มาส่งตอนต่อไปให้อ่านกันแล้วนะคะ
หุหุ เข้าใจว่าคะแนนเอดูมันคงพุ่งพรวดๆแตะเพดานตามเคย ชริๆๆตาร้อนผ่าวๆ
......................
บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: Medo….ความกลัว
“Sinto muito……”
“Por quê?”
“Eu…..eu estou com medo….ah…..um pouco…..”
.........................................
เปิดเทอมแล้วครับ และผมเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ที่ต้องใช้ชีวิตกับเฝือกสีฟ้าสดที่ตอนนี้ผมชินกับมันจนไม่รู้สึกว่าหนักอีกแล้ว
แต่....คันครับ ข้างในเฝือก ผมรู้สึกตัวเองสกปรกมากเลย
ป่านนี้หนังกำพร้าคงตายซากทับถมกันหนาจนเอาไปปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่นได้แล้วแหงๆ
แต่อย่าเอ็ดไปครับ เพราะผมมีมือเกาส่วนตัว คือผมหมายถึงไม้บรรทัดน่ะ เอาล้วงเข้าไปถูๆไถๆพอหายคัน แต่ห้ามเผลอทำให้ไอ้บ้าบางคนมันเห็นเชียวครับ
เคยบรรเทาอาการคันต่อหน้ามันครั้งหนึ่ง ถูกดุซะหงอเลยผม อะไรของมันนักหนาไม่รู้
เอดูมันบอกว่าไม้บรรทัดมันแข็งแล้วสอดๆเข้าไปขูดๆแบบนั้นเดี๋ยวถ้าเป็นแผลถลอกจะทำยังไง
ผมก็คิดนะ ใครวะมันจะเซ่อเกาจนตัวเองเป็นแผล แต่มันก็ไม่ยอมฟังกันบ้าง ดุเอาๆ เลยต้องระวังตัวไม่ทำต่อหน้ามันครับ ไม่ได้กลัวนะ....แค่เกรงใจนิดหน่อย
ทุกวันตั้งแต่เปิดเทอมมาไป๊จะขับรถไปส่งผมทุกเช้า แล้วพอเลิกเรียนได้เวลากลับบ้านเอดูมันก็หนีบผมขึ้นจักรยานมาส่งบ้าน ไม่ได้ถามมันเหมือนกันว่าแลกจักรยานกับเพื่อนบ้านเป็นการถาวรแล้วหรือว่ายังไง
ถ้ามีใครหวังว่าคืนวันเกิดผม มันจะไม่จบลงที่แค่การกล่าวราตรีสวัสดิ์เท่านั้น......
ขอแสดงความผิดหวังไว้ตรงนี้เลยนะครับ
เพราะเท่าที่ผมรู้มันจบลงต่างกันนิดหน่อย ตรงที่พอผมกล่าวคำว่าราตรีสวัสดิ์ออกไป ผมก็ได้อ๊อพชั่นช่วยหลับง่ายเป็นการลูบหลังลูบไหล่เหมือนกล่อมนอนเพิ่มมาอีกอย่าง
ดีนะครับที่เอดูมันเลือกจะลูบหลังลูบไหล่ นี่ถ้ามันเลือกจะกล่อมนอนด้วยการตบก้นปุๆ ผมว่าคงได้ตาค้างทั้งคืนแน่ ฮ่าๆๆๆ
ผมกล่าวอำลาคุณเฝือกที่ขาอย่างอาลัยเล็กๆ แถมยังรู้สึกโหวงๆ คงเพราะจู่ๆน้ำหนักที่เดินตัวเอียงจนได้สมดุลแล้วมันขาดหายไป แถมสภาพน่องห้อยๆเหี่ยวๆยังทำให้รู้สึกตลกตัวเองชะมัด
ผมได้ของเล่นใหม่เป็นน่องเหี่ยวๆของตัวเอง มือว่างเป็นไม่ได้ต้องคอยเขี่ยให้มันแกว่งเล่น
แต่.....แทนที่ของเล่นส่วนตัวขนาดนี้จะเป็นของผมคนเดียว กลับมีไอ้บ้าหน้ามึนถือสิทธิ์เพื่อนสนิทสุดพิเศษยื่นมือมันมาเล่นด้วยนี่สิ
ครั้งแรกไม่เท่าไหร่ ครั้งที่สองก็ยังสบายๆ.....แต่
ในที่สุดเราสองคนก็ทะเลาะกันครับ ทะเลาะกันด้วยสาเหตุที่งี่เง่าที่สุดในโลก.......
กับเหตุการณ์ที่เริ่มง่ายๆ แค่บ่ายวันศุกร์คู่กรณีมันเสนอหน้ามาหาผมที่บ้าน
ผมที่กำลังนั่งกับพื้นช่วยมะเม้ยใช้เลื่อยฉลุจัดการให้แผ่นไม้บางๆธรรมดากลายร่างเป็นนกแก้วมาคอว์อยู่
มะเม้ยจะทำนก ต้นไม้ เสือดาว ต่างๆนานาไปให้ห้องสมุดประจำเมือง
ดอนน่า มารีอา คุณแม่บ้านคงเป็นคนเปิดประตูให้มันเข้ามามั้งครับ เข้ามาถึงห้องที่มะเม้ยกับผมทำงานกันอยู่ มันก็ส่งเสียงทักทาย พร้อมส่งยิ้มลักยิ้มแก้มบุ๋มมาให้
ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มรับมัน แล้วก็หันกลับมาสนใจเจ้าแผ่นไม้ที่กำลังจะกลายเป็นมาคอว์ตรงหน้าต่อ
มะเม้ยเวลาทำงานจะเงียบครับ ผมก็เลยเงียบด้วยเหมือนกัน แต่ไอ้บ้าเอดูมันไม่ยอมให้ผมเงียบสิครับ มันไม่ส่งเสียงรบกวนโสตประสาทก็จริง แต่มันทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเยื้องไปด้านหลังผม แล้วก็เริ่มด้วยการวางมือแปะบนข้อเท้าขวาที่ผมนั่งพับเพียบอยู่
ผมหันไปขมวดคิ้วดุมันที มันก็ยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ ผมเลยหันกลับมาทำงานต่อ พักเดียวเท่านั้นครับ ไม่ถึงสิบวินาที ไอ้บ้าด้านหลังมันก็วางมือแหมะลงมาอีกแล้ว คราวนี้เลื่อนขึ้นมาอีกนิดแปะลงตรงเนื้อน่องนิ่มๆเหลวๆแถมยังขยับนิ้วโป้งไล้ไปมาอีก เหลือบตามองมะเม้ยก็ยังเห็นง่วนอยู่กับการผสมสีเตรียมป้ายลงบนต้นไม้ ผมเลยปัดๆมือไอ้ตัวทำลายสมาธิออกแล้วชักขาขวาเปลี่ยนท่าเป็นนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งแทน
แต่ไอ้บ้าเอดูมันไม่หยุดครับ ผีน้องเหมียวสิงร่างให้เกิดอาการอยากเคล้าเคลียเกินปกติหรือยังไงไม่ทราบ ผมรู้สึกได้ว่าหน้าแข้งแข็งๆที่มันนั่งขัดสมาธิอยู่แนบเข้ามากึ่งเอวกึ่งสะโพก กำลังจะขยับเลื่อนตัวหนี นิ้วมือซนๆก็ยื่นอ้อมมาด้านหน้าเขี่ยตรงน่องที่เหี่ยวกว่าขาซ้ายจนเห็นได้ชัดให้แกว่งเล่น
ผมวางเลื่อยและไม้ในมือทั้งสองข้างลง ปัดมือมันออกไปแรงมากแบบที่ตัวเองยังตกใจ แต่อารมณ์กรุ่นๆในตอนนั้นมันไม่ยินยอมให้ผมรู้สึกผิด
เราสองคนมองตากันอยู่สักพัก โดยที่ทั้งผมทั้งมันไม่ยอมขยับตัวเลยสักนิด แล้วในที่สุดมันก็เป็นฝ่ายหลบตา กล่าวลากับมะเม้ยของผม ก่อนจะออกไปเงียบๆ
ผมหันกลับมาหยิบงานตรงหน้าขึ้นมาทำต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักก็ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวดังมาจากมะเม้ย
“อิส”
“ครับ?”
