มาแล้วนะคะ เขียนนานมากกกกกกกกกกกกกกกกก
ที่จริงเริ่มเขียนตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่เขียนๆหยุดๆ อิอิ
ที่แน่ๆ เป็นตอนที่ไม่มีการลบ นอกจากแก้คำผิดค่ะ ไม่หลายใจกับตอนนี้สักนิด
เชิญมาอ่านกันเลยนะคะ (ส่วนตัวรู้สึกเหมือนฉากในละครน้ำเน่าแฮะ
)
..................................
บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: “Parabens!!”
ฮ่า.....วันนี้วันเกิดไอ้หน้าด้านเอดูครับ ผมใช้เวลาแค่สองวันนี้เองทำของขวัญให้มัน เวลาทำน่ะนิดเดียว แต่เวลาคิดสิครับ นานจนผมกลัวตัวเองเลย อะไรจะคิดนานขนาดนั้นหว่าเรา
แต่ก็นะ....ก็คนมันอุตส่าห์ด้านขอ คนถูกขออย่างผมจะไม่ให้มันก็กระไรอยู่
อีกอย่าง ถ้าซื้อของให้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่จะทำให้มันรู้ว่ามันเป็นคนสำคัญได้มากพอ เท่ากับความรู้สึกที่ผมมีให้มันรึเปล่า.....
ทั้งๆที่ผมยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้นี่ล่ะ ว่าไอ้เจ้าความรู้สึกที่ผมมีให้มัน มันคืออะไรกันแน่
หลังจากวันที่กลับจากไปเที่ยวปันตานาล ผมก็เข้าไร่กับครอบครัว ฤดูหนาวมาพร้อมกับฤดูการเก็บเกี่ยวกาแฟครับกาแฟที่ไร่ของเราปลูกขายคือกาแฟพันธุ์โฮบัสต้า......Robusta หนึ่งในพันธุ์ที่เป็นที่นิยมไปทั่วโลกนั่นแหละ ที่จริงปากทางเข้าไร่ก็มีต้นอราบิก้าอยู่สองต้น ปะไป๊บอกว่าตอนแรกปลูกอราบิก้า แต่ว่าผลผลิตไม่ค่อยดี เลยทดลองเปลี่ยนมาปลูกโฮบัสต้าแทน อราบิก้าสองต้นที่เหลือไว้นั่นเอาไว้เป็นที่ระลึก
ต้นอราบิก้าสูงเกือบสามเมตร ผลสุกเป็นสีแดง พอลองปลิดลูกลงมาชิม คนไม่เคยทำไร่กาแฟอย่างผมก็ต้องแปลกใจว่าผลกาแฟสุกนั่นมีรสหวาน และกลิ่นที่ติดอยู่ในโพรงปากก็คล้ายกับพริกหวานไม่มีผิด
ปะไป๊หัวเราะกับสีหน้าแปลกใจของผม แล้วเลยขยี้หัวผมแรงๆจนยุ่งเหยิงไปหมด ก่อนจะเดินนำไปทางเนินเขาที่ปลูกกาแฟโฮบัสต้าไว้
ต้นโฮบัสต้าความสูงไม่เกินไหล่ตั้งเป็นแถวเรียงราย ครอบคลุมไปจนเต็มพื้นที่ในลานสายตาท่ามกลางละไอหมอกสีขาวเย็นจัดของยามสาย อีกเพียงสัปดาห์เดียวผลสีเหลืองอ่อนที่ขึ้นเบียดกันจนแน่นตามกิ่งก้านของต้นจะถูกพวกเราเก็บจนหมด แล้วค่อยนำไปตากแดดให้แห้งอีกประมาณสามวัน ก่อนจะส่งขาย
ปะไป๊บอกว่าเดี๋ยวต้องจ้างคนงานพิเศษมาช่วยเก็บกาแฟ เพราะลำพังปะไป๊กับคนงานที่อยู่ประจำอีกแค่สองคนไม่พอแน่ๆ
แล้วมีหรือผมจะพลาดงานน่าสนุกแบบนี้.....เกิดมายังไม่เคยทำสักที ผมเลยสมัครใจยกมือขอเป็นแรงงานอีกคน
ปะไป๊หัวเราะเสียงดัง แล้วบอกกับผมว่าตัวเล็กๆแรงน้อยๆอย่างนี้ จะเก็บได้ถึงแถวรึเปล่ายังไม่รู้เลย
ผมได้แต่หัวเราะดังๆตอบโต้ แล้วเบ่งกล้ามแขนลูกเท่าลูกหนู....เอ่อ เล็กมากเนอะ โชว์เสียเลย เพราะคิดไม่ออกจะบอกยังไงดี ว่ารอดูแรงถึกของคนตัวเล็กแบบผมอาทิตย์หน้าก็แล้วกัน ฮ่าๆๆๆๆๆ
พวกเรากลับเข้าเมืองกันบ่ายๆวันอาทิตย์ ผมก็ตรงดิ่งไปซื้ออุปกรณ์มาทำของขวัญวันเกิดให้ไอ้หน้าด้านเอดูทันที ก็ตอนอยู่ที่ไร่ผมมีเวลามานั่งคิดนอนคิดว่าวันอังคารที่จะถึงนี้ก็วันเกิดเอดูมันแล้ว ตอนไปเที่ยวผมก็มองๆดูตามร้านขายของที่ระลึกตลอดแหละ แต่ก็ไม่มีอะไรถูกใจและเหมาะจะเป็นของขวัญวันเกิดคนอย่างมันสักอย่าง
แล้วในที่สุดอากาศตอนเช้าๆที่บ้านไร่ก็ทำให้ผมได้ไอเดียดีๆ ก็ในเมื่อของที่จะซื้อมันไม่ถูกใจ ถักผ้าพันคอให้เพื่อนรักสักผืนคงไม่เสียแรงงานเท่าไหร่หรอกน่า.....อีกอย่างอากาศก็หนาวขนาดนี้ ให้ผ้าพันคอนี่แหละ คนรับมันจะได้ได้ใช้งาน
ผมใช้เวลาคืนวันอาทิตย์ก่อนเข้านอนและตลอดวันจันทร์หมกมุ่นอยู่กับก้อนไหมพรมสีเทาทั้งอ่อนและแก่ ที่ไปลองลูบๆคลำๆที่ร้านอยู่นานจนพนักงานขายมองแปลกๆเลยแหละ.....
ก็ผ้าพันคอที่ดีมันต้องใช้แล้วอุ่น นุ่ม ที่สำคัญต้องไม่ให้สัมผัสสากระคายที่จะทำให้คนใช้คันด้วยนี่นา
อย่าแปลกใจนะครับ ว่าทำไมผู้ชายอกแฟบๆอย่างผมถึงถักนิตติ้งเป็นกับเขา ผมขอแม่เรียนตั้งแต่อยู่ม.ต้น โน่น ฮ่าๆๆๆๆ ก็ผมชอบอ่านนิทาน แล้วในเรื่องหนูน้อยหมวกแดงเล่มที่บ้านน่ะ คุณยายในภาพวาดนั่นนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก มีพร็อพเป็นหมวกคลุมผมสีหวานกับแว่นตา แล้วบนตักก็วางตะกร้าที่เต็มไปด้วยกลุ่มไหมพรม ส่วนมือก็ถือไม้นิตอยู่นี่ครับ
ใครจะว่าผมแปลกก็ช่างเหอะ แต่ใครอ่านหนูน้อยหมวกแดงแล้วชื่นชอบตัวละครหลักอย่างหนูน้อยหมวกแดงที่อ่อนโยน หรือเจ้าหมาป่าเจ้าแผนการก็เถอะ แต่ตัวละครที่ผมประทับใจที่สุดก็คือคุณยาย ผมปลื้มคุณยาย ก็เลยขอแม่เรียนพิเศษถักนิตติ้งก็เพราะเหตุผลนี้แหละ ยังจำได้เลยว่าตอนย้ายบ้านกันครั้งล่าสุดแม่ถามว่าอยากได้เฟอร์นิเจอร์อะไรเป็นพิเศษมั้ย ผมก็ตอบแม่ไปว่าอยากได้เก้าอี้โยก จะเอาไว้นั่งถักนิตติ้งเหมือนคุณยายในนิทาน
เอาล่ะนอกเรื่องไปไกลแล้ว ผมก็เพ้อไปเรื่อย สรุปว่าตอนนี้วันอังคารที่ 15 สิงหาคม
แล้วก็......เอดูมันอายุครบ 17 ปีแล้วครับ แก่ล่วงหน้าผมไปนิดนึงแล้ว
ผมก็เลยแข็งใจตื่นแต่เช้าอาบน้ำอุ่นจัดๆจนขึ้นไอ แต่งตัวพอกตัวเองหลายชั้นจนตัวกลม
เอาผ้าพันคอที่เพิ่งเสร็จไม่ถึงสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ม้วนๆแล้วยัดใส่เป้ประจำตัว ใส่หมวกอีกนิด พันผ้าพันคออีกหน่อย
แล้วย่องออกจากบ้านฝ่าสายหมอกและอากาศข้นๆเดินข้ามเมืองมาจนถึงหน้าบ้านที่มีกำแพงสีเหลืองมัสตาร์ดกับประตูสีน้ำตาลเข้มจนได้
///ติ๊งงงงงง///ออดบ้านมันเสียงดังอย่างนี้จริงๆครับ เสียงใสดีแท้ ผมกดแล้วได้ยินเสียงออดดังออกมานอกบ้านมันด้วย
แล้วก็ยืนรอไปสิ หนึ่งนาที.....สามนาที......ห้านาที
อ้ะ......ขออนุญาตกดอีกครั้งแล้วกัน เผื่อครั้งเมื่อกี้จะเกรงใจจนกดเบาเกินไป
///ติ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง///
เอาล่ะได้ยินเสียงคนเดินออกมาแล้ว เปิดประตูชั้นใน เงี่ยหูฟังไปก็เริ่มจะสั่นไป
ตอนเดินมาน่ะหนาวครับ เหมือนตัวเองเดินฝ่าก้อนเมฆงั้นแหละ แต่พอมายืนรอนิ่งๆแล้วกลับหนาวกว่าเสียอีก
“โอ๊ยยยยย อิสใช่มั้ย?”แหะๆใครไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่เดาว่าคงเป็นแม่ไอ้เอดูมัน หน้าตามีเค้าครับ แถมมีลักยิ้มเหมือนกันเสียด้วย.....แถมอีกนิดถ้าใครลืม คุณผู้หญิงเธอไม่ได้เจ็บปวดกับการเห็นหน้าผมนะครับ โอ๊ยน่ะ แปลว่า ‘สวัสดี’
“Eu sou. Bom dia, senhora.”
ผมตอบรับไปว่าใช่ แล้วก็แถมอรุณสวัสดิ์เซงงอร่าไปเรียบร้อย มารยาทดีก็งี้แหละครับ แหะๆ
“เข้ามาข้างในก่อนมั้ย เอดูไม่อยู่นะ”
“อ้าว.......ไปไหนล่ะครับ แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่?”
ผมที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าบ้านตามคนที่เข้าใจว่าเป็นแม่ของเอดูเลยชะงักค้างอยู่หน้าประตูนั่นแหละ
ไอ้บ้ามันไปไหนแต่เช้าเนี่ย อุตส่าห์แข็งใจลุกจากที่นอนอุ่นๆแต่เช้าแล้วยังไม่ทันมันเลย
“เห็นบอกว่าจะไปแถวนี้ ขี่จักรยานไปด้วย”
“นานรึยังครับ?”
ความหนาวทำให้ผมตัดสินใจก้าวตามผู้หญิงท่าทางใจดีเข้าไปในบ้านจนได้ ผมไม่เคยเข้าบ้านมันสักครั้งเลยครับ แต่มันเคยจับผมซ้อนท้ายมาดูหน้าบ้านมันหลายครั้งแล้ว
ไม่ใช่ว่ามันไม่ชวน แต่ผมไม่เข้า....ไม่รู้สิครับ คงเพราะตอนนั้นยังไม่ถึงเวลาล่ะมั้งผมว่านะ...“ไม่นานนะจ๊ะ ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย”
กรรมเวร....เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงผมว่านานนะ ก็ผมเดินจากบ้านตัวเองมาบ้านมันเร็วๆนี่ใช้เวลายี่สิบนาทีพอดีเลยนี่ เพราะงั้นนานกว่ายี่สิบนาทีผมถือว่านานทั้งนั้นแหละ
คุณนายบ้านนี้ท่านคงไม่รู้จะคุยอะไรกับผมดี ก็เท่าที่คุยๆกันไปนั่นบางประโยคยังต้องใช้ภาษาใบ้ช่วยจนมือเป็นระวิง เลยเลี่ยงเดินเข้าไปด้านในตัวบ้าน โดยปล่อยผมไว้ที่ชุดรับแขก แล้วสักพักก็กลับออกมาใหม่พร้อมด้วยกระติกเก็บความร้อนซึ่งเมื่อเธอรินเจ้าของเหลวสีดำควันฉุยใส่ถ้วยแล้วยื่นส่งให้ผมก็กล่าวขอบคุณก่อนจะรับมาโดยดี
“จะผสมนมมั้ย เดี๋ยวฉันไปหยิบมาให้....หรือจะเติมน้ำตาลจ๊ะ?”
ผมชักจะเข้าใจแล้ว คงเพราะแม่มันใจดีแหละ เอดูมันถึงใจดีได้ขนาดนั้น สงสัยความใจดีนี่มันจะถ่ายทอดทางพันธุกรรมแน่ๆ
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก”
ผมจิบกาแฟดำหวานจัดหอมจัดนั่นน้อยๆ แล้วกุมถ้วยกระเบื้องสีขาวนั่นไว้ด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อรับไออุ่น
ในขณะที่แม่ของไอ้คนตื่นเช้ากว่าเดินกลับเข้าไปทางหลังบ้านอีกครั้ง
นั่งรออยู่เกือบสิบนาทีจนผมจะถอดใจกลับบ้านอยู่แล้วเชียว เสียงประตูหน้าบ้านถูกเปิดก็ดังขึ้น ก่อนเสียงฝีเท้าที่ดูรีบร้อนจะดังขึ้นหน้าโถงประตูแล้วจากนั้นแค่อึดใจหน้าแดงๆของไอ้คนที่ผมเพิ่งจะได้สังเกตว่าผมมันยาวขึ้นจนไม่ใช่สกินเฮดเหมือนเดิมแล้วก็มาโผล่อยู่ตรงหน้า
“ทำไมทำอย่างนี้!!”อ้าว ไอ้บ้านี่มาถึงไม่พูดไม่จาทักทายหรอก เปิดปากได้ก็ดุกันเลย.......
งงสิครับ ไอ้บ้านี่เดี๋ยวก็เหวี่ยงกลับหรอก คนอุตส่าห์ถ่างตาตื่นแต่เช้านะเว้ย
“ทำอะไร?”
“ก็ออกจากบ้านไม่บอกใครได้ยังไง รู้มั้ยที่บ้านเค้าเป็นห่วง มานี่เลย”
อ้าว.....ก็ไม่ได้ไปไหนไกลนี่ แถมออกมาตั้งแต่ยังไม่มีใครตื่นสักคน จะให้ไปเคาะประตูบอกคนกำลังหลับสบายว่าจะไปบ้านเพื่อนเนี่ยนะ
ไม่ทันได้เถียงหรือแม้แต่สะบัดมือหนีไอ้เอดูมันก็ลากผมมายืนข้างโทรศัพท์แล้วครับ แล้วเป็นมันเองแหละยกหูขึ้นมาหนีบๆไว้ที่คอแล้วก็เอามือเดิมที่ว่างกดเบอร์โทรออก
มันบ้าเนอะ.....แทนที่จะปล่อยมือผมก่อนแล้วโทรง่ายๆก็ดันไม่ทำ ทำอย่างกับว่าปล่อยมือแล้วผมจะวิ่งหนีงั้นแหละ
มันถือสายรอเดี๋ยวเดียวก็มีคนมารับสาย รายงานไปเรียบร้อยว่าเจอผมแล้ว ตอนนี้อยู่ที่บ้านมัน แล้วก็ยื่นหูโทรศัพท์มาให้ผมคุย คนปลายสายคือปะไป๊ครับ
ปะไป๊ก็ถามว่าออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ บ่นๆนิดหน่อย แล้วก็บอกว่างั้นกลับดีๆนะ ไป๊จะไปทำงานแล้ว
ก็แค่นั้น.......ไม่เห็นจะร้อนรนอะไรแบบไอ้บ้าที่จนตอนนี้ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือผมสักนิด
“มีอะไรจะแก้ตัวมั้ย?”
มันถามขึ้นมาหลังจากผมวางหูโทรศัพท์ลงกับแป้น โห.....เข้มมาเชียว
ผมจะแก้ตัวว่าอะไรได้ล่ะ ก็เข้าใจว่าเป็นห่วง แต่เช้าๆคนเริ่มออกจากบ้านมาทำงาน ไม่ได้ออกนอกเมืองไปไกลนัก แถมเมืองทั้งเมืองยังมีผังอย่างกับตาราง
ต่อให้หลงแค่ไหนหาที่ที่เป็นเนินสูงๆแล้วขึ้นไปมองให้เจอยอดแหลมๆของโบสถ์กลางเมืองก็กลับบ้านถูกอยู่แล้ว
.........แต่ก็เอาเหอะ วันนี้วันเกิดมันนี่นะ เอาใจสักหน่อยคงไม่เป็นไร
“Descupe…..não tempo-quente, é teu aniversário tá?”ไม่มีอะไรครับ ก็แค่ดึงมือมันให้มานั่งที่โซฟา แล้วก็ส่งสายตาหมาหงอยให้มันเสียหน่อย พร้อมกับบอกว่า ‘ขอโทษษษษษ อย่าอารมณ์เสียสิ นี่วันเกิดนายไม่ใช่เหรอ?’
แหะๆๆ คนเรามันก็ต้องยอมอ่อนเวลาที่ควรนะครับ คุณว่างั้นมั้ย....
แอบๆเหลือบตามองหน้ามันอีกนิด อาฮะ.....แอบอมยิ้มอยู่นี่หว่า
แหม...ง้อไอ้เอดูนี่ง่ายยิ่งกว่าส่งภาษาตอนซื้อไหมพรมเยอะครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ
“จำได้ด้วยเหรอ?”
“ได้สิ วันเกิดคนสำคัญทั้งคน”
ที่จริงอยากจะบอกว่า มาบอกกันขนาดนั้น จำไม่ได้ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว แต่ไม่ได้ครับไม่ได้ ต้องไม่ลืมตัวครับว่ากำลังง้อมันอยู่
เท่านั้นเองครับ มหกรรมการง้อของผมก็จบลง เพราะไอ้ตัวที่ทำตาขวางเป็นหมาบ้าอยู่เมื่อกี้มันดึงผมเข้าไปกอดทั้งตัว
ผมก็ดิ้นสิ บ้าไปแล้ว มากอดอะไรกลางห้องรับแขก เดี๋ยวแม่แกออกมาจะสมน้ำหน้าให้
พอเห็นผมดิ้นมันก็ยอมผ่อนแรงกอด แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อย แล้วยังมองหน้าส่งสายตาเยิ้มๆให้อีก
ไอ้บ้า.....อย่ามาเยิ้มตอนนี้นะเว้ย เดี๋ยวด่าให้เลย
“เดี๋ยวแม่มา.....”
“งั้นตามมานี่”
พอผมเห็นลูกกะตาเยิ้มๆของมัน เลยบอกมันครับว่าเดี๋ยวแม่มันออกมาจากหลังบ้านหรอก มันเลยพยุงตัวเองรวมทั้งตัวผมด้วยขึ้นยืน
เห็นว่าผมหยิบเป้เรียบร้อยแล้วก็จูงมือให้ผมเดินตามเข้าไปตามทางเดินในบ้านมัน จนไปหยุดที่ประตูสีขาวบานที่สามฝั่งซ้ายมือ
เอดูมันเปิดประตูแล้วดันผมเข้าไปในห้อง ระหว่างที่ผมกำลังตื่นตาตื่นใจกับโปสเตอร์สโมสรทีมคอรินเชี่ยน และเซเลเซา ทีมชาติชุดปัจจุบันของบราซิลอยู่
ก็ได้ยินเสียงดังแกร๊กเบาๆ ไอ้เจ้าของวันเกิดมันตามเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูแล้วก็...แถมล็อคประตูด้วยครับ
เอ่อ.......จะปิดประตูเพราะกลัวไม่เป็นส่วนตัวก็เข้าใจ
แต่ไอ้การที่ผมสงสัยว่าทำไมมันต้องล็อคประตูด้วยนี่จะถือว่าผมระแวงเกินกว่าเหตุรึเปล่าครับ?
ไม่ทันได้คิดอะไรเยอะครับ ไอ้หมาบ้าที่ตอนนี้เปลี่ยนจากตาขวางมาเป็นตาเยิ้มมันก็เข้ามากอดผมเอาไว้อีกแล้ว คราวนี้มันกอดแล้วโน้มตัวสูงๆมาซบตรงแถวๆบ่าแถวๆซอกคอแล้วสูดลมหายใจเข้าแรงๆซะด้วยสิ....ดีนะผมแข็งใจอาบน้ำก่อนออกจากบ้าน นี่ถ้าแพ้ความหนาวจนซักแห้ง ไอ้เอดูอาจได้ประสบการณ์วูบในวันเกิดเนื่องจากความเน่าของผมได้
คือถ้ามันกอดเฉยๆแบบที่เคยคงไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้การสูดหายใจแรงๆซ้ำๆอยู่แถวซอกคอนี่มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เหมือนจะเขินแล้วก็เลยยืนแข็งทำอะไรไม่ถูกไปเลย
คือผม......คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะกอดตอบมันไป หรือว่าผลักมันออกดี จะพูดบอกมันว่าจั๊กกะจี้ ไอ้ที่รู้สึกอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ใช่จั๊กกะจี้ด้วยสิ
.......ไงดีล่ะ ที่จริงผมก็ชอบนะ ก็พอมันกอดแบบนี้.....มันอุ่นดีจะตาย
“นี่....เอดู”
“หืม?”
“เจ็บหลังป้ะ?” ที่จริงผมจะถามมันว่าเมื่อยหลังมั้ย แต่ไม่รู้จะพูดยังไงเลยเอาเจ็บนี่แหละ ง่ายดี ฮ่าๆๆๆๆ
“หืม? ทำไมต้องเจ็บ?”
ยังครับ มันยังไม่ยอมเงยหน้าจากบ่าผมเลย.....มีคนมาพูดใกล้ๆแบบนี้เราจะไม่ใช่แค่ได้ยินเสียงจากปากมันนะครับ แต่เราจะได้สัมผัสอาการสั่นเป็นจังหวะจากลำคอของมันด้วย
“ก็ต้องโน้มตัวงอขนาดนี้ไง ไม่เจ็บเหรอ?”
คือ......ผมก็ห่วงมันจะเมื่อยไง ก็มันสูงเกินร้อยแปดสิบไปแล้ว ส่วนผมน่ะ ร้อยหกสิบต้นๆอยู่เลย เตี้ยจนอยากร้องไห้
“หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ.....ไม่เป็นไร อยากกอด เจ็บนิดหน่อยทนได้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
แล้วดูมันนะครับ หัวเราะร่วนขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยผมสักที
“เอ่อ.....งั้นไปนั่งสิ....ก็.....นั่งกอดไง จะได้ไม่ต้องโน้มตัว”
ผมไม่ได้คิดอะไรมากนะครับ ก็แค่.....วันนี้วันเกิดมัน มันอยากกอดก็เลยให้กอด
แล้วก็ยืนกอดกันมันก็เมื่อยนะครับ แถมมือผมก็ยังถือเป้อยู่เลย เลยต้องขอนั่ง จะได้ถือโอกาสวางเป้ด้วยไง
“ฮ่าๆๆๆๆ อิส....น่ารักมากจริงๆนะ เป็นคนน่ารักจริงๆ ตลกด้วย”
อ่า....ไอ้น่ารักนั่นคือคำชมแน่ๆล่ะ แต่ที่มันบอกว่าผมตลกนี่ ผมควรจะถือเป็นคำชมด้วยดีมั้ยครับ?
ระหว่างที่ผมกำลังขมวดคิ้วคิดอยู่มันก็นั่งลงบนเตียงแล้วดึงให้ผมนั่งตัก ผมก็ตกใจสิ ก็ตั้งแต่โตมาขนาดตักพ่อผมยังไม่เคยนั่งสักครั้ง
ขนาดไปทัศนศึกษากับโรงเรียนแล้วรถแน่นไม่มีที่ให้นั่ง เพื่อนๆมันจะให้นั่งตัก ผมยังเลือกนั่งมันตรงพื้นทางเดินระหว่างเบาะเลยนี่ครับ
พอจะลุกหนีมันก็ยึดเอวไว้แน่นเลย แถมยังวางคางแหลมๆลงมาบนบ่าซ้ายอีก
เป้ในมือน่ะ ไม่ทันได้วางดีๆหรอกครับ ตกใจจนเผลอปล่อยหลุดมือไปกับพื้นเรียบร้อย
แต่.....ที่แย่ที่สุดคือผมหาเสียงตัวเองไม่เจอครับ เสียงมันไม่ยอมออกจากปาก สงสัยหลับพักอยู่แหงๆ
“อิส.....มาหาแต่เช้าแบบนี้ ตั้งใจมาอวยพรเราใช่รึเปล่า?”
“.................อืม”
“เอาสิ เราฟังอยู่”
“Parabens.” ปาราเบงส์......สุขสันต์วันเกิด
“............แค่นี้อะนะ?”
“เออสิ ปล่อยนิดดิ ของขวัญอยู่ในเป้อ้ะ”
ผมได้ยินเสียงมันถอนหายใจดังเฮือก ก่อนจะยอมรับน้ำหนักคางตัวเองแล้วปล่อยแขนแข็งๆทั้งสองข้างออกจากบั้นเอวผม
แล้วเลยเลื่อนตัวไปคว้าเป้มาจากพื้น ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงที่เดิม.....
แหะๆ ใช่ครับ หยิบเป้ แล้วก็นั่งลงบนตักมันเหมือนเดิมนั่นแหละ ก็มันอุ่นดีนี่นา
ผมคิดก่อนทำเสมอแหละ......ก็ถ้านั่งบนเตียงของมัน นิ่มก็จริง แต่ไม่อุ่น สู้นั่งตักมันเหมือนเดิมไม่ได้สักนิด
ได้ยินเสียงมันหัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอ แต่ผมก็ไม่สนใจ ก็ตามหลักแล้ว ถ้าเราไม่มองหน้ามัน มันก็คงไม่เห็นหน้าเรา....
แล้วเมื่อมันไม่เห็นหน้าเรา มันก็จะไม่รู้ใช่มั้ยล่ะครับ ว่าเรากำลังเขินมาก.....
ผมจัดการเปิดเป้แล้วหยิบม้วนผ้าพันคอไหมพรมสีเทาแก่สลับอ่อนยาวเมตรกว่าๆออกมา ถอดรองเท้าออก แล้วค่อยๆปีนย้ายตัวเองจากตักมันไปคุกเข่าอยู่บนเตียงด้านหลัง ลงมือถอดผ้าผืนเดิมออกก่อนจะทาบเจ้าสีเทานุ้มนุ่มที่อยู่ในมือลงไปกับลำคอที่ผมไม่ได้หลอกตัวเองเลยว่ากลายเป็นสีแดงจัดนั่นอย่างเบามือ
“Parabens, Edu….”ผมกระซิบบอกกับเอดูที่ริมหูอีกครั้ง กอดมันแน่นๆหนึ่งที แล้วก็หยิบเป้พร้อมกับใส่รองเท้า ก่อนจะพุ่งไปหน้าประตูอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่.......ไม่ทันครับ
ไอ้เจ้าของวันเกิดมันดึงแขนไว้ทันแล้วผมเลยต้องกลับไปอยู่บนเก้าอี้พิเศษอุ่นๆอีกรอบ
“จะไปไหน?”
“จะกลับบ้านแล้ว”
“อืม.....ผ้านี่ ทำเองด้วยใช่มั้ย?”
มือข้างหนึ่งมันยึดผมไว้แน่น ส่วนอีกมือมันหยิบชายผ้าที่ห้อยมาด้านหน้าขึ้นมาชูแถวๆระดับสายตาของเราสองคนครับ
“อือฮึ......ทำไม ฝีมือห่วยงั้นสิ?”
“หึๆๆ ห่วยจริงแหละ.....”
“นี่.....เอดู ถึงห่วยยังไง ก็อย่าทิ้งนะ นายเป็นคนแรกเลยรู้มั้ยที่เราทำให้ ถ้าไม่กล้าใช้ตอนออกไปข้างนอก ก็เอาไว้พันในบ้าน ตอนนอนก็ได้วันที่หนาวจัดๆไง.....”
“ห่วยจริง....แต่ไม่เป็นไรจะใช้ทุกวัน ตลอดหน้าหนาวเลย”
“หืม?”
“ก็อุตส่าห์ตั้งใจทำให้ทั้งที ขอบคุณมากนะ”
ไอ้เก้าอี้มันเลื่อนส่วนบนของพนักพิงมาวางไว้กับบ่าซ้ายผมอีกแล้วครับ แล้วมันยังเอาจมูกแหลมๆมาลากๆตรงข้างแก้มด้วยสิ เอ่อ.......อยู่ไม่ได้แล้วครับ
“ปล่อยดิ จะกลับบ้าน”
รู้สึกเสียงตัวเองแปลกๆ เหมือนจะอ้อนๆ กรรม......นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย
“ก็แล้วจะรีบกลับไปทำไมล่ะ?”
“.........ก็........หิวแล้ว จะกลับไปกินข้าว”
ข้ออ้างโง้โง่เนอะ ทำไปได้......แต่มันคิดอะไรไม่ออกนี่นา ใครมาเจอแบบผมบ้างสิ หาเสียงตัวเองเจอก็ดีแล้วนะนั่น
“วันนี้เราจะเลี้ยงอิสเอง มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็นด้วย.......เฮ้ออออออ”
“อะไร ถอนใจทำไม? ถ้ากลัวจนก็ไม่ต้องกลัวนะ เรากินไม่เยอะ หรือไม่งั้นแชร์กันก็ได้”
“เปล่าๆ ไม่ได้กลัวจน แค่.....คิดไม่ถึงว่าอิสจะให้ของขวัญแบบนี้......”
“หมายความว่าไง?”
ผมพยายามหันกลับไปมองหน้ามันอยู่ครับ งงกับมันเลย พูดอะไรไม่รู้เรื่อง
“ก็.......ช่างเหอะ เราคงคิดไปเองว่าอิสโตแล้ว ที่แท้อิสยังเด็กอยู่นี่เนอะ หึๆๆๆ”
“.......................”
ผมว่าผมเข้าใจนะ ว่ามันหมายความว่ายังไง แต่.........จะให้ผมให้มันได้ยังไงล่ะ
“ไป....งั้นก็ไปข้างนอกกันดีกว่า เช้านี้กินข้าวบ้านเราดีมั้ย หรืออยากกินอะไร?”
เอดูมันดันตัวผมให้ลุกขึ้นยืน แล้วก็จับข้อมือผมจะลากให้ก้าวตามออกไปนอกห้องอีกครั้ง
ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดน้อยไปรึเปล่า แต่ผมก็กระตุกข้อมือรั้งมันเอาไว้ แล้วก้าวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของมันอีกครั้ง
“เอดู......เนี่ยมากสุดเท่าที่จะให้ได้แล้วนะ”
พูดแบบนั้น แล้วผมก็เขย่งขึ้นแตะจมูกลงกับแก้มมันเร็วๆ เร็วจนตัวเองยังไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าสัมผัสมันเป็นยังไง สัมผัสได้แค่มันอุ่น อุ่นกว่าปลายจมูกของผมเยอะเลยเท่านั้นเอง
“แล้วก็......อีกเก้าวันจะวันเกิดเรา อย่ามาเนียนให้ของขวัญเลียนแบบเราเชียวนะ” แล้วผมก็เป็นฝ่ายก้าวนำมันออกจากห้องมาเอง.......
............อยู่นานไม่ไหวครับ อายสายตาพวกเซเลเซา โด บราซิล
คนถ่ายภาพทีมชาตินี่จะตั้งใจอะไรนักไม่รู้ นักเตะมองออกมาอย่างกับจะสบตากับเราแถมยังส่งยิ้มล้อเลียนแทบทุกคนเลย
......................................
......................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..
ปล.ไม่ต้องทายนะคะว่าอะไรจริงอะไรแต่ง ไม่เฉลยแน่ค่ะ โฮะๆๆๆๆๆ