ตอนที่ 11
"ทำไมมันเข้าไปนานนักวะ" ร่างในมาดนักธุรกิจสบถอย่างไม่สบอารมณ์นักเมื่อก้มมองนาฬิกาข้อมือและพบว่าปาไปสิบห้านาทีแล้ว ไอ้โอเมก้าเวรยังไม่ออกมาสักที ไม่แน่ใจว่าตกส้วมตายไปแล้วหรืออะไร
ด้วยความหงุดหงิดและหมดความอดทนจึงกระแทกเท้าเข้าไปในห้องน้ำดังปึงปัง อย่างไรก็ตามเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่กว่าคนทั่วไปทำให้เขาไม่จำเป็นต้องมียางอายหรือมารยาทมากนัก
พลั่ก
และบังเอิญชนไหล่เข้าไปกับร่างโปรงที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำชายพอดี
"หึ! " คนชนแค่นเสียงหึอย่างรังเกียจ เพราะไอ้คนที่เขาชนนั้นสวมชุดกระโปรงสีชมพูลายจุดหวานแหววผมสีดำถูกปล่อยสยายเต็มหลังถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้าแต่ก็พอจะรู้ว่าคนๆ นี้ไม่ใช้ผู้ชาย
และไม่ใช่ผู้หญิงเสียด้วย!
ร่างสูงกลอกตาหน่ายๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำชาย
ทำให้คนที่โดนกลับชนมาหายใจหายคอได้อีกครั้ง แต่ก็ทำใจได้ไม่นานนักก็รีบสาวเท้าเร็วๆ เดินออกจากห้องน้ำไปยังสถานที่นัดพบที่อีกคนในห้องน้ำนัดแนะเอาไว้
“…!”
จากหนึ่งคนเป็นทั้งแก็งค์ ดูเหมือนว่าเขาจะใช้เวลาเตรียมตัวนานไปหน่อย ทุกคนในทีมเลยแห่กันมาเข้าห้องน้ำด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็มทน
จ้าวพยายามอย่างยิ่งในการเดินต่อไปข้างหน้าด้วยท่าทางก้มหน้าเหนียมอายและเล่นโทรศัพท์
“แค่ก!”
อยู่ๆ หนึ่งในพวกมันก็ไอค่อกแค่กเหมือนอะไรติดคอ มันคนนั้นหยุดกุมปากตัวเองและเหลือบมองเห็นร่างในชุดกระโปรงพอดี หากแต่มันก็มองแล้วเมินเฉยเช่นกันเพราะไม่ใช่รสนิยมของมัน
นัยน์ตาโศกที่ซ่อนหลังผมหน้าม้าเเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกแต่ก็ยังคงก้าวต่อ ไม่ปล่อยโอกาสในการตีปีกเอาชีวีตรอดแม้แต่วินาทีเดียว เมื่อพ้นรัศมีพวกมันอย่างรอดปลอดภัย จ้าวก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังร้านเบอร์เกอร์ร้านนึงที่เมื่อก่อนเป็นร้านประจำของวงมูนไลท์ ถึงแม้มันจะผ่านไปหลายปีแต่จ้าวก็ยังจำได้ดีว่าร้านที่ว่าอยู่ไหน
หากแต่ขาสองข้างที่ก้าวไปข้างหน้ากลับช้าเต็มทน ฝูงชนมนุษย์ทั้งไทยทั้งเทศเดินผ่านเขากันอย่างวุ่นวาย การแบ่งชนชั้นที่นับวันจะชัดเจนขึ้น ทำให้พวกมนุษย์อัลฟ่ามีรถกอล์ฟสำหรับสนามบินคอยรับส่งแทนที่จะมาเดินร่วมกับพวกเบต้าธรรมดาๆ หรืออาจจะโชคร้ายเดินเฉียดจนต้องมีช่วงวินาทีที่ต้องใช้อากาศหายใจร่วมกับพวกโอเมก้า
“…หึ”
จ้าวแค่นเสียงหัวเราะในลำคอเมื่อผู้ปกครองของเด็กคนนึงกระชากเด็กออกห่างจากเขาอย่างรังเกียจเมื่อเห็นปลอกคอโอเมก้าเข็มขัดหนังปลอมๆ ที่เขาจงใจใส่ข้างนอกให้เห็นได้ชัดเพื่อปกปิดของจริงที่เป็นเหล็กข้างใน
ไม่สิ เรียกว่าเศษเหล็กจะถูกต้องกว่าเพราะตอนนี้มันถูกทำให้ไร้สัญญาณอินเตอร์เน็ตไปชั่วคราวอีกทั้งยังถูกตัดระบบไฟฟ้าด้วยเครื่องอะไรสักอย่างที่คิงเอามาติดให้เขา
