บทที่ 15
ดีใจไม่สุด
ตั้งแต่กลับมาจากน้ำตกในวันนั้นแสงหล้าเริ่มมีกำลังใจที่ดีขึ้น คลายความกังวลใจเรื่องคำน้อยไปได้มากพอสมควร อีกส่วนเป็นเพราะจักรคำคอยดูแลเอาใจใส่ไม่เคยห่าง แถมยังคอยประคบประหงมราวกับเขาเป็นเด็กน้อยซะอย่างนั้น ยิ่งจักรคำทำดีด้วยเท่าไรความรักและไว้ใจที่แสงหล้ามอบให้ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
วันนี้จักรคำพาเมียรักมาชมความงดงามของสวนดอกไม้ภายในเขตอุทยานหลวง สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณที่ผลัดกันออกดอกบานสะพรั่งเต็มพื้นที่กว้าง สร้างความสดชื่นให้แก่ผู้เข้ามาเยี่ยมชมได้เป็นอย่างดี
สวนดอกไม้แห่งนี้อนุญาตให้เข้ามาได้เฉพาะเจ้านายชั้นสูงเท่านั้น หากผู้ใดฝ่าฝืนเข้ามาจะต้องโดนอาญาทันที เป็นเช่นนี้คนธรรมดาสามัญก็ไม่อาจย่างกรายเข้ามาได้ ยกเว้นนางข้าไทและทหารที่ติดตามเจ้านายมาเท่านั้น
“เจ้าชอบที่นี่หรือไม่” จักรคำเอ่ยถามขณะเดินโอบไหล่ร่างเล็กเดินชมความงดงามของสองข้างทาง
“ชอบที่สุดเลยเจ้า ที่นี่ช่างงดงามเหลือเกิน เหตุใดจึงไม่เห็นมีผู้ใดย่างกรายเข้ามาที่นี่เลยสักคน” แสงหล้าเอ่ยถามด้วยความสงสัย นั่นเพราะหากเป็นเมืองผาพิงค์ป่านนี้คงมีผู้คนเข้ามาชมจนเนืองแน่นเป็นแน่แท้
“ที่แห่งนี้อนุญาตให้เข้ามาเฉพาะเจ้านายชั้นสูงเพียงเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปเข้ามาไม่ได้ดอก”
“อ้าว! เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนั้น สถานที่สวยๆ เยี่ยงนี้ควรให้ผู้คนได้เข้ามาเห็นเป็นบุญตาสักครั้งก็ยังดี”
“มันเป็นกฎที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว อีกอย่างหากให้ชาวบ้านเข้ามาอาจเกิดความเสียหายได้” จักรคำอธิบายให้ฟัง
“หากท่านได้ขึ้นเป็นเจ้าหลวงแล้วข้าขอเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”
“อันใดรึ” จักรคำหยุดฝีเท้า หันมาส่งยิ้มให้คนรัก
“ข้าอยากให้ชาวบ้านสามารถเข้ามาชมความงดงามในสวนแห่งนี้ได้ ข้ามั่นใจว่าจักไม่มีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นหากเราแจงกฎระเบียบให้พวกเขาเข้าใจ อีกอย่างทุกคนจักได้ซาบซึ้งในบารมีของเจ้าหลวงด้วยเช่นใดเล่า”
“อืม...ตกลงข้าจักยอมทำตามสิ่งที่เจ้าร้องขอ แต่ข้าไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดถึงจักมีวันนั้น เจ้ารอได้หรือไม่” จักรคำเอื้อมมือไปสัมผัสบนแก้มขาวอย่างแผ่วเบา ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตกลางหน้าผากนุ่ม
“ไม่ว่าจักนานเท่าใดข้าก็รอได้”
“ข้าคิดไม่ผิดที่เลือกเจ้า” จักรคำจ้องมองริมฝีปากบางอย่างตั้งใจ กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่บ่งบอกว่าตอนนี้เขากำลังคิดจะทำอะไร
“อย่าคิดทำเยี่ยงนั้นเป็นอันขาด ท่านไม่อายทหารพวกนั้นรึ” แสงหล้าดันอกแกร่งไว้ ขณะปรายตามองทหารสี่ห้านายที่ยืนเฝ้ายามอยู่ไม่ไกล
“เหตุใดต้องอายด้วยเล่า” จักรคำหันไปมองบรรดาทหารหนุ่ม ก่อนจะพยักหน้าสั่งให้เดินออกไปให้พ้นทาง แล้วหันกลับมายิ้มให้คนที่อยู่ตรงหน้า
“เจ้าเล่ห์ที่สุด อย่าคิดว่าทำเรื่องวันนั้นได้แล้วข้าจักยอมไปตลอด” คนพูดเอียงอาย ก้มหน้างุดวางสายตาไว้บนอกแกร่ง
จักรคำเชยคางเรียวขึ้นมาให้สบตากัน
“ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจักยอมหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับข้าว่าต้องการเมื่อใดต่างหากเล่า”
จักรคำโน้มใบหน้าคมเข้าไปประกบจูบริมฝีปากบางอย่างนุ่มนวล เลื้อยมือทั้งสองไปโอบกอดแผ่นหลังบางดึงตัวให้เข้ามาประชิด รสจูบที่ดูดดื่มทำเอาแสงหล้าเคลิ้มกอดรัดร่างกำยำไว้แน่น ยินยอมให้อีกฝ่ายสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากตวัดเกี่ยวพันลิ้นตนเองอย่างสนุกสนาน
“แฮ่กๆ ๆ ...พะ...พอได้แล้ว ท่านจักแกล้งข้าให้ขาดใจตายหรืออย่างไร”
ผละใบหน้าออกมาแล้วแต่ทว่าจักรคำกลับไม่ยอมหยุดเพียงแค่นั้น แสงหล้าจึงดันอกแกร่งห้ามไว้เสียก่อน
“แต่ข้ายังไม่อิ่มเอมใจ ขออีกสักนิดเถอะน่า”
“ไม่เอาแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อต้องการชมสวนไม่ได้มาเพื่อ....” ร่างเล็กก้มหน้างุดไม่ยอมเอ่ยต่อไป
“เพื่ออันใดรึ หรือว่าเจ้าคิดถึงเมื่อครั้งที่เราอยู่ในถ้ำด้วยกัน” จักรคำพูดแหย่ให้คนที่อยู่ตรงหน้าเขินอาย
“มะ...ไม่ใช่สักหน่อย”
“แต่ข้าคิด ข้าตัดสินใจแล้วว่านับจากนี้ไปจักไปนอนกับเจ้าที่ตำหนัก”
“แล้วอินเหล่าเล่าเจ้าพี่ อินเหลาจักนอนกับผู้ใด”
“อินเหลาเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่มีปัญหาอันใดดอก”
“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าพี่ ถึงห้ามท่านก็ไม่ยอมฟังข้าอยู่ดี”
แม้จะทำเหมือนไม่เต็มใจนัก แต่ทว่าหัวใจกลับเต้นแรงด้วยความดีใจเป็นที่สุด เขายอมรับอย่างไม่อายว่าตอนนี้หัวใจทั้งดวงได้มอบให้จักรคำไปหมดแล้ว และยังคงหวังว่าหากจักรคำได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ตั่งทองแล้ว จะทำตามสัญญาคืนอิสรภาพให้เมืองผาพิงค์
“รู้เยี่ยงนี้แล้วจงเตรียมตัวให้พร้อม ข้าอยากนอนกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนไม่ไปไหนเลยด้วยซ้ำ” พูดจบจักรคำก็โน้มใบหน้าไปหอมแก้มขาวฟอดใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว
“พอได้แล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อชมดอกไม้ ไม่ได้มาเพื่อให้ท่านเชยชมตัวข้าสักหน่อย” พูดจบแสงหล้าก็เร่งฝีเท้าเดินล่วงหน้าไปก่อน จักรคำได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะรีบเดินตามไปติดๆ
ในระหว่างทั้งสองคนกำลังพลอดรักกันอยู่นั้น กลับมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองมาด้วยความเดือดดาลเป็นที่สุด เขาคนนั้นคือแสงชัยนั่นเอง ที่ลักลอบเข้ามาในเมืองแห่งนี้เพื่อดูความเป็นอยู่ของน้องชาย แต่ทว่ามาถึงแล้วเขากลับเจอภาพบาดตาที่ทำให้ผิดหวังกับตัวน้องชายเป็นที่สุด
จักรคำเดินโอบไหล่ร่างเล็กชมสวนไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ แต่ทว่าในช่วงเวลานั้นกลับมีทหารสองนายรีบวิ่งเข้ามาเพื่อกล่าวรายงานอะไรบางอย่าง
“เจ้าอุปราชเจ้า!” ทหารทั้งสองนายนั่งคุกเข่าลงตรงหน้ายกมือกล่าวรายงาน
“มีอันใดรึ? เหตุใดถึงได้วิ่งหน้าตาตื่นมาเยี่ยงนี้” จักรคำขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย
“เจ้าหลวงทรงประชวรกะทันหันเจ้า ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาพระอาการอยู่ในห้องบรรทมเจ้า”
“เจ้าพ่อ! “
เมื่อได้ยินอย่างนั้นจักรคำก็หน้าถอดสีทันที บิดาไม่เคยมีวี่แววว่าจะป่วยเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้ทรุดหนักอย่างนี้
“เจ้าพี่ไปดูพระอาการเจ้าหลวงเถิด ข้าจักกลับคุ้มเองไม่ต้องเป็นห่วง” แสงหล้ายกมือขึ้นบีบเบาๆ ที่ต้นแขนเพื่อให้กำลังใจ
“เช่นนั้นข้าจักไปหาเจ้าพ่อที่คุ้มก่อน เจ้าจักกลับคุ้มตอนนี้เลยรึไม่”
“ข้าจักเดินชมสวนอยู่ที่นี่อีกสักพัก เจ้าพี่ไม่ต้องเป็นห่วงดอก”
“ถ้าเช่นนั้นเจอกันที่คุ้มนะเมียพี่”
“เจ้า”
จากนั้นจักรคำก็รีบเดินนำหน้าทหารไปด้วยความเร่งรีบ ปล่อยให้เมียรักชมสวนดอกไม้เพียงลำพัง
แสงหล้าเดินชมสวนไปเรื่อยเปื่อยอย่างสบายใจ สถานที่อันสวยงามแห่งนี้ทำให้เขาผ่อนคลายมากเหลือเกิน มันช่างเงียบสงบ ไม่มีความวุ่นวายใดๆ ให้ต้องเครียดเลยสักนิด
“ป่านนี้เอ็งจักเป็นเช่นใดบ้างนะคำน้อย” เจ้าตัวเอ่ยพึมพำเบาๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าของข้าไทคนสนิท ทั้งสองยังไม่ได้เจอหน้ากันเลยสักครั้งตั้งแต่เกิดเรื่อง
แสงชัยเห็นว่าตอนนี้น้องชายเดินมาเพียงลำพังจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปดึงตัวเข้ามาในพุ่มไม้ เอามือปิดปากไว้แน่นไม่ให้ส่งเสียงร้อง
“อื้อออออ...”
“ชู่ว์!!! นี่พี่เอง”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแสงหล้าก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ น้ำใสๆ ไหลพรากออกมาจากดวงตาคู่สวยทันที ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ วันที่ได้เจอหน้าและได้ยินเสียงพี่ชายอีกครั้ง
“เจ้าพี่ ฮึก...”
แสงหล้าหมุนตัวกลับแล้วรีบกอดพี่ชายไว้แน่น สะอื้นไห้ด้วยความดีใจเป็นที่สุด
“พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกินแสงหล้า” แสงชัยเองก็ปล่อยโฮเมื่อได้กอดน้องชายอีกครั้ง
“น้องก็คิดถึงเจ้าพี่ เจ้าพ่อเป็นเช่นใดบ้างทรงสบายดีหรือไม่”
“เจ้าพ่อทรงสบายดี เจ้าพ่อคิดถึงน้องมากเลยสั่งให้พี่มาสืบข่าวถึงที่นี่”
“น้องสบายดี ไม่มีอันใดให้ต้องเป็นห่วง” แสงหล้ายังคงยิ้มไม่ยอมหุบ มันเหมือนฝันเหลือเกินเมื่อได้เจอหน้าพี่ชายที่นี่
“คงจักสบายมากจนลืมบ้านเกิดเมืองนอนไปแล้วกระมัง” แสงชัยเริ่มเข้าสู่โหมดดราม่า เมื่อนึกถึงภาพน้องชายพลอดรักกับเจ้าอุปราชของเมืองนี้
“เหตุใดเจ้าพี่ถึงกล่าวเยี่ยงนี้” แสงหล้าหุบยิ้มด้วยความฉงนในใจ อยู่ดีๆ พี่ชายก็มีท่าทีเปลี่ยนไปกะทันทันอย่างนี้
“พี่เห็นเจ้าพลอดรักกับไอ้ฆาตกรนั่น เจ้าคิดอันใดอยู่รึแสงหล้า เจ้าลืมไปแล้วรึว่ามันเข่นฆ่าชาวเมืองผาพิงค์ไปมากแค่ไหน!” แสงชัยขึ้นเสียงใส่น้องชายด้วยความโมโห
“น้อง...” เมื่อได้ยินผู้เป็นพี่เอ่ยอย่างนั้นก็ทำให้แสงหล้าเริ่มคิดหนัก หากบอกไปตรงๆ ว่าได้มอบหัวใจให้จักรคำไปแล้ว อาจจะทำให้พี่ชายผิดหวังและเสียใจมาก
“เจ้ารักมันรึ?”
“น้องไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น เพียงแต่กำลังเล่นละครตบตาเพื่อให้เขารักและไว้ใจ หากในอนาคตเจ้าเมืองแมนได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองแล้ว น้องจักขอให้เมืองผาพิงค์เป็นอิสระเช่นใดเล่าเจ้าพี่” แสงหล้าจำเป็นต้องบอกไปอย่างนั้น เพื่อไม่ให้พี่ชายกังวลว่าเขาจะไปรักกับศัตรูของบ้านเมือง
“พี่ขอโทษที่เข้าใจเจ้าผิดไป มันคงไม่มีวันนั้นดอกเพราะตอนนี้พี่กับเจ้าพ่อกำลังวางแผนกับหัวเมืองน้อยใหญ่เพื่อเข้ามายึดอำนาจที่นี่แล้ว” แสงชัยรู้สึกผิดที่เข้าใจน้องชายตนเองผิดไป จากนี้เขาจะต้องใช้ความพยายามเข้ามาโจมตีเมืองใหญ่นี้ให้ป่นปี้ไม่มีชิ้นดีในอีกไม่ช้า
“เจ้าพี่หาควรทำเช่นนั้นไม่ เจ้าพี่ก็รู้ว่ามันเสี่ยงแค่ไหน เมืองเชียงราชคำไม่ใช่เมืองเล็กๆ กำลังพลก็มีมหาศาลนัก เช่นนี้แล้วจักเอาชนะได้เยี่ยงไร” หากเป็นเช่นนั้นจะต้องมีคนตายเป็นเบือเพื่อสังเวยศึกในครั้งนี้ ซึ่งเขาไม่อยากให้ต้องมีการนองเลือดอีกแล้ว
“พี่มั่นใจว่าจักเอาชนะได้ อีกไม่นานพี่จักมารับเจ้ากับคำน้อยกลับบ้านเรา” ว่าแล้วแสงชัยก็ปรายตามองหาคำน้อย “ว่าแต่คำน้อยอยู่ที่ใดรึ ปกติแล้วเจ้าสองคนไม่เคยอยู่ห่างกัน”
“คือ...ตอนนี้คำน้อยไม่ได้อยู่ที่คุ้มเดียวกับน้องแล้ว” แสงหล้าเอ่ยเบาเสียง
“คำน้อยอยู่ที่ใด...หรือมีผู้ใดรังแกมันบอกพี่มา”
“ตอนนี้คำน้อยออกเรือนไปกับเจ้าเมืองแมนแล้วเจ้า”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น คำน้อยที่ข้าเคยรู้จักไม่เคยมักใหญ่ใฝ่สูงเยี่ยงนี้”
“น้องคิดว่าคำน้อยอาจจักโดนบังคับขืนใจ แต่มันไม่ยอมบอกน้องว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นกับมัน เราไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งแล้วเจ้าพี่”
“เลวที่สุด! คนบ้านเมืองนี้จิตใจโหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน ข้าจักไม่ยอมให้พวกมันอยู่กันอย่างสุขสบายเยี่ยงนี้ไปได้อีกนานดอก” แสงชัยมองไกลด้วยสายตาที่ดุดัน กำมือจนสั่นเทา บ่งบอกว่าเขากำลังอารมณ์เดือดพล่านมากแค่ไหน
“เจ้าแสงหล้าเจ้า”
เสียงทหารดังแว่วมาทำเอาทั้งสองตื่นตกใจจนสะดุ้ง
“เจ้าพี่รับหนีไปก่อนเถอะเจ้า”
“ดูแลตัวเองดีๆ พี่จักติดต่อเจ้าเป็นระยะไม่ต้องห่วง พี่ต้องไปแล้วน้องรัก” ว่าแล้วแสงชัยก็โอบกอดน้องชายสุดที่รักไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆ ย่องหนีแอบไปตามพุ่มไม้
หลังจากพี่ชายหนีไปแล้วแสงหล้าก็เกลี่ยน้ำตาออกจากพวงแก้มจนเกลี้ยง แล้วเดินออกไปยังทางเดินเพื่อให้ทหารเห็นตนเอง
“มีอันใดรึ?”
“ไม่มีอันใดเจ้า ข้าเจ้าไม่เห็นเจ้าแสงหล้าเลยเกรงว่าจักมีอันตราย”
“ขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วง ข้าอยากกลับคุ้มแล้ว”
“เจ้าอุปราชส่งเสลี่ยงมารอรับพอดีเจ้า”
ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าก็ยิ้มด้วยความปลื้มใจ
ตอนแรกทั้งสองขี่ม้ามาด้วยกัน พอมีเหตุจำเป็นต้องกลับไปก่อน จักรคำจึงสั่งให้ทหารนำเสลี่ยงมารอรับเมียสุดที่รัก
การได้เจอพี่ชายครั้งนี้จริงๆ แล้วเขาควรจะดีใจ แต่ทว่าทำไมกลับรู้สึกกลัวว่าอีกไม่นานความวุ่นวายจะต้องเกิดขึ้น จนทำให้ต้องมีการนองเลือดอีกครั้ง ซึ่งเขาไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นเลยจริงๆ