ตอนที่22
พักหลังๆมานี้ผมกับมันอยู่ด้วยกันก็จะเป็นแบบนี้แหละ พูดกันนิดหน่อย แล้วทีเหลือก็ต่างคนต่างทำ คือมันก็ไม่ได้ต่างจากเมื่อก่อนเท่าไหร่แต่แค่ตอนนี้ผมสามารถนั่งอยู่ใกล้ๆมันได้โดยไม่รู้สึกลำบากใจอะไรมากมายอย่างเมื่อก่อน และมันก็ไม่ได้หาเรื่องผมอยู่ตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อนด้วย
ผมมาลองสังเกตดูเมื่อผมไม่ต่อต้านสิ่งที่มันอยากให้ทำ มันก็ดูเหมือนจะไม่อารมณ์เสียใส่เหมือนกัน ช่วงสองสามวันมานี่ผมกับมันไม่ได้ทะเลาะกันเลย จะมีบ้างนิดๆหน่อยก็ตอนที่มันไปส่งผมที่บ้านพี่ปอนด์เพื่อไปติวแล้วเกิดวันไหนเลิกติวดึกมันก็จะหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“วันนี้ฉันจะขับรถไปเอง”ไอ้แก่บอกลูกน้องมันสองคนที่ตั้งท่าจะไปด้วย วันนี้มันใช้เบนซ์คันสีดำเป็นพาหนะในการออกไปกินข้าวข้างนอก เบาะเด็กถูกติดตั้งไว้รออยู่ก่อนแล้ว ผมเลยเอาลูกมันไปขึ้นรถจัดการรัดเข็มขัดให้เรียบร้อยผมก็มานั่งด้านหน้าคู่กับมัน
มันขับรถออกมาใจกลางเมืองที่มีห้างชื่อดังอยู่หลายแห่งรวมอยู่ในละแวกเดียวกัน จะว่าไปก็นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้ออกมาเปิดหูเปิดตาแบบนี้ ห้างล่าสุดที่ไปก็ไปห้างใกล้ๆมหาลัยเพื่อไปดูหนังกับพี่ปอนด์วันนั้น
มันขับรถเข้ามาที่ห้างหรูแห่งหนึ่ง พอรถจอดผมก็ลงไปเอาฉิงฉิงออกจากที่เบาะเด็กส่วนไอ้แก่มันก็ไปเอาจงชิงออก เรา4คนเข้ามาในห้างที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่ร้านแบรนด์เนมชื่อดังแทบจะทุกทิศ
ถึงไม่ใช่วันหยุดแต่ช่วงเย็นแบบนี้ก็มีคนพลุกพล่านพอสมควร ในขณะที่เราเดินเข้าไปในห้างคนที่ผ่านไปผ่านมาก็เอาแต่มองสามพ่อลูกนั้นกันแทบเป็นตาเดียว ไม่รู้เพราะว่าไอ้แก่มันดังหรือเพราะว่าครอบครัวนี้มันน่าตาดีกันแน่ ใครๆถึงได้ต่างพากันส่งยิ้มมาให้พวกนี้
คงจะมีแต่ผมนี่แหละครับ ที่แปลกพวกสุด แต่ก็โชคดีหน่อยที่ผมค่อนข้างชินกับรสนิยมของไอ้แก่แล้ว เพราะถ้ามันบอกว่าจะไปกินข้าวหรืออกไปไหนข้างนอก มันจะต้องไปในที่หรูๆทุกครั้ง ผมเลยแต่งตัวมาเข้ากับสถานที่อยู่บ้าง
“เหนื่อยแล้ว”ฉิงฉิงเริ่มงอแงเมื่อต้องเดินจากชั้นที่จอดรถลงไปชั้นใต้ดินที่เป็นโซนของร้านอาหารต่างๆ นี่ขนาดมีบันไดเลื่อนนะครับ ผมเองเจอห้างใหญ่ๆแบบนี้ก็แอบท้อที่จะเดินเหมือนกัน
“อุ้ม”ฉิงฉิงชูแขนขึ้นมาทางผมบงบอกว่าต้องการให้อุ้ม ผมก็เลยอุ้มขึ้นมา เห็นตัวเล็กแบบนี้ก็หนักนะครับน่าจะข้าวสารถังหนึ่งเห็นจะได้555
พอเห็นพี่สาวถูกอุ้มคนน้องก็เลยอยากให้อุ้มบ้าง ไอ้แก่มันเลยอุ้มจงชิง พอเห็นเวลามันอยู่กับลูกมันแบบนี้ อย่างกับไม่ใช่คนเดียวกันกับที่เคยทำร้ายผมสารพัดเมื่อก่อนเลย
“ท่านประธาน สวัสดีครับ”เมื่อมาถึงร้านเป้าหมาย แค่ยังไม่เข้าร้านก็มีคนออกมาตอนรับสามสี่คนแล้ว ทำเอาเกร็งเหมือนกัน ไม่รู้มันใช้ชีวิตแบบนี้ได้ไง ทำอะไรก็มีแต่คนค่อยเดินตามอยู่ตลอดเวลา
“......”ไอ้แก่ไม่ได้ตอบอะไรแค่พยักหน้าทีเดียว เขาก็รีบพาเดินเข้าไปในร้าน เราเดินเข้ามาโซนในสุด ที่นี่เป็นร้านอาหารจีนตกแต่ด้วยโทนสีดำทองดูทันสมัย แต่ล่ะโซนจะมีฉากกั้นแกะสลักลายจีนๆ ดูเป็นส่วนตัว แต่ก็ไม่ดูอึดอัด ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็หรูหราสุดๆ แค่ตะเกียบที่วางอยู่บนโต๊ะยังเหมือนเอาหยกมาทำเลยครับ
อาหารมื้อนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับมื้ออื่นเท่าไหร่ ตลอดการกินก็มีแต่งเสียงของฉิงฉิงและจงชินเท่านั้น ส่วนผมก็มีหน้าที่ค่อยแกะกุ้งหอยปูปลาให้ลูกท่านหลานเธอเขา
หลังกินเสร็จเด็กๆทั้งสองคนก็อยากจะได้ของเล่นเพิ่มขึ้นอีก ก็เลยต้องพามาร้านของเล่นชื่อดัง มาถึงก็ชี้ๆๆๆ จนพนักงานยังแทบจำไม่ได้ว่าเอาชิ้นไหนบ้างเยอะจน ผมคิดว่า วันนี้เขาปิดร้านเลยยังได้
“ส่งตามที่อยู่นี้”ไอ้แก่ควักบัตรเครดิตสีดำพร้อมนามบัตรออกมาวางไว้ที่เคาเตอร์จ่ายเงิน แอบเสียดายเงินหน่อยๆเหมือนกันถึงจะไม่ใช่เงินผมก็เถอะ แค่ราคาของเล่นวันนี้วันเดียวแทบจะเท่ากับเงินเดือนที่ทำงานพิเศษของผมครึ่งปีเลยมั้ง ก็เข้าใจว่ามันทำงานทุกวันก็คงเพื่อลูกมัน แต่ถ้าตามใจกันแบบนี้ต่อไป มีหวังต้องจนเข้าสักวันแน่ๆ
“น่าน”
“หืมห์”ผมตอบรับเมื่อได้ยินเสียงเรียก เห็นจงชิงกำลังดึงชายเสื้อของผมอยู่ มองไปที่ร้านขายไอศกรีมร้านเล็กๆอยู่ริมทางเดิน
“อยากกิน”เจ้าตัวบอกพร้อมช้อนตากลมโตขึ้นมามองอย่างมีความหวัง ผมหันซ้ายหันขวาก็ไม่เจอทั้งไอ้แก่และฉิงฉิง แปลกจังเมื่อกี้ยังเดินมาด้วยกันอยู่เลย เมื่อหันมองไม่เจอใครผมก็เลยจูงมือจงชิงมาที่ร้านขายไอศกรีม
“ทานอะไรดีครับ”พนังงานชายที่ดูท่าทางแล้วคงจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เอ่ยตอนรับพร้อมรอยยิ้มที่สาวคนไหนเห็นก็ต้องลงไปกองที่พื้น ทำเอาผมเขินเหมือนกับครับ ผมไม่ได้พิศวาสอะไรหรอกนะครับ แต่เล่นยิ้มแล้วจ้องหน้าขนาดนี่ ใครไม่เขินก็ให้มันรู้ไป
“จะกินอะไร”ผมถามพร้อมยกตัวจงชินขึ้นเพื่อให้ดูไอศกรีมที่อยู่ในถาดอลูมิเนียมนับ10รส
“อันนี้”จงชิ้นชี้ที่ไอศกรีมสีขาวที่มีผลไม้สีแดงชิ้นเล็กๆแซมอยู่ เมื่อเลือกได้แล้วผมก็วางจงชินลงแล้วจัดการสั่งไอศกรีมที่จงชิงเลือกและสั่งของตัวเองด้วย
“สักครู่นะครับ”พูดจบก็หันไปหยิบถ้วยกระดาษสีสันสนใส แล้วมาตัดไอศกรีมให้ด้วยความคล่องแคล่ว ไม่นานผมก็ได้รับไอศกรีมถ้วยเล็กและถ้วยขนาดกลางมา ผมลองชิมก่อนที่จะส่งให้จงชิง ไม่ใช่จะแย่งกินหรอกนะครับแค่ลองชิมดู จะให้ลูกคนอื่นกินของมั่วชั่วได้ยังไง
“เป็นไงครับ อร่อยไหม”พอลองชินเสร็จ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นพนักงานร้านไอศกรีมคนเดิมยืนเกาะตู้ถามคำถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม รู้สึกแสบตาจนไม่อยากมอง
“อร่อยครับ ทำเองหรอ”ผมตอบกลับอย่างมีมารยาท ไม่ได้อยากรู้หรอกครับแค่ไม่รู้จะพูดอะไร
“ครับ ลองชิมรสนี่ไหมครับ รสใหม่เลย”พูดพร้อมยื่นช้อนขนาดเล็กที่มีไอศกรีมสีเหลือง ผมอยากจะรับแต่ก็ติดที่มือหนึ่งถือถ้วยไอศกรีมของตัวเองอีกมือก็ถือของจงชินอยู่ ผมมองมือตัวเอง สลับไปมาเพราะกำลังคิดว่าจะรับไอศกรีมจากพนักงานยังไง
“ผมป้อนไหมครับ”ไอ้พนักงานหน้าตี๋ยิ้มแฉ่ง จนดูไม่ออกว่ามันแค่พูดเล่นขำๆหรือมันจงใจแอบแฝงอะไรกันแน่
“หวาน”ไอ้แก่ที่เดินมาจากไหนไม่รู้มันตรงเข้ามาดึงช้อนในมือพนักงานเอาไปกินเอง แถมยังทำหน้าไม่อร่อยใส่พนักงานอีก เล่นเอารอยยิ้มการค้าเมื่อครู่หุบลงฉับพลัน
“กินๆ”จงชิงดึงไอศกรีมที่ผมถืออยู่ไปกินกับฉิงฉิง แล้วเมื่อเด็กสองคนกับไอศกรีมหนึ่งถ้วยมาเจอกันมันก็เกิดความวุ่นวายขึ้นแทบจะทันที ทั้งสองคนแย่งไอศกรีมถ้วยเล็กๆกันดึงไปมาจนผมเวียนหัว
“เดี๋ยวหก”ผมพยายามจะเข้าไปห้ามศึกระหว่างสองพี่น้อง แต่ก็หาจังหวะไม่ได้เลย
“กูอยากชิมของมึง”ในขนาดที่ผมกำลังสนใจฉิงฉิงกับจงชิงอยู่จู่ๆไอ้แก่ก็พูดขึ้นมา ผมที่กะจะยกถ้วยของตัวเองให้ฉิงฉิงแทนก็เลยตักไอศกรีมเพื่อยื่นให้ไอ้แก่มันชิมก่อน
“ก็ดี”แทนที่มันจะรับช้อนไปกินเองแต่มันดันก้มลงมางับช้อนที่ผมถืออยู่แทน จนกลายเป็นว่าผมป้อนมันสะงั้น
“ทำไมไม่กินเองดีๆ”ผมบอกแอบหัวเสียนิดหน่อย เหมือนตัวเองเสียรู้มัน
..........................................
ในขณะเดียวกัน ภาพของชายสองคนกำลังตกอยู่ภายใต้การจับจ้องของใครบ้างคน มือสองข้างกำเข้าหากันแน่ราวกับกำลังสกัดกั้นอารมณ์ร้ายของตัวเอง เมื่อต้องมองเห็นภาพบาดใจตรงหน้า
ภาพของชายสองคนที่ควงคู่กันในห้างดัง คนหนึ่งก็คือที่รักหมดหัวใจ แต่อีกนั้นก็ชิงชังจนไม่มีคำบรรยาย
เกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตาย
หันมองชายอีกคนที่รัก อ้อมแขนที่เคยถูกโอบกอดในหลายค่ำคืนกินเวลาเกือบครึ่งปี บันนี้กำลังคล้องกอดอีกคนอย่างเปิดเผย ที่ข้างกายที่เคยได้สัมผัสแค่เพียงพื้นที่ในเงาที่หลบซ่อนจากสายตาผู้คน แต่ตอนนี้กลับมีใครอีกคนที่เข้ามาแทนมิหนำซ้ำยังเชิดชูจนถึงขนาดพามาที่สาธารณะ
สถานการณ์ที่เคยใฝ่ฝันว่าสักวันคงจะมีโอกาสเช่นนี้บ้าง
แต่นอกจากจะไม่สมดังหวังแล้ว ยังไม่อาจเข้าใหญ่ได้แม้เพียง100เมตร
“เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะมึง อีตุ๊ดร่าน กูจะไม่ยอมให้มึงได้มีความสุขแม้แต่วันเดียว!”
.......................................
วันถัดมาผมมีนัดติวกับพวกไอ้แชมป์ที่ห้องสมุดมหาลัย ตอนเที่ยงหลังจากกินข้าวกับฉิงฉิงและจงชินเสร็จผมก็แอบหลบออกมา โดยมีบอดี้การ์ดไอ้แก่ขับรถมาส่ง
“สายตลอด”ยังไม่ทันได้นั่ง ผมก็โดนไอ้แชมป์เหน็บทันที จริงเรามีนัดกันเที่ยงตรงแต่ตอนนี้เกือบบ่ายโมงแล้ว ไอ้แชมป์และคนอื่นๆกำลังนั่งอ่านหนังสือกันอย่างคร่ำเครียด บรรยากาศภายในห้องสมุดเต็มไปด้วยความหดหู่เมื่อมีนักศึกษาหลายร้อยชีวิตเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ที่เดียวกัน บ้างคนก็เหมือนจะอยู่ค้างที่นี่มาหลายคืนแล้ว สภาพแต่ละคนไม่ต่างกับศพที่เดินได้
“โทษที รถติด”ผมบอกแล้วนั่งลงเพื่อเตรียมตัวติว
“ติดห่าอะไรหอมึงอยู่แค่นี้”ไอ้แชมป์หันมาถามอย่างสงสัย ทำเอาผมชะงักไปหลายวิ
“กูย้ายหอ”ผมบอกปัดๆยกหนังสือขึ้นมาทำท่าอ่าน
“ตอนไหน กูไม่เห็นรู้เลย”ไอ้แชมป์ขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“เออน่า มึงจะอ่านหนังสือสอบหรือจะสอบปากคำกู พรุ่งนี้สอบเดี๋ยวก็ไม่ทัน”ผมทำหน้ารำคราญใส่เมื่อเริ่มคิดหาคำแก้ตัวไม่ได้
“เออๆ แค่นี้ทำเป็น”จบด้วยมือของไอ้แชมป์โบกหัวผมอย่างไม่ออมแรง
“เห้ยแกๆดูนี่ดิ นักธุรกิจหนุ่มไฮโซ เจ้าของกิจการหมื่นล้าน ควงหนุ่มน้อยสวีทกลางห้างดัง อย่างไม่แคร์สายตาผู้คน “บทสนทนาของผู้หญิงที่นั่งโต๊ะข้างๆฉุดให้ผมเงยหน้าจากหนังสือเรียนในมือ เมื่อได้ยินข้อความในหนังสือพิมพ์ในมือเธอ
“เห้ยแก มีป้อนไอติมกันด้วยอ่ะ เสียด้ายภาพไม่ชัดเลย”
“ไหนๆ เห้ยคนนี้ใช้เจ้าของบริษัท หวังอะไรนั้นป่ะ กูเคยเห็นเขามาที่มอเราด้วย”เสียงผู้หญิงอีกคนในกลุ่มดังขึ้น เมื่อได้ยินชื่อบริษัทจู่ๆผมก็ชาไปทั้งตัว ภาพเมื่อวานที่ผมกับไอ้แก่และลูกของมันที่ไปกินข้าวที่ห้างพุดขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ ตอกย่ำเรื่องที่ผมกำลังกลัวให้ชัดเจนขึ้น
“เออ ไม่ใช่ผู้ชายคนนี้เรียนอยู่มอเราหรอกนะ ยี๋ เสียดายความรวย”เสียงของหญิงสาวกลุ่มข้างๆยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“แล้วมึงคิดว่าเขาเป็นเกย์จริงป่ะว่ะ”
“กูว่าชัวร์ล้านเปอร์เลย ป้อนไอติมกลางห้างขนาดนี้”
“เสียด้าย นี่ชะนีอย่างกูไม่มีที่ยืนจริงใช่ไหมเนี่ย”
สมาธิทั้งหมดของผมหายไปพร้อมกับเนื้อความที่กลุ่มผู้หญิงโต๊ะข้างพูดขึ้นมา ตัวชาจนแทบขยับไม่ออก หัวใจผมเต้นระรัวเพราะความกังวล ไม่รู้ว่าจะมีใครรู้ว่าเป็นผมไหม
“กูไปเข้าห้องน้ำ”ผมรีบลุกขึ้นยืน เดินตรงไปที่ชั้นวางหนังสือพิมพ์ของห้องสมุด หยิบหนังสือเล่มเดียวกับผู้หญิงกลุ่มนั้นอ่านแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำ
รีบเปิดหาหน้าข่าวที่พวกผู้หญิงพูดถึงกัน
พาดหัวข้าวตัวใหญ่เกือบ1นิ้ว บอกหัวข้อ นักธุรกิจหนุ่มไฮโซเจ้าของธุรกิจหมื่นร้านควงหนุ่มสวีทหวานกลางห้างดัง
พร้อมรูปภาพของผมและไอ้แก่ที่หน้าร้านไอติม เป็นภาพที่มันยืนซ้อนหลังผม และภาพที่ผมถือช้อนไอติมที่ไอ้แก่กำลังงับเข้าปากอย่างพอดี โชคดีที่ภาพพวกนี้ดูเหมือนจะถูกถ่ายจากที่ที่ค่อนข้างไกลทำให้เห็นรูปไม่ค่อยชัด แต่ถ้าสังเกตดีๆก็อาจจะมีคนรู้ว่าเป็นผม ใจผมก็ยังสั่นเพราะความกลัว
“มารับกูเดี๋ยวนี้”ผมรีบโทรไปหาไอ้แก่ ด้วยความร้อนร้น ถึงจะเสี่ยงที่อาจจะมีคนเห็นผมกับมันด้วยกัน แต่ตอนนี้ นี่เป็นอย่างเดียวที่ผมนึกออก อย่างน้อยๆผมก็อยากจะหนีจากที่นี้ ผมกลัว กลัวคนอื่นรู้ว่าเป็นผม
“เฮ้ยอะไรของมึงทำหน้าอย่างกับหนีผี”ผมรีบเดินกลับมาที่โต๊ะเก็บข้างของของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“กูกลับก่อนนะมีธุระด่วน”ผมบอกไอ้แชมป์แล้วรีบเดินออกมาจากห้องสมุด ได้ยินเสียงมันตะโกนไล่หลังมาไม่ดังนักพร้อมกับเสียงบรรณารักษ์บอกให้เงียบๆ ดังตามมา
ผมมารอที่หน้ามหาลัยไม่นานเท่าไหร่ผมก็เห็นรถเก๋งคุ้นตาขับมา พอมันมาจอดผมก็รีบขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ไอ้แก่ก็ออกรถทันที
“เป็นอะไร”มันหันมาถามเมื่อผมหอบอย่างหนักหน้าตึงตั้งแต่เข้ามาในรถ
“นี่มันอะไร!”ผมโยนหนังสือพิมพ์ใส่มันด้วยความโกรธ ทั้งๆที่รู้ว่าข่าวพวกนี้ไม่ใช้ฝีมือมัน แต่ไม่ว่ายังไงต้นเหตุทั้งหมดก็มาจากมัน
ไอ้แก่หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาก่อนอ่านด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“หึ”ริมฝีปากยกยิ้ม พร้อมส่ายหัว ราวกับเรื่องตรงหน้าเป็นแค่เรื่องไร้สาระ
“มันตลกมากหรือไงห๊ะ!”ยิ่งมันทำท่าทางเหมือนไม่สนใจเรื่องตรงหน้า ผมยิ่งโมโหยิ่งกว่าเก่า
“อย่าเสียงดัง เดี๋ยวกูจัดการเอง”มันหันมาขมวดคิ้วใส่ เมื่อไม่พอใจกับกิริยาท่าทางที่ผมแสดงออกไป
“มึงจะจัดการยังไงห๊ะ ถึงภาพจะไม่ชัดแต่เดี๋ยวก็ต้องมีคนรู้ว่าเป็นกู มึงจะรับผิดชอบยังไง”ผมกอดอหน้าตึงใส่อย่างไม่พอใจ
“..............”มันไม่ตอบแต่เลือกที่จะหันหน้าไปมองถนนแทน ส่วนผมก็ได้กระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียวตลอดทาง
TBC.
หนังสือเปิดจองอยู่อย่าลืมไปช่วยอุดหนุนกันด้วยนะครัช