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าโอเมก้าจะมีชีวิตที่ยากลำบากขนาดนี้ เมื่อก่อนเขาคิดว่าคงยากกว่าเบต้าทั่วไปสักสองสามเท่า แต่เรื่องจริงๆ คือเป็นร้อยเท่า พวกเบต้าอาจจะแค่รังเกียจไม่ชอบอยากรังแกแต่พวกอัลฟ่านั้นไม่อยากเห็นอยู่ในสายตาเลย
ทั้งๆ ที่ระบบการสืบพันธุ์แบบนี้ถูกคัดเลือกมาพร้อมกับมนุษย์แท้ๆ เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าจะแบ่งแยกกันทำไม ในสมัยก่อนอาจจะเพราะโลกภายนอกเต็มไปด้วยภัยอันตรายจนมนุษย์เพศหญิงที่อ่อนแอมีลูกได้ยาก มนุษย์เลยต้องพัฒนาระบบเพศให้มีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อไม่ให้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์
แต่เมื่อมาถึงสมัยปัจจุบันกลับรังเกียจมนุษย์ที่เป็นพวกโอเมก้า ซึ่งเขาก็ไม่มั่นใจนักว่ามาเริ่มขึ้นตอนไหนแต่ที่รู้ๆ มันทำให้พวกโอเมก้าที่เป็นมนุษย์เหมือนกันใช้ชีวิตยากมากทีเดียว
ทุกอย่างที่เป็นไปในโลกล้วนเล่นตลก
เขาที่เคยมีชีวิตที่มีความสุขมากยังกลายเป็นแค่ฝันกลางวันเลย
จ้าวหัวเราะแล้วเดินต่อด้วยไหล่ที่มั่นคงขึ้น ไม่สนใจสายตาคนอื่นมองมาที่ตัวเองอย่างรังเกียจหรือใครก็ตามที่สนใจตัวเอง เขาสนใจ ใส่ใจคนอื่นแล้วเป็นไงล่ะ ไม่เห็นจะมีใครใส่ใจเขาบ้างเลย มีแต่เขาที่เจ็บปวดแทบตาย เจ็บจนแทบทนไม่ได้แต่ก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
“ทางนี้”
จ้าวชะงักขาที่กำลังจะก้าวเข้าไปในร้านเมื่อเห็นว่าใครโบกมือเรียกตัวเอง
“..พาย?”
ครางในลำคออย่างไม่แน่ใจนักเพราะตั้งแต่วันนั้นพายก็ไม่มองหน้าเขาตรงๆ อีกเลย มีแต่ความโกรธความเกลียดชังที่ปะทุขึ้นมาทุกครั้งที่เขาเผลอไปสบตาอีกฝ่ายเข้า
“ทางนี้!”
เสียงเรียกเน้นหนักซ้ำสองทำให้จ้าวรีบจ้วงไปนั่งตรงข้ามพายด้วยสภาพเกร็งจัด ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำเพราะกลัวความโกรธที่คาดเดาไม่ได้
“พี่จ้าว”
จ้าวกระพริบตาปริบอย่างไม่เชื่อหู เงยหน้ามองพายที่ยิ้มน้อยๆ ให้ตัวเองเหมือนเมื่อก่อน ถึงสายตาจะไม่เทิดทูนเขาเอาไว้เหนือสิ่งใดแต่ก็นั่งก็เพียงพอแล้วที่ทำให้จ้าวน้ำตาคลอ
“ไม่โกรธพี่แล้วเหรอ ฮึก”
อดีตนักร้องดังที่โดนป้ายสีว่าเป็นฆาตกรอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ เขาถูกเกลียดมามากมายจนชาชิน นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่ถูกทำดีด้วยโดยที่เขายังไม่ทันทำอะไรเพื่อแก้ตัว
“ตอนนั้นผมไม่ได้ถามพี่ ว่าพี่ทำรึเปล่า”
พายยิ้มเศร้าๆ เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาหลายปีแต่ยังคงเด่นชัดราวกับเกิดขึ้นเมื่อวานในใจจ้าว
“ผมเอาแต่โกรธ โทษพี่ที่ทำพี่พริมตาย ผมไม่รู้ว่าใครทำแต่ก็ผมก็ยังโกรธมากๆ อยู่ดี”
น้ำตาที่คลอเล็กๆ ทำให้จ้าวรู้ว่าความเคียดแค้นของพายยังคงอยู่แต่มันไม่ได้มีเพื่อเขาอีกต่อไป
“ผมถามพี่ตรงๆ นะ พี่จ้าว”
พายสบตาจ้าว เช่นเดียวกับจ้าวที่สบตาไม่วอกแวก
“พี่ฆ่าพี่พริมรึเปล่า”
“พี่สาบานได้เลยว่าพี่ไม่ได้ฆ่า”
ทันทีที่คำนี้หลุดออกจากปาก จ้าวก็รู้สึกเหมือนบ่วงแน่นที่รัดคอไม่ให้พูดมาตลอดค่อยๆ คลายออก
“แล้วถ้าพี่ไม่ได้ทำแล้วใครทำ”
พายถามต่อ นัยน์ตาเริ่มสุมด้วยไฟแห่งความโกรธ พี่สาวคนเดียวที่ห่างกันเพียงแค่ห้าปี จากไปด้วยการฆาตกรรมของใครบางคน นั่นไม่ใช่เรื่องที่พายจะยอมรับได้
“…”
แปลกที่เขาพูดไม่ออกอีกแล้ว ทั้งๆ ที่อยากตะโกนแทบตายว่า ‘จันทร์เป็นคนฆ่า! และเรื่องทั้งหมดก็เกิดจากจันทร์ทั้งนั้น เขาไม่ผิดอะไรสักนิด’
เขารู้เรื่องพวกนี้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังพูดไม่ออก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะปกป้องคนที่กระทำผิดทำไมในเมื่อเขาคนนั้นไม่คิดจะสงสารเขาด้วยซ้ำ มีแต่ผลักไสให้ไปตายให้พ้นๆ หน้าเสียที
สายสัมพันธ์ฝาแฝดที่เขาคิดว่ามีก็ตัดขาดไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เขาร้องเพลงนั้นทุกครั้งที่จันทร์ร้องไห้และมันก็ได้ผลเสมอมา แต่เมื่อวานมันได้ผลกลับกัน จันทร์ไม่ได้ร้องไห้แต่เป็นเขาเองที่ร้องไห้แทบขาดใจในตอนที่น้องออกไปจากห้อง เขารู้อยู่แล้วล่ะว่าน้องเกลียดเขา แต่ก็ไม่คิดว่าจะมันจะมากขนาดนั้น เขารักน้องมาก หลายอย่างในชีวิตเขาก็มีผลมาจากน้องทั้งนั้น
‘จ้าว จ้าวร้องเพราะมากเลย’
เสียงทุ้มนุ่มนิ่มคล้ายกับเขายกนิ้วโป้งให้พร้อมกับยิ้มจนตาหยี ทั้งๆ ที่มีใบหน้าเหมือนกันแต่จ้าวกลับรู้สึกว่าจันทร์นั้นน่ารักที่สุดในโลกจนอดไม่ได้ที่จะโผกอดกลับแล้วตอบ
‘ถ้าจันทร์ชอบจ้าวร้อง จ้าวก็จะร้องเพลงตลอดไปเลย!’
เหตุผลง่ายๆ ของการมาเป็นนักร้องของเขาส่วนหนึ่งก็เพราะจันทร์ แต่เขาไม่เคยบอกใครแม้แต่เพื่อนในวงเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเก็บเป็นความลับสนุกๆ ระหว่างฝาแฝดมากกว่า แต่ดูเหมือนจันทร์จะไม่คิดอย่างงั้น น่าแปลกที่เขาไม่เคยดูออกเลยว่าใบหน้ายิ้มแย้มที่มีให้เขามาตลอดของจันทร์นั้นไม่ใช่ของจริง แต่ถ้าเป็นไปได้เขาก็ยังอยากให้ตัวเองโง่ดูยิ้มนั่นของจันทร์ไม่ออกเหมือนกัน ไม่อย่างงั้นเขาก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้
“พี่จ้าว”
เสียงของพายเรียกสติที่ลอยไปไกลของจ้าวกลับมาอีกครั้งหนึ่ง จ้าวกระพริบตาปริบแล้วยิ้มให้พายบางๆ
“พี่ไม่รู้”
จ้าวส่ายหัวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
สุดท้ายเขาก็หักใจพูดออกไปไม่ได้อยู่ดี นึกเกลียดตัวเองเหมือนกันที่จะมาทำตัวเป็นคนดีทำไมในเมื่อมันไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นสักนิด
“ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยคุย” พายตัดบทแล้วหยิบกระเป๋าสะพายที่ใส่ชุดเก่าผมไปถือ “เรารีบไปรอที่รถเถอะ ผมว่าตอนนี้มันเริ่มรู้ตัวแล้ว”
