรู้จุดประสงค์ของหวังหยูเฟิงดี แล้วทำไมเขาจะไม่รู้ว่า อีกฝ่ายต้องการอะไร การที่ชายหนุ่มไม่ออกไปพบปะใคร ก็ทำให้คนที่ต้องการสืบหาข้อมูลทำงานไม่คืบหน้า เพราะภายในคฤหาสน์หลังนี้ไม่มีอะไรให้ผู้กองหวังค้นหา

“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยดีไหมครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟา หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย

“เรื่องนี้ผมต้องขอตัว ผมมาดูแลความปลอดภัยของคุณ ไม่ได้เป็นแขกของคุณ” หวังหยูเฟิงเอ่ยกลับด้วยใบหน้าเคร่ง นอกจากชายหนุ่มจะทำงานไม่คืบหน้า อีกฝายยังพาเขาออกทะเลเที่ยวเล่นอีกต่างหาก

เจิ้งหยุนไม่มีอะไรหรือตั้งใจจะบิดเบือนบางสิ่งกัน...

"แล้วถ้าผมเป็นอะไรระหว่างที่ออกไปดำน้ำ คุณจะว่าอย่างไรล่ะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยหน้าตาใสซื่อ ชายหนุ่มเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปยังด้านหลังของคฤหาสน์ ซึ่งเป็นทางเชื่อมต่อไปยังทะเลกว้าง “แบบนี้ก็ถือว่า คุณหวังไม่ปฏิบัติตามหน้าที่นะครับ”

“นี่คุณ”

“ครับ?”

เจิ้งหยุนที่เดินนำอยู่หันกลับมามองหวังหยูเฟิงด้วยใบหน้าที่ยังมีรอยยิ้มแต่งแต้ม ในขณะที่ผู้กองหนุ่มขมวดคิ้วอย่างขัดเคืองกับคำย้อนของคนตรงหน้า ทั้งสองคนจ้องหน้ากันพักหนึ่ง ก่อนที่นายตำรวจจะลอบถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ

“ก็ได้ ตามที่คุณว่า”

เจิ้งหยุนพยักหน้า แล้วเดินนำผู้กองหนุ่มไปยังชายหาดหวังหยูเฟิงมองแผ่นหลังที่มีเส้นผมยาวมัดรวบเอาไว้อย่างอ่อนใจ

สรุปว่าเขามาทำงานหรือมาพักร้อนกันแน่...





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





เมื่อทั้งสองคนมาถึงชายหาด หวังหยูเฟิงก็เห็นเรือลำหนึ่งในทะเลอยู่ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่ราวสามร้อยเมตร ก่อนจะมีเจ็ทสกีคันหนึ่งขับมาจอดอยู่ตรงหน้า

"สวัสดีครับนาย"

คนมาใหม่รีบมายืนอยู่ตรงหน้า แล้วโค้งตัวเคารพ เขาเป็นผู้ชายวัยกลางคนรูปร่างใหญ่โต ผิวสีเข้มจากแสงแดดขับเน้นทรวดทรงบึกบึนชัดเจน

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม”

"ครับ"

เจิ้งหยุนพยักหน้ารับ แล้วแนะนำหวังหยูเฟิงให้ลูกน้องรู้จัก

“นี่ผู้กองหวังหยูเฟิง” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปมองคนที่มาด้วยกัน “นี่ลุงจูครับ มีหน้าที่ดูแลเรือทั้งหมดของผม”

“สวัสดีครับผู้กองหวัง เรื่องเมื่อวานนี้ต้องขอโทษด้วยนะครับ เมียผมมันเลอะเลือน ผู้กองหวังให้อภัยมันด้วยนะครับ” จูเฉิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับอย่างสุภาพ หวังหยูเฟิงก็พยักหน้ารับอย่างไม่ถือสาเอาความ

“แค่เรื่องเข้าใจผิด ไม่ต้องกังวลหรอกครับ”

“ขอบคุณครับ”

จูเฉิงลอบมองท่าทางของเจ้านาย เขาไม่ได้กังวลเรื่องที่ภรรยาปามีดใส่ใคร เพียงแต่เกรงกลัวอารมณ์ของเจิ้งหยุนที่แปรปรวนไม่ต่างจากลมทะเล

“เดี๋ยวเราต้องขับเจ็ทสกีไปที่เรือกันก่อน แล้วเดินทางต่ออีกราวครึ่งชั่วโมงก็เจอจุดที่สามารถดูปะการังได้แล้วครับ”

เจิ้งหยุนดึงความสนใจจากหวังหยูเฟิงที่มองจูเฉิงมาที่ตัวเอง ผู้กองหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เคยขับเจ็ทสกีมาก่อน ถึงแม้จะน่าอายไปหน่อย แต่ชายหนุ่มก็ยอมรับความจริง

“ผมขับไม่เป็นหรอกนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ คุณหวังซ้อนท้ายผมไปก็ได้”

เจิ้งหยุนเดินไปขึ้นเจ็ทสกี ก่อนจะหันมาเรียกหวังหยูเฟิงที่ยืนนิ่งอยู่

“ขึ้นมาเลยครับ”

“คุณจะไปตอนนี้เลยหรือ”

หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนที่ใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยืนส์ ส่วนเขาก็แต่งตัวไม่ต่างกันนัก ซึ่งเครื่องแต่งกายก็ไม่เหมาะกับการไปดำน้ำดูปะการังเลยสักนิด

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยไปเปลี่ยนชุดบนเรือ”

หลังจากได้ฟังคำตอบ ผู้กองหนุ่มก็ลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปนั่งซ้อนท้ายยานพาหนะที่ไม่คุ้นเคย ทว่ายังไม่ทันที่หวังหยูเฟิงได้ตั้งตัว เขาก็ต้องคว้าคนขับมาจับเอาไว้แน่นอย่างกะทันหัน เมื่อเครื่องยนต์พุ่งทะยานฝ่าคลื่นทะเล

“ขอโทษครับ จับผมเอาไว้ก็ได้ เดี๋ยวจะตกน้ำก่อนถึงเรือ”

“อืม”

หวังหยูเฟิงชักสีหน้าออกมา เขาไม่ได้จับไหล่ของเจิ้งหยุนเหมือนตอนแรก ทำเพียงแค่ยึดเสื้อของคนขับเอาไว้เป็นที่มั่น โดยไม่ได้รับรู้ถึงรอยยิ้มที่วาดอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




“เราจะไปกันแค่สองคนหรือ”

หวังหยูเฟิงมองคนเฝ้าเรือก่อนหน้านี้ที่เพิ่งจะขับเจ็ทสกีออกไป ทำให้ตอนนี้เหลือแค่เขากับเจิ้งหยุนเพียงลำพัง แน่นอนว่าหลังจากนี้คนที่ต้องขับเรือต่อ ก็คงเป็นผู้ชายผมยาวคนนี้ เพราะชายหนุ่มไม่มีทักษะด้านนี้เลย

“ครับ คุณหวังมีอะไรหรือเปล่า”

“คุณคงไม่หลงทางในทะเลใช่ไหม”

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมมีจีพีเอส”

เจิ้งหยุนมองหวังหยูเฟิงที่กำลังสำรวจเรืออย่างระแวดระวังด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ แล้วเริ่มเดินทางไปยังจุดชมปะการังน้ำตื้นที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปราวห้ากิโลเมตร

“แล้วเรื่องคนร้ายที่ยิงผมไปถึงไหนแล้วครับ” เจิ้งหยุนถามขึ้น ขณะที่ทำหน้าที่ขับเรือผ่านคลื่นทะเลไปด้วย

“ยังจับตัวไม่ได้ครับ” หวังหยูเฟิงตอบไม่เต็มเสียงนัก เขารู้สึกละอายแก่ใจ ในฐานะตำรวจไม่น้อย ทั้งที่เรื่องราวเกิดขึ้นนานแล้ว แต่ปัจจุบันก็ยังคว้าน้ำเหลว

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่เอาความก็ได้” เจิ้งหยุนบอก แล้วหันไปทางผู้กองหนุ่มที่กำลังมองมาเช่นเดียวกัน “แต่ถ้าจับได้ก็ดี”

“ครับ” หวังหยูเฟิงได้แต่ตอบรับไปตามเรื่อง ตอนนี้คดีลอบยิงเจิ้งหยุนไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขาโดยตรง แต่ก็ได้รับรายงานมาเป็นระยะ

“ผมเชื่อว่าตำรวจทุกคนทำหน้าที่เต็มที่อยู่แล้วล่ะครับ" เจิ้งหยุนเอ่ยสำทับราวกับต้องการให้กำลังใจอีกฝ่าย แต่ชายหนุ่มรู้ความจริงดีอยู่แล้ว คดีนี้จะไม่มีวันจบจนกว่าจะหมดอายุความ ในเมื่อคนที่ลอบยิงเขาตอนนี้ถูกส่งไปต่างประเทศเรียบร้อย

หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เรือที่แล่นด้วยความเร็วสูงก็จอดนิ่ง หวังหยูเฟิงมองโดยรอบที่มีเพียงทะเลกว้าง น้ำใสสีครามเผยให้เห็นฝูงปลาหลากสีแหวกว่ายทั่วบริเวณ

“ที่นี่ไม่ค่อยมีใครมา ทรัพยากรทางธรรมชาติเลยยังอุดมสมบูรณ์อยู่ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก ก่อนจะเลิกคิ้วมองหวังหยูเฟิง “อะไรหรือครับ"

“เปล่า” หวังหยูเฟิงตอบเสียงเรียบ เขาตกใจที่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็ดันแก้ผ้าหน้าตาเฉย แต่เมื่อนึกได้ว่า เจิ้งหยุนตั้งใจจะเล่นน้ำ เลยมองไปทางอื่นแทน

หวังหยูเฟิงไม่ได้รู้สึกอะไร ถ้ามีผู้ชายสักคนเปลือยกายตรงหน้า แต่คงไม่ใช่คนที่เพิ่งรู้จักกันแบบนี้

“แล้วคุณหวังไม่เปลี่ยนชุดหรือครับ” เจิ้งหยุนถามต่อ ชายหนุ่มถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองออก เผยแผงอกที่ตกแต่งด้วยกล้ามเนื้อน่ามองและหน้าท้องแข็งแรง ผิวกายสีขาวสะอาดสะท้อนแสงอาทิตย์จนผู้ที่ได้พบเห็นยากจะถอนสายตา ส่วนท่อนล่างที่เคยมีกางเกงยีนส์ถูกแทนที่ด้วยกางเกงขาสั้นที่จูเฉิงเตรียมเอาไว้ให้

“ผมจะรอคุณอยู่บนเรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบ ชายหนุ่มไม่คิดจะลงน้ำตั้งแต่แรก เขามีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้อีกฝ่ายเท่านั้น

“ลงมาด้วยกันเถอะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยชวน เขามองผู้กองหนุ่มด้วยสายตาเหงาหงอย “ถ้าคุณหวังอายไม่กล้าถอดเสื้อออก จะลงทั้งอย่างนี้เลยก็ได้นะครับ”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น ผมมาทำงาน แล้วหน้าที่ของผมคือมาดูแลความปลอดภัยของคุณ ไม่ใช่เที่ยวเล่นกับคุณ" หวังหยูเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ดูเหมือนเจิ้งหยุนจะไม่ยอมรับ

“ผมอยู่อีกที่ แต่คุณอยู่อีกที่ แล้วจะเรียกว่าดูแลได้อย่างไรล่ะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยท้วงพร้อมกับมองคนตรงหน้าอย่างจับผิด “หรือคุณหวังว่ายน้ำไม่เป็น? ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมมีเสื้อชูชีพ”

“คุณนี่มัน...” หวังหยูเฟิงเปรยขึ้นอย่างจนคำพูด เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย เขาถอนหายใจออกมา แล้วปลดกระดุมเสื้อของตัวเอง “ก็ได้”

เจิ้งหยุนยกยิ้มเล็กน้อย เขามองผู้กองหนุ่มที่กำลังถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกอย่างพอใจ หวังหยูเฟิงไม่ใช่คนรูปร่างผอมบาง นอกจากจะมีกล้ามเนื้ออย่างผู้ชายสุขภาพดีทั่วไป สีผิวเกรียมแดดเล็กน้อยบนเรือนร่างไร้ไขมันก็ดูเย้ายวนจนคนมองตาไม่กะพริบ

ผู้กองหวังปรายสายตาไปยังอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เจิ้งหยุนที่มองเขาอยู่เมื่อครู่ก็หันไปทางอื่น ชายหนุ่มเลยถอดกางเกงยีนส์ของตัวเองผลัดเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นที่คนตรงหน้าส่งมาให้

หลังจากเปลี่ยนชุดพร้อมสำหรับลงเล่นน้ำ เจิ้งหยุนก็เป็นคนแรกที่กระโดดลงจากเรือไปก่อน ชายหนุ่มหายไปใต้ผิวน้ำสีคราม ก่อนจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาที่เปียกปอนเป็นประกายกับแสงอาทิตย์

“น้ำเย็นดีนะครับ”

หวังหยูเฟิงไม่ได้ตอบรับอะไร นอกจากกระโดดลงน้ำไปอีกคน เขาว่ายน้ำเป็นก็จริง แต่ก็ไม่ได้ว่ายน้ำบ่อยนัก นอกจากเวลาไปออกกำลังกายเป็นบางครั้ง เมื่อได้เล่นน้ำทะเลตามธรรมชาติแบบนี้ก็ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ

“มาดูทางนี้สีครับ”

เจิ้งหยุนว่ายน้ำไปอีกทาง ก่อนจะชี้ชวนให้หวังหยูเฟิงดูปลาสวยงามที่แหวกว่ายอยู่เบื้องล่าง ถึงจะไม่ได้สัมผัสโดยตรง แต่แค่ได้มองก็ทำให้เขาเพลิดเพลินจนลืมเรื่องเครียดที่อยู่ในความคิด

“เวลาที่ผมเบื่อ ก็มาดูพวกมัน ผมยังเคยคิดอยากจะมีตู้ปลาเอาไว้ดูเล่นเหมือนกันนะครับ แต่มาคิดอีกที มาดูมันในทะเลแบบนี้ดีกว่า”

หวังหยูเฟิงไม่ได้ตอบรับอะไร เขามองเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยยิ้มบางของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา หากมองผิวเผิน ผู้ต้องสงสัยของเขาก็เหมือนผู้ชายมีฐานะดีทั่วไป แต่สัญชาตญาณของตำรวจไม่คิดแบบนั้น

 เจิ้งหยุนต้องมีเบื้องหลังแน่นอน

พวกเขาใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงในการชื่นชมธรรมชาติใต้ท้องทะเลด้วยกัน จนกระทั่งหวังหยูเฟิงกำลังจะขึ้นเรือ ก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น

“คุณเจิ้ง!” หวังหยูเฟิงร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเขาถูกอีกฝ่ายกอดเอาไว้ทั้งตัวอย่างกะทันหัน

 “ขอโทษนะครับ อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกชาที่ปลายเท้าขึ้นมา” เจิ้งหยุนตอบเสียงเบา โดยที่แขนของเขากอดรัดร่างของผู้กองหวังเอาไว้แน่น “ขออยู่แบบนี้แป๊บนึงได้ไหมครับ”

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ผลักไสคนที่เข้ามากอดตัวเองอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตอนแรก ผิวกายร้อนที่ชโลมด้วยน้ำทะเลแนบชิดชวนให้เขารู้สึกอึดอัด

เจิ้งหยุนมองใบหน้าด้านข้างของคนที่ตัวเองกอดเอาไว้ด้วยสายตาแวววาว ปลายจมูกโด่งและริมฝีปากบางปัดผ่านผิวแก้มสีอ่อนแผ่วเบา แล้วหยุดตรงใบหูที่ชายหนุ่มอยากจะขบเม้มให้อีกฝ่ายสั่นสะท้านเสียเหลือเกิน

 อยากทำให้หวังหยูเฟิงครวญครางร้องเรียกชื่อของเขาจนแทบทนไม่ไหว...

ทว่าเจิ้งหยุนรู้ดี ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะกลืนกินอีกฝ่ายอย่างที่ใจต้องการ แต่ไม่เป็นไร...เวลานี้หวังหยูเฟิงก็กำลังเดินอยู่ในฝ่ามือของเขาแล้ว

ตะวันสาดส่องเหนือศีรษะ แต่หวังหยูเฟิงไม่แน่ใจว่า ความร้อนรุ่มที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในร่างกายตอนนี้เกิดจากแสงแดดหรือลมหายใจที่พัดอยู่ข้างใบหูของเขากันแน่







**TBC+++++++   **10ผู้ร้ายที่ไม่อาจจับกุ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
10
ผู้ร้ายที่ไม่อาจจับกุม







ในช่วงเวลาที่ผืนทะเลเป็นสีดำ เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังขึ้นเป็นระยะราวกับกำลังพูดคุยกับพระจันทร์และดวงดาวที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า

ภายในห้องพักรับรองแขกพิเศษของคฤหาสน์หลังงาม มีตำรวจคนหนึ่งกำลังตั้งสมาธิกับการพิมพ์รายงานผ่านทางโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างเคร่งเครียด เพียงไม่นานหลังจากนั้นชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมา เนื่องจากผลการทำงานตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมายังไม่มีอะไรคืบหน้า

หลายวันมานี้หวังหยูเฟิงได้ใกล้ชิดกับเจิ้งหยุนมาก แต่สิ่งที่ผู้กองหนุ่มรับรู้มีเพียงชีวิตประจำวันธรรมดาของผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น เขาไม่สามารถหาเบาะแสอื่นๆ ที่ต้องการได้ เพราะผู้ต้องสงสัยเอาแต่เก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์

หวังหยูเฟิงล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มขนาดใหญ่ เขาทั้งเหนื่อยใจและเสียดายเวลา นอกจากคดีของถานอี้เทาแล้ว คดีที่เจิ้งหยุนถูกลอบยิงก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้

นัยน์ตาสีนิลที่ทอดมองเพดานค่อยๆ ปิดลง ถึงแม้ประสาทการมองเห็นจะหยุดทำงานไปแล้ว แต่สมองของผู้กองหวังยังคงขบคิดเรื่องราวที่ผ่านมา

เขามาทำอะไรที่นี่กันแน่..



▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣



“วันนี้อากาศดีนะครับ”

เจิ้งหยุนเริ่มต้นบทสนทนาในยามบ่ายด้วยรอยยิ้มบาง ชายหนุ่มยกแก้วชาขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี หวังหยูเฟิงที่ยืนอยู่ไม่ห่างไม่ได้พูดอะไร นอกจากส่งสายตามองตอบรับเท่าน้น

ตอนนี้พวกเขาอยู่ในศาลาประดับไม้เลื้อยในสวนข้างคฤหาสน์ สายลมอ่อนพัดผ่านพาไอร้อนจากดวงอาทิตย์ให้เบาบางลง ชาไฟน์เนส ซีลอนหอมกรุ่นกับมัฟฟินถูกจัดเสิร์ฟอยู่บนโต๊ะขนาดเล็กที่อยู่ตรงกลางเรือนไม้หลังเล็กแห่งนี้

"คุณหวังมานั่งดื่มด้วยกันสิครับ”

 “เชิญคุณตามสบาย”

“วันนี้เยี่ยนหลันตั้งใจทำมัฟฟินมาให้คุณลองด้วยนะครับ ธรรมดาเธอไม่ค่อยทำขนมเองนักหรอก”

หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบสายตาไปยังหญิงสาวแรกรุ่นที่กำลังส่งยิ้มสุภาพมาให้ เขาลอบถอนหายใจออกมา แล้วเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของคฤหาสน์อย่างจนใจ

หลังจากหวังหยูเฟิงอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ริมทะเลได้ระยะหนึ่ง เขาก็รู้จักทุกคนที่นี่ ถึงจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมาก แต่ก็ไม่อยากทำให้ใครเสียน้ำใจ

“ขอบคุณครับ”

จูเยี่ยนหลันโค้งคำนับรับตามมารยาทของสาวรับใช้ที่ดี ก่อนที่เธอจะเดินแยกออกมาเพื่อให้เจ้านายและผู้กองหวังได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ถึงจะไม่มีคำสั่งชัดเจน แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า นายตำรวจคนนี้อยู่ในสถานะพิเศษ ถ้าหากเจิ้งหยุนไม่ได้เรียกใช้ ก็อย่าเสนอหน้าให้รกสายตา

 “วันนี้คุณจะออกไปไหนหรือเปล่า” หวังหยูเฟิงเอ่ยถาม หลังจากลิ้มรสชาติของชาอังกฤษรสนุ่ม จิตใจที่เบื่อหน่ายก่อนหน้านี้ก็พลันสดชื่นขึ้น

“ไม่ครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เขามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างสบอารมณ์

“แล้วคุณไม่ไปทำงานบ้างหรือ” หวังหยูเฟิงยังเอ่ยถามต่อ เขาวางแก้วเซรามิกลงบนโต๊ะพร้อมกับสบนัยน์ตาคมอย่างข้องใจ

“ช่วงนี้อู่หนิงเป็นคนจัดการให้น่ะครับ” เจิ้งหยุนตอบเสียงนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลายังคงแต้มรอยยิ้ม โดยไม่ได้สนใจสีหน้าเคร่งขรึมของหวังหยูเฟิงนัก

“ถ้าคุณจะเก็บตัวอยู่แบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผมมาดูแลความปลอดภัยให้ก็ได้” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดใจ อันที่จริงแล้วเขาควรจะตามอู่หนิงน่าจะได้เรื่องมากกว่า แต่เจิ้งหยุนก็ตามติด แถมยังชอบพาเขาไปทำเรื่องไร้สาระจนหมดวันอีกต่างหาก

“ถ้าคนร้ายยังไม่ถูกจับ ผมก็ไม่วางใจจะออกไปที่ไหนหรอกนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นต่อ ผู้กองหนุ่มถึงกับคิ้วกระตุกกับความจริงที่ถูกตอกย้ำ เขาก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมป่านนี้แล้วยังจับคนร้ายไม่ได้สักที

“ถ้าอย่างนั้นผมจะไปจัดการคดีของคุณเอง แล้วผมจะให้ตำรวจคนอื่นมาดูแลคุณแทน” ผู้กองหวังเสนอแนวคิดของตัวเอง ตอนนี้เขาอยู่ใกล้อีกฝ่ายมากเกินไปจนทำอะไรไม่สะดวก บางทีก็ควรถอยห่างสักระยะน่าจะดีกว่า

  "คุณหวังตั้งใจจะโยนงานที่ตัวเองเบื่อไปให้คนอื่นทำแทนหรือครับ" เจิ้งหยุนเอ่ยถามเสียงเรียบ ใบหน้าที่เคยตกแต่งด้วยรอยยิ้มบางเสมอเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยแทน

ความกดดันล่องลอยมากับความเงียบ หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนอย่างพิจารณา เมื่อรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป

"ผมยังมีหน้าที่อื่นที่ต้องรับผิดชอบ"

"ตอนนี้หน้าที่ดูแลผมก็เป็นความรับผิดชอบของคุณเหมือนกัน"

ความดื้อดึงที่แสดงผ่านคำพูดของคนตรงหน้า ทำให้ผู้กองหวังต้องลอบถอนหายใจออกมา หลังจากได้ใช้ชีวิตประจำวันด้วยกัน เขาก็รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเอาแต่ใจแบบสุดโต่ง ถึงแม้จะมีเหตุผลแค่ไหน ถ้าหากขัดกับความต้องการ เจิ้งหยุนก็หาวิธีหรือข้ออ้างมาลบล้างเสมอ

"ทำไมคุณถึงเลือกจะเปิดผับ กิจการที่เข้าท่ากว่านี้ยังมีอีกตั้งเยอะแยะ" หวังหยูเฟิงชวนคุยเรื่องอื่นแทน บรรยากาศน่าอึดอัดเริ่มเบาบางลง เจิ้งหยุนยกแก้วชาขึ้นจิบอย่างผ่อนคลายขึ้น รอยยิ้มบางปรากฏที่ใบหน้าอีกครั้ง

“ก็เหล้าช่วยดึงเงินออกจากกระเป๋าคนอื่นได้ง่ายนี่ครับ” เจิ้งหยุนบอก หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับเหตุผลที่เหนือความคาดหมาย “แล้วพอเมา มีเท่าไรก็จ่ายหมดด้วย”

"เหตุผลเหมือนพวกฉวยโอกาส" หวังหยูเฟิงเปรยขึ้น เจิ้งหยุนหัวเราะออกมาเบาๆ

"คนที่เข้ามาในผับ ก็แสดงว่ายินยอมที่จะจ่ายอยู่แล้วนี่ครับ ไม่ได้ฉวยโอกาสอะไร" เจิ้งหยุนแก้ตัว ผู้กองหวังก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะเป็นความจริงอย่างที่อีกฝ่ายกล่าว

 "แล้วทำไมคุณถึงตั้งชื่อผับว่ากาเบรียล" หวังหยูเฟิงถามต่อพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวของผู้ชายตรงหน้าไปด้วย "หรือคุณต้องการให้เกี่ยวข้องกับชื่อบริษัทของครอบครัว"

"ก็ไม่เชิงหรอกครับ" เจิ้งหยุนตอบรับ แล้วยกยิ้มที่มุมปาก "กาเบรียลเป็นอัครทูตสวรรค์ เวลาทำอะไรผิด พระเจ้าก็คงไม่รู้ เพราะคาดไม่ถึงล่ะมั้งครับ"

"ความหมายสื่อเจตนาไม่บริสุทธฺ์เลยนะครับ" หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างจับผิด แต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้มออกมาเท่านั้น

"ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ" เจิ้งหยุนบอก แล้วอธิบายต่อ "ผับก็ถือเป็นสถานที่อโคจร แต่ก็นับเป็นสวรรค์ของนักดื่ม ใครมีเรื่องทุกข์ใจก็มาปลดปล่อยอารมณ์กับบริการที่ผับได้ พระเจ้าก็คงไม่ว่าอะไร"

"รู้ไหม คนร้ายที่ผมจับได้คนหนึ่งเคยพูดถึงชื่อผับของคุณด้วย"

เมื่อได้พูดคุยเรื่องผับกาเบรียล ผู้กองหนุ่มก็หวนไปนึกถึงคนเฝ้าประตูตึกของถานอี้เทาที่เขาเคยจับกุมได้

 "อย่างนั้นหรือครับ"

 "เขาบอกว่า คืนที่ถานอี้เทาตาย เขาได้เจอกาเบรียลที่นั่น"

"บางทีเขาอาจจะเมายา คุณหวังได้ตรวจหาสารเสพติดหรือเปล่าครับ"

 หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ สายตาจ้องมองเจิ้งหยุนที่ยังตีหน้าซื่อไม่รับรู้สิ่งใด

“เขาไม่มีสารเสพติดอยู่ในร่างกาย” ผู้กองหนุ่มบอก เขายกแก้วชาที่เริ่มเย็นของตัวเองขึ้นจิบอีกครั้ง “คืนนั้นผมก็คิดว่า ตัวเองก็ได้เจอกาเบรียลเหมือนกัน แล้วเขาก็เหมือนคุณมากด้วย”

เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางตื่นตกใจอะไรกับคำพูดราวกับกล่าวหาของคนตรงหน้าเท่าไรนัก

 "คุณหวังจะชมว่าผมหล่อเหมือนเทวดาหรือเปล่าครับเนี่ย"

"บางทีคุณอาจจะเมาชาแล้ว กาเบรียลที่ผมเจอไม่ใช่เทวดา แต่เป็นยมทูตมากกว่า"

หวังหยูเฟิงกลอกตาอย่างระอา ทั้งที่เขาตั้งใจจะพูดเรื่องจริงจัง แต่อีกฝ่ายดันเฉไฉไปคนละเรื่อง เจิ้งหยุนหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี นัยน์ตาคมเป็นประกาย เมื่อนึกถึงเจตนาของนายตำรวจ

“คุณคิดว่า ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของถานอี้เทาหรือครับ” เจิ้งหยุนย้อนถามด้วยน้ำเสียงสบาย เขายิ้มมองผู้กองหวังอย่างนึกสนุก “พูดแบบนี้ ผมแจ้งความกลับได้นะครับ คุณมีหลักฐานหรือเปล่า”

 “หลักฐานก็พอมี แต่ยังไม่มีน้ำหนักมากพอ” หวังหยูเฟิงตอบกลับ เจิ้งหยุนแสดงสีหน้าสงสัยออกมา ก่อนน้ำเสียงทุ้มเรียบจะเฉลย “ก็แผลเป็นบนมือของคุณอย่างไรล่ะ”

หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนอย่างสงบ ก่อนจะเหลือบสายตาไปยังรอยแผลบนมือของบุรุษตรงหน้าที่กำลังถือแก้วชาอยู่

ผู้กองหนุ่มสังเกตมาได้หลายวันแล้ว พอพิจารณาอย่างถี่ถ้วน คงจะมีไม่กี่คนที่มีรูปพรรณสัณฐานใกล้เคียงขนาดนี้ แล้วยังมีรอยแผลตรงกับที่เขาเคยทำเอาไว้กับคนร้ายอีก ยิ่งเวลาที่อีกฝ่ายใส่แว่นกันแดด ภาพในความทรงจำก็เด่นชัดขึ้น ทุกอย่างบ่งบอกมาที่ผู้ชายคนนี้ แต่หลักฐานที่เจอก็ยังไม่มากพอจะเอาผิดได้อยู่ดี

"รอยแผลนี้หรือ" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือที่มีรอยแผลจางมาพิจารณา "รอยแผลนี้ ผมโดนแมวกัดนะครับ"

แมวกัด?!

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมา เขาไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับผิด แต่ขุ่นเคืองที่ถูกหาว่าเป็นแมวต่างหาก!

"ตอนนั้นผมไปเดินเล่น แล้วบังเอิญเจอแมวตัวหนึ่งกำลังวิ่งเล่นอยู่พอดี ก็เลยลองไปจับดู แล้วก็ดันโดนกัดเข้านี่แหละครับ"

“แผลแค่นั้น ไม่น่าจะกลายเป็นแผลเป็นได้เลยนะ”

หวังหยูเฟิงจ้องมองคนที่ปั้นน้ำเป็นตัวเขม็ง เจิ้งหยุนก็ยังคงเป็นปกติ ชายหนุ่มไม่ได้มีอาการอนาทรร้อนใจกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของผู้กองหวัง เพราะเขารู้ดี ตราบใดที่ยังหาหลักฐานมายืนยันชัดเจนไม่ได้ คนตรงหน้าก็ทำได้แค่กล่าวหาเท่านั้น

"ผมไม่เคยโดนแมวกัดมาก่อน เลยฝังใจนิดหน่อย” เจิ้งหยุนบอกด้วยรอยยิ้ม เขาใช้ปลายนิ้วลูบรอยแผลเป็นจางบนมือของตัวเองแผ่วเบา “เวลาเห็นแผลจะได้นึกถึงมันน่ะครับ"

"ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร แต่ผมรู้ดีว่า คุณคือคนที่ยิงถานอี้เทา แล้วรอยแผลนั่นก็มาจากฝีมือของผม" หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ เขาจ้องตากับผู้ต้องสงสัยอย่างจริงจัง

"ตกลงว่าคุณหวังเหมาผมเป็นคนร้ายไปแล้ว?" เจิ้งหยุนถามย้ำด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก

"ผมก็แค่พูดสิ่งที่ผมคิดให้คุณฟัง ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่จำเป็นต้องร้อนตัวอะไร”

เจิ้งหยุนหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพอใจ เขาไม่คิดว่า หวังหยูเฟิงจะกล้าพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้

"ถ้าผมเป็นคนร้ายจริง จะให้คุณมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ทำไมล่ะครับ"

"ผมไม่รู้หรอก คุณจะช่วยบอกผมได้หรือเปล่า"

เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้น คราวนี้เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว เพราะคาดไม่ถึงว่าจะโดนย้อนถามกลับมาแบบนี้ ยิ่งพอได้สบสายตาอยากรู้คู่นั้น ก็นึกอยากตอบความจริงออกไป แต่ชายหนุ่มไม่อาจทำแบบนั้นได้

"คงไม่มีคนร้ายคนไหนอยากอยู่ใกล้ตำรวจหรอกนะครับ แต่ผมรู้สึกสบายใจเวลาได้อยู่ใกล้คุณ"

“การทำให้ประชาชนสบายใจก็เป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว”

 “นั่นสิครับ ผมถึงได้ชอบตำรวจแบบคุณ”

หวังหยูเฟิงไม่ได้ตอบอะไร เขามองเจิ้งหยุนที่กำลังส่งยิ้มมาให้เล็กน้อยเท่านั้น นัยน์ตาคมแวววาว ทำให้ผู้กองหนุ่มต้องยกแก้วชาขึ้นจิบอย่างเก็บงำความคิด เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้เลย





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ตอนนี้อู่หนิงทำงานหนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว นอกจากคาดเดาสถานการณ์ระหว่างเจ้านายกับผู้กองหวังไม่ได้แล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจับตามอง

อาจเพราะเจิ้งหยุนเก็บตัวอยู่แต่ในคฤหาสน์มาหลายวัน หวังหยูเฟิงที่ไม่สามารถหาเบาะแสอะไรได้ เลยสั่งให้ตำรวจคนอื่นตามติดเขาแทน อู่หนิงไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไร นอกจากเดินตรงเข้าไปในผับกาเบรียลตามปกติ

ส่วนใหญ่ภายในผับไม่ค่อยเกิดเรื่องอะไรมากนัก ถ้าไม่ใช่ลูกค้าเมาอาละวาด ก็อาจจะมีคู่แข่งมาระรานบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นปัญหาอะไร

หลังจากไปตรวจเช็กการทำงานของพนักงานและความเป็นไปภายในผับเสร็จเรียบร้อย เขาก็ไปจัดการงานด้านเอกสารต่อ

ชายหนุ่มไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับการถูกตำรวจจ้องจับผิด เพราะเวลานี้สิ่งที่เขาทำมีเพียงตำแหน่งผู้จัดการผับกาเบรียลเท่านั้น




▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣






ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


หวังหยูเฟิงยืนมองเจ้าของคฤหาสน์ที่กำลังวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าอย่างใช้ความคิด ถึงแม้ว่าเขาจะประกาศเจตนารมณ์ของตัวเองไปอย่างชัดเจนแล้ว แต่เจิ้งหยุนก็ยังทำตัวเป็นปกติราวกับพวกเขาไม่เคยพูดคุยเรื่องที่อีกฝ่ายถูกหาว่าเป็นคนร้ายมาก่อน

เจิ้งหยุนอยู่ในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงวอร์ม ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนเหงื่อ เส้นผมที่มักจะถูกมัดรวบต่ำ ทว่าในตอนนี้กลับถูกมัดรวบสูงเป็นหางม้าสีดำเงางาม

 หวังหยูเฟิงมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหา เขาหยิบผ้าขนหนูกับน้ำดื่มที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้มือส่งไปให้ ก่อนจะได้รับรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลากลับมา

 "ขอบคุณครับ"

ผู้กองหวังไม่ได้ตอบรับอะไร นอกจากใช้สายตามองผู้ต้องสงสัยที่แน่ใจว่าเป็นผู้ร้ายแน่นอน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเอาผิดกับผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร

"มีอะไรหรือเปล่าครับ" เจิ้งหยุนหันมาถาม เขาเลิกคิ้วขึ้น เมื่อนัยน์ตาสีดำสงบของหวังหยูเฟิงจ้องมองไม่วางตา

"วันนี้คุณก็คงไม่ไปไหนใช่ไหม" หวังหยูเฟิงถามกลับไปตามเรื่อง แล้วถอนหายใจอย่างปลงตก ตอนนี้เขาอาจจะหาทางไม่ได้ แต่ไม่นานก็คงจะคลำทางต่อไปได้เอง

"วันนี้ผมมีนัดครับ" เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ แล้วยกยิ้มที่มุมปาก เมื่อเห็นสายตาที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย "คืนนี้ผมต้องไปงานเลี้ยงประจำปีของบริษัทครับ"

"งานเลี้ยงของบริษัทอีเดนหรือ" หวังหยูเฟิงถามอย่างสนใจ ในที่สุดเจิ้งหยุนก็ออกจากคฤหาสน์เสียที

"ครับ ถึงผมจะไม่ได้เข้าไปทำงาน แต่ก็คงตำแหน่งกินเงินเดือนที่นั่นด้วย ก็คงต้องโผล่หน้าไปหน่อย" เจิ้งหยุนบอกด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ ปกติเขาค่อนข้างเบื่อกับงานเลี้ยงแบบนี้ แล้วก็หาข้ออ้างไม่ไปตลอด แต่คราวนี้ต่างไปจากเดิม "คุณหวังก็ไปด้วยกันนะครับ"

"ผมไปได้หรือ" หวังหยูเฟิงย้อนถาม ทั้งที่เขาก็ตั้งใจจะหาข้ออ้างไปด้วยอยู่แล้ว การได้เห็นเจิ้งหยุนติดต่อกับใครบ้าง ก็เป็นสิ่งที่เข้าท่าไม่น้อย

"ครับ เพราะคุณต้องไปดูแลความปลอดภัยให้ผมนี่ครับ" เจิ้งหยุนบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปด้านในของคฤหาสน์ด้วยกัน "แล้วผมก็เตรียมชุดให้คุณเรียบร้อยแล้ว"

"ชุด?" หวังหยูเฟิงหันไปถามอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ เจิ้งหยุนพยักหน้ารับ

"ถึงจะเป็นแค่งานเลี้ยงภายในบริษัท แต่ก็มีสื่อต่างๆ มาด้วย ก็ต้องแต่งตัวให้ดีไว้ก่อนดีกว่านะครับ"

เหตุผลของเจิ้งหยุน ทำให้หวังหยูเฟิงที่มีแค่ชุดธรรมดาต้องยอมรับอย่างเห็นด้วย บางทีเขาควรกลับไปเอาเครื่องแบบตำรวจมาใส่น่าจะดีกว่า

"ถ้าอย่างนั้น...ผมกลับไปเอาเครื่องแบบมาใส่ดีกว่า"

"ไม่จำเป็นหรอกครับ ถ้าคุณใส่ชุดเครื่องแบบไป ทุกคนคงแตกตื่นกันพอดี ใส่แค่สูทก็พอแล้วครับ"

เจิ้งหยุนหันไปเรียกสาวรับใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ห่าง สือซีอิ๋งรีบเดินเข้ามารับคำสั่งอย่างนอบน้อม เธอเป็นสาวรูปร่างเล็กท่าทางเก็บตัวที่ดูแลเรื่องความสะอาดทั่วไปภายในคฤหาสน์ริมทะเลหลังนี้

"เดี๋ยวเอาชุดไปให้คุณหวังที่ห้องด้วย"

"ค่ะ"

หวังหยูเฟิงได้แต่มองหญิงสาวที่เดินจากไป แล้วหันมามองเจิ้งหยุนที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของคฤหาสน์

"เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน แล้วเจอกันตอนอาหารเช้าครับ"

เจิ้งหยุนเดินเข้าห้องของตัวเอง หวังหยูเฟิงที่ถูกทิ้งไว้ก็เดินเข้าห้องของตัวเองบ้าง หลังจากที่ผู้กองหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาได้เพียงครู่เดียว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

หวังหยูเฟิงเดินไปเปิดประตูรับ สือซีอิ๋งที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็โค้งตัวให้เล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเข็นราวเสื้อผ้าเข้ามาด้านใน

นี่มันอะไรกัน!

ผู้กองหนุ่มได้แต่มองอย่างนึกอึ้ง เพราะเสื้อและกางเกงมากมายบนราวแขวนเสื้อผ้าแบบล้อเลื่อนสามแถวมาอยู่ตรงหน้า

"ขอบคุณครับ แต่มันไม่เยอะไปหน่อยหรือ"

"ดิฉันแค่ทำตามคำสั่งของนายค่ะ"

"ว่าแต่คุณขนทั้งหมดขึ้นมาอย่างไรครับ"

หวังหยูเฟิงมองคนตรงหน้าอย่างนึกทึ่ง เพราะท่าทางของหญิงสาวไม่ได้ดูเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด

"ก็แค่ถือขึ้นมาน่ะค่ะ"

หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับอย่างขอไปที หลังจากที่โดนแม่ครัวใหญ่ปามีดใส่ในวันนั้น เขาก็เริ่มสังเกตพฤติกรรมของทุกคนในคฤหาสน์ที่ดูไม่ธรรมดาเลยสักคน

 การประเมินจากสายตาก่อนหน้านี้ของผู้กองหวังผิดพลาดไปหมด เมื่อได้เข้ามาใช้ชีวิตด้านในกำแพงยักษ์ นอกจากกล้องวงจรปิดมากมายที่ถูกซ่อนเป็นอย่างดีแล้ว หากใครคิดจะบุกรุกเข้ามา ก็คงต้องเผชิญกับคนงานที่มีทักษะและสภาพร่างกายที่น่าตกใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าใจได้เองว่า ทำไมถึงไม่มีบอดี้การ์ดอย่างที่ควรจะเป็น เพราะทุกคนที่นี่ก็มีความสามารถเพียงพอจะปกป้องเจ้านายของพวกเขาได้

ภายใต้เครื่องแบบของคนรับใช้ในคฤหาสน์ริมทะเลหลังนี้ หวังหยูเฟิงสังเกตเห็นทั้งมีดสั้นและปืนพกขนาดเล็กที่ทุกคนต่างมีติดตัวไม่ต่างจากเครื่องประดับ ท่าทางของแต่ละคนก็เหมือนใช้งานอาวุธของตัวเองได้เป็นอย่างดีด้วย

"เชิญตามสบายนะคะ" สือซีอิ๋งเอ่ยเสียงหวาน ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องอย่างสุภาพ

หลังจากบานประตูปิดลง ผู้กองหวังก็ถอนหายใจออกมา แล้วมองบรรดาเสื้อผ้ามากมาย ถึงเขาจะไม่มีความรู้ด้านแฟชั่น ทว่าเพียงแค่จับเนื้อผ้าดู ก็สามารถเดาได้ถึงคุณภาพและราคาที่แปรผันตรงกันได้

เอาเถอะ...

หวังหยูเฟิงได้แต่ลองหยิบชุดสูทสีดำขึ้นมาลองสวมดู แล้วเดินไปยืนพิจารณาตัวเองอยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ โดยไม่ได้รับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองมาจากอีกฟากของผนังแม้แต่น้อย





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ถึงจะเป็นการไปงานเลี้ยงที่กะทันหันไปหน่อยสำหรับหวังหยูเฟิง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกประหม่าอะไร พวกเขาเดินทางออกจากคฤหาสน์ตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่โดยไม่มีอู่หนิงที่เสมือนเงาตามตัวของเจิ้งหยุนติดตามไปด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็ให้เหตุผลว่า มีตำรวจไปด้วยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพาใครไปเพิ่มให้วุ่นวาย

หวังหยูเฟิงรู้สึกคาใจ แต่เขาก็สั่งเหอผิงที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาให้คอยจับตามองแทนอยู่แล้ว ก็คงวางใจได้

การเดินทางจากคฤหาสน์ริมทะเลไปยังโรงแรมที่จัดงานใช้เวลาราวสองชั่วโมง กว่ารถยนต์คันหรูจะถึงที่หมายก็เวลาพลบค่ำพอดี

งานเลี้ยงประจำปีของบริษัทอีเดน คอร์เปอเรชั่นถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ ถึงจะไม่ได้มีการเปิดตัวอลังการ แต่ก็เหมือนจะเหมาห้องจัดเลี้ยงทั้งหมดของโรงแรมเพื่อรองรับพนักงานจากบริษัทสาขาย่อยและคู่ค้าทางธุรกิจ

เจิ้งหยุนพาหวังหยูเฟิงไปยังห้องจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟต์ที่เข้าได้เฉพาะระดับผู้บริหารและนักธุรกิจที่ได้รับเชิญ เมื่อทายาทคนเล็กของอีเดนเดินเข้าไปด้านใน สื่อมวลชนและบรรดาแขกระดับวีไอพีต่างก็จับจ้อง

เจิ้งหยุนในชุดสูทสีเทาที่สวมทับเสื้อเชิ้ตเนื้อดีสีดำถูกแสงแฟลชยิงใส่ เส้นผมสีดำยาวถูกรวบต่ำทิ้งตัวแนบชิดกับแผ่นหลังกว้างสง่างาม ท่วงท่าไม่สนใจสิ่งรอบข้างของชายหนุ่ม ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักอย่างจริงจัง

หวังหยูเฟิงที่เดินมาด้วยกันได้แต่สังเกตสายตาและท่าทางของผู้คนโดยรอบ มีผู้มีชื่อเสียงบางคนที่เขาเคยเห็นหน้า บ้างก็เป็นนักธุรกิจ หรือไม่ก็ดารานักแสดงดาวรุ่งที่เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบริษัท

"นี่เธอ!"

เสียงหวานที่ดังขึ้นพร้อมกับแรงดึงที่แขน ทำให้หวังหยูเฟิงต้องหันไปมองด้วยความตกใจ แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อได้พบคนที่รั้งตัวเองเอาไว้

ไป๋ลู่เหอ!

หวังหยูเฟิงปั้นหน้ายาก เมื่อถูกร่างบอบบางเข้ามากอดแขนเอาไว้แน่นอย่างรวดเร็ว แล้วผู้กองหนุ่มก็ต้องขนลุกชัน เพราะรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่พัดพาเสียงกระซิบพร่าที่ข้างใบหู

"เจอกันสักทีนะ เด็กน้อยของฉัน"





TBC+++++++ 11แมงเม่ากับแสงไฟ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: RUSE เล่ห์รัก กลปรารถนา > [Rewrite] 10 - 28/01/2019
« ตอบ #109 เมื่อ: 28-01-2019 22:15:33 »





ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
 o13 o13 o13 o13

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
11
แมงเม่ากับแสงไฟ




การเข้ามาทักทายอย่างถูกเนื้อต้องตัวของไป๋ลู่เหอ นอกจากจะทำให้หวังหยูเฟิงตกใจแล้ว เจิ้งหยุนที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็หันไปมอง นัยน์ตาคมเจือแววขุ่นมัว เมื่อเห็นผู้กองหวังกำลังถูกคนอื่นกอดแขนเอาไว้

เจิ้งหยุนอยากจะเข้าไปกระชากไป๋ลู่เหอให้ออกห่าง แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่นยิ้มออกมาเท่านั้น ก่อนจะกล่าวทักทาย

“สวัสดีคุณนายไป๋”

“อ๊ะ! เสี่ยวหยุน! ไม่นึกว่าเธอจะมานะ”

  ไป๋ลู่เหอมองเจิ้งหยุนอย่างแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันไปยิ้มหวานให้หวังหยูเฟิงที่กำลังถูกกอดแขนเอาไว้แน่น

“เด็กน้อย...ต้องเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้ฉันได้เจอเธออีกครั้ง”

หวังหยูเฟิงไม่ตอบรับอะไร อีกทั้งยังพยายามดึงตัวเองออกมา แต่ก็ต้องวิตกกับแรงมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในอ้อมแขนบางของอีกฝ่าย

ทำไมถึงได้แรงเยอะอย่างนี้! 

               “พูดอะไรของคุณ เขามากับผม” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้วมองไป๋ลู่เหอด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าสวยที่ตกแต่งมาอย่างดีของอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้น

“เอ๋? เธอรู้จักกับเด็กน้อยของฉันด้วยหรือ” เสียงหวานเอ่ยถาม ซึ่งมันก็จุดชนวนความหงุดหงิดให้แก่เจิ้งหยุนได้ในทันที แต่เขาก็ยังคงสีหน้าเป็นปกติไว้

“ผู้กองหวังหยูเฟิงเป็นตำรวจที่ดูแลผมในช่วงนี้”

“ตำรวจ?”

ไป๋ลู่เหอหันมามองใบหน้าของหวังหยูเฟิงที่ตีหน้าเรียบ แต่สายตาเผยความอึดอัดออกมาอย่างประหลาดใจ

“แล้วทำไมคืนนั้นตำรวจถึงใส่ชุดพนักงานที่ร้านของฉันได้ แถมยังบอกว่าเพิ่งเข้ามาใหม่ด้วย ฉันก็เลยจะสัมภาษณ์ แต่เธอก็ดันมาขัดจังหวะพอดี”

“ผมมีธุระนิดหน่อยครับ คืนนั้นผมต้องขอโทษด้วยที่เข้าไปในร้านของคุณแบบนั้น”

ใบหน้าซื่อตรงและแววตาไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมของผู้กองหวัง ทำให้เจ้าของภัตตาคารเฟยลี่ที่โดนตำรวจบุกรุกอย่างไม่ถูกต้องก็ไม่นึกถือสา ไป๋ลู่เหอซบใบหน้าลงบนไหล่แข็งแรงของกวางหนุ่มที่น่าขย้ำอย่างฉวยโอกาส

“ถ้ายอมไปหาฉันที่ร้านสักคืน ฉันจะไม่ถือโทษโกรธเธอก็ได้”

หวังหยูเฟิงกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ถึงเรือนร่างบอบบางและน้ำเสียงหวานนุ่มนวลจะมีเสน่ห์ร้ายกาจ แต่ไป๋ลู่เหอก็เป็นเพียงเทพธิดาถือเคียวที่ไม่ควรเข้าใกล้

“เรื่องนั้น...ผมคงต้องขอโทษอีกครั้ง ตอนนี้ผมกำลังทำงาน คงไม่มีเวลาให้คุณ แต่ผมจะส่งของขวัญแทนคำขอโทษไปให้นะครับ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างต่อรอง อันที่จริงแล้วเขาก็รู้สึกผิดที่ทำตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นตำรวจในคืนนั้น

               “เรื่องนั้นไม่ต้องหรอก เอาเป็นว่าคืนนี้เธอเป็นคู่ควงให้ฉันก็แล้วกัน คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” ไป๋ลู่เหอถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน นัยน์ตากลมโตจ้องมองนายตำรวจอย่างอ่อนหวานแสดงความนัยออกมาอย่างไม่ปิดบัง

 หวังหยูเฟิงมีท่าทีลำบากใจ แต่ก็พยายามเก็บอาการของตัวเองเอาไว้เต็มที่

ทว่ายังไม่ทันที่ผู้กองหนุ่มจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เจิ้งหยุนที่ยืนฟังบทสนทนามาสักพักก็เอ่ยแทรกขึ้น เขามองไป๋ลู่เหอด้วยความไม่พอใจ

               “อายุก็ไม่น้อยแล้ว อย่าเอาแต่ใจสิ ตอนนี้คุณหวังมีหน้าที่ต้องดูแลผม คุณจะทำให้เขาลำบากใจทำไม”

คำพูดต่อว่าแบบไม่เกรงใจกันเลยสักนิด ทำให้หวังหยูเฟิงรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย แน่นอนว่าถ้อยคำเหล่านั้นสร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้ที่ได้รับในทันที มือบางปล่อยแขนของชายหนุ่มที่หมายตาเอาไว้ แล้วมองผู้ชายเรือนผมสีดำยาวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

“ที่นี่งานเลี้ยงบริษัท ไม่ใช่งานประชุมมาเฟียนะยะ ทำไมต้องให้ใครมาดูแลเธอด้วย” ไป๋ลู่เหอว่ากลับเสียงห้วน เจิ้งหยุนยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน เมื่อถูกนัยน์ตากลมงดงามจ้องเขม็ง “แล้วจำเอาไว้ด้วยนะ อย่ามาพูดเรื่องอายุกับผู้หญิง มันเสียมารยาท”

ร่างบางในชุดราตรีสีชมพูแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด ไป๋ลู่เหอหันมามองหวังหยูเฟิงที่ยืนงงอยู่ด้วยท่าทีที่อ่อนลง ใบหน้าสวยหวานยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะจูบแก้มน่าฟัดอย่างรวดเร็ว แล้วเดินแยกตัวออกไป ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็สร้างความตกตะลึงให้ผู้ถูกกระทำอีกครั้ง

 ”มัดจำเอาไว้ก่อนนะจ๊ะ”

“ไป๋ลู่เหอ!”

เจิ้งหยุนสบถขึ้นอย่างไม่พอใจ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมาเช็ดแก้มของผู้กองหนุ่มที่เปื้อนรอยลิปสติกอย่างเบามือ ทั้งที่ภายในใจกำลังคุกรุ่นอยู่ก็ตาม

“ขอโทษแทนเขาด้วยนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความลำบากใจออกมา หวังหยูเฟิงที่เพิ่งดึงสติกลับมาได้พยักหน้ารับ

“ไม่เป็นไรครับ ดูเหมือนพวกคุณจะสนิทกัน”

“ก็นิดหน่อยครับ แต่อย่าไปสนใจเลย”

หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังผ้าเช็ดหน้าที่อีกฝ่ายกำลังถืออยู่

               “ขอบคุณนะครับ ผ้าเช็ดหน้าของคุณ...ถ้าไม่รังเกียจ คุณใช้ผ้าเช็ดหน้าของผมแทนไปก่อน ผมยังไม่ได้ใช้”

หวังหยูเฟิงยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองไปให้ด้วยความเกรงใจ เจิ้งหยุนนิ่งไปเล็กน้อย เพราะคาดไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายมาเป็นแบบนี้ ความขุ่นเคืองที่มีต่อไป๋ลู่เหอเลือนหายไปทันที แถมตอนนี้ยังนึกขอบใจอีกฝ่ายที่ทำให้เขาได้ใกล้ชิดชายหนุ่มตรงหน้ามากขึ้นอีกนิด

“ครับ” เจิ้งหยุนตอบรับ แล้วแลกเปลี่ยนผ้าเช็ดหน้ากับผู้กองหวังด้วยความรู้สึกยินดี




▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





บรรยากาศภายในงานไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ อันที่จริงเแล้วหมือนงานพบปะคู่ค้าทางธุรกิจของอีเดน คอร์เปอเรชั่นมากกว่า

เจิ้งหยุนพาหวังหยูเฟิงไปหาพี่ชายที่กำลังยืนเพียงลำพัง เจิ้งเทียนมีรูปร่างสูงใหญ่แต่งกายด้วยชุดสูทหรูหราสีน้ำเงินเข้ม เรือนผมสีดำตัดสั้นและใบหน้าคมคายที่แสนมีเสน่ห์ ทำให้เจ้าของงานที่มีอำนาจแห่งนี้ยิ่งน่าจับตามองมากกว่าเดิม ทว่าในชั่วอึดใจต่อมาก็มีผู้ชายท่าทางภูมิฐานและหญิงสาวที่สวยสะดุดตาเดินเข้าไปพูดคุยตัดหน้าพวกเขาเสียก่อน

“พี่”

คำทักของเจิ้งหยุน ทำให้คนที่กำลังพูดคุยกันหันมาสนใจ เจิ้งเทียนพยักหน้ารับการทักทายของน้องชายที่ไม่ค่อยได้เจอกันนัก

“มาแล้วหรือ แล้วนั่นคงเป็นผู้กองหวังหยูเฟิงสินะครับ” เจิ้งเทียนเอ่ยขึ้น เมื่อหันมามองน้องชาย แล้วเลื่อนสายตาไปมองใครอีกคน “ผมเจิ้งเทียนเป็นพี่ชายของเจิ้งหยุนครับ ขอบคุณที่ช่วยดูแลเขานะครับ”

 ”เป็นหน้าที่ของผมครับ” หวังหยูเฟิงตอบรับไปตามมารยาท เขาพิจารณาท่าทางสุภาพของเจิ้งเทียน ถึงจะเคยเห็นผ่านตามสื่อต่างๆ มาบ้าง แต่ตัวจริงก็ให้บรรยากาศเบาสบายไม่เหมือนทายาทของอดีตผู้มีอิทธิพลรายใหญ่มาก่อน

“เจิ้งหยุน นี่คุณเส้าเหิงและลูกสาว...คุณหนูซินฉี เขากำลังจะมาร่วมกิจการของเราด้วย” เจิ้งเทียนหันมาแนะนำคู่สนทนาให้น้องชายรู้จัก เจิ้งหยุนโค้งรับเล็กน้อยตามมารยาท แล้วส่งยิ้มบางไปให้พ่อลูกที่แสดงท่าทางเป็นมิตรไม่ต่างกัน

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“ผมได้ยินเรื่องของคุณมาตั้งนานแล้ว เพิ่งได้เจอตัวจริง บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คุณเจิ้งมีน้องชายอีกคน” เส้าเหิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง “แล้วเกิดอะไรขึ้นครับ ถึงต้องมีตำรวจมาดูแลแบบนี้”

ในขณะที่ทั้งคู่กำลังสนทนากันอย่างมีไมตริ หวังหยูเฟิงก็กำลังลอบมองเส้าเหิงไปด้วย ผู้กองหนุ่มพอจะได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่ายมาบ้าง เพียงแต่นักธุรกิจที่อาจมีส่วนพัวพันกับเรื่องไม่ถูกกฎหมายคนนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการทำงานของเขา

“พอดีเมื่อราวสองอาทิตย์ก่อน ผมเพิ่งโดนลอบยิงครับ ตอนนี้เลยวานให้ผู้กองหวังมาช่วยดูแลชั่วคราว”

“แล้วจับคนร้ายได้หรือยังครับ”

เส้าเหิงหันไปทางหวังหยูเฟิงแทน นายตำรวจรู้สึกลำบากใจแต่ก็จำใจต้องตอบไปตามความจริง

“ยังครับ แต่พวกเราก็กำลังทำงานอย่างเต็มที่”

“แล้วพอจะคาดเดาศัตรูได้หรือเปล่า”

“ก็คงเป็นคู่แข่งทางธุรกิจน่ะครับ ช่วงนี้ผับของผมกำลังได้รับความนิยม อาจจะสร้างความไม่พอใจให้ใครบางคนก็ได้”

เจิ้งหยุนยังคงมีใบหน้าที่แต้มรอยยิ้มเอาไว้ราวกับเหตุร้ายนี้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงที่ควรใส่ใจ เส้าเหิงที่สอบถามไปตามมารยาทก็พยักหน้ารับ เพราะเขาก็พอจะรู้อยู่แล้ว รวมไปถึงเรื่องบางอย่างที่ตำรวจอาจจะยังไม่รู้

ชายวัยกลางคนยิ้มออกมา เขารู้ว่าแท้ที่จริงเบื้องหลังของธุรกิจที่เจริญรุ่งเรืองเติบโตมาจากเลือดและอำนาจ อีเดน คอร์เปอเรชั่นไม่ได้ขาวสะอาดอย่างที่คนทั่วไปทราบ ทุกอย่างบนโลกนี้มีสองด้านเสมอ

               แสงสว่างจะเจิดจ้าและชัดเจนที่สุดก็ตอนที่ตัดกับเงามืด

ถ้าหากเจิ้งเทียนคือแสงสว่างที่ทุกคนมองเห็น เจิ้งหยุนก็คือเงามืดที่ซ่อนเร้น

 ถึงจะมีหุ้นส่วนเล็กน้อยกับกลุ่มบริษัทอีเดน แต่เส้าเหิงก็ไม่ได้หวังเพียงแค่นั้น ความทะเยอทะยานในอำนาจและเงินตราที่หลั่งไหลไม่มีวันจบ ทำให้เขาจำเป็นต้องกลืนกินบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้

ถ้าคิดจะล้มยักษ์ ก็อย่ากลัวที่จะฆ่ายักษ์

“จริงสิ ฉีฉีเพิ่งเรียนจบเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แล้วอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองที่เมืองนั้นพอดี เลยอยากให้คุณเจิ้งหยุนช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมครับ”

“ผมก็เพิ่งทำธุรกิจที่นั่นได้ไม่นาน คงให้คำแนะนำอะไรไม่ได้มาก แต่อะไรที่พอทำได้ ผมก็จะช่วยครับ” เจิ้งหยุนตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ เขามองหญิงสาวที่ระบายรอยยิ้มพองามเล็กน้อย แล้วหันไปทางผู้ฝากฝังต่อ

เส้าซินฉีเป็นผู้หญิงรูปร่างสูงเพรียวอ้อนแอ้นไม่ต่างจากนางแบบชั้นแนวหน้า ใบหน้าสวยหวานเปี่ยมเสน่ห์จนละสายตาไม่ได้

“ขอบคุณค่ะ” เส้าซินฉีเอ่ยรับ ก่อนใบหน้าสวยที่ตกแต่งเครื่องสำอางค์ชั้นเลิศจะปรากฏแววไม่แน่ใจออกมา “ถ้าขอเรียกคุณเจิ้งหยุนว่าพี่หยุนจะได้ไหมคะ”

เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เส้าซินฉียิ้มกว้างขึ้น ทำให้หญิงสาวสะพรั่งน่ามองราวกับกุหลาบที่กำลังเบ่งบาน

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนคุณเจิ้งหยุนหน่อยนะครับ” เส้าเหิงเอ่ยสำทับ วิธีการยึดอำนาจของอีเดนที่ดีที่สุดคือการแทรกแซงภายใน ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีเบื้องหน้าและเบื้องหลังมากมายแบบนี้ การปะทะต่อหน้าไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก

เขาไม่ได้บังคับลูกสาวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เธอเต็มใจที่จะช่วย นอกจากรูปลักษณ์หล่อเหลาของพี่น้องตระกูลเจิ้งแล้ว การได้เกี่ยวดองกันก็ส่งผลดีในทุกทาง

“ผมเองก็แค่เจ้าของผับธรรมดา ไม่รู้ว่าจะแนะนำคุณหนูเส้าได้หรือเปล่า”

“เรียกซินฉีเถอะค่ะ พี่หยุน”

“ครับ”

บทสนทนาทั่วไปผ่านไปอย่างราบรื่น โดยมีสายตาของผู้กองหนุ่มทอดมองอยู่เงียบๆ เขาไม่ได้เข้าไปร่วมบทสนทนาแต่ก็ยืนลอบฟังอยู่ในระยะที่พอได้ยิน

เส้าเหิงกำลังจะเคลื่อนไหว

 หวังหยูเฟิงขบคิด เดิมทีเส้าเหิงเป็นนักธุรกิจแนวหน้าที่ไม่ได้โดดเด่นให้ตำรวจจับตามอง แต่ก็พอจะได้ข่าวบางอย่างที่ชวนให้สงสัยบ้างเท่านั้น

อย่างเช่น...ธุรกิจที่เคยทำกับถานอี้เทา

ตอนนี้ถานอี้เทาล้มไปแล้ว ก็คงถึงเวลาที่ผู้มีอำนาจคนต่อไปเข้ามาสานต่อ

นัยน์ตาสีดำนิ่งลอบมองคนในความคิดอย่างพิจารณา เส้าเหิงยังไม่มีธุรกิจเต็มตัวในเมืองที่เขาดูแล ตอนนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้

“คุณหวังไปตักอาหารตรงนั้นกันไหมครับ พวกเรายังไม่ได้กินอะไรมาเลย”

หวังหยูเฟิงที่ตกอยู่ในภวังค์ของความคิดเลื่อนสายตาไปมองเจ้าของเสียง เจิ้งหยุนกำลังมองด้วยรอยยิ้มบางเป็นปกติ เขาพยักหน้ารับพอเป็นพิธี ก่อนจะมองไปยังบุคคลอื่นที่่ยืนอยู่

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เจิ้งหยุนบอก แล้วหันไปมองเส้าซินฉีเป็นพิเศษ “ไว้เจอกันนะครับ”

“ค่ะ”

เจิ้งหยุนเลื่อนสายตาไปสบกับพี่ชายอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากมาพร้อมกับหวังหยูเฟิง หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินมายังโต๊ะอาหารนานาชาติละลานตา ซึ่งมีบริกรคอยอำนวยความสะดวกอยู่




▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣






ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


หลังจากตักอาหารเสร็จ พวกเขาก็เดินมานั่งรับประทานกันที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมานั่งตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่

“เมื่อกี้ฉันเห็นนะ”

 ไป๋ลู่เหอที่เข้ามานั่งร่วมด้วยหันไปมองเจิ้งหยุนที่หันมามองเช่นเดียวกัน ก่อนที่เขาจะกลับไปสนใจอาหารที่ตัวเองตักมาต่อ

“ตาแก่นั่นตั้งใจจะเอาลูกสาวให้พวกเธอสักคน”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณ”

“เกี่ยวสิ! ถ้ายัดเยียดให้เธอก็ช่าง แต่ห้ามมายุ่งกับเสี่ยวเทียนของฉัน”

เจิ้งหยุนลอบชักสีหน้าอย่างหมั่นไส้ แล้วหันมาสนใจหวังหยูเฟิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ขอโทษที่มีคนมาส่งเสียงรบกวนนะครับ”

หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุน ก่อนจะหันไปมองไป๋ลู่เหอที่กำลังตีหน้าทะมึนใส่อีกฝ่าย ทั้งที่ควรจะมีบรรยากาศอึดอัดใจ แต่ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกเหมือนเห็นเด็กกำลังทะเลาะกันมากกว่า

 ”ไม่เป็นไรครับ”

 ”เด็กน้อยของฉัน กินเสร็จแล้ว เราไปดูดาวด้วยกันนะจ๊ะ” ไป๋ลู่เหอหันมาบอกผู้กองหนุ่ม ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อยด้วยท่าทางน่ารัก “เธอติดคำขอโทษกับฉันอยู่นะ”

“ได้ครับ” ผู้กองหวังตอบรับแต่โดยดี เขาอยากหมดธุระกับไป๋ลู่เหอ แล้วก็อยากสอบถามบางอย่างอีกด้วย

 ไป๋ลู่เหอยิ้มรับอย่างอารมณ์ดี แล้วหันไปยักคิ้วให้เจิ้งหยุนเล็กน้อย ทั้งที่ปกติชายหนุ่มเรือนผมแพรไหมจะต้องตอบโต้กลับ ทว่าเขากลับทำเพียงแค่มองโดยไม่ได้โต้แย้งอะไร

ในเมื่อตอนนี้เจิ้งหยุนอยากจะคุยกับพี่ชายตามลำพังสักหน่อยเหมือนกัน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




 ใจกลางเมืองที่ทันสมัย ถึงแม้ดวงดาวที่ส่องสว่างบางครั้งจะเป็นแค่แสงไฟที่ลวงตา แต่ความงดงามที่มนุษย์สรรสร้างก็ให้ความแปลกตาชวนหลงใหล

“หวังหยูเฟิง”

เสียงหวานที่เอ่ยขึ้น ชวนให้ขนลุกชัน แต่หวังหยูเฟิงก็ยังคงท่าทางปกติ แล้วหันไปมองไป๋ลู่เหอที่เดินควงแขนของเขาอยู่

 ”ครับ”

“คืนนั้นไปทำอะไรที่ร้านของฉันหรือ”

“ผมมีธุระที่ต้องตามหาคนที่นั่นครับ”

“ใคร? หรือแฟนของเธอแอบมาที่ร้านของฉันกับชู้?”

 ”ไม่ใช่ครับ ผมยังไม่มีแฟน”

ไป๋ลู่เหอยิ้มออกมากับท่าทางปฏิเสธอย่างหนักแน่น เขาสนใจและเอ็นดูอีกฝ่ายในคราวเดียวกัน เพราะคนรอบตัวมีแต่พวกตีสองหน้าจนชวนให้ปวดหัว ถึงอยากจะฟัดให้หนำใจ แต่ถ้าหากเผลอลงมือรังแกหวังหยูเฟิงเข้า คงต้องมาเคลียร์ปัญหากับเด็กนิสัยไม่ดีแน่

ถึงเจิ้งหยุนจะไม่ได้บอกชัดเจน แต่เขาก็ดูออก เพราะเคยดูแลอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ลอบมองมาตั้งแต่ต้น ท่าทางเอาใจใส่ของเด็กปากเสียคนนั้นที่แสดงออกมา มันไม่ใช่นิสัยทั่วไปของคุณชายเจิ้งผู้เอาแต่ใจ

หึ! ไม่นึกว่าจะชอบแบบนี้ด้วย...

“อย่างนั้นหรือ”

“ว่าแต่...ผมจะขอสอบถามคุณไป๋หน่อยได้ไหมครับ”

หวังหยูเฟิงหันมามองไป๋ลู่เหอด้วยสายตาจริงจังขึ้น เขารวบรวมความคิดเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มต้นคำถามแรก หลังจากที่ร่างบางพยักหน้าเป็นการอนุญาต

“คุณรู้จักกับเจิ้งหยุนมานานหรือยังครับ”

 ไป๋ลู่เหอไม่ได้นึกแปลกใจ เขาเพียงแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจพอเป็นพิธี ก่อนจะกล่าวหยอกเย้ากระเง้ากระงอด

“ทำไมถึงถามเรื่องของคนอื่นต่อหน้าฉันล่ะ แบบนี้ฉันเสียใจนะ”

หวังหยูเฟิงพยายามเก็บอารมณ์ของตัวเอง เมื่อถูกเรือนร่างบอบบางแนบชิดมากกว่าเดิม

 ”ตอนนี้ผมกำลังทำงานดูแลคุณเจิ้งอยู่ เลยอยากรู้เรื่องรอบตัวของเขา แล้วผมก็เห็นพวกคุณสนิทกันดี”

 ”อืม...ก็รู้จักมานานแล้วล่ะ ฉันรู้จักพี่ชายของเขาด้วยนะ”

“ในความคิดของคุณ คุณเจิ้งหยุนเป็นคนอย่างไรครับ”

“ก็นิสัยไม่ดีเลยน่ะสิ ปากร้าย ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจของฉันอยู่เรื่อย”

ไป๋ลู่เหอตีหน้าเศร้าพร้อมกับเอียงศีรษะซบไหล่ของผู้กองหวังอย่างอ่อนหวาน

“ฉันอยากให้มีใครสักคนมาปกป้องหัวใจดวงน้อยของฉันบ้าง เธอจะช่วยฉันได้ไหม”

 ”ไม่ได้หรอกครับ”

หวังหยูเฟิงที่ตอบปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด ทำให้ไป๋ลู่เหอต้องหันไปมอง นัยน์ตากลมกำลังเอ่อคลอด้วยหยดน้ำอย่างน่าสงสาร

 ”ทำไมล่ะ...ฉันสวยไม่พอหรือ”

“คุณสวยมากครับ แต่ผมไม่ชอบผู้ชาย”

“ฉันเป็นผู้หญิง!”

“เอ่อ...ครับ ผมไม่ชอบผู้ชายที่กลายเป็นผู้หญิงน่ะครับ”

ไป๋ลู่เหอสบตากับหวังหยูเฟิง ก่อนใบหน้าเศร้าจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม แล้วเสียงหัวเราะหวานก็ดังขึ้น ซึ่งปฏิกิริยาของร่างบางก็สร้างความงุนงงให้กับผู้กองหนุ่มไม่น้อย

“ฉันยอมแพ้ก็ได้” ไป๋ลู่เหอเอ่ยขึ้นพร้อมกับควงแขนของนายตำรวจ เขาซบศีรษะลงที่ไหล่กว้างเหมือนเดิมอีกครั้ง “แต่ถ้าเปลี่ยนใจ ก็มาหาฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ”

หวังหยูเฟิงไม่ตอบรับ เพราะไม่อยากสานต่อบทสนทนานี้อีก เขาผลักความสับสนเมื่อครู่ออก แล้วกลับมาสนใจเรื่องงานของตัวเองอีกครั้ง

“ผมกำลังตามหาคนร้ายที่ลอบยิงคุณเจิ้งหยุนอยู่ คุณคิดว่ามีใครน่าสงสัยไหมครับ”

“ไม่รู้สินะ คงจะไปปากเสียจนทำให้ใครหมั่นไส้เข้าจนอยากยิงทิ้งล่ะมั้ง ฉันยังอยากเอาส้นสูงตบปากเด็กนั่นเลย”

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว เขาอยากจะถามเจาะลึกมากกว่านี้ แต่ก็กลัวจะดูน่าสงสัยเกินไป

“ฉันไม่รู้หรอกว่า เธอต้องการข้อมูลอะไรหรือกำลังสงสัยอะไร แต่เขาเป็นคนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด”

หวังหยูเฟิงเลื่อนสายตาไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน ใบหน้างดงามที่ทาบทับด้วยแสงจันทร์บางเบายังคงซบไหล่ของเขา เรือนผมดัดลอนสีอ่อนพลิ้วไหวไปตามแรงลมชวนมอง ทว่าสิ่งที่ผู้กองหนุ่มสนใจกลับเป็นเสียงหวานที่กำลังเอื้อนเอ่ย

“ถ้าหากเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ ก็จะไม่มีใครรู้”





TBC++++++++  12หลังม่านปิด



Marionetta
  ดีค่ะ ตอนนี้ก็ยังยุ่งๆ อยู่ค่ะ แต่ก็จะพนานามทยอยมาลงเท่าที่หาโอกาสได้ค่ะ ขอบคุณที่ติดตาม แล้วก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ^^

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
12
หลังม่านปิด





ในขณะที่ไป๋ลู่เหอกำลังอ้อล้อกับหวังหยูเฟิงอยู่นั้น เจิ้งหยุนที่แยกตัวออกมาก็เดินออกจากห้องจัดเลี้ยงตรงไปยังลิฟต์ของโรงแรม เมื่อตู้โดยสารเคลื่อนที่มาถึงชั้นบนสุด ชายหนุ่มก็เดินไปยังห้องหนึ่ง แล้วเปิดประตูเข้าไป

ภายในห้องหรูหราชั้นหนึ่งของโรงแรมมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งจิบวิสกี้อยู่บนโซฟา ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังทอดมองวิวค่ำคืนในมุมสูงหันมามองผู้มาเยือน

“ว่าอย่างไร”

เจิ้งเทียนวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะใกล้มือ เจิ้งหยุนเดินมานั่งลงบนโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีเฉื่อยชา นัยน์ตาคมมองพี่ชาย แล้วเริ่มต้นธุระของตัวเอง

“เรื่องเจ้านั่น” 

               เขาไม่จำเป็นต้องเรียกชื่อบุคคลที่สาม ประธานของอีเดนก็สามารถรับรู้ได้ว่ากำลังเอ่ยถึงใคร เจิ้งเทียนอมยิ้มเล็กน้อย

               “แค่กาฝาก”

“หึ! แล้วอยากปล่อยไว้หรือตัดทิ้ง”

“ตามใจนาย พี่ไม่ได้สนใจเท่าไร”

“ใจดำ”

เจิ้งหยุนบ่นออกมา เพราะตอนนี้เขากำลังถูกพี่ชายโยนงานมาให้อีกแล้ว!

“ก็เธอทำท่าสนใจนายมากกว่าพี่” เจิ้งเทียนบอก แล้วหันไปมองวิวผ่านหน้าต่างใสขนาดใหญ่ “แค่หมาบ้านที่ริอยากจะเป็นหมาป่า ถ้ามาเกะกะก็จัดการได้เลย ไม่ต้องสนใจ”

นัยน์ตาคมที่ทอแววยิ้มฉาบความโหดเหี้ยมชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ ฉายาเทพบุตรแห่งอีเดนเป็นเพียงหน้ากากที่คนทั่วไปมองเห็น

“จริงสิ แล้วเรื่องตำรวจคนนั้น?”

เจิ้งเทียนขยับตัวเล็กน้อย เขาไว้ใจน้องชายเสมอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้

“เรื่องของผม”

“พี่ไม่อยากให้นายเสี่ยงเกินไป”

“งานของผมก็เสี่ยงทุกอย่างอยู่แล้ว”

บางครั้งการครอบครองก็ต้องเหยียบย่ำผู้อื่นเพื่อให้ได้ไปจุดที่สูงกว่า ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการกำหนดและคุมอำนาจ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเสียสละผลประโยชน์อันหอมหวานให้ตกอยู่ในมือของคนอื่น

ในฐานะของน้องชาย เจิ้งหยุนมีหน้าที่ช่วยเหลือและส่งเสริมพี่ชายในการดูแลบริหารธุรกิจของตระกูล สิ่งไหนที่เจิ้งเทียนไม่สามารถคว้ามาได้ด้วยตัวเอง เขาก็ต้องเป็นคนจัดการ เพราะนักธุรกิจที่ขาวสะอาดไม่ควรแปดเปื้อน

“เอาเถอะ แล้วไอ้แก่หื่นกามเป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็คงอีกไม่นานนักหรอก”

“พี่ไม่ได้รีบ แต่อย่าให้เหลือซาก”

 ”อืม”

 เจิ้งหยุนลุกขึ้น เมื่อหมดธุระของตัวเองแล้ว เขาไม่ค่อยได้คุยกับพี่ชายนัก ส่วนใหญ่เจิ้งเทียนจะติดต่อผ่านอู่หนิงมากกว่า

“มีอะไรบอกพี่ได้ทุกเรื่อง”

ถึงแม้พวกเขาจะเกิดในตระกูลที่เปื้อนเลือด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็ไม่ต่างจากครอบครัวทั่วไป ไม่ว่าเจิ้งหยุนจะเติบโตและแข็งแกร่งสักแค่ไหน แต่ในฐานะพี่ชายแล้ว เจิ้งเทียนก็ยังห่วงใยน้องชายเสมอ

“อืม”

เจิ้งหยุนเดินออกจากห้องไปแล้ว เหลือเพียงชายหนุ่มอีกคนที่ยังนั่งทอดอารมณ์อยู่กับเครื่องดื่มรสร้อนแรงเพียงลำพัง อันที่จริงแล้วเจิ้งเทียนอยากเป็นแบบน้องชาย แต่ก็ทำได้เพียงอิจฉาเท่านั้น ในเมื่อสถานะของลูกชายคนโตของตระกูลเจิ้งเป็นที่จับตามอง

หน้ากากนักธุรกิจที่ฟาดฟันด้วยเล่ห์เหลี่ยมและเงินตราก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่ชายหนุ่มก็ยังถูกกักขังในที่แจ้งจนไม่อาจทำได้อย่างที่ใจอยาก

อยากละเลงเลือดได้อย่างอิสระเหมือนเจิ้งหยุน...

น้องชายที่ควบคุมฉากหลังที่ไม่อาจเปิดเผยได้ของตระกูลในตอนนี้

เจิ้งเทียนถอนหายใจ เขาก็ได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจเท่านั้น วันไหนที่อยากปลดปล่อยอารมณ์ ชายหนุ่มก็ไปที่สนามยิงปืนทดแทนความต้องการของตัวเอง

ถึงแม้ปัจจุบันใครต่างก็รู้ว่า ตระกูลเจิ้งหลุดพ้นจากแวดวงธุรกิจมืดมาหลายสิบปีแล้ว ทว่าไม่มีอำนาจไหนที่เจริญงอกงามจากสิ่งที่ถูกต้อง สีดำที่ถูกป้ายสีขาวกี่ร้อยกี่พันครั้งจนมองไม่เห็น แต่สีแรกเริ่มก็ไม่มีวันหายไป ตราบใดที่ไม่อยากให้ใครเห็นสีเดิมที่อาจเปิดเผยออกมาในสักวัน ก็จำเป็นต้องทาสีสะอาดทับซ้ำไปเรื่อยๆ จนไม่มีใครล่วงรู้ถึงสีที่แท้จริงอีกต่อไป





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





“คุณไปที่ไหนมา”

เจิ้งหยุนหันหลังกลับไปมอง เมื่อเห็นหวังหยูเฟิงที่มีไป๋ลู่เหอตามติดกำลังมองมาอย่างจับผิด ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ผมออกไปดูพนักงานที่ห้องจัดเลี้ยงอื่นครับ ไม่ค่อยได้ไปทำงานที่บริษัท เลยต้องไปทักทายพนักงานหน่อย”

หวังหยูเฟิงไม่ได้เชื่อคำพูดนั้น แต่ผู้กองหนุ่มก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร ตอนนี้งานเลี้ยงผ่านไปสักพักแล้ว และมีแขกหลายคนที่ขอตัวกลับ

“คุณเจิ้งหยุน”

ชายหนุ่มเรือนผมสีดำยาวหันไปตามเสียงเรียก สองพ่อลูกตระกูลเส้ากำลังเดินเข้ามาพูดคุยด้วย

“ครับ”

“ผมคงต้องกลับก่อน พอดีไม่เจอคุณเจิ้งเทียนเลยมาลากับคุณแทน”

“ครับ ขอบคุณที่มาร่วมงานครับ”

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ขอฝากดูแลฉีฉีด้วยนะครับ”

เจิ้งหยุนส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ข้างบิดาของเธอ เส้าซินฉีไม่ได้หลบสายตา นัยน์ตากลมสวยมองกลับอย่างอ่อนหวาน

“ครับ”

หลังจากคล้อยหลังเส้าเหิงและลูกสาวไปแล้ว ไป๋ลู่เหอที่ยืนอยู่ด้วยก็ชักสีหน้าออกมา เขาเชิดใบหน้าขึ้นราวกับต้องการดูถูกคนที่กำลังจะเอ่ยถึง

“หึ! คิดจะใช้ลูกสาวล่อผู้ชาย สวยเทียบฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ”

หวังหยูเฟิงกับเจิ้งหยุนไม่ได้ตอบรับอะไร อันที่จริงแล้วเส้าซินฉีถือเป็นผู้หญิงสวยน่ามองคนหนึ่ง เพียงแต่จุดประสงค์ของเธอทำให้ไป๋ลู่เหอนึกรังเกียจ

เจิ้งหยุนไม่ได้สนใจท่าทีของไป๋ลู่เหอ เขามองสำรวจหวังหยูเฟิงแล้วลอบผ่อนลมหายใจออกมา เมื่อไม่มีร่องรอยอะไรที่ทำให้เสียอารมณ์ ก่อนที่นัยน์ตาคมจะเลื่อนไปมองใบหน้าสวยที่ขยิบตามาให้อย่างรู้ทันความคิด

“ฉันกลับบ้างดีกว่า เอาไว้เจอกันนะ”

ไป๋ลู่เหอโบกมือลาด้วยท่าทางงดงาม แล้วเดินนวยนาดจากไปให้ผู้ชายในงานได้แต่มองตามจนเหลียวหลัง บรรยากาศในงานเลี้ยงเริ่มซาลง อาจเป็นเพราะเจิ้งหยุนไม่ได้เข้าไปทำงานบริหารบริษัทอีเดน คอร์เปอเรชั่นเต็มตัว ทำให้ไม่ค่อยมีใครเข้ามาทักทายเท่าไรนัก จนกระทั่งเจิ้งเทียนที่หายตัวไปกลับเข้ามาในงานเลี้ยง ทายาทคนเล็กของตระกูลเจิ้งก็ชวนผู้กองหวังกลับ

“ไม่ไปลาพี่ของคุณหน่อยหรือ”

               “ไม่เป็นไรครับ”

หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนเล็กน้อย เขามองเลยไปยังเจิ้งเทียนที่กำลังยืนยิ้มพูดคุยกับแขก แล้วเดินตามชายหนุ่มผมยามไปยังด้านหน้าของโรงแรมที่มีรถยนต์รอรับพร้อมกับความคิดที่พักนี้เข้ามาในสมองบ่อยเหลือเกิน

เขามาทำอะไรกัน...




▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





พวกเขาเดินทางมาถึงคฤหาสน์ริมทะเลในเวลาเที่ยงคืน โดยมีอู่หนิงและสาวรับใช้ยืนต้อนรับ เจิ้งหยุนเดินไปยังชั้นสองพร้อมกับหวังหยูเฟิงอย่างไม่รีบร้อน

 ”ราตรีสวัสดิ์ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยลา เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องของแขกคนสำคัญ

“เช่นกันครับ” หวังหยูเฟิงตอบรับไปตามมารยาท ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง

เจิ้งหยุนมองจนบานประตูไม้ปิดลง เขาถึงสาวเท้าไปยังห้องของตัวเองบ้าง เมื่อเดินเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มก็ถอดเสื้อสูทที่ใส่อยู่ออก ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าด้านในที่มีผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งอยู่

ผ้าเช็ดหน้าของหวังหยูเฟิง

ผ้าฝ้ายสีเรียบแสนธรรมดาที่พับเอาไว้ถูกคลี่ออก เจิ้งหยุนเอนตัวลงนอนบนเตียงใหญ่ทั้งที่สายตายังคงมองสิ่งที่กำลังถืออยู่ตรงหน้า ก่อนที่เขาจะปล่อยมือจากผ้าผืนบางให้มันตกลงมาบนใบหน้าของตัวเอง แล้วหลับตาสูดกลิ่นหอมสะอาดอย่างเชื่องช้า

ถึงแม้จะได้ใกล้ชิดแบบถึงเนื้อถึงตัวกับหวังหยูเฟิงเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เจิ้งหยุนก็พอจะจำกลิ่นกายของผู้ชายคนนั้นได้ เขาอมยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่อยู่ข้างห้องนอนของตัวเองตอนนี้

จะทำอย่างไรต่อดี...

เจิ้งหยุนใช้ความคิดกับตัวเองไปเรื่อย โดยไม่ได้สนใจว่าเวลานี้เขาควรจะพักผ่อนได้แล้ว ถึงเขาจะยังไม่มีแผนการในใจ แต่ผ้าเช็ดหน้าของหวังหยูเฟิงจะไม่ได้กลับคืนสู่เจ้าของแน่นอน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5

ในวันธรรมดาที่ไม่มีอะไรคืบหน้านักของหวังหยูเฟิง ผู้กองหนุ่มที่เพิ่งรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ก็เดินตามเจ้าของคฤหาสน์มาที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้เมื่อวันก่อนขึ้นมาอ่านต่อบนโซฟาราวกับคนว่างงาน

งานเลี้ยงประจำปีของบริษัทอีเดนเมื่อสองวันก่อนจบลงอย่างราบรื่นพร้อมกับข้อมูลน้อยนิดที่ผู้กองหวังได้รับ ถึงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีที่เขาตามอยู่ แต่เรื่องราวของเส้าเหิงและลูกสาวที่กำลังเข้ามาทำธุรกิจในเมืองนี้ก็น่าสนใจ

ตอนนี้เขาคงทำได้แค่รอเวลาที่อีกฝ่ายจะเผยตัว

เจิ้งหยุนมองท่าทางของผู้กองหนุ่มที่ทำหน้าเคร่งเล็กน้อย แล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเล่นฆ่าเวลาบ้าง วันนี้เขาตั้งใจจะพาหวังหยูเฟิงไปขับเรือเล่น แต่สภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจนัก ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตกมาได้ทุกเมื่อ

พวกเขาใช้เวลาช่วงสายกับตัวอักษรในหนังสือโดยไม่ได้พูดคุยอะไร ทว่าต่างคนก็ต่างลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเป็นระยะ ในขณะที่หวังหยูเฟิงครุ่นคิดกับตัวเองในเรื่องต่างๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องของผู้ต้องสงสัยที่กำลังนั่งอยู่ไม่ห่างกันนัก เจิ้งหยุนก็กำลังหาวิธียึดครองผู้กองหนุ่มอย่างละมุนละม่อม ก่อนทุกความคิดจะถูกขัดจังหวะ เมื่อมีสาวรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา

“นายค่ะ คุณเส้าซินฉีมาพบค่ะ”

เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เขาไม่นึกว่าเส้าซินฉีจะรุกเร็วแบบนี้ ชายหนุ่มวางหนังสือลงที่โต๊ะเล็กข้างโซฟา

                ”อืม เดี๋ยวฉันไป”

หลังจากสาวรับใช้เดินออกไป เจิ้งหยุนก็หันไปทางผู้กองหวังที่กำลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์

“คุณหวังจะพบคุณหนูเส้ากับผมไหมครับ”

“ไปสิ”

หวังหยูเฟิงลุกขึ้นทันที นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ผู้กองหนุ่มย้ายเข้ามาอาศัยที่มีแขกมาหาเจิ้งหยุน ผู้มาเยือนไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลหรืออยู่ในแวดวงธุรกิจมืด แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง

เขาอยากรู้เหมือนกันว่าเธอมาทำอะไร...

ผู้กองหวังขบคิดกับตัวเองพร้อมกับเดินตามเจ้าของคฤหาสน์ไปยังห้องรับแขก เมื่อพวกเขาเดินมาถึง เจิ้งหยุนก็ส่งเสียงทักทาย 

“สวัสดีครับคุณซินฉี”

“สวัสดีค่ะพี่หยุน ขอโทษนะคะที่มาหา โดยไม่ได้นัดล่วงหน้าแบบนี้”

“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”

เจิ้งหยุนนั่งลงที่โซฟา ซึ่งจัดวางอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว โดยที่มีหวังหยูเฟิงยืนอยู่ห่างออกมา แต่ก็ยังรับรู้บทสนทนาของคนทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน เส้าซินฉีหันมามองนายตำรวจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทักทาย ก่อนที่เธอจะหันไปสนใจชายหนุ่มผมยาวต่อ

               “อย่างที่คุณพ่อบอกไปเมื่อคืนก่อน ซินฉีอยากมาเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวที่นี่ ก็เลยอยากมาปรึกษาพี่หยุนน่ะค่ะ” เส้าซินฉีเอ่ยถึงจุดประสงค์การมาเยือนของตัวเอง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยท่าทางที่ชวนให้เอ็นดู “จะหาว่าซินฉีใจร้อนก็ได้ค่ะ แต่พอคิดอยากจะทำ ก็อยากจะเริ่มให้เร็วที่สุด”

“ครับ แล้วคุณซินฉีสนใจธุรกิจแบบไหนอยู่หรือครับ” เจิ้งหยุนถามกลับไปตามเรื่อง เขาไม่ได้สนใจเรื่องของหญิงสาวเท่าไรนัก แต่ในเมื่อรับปากไปแล้วจะไม่สนใจเลยก็คงไม่ได้

“ซินฉีก็ไม่แน่ใจค่ะ เลยอยากรบกวนพี่หยุนช่วยพาไปดูรอบเมืองนี้หน่อยค่ะ”

“วันนี้คงไม่เหมาะหรอกครับ เพราะอากาศไม่ดีเท่าไร” เจิ้งหยุนบอกไปตามตรง แล้วเผยรอยยิ้มบางแสนสุภาพออกมา “คืนนี้ไปดูที่ผับของผมก่อนไหมล่ะครับ”

“ได้สิคะ ขอบคุณค่ะ!” เส้าซินฉีตอบรับด้วยรอยยิ้มหวาน เธอมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นซินฉีขอตัวก่อนนะคะ แล้วเราค่อยไปเจอกันที่ผับกาเบรียล”

“ได้ครับ”

เจิ้งหยุนมองเส้าซินฉีที่เดินออกไปอย่างพิจารณา เขาคิดว่าหญิงสาวจะถ่วงเวลาอยู่ที่นี่จนไปที่ผับกาเบรียลพร้อมกับเขาเสียอีก แต่ในเมื่อไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว

ชายหนุ่มไม่สนใจหรอกว่า เส้าซินฉีคิดจะทำอะไร จะอยากลงทุนทำธุรกิจที่นี่จริงหรือเป็นนกต่อให้เส้าเหิงเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง แต่เธอจะไม่ได้อะไร ถ้าหากเขาไม่เต็มใจให้

เจ้าของคฤหาสน์ลุกขึ้นจากโซฟา แล้วหันไปมองหวังหยูเฟิงที่กำลังยืนอยู่ห่างออกไป เขาอมยิ้มเล็กน้อย เมื่อได้สบนัยน์ตาจริงจังคู่นั้น

“คืนนี้คงต้องพาคุณหวังเที่ยวกลางคืนแล้ว”

“ผมไปทำงาน”

เจิ้งหยุนหัวเราะเบาๆ กับคำตอบที่จริงจังเสมอ ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นพร้อมกับผู้กองหวังเพื่ออ่านหนังสือที่ค้างเอาไว้ต่อ




▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





เมื่อรั้วประตูขนาดใหญ่ถูกปิดลง เส้าซินฉีที่นั่งหลังตรงที่เบาะด้านหลังของรถยนต์คันหรูกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ เธออยากจะใช้เวลาสร้างความคุ้นเคยกับเจิ้งหยุนมากกว่านี้ก่อน แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะหาโอากาสดีอย่างคืนนี้ได้อีกไหม

เจิ้งหยุนเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวต่างจากเจิ้งเทียน เธอไม่แน่ใจว่า ชายหนุ่มคนนี้จะช่วยเหลือตามที่อ้างได้มากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าหากเขาจะไม่สนใจเลยก็ได้ คืนนี้คงจะไปดูผับกาเบรียลอย่างเดียวไม่ได้แล้ว

คงต้องเปิดแผนบุกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ไหวตัว!

เส้าซินฉียิ้มออกมา ก่อนจะหันไปมองวิวข้างทางที่ผ่านไปตามความเร็วของยานพาหนะ ก่อนหน้านี้บิดาได้เล่าถึงความต้องการของท่าน แล้วเอ่ยถึงบุตรชายทั้งสองของตระกูลเจิ้ง ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่างที่มีมูลค่ามหาศาลในนามของอีเดน คอร์เปอเรชั่นให้เธอฟัง

เส้าซินฉีไม่ใช่ผู้หญิงที่ใครจะมาบังคับกันได้ เธอเป็นลูกคุณหนูและถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก นอกจากนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้สนใจธุรกิจของครอบครัว เป้าหมายในชีวิตก็คือการได้แต่งงานกับผู้ชายหน้าตาดีที่มีฐานะเท่าเทียมหรือสูงกว่าเท่านั้น นอกจากจะช่วยเกื้อกูลธุรกิจของบิดาแล้ว ก็ยังสามารถใช้เงินได้ตามใจปรารถนาอย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต

เธอคงจะไม่กระตือรือร้นทำตามความต้องการของบิดา ถ้าหากผลลัพธ์นั้นไม่ตรงกับความตั้งใจของตัวเองพอดี

               เส้าเหิงไม่ได้เจาะจงให้เส้าซินฉีเลือกใคร แต่หลังจากได้พูดคุยและพบเจอด้วยตัวเองแล้ว ก็พบว่าทายาทคนเล็กของอีเดนเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

 เจิ้งหยุนดูเหมือนผู้ชายมาดเท่แสนสุภาพที่น่าค้นหา ต่างจากเจิ้งเทียนที่มีบุคลิกเป็นกันเองและเข้าถึงได้ง่าย แต่มีชั่ววินาทีหนึ่งที่ได้สบตากับเขา นัยน์ตาสีดำคู่นั้นส่อแววอำมหิตจนเธอผวา

สายตาราวกับปิศาจกระหายเลือด

เส้าซินฉีลูบแขนของตัวเอง เมื่อนึกถึงสายตาน่ากลัวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของนักธุรกิจผู้มีฉายาเทพบุตรแห่งอีเดน ก่อนที่รถยนต์คันหรูจะจอดลงที่ลานจอดรถของคอนโดมีเนียมราคาแพง เธอเดินตรงไปที่ลิฟต์ แล้วสาวเท้าไปยังห้องพักของตัวเอง

ท้องฟ้าสีเทาตอนนี้กำลังมีเม็ดฝนโปรยปราย ทว่าคุณหนูเส้าไม่ได้สนใจสภาพอากาศภายนอก เธอหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา หลังจากตัดสินใจบางอย่างได้เด็ดขาด





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ฝนที่ตกมาตั้งแต่บ่ายเพิ่งจะหยุดตอนห้าโมงเย็น แล้วเริ่มร่วงหล่นอีกครั้งตอนประมาณหนึ่งทุ่ม หวังหยูเฟิงที่กำลังอยู่ในรถยนต์ข้างชายหนุ่มเรือนผมยาวถอนหายใจออกมา

หวังหยูเฟิงไม่ค่อยชอบสายฝนเท่าไรนัก นอกจากอากาศจะชวนให้รู้สึกขี้เกียจแล้ว มันก็สร้างความหงอยเหงา เมื่อนึกถึงสมัยที่ยังอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า มีครั้งหนึ่งเขาถูกเด็กคนอื่นแกล้ง เพราะไม่ยอมเป็นลูกไล่ทำตามคำสั่ง เลยถูกจับมัดกับต้นไม้ตากฝนจนไม่สบายไปหลายวัน

พวกเขาใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงผับกาเบรียล เจิ้งหยุนเดินลงจากรถโดยมีอู่หนิงเป็นคนเปิดประตูให้ ร่มสีดำขนาดใหญ่ถูกกางออกเพื่อป้องกันเม็ดฝนที่กำลังโปรยปรายอย่างต่อเนื่อง เจ้าของผับกำลังรับร่มอีกคันแล้วตั้งใจจะเดินไปรับคนที่นั่งมาด้วยกัน แต่หวังหยูเฟิงก็เปิดประตูออกมา โดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียก

“รีบลงมาทำไมครับ” เจิ้งหยุนว่าพร้อมกับกางร่มให้ผู้กองหนุ่ม แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมาซับน้ำที่เกาะบนใบหน้าจริงจังอย่างเบามือ หวังหยูเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่งกับการบริการแสนประทับใจที่เขาไม่ได้ต้องการ

“ลูกผู้ชายต้องไม่กลัวเปียก” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ หลังจากรับร่มมาใช้งาน สายตามองท่าทางของเจิ้งหยุนที่ปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “ขอบคุณ แต่คุณไม่ต้องดูแลผมดีขนาดนี้ก็ได้ ผมมีหน้าที่ดูแลคุณ ไม่ใช่ให้คุณดูแล”

“ไม่กลัวเปียก ก็ควรกลัวเรื่องสุขภาพบ้างนะครับ” เจิ้งหยุนว่าต่อ เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชื้นของตัวเองใส่กระเป๋ากางเกงพร้อมกับสบนัยน์ตาสีดำที่มองมานิ่ง “ถึงผมจะไม่ได้มีหน้าที่ดูแลคุณ แต่ผมเป็นห่วงคุณครับ”

หวังหยูเฟิงนิ่งงัน ความรู้สึกบางอย่างปริแตกและก่อตัวขี้นอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาคมสีรัตติกาลที่แสดงควมจริงใจ ทำให้ความเย็นจากละอองฝนอุ่นซ่านที่หัวใจของชายหนุ่มขึ้นมาทีละน้อย





TBC++++++++++  13   ความจงใจของกาเบรียล



Marionetta
เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ขอให้รวยๆ เฮงๆ กันนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^  :mc4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-02-2019 14:24:30 โดย marionatte »

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
เต๊าะสุดดดดดดด

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
13
ความจงใจของกาเบรียล







ถึงแม้ฝนจะตกลงมา แต่ผับกาเบรียลในคืนนี้ก็ยังได้รับความนิยมเช่นเคย หวังหยูเฟิงมองบรรยากาศของสถานบันเทิงชื่อดังในย่านนี้ ก่อนจะเดินตามเจิ้งหยุนไปที่ลิฟต์

“ผับกาเบรียลมีทั้งหมดห้าชั้นครับ ชั้นแรกให้บริการเครื่องดื่ม ชั้นสองเปิดรับรองแขกวีไอพีหรือผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ตั้งแต่ชั้นที่สามขึ้นไปเป็นส่วนของสำนักงาน” เจิ้งหยุนอธิบาย หลังจากกดปุ่มไปยังชั้นสาม ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกมาจากลิฟต์ “ที่ชั้นนี้ผมใช้รับรองแขกที่มาเข้าพบหรือต้องการคุยธุระครับ”

“ดูเหมือนบริษัทเลยนะ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองโดยรอบไปด้วย เจิ้งหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อย

 ”ก็คงอย่างนั้นมั้งครับ ผับก็เป็นธุรกิจอย่างหนึ่งไม่ต่างจากบริษัททั่วไปนี่ครับ” เจิ้งหยุนตอบรับ เขาเดินนำผู้กองหวังเข้ามาในห้องรับรองที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ทันสมัย “ผมขอตัวไปดูงานสักหน่อย ไม่ได้มาหลายวันแล้ว คุณจะพักอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ครับ อยากดื่มอะไรก็สั่งพนักงานได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

“ห้องทำงานของคุณอยู่ที่ไหน” หวังหยูเฟิงเอ่ยถาม เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อผ่อนคลายอารมณ์เหมือนลูกค้าที่มาใช้บริการที่ผับแห่งนี้

  “ห้องทำงานของผมอยู่ชั้นห้าครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ ก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงแสร้งสงสัย “คุณหวังอยากไปดูห้องทำงานของผมหรือครับ”

“ผมอยากเดินเล่นที่นี่หน่อยได้หรือเปล่า” หวังหยูเฟิงเอ่ยไปอีกเรื่อง ถึงเขาจะเคยประกาศเจตนารมณ์ของตัวเองไปแล้ว และก็เริ่มสนิทจนไม่ค่อยนึกเกรงใจอีกฝ่ายเท่าไรนัก แต่ชายหนุ่มก็ยังสงวนท่าทีในการหาหลักฐานของตัวเองอยู่

“ตามสบายครับ”

หวังหยูเฟิงมองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบางของเจิ้งหยุนอย่างนึกหมั่นไส้เล็กน้อย แต่ก็รีบปัดความรู้สึกนั้นออกไป เมื่อนึกถึงหน้าที่ที่ต้องทำต่อจากนี้

หวังหยูเฟิงเดินออกจากห้องรับรองพร้อมกับเจิ้งหยุน ในขณะที่ผู้กองหนุ่มกำลังจะเดินแยกไปอีกทางเพราะจะเริ่มสำรวจที่ชั้นนี้ เขาก็โดนเรียกเอาไว้เสียก่อน

“คุณหวังครับ”

หวังหยูเฟิงหันไปมองชายหนุ่มผมยาวที่ส่งบางอย่างมาให้ และเมื่อเขารับมาก็รู้ว่ามันคือคีย์การ์ดอันหนึ่ง นัยน์ตาที่แสดงความจริงจังเป็นนิจเลื่อนไปมองอีกฝ่ายทันที

“นี่เป็นคีย์การ์ดสำหรับใช้งานลิฟต์ครับ สามารถขึ้นได้ทุกชั้น”

หวังหยูเฟิงไม่ได้ตอบรับอะไร นอกจากเอาคีย์การ์ดใส่กระเป๋ากางเกงของตัวเอง เขาได้แต่มองแผ่นหลังของเจ้าของผับกาเบรียลเดินเข้าไปในลิฟต์ที่อยู่ห่างออกไปอย่างใช้ความคิด ผู้กองหนุ่มชักสีหน้าเล็กน้อย เมื่อรู้เท่าทันเจตนาของอีกฝ่าย

เจิ้งหยุนมั่นใจว่า เขาจะต้องไปหาที่ห้องทำงานอย่างแน่นอน

หึ!

หวังหยูเฟิงปรับอารมณ์ขุ่นเคืองที่ถูกเจิ้งหยุนหยอกล้ออย่างคนเหนือกว่า ก่อนจะเริ่มเดินไปตามทางเดินที่เงียบสงบของชั้นรับรองเพียงลำพัง





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หวังหยูเฟิงใช้เวลาเดินวนรอบชั้นสามได้เพียงไม่นาน เขาก็ลงไปยังชั้นล่างของอาคารที่เปิดให้บริการเครื่องดื่มและเสียงเพลงกับลูกค้า

ทำนองเร้าใจจากบทเพลงที่ดีเจคัดสรรมาอย่างดีสร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้ที่มาใช้บริการได้ไม่น้อย บริกรชายและหญิงต่างก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ถึงที่นี่จะเป็นเหมือนสวรรค์ของใครหลายคน แต่สำหรับผู้กองหนุ่มแล้ว สถานที่วุ่นวายแบบนี้ชวนให้เขาปวดหัวมากกว่า

เขามองโดยรอบของผับอีกครั้ง ก่อนจะสะดุดตากับผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามา หวังหยูเฟิงไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปหาทันที

 ”เหอผิง”

“อ้าว! ผู้กองหวัง”

เหอผิงยิ้มออกมาอย่างดีใจ ช่วงนี้เขาไม่ค่อยเห็นหน้าผู้บังคับบัญชาของตัวเองนัก เพราะอีกฝ่ายต้องไปทำภารกิจนอกสถานที่ ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะมีโอกาสได้เจอ

“เป็นอย่างไรบ้าง” หวังหยูเฟิงเอ่ยถาม หลังจากเดินนำเหอผิงไปยังที่ลับตาคน

“ครับ โดยรวมที่นี่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ส่วนคนที่ผู้กองให้ผมจับตาดู ก็ยังไม่แสดงท่าทีอะไรน่าสงสัยครับ” เหอผิงรายงานการทำงานของตัวเอง ไม่กี่วันก่อนเขาได้รับมอบหมายหน้าที่จากผู้กองหวังให้ช่วยจับตามองอู่หนิง คนติดตามของเจิ้งหยุนที่ตอนนี้เป็นทั้งผู้ต้องสงสัยและผู้เสียหายที่ผับแห่งนี้ “แล้วทางผู้กองหวังได้เรื่องอะไรบ้างไหมครับ”

“ผมก็ยังไม่ได้เรื่องอะไรมากนัก” หวังหยูเฟิงตอบไปตามตรง เขารู้สึกหนักใจพอสมควร แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ “แล้วสถานการณ์ตอนนี้มีอะไรบ้างหรือเปล่า มีใครก่อเรื่องอะไรไหม”

“ยังครับ มีแต่คดีเล็กน้อยทั่วไปที่เรายังควบคุมได้ ส่วนทางกงเจ๋อตวน เห็นผู้กองฟ่านก็จับตามองอยู่ครับ”

“อืม” หวังหยูเฟิงตอนรับ เขาเองก็เพิ่งพูดคุยกับเพื่อนสนิทเมื่อไม่กี่วันก่อน ทางด้านของฟ่านมู่เหยียนเองก็พยายามสืบหาความเคลื่อนไหวที่น่าจะเกิดขึ้นของกงเจ๋อตวนหลังจากถานอี้เทาสิ้นอำนาจไป แต่ทางนั้นก็ระวังตัวแจเหมือนกัน ”คุณก็คอยจับตามองต่อไปแล้วกัน ผมเองก็จะพยายามเหมือนกัน”

 ”ครับ” เหอผิงตอบรับอย่างแข็งขัน หวังหยูเฟิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งสองคนจะแยกจากกันราวกับเป็นคนแปลกหน้า

หวังหยูเฟิงเดินไปที่ลิฟต์ ระหว่างทางเขาก็เห็นอู่หนิงที่กำลังยืนคุยกับพนักงานคนหนึ่ง เมื่อคนในสายตาหันกลับมาเห็นผู้กองหวังเข้า ชายหนุ่มก็รีบเดินเข้ามาหาทันที

“ผู้กองหวังต้องการอะไรหรือเปล่าครับ”

“เปล่าครับ ผมแค่มาเดินดูเรื่อยๆ ที่นี่คนเยอะนะ”

“ครับ”

หวังหยูเฟิงมองอู่หนิงเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ต่อ ชายหนุ่มกดชั้นที่ต้องการพร้อมกับครุ่นคิดบางอย่าง ถึงแม้ภายในใจส่วนหนึ่งจะไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่เขาก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้สำรวจผับกาเบรียลตามใจชอบแบบนี้





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





 ในเวลาสองทุ่มสิบนาที เส้าซินฉีก็เดินทางมาถึงผับกาเบรียล สายฝนที่เคยโปรยปรายก่อนหน้านี้ได้หยุดลงแล้ว ร่างบางในชุดเดรสสีแดงสดก้าวลงจากรถยนต์คันหรู หลังจากบอดี้การ์ดส่วนตัวเดินมาเปิดประตูให้ด้วยความนอบน้อม เธอกวาดสายตามองรอบหนึ่ง ก่อนจะมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหา

“ผมชื่ออู่หนิงเป็นคนสนิทของนาย เชิญคุณเส้าทางนี้ครับ”

เส้าซินฉีพยักหน้ารับอย่างถือตัว ก่อนที่เธอจะเดินตามชายในชุดสูทเข้าไปด้านในโดยใช้ทางด้านหลังของผับกาเบรียล

“พี่หยุนมาหรือยัง”

“มาแล้วครับ”

หลังจากได้รับคำตอบที่พอใจ รอยยิ้มหวานก็ปรากฏบนใบหน้าสวย รองเท้าส้นสูงสีดำก้าวเดินมาถึงลิฟต์อย่างไม่รีบร้อน ในขณะที่ตู้โดยสารกำลังทำงาน เส้าซินฉีก็กำลังคิดถึงแผนการที่วางเอาไว้ ก่อนที่เธอจะถูกพาไปที่ห้องรับรอง

“กรุณารอสักครู่ครับ ผมจะไปแจ้งให้นายทราบ คุณเส้าต้องการรับเครื่องดื่มอะไรไหมครับ”

“ไวน์แดงแล้วกัน”

“ได้ครับ”

อู่หนิงโค้งรับคำสั่งอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินไปจัดการตามความต้องการของเส้าซินฉี เขาไม่ได้สอบถามเรื่องของผู้หญิงคนนี้จากเจิ้งหยุน ชายหนุ่มรู้เพียงแค่ว่า ทั้งสองคนได้เจอกันในงานเลี้ยงประจำปีของอีเดนเท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้กังวลอะไร เพราะเชื่อว่าเจ้านายเอาอยู่

หลังจากเส้าซินฉีนั่งรออยู่ในห้องรับรองได้เพียงไม่นาน เธอก็ได้รับเครื่องดื่มที่ต้องการและอยู่ตามลำพังอีกครั้ง รสชาติของไวน์ชั้นดีกล่อมเกลาความคิดเกี่ยวกับแผนการในคืนนี้

ในมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ไม่ควรลังเลใจอีก!

มือบางยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มเหมือนต้องการให้กำลังใจตัวเอง และเมื่อแก้วทรงสูงว่างเปล่า ประตูของห้องรับรองก็เปิดออก เส้าซินฉีส่งยิ้มหวานทักทายชายหนุ่มผมยาวที่เธอกำลังรอคอย

“ซินฉีขอโทษที่มารบกวนอีกทีนะคะ” เส้าซินฉีเอ่ยเสียงหวาน หลังจากวางแก้วไวน์ในมือของตัวเองลงบนโต๊ะรับแขก

“ไม่เป็นไรครับ” เจิ้งหยุนตอบรับไปตามมารยาท แล้วเป็นฝ่ายเริ่มต้นธุระของหญิงสาว “ถ้าอย่างนั้นผมจะพาคุณไปดูบรรยากาศก่อนแล้วกัน”

“ค่ะ” เส้าซินฉีตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากโซฟา แล้วถือวิสาสะเข้าไปควงแขนเจ้าของผับกาเบรียล เจิ้งหยุนเลื่อนสายตามองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยห้ามอะไร หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินออกจากห้องรับรองชั้นสามมาด้วยกัน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣






ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5

เจิ้งหยุนพาเส้าซินฉีเดินดูการให้บริการทางหน้าร้านและการจัดการหลังร้านของผับกาเบรียลอย่างเอื้อเฟื้อพร้อมกับให้คำแนะนำไปตามประสา ซึ่งหญิงสาวเองก็ตอบรับไปตาเรื่องตามราวเช่นเดียวกัน

“ซินฉีเริ่มเมื่อยแล้วค่ะ เราไปนั่งพักกันก่อนดีไหมคะ” เส้าซินฉีเอ่ยขึ้น เมื่อพวกเขาเดินผ่านเคาน์เตอร์บาร์ที่มีลูกค้าเต็มทุกที่นั่ง บาร์เทนเดอร์หนุ่มส่งยิ้มพร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“ได้ครับ” เจิ้งหยุนตอบรับอย่างว่าง่าย เขาตั้งใจจะพาเส้าซินฉีไปที่ห้องรับรองอีกครั้ง แต่เสียงหวานก็ดังขัดความคิดของเขาเสียก่อน

“พี่หยุนคะ ซินฉีอยากเห็นห้องทำงานของพี่จัง ขอเข้าไปดูได้ไหมคะ” เส้าซินฉีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แขนบางที่ยังควงท่อนแขนแข็งแรงกระชับเข้าหาตัวมากขึ้น ใบหน้างดงามวาดยิ้มน่ามอง ”นะคะ”

เจิ้งหยุนมองคนที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยความรำคาญใจ แต่ก็ยอมตกลงโดยง่าย เพราะอยากรู้ว่า เส้าซินฉีต้องการทำอะไร ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มพาเดินชมผับกาเบรียล เธอก็เอาแต่เดินควงแขนของเขาเล่นมากกว่า

เส้าซินฉีเป็นคนสวยที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง ด้วยฐานะและรูปลักษณ์ย่อมเป็นที่ต้องการของผู้ชายอย่างแน่นอน เพียงแต่ในใจของเจิ้งหยุนเวลานี้มีคนที่น่าสนใจอยู่แล้ว

 เจิ้งหยุนพาเส้าซินฉีขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นห้า ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขาและไม่อนุญาตให้ใครขึ้นมาโดยพลการ นอกจากอู่หนิงที่เป็นคนสนิท ภายในชั้นนี้นอกจากจะมีห้องทำงานแล้ว ก็ยังมีห้องนอนที่บางครั้งเขาก็ใช้ค้างคืนเวลาทำงานจนดึกแล้วไม่อยากเดินทางไปไหนอีก

“กว้างจังเลยค่ะ”

เส้าซินฉีมองไปรอบห้องทำงานของเจิ้งหยุนอย่างสนใจ ภายในห้องมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลางชิดผนังที่เป็นกระจกใสตลอดแนว ทางด้านขวามีตู้หนังสือและชั้นวางเอกสาร ถัดออกไปเล็กน้อยเป็นชุดโซฟาที่ถูกจัดวางอย่างลงตัว ส่วนทางด้านซ้ายมีชั้นวางเครื่องดื่มเรียงรายจนเต็มและเคาน์เตอร์บาร์ขนาดเล็กที่มีอุปกรณ์ครบครัน ซึ่งบ่งบอกนิสัยและความชอบของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี

เจิ้งหยุนพาเส้าซินฉีไปนั่งที่โซฟา ก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อจัดการเครื่องดื่มต่อ หญิงสาวในชุดเดรสสีแดงมองตามร่างสูงด้วยรอยยิ้มหวาน

“คุณอยากดื่มอะไรครับ”

“อะไรก็ได้ค่ะ”

เจิ้งหยุนพยักหน้ารับ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเสิร์ฟบลู กามิกาเซ่ให้หญิงสาว ส่วนของตัวเองเป็นวิสกี้ที่นิยมดื่มเป็นประจำ

“ขอบคุณค่ะ”

 เส้าซินฉีรับเครื่องดื่มสีสวยมาชิมรสชาติเพียงเล็กน้อย นัยน์ตากลมโตทอดมองรอบห้องเพื่อหาโอกาสลงมือ ก่อนสายตาจะหยุดตรงชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หลังจากที่พวกเขาใช้เวลาด้วยกัน เธอก็สังเกตว่าเสน่ห์ของตัวเองไม่ได้รับความสนใจจากเจิ้งหยุนแม้แต่น้อย

คุณหนูเส้าที่มั่นใจในตัวเองเสมอรู้สึกเสียหน้า อันที่จริงเธอก็ไม่อยากใช้เล่ห์กลให้ยุ่งยาก แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นที่จะครอบครองผู้ชายคนนี้ได้อย่างรวดเร็วอีก

“วันนี้ต้องขอบคุณมากเลยนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ซินฉีขอทำเครื่องดื่มสักแก้วแทนคำขอบคุณให้พี่หยุนได้ไหมคะ”

เจิ้งหยุนมองเส้าซินฉีที่มีสีหน้ากระตือรือร้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างใจดีอีกครั้ง ร่างบางในชุดเดรสสีแดงเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์บาร์ ก่อนที่เธอจะเริ่มผสมเครื่องดื่มรสร้อนแรงให้แก่เจ้าของผับ หลังจากใช้เวลาครู่หนึ่ง คุณหนูเส้าก็เดินมาเสิร์ฟแก้วเหล้าสีอำพันตรงหน้าของชายหนุ่ม

“ซินฉีเคยทำให้คุณพ่อนานมากแล้ว พี่หยุนลองชิมดูสิคะ”

เจิ้งหยุนมองของเหลวในแก้วอย่างพิจารณา โดยที่มีสายตาอีกคู่หนึ่งจ้องมองอย่างรอคอย ท่าทางของเส้าซินฉีท้าทายความรู้สึกของเขาไม่น้อย ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่า มันต้องมีสิ่งผิดปกติ ทว่าชายหนุ่มก็อยากลอง เพราะอยากรู้เหตุการณ์ต่อจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไร

เจ้าของผับกาเบรียลตัดสินใจยกแก้วขึ้นดื่มราวกับเหยื่อโง่ที่กระโดดลงกับดัก ทว่ารสชาติเหลือรับที่ไหลผ่านลิ้นก็ทำให้เขาวางแก้วเหล้าลงทันที ใบหน้าเรียบนิ่งฉายชัดถึงความไม่ถูกใจกับสิ่งที่ได้รับ

“เป็นอย่างไรบ้างคะ” เส้าซินฉีเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีหน้าของเจิ้งหยุน เธอก็แสดงท่าทีกังวลออกมา

“ลองชิมเองแล้วกัน” เจิ้งหยุนตอบ แล้วเลื่อนแก้วของตัวเองให้หญิงสาว เพราะตอนนี้เขาไม่อาจอธิบายรสชาติยอดแย่ของสิ่งนี้ได้เลย

 เมื่อเส้าซินฉียกขึ้นดื่มด้วยความสงสัยระคนใคร่รู้ เธอก็ชักสีหน้า ก่อนจะรีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อเททิ้ง แล้วรีบนำน้ำเปล่ามาเสิร์ฟให้ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

“ซินฉีขอโทษค่ะ!” เส้าซินฉีเอ่ยขึ้นพร้อมกับกระวีกระวาดส่งแก้วน้ำเปล่าให้เจิ้งหยุน “พี่หยุนดื่มน้ำเปล่าล้างปากก่อนเถอะค่ะ”

เจิ้งหยุนถอนหายใจพร้อมกับรับแก้วน้ำเปล่ามาถือไว้ แต่ไม่ได้ดื่มทันที เพราะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจเสียก่อน ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูให้คนที่เขาก็รู้ว่าใครด้วยรอยยิ้มบาง

“มาเดินเล่นถึงที่นี่เลยหรือครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างหยอกล้อ แล้วเปิดทางให้ผู้มาเยือนเข้ามาด้านในอย่างอารมณ์ดี ต่างจากหวังหยูเฟิงที่มีใบหน้านิ่งสนิท “เข้ามาก่อนสิครับ”

“ผมแค่มาดูความเรียบร้อย” หวังหยูเฟิงเอ่ยไปเรื่องอื่น เขามองรอบห้อง แล้วหยุดสายตาตรงหญิงสาวที่กำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปทางเจ้าของห้องอีกครั้ง “ผมเข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”

“ไม่หรอกครับ” เจิ้งหยุนตอบ ก่อนจะส่งแก้วน้ำเปล่าในมือของตัวเองให้หวังหยูเฟิง “ดื่มน้ำก่อนสิครับ”

“ไม่เป็นไร” หวังหยูเฟิงปฏิเสธ เขาอยากสำรวจห้องนี้โดยละเอียด ซึ่งเจิ้งหยุนก็คงไม่ว่าอะไร แต่ต้องรอให้เส้าซินฉีกลับไปเสียก่อน

“หรือคุณอยากดื่มอะไร ผมจะทำให้เอง” เจิ้งหยุนยังเอ่ยถามต่ออย่างเอื้อเฟื้อ โดยไม่ได้สนใจท่าทีของหญิงสาวอีกคนที่กำลังถูกลืมว่ามีตัวตนอยู่ในห้องนี้ด้วย “ลองวิสกี้ของผมไหม”

“ขอบคุณ แต่ผมขอปฏิเสธ”

“แต่ท่าทางคุณเหนื่อยมากเลยนะครับ”

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว เขาก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว เพราะเดินวนไปวนมา

สี่ชั้น แต่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ นอกจากจะเสียเวลา ก็ยังเสียอารมณ์อีกด้วย แล้วตอนนี้ก็ยังมาเจอคนเซ้าซี้ไม่เลิกอย่างเจิ้งหยุนเข้าไปอีก

“คุณหวังครับ”

หวังหยูเฟิงไม่ตอบอะไร นอกจากฉวยแก้วน้ำเปล่าในมือของเจิ้งหยุนมาดื่มจนหมดอย่างปัดรำคาญ แล้วส่งแก้วคืนให้ชายหนุ่มผมยาวที่กำลังส่งยิ้มบางมาให้

หวังหยูเฟิงถอนหายใจ พอร่างกายได้รับความชุ่มชื้น อารมณ์ไม่ดีก็ทุเลาลง ก่อนที่ผู้กองหนุ่มจะนึกแปลกใจ เมื่อเห็นเส้าซินฉีมองเขาตาค้างพร้อมกับเสียงของเจิ้งหยุนที่ดึงความสนใจ

“นั่งพักก่อนนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น เขาเดินไปเก็บแก้วเปล่าของตัวเอง แล้วรินน้ำสะอาดอีกแก้วขึ้นดื่มล้างรสชาติห่วยแตกที่ทนไว้ก่อนหน้านี้ให้เจือจางลง

หวังหยูเฟิงตั้งใจจะปฏิเสธ ทว่าเขาก็ต้องหยุดความคิด เมื่อรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเองกะทันหัน แล้วผู้กองหนุ่มก็หน้าเผือดสี หลังจากเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญ

“ผมจะไปรอข้างนอก” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะรีบออกจากห้องในทันที โดยมีสายตาสองคู่มองตามด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน

ภายในห้องทำงานของเจ้าของผับกาเบรียลเหลือเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวสองต่อสองอีกครั้ง เจิ้งหยุนละสายตาจากบานประตูที่ปิดลง แล้วเดินกลับมานั่งที่โซฟา โดยที่มีหญิงสาวในชุดเดรสสีแดงนั่งตัวแข็งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนนี้หัวใจของเส้าซินฉีกำลังเต้นระรัว

 อีกนิดเดียว...ถ้าหากผู้ชายคนนั้นไม่เข้ามาเสียก่อน!

คุณหนูเส้าได้แต่ครุ่นคิดอย่างเจ็บใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ตอนนี้เธอก็ไม่มีโอกาสได้ลงมืออีกแล้ว เพราะยาที่เตรียมไว้ถูกใช้งานทั้งหมด ของเหลวไร้สีไร้กลิ้นที่มีฤทธิ์ปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศอย่างรุนแรง

ควรจะทำอย่างไรดี!

ถึงผลลัพธ์ของแผนการจะเป็นความสัมพันธ์ทางกายด้วยฤทธิ์ยาและอาจทำให้เจิ้งหยุนไม่พอใจ แต่เธอก็หวังว่าพันธะที่สร้างขึ้นนี้จะสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย ทว่าตอนนี้โอกาสนั้นกลับถูกคนอื่นทำลายไปแล้ว

ถ้าหากนายตำรวจคนนั้นเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้เจิ้งหยุนรู้ ชายหนุ่มที่เธอตั้งใจคว้าเอาไว้ก็คงหลุดลอยไปอย่างแน่นอน

 ”คุณซินฉี”

“ค...ค่ะ”

“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ...วันนี้ซินฉีขอตัวกลับก่อนนะคะ”

“ครับ”

 เจิ้งหยุนยิ้มให้เส้าซินฉีตามปกติ ก่อนจะเดินไปส่งเธอที่รถยนต์อย่างมีไมตรี แล้วกล่าวปลอบใจหญิงสาวเล็กน้อย

“ไม่ต้องคิดมากเรื่องเครื่องดื่มนะครับ”

คำพูดของเจิ้งหยุน ทำให้เส้าซินฉีเผลอกลั้นลมหายใจ เธอมองใบหน้าหล่อเหลาที่เปื้อนรอยยิ้มบางด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ค่ะ...”

เจิ้งหยุนส่งยิ้มลาให้หญิงสาวที่ขึ้นรถไปแล้ว เขามองตามรถยนต์ที่เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา แล้วหันไปคุยกับลูกน้องคนสนิทที่เดินตามมา

“ตอนนี้หยูเฟิงอยู่ที่ไหน”

“ห้องน้ำชั้นสี่ครับ”

อู่หนิงรายงาน หลังจากมองกล้องวงจรปิดที่ออนไลน์ผ่านเครื่องมือสื่อสารของตัวเอง เจิ้งหยุนยกยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินกลับเข้าไปในผับกาเบรียลอีกครั้ง แน่นอนว่าจุดหมายของเขาคือตำแหน่งของผู้กองหวังที่กำลังแอบทำอะไรบางอย่างอยู่





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





เจิ้งหยุนไม่ไว้ใจเส้าซินฉีตั้งแต่แรก ชายหนุ่มรู้เจตนาของหญิงสาวเป็นอย่างดี เพียงแต่ไม่รู้วิธีการเข้าหาเท่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เกินความคาดหมายของเขา

คุณหนูเส้าตั้งใจวางกับดักเขา…

 แน่นอนว่าถ้าหากจะระแวงก็ควรระวังตั้งแต่แก้วแรก ทว่าหากเขาไม่ดื่มหรือทำท่าสงสัย ก็คงไม่รู้ว่าเส้าซินฉีจะทำอะไรต่อ เธอคงคาดการณ์ไว้แล้วถึงเรื่องนี้ แล้วก็พร้อมจะพิสูจน์ว่าเป็นแค่เหล้ารสชาติแย่เท่านั้น

เหล้าที่รสชาติอัปลักษณ์แก้วนั้นเป็นแค่ตัวหลอก แก้วน้ำเปล่านั่นต่างหากคือของจริง เธออาศัยปฏิกิริยาของร่างกายอย่างรุนแรงเร่งการตัดสินใจ ถ้าหากเขาต้องการลบรสชาติห่วยบรมในปากทิ้ง ก็คงรีบดื่มน้ำเปล่าตามในทันที

ถึงจะเป็นแผนที่ไม่ซับซ้อนนัก แต่ก็ทำให้เขาลุ้นอยู่พอตัว เพราะถ้าคาดผิด แล้วเป็นเหล้าแก้วแรกที่มียาขึ้นมา ก็คงต้องหาวิธีมารองรับผลลัพธ์ของตัวเอง

เจิ้งหยุนเดินออกมาจากลิฟต์ด้วยย่างก้าวที่สม่ำเสมอ ชั้นสี่ของผับกาเบรียลเป็นส่วนของสำนักงาน ซึ่งตอนนี้ไร้ผู้คน

ไม่สิ...

ตอนนี้มีนายตำรวจคนหนึ่งกำลังแอบซ่อนอยู่





TBC++++++++  14ความรู้สึกที่ยากจะต้านทาน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด