..
“ริวนี่หัวแข็งชะมัด แล้วถ้าเกิดหาอาคมถอนคำสาปไม่ได้ ก็ตั้งใจจะให้กีรติหลับแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือไงนะ!”
คำบ่นประชดของชิโระที่ดังขึ้น แว่วเข้าหูคนที่เริ่มจะจนหนทางในการถอนคำสาปเข้าทุกที ริวเหลือบมองสัตว์อสูรของเขา แต่เมื่อเห็นชิโระค้อนให้ด้วยความงอน ชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ ตามมา
“ถ้าถึงที่สุดแล้วยังทำอะไรไม่ได้ ฉันก็จะใช้วิธีแบบที่คุณปัณณ์อยากให้ทำ...แต่ถ้าเลือกได้ ฉันก็อยากช่วยกีรติให้ฟื้นด้วยมือฉันเองมากกว่า”
ริวพึมพำตอบกลับทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตา เพราะมั่นใจว่าหากเขาเงยหน้าขึ้นมองคนอื่น ๆ ตอนนี้ ไม่คนใดก็คนหนึ่งคงจะต้องยิ้มล้อเลียนเขาอย่างแน่นอน
“โรแมนติกชะมัด แบบนี้ถ้าคุณกีรติฟื้นมาได้ยิน คงเขินแย่...”
เจอรัลด์ที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ พึมพำกับตัวเอง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงมือถือของเขาดังขึ้น
“หือ...ใครโทรมา...เอ๋ คุณปัณณ์นี่นา!”
เสียงอุทานของเจอรัลด์ทำให้ทุกคนในที่นั้นหันขวับมามองนักประดิษฐ์หนุ่มเป็นตาเดียว จนคนถูกมองต้องยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะกดรับสายคนโทรเข้ามาและเปิดเสียงออกลำโพงให้ทุกคนได้ยินกันถ้วนหน้า
“ไง! เจอรัลด์ กีฟื้นหรือยังล่ะ ริวยอมจูบเขาไหม!”
คำพูดนั้นทำให้ริวชะงักแล้วเม้มปากอย่างหงุดหงิด จนเจอรัลด์ต้องรีบตอบกลับไป
“ยะ...ยังเลยครับ คุณริวกำลังช่วยแก้คำสาปด้วยตัวเองอยู่น่ะครับ”
ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุดหัวเราะลั่นตามมาพักใหญ่
“ฮะ ๆ คิดไว้แล้วไม่ผิด แต่ฝากบอกเขาด้วยนะ ว่าต่อให้ใช้อาคมทุกบทที่เขาเล่าเรียนมา ยังไงก็ไม่มีทางล้างคำสาปของฉันได้หรอก! คำสาปของพ่อมดตัวจริงเสียงจริงน่ะ มันไม่ใช่อะไรที่แก้กันได้ง่าย ๆ นา!”
เจอรัลด์กลืนน้ำลายลงคอ เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในที่นั้น ส่วนริวกำหมัดน้อย ๆ ไม่พูดไม่จา ทว่าทุกคนก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศมาคุรอบตัวของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี
“อ๊ะ! จริงสิ ฉันว่าจะโทรมาเตือนนี่นา ยังไงก็ฝากนายไปบอกริวเขาด้วยล่ะ ว่าอย่ามัวแต่เล่นตัวมากนัก เพราะคำสาปฉันไม่ใช่คำสาปกิ๊กก๊อกทั่วไป แต่เป็นคำสาปที่มีระยะเวลากำหนดด้วยล่ะนะ!”
“ระยะเวลา! หมายความว่ายังไงครับ!”
เสียงของริวที่ตะโกนแทรกขึ้นมาหลังปัณณ์พูดจบ ทำให้คนปลายสายชะงักเล็กน้อย ก่อนเอ่ยทักทายตามมาอย่างอารมณ์ดี
“นายก็อยู่ด้วยหรือริว งั้นบอกให้ฟังเลยก็ได้ อืม...นี่กี่โมงแล้วนะ”
ริวและทุกคนนิ่งเงียบรับฟังอย่างพยามอดทนอดกลั้นอารมณ์ขุ่นมัวเต็มที่ เพราะปัณณ์นั้นเหมือนจะเงียบหายไปจากสายพักหนึ่ง แต่ก่อนที่จะมีใครเรียกย้ำให้ปลายสายพูดมาสักที เสียงของพ่อมดหนุ่มก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ฮะ ๆ ขอโทษที มัวแต่ไปหานาฬิกามาดูเวลา แต่ดันจำไม่ได้ว่าตอนใช้คำสาปนั่นเป็นเวลาเท่าไหร่ แต่คิดว่าน่าจะยังทันอยู่มั้ง!”
“หมายความว่ายังไงครับ! แล้วเกี่ยวอะไรกับเวลาที่ว่าด้วย!”
ริวที่ใจร้อนและสังหรณ์ใจไม่ดี โพล่งขัดขึ้นอย่างหมดความอดทน ทว่ากลับได้ยินเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีจากปลายสายแทน ก่อนที่เจ้าของเสียงหัวเราะจะอธิบายตามมาหลังจากนั้น
“มันเกี่ยวกันตรงที่ว่า ถ้าพ้นสามสิบนาที นับจากคำสาปเริ่มทำงานไปแล้ว ทีนี้ต่อให้นายจะทำยิ่งกว่าจูบ มันก็จะไม่เกิดผลอะไรเลยน่ะสิ กีก็จะหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราของจริงไปเรื่อย ๆ ล่ะนะ... หือ? ใครมากดออดหน้าบ้านหว่า...อ๊ะ! งั้นฉันขอตัวก่อนล่ะ ขอให้โชคดีในการแก้คำสาปนะ บาย!”
ปัณณ์ตัดบทพร้อมกดวางสาย ท่ามกลางความตื่นตระหนกของทุกคนในที่นั้น ทางด้านริวถึงกับหน้าถอดสีเพราะไม่คิดว่าคำสาปของปัณณ์จะมีกำหนดระยะเวลาแบบนี้ด้วย ส่วนเจอรัลด์ที่ตกใจไม่แพ้กันเป็นฝ่ายตั้งสติได้ก่อนใคร นักประดิษฐ์หนุ่มกดปุ่มที่ต่างหูข้างซ้าย แล้วติดต่อกับ AI ของเขาทันที
“อเล็กซ์! ช่วยเช็คบันทึกเวลานับตั้งแต่ตอนที่คุณปัณณ์ใช้คำสาปกับคุณกีรติ จนถึงตอนนี้ให้ด้วย ด่วนเลยนะ!”
คำสนทนากับอเล็กซ์ทำให้ทุกคนในที่นั้นพากันได้สติ และต่างหันขวับมามองเจอรัลด์เป็นตาเดียว
“ได้ข้อมูลมาแล้วครับมาสเตอร์...เวลาที่คุณปัณณ์เริ่มใช้คำสาป คือเวลา 11.15 นาฬิกา ...เวลาที่คุณกีรติเริ่มหลับไปเพราะคำสาป คือเวลา 11.18 นาฬิกา และเวลาปัจจุบันนี้ก็คือ 11.46 นาฬิกาครับ”
อเล็กซ์ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการตรวจสอบ แต่การรายงานผลผ่านลำโพงเล็ก ๆ ซึ่งเป็นเข็มกลัดติดปกเสื้อเชิ้ตของเจอรัลด์นั้น ก็ทำให้ทุกคนใจหายวาบ เพราะเวลาตอนใช้คำสาปคือเวลา 11.15 นาฬิกา หากนับเพิ่มไปอีกสามสิบนาทีมันควรจะเป็นเวลา 11.45 นาฬิกา ที่บัดนี้ได้เกินเวลาไปเสียแล้ว
“เดี๋ยวก่อนสิครับ! อย่าเพิ่งถอดใจ! เมื่อครู่นี้คุณปัณณ์บอกไม่ใช่หรือครับว่า นับตั้งแต่ตอนคำสาปเริ่มทำงาน นั่นก็น่าจะเป็นเวลาที่คุณกีรติหลับมากกว่า!”