จ้าวเหลือบมองไปข้างหลังที่เริ่มมีเสียงเอะอะโวยวาย ดูเหมือนพวกนั้นจะเลิกทำตัวเนียนๆ เหมือนส่งยาเสพติดแล้ว ตอนนี้พวกมันไล่กระชากแต่ละคนมาเช็คปลอกคอเหล็กที่คออย่างวุ่นวาย เจ้าหน้าที่ที่น่าจะเป็นพวกของพวกมันถือบัตรประจำตัวไล่ตรวจพวกเบต้ากับโอเมก้าไปทั่ว
“ไปเร็ว! รถเรามาแล้ว”
พายลากตัวจ้าวแล้วโยนขึ้นไปบนรถกอล์ฟสีดำที่มีกระจกฟิล์มดำปิดมิดชิดดูหรูหรากว่าพวกอัลฟ่าทั่วไปไปอีกขั้นทันทีประตูปิดรถก็ขับผ่านพวกมันไปอย่างแนบเนียนโดยที่พวกมันต้องหลีกทางให้เป็นเมตร เพราะนี่เป็นรถกอล์ฟของพวกอัลฟ่าพิเศษซึ่งมีนัยน์ตาสีทองและมีความสามารถพ่วงมาอย่างพละกำลังมากเอย ทักษะบางอย่างที่เป็นเลิศเอามากๆ เอย หรือไม่ก็สติปัญญาที่เฉลียวฉลาดกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่า ระดับไอคิวโดยเฉลี่ยของพวกอัลฟ่าพิเศษคือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปด ทำให้พวกนี้มักจะอยู่ในวงการวิทยาศาสตร์ชั้นนำคอยพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์และควบคุมมนุษย์ที่มีสายเลือดด้อยกว่าตนเอง
แต่อย่างไรเสียเพราะความโดดเด่นของพันธุกรรมทำให้อัลฟ่าประเภทนี้ค่อนข้างหายาก โอกาสพบในมนุษย์มีเพียง 0.01% และในประเทศไทยก็มีเพียงไม่กี่คนและหนึ่งในนั้นก็คือ ‘พาย’
“เดี๋ยวแวะจอดรับคิงด้วยนะครับ ลุง”
พายยังทำตัวดุ๊กดิ๊กเหมือนที่เคยเป็นด้วยการเกาะเบาะหน้าแล้วพูดงุ้งงิ้งข้างหูคนขับ
“ลุงบ้านแกสิ ไอ้เด็กเปรต”
คนโดนเรียกลุงคำรามในลำคอ “และประเด็นคือวันนี้ฉันมีสอน ทำไมฉันต้องมาขับรถให้เด็กกินนมไม่เคยหมดขวดอย่างแกวะ”
“ก็ลุงชอบผมไง ฮิฮิ”
“…”
จ้าวนั่งตัวเกร็งทำหน้าไม่ถูกเพราะเพิ่งเคยเห็นพายโหมดนี้ เมื่อก่อนตอนอยู่กับเขาก็ดุ๊กดิ๊กๆ เหมือนหมาพันธุ์ปอมแหละแต่ไม่เคยเห็นตอนที่อ้อนจนแทบจะปีนขึ้นไปบนตักแล้วเลียหน้าคนขนาดนี้
ไม่น่าเชื่อว่าแค่ห้าปีทุกอย่างรอบตัวเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พายที่เขาคิดไม่ตกและเคยนั่งพนันกับคนในวงว่าคงมีแฟนเป็นหมาปั๊กยังได้แฟนเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาหน้ากลัวมากกว่าคุณเหมันต์ซะอีก นี่ไม่ใช่ปั๊กแล้วแต่เป็นร็อตไวเลอร์ชัดๆ
ขับไปได้สักพักจนคิงขึ้นมาในรถ บทสนทนาจึงวกกลับมาที่จ้าวอีกครั้งอย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก
“สรุปพี่จันทร์จะส่งพี่จ้าวไปโครงการจีโนมจริงๆ ใช่ไหม”
พายซึ่งเป็นคนรู้เรื่องนี้คนแรกกอดอกถามจ้าวด้วยสีหน้าเป็นห่วง ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนของเขาที่ทำงานในโครงการนั้นแอบส่งข่าวมาบอก เขาก็คงไม่มีทางรู้เรื่องนี้แน่
“ก็อย่างที่พายรู้นั่นแหละ”
จ้าวยิ้มเจื่อนแล้วเหลือบมองข้อมือตัวเองที่ถูกประทับเป็นสัญลักษณ์โอเมก้า
“ทางนั้นสนใจพี่มากเพราะพี่เป็นอัลฟ่าคนแรกที่กลายเป็นโอเมก้าจริงๆ ”
ไม่แน่ถ้าเขารักวงการวิทยาศาสตร์มากกว่านี้ก็คงจะยอมเสนอตัวไปเองอย่างว่าง่าย แต่น่าเสียที่เขาไม่ได้รักวงการนี้และไม่อยากเป็นหนูตัวทดลองตัวที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่ต้องตายในการทดลองที่ไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธาณชนถึงวิธีการทดลอง ที่ไม่รู้ว่าโหดร้ายหรือไม่ พวกโอเมก้าที่ถูกจับมาทดลองถึงได้ตายเอาๆ เหมือนผักเหมือนปลา
“ไปอยู่กับกูไหม จ้าว” คิงรวบมือจ้าวไปจับแน่นด้วยสีหน้าจริงจัง “กูปกป้องมึงได้ ไอ้เครื่องนั่นกูยังหามาให้มึงได้เลย แค่ซ่อนมึงจากพวกนั้นมันไม่ยากหรอก”
มือของคิงเย็นเฉียบต่างจากมือของใครอีกคนอุ่นร้อนขัดกับชื่อ จ้าวมองใบหน้าที่เห็นเหล่าแฟนคลับกรี๊ดนักกรี๊ดหนาถึงความเท่ความคูลของคิงแล้วหลุดยิ้มเล็กๆ
ตอนนี้คิงที่ว่าในสายตาเขา เหมือนกับเด็กที่กำลังกุมมือเด็กสาวแล้วบอกฉันจะปกป้องเธอเองซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่อยากเป็นสาวน้อยคนนั้นแน่ๆ
จ้าวไม่ได้ดึงมือตัวเองออกปล่อยให้มือเย็นเฉียบเกาะกุมตัวเองจนรู้สึกว่ามือตัวเองค่อยๆ เย็นตาม
“มึงซ่อนกูไม่ได้ตลอดหรอก คิง” อดีตนักร้องนำยิ้มให้คิงที่ทำหน้านิ่งแต่เขาก็เห็นได้ชัดเจนถึงความผิดหวังที่ฉายชัดอย่างตรงไปตรงมาในแววตา “ตอนนี้กูไม่ใช่จ้าวคนเดิมแล้ว คิง จ้าวที่มึงเห็นตอนนั้นมันตายไปแล้ว”
ในแง่ของจิตใจจ้าวที่โลกสวยคิดบวกคนนั้นได้แต่ไปแล้วจริงๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเรือนจำ จนในที่สุดก็ไม่หลงเหลืออะไรอยู่อีกนอกจากตัวตนที่ยอมรับต่อความเป็นจริงและหมดสิ้นความหวังที่จะนำพาคนอื่นไปสู่ความหวังอีกต่อไป
จ้าวค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกแม้ว่าคิงจะพยายามดึงเอาไว้แค่ไหนก็ตาม
“กูขอบคุณที่มึงมาช่วยกูวันนี้นะ แต่ถ้ามึงอยากได้กูกลับไปเล่นวงเดียวกับมึง กูทำไม่ได้ว่ะ กูไม่อยากร้องเพลงของวงมูนไลท์แล้ว ไม่อยากให้กำลังใจใครทั้งนั้น กูยังเอาตัวเองไม่รอดเลยจะมีปัญญาไปช่วยใครล่ะ วันดีคืนดีกูอาจจะแพ้ยาบ้าๆ ที่น้องให้กูกินแล้วชักตายไปเลยก็ได้ ใครจะไปรู้”
“กูชอบมึงนะ จ้าว”
แววตาของคิงสั่นระริกพยายามจะจับมือผมอีกครั้งแต่ผมชักมือหลบไว้ข้างหลัง ซึ่งท่าทีการตอบรับของจ้าวมันก็ชัดเจนจนคิงอดพูดเสียงครือไม่ได้
“ทำไมมึงไม่ให้โอกาสกูล่ะ จ้าว ถ้าไม่ใช่กู ใครจะช่วยมึงได้วะ”
ความผิดหวังเริ่มแปรเป็นความโกรธ
“พี่คิง ใจเย็นๆ “พายใช้มือแตะๆ คิงเชิงเตือน อารมณ์คล้ายกับหมาปอมที่ใช้อุ้งเท้าสั้นของมันแตะหางเสือที่กำลังโกรธจัดได้ที่เพราะเหยื่อที่มันควรจะได้กินกลับหนีจากมัน
“รู้ไหม” คิงหัวเราะเสียงต่ำ “ตั้งแต่ที่ไอ้ไนท์รู้ว่ามึงยอมรับว่าฆ่าพริม มันก็ไปเข้าวงอื่นเลย มันเชื่อว่ามึงฆ่าจริงๆ ทั้งๆ ที่มันบอกว่ามันเชื่อว่ามึงไม่ได้ฆ่า ซึ่งกูก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกันว่าทำไมต้องโกหกกูถึงห้าปี อ้างว่าไปช่วยวงนั้นเล่น ทั้งๆ ที่มันบอกจะรอมึงกลับมา แต่ก็นะ มันไม่รอและมันก็ไปแล้ว มันทิ้งมึง ตอนนี้มึงเหลือแค่กู”
คิงชี้หน้าตัวเองที่ดวงตาขึ้นสีแดงก่ำ
“กูเป็นคนไปคุยกับพายเอง พายถึงได้ยอมมาช่วยมึงวันนี้ มึงไม่คิดเหรอ จ้าว ว่าทำไมอยู่ๆ พายก็เลิกโกรธมึงทั้งๆ ที่ตอนนั้นแทบจะกระโจนเข้าไปบีบคอมึงให้ตายตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ”
มือเบสรูปหล่อประจำวงมูนไลท์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จ้าวแล้วคำรามใส่
“เพราะกูไงจ้าว! เพราะกูรักมึงไง กูถึงยอมช่วยมึงขนาดนี้ กูยอมเล่นเพลงของวงเราที่แม่งไม่มีใครกล้าเล่น กูยอมโดนพ่อด่าเรื่องไม่กลับไปทำธุรกิจครอบครัวก็เพราะกูรอมึงไง กูรอมึงกลับมาและสิ่งที่กูต้องการก็คือโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองของกู นี่ไง กูขอแค่นี้เอง มึงให้กูไม่ได้เหรอ จ้าว”
หากแต่คนที่ถูกทั้งคำรามใส่กลับนิ่งกว่าที่ควร ใบหน้านั้นยังคงรอยยิ้มน้อยๆ อย่างที่ควรจะเป็นแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีอะไรน่ายินดี
“…พี่คิง” พายพูดเสียงแผ่วเจี๋ยมเจี๊ยมเพราะสิ่งที่พี่คิงพูดก็จริงทั้งนั้น ตอนนั้นเขาเอาแต่โกรธไม่ยอมฟังหรือรอเหตุผลอะไรทั้งนั้น ขนาดแม่พยายามพูดเขายังไม่ฟังเลย
เขาก็แค่เศร้า เศร้าที่ต้องเสียพี่สาวที่ตัวเองรักมากๆ และเพิ่งจะวางแผนไปเที่ยวด้วยกันสองพี่น้องพร้อมกับซื้อของขวัญให้เขาเนื่องในวันเกิด
และสิ่งที่เขารับรู้คือมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้เขาแทบกลายเป็นบ้าได้แล้ว ประมาณห้าชั่วโมงที่แล้วเขายังได้ยินเจื้อยแจ้วของพี่สาวแต่ห้าชั่วโมงถัดจากนั้นก็ได้ยินข่าวร้ายจากปากพี่จันทร์
ชั่ววินาทีนั้นเหมือนโลกทั้งใบของเขาถล่มลงมาเลยทีเดียว แต่เวลาก็คือเครื่องเยียวยาที่ดีที่สุด ตอนนี้เขาอาการดีขึ้นแล้วและพอจะคิดได้ว่าตัวเองได้ทำอะไรร้ายแรงลงไปบ้าง
“คิง”
จ้าวเรียกเสียงเย็นแววตาว่างเปล่าจนคิงชะงักกึก ความโกรธที่เป็นเพลิงไหม้รุนแรงดับทันควัน สีหน้าของจ้าวทำเอาคิงรู้สึกกลัวเพราะนั่นไม่ใช่สีหน้าที่คิงเคยเห็นและคุ้นเคยสักนิด
“กูขอบคุณนะที่มึงช่วยและรอกูนานขนาดนี้ แต่สิ่งที่มึงกำลังทำคือลำเลิกบุญคุณจากกู”
ใบหน้าที่คิงเคยคิดว่าเป็นใบหน้าที่ตนเองจำได้ขึ้นใจกลับเป็นใบหน้าเดียวกับที่รู้สึกเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
สีหน้าเย็นชาและนัยน์ตาที่มองมาอย่างเย็นชา
จ้าวไม่เคยทำแบบนี้กับเขา… ไม่เคยทำแม้แต่ครั้งเดียว!
คิงเผลอถอยชนกับประตูรถดังปึงแต่ตัวก็ยังสั่นเทาอย่างยอมรับไม่ได้
“มึงยอมรับเถอะว่ากูไม่ได้ชอบมึง กูว่ากูเคยบอกมึงแล้วนะว่ากูมองมึงเป็นแค่เพื่อนและมันจะไม่มีวันมากไปกว่านั้นด้วย กูรู้จักมึงตั้งแต่มึงหัวเกรียนนะ คิง กูรู้เพื่อนชอบเพื่อนมันเกิดขึ้นได้ มึงชอบกู กูไม่ว่า แต่ก็ไม่ได้ชอบมึง โอเคนะ แล้วตอนนี้กูก็ไม่ได้ชอบใครด้วย เรื่องนี้ไม่มีใครผิด กูก็แค่ไม่ได้ชอบมึงเฉยๆ และมึงก็หยุดทำเหมือนกูผิดมากซะทีที่ปฏิเสธมึง”
นานพักนึงกว่าคิงจะประมวลผลคำพูดของจ้าวได้
“กูก็เลย… ขอแค่โอกาสไง จ้าว”
จ้าวแค่นเสียงหัวเราะเล่นเอาทั้งคิงทั้งพายอึ้ง
“ขอโทษที่กูใจร้ายว่ะ คิง”
ภาพคนๆ นึงปรากฎในหัวจ้าวจนจ้าวอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้
คนที่น่าจะใหญ่พอที่จะคุ้มครองเขาได้สบายๆ ไปจนตายเลยล่ะมั้ง
“แล้วพี่จ้าวจะอยู่ยังไง ถ้าไม่ให้พี่คิงช่วย” พายถามด้วยสีหน้ากังวล ไม่ว่าคิดยังไงการไปอยู่กับคิงก็คือทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ถึงที่บ้านคิงจะไม่ใช่พวกทหารตำรวจหรือพวกของทางการ แต่ธุรกิจอสังหาในมือก็มีเงินไหลเวียนอยู่จำนวนไม่น้อยเช่นกันซึ่งมันก็น่าจะมีเพียงพอในการลบตัวตนของใครสักคนให้หายไปจากสารบบ
“คนอย่างจันทร์ไม่ใช่คนโง่”
ครั้งนี้กลับเป็นคนขับรถที่จ้าวให้ฉายาว่าร็อตไวเลอร์เป็นคนพูด ใบหน้าที่ถูกกาลเวลากัดกร่อนให้มีริ้วรอยมีความเครียดเขม็งแฝงอยู่ “การหาตัวคนในประเทศไทยสำหรับเขาคงไม่ใช่เรื่องยากหรอก อย่าลืมสิว่าตระกูลนฤภัทรมีเงินมากกว่านายตั้งเท่าไหร่”
คิงขบเคี้ยวฟันเมื่อตระหนักถึงความไร้ความสามารถของตัวเอง “แล้วจะทำยังไงล่ะ ในเมื่อหนทางที่ดีที่สุดคือมาอยู่กับผม”
“อย่าออกความเห็นที่มีแต่ความคิดของตัวเองสิ”
คนอายุมากสุดในรถเอ็ดด้วยสีหน้าเหมือนเดิมราบเรียบและหมุนพวงมาลัยพารถออกไปจอดเทียบกับรถสปอร์ตสีดำทองคันยาวที่ไว้สำหรับรับส่งพวกอัลฟ่าพิเศษโดยเฉพาะ
บทสนทนาจำต้องหยุดชั่วคราวเพราะต้องเปลี่ยนรถพอทุกคนประจำที่จ้าวก็เอ่ยขอทันที
“… ผมขอยืมมือถือได้ไหม ผมว่าผมมีวิธีรอดของผมอยู่”
จ้าวหันไปหาคนที่ดูจะพึ่งพาได้มากที่สุดในตอนนี้ด้วยท่าทีนอบน้อม พออีกฝ่ายยื่นให้ก็กดเบอร์โทรที่จำได้ขึ้นใจเพราะตัวเลขเหมือนกันซะเจ็ดตัว เลขสวยมากคาดว่าน่าจะประมูลมาแพง
[ฮื่อ.. ฮัล..โหล]
จ้าวหลุดยิ้มนิดๆ กับเสียงพูดงัวเงียของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าเขาจะไปขัดจังหวะเวลานอนพักกลางวันของใครบางคนเข้าซะแล้ว
“ผมจ้าวนะ”
[ฮื่อออ จ้าวไหนวะ]
“จ้าว นฤภัทรครับ”
[อะไรนะ]
จ้าวพยายามอย่างยิ่งในการไม่หลุดยิ้มกว้างกับเสียงของคนที่ไม่ตื่นดี สติสตังค์เหมือนจะยังอยู่ในความฝันไม่ยอมออกมาด้วย
“จ้าว วงมูนไลท์ครับ”
[สปอรต์ไลท์? ฉันว่าฉันไม่ได้สั่งนะ ไปคุยกับเลขาฉันไป]
“จ้าวที่คุณเป็นแฟนคลับน่ะครับ”
[คลับแซนด์วิช ฮื่อ ฉันไม่ได้อยากกิน]
“คุณเหมันต์ตื่นสักทีเถอะครับ!”
ในที่สุดจ้าวก็ทนไม่ไหวตะโกนใส่โทรศัพท์จนปลายสายสะดุ้งตื่น ได้สติกลับมาเต็มร้อยจนแทบเกิน
[มีอะไรให้ช่วย?]
น้ำเสียงนุ่มนวลจากปลายสายทำให้จ้าวรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาแปลกๆ
“ผมขอไปหลบบ้านคุณได้ไหม ให้ผมไปเป็นคนใช้ก็ได้ ตอนนี้จันทร์จะส่งผมไปอเมริกาแล้ว”
ถึงความรู้สึกเกรงใจจะอึดอัดอยู่เต็มอกก็เถอะ แต่เขาสบายใจที่สุดแล้วกับความช่วยเหลือของคุณเหมันต์ เพราะคุณเหมันต์เป็นคนๆ เดียวที่ยังอยู่ตรงนั้นเพื่อเขามาตลอดและสม่ำเสมอ
ดอกกุหลาบขาวนั่นคุณเหมันต์อาจจะให้ตามมารยาทหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆ มันมีความหมายกับจ้าวมากเพราะมันคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ตีปีกโผบินเข้าสู่อิสระอันเป็นนิรันดร์
เขาอยากหนีให้พ้นจากความเจ็บปวดแต่ไม่รู้จักวิธีอื่นนอกจากความตาย
แต่กุหลาบของคุณเหมันต์ทำให้เขารู้สึกมีความสุข ถึงแม้มันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า ซึ่งนั่นก็เพียงพอให้อยากอยู่ต่อ
เขาไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงแต่อย่างน้อยๆ ได้อยู่ภายใต้เงาของคนที่ทำให้เขายอมไม่ตายเพื่ออยู่ต่อ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้
ไม่สิ ต่อให้เขาไปอยู่กับคิง ก็คงประคองชีวิตได้ไม่นานนัก ดีไม่ดีอาจจะตายวันตายพรุ่งเลยก็เป็นได้
[มาสิ ฉันจะสั่งเลขาไว้แล้วกัน ฮื่อ ขอฉันนอนก่อนนะจ้าว ฉันเพิ่งได้นอนตอนนี้เอง]
“ครับ ฝันดีครับ”
[อืม.. รีบมาล่ะ]
จ้าวเงยหน้าสบตากับคุณร็อตไวเลอร์ที่มองมาอย่างรอคำตอบ
“ไปลงที่คฤหาสน์ตระกูลกิลลาสครับ”
พายกระพริบตาถี่ๆ “เอ่อ คงไม่ใช่ที่อยู่ข้างซ่องนกพิราบใช่ไหม พี่จ้าว”
“อือ ตรงนั้นแหละ”
“เดี๋ยวจ้าว มึงรู้จักคนที่นั่นด้วยเหรอ” คิงถามสีหน้าเคร่งเครียดไม่ละความพยามยามของตัวเองที่เริ่มจะสั่นคลอน “กูไม่สนหรอกว่ามึงจะชอบหรือไม่ชอบกู แต่กูช่วยมึงได้นะจ้าว ต่อให้กูช่วยมึงไม่ได้เท่าที่มึงอยากได้แต่กูก็จะพยายามให้ได้มากที่สุด”
“กูรู้จักมิสเตอร์เหมันต์”
จ้าวเอนหลังพิงเบาะแล้วหลับตา รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งๆ ที่วันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรมากมาย
“แล้วกูล่ะ จ้าว มึงเอาไปไว้ตรงไหน”
“มึงเป็นเพื่อนกูนะ คิง กูพูดไปแล้วและกูจะไม่พูดซ้ำอีก”
“ตั้งแต่กูคบมึงมากูยังไม่เคยเห็นมึงจะรู้จักมิสเตอร์เหมันต์อะไรนั่นเลย มึงคิดว่าเขาไว้ใจได้มากกว่ากูเหรอวะ!”
บรรยากาศในรถค่อยๆ ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าแอร์จะเย็นเฉียบบาดผิว
“…”
“ตอบกูสิจ้าว มึงเงียบทำไม!”
“…”
“ตอบกูไอ้จ้าว!!!”
คิงกระชากคอเสื้อจ้าวเข้ามาใกล้ถลึงตามองอย่างเดือดดาลและได้ผล จ้าวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าที่คิงเริ่มกลัวหนักกว่าเก่าและริมฝีปากบางเฉียบนั้นก็คำรามใส่เขาจนเผลอปล่อยมืออกจากคอเสื้อ
“กูไม่อยากเป็นภาระใครเข้าใจไหมวะ!!!!”
จ้าวตะคอกตาขึ้นสีแดงก่ำ
“กูไปอยู่กับมึง ถ้าเกิดมีคนจับได้ ธุรกิจมึงเละแน่ พวกมันไม่เอามึงไว้หรอก มึงคิดเหรอลำพังเงินพ่อแม่จะคุ้มครองกูได้ตลอดไป มึงโลกสวยเกินไปรึเปล่า คิง กูไปอยู่กับคุณเหมันต์เพราะเขามีอำนาจมากกว่ามึงและพวกมันคงต้องเกรงใจบ้างถ้าคิดจะทำอะไร”
มือของคิงสั่นพอๆ กับแววตาที่สั่นระริก
นี่ไม่ใช่จ้าว… ไม่ใช่จ้าว ที่เขาหลงรักแทบตาย
“ถ้าอยากจะช่วยกูจริงๆ เดี๋ยวกูจะติดต่อไปเอง แบบนี้จะปลอดภัยกับทุกฝ่ายที่สุด”
จ้าวพูดสรุปก่อนที่จะหยิบผ้าปิดตาสำหรับนอนที่น่าจะเป็นของพายมาปิดตาและหนีเข้าสู่ห้วงนิทราไม่ยอมพูดอะไรอีก
เพราะนี่เป็นทางออกที่สุดที่สุดเท่าที่สมองเล็กๆ ชองเขาจะคิดออกแล้ว…
===============
หายไปนาน