- 2 -“เจ้ามาแล้ว..” สุรเสียงห้าวทุ้มกังวานไม่ดังนัก“ข้ามาแล้วพะยะค่ะ..องค์ชาย” ร่างบุรุษชุดดำอำพรางกายค่อยแสดงตัวออกจากเงามืด
ภายในห้องบรรทมองค์ยุพราชหนุ่ม
“ได้ความเช่นไร” องค์วายุภักษ์ถามองครักษ์ กลกะลาคือองครักษ์และพระสหายในคราเดียว
ตั้งแต่พระองค์ถูกส่งไปร่ำเรียนวิชากับมหาโหราทำให้ได้พบกลกะลา..เด็กชายวัยเดียวกันซึ่งอาศัยอยู่ในหลืบเขา
ดินแดนทะเลทรายรกร้างว่างเปล่าทางตอนใต้ของนคร อันเป็นแหล่งพำนักของมหาโหราผู้เฒ่า
กลกะลาเป็นชนเผ่าดารยันซึ่งมีความสามารถซ่อนกายไปมาไร้ร่องรอย ฝีมือการต่อสู้ย่อมไม่ธรรดา
แต่เดิมชนเผ่าดารยันเป็นชนกลุ่มน้อย ซึ่งแข็งแกร่งในทะเลทราย ดำรงชีพด้วยการทำปศุสัตว์เพาะอูฐพันธุ์ดี
แถมมีฝีมือในการรบ พวกเขาจึงรอดพ้นจากการรุกรานของชนเผ่าอื่น โดยไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย
เด็กสองคนรู้จักกันโดยบังเอิญ กลกะลาเกิดพลัดหลงเข้ามายังที่พำนักของมหาโหราผู้เฒ่า
เจอค่ายกลทรายดูดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ซึ่งโหราผู้เฒ่าวางกับดักไม่ให้ใครรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว
องค์ชายวายุภักษ์มาเจอเข้าพอดี จึงยื่นหัตถ์ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ตั้งแต่นั้นกลกะลาก็คบหาองค์ชายเป็นสหาย
กลายเป็นเพื่อนเล่นเพียงคนเดียว ท่ามกลางดินแดนรกร้างจนเติบโตมาด้วยกัน
กระทั่งองค์ชายต้องเดินทางกลับสู่พระนคร เพื่อรับภาระปกป้องดินแดนที่กำลังถูกข้าศึกโจมตี
กลกะลาก็ได้อาศัยติดสอยห้อยตามมาด้วย โดยเข้ารับตำแหน่งองครักษ์ประจำกายนับแต่นั้น ถือเป็นสหายรู้ใจเพียงคนเดียว
ที่พระองค์ไว้ใจให้อยู่ข้างกายเคียงบ่าเคียงไหล่ เรียกได้ว่าเป็นองครักษ์มือขวาของพระองค์เลยก็ย่อมได้
“เจ้าเปิดเผยโฉมหน้าเถอะ มิได้ปฏิบัติภารกิจลับ..ใยต้องอำพราง” ท่าทางผ่อนคลายเป็นกันเอง
เมื่อพระองค์อยู่ลำพังกับสหายมักไม่ถือองค์ดังเช่นอยู่ต่อหน้าข้าราชบริพารปกติ
“ข้าพระองค์สืบได้ความบางอย่าง น่าจะเป็นข้อมูลสาวตัวคนร้ายได้บ้างพะยะค่ะ” ใบหน้าหล่อไม่ขี้เหร่
เผยให้เห็นหลังเจ้าของปลดผ้าออก ค่อยกล่าววาจาถวายรายงาน ตามหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายดำเนินภารกิจลับ
มิให้ผู้ใดล่วงรู้ ขณะที่องค์ชายกลับสู่นคร แอบส่งกลกะลาเดินทางมาก่อนล่วงหน้า
เพื่อลอบหาเบาะแสของคนร้ายที่วางยาพิษเหนือหัวอนิละ
“เจ้าได้เบาะแสอันใดมา” องค์ชายรับสั่ง อิริยาบถผ่อนคลายเป็นพิเศษ พระองค์ไม่แผ่รังสีกดดันยามอยู่กับสหาย
“ข้าพระองค์สืบได้ความ พิษที่เหนือหัวได้รับมาจากพิษแมงมุมดำของเผ่าแมงมุมดำ จัดเป็นพิษร้ายแรงไร้สีไร้กลิ่น”
“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว ท่านอาจารย์บอก เจ้ามีเบาะแสอื่นหรือไม่”
“เผ่าแมงมุมดำมิอาจปะปนถึงวังหลวง สำคัญพิษนี้ไม่มีแพร่หลาย ทั้งการปรุงแต่งและยาถอน
ล้วนเป็นความลับถ่ายทอดเฉพาะคนในเผ่า ไม่ได้รับอนุญาตให้แพร่งพรายต่อบุคคลภายนอก
ข้าสืบดูว่าใครที่น่าสงสัย ตั้งแต่กระบวนการปรุงพระกระยาหาร จนผ่านการตรวจสอบก่อนถวายแด่เหนือหัว”
พักตร์คมคายคงเรียบสงบ แต่เนตรกลับเจิดจ้าแลทรงภูมิปัญญา
“เช่นนั้นย่อมเป็นกระบวนการสุดท้าย หลังการตรวจด้วยเข็มเงินของมหาดเล็ก มิว่าพิษใดย่อมไม่รอดพ้นเข็มเงินได้”
พระองค์ทรงวิเคราะห์ ได้รับสายตาชื่นชมในพระอัจฉริยภาพทางปัญญาจากกลกะลา
แววตาคมดุฉายความพึงพอใจในพระปรีชาอย่างเทิดทูน
“ทรงคิดไม่ผิดพะยะค่ะ ขั้นตอนต่อจากนั้นต่างหาก คือช่วงเวลาที่คนร้ายวางยา”
เนตรคมวาว คิ้วเข้มผูกปมค่อยคลายออก พร้อมกับรับสั่ง
“นางกำนัลสนองพระโอษฐ์สินะ ข้ายังมีข้อสงสัยนางกำนัลเหล่านี้ล้วนเข้าวังตั้งแต่เล็ก
ถวายตัวโดยไม่สามารถติดต่อบุคคลภายนอกได้อีก เช่นนั้นจะมีเผ่าแมงมุมดำแฝงกายเป็นไส้ศึกได้อย่างไร
ต้นตระกูลที่มาที่ไปล้วนชัดเจน หาใช่ใครก็สามารถเข้ามาถวายรับใช้หน้าที่นี้
เช่นนั้นเจ้าว่าเกิดช่องว่างตรงที่ใดกัน..ไหนลองบอกให้ข้าฟังดู” พระองค์ตรัสถามสหาย
“เพราะเราคิดว่าเข้มงวด จึงมองข้ามในส่วนนี้ เป็นใครก็คาดไม่ถึง จากข้อมูลที่ข้าพระองค์สืบได้
เผ่าแมงมุมดำปลูกฝังการปรุงพิษตั้งแต่เล็ก นางกำนัลสนองพระโอษฐ์อาจมีคนใดคนหนึ่ง
ถือสายเลือดเผ่าแมงมุมดำ ถูกส่งให้เป็นไส้ศึกวางแผนกันมาแต่ต้น..พะยะค่ะ” ความเห็นของกลกะลา
ใช่เป็นไปไม่ได้ องค์ชายวายุภักษ์เห็นเค้าลางบางอย่างเช่นกัน
“แสดงว่า..กุลธิดาที่ส่งเข้ามา มีประวัติไม่ชอบมาพากล ช่วงนั้นข้ามิได้พำนักในวัง
นับเวลาแล้วคงเป็นจังหวะที่ร่ำเรียนอยู่กับอาจารย์ คงต้องลำบากเจ้าแล้ว..นำคำสั่งข้าไปยังกรมปกครอง
ทำการตรวจสอบประวัตินางในเหล่านี้ให้ละเอียดอีกครั้ง ตัดเฉพาะส่วนตำหนักเสด็จพ่อ จะได้กำจัดวงให้แคบลง
ข้าเชื่อว่าหนึ่งในนั้นต้องมีไส้ศึกแฝงตัวอยู่ เช่นนั้นต้องกันนางในพวกนี้ ออกจากตำหนักเสด็จพ่อเสียก่อน
นำคำสั่งข้าไปยังตำหนักเสด็จแม่ ให้ถ่ายโอนนางกำนัลของเสด็จแม่ มาคอยปรนนิบัติตำหนักเสด็จพ่อเป็นการชั่วคราว
รอให้เราควานหาตัวคนร้ายเจอเสียก่อน ค่อยว่ากันทีหลัง”
“พะยะค่ะ..ข้าพระองค์จะรีบดำเนินการทันที”
“เดี๋ยว!..ข้ายังมีเรื่องที่ไม่ได้บอก คืนพรุ่งนี้ข้าจะทำการขับพิษให้เสด็จพ่อ ช่วงเวลานั้นมิอาจป้องกันตัว
ถึงแม้อาจารย์จะคอยพิทักษ์ ยังไงข้าก็เชื่อมั่นในตัวเจ้า..กลกะลา” สายพระเนตรที่ใช้ทอดมองสหาย
ประหนึ่งเป็นบุคคลที่พระองค์ไว้วางพระทัยที่สุด ทำให้องครักษ์หนุ่มตื้นตันใจยิ่งนัก
“ข้าพระองค์จะไม่ให้ใครทำร้ายองค์ชายเป็นอันขาด ข้าขอใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน”
วาจาหนักแน่นดุจขุนเขา เอ่ยด้วยความรู้สึกเต็มตื้น
เขาเคยได้รับการช่วยชีวิตจากองค์ชาย หากไม่ได้รับการช่วยเหลือในวันนั้น
คงไม่มีกลกะลาคนนี้ ชีวิตของเขายกให้เป็นข้ารองบาทองค์ชายวายุภักษ์ไปแล้วนับแต่บัดนั้น
“ขอบใจเจ้ามาก ลำบากเจ้าแล้วนะ..สหายข้า”
“ทรงอย่าได้ตรัสเช่นนั้นพะยะค่ะ กลับเป็นความภาคภูมิใจของข้าพระองค์มากกว่าที่ได้รับหน้าที่นี้
ชีวิตข้าพระองค์ถวายให้องค์ชายนานแล้ว ต่อให้ไม่รับสั่ง..ข้าก็มิอาจทนนิ่งเฉยเช่นกัน” ยุพราชหนุ่มรู้สึกปิติ
อย่างน้อยในภาวะผจญข้าศึกรอบด้าน พระองค์ยังมีสหายรู้ใจเคียงข้าง
“ข้าดีใจที่มีเจ้าเป็นสหาย อย่าเผยตัวให้ใครรู้ว่าเจ้าแอบอารักขาข้าเป็นอันขาด บางทีเราอาจได้ตัวคนร้ายในกาลนี้”
“รับด้วยเกล้า..พะยะค่ะ” จากนั้นเงาร่างสูงโปร่งดูลึกลับ เร้นกายหายไปจากห้องบรรทม
พระเนตรคมกล้าขององค์วายุภักษ์ยังคงครุ่นคิด เพียงแต่เรื่องที่พระองค์กังวลพระทัย
กลับไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้องค์ชายถึงกับวางพระทัยลงไม่ได้...
มาอัพตามนัดให้แล้วนะคะ ตอนหน้าเจอผักตบจร้าาาาา...
เรื่องนี้ซับซ้อนพอสมควร แต่รับประกันคลายปมไปเป็นขั้นเป็นตอน
แฝงแง่คิดสอดแทรกในนิยาย คนรักดีชั่วมักแสวงหาอำนาจ ชื่อเสียงไม่รู้พอ
ทำให้เกิดการเดือดร้อน แตกแยกไปทุกหย่อมหญ้า เฉกเช่นเดียวกับประเทศไทยในปัจจุบัน
หากคนเราไม่ฝักใฝ่ในอำนาจจนเกินขอบเขต บ้านเมืองเราคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่นอน
หวังว่าคนอ่านจักได้แนวคิดไม่มากก็น้อย มันซ่อนลึกพอสมควร ยังไงก็ค่อยทำความเข้าใจไปด้วยนะคะ
สุดท้ายย่อมรับรู้ได้เอง ตัวละครที่กร้านชีวิต ใช่จะเลวร้ายเสมอไป ในขณะตัวละครที่ดูดี อาจเลวได้ใจสุดๆ
คนเราวัดกันที่ภายนอกไม่ได้ มันต้องดูให้ลึกถึงแก่นแท้จร้าาาา
ขอบคุณกำลังใจ บวกเป็ด บวกคะแนนชื่นชม และขอบคุณทุกคอมเม้นท์ที่ทำให้คนเขียนมีความสุข
ในความคิดเห็นที่พวกคุณถ่ายทอดกันออกมา เรารักพวกคุณทุกคนจร้าาาา!!
ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น แม้แต่กรุงเทพฯ ก็เริ่มน้ำมูกไหลแล้ว ดูแลรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
นอนอย่าลืมห่มผ้าให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ยังไงความไม่มีโรค ย่อมเป็นลาภอันประเสริฐ
ปล. เจอกันวันเสาร์นี้นะคะ สำหรับตอนต่อไป จะมาอัพให้ค่ะ