เรนที่ฟังอยู่และนึกขึ้นได้รีบโพล่งแย้งขึ้นมา ทำให้คนอื่น ๆ ต่างพากันชะงัก จากนั้นนักประดิษฐ์หนุ่มจึงรีบเช็คเวลากับ AI ของเขาอย่างรวดเร็ว
“ถ้านับจากตอนนั้นจะเหลือเวลาอีกเท่าไรกันอเล็กซ์!”
“ถ้านับจากเวลา 11.18 นาฬิกา แล้วบวกเพิ่มไปอีกสามสิบนาที เวลาที่เหลือก็... 30 วินาทีครับ!”
ขาดคำของอเล็กซ์ ทางด้านริวก็ไม่คิดจะซักถามอะไรใครอีก เขาประคองร่างของกีรติมาไว้ในอ้อมกอด พลางโน้มใบหน้าลงไปจูบที่ริมฝีปากบางได้รูปนั้นอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่มองอยู่ แต่พอริวถอนริมฝีปากออกมา ต่างคนก็ต่างพากันลุ้นเอาใจช่วยให้กีรติฟื้นอย่างเต็มที่ โดยไม่มีใครคิดเรื่องล้อเลียนทั้งคู่ในยามนี้เลยแม้แต่คนเดียว
“กีรติ...ฟื้นสิ...ทำไมล่ะ เวลายังเหลือใช่ไหม อเล็กซ์”
ริวหันไปถามทางเจอรัลด์อย่างตกใจ ซึ่งนักประดิษฐ์หนุ่มก็รีบติดต่อกับสิ่งประดิษฐ์ของเขา และอเล็กซ์ก็รายงานกลับไปตามตรง
“ยังเหลืออีกห้าวินาทีครับ... 5 4 3 2 1 ครบสามสิบนาทีพอดีครับ”
แต่ละคนเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออก ริวนั้นหันกลับมามองคนในอ้อมกอด พลางกระซิบเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“กีรติ...ได้โปรด ฟื้นขึ้นมาทีเถอะ อย่าหลับแบบนี้เลย ...ผมรักคุณนะ กีรติ”
เรนที่มองอยู่สงสารพี่ชายจับใจ คนอื่น ๆ ก็พากันเงียบกริบ และต่างเตรียมทยอยแยกย้ายจากไป เพื่อเปิดโอกาสให้ริวอยู่กับกีรติตามลำพัง ทว่าเดินกันไปแค่ก้าวสองก้าว พวกเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงครางเบา ๆ จากลำคอคล้ายคนละเมอ ดังจากร่างเล็กที่หลับอยู่
“อือ...”
“กีรติ! คุณฟื้นแล้วสินะ!”
ริวเรียกชื่อคนในอ้อมกอดอย่างตื่นเต้น ส่วนคนอื่น ๆ ก็พากันกรูมารุมล้อม และพอกีรติลืมตาขึ้น ชายหนุ่มก็ต้องพบกับความตกใจแกมประหลาดใจ เมื่อเห็นทุกคนพากันจับจ้องมองมายังเขา แถมแต่ละคนก็ล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้มยินดีด้วยกันทั้งสิ้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ... อ๊ะ...คุณริว...ทำไมผมถึง...”
กีรติพึมพำด้วยความเขิน เพราะเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ในอ้อมกอดของริวขณะนี้ แถมยังถูกทุกคนจ้องมองเขม็งเข้าให้ด้วยอีกต่างหาก
“กีรติ...”
ริวเรียกชื่อคนในอ้อมกอดเสียงแผ่วแล้วกระชับร่างนั้นมาแนบอก จนกีรติสะดุ้งโหยง และแม้จะงุนงงเพียงใดก็ตาม ทว่าความอบอุ่นและอ่อนโยนที่ริวแสดงออก ก็ทำให้เขาไม่คิดจะขัดขืนดิ้นรนเพื่อหนีให้พ้นจากอ้อมกอดนี้แต่อย่างใด
“ฮะ ๆ ดีจริง ๆ พ้นเคราะห์กันเสียที”
เสียงใครบางคนเอ่ยขึ้นอย่างโล่งอก จากนั้นแขกไม่ได้รับเชิญแต่ละรายก็ตัดสินใจแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้พวกเขาแยกกันไปด้วยความสุขผิดจากก่อนหน้านั้นลิบลับ แต่ยังไม่ทันจะพ้นเขตห้องรับแขก เสียงโทรศัพท์ของเจอรัลด์ที่ดังขึ้นอีกครั้งก็ทำให้ทุกคนหยุดชะงักเท้ากันเสียก่อน
“ง่า...คุณปัณณ์โทรมาอีกรอบแล้วล่ะครับ”
เจอรัลด์บอกไม่เต็มเสียง แม้จะรู้สึกสังหรณ์แปลก ๆ ก่อนมองเบอร์อยู่บ้างก็ตาม
“ไง! ตกลงช่วยได้ทันเวลาไหมล่ะ! เมื่อครู่ว่าจะบอกแล้ว แต่พอดีเจอคนมาทวงค่ากับข้าวเสียก่อน เลยไม่ได้บอกน่ะ ฮะ ๆ”
เสียงปัณณ์ดังขึ้นผ่านลำโพงมือถืออย่างร่าเริง ทำเอาแต่ละรายในที่นั้นยกเว้นกีรติ เริ่มไม่สบอารมณ์ปนหมั่นไส้ขึ้นมาเล็กน้อย
“อ๊ะ! มัวแต่คุยเดี๋ยวจะลืมอีก ฉันจะโทรมาบอกว่า ถ้าไม่ทันเวลาจริง ๆ ก็ไม่ต้องซีเรียสอะไรหรอกนะ เดี๋ยวฉันไปถอนคำสาปให้เอง สาปได้ก็ถอนได้อยู่แล้ว อ้อ! จะมาบอกแค่นี้ล่ะ!”
บอกจบปัณณ์ก็ตัดสายทิ้งไปโดยไม่คิดสนทนาต่อ ทำเอาเจ้าของโทรศัพท์อย่างเจอรัลด์ถึงกับกระพริบตาปริบ ๆ ส่วนบรรดาคนที่เครียดกันไปก่อนหน้านั้น ออกอาการนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่เลยทีเดียว
“เอ่อ...ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือครับ”
และแม้จะหงุดหงิดปวดหัวกันสักเพียงใด ทว่าคำถามด้วยสีหน้างุนงงของกีรติ ก็เรียกทุกคนกลับมาจากภวังค์จนได้ จากนั้นเสียงหัวเราะจึงดังประสานกันไปทั่วบ้านไม่เว้นกระทั่งริวเองก็ตาม โดยที่กีรติก็ได้แต่มองคนโน้นทีคนนี้ที อย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นอยู่ดีนั่นเอง
หลังจากเหตุการณ์ทั้งหลายผ่านพ้นไปด้วยดี แฟนธอมก็หันไปบอกลาริวและรุ่นน้องของเขา
“ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวก่อนนะริว... ส่วนนายอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพักก็ได้กีรติ เดี๋ยวฉันไปอยู่ยามช่วงบ่ายให้แทน เพราะถ้าจะให้นอนตอนนี้ก็หลับไม่ลงแล้วล่ะ”
เจอรัลด์พอได้ยิน ก็รีบอาสาตามไปอยู่ยามด้วยคน แต่ก็ถูกชายหนุ่มสั่งห้ามทันที
“ไม่ได้! นายน่ะกลับไปซ่อมหุ่นยนต์หมาแมวนั่นให้เสร็จก่อนเถอะ!”
เจอรัลด์ชะงักกึก พลางส่งยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างที่ดูเหมือนว่าเขาจะลืมไปเสียสนิท
“เอ่อ...ผมว่าบางทีพวกมันคงจะไม่อยู่รอให้ผมซ่อมแล้วล่ะครับ”
คนอื่นที่ยังเดินไม่พ้นเขตบ้านพักพากันสะดุ้งโหยง เพราะมัวแต่ตกใจเรื่องของกีรติ ทุกคนจึงนำหุ่นยนต์แช่แข็งนั่นมากองรวมกันไว้หน้าบ้านพักของเจอรัลด์ ซึ่งดูจากเวลาที่ริวเคยบอก น้ำแข็งที่ขังแต่ละตัวเอาไว้ก็น่าจะละลายกลับเป็นปกติเรียบร้อยหมดแล้ว
“เจอรัลด์... อย่าบอกนะว่าก่อนจะมาที่นี่ นายยังไม่ได้จับพวกนั้นขังกรงไว้ก่อนน่ะ”
แฟนธอมถามด้วยสายตาคาดคั้น ทำเอาเจอรัลด์ต้องแก้ตัวกลับไปเสียงอ่อย
“กะ...ก็ ผมคิดว่าคุณริวไม่น่าจะใช้เวลาจูบกับคุณกีรตินานเท่าไรนัก ผมก็เลยไม่ได้จับพวกมันขังเอาไว้น่ะครับ”
คำตอบของเจอรัลด์ ทำเอาริวถึงกับทำตาปริบ ๆ ส่วนกีรติพอได้ยินคำว่าจูบ ชายหนุ่มก็หน้าแดงวาบ แม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ตาม
“ให้ตายเถอะ! ป่านนี้หนีออกจากหมู่บ้านกันไปหมดแล้วมั้ง! อเล็กซ์ พวกนั้นหนีกันไปนานแล้วหรือยังน่ะ! แล้วทำไมนายถึงไม่แจ้งให้พวกเราทราบเลยหา!”
แฟนธอมหันมาโวยใส่คนรักและสิ่งประดิษฐ์ของเจ้าตัวในคราเดียวกัน ทำเอาเจอรัลด์ต้องกลืนน้ำลายลงคอ ส่วนอเล็กซ์รีบชี้แจงตามมา ก่อนจะโดนแฟนธอมบ่นใส่หนักยิ่งกว่านี้
“ผมเห็นทุกคนกำลังเป็นห่วงเรื่องของคุณกีรติ จึงยังไม่ได้แจ้งน่ะครับ อีกอย่างข้อมูลที่ถูกโจรกรรมก็มีเพียงข้อมูลงานทดลองตัวล่าสุดที่มาสเตอร์คิดค้นมาแค่ไฟล์เดียวเท่านั้นเองครับ!”
เจอรัลด์นิ่งคิดพลางทำเสียงฮึมฮำในลำคอ แล้วสักพักจึงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าตัว
“ถ้าเป็นไฟล์นั้นไฟล์เดียว ผมว่าไม่ต้องซีเรียสกันหรอกครับ ข้อมูลที่ถูกขโมยไป เป็นแค่ข้อมูลของอาวุธชีวภาพที่ผมคิดค้นขึ้นมา มันก็แค่เชื้อไวรัสธรรมดาที่สามารถเปลี่ยนคนให้กลายสภาพเป็นเหมือนซอมบี้ได้เท่านั้นเอง”
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ทุกคนเงียบกริบไปชั่วขณะ แล้วจึงโพล่งขึ้นตามมาแทบจะพร้อม ๆ กัน
“แบบนั้นมันธรรมดาตรงไหนกัน หา!”
เสียงประสานลั่นห้องทำให้คนฟังสะดุ้งโหยง แล้วจึงรีบอธิบายให้ทุกคนฟังยกใหญ่
“ธรรมดาจริง ๆ นะครับ! ก็ถ้าฉีดวัคซีนเข้าไปแล้ว คนถูกฉีดก็จะเป็นเหมือนซอมบี้ ไม่กิน ไม่นอน ไม่มีความรู้สึก ไม่ได้เป็นแบบในหนังที่เที่ยวไปไล่กัดแพร่เชื้อใครหรอกนะครับ…ที่สำคัญมันมีผลแค่ 24 ชั่วโมงเอง และหากไม่มีวัตถุดิบหลักที่เป็นเลือดของผม ก็ไม่มีทางสร้างได้เองหรอกครับ!”
คนฟังบางคนทำเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ยังมีหลายคนขมวดคิ้วงุนงง ว่าเจอรัลด์จะทำของพวกนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร
“ผมสร้างเอาไว้ก่อนหน้านั้นสักพักแล้วล่ะครับ ลำพังศัตรูที่เป็นหุ่นยนต์ก็ลงมือกำจัดได้ไม่ลำบากนัก แต่ถ้าเป็นพวกสิ่งมีชีวิต ต่อให้เป็นอมนุษย์ก็เถอะ จะให้เข่นฆ่ากันในเขตหมู่บ้านก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะครับ ผมเลยคิดค้นไวรัสตัวนี้ขึ้น โดยตั้งใจจะให้แต่ละคนเก็บไว้ หากเจอศัตรูร้าย ๆ ที่จำต้องลงมือรุนแรงใส่ ก็จะได้ฉีดเข้าร่างอีกฝ่ายเพื่อสตาฟเอาไว้ชั่วคราว แล้วจะจัดการยังไงต่อไปก็ค่อยว่ากันทีหลัง ...พวกคุณก็รู้ไม่ใช่หรือครับ ว่าผมเป็นพวกนักสันตินิยมน่ะ!”
หลังเจอรัลด์พูดจบเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน ทว่าครั้งนี้แต่ละคนคนก็ล้วนมีรอยยิ้มแตกต่างจากก่อนหน้านั้น พวกเขาพากันแยกย้ายกลับไปพักผ่อน แม้จะรู้สึกเสียดายเรื่องสัตว์เลี้ยงมากก็ตามที
“แล้วอย่างนี้ผมจะไปอยู่ยามเป็นเพื่อนคุณแฟนธอมได้หรือยังครับ”
เจอรัลด์ที่เดินออกจากบ้านริวพูดอ้อนคนที่เดินมาข้าง ๆ เขา ทางด้านแฟนธอมค้อนให้นิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอันใด ทว่าใบหูขาวที่บัดนี้แดงระเรื่อน้อย ๆ ก็ทำให้เจอรัลด์ยิ้มกว้าง แล้วจึงเดินตามชายหนุ่มไปเงียบ ๆ โดยไม่ซักไซ้ต่อให้แฟนธอมต้องเขินมากไปกว่านี้
เมื่อแขกไม่ได้รับเชิญทยอยออกจากบ้านกันไปหมดแล้ว เรนก็เหลือบมองพี่ชายและคนในอ้อมกอดของพี่ตน ด้วยใบหน้าระบายยิ้ม ก่อนจะแสร้งเปรยขึ้นบ้าง
“คุไร! ชิโระ! พวกเราไปเตรียมมื้อกลางวันกันเถอะ!”
สัตว์อสูรทั้งสองฟังแล้วก็หันไปเหลือบมองพวกริว ทั้งคู่ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงทำเป็นขานรับคำและเดินตามเรนไปติด ๆ และเมื่อทั้งห้องเหลือเพียงกีรติกับริว ทางด้านหนุ่มญี่ปุ่นจึงลอบถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงไม่ยอมปล่อยร่างในอ้อมกอดของเขาให้เป็นอิสระอยู่ดี
“เอ่อ...คุณริวครับ ปล่อยผมก่อนดีไหมครับ”
กีรติอ้ำอึ้งบอกด้วยใบหน้าเขินอาย ทำให้คนมองยิ่งนึกอยากแกล้งให้เจ้าตัวอายหนักมากขึ้นไปอีก
“ไม่ได้หรอก...เกิดผมปล่อยแล้วคุณหลับไปอีกครั้ง คงจะไม่ดีแน่”
น้ำเสียงกระซิบอ่อนโยนใกล้หู ทำให้คนฟังรู้สึกจั๊กจี้ปนเขิน ก่อนจะตอบกลับอุบอิบอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“เอ่อ...ผมยังไม่ง่วงตอนนี้หรอกครับ... คงไม่หลับง่าย ๆ หรอก...”
กีรติบอกด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ทำเอาริวนึกขำที่อีกฝ่ายก็ยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ที่ผ่านมาอยู่ดี ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าตัวฟัง ซึ่งกีรติก็มีสีหน้าหลากหลายให้คนเล่าได้อมยิ้มไปตลอดจนเล่าจบ
“ถะ...ถ้างั้น คุณริวกับผมก็...จะ...จูบกันแล้วหรือครับ”
กีรติบอกเสียงสั่น ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงหนักขึ้นไปอีก
“ใช่...แถมผมก็สารภาพรักกับคุณไปแล้วด้วยนะ แต่ตอนนั้นคุณยังหลับไม่รู้เรื่องอยู่ ผมก็เลยตั้งใจจะสารภาพให้คุณฟังใหม่อีกรอบ...อยากฟังไหมล่ะครับ...กี”
ริวจงใจเรียกชื่อเล่นของอีกฝ่ายทำเอาคนถูกเรียกหน้าแดงหนักยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า
“ว่ายังไงล่ะครับ กี...อยากฟังคำสารภาพของผมอีกครั้งไหม...หรือว่าไม่อยากฟัง”
ท้ายประโยคนั้นหนุ่มญี่ปุ่นแสร้งทำเป็นตีหน้าเศร้า จนคนมองสะดุ้งโหยง จึงรีบจับเสื้อของอีกฝ่ายแล้วบอกละล่ำละลักตามมา
“ยะ...อยากฟังสิครับ...อยากฟังมากที่สุดเลยล่ะครับ!”
พอพูดจบกีรติก็ชะงักกึกหน้าแดงก่ำ เพราะเพิ่งนึกได้ว่าเผลอพูดเรื่องน่าอายออกไป ส่วนริวที่ทำเป็นแกล้งเศร้า กำลังมีสีหน้าตกตะลึงต่อคำพูดจริงจังของคนตัวเล็กในอ้อมกอด แต่สักพักชายหนุ่มก็กลับมีรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วเอ่ยสารภาพออกไปอีกครั้ง
“ผมรักคุณนะกี...แล้วคุณล่ะ รักผมเหมือนกันไหม”
แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่า หากกีรติไม่มีใจให้เขา ก็คงไม่ฟื้นขึ้นมาจากคำสาปของปัณณ์ ทว่าริวก็ยังไม่แน่ใจในเรื่องนี้อยู่ดี จนกว่าจะได้ยินจากปากของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
“ผะ..ผม ก็คิดว่าตัวเอง เอ่อ...รักคุณนะครับ...คุณริว”
ริวขมวดคิ้วกับคำสารภาพที่ดูลังเลนั่น แต่พอเห็นอาการหลุบตาหลบด้วยความเขินอายของกีรติยามนี้ ก็ทำให้เขาหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา พลางหวนระลึกได้ว่ากีรติเองก็ยังไร้ประสบการณ์ด้านความรัก และเวลาที่พวกเขารู้จักกันมันก็ช่างสั้น จนอีกฝ่ายอาจจะยังไม่แน่ใจเรื่องความรักที่มีต่อเขา
“เอ่อ...คุณริวไม่พอใจหรือเปล่าครับ...ที่ผมไม่พูดให้ชัดเจนไปเลย”
กีรติที่เห็นริวเงียบไป เงยหน้ามองอย่างรู้สึกผิด แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนตอบกลับมา
“ไม่หรอก...ผมดีใจนะ ที่ไม่ถูกกีปฏิเสธน่ะ”
กีรติหน้าแดงวาบพลางก้มหน้าหงึกหงักตอบรับ ถึงจะยังไม่ชินเวลาได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อเล่นของเขาเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มก็อดยอมรับไม่ได้ว่า มันช่างฟังดูอบอุ่นและสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้กับเขายิ่งนัก
“เอ่อ...ขอโทษที่ขัดจังหวะนะครับ แต่พอดีคุณแฟนธอมโทรมาจากป้อมยาม บอกว่ามีคนมาขอพบคุณกีรติ และตอนนี้กำลังรออยู่ที่ป้อมน่ะครับ”
พอได้ยินเสียงของเรน กีรติกับริวก็สะดุ้งโหยงพลางแยกห่างจากกันแทบทันที และเมื่อชายหนุ่มร่างเล็กเริ่มระงับอาการเขินอายได้แล้ว เขาจึงทบทวนในสิ่งที่เรนพูดมาอีกครั้ง
“มีคนมาพบผม? ใครหรือครับ?”
เรนนิ่งนึกชื่อที่ได้ยินเมื่อครู่ แล้วจึงบอกให้อีกฝ่ายรับรู้
“เอ...เท่าที่ฟังคุณแฟนธอมบอกมา รู้สึกว่าเขาจะชื่อ โนอา น่ะครับ”
กีรติสะดุ้งเฮือกกับชื่อที่ได้ยิน พลางเอ่ยทวนชื่อที่ได้ยินซ้ำอย่างลืมตัว
“นะ..โนอา มาที่นี่หรือ ...มาได้ยังไงกัน”
กีรติพึมพำด้วยใบหน้าตื่นตระหนก อย่างที่ริวไม่เคยได้เห็นมาก่อน ทว่ายังไม่ทันที่หนุ่มญี่ปุ่นจะซักถามอะไร อีกฝ่ายก็หันขวับมามอง แล้วพูดขึ้นเร็วปรื๋อ
“คุณริวครับ! ผมขอตัวสักครู่นะครับ!”
กีรติบอกจบก็รีบวิ่งผลุนผลันออกจากบ้านพักของริว มุ่งตรงไปที่ป้อมยามทันที ส่วนริวนั้นหลังจากตั้งสติได้ เขาก็รีบเร่งฝีเท้าตามมาติด ๆ ก่อนจะหยุดชะงักเล็กน้อย เมื่อได้เห็นแขกของกีรติถนัดตา
คนซึ่งมาขอพบกีรตินั้น เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมสูทสีเทาตัดเย็บประณีตทั้งชุด ดูจากใบหน้าแล้วยังอ่อนเยาว์และมีวัยใกล้เคียงกับกีรติ เส้นผมสีทองซึ่งถูกไว้ยาวปรกคอและนัยน์ตาสีฟ้าสดใสนั่น บ่งบอกถึงความเป็นชาวต่างชาติอย่างชัดเจน แถมเจ้าตัวยังเป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตามากคนหนึ่งทีเดียว
อีกด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มผมทองที่กำลังยืนเหม่อมองชมวิวในหมู่บ้าน รีบหันขวับกลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้าใกล้ตน และพอเห็นว่าเป็นกีรติ เด็กหนุ่มก็เบิกตากว้างด้วยความยินดี พลางวิ่งตรงไปสวมกอดร่างเล็กนั่น โดยไม่สนสายตาของคนอื่นที่ยืนอยู่ด้วยแถวนั้นแม้แต่น้อย
“คี! ในที่สุดก็ได้เจอกัน! ผมคิดถึงคีมากเลยรู้ไหม!”
แม้จะแปลกใจอยู่บ้างในเรื่องที่เด็กหนุ่มผมทองสามารถทักทายเป็นภาษาไทยได้อย่างชัดเจน ทว่าภาพที่อีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงไปหอมแก้มของคนที่เขาเพิ่งจะสารภาพรักด้วยมาหมาด ๆ ก็ทำเอาริวนั้นชักจะเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย
“เดี๋ยว...ปล่อยก่อน...เรามีเรื่องต้องคุยกันก่อนนะ โนอา!”
กีรติดันร่างของคนตัวสูงกว่าเขาเกือบยี่สิบเซนติเมตรให้ออกห่าง พร้อมกับขมวดคิ้วยุ่งใส่ ทว่าอีกคนก็ยังคงมีรอยยิ้มตอบเช่นเดิม
“เขาเป็นใครหรือกี...”
ริวที่เดินตามมาเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่นั่นกลับทำให้กีรติสะดุ้งโหยง เพราะดูจากสีหน้าและแววตาของหนุ่มญี่ปุ่นแล้ว เหมือนริวจะไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่มากทีเดียว ทว่ายังไม่ทันที่กีรติจะตอบอะไร เด็กหนุ่มผมทองก็เดินเข้ามาทางด้านหลังของคนตัวเล็ก พลางโอบคอกอดพร้อมกับหอมแก้มของกีรติอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าเผชิญกับริว พร้อมยิ้มที่มุมปากนิด ๆ ก่อนจะตอบคำถามนั้นแทนคนที่ตนกอดอยู่
“ผมน่ะหรือ...ผมก็เป็นคนสำคัญที่สุดของคีน่ะสิ!”
... TBC ...