“Vem aqui……”
ผมเขยิบตัวเข้าไปใกล้มะเม้ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไปเกือบสุดมุมห้องตามเสียงเรียก
พอผมเข้าไปใกล้จนระยะเอื้อมมือถึง มะเม้ยก็ดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบหลังผมเบาๆ
ตอนนั้นผมตกใจ แล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าไม่ว่าก่อนหน้านี้มะเม้ยจะรับรู้ว่าผมกับเอดูเป็นอะไรกัน แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างมันกับผมในสายตาของมะเม้ยย่อมไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา
ผมรู้มะเม้ยไม่ใช่คนพูดเก่ง และยิ่งกับผมที่สื่อสารด้วยภาษาบ้านเกิดแล้วยากที่จะเข้าใจกันจริงๆ มะเม้ยยิ่งแทบจะไม่พูดด้วยถ้าไม่จำเป็น
“วางงานตรงนี้ แล้วตามไปสิ......อยากตามไปมั้ย?”
“ไม่ครับ ผมยังไม่อยากมองหน้าเขาตอนนี้”
พูดกับมะเม้ยแค่นั้น แต่ในใจของผมมันกลับมีเสียงอื้ออึงสับสน
.....ผมยังไม่อยากมองหน้าเขาตอนนี้ ผมไม่รู้จะขอโทษเขายังไง ผมคงทำให้เขาเข้าใจว่าผมรำคาญที่เขาเข้ามายุ่มย่ามกับผมมากเกินไป
ทั้งที่จริงๆแล้วผมไม่ได้รำคาญ มันก็แค่ความอ่อนแอในใจของผมเอง
มันก็แค่ความคิดแวบเดียวที่ผ่านเข้ามาเป็นภาพของการจากลา.....
วันนี้ตอนนี้ผมมีคนคนหนึ่งคอยวนเวียนอยู่ใกล้ แค่ที่คนคนนั้นทำให้มาเขาก็ได้ตำแหน่งเป็นคนสำคัญของใจ
ผมกลัว.....เมื่อเวลาแห่งการจากลามาถึง แล้วผมจะเดินต่อไปยังไง
ในเมื่อพอถึงเวลานั้นผมจะต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ไม่มีมืออีกคู่มาคอยพยุงในยามเจ็บ
ต่อให้หนาวแค่ไหนก็ไม่มีอีกคนมากอบกุมมือเอาไปเป่าลมอุ่นๆให้.......
คืนนั้นเป็นอีกคืนที่ผมร้องไห้ ร้องไห้เพราะความกลัวที่มันเกาะกุมเต็มหัวใจ
ร้องไห้อย่างคนขี้ขลาด......ขี้ขลาดจนไม่กล้า แม้แต่จะมองหน้าตัวเองวันเสาร์ผมตามปะไป๊เข้าไร่ตามปกติ ต่างก็ที่อารมณ์ของผมแม้แต่เจ้าปันเตร่าลูกวัวแสนน่ารักยังไม่สามารถทำให้กระเตื้องขึ้นจากหลุมดำแห่งความกลัวได้
ผมใช้เวลาว่างของทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์หมดไปกับการปีนขึ้นไปอยู่บนรั้วหลังบ้านทำท่าอ่านหนังสือเหมือนมีสมาธิเต็มที่
ทั้งที่จริงๆแล้วกำลังหวาดกลัวการเผชิญหน้าที่กำลังจะมาถึงตอนเช้าวันจันทร์อย่างที่สุด
ตอนแรกผมกลัวกับความคิดของตัวเองและอนาคต
แต่ตอนนี้.....ผมกลับกลัวว่าสิ่งที่ผมทำไปวันนั้นจะทำให้ผมสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป
กลัวว่าอีกคนมันจะถอดใจ แล้วเราจะไม่กลับไปเหมือนเดิมเช้าวันจันทร์ผมขอปะไป๊เดินไปโรงเรียนเองเป็นวันแรก ใจหนึ่งอยากให้ถึง แต่อีกใจก็ไม่อยากไปถึง
ตอนนั้นผมรู้สึกตัวเลยว่าตัวเองแม่งโคตรขี้ขลาด แต่แม้จะพยายามเดินให้ช้าแค่ไหน ในที่สุดระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนก็หมดลงอยู่ดี
ผมเหลือบตามองไปตรงริมรั้ว ที่ที่กลุ่มของเอดูมันมักจะกองรวมกันอยู่ก่อนเวลาเข้าเรียน ก็เจอกับสายตาของคนที่มองหามันกำลังจ้องจับมาก่อนแล้ว แต่พอได้สบตากับเจ้าของดวงตาใต้แว่นกรอบสีดำนั่นแล้วผมกลับเร่งเดินอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ลี้ภัยไปตั้งสติอยู่ในห้องน้ำ
พอเข้าไปขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำได้ ผมก็ยิ่งโมโหตัวเองมากขึ้น เพราะทั้งที่ตั้งใจจะเข้าไปหา ไปปรับความเข้าใจไม่ว่าอีกฝ่ายจะคิดอะไรไปไกลแค่ไหนกับท่าทีของผมในวันนั้น ผมกลับทำตัวขี้ขลาดจนแม้แต่ตัวเองยังขัดใจเอาดื้อๆ
ผมขังตัวเองจนสัญญาณเริ่มเรียนดัง ถึงเดินออกจากห้องน้ำไปเข้าห้องเรียน ในใจนึกด่าตัวเองที่ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองไปทางไอ้คนที่นั่งเยื้องๆกันเลยสักนิด พยายามทำตัวเป็นปกติ เหมือนกับว่ากำลังตั้งใจเรียนมากจนไม่มีเวลาจะคุยเล่นกับเพื่อนคนอื่น
พอถึงช่วงพัก แทนที่ผมจะพาตัวเองไปนั่งเล่นริมหน้าต่าง ยื่นมือออกไปนอกบานเกล็ดเพื่อรับความอบอุ่นจากพระอาทิตย์โดยมีอีกคนมายืนทำท่าเดียวกันข้างๆเหมือนเคย
ผมกลับฟุบตัวลงกับโต๊ะ หลับตาทำเหมือนจะขอนอนพักสักงีบเล็กๆก็ยังดี ในขณะที่พอทำแบบนั้นแล้ว ในสมองก็ด่าตัวเองให้วุ่นวาย......
ด่าตัวเองว่าจะหนีไปอย่างนี้ถึงเมื่อไหร่ เอดูมันไม่กัดเอาหรอกน่า....ก็มันใจดีออกจะตาย
ผมฟุบตัวหลับตาหน้าแนบสมุดจดบนโต๊ะ พร้อมด่าตัวเองอยู่ไม่นาน ก็รู้สึกว่ามีคนลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าหนักๆเหมือนคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่มีเสียงพูดอะไรออกมาสักคำ
จนเสียงสัญญาณเริ่มคาบเรียนต่อไปดังขึ้นได้ยินเสียงลากเก้าอี้ห่างออกไปผมจึงลืมตาขึ้น แล้วก็สบเข้ากับดวงตาหลังกรอบแว่นสีดำคู่นั้นเข้าอย่างจัง
ผมหันหน้าหนีไปด้านตรงข้าม พร้อมด่าตัวเองเป็นรอบที่ร้อย....อิสเอ๊ย แกมันขี้ขลาดแถมยังใจร้าย ก็ทั้งๆที่ได้สบตาแค่แวบเดียว แต่สายตาที่มีกระแสเหมือนกำลังตัดพ้อมันชัดเจนออกขนาดนั้นแท้ๆ
ไม่ได้มีความโกรธที่ผมกลัวจากดวงตาของเอดู มีแต่ความไม่เข้าใจแล้วก็.....ถ้ามองไม่ผิด ความน้อยใจ.....
เลิกเรียนวันนั้นผมใช้เวลาอ้อยอิ่งเก็บของนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กะว่ากว่าจะเดินออกไปจากห้องอีกคนที่ทำหน้าที่สารถีประจำตัวไม่เคยขาดคงจะกลับไปก่อนแล้ว รอจนเพื่อนคนสุดท้ายบอกเชาแล้วเดินออกไปจากห้อง ผมถึงเอาเป้ขึ้นสะพายใส่หมวกแล้วก้าวออกห้องเรียนบ้าง
แต่.....ไปได้แค่หน้าประตูเท่านั้นแหละครับ เพราะไอ้คุณคู่กรณีตัวเป็นๆมันดักรออยู่หน้าห้อง แค่ผมก้าวขาออกไปมันก็คว้าแขนหมับ แล้วลากให้สาวเท้าตามทันที
“เฮ้ย!! เอ่อ....เดี๋ยวดิ ปล่อยก่อน”
“...........................”
เงียบครับ ไอ้คนลากมันไม่พูดอะไรสักคำ ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ยอมปล่อยแถมยังเพิ่มแรงบีบที่แขนขึ้นอีก
“เออๆ ไม่ต้องปล่อยก็ได้ แต่อย่าเดินเร็วดิ”
พอได้ยินผมพูดอย่างนั้นมันก็หันกลับมามองหน้าผมครับ ผมเลยบุ้ยปากว่าขามันยังเดินไม่ถนัดนะ กูยังไม่เต็มร้อยนะเว้ย หงิงๆ
แต่ไอ้เสียงหงิงๆนั่นไม่ได้ส่งออกไปจริงๆหรอกครับ ก็แค่ส่งสายตาลูกหมาหิวนมอ้อนมันไปหน่อยแค่นั้นเอ๊งงงงง
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ครับเฮีย แหะๆเปล่าหรอกครับ ได้แค่คิด ผมไม่กล้าปากดีตอนนี้หรอก ยังดีนะมันยังใจดียอมผ่อนแรงบีบที่แขนลงแล้วก็ผ่อนฝีเท้าลงด้วย
เอดูมันลากผมออกมาแล้วให้ขึ้นซ้อนจักรยานเหมือนเคย จักรยานสีแดงคันเดิมของมันแหละครับ มันเอาคันนี้กลับมาใช้ตั้งแต่วันที่ผมถอดเฝือกแล้ว
ไอ้ที่ผมบอกว่าซ้อนก็คือซ้อนหน้า นั่งพาดมันตรงคานด้านหน้า โพสิชั่นโคตรเปลืองเนื้อเปลืองตัวให้มันแต๊ะอั๋งตามใจชอบนั่นแหละ
ที่แปลกไปก็ตรงมันเหมือนจะเกร็งๆตัว ไม่ค่อยปล่อยให้แขนตัวเองมาแตะโดนเนื้อตัวผมเหมือนเคย......
ง่า...แบบนี้ไม่ดีเลยครับ ผมชอบให้มันแตะนิดแตะหน่อยมาแบบเดิมมากกว่า แว้กกกกกก คิดอะไรออกไปเนี่ย!!
ในที่สุดมันก็พาผมเข้ามาในสวนสาธารณะครับ สวนนี้อยู่ห่างโรงเรียนมาสามสี่บล็อกได้ เข้ามาถึงด้านในสวนมันก็จอดจักรยานแล้วให้ผมลง ผมก็ลงไปยืนรอมัน
ในสมองน้อยๆคิดหาคำพูดให้วุ่นวายไปหมด ว่าจะบอกกับมันยังไงดี จะแก้ตัวยังไง บอกมันแค่วันนั้นเผอิญฮอร์โมนแปรปรวนดีมั้ย แล้วเลยกลัวมันจะโกรธเลยไม่กล้าสู้หน้า หรือจะทำเนียนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปเลย จับจูบปิดปากซะเผื่อมันจะเคลิ้ม กึ๋ยๆๆ
หงะ.......มันมาแล้วครับ หน้าตาแบบที่ว่ายังไงกูก็ต้องได้ความกระจ่างแบบนี้ไม่ดีเลย หงิงๆ
“Por quê?” ........ทำไม? อ่า.....มาถึงก็ไม่มีอินโทรเลยเว้ย แถมเสียงเฮียยังโหดได้อีก
“Sinto muito……” เราขอโทษ......ติ๋ง.......กรรม น้ำอะไรหยดประกอบฉากวะเนี่ย
“Por quê?” ........ทำไม? เสียงไม่ดุแล้วเว้ย เงยหน้ามองตอนนี้คงไม่เจอสายตาพิฆาตแล้วมั้ง
ว่าแล้วผมเลยเงยค่อยๆเงยหน้ามองมัน เห็นมันมีสีหน้าตกใจแวบหนึ่ง อ่า.....ฟืดดดดด อ้าว กูไม่สบายแหง เหมือนจะมีน้ำมูก
“Eu…..eu estou com medo….ah…..um pouco…..foi mal” เรา....เราก็แค่ กลัว อ่า...กลัวนิดหน่อย....เราผิดไปแล้ว
ก้มหน้าอีกนิด....ติ๋ง กรรม ก้มหน้าทีไรอิเสียงติ๋งนี่มาประกอบฉากทุกที ใครมันเลือกพร๊อพวะ เอฟเฟคท์โคตรไม่เข้ากับสถานการณ์เลย
“กลัวอะไร?”
ผมเงยหน้ามองคนถาม เห็นหัวคิ้วมันขมวดมุ่น แล้วเลยเขยิบเข้าไปใกล้มันอีกนิด แล้วก็อีกนิด......อีกนิด
จน เขยิบไม่ได้แล้ว เพราะตัวติดกับมัน
เอ่อ......แนบหน้าเข้ากับอกมัน ซุกเข้าไปอีกหน่อย มันไม่ได้ดันออก แล้วก็ไม่ถอยหนี
ขอแปลเข้าข้างตัวเองว่ามันไม่โกรธกันอย่างที่กลัวคงได้
“กลัวจะโกรธ......”
ว่าแล้วก็โอบแขนไปรอบเอวมันกั้นคอกเอาไว้ มันจะได้หนีไปไหนไม่ได้ อืม.....ความคิดดีจริงๆ
เอดูมันกอดตอบจนแน่น แล้วก็คลายอ้อมกอดออกนิดหน่อย ก่อนจะก้มหน้ามาแตะกึ่งปากกึ่งจมูกลงแถวกลางกระหม่อม
ดันตัวผมออกห่างจากมันนิดให้ผมแอบแวบตกใจว่ามันไม่อยากให้กอด.....
แล้วก็คิดได้ในหนึ่งในร้อยของเสี้ยววินาทีว่า อิส....มึงจะบ้าแล้วมั้ย มันทั้งกอดตอบทั้งดมหัวฟอดๆมีเหรอมันจะหวงเนื้อหวงตัวขึ้นมากะทันหัน
ผมเลยเงยหน้าขึ้นสบตากับมันสักหน่อย ทีนี้มันเลยแตะปากลงกับหัวตาทั้งสองข้าง
“แค่นั้นจริงเหรอ? ถึงกับต้องร้องไห้เลยเหรอ?”
โอว........ที่แท้อิเสียงติ๋งนั่นไม่ใช่พร๊อพสินะ เสียงน้ำตาแสดงความสาวแตกรอบที่ร้อยของข้าพเจ้าเอง ม้ายยยยยยยยยยยยย
“ก็......”
“ก็อะไร?” โห......ใจดีไปมั้ยพี่ เสียงอ่อนเสียงหวานถามมาแบบนี้ ก็........
พราก.........เอาแล้วครับ ขอเตือนชายอกสามศอกทั่วทุกตัวคน อย่าได้แสดงความใจดีเกินพิกัดใกล้คนกำลังร้องไห้น้อยๆ เพราะนั่นจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้มันกลายเป็นคนร้องไห้เยอะๆขึ้นมาทันที
“ฮึก.......ก็กลัวโกรธด้วย ฟืดดดดดด กลัว......วันที่ต้องกลับบ้าน....ฮึก....ด้วย ฮือ........”
ไอ้ผู้ชายใจดีมันกอดผมแน่นเลยครับ กอดแล้วก็กดหัวผมให้แนบลงกับอกมันอีก กดลงไปเหมือนจะฝังเอาไว้ตรงนี้แหละ
“ไม่เป็นไรนะ เราก็กลัวเหมือนกัน อิสรู้มั้ย?” หืม.......มันว่าไงนะ กลัวเหมือนกันงั้นเหรอ
ผมพยายามจะเงยหน้าขึ้นมองมัน แต่เอดูมันไม่ยอมครับ มันกดให้หน้าผมแนบลงกับอกมันอยู่อย่างนั้นแหละ
“เราก็กลัววันนั้น เพราะงั้นเรามาใช้เวลาที่มีให้คุ้มดีกว่ามั้ย อย่าหนีอีก....อย่าหลบหน้ากัน แล้วก็.....ยิ้มให้กัน กอดกันทุกวัน แบบนี้ดีกว่ามั้ย....”
ผมไม่ได้ตอบหรอกครับ แต่ผมกระชับอ้อมกอด กอดไอ้ผู้ชายตัวโตใจดีที่สุดในโลกที่เพิ่งจะรู้ว่าก็ขี้กลัวเหมือนกันเอาไว้จนแน่น
ให้สัญญากับมันในใจ......
เชื่อเถอะเอดู เราจะไม่หนี ไม่หลบ ไม่หาเรื่องทะเลาะด้วย แล้วก็จะยิ้มให้กัน กอดกันทุกวันเลยนะ.......บ่ายนั้นผมไม่ได้กลับไปกินข้าวบ้าน เพราะมัวแต่ให้ไอ้คนใจดีมันโอ๋แล้วก็เผลอให้มันหนีบไปกินมื้อกลางวันที่บ้านมัน แถมขลุกอยู่กับมันดูหนังฟังเพลงอยู่ในห้องมันจนลืมเวลา พอโผล่หน้ากลับบ้านตอนเย็นเลยถูกมะเม้ยดุแทบแย่ แถมด้วยปะไป๊กำชับว่า ทีหลังจะกลับบ้านผิดเวลา ต้องโทรศัพท์มาบอกทุกครั้ง รู้สึกผิดต่อเนื่องไปเลยครับ
แต่.......ผมว่ามันก็คุ้มนะ ที่เราได้รู้ว่าไม่ได้มีแต่เรา....ที่กลัวกับอนาคตอยู่เพียงลำพัง
คุ้ม......ที่ได้รับรู้ ว่าไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ก็มีอีกคนที่จะรู้สึกร่วมด้วยเสมอ......
ความรู้สึกแบบนี้ ต่อให้ต้องกลัวกับอะไรอีกแค่ไหน ผมเชื่อ......ว่ามันคุ้มจนเกินคุ้มจริงๆ
................................
................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..ปล.คุ้มมมมมมจริงๆ ยิ่งกว่าคุ้ม คุ้มทุกสิ่ง......คุ้มที่แฟลตปลาทองงงงงงงงงงงงง