ตอนที่ 10
ครึ่งหลัง
“จะพากูไปไหน”
“พามึงไปทำงานที่ทำให้มึงไม่ร่านไง”
“มันจะมากไปแล้วนะเว้ย ปล่อยเลยไอ้เหี้ย กูไม่ไป” อินทัชขืนตัวเองไว้ทันทีที่รู้ว่าอีกคนต้องพาเขาเดินไปยังทางกลับบ้านพักของเขา
“หึ! กลัวหรือไง สบายใจได้ กูแค่มีเรื่องจะตกลงกับมึงนิดหน่อย”
“แล้วทำไมต้องพากูมาแถวนี้” อินทัชถาม
“ก็แล้วทำไมกูต้องคุยกับมึงตรงนั้น? กูจะคุยตรงไหนก็ได้ ถูกไหม?” รามินทร์แสยะยิ้มอย่างเหนือกว่า ปล่อยแขนเนียน ก่อนจะกอดอกตัวเองมองหน้าอินทัชที่เสมองไปทางอื่น
“เออ!! มีอะไรก็พูดมา”
“ทำไม รีบไปหาไอ้จักรหรือไง กูเตือนไว้ก่อนนะว่าไอ้จักรมันเป็นของน้องกู อย่าริอ่านแย่งมันจากน้องชายของกูเด็ดขาด”
สิ้นประโยคของรามินทร์อินทัชก็ยกยิ้มออกมาน้อยๆ
ตอนแรกก็คิดว่าอาจจะโดนด่า เสียดสีให้เจ็บใจเล่น พอมาเห็นว่าอีกคนรักน้องชายขนาดที่กลัวว่าเขาจะแย่งจุลจักรไปจากเจ้าจอมจนต้องพูดดักเดาไว้
“กูก็ไม่ได้คิดจะแย่งหรอกนะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ถ้าจักรมันจะเปลี่ยนใจ ก็น้องมึงเล่นตัวซะขนาดนั้นนี่”
“แล้วใครมันจะง่ายเหมือนมึง” รามินทร์สวนกลับอย่างไวทำเอาอินทัชกัดฟันอย่างโมโหที่ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไป ร่างสูงก็สวนกลับด้วยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจกัน
“หึ! พูดเหมือนว่ารู้จักกูดี ทำไม...กูง่ายแล้วหนักหัวใคร หนักหัวมึงมากเลยหรือวะ”
“มันไม่ได้หนักอะไรหรอก แต่แค่เห็นแล้วรู้สึกรังเกียจว่ะ ยังไงก็ตามตราบที่มึงยังอยู่ที่นี่ ห้ามมึงแรด ห้ามมึงร่านกับใคร ไม่ว่าจะคนงานคนไหนก็ตาม” ชี้หน้าสั่ง
อินทัชคิดอย่างเหนื่อยใจ และหน่ายใจที่จะตอบอะไร
“กูไม่เอาคนของมึงหรอก แค่นี้ก็รังเกียจมึงจะแย่แล้ว ถ้ามีลูกน้องของมึงเข้าไปอีก...กูคงจะอยู่ไม่สุขจนกว่าจะได้กลับบ้านแน่ๆ”
“ก็ดี คิดได้แบบนี้ก็ดี”
“แต่สำหรับจักร มันเป็นเพื่อนที่ดีกับกูมาก เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดกูตกหลุมรักมันขึ้นมา ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้นะ เพราะถ้าน้องมึงยังเล่นตัวอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ กูคิดว่ามันอาจจะเปลี่ยนใจมาชอบกูแทนแล้วล่ะ” ร่างโปร่งตอบด้วยรอยยิ้มที่กวนโมโหร่างสูงจนรามินทร์ชักหมั่นไส้ใบหน้าสวยนั่น
“ทำไมถึงมั่นใจนัก หน้าด้านนะมึง”
“แล้วทำไม กูไม่มีดีตรงไหน ทั้งรูปร่าง หน้าตา ฐานะ ไม่ว่าอะไรกูก็เหนือกว่าน้องมึงทั้งนั้นแหละ อ้อ รวมถึงเหนือกว่ามึงด้วย”
จริงๆ แล้วอินทัชไม่ใช่คนชอบอวดตัวเอง แต่ว่าสถานการณ์แบบนี้ เขาอยู่ต่ำกว่ามันมากก็จริง ก็แค่อยากจะพูดให้ตัวเองดูเหนือกว่าบ้าง
อย่างน้อยมันก็เป็นกำลังใจให้กับเขานิดหนึ่ง
“ปากดีนะมึง อย่าคิดว่ามึงจะทำร้ายน้องของกูอีกคนได้เลย เห็นไหม สุดท้าย ความชั่วของมึงก็โผล่ออกมาให้กูเห็นเข้าสักวัน ยังไม่ทันไร มึงก็ออกลายแล้ว ขอบอกไว้เลยนะ ถ้าเจ้าจอมเสียน้ำตาเพราะมึงเมื่อไหร่...กูเอามึงตาย!!!”
“กลัวจังเนอะ แค่นี้กูก็รู้สึกเหมือนอยู่ในนรกแล้วล่ะ จะมากกว่านี้กูก็ไม่รู้สึกว่ามันจะต่าง มีอะไรอีกไหม ถ้าไม่ กูจะกลับไปทำงานต่อ”
“จำคำสั่งกูไว้ให้ดี”
“เออ!! ไม่ลืมหรอก”
จะเตือนกูพันรอบ กูก็คิดกับไอ้จักรไม่ลงจริงๆ รสนิยมของเขาคือแบบเจ้าจอม ไม่ใช่แบบจุลจักร และดูเหมือนว่ารามินทร์จะไม่รู้ หรือรู้ แต่อาจจะลืมไป
“จะไปไหนก็ไป อ้อ แล้วทำงานในแต่ละวันให้เสร็จด้วยนะมึง วันนี้กูไม่อยู่ ห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด เข้าใจนะ”
“เออ! มึงนี่สั่งเยอะฉิบหาย”
“...”
“ว่าแต่จะไปไหนล่ะ” เขาไม่ได้อยากรู้ แค่ถามเผื่อไหว
“ทำไม จะหาทางหนีหรือไง” และโดนรู้ทันอีกจนได้ “อย่าแม้แต่จะคิด เพราะถ้ามึงหนีไปได้ กูจะเอาเรื่องคนที่เกี่ยวข้องกับมึงให้ถึงที่สุด!!”
“คนที่เกี่ยวข้องกับกู? ก็อยู่บ้านกูหมดแล้วนี่ และบอกตามตรงว่าอำนาจฝั่งกูเยอะกว่า คงจะปล่อยให้พวกมือสมัครเล่นแบบมึงเข้าไปเอาเรื่องได้อยู่หรอก”
“กูหมายถึงไอ้จักรกับหมอเงินต่างหาก”
“…” อินทัชเงียบไปเพราะคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีผูกทางนี้เช่นกัน
เขาทำใจ เอาเรื่องเดือดร้อนมาให้ทั้งสองคนไม่ได้จริงๆ
“อย่าคิดลองดี...ไปทำงานได้แล้ว!!” ไล่ร่างผอมบางให้กลับไปทำงานของตัวเองต่อทันที ซึ่งอินทัชก็เดินออกด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง ส่วนร่างสูงก็มองด้านหลังของคนที่เดินไปก่อนจะเดินกลับยังที่สำนักงานเพื่อเตรียมตัวไปดูงานอีกสาขาหนึ่งทันที
“เป็นไงบ้างวะไอ้อิน คุณรามว่าอะไรมึง”
“เงียบเถอะไอ้จักร กูไม่อยากตอบ ว่าแต่มึงกับคุณจอมทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าวะ เมื่อกี้เดินสวนกับกูนะมองกูตาเขียวปั๊ดเลยว่ะ” พอถามไปแบบนั้น จักรก็ทำหน้าหมองลงเพราะโดนคนตัวเล็กของตนโกรธเข้า
“เออ เขาโกรธกูว่ะ กูก็ไม่รู้ว่าเขาโกรธกูทำไม ทั้งๆ ที่กูก็อธิบายไปแล้ว”
“หึงอ่ะดิ”
“ห๊ะ!! หึง ให้หึงใคร”
“คุณจอมไง เขาหึงมึงกับกู”
“จะใช่หรือวะ” ถามอย่างไม่มั่นใจในตัวเอง จนร่างโปร่งส่ายหน้าไปมาอย่างระอา
“ใช่ดิ มึงหัดมั่นใจในตัวเองหน่อยเถอะ”
“อือ กูจะพยายาม”
“งั้นมึงก็ต้องทำตามแผนกูต่อไป ไม่มีอะไรมาก แค่อยู่เฉยๆ ตอนที่กูทำอะไรก็ตามแต่ เข้าใจนะ”
“เออๆ ว่าแต่มึง ไม่เป็นไรแน่นะ” ถามกลับด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวของอินทัชมันอึดอัดมากกว่าเดิม
“ไม่เป็นไร กูโดนแบบนี้ประจำอ่ะ”
“เฮ้อ...มีอะไรให้ช่วยก็บอก”
“พากูไปจากที่นี่...” ร่างโปร่งพึมพำอย่างเหม่อลอย คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว คิดถึงเพื่อนรัก มองไปโดยรอบก็พบเจอแต่คนที่ไม่รู้จัก
หนาวไปถึงขั้วหัวใจแล้ว...
อยากออกไปจากที่นี่สักที...
“กูไปส่งที่ท่ารถเอาไหม?” ถามอย่างหวังดี จะว่าสงสารก็ถูกอีกนั่นแหละ
“ไม่ต้องหรอก กูเชื่อว่ามันต้องรู้แล้วแน่ๆ และไม่มีทางอยู่เฉยๆ หรอก สักวันมันจะหาตัวกูเจอ...” ร่างโปร่งพูดอะไรบางอย่างที่จักรฟังแล้วถึงกับขมวดคิ้วแน่น
“ใคร...มึงพูดถึงอะไรเนี่ย”
“เปล่าๆ ทำงานต่อเถอะ” บอกปัดๆ ไปก่อนจะเดินไปทำงานของตัวเองทันที เดี๋ยวจะโดนหัวหน้างานตำหนิเอาได้ ในใจก็คิดถึงใครคนนั้นที่คิดถึงไปด้วย...
มึงจะตามกูเจอในสักวันใช่ไหมวะ...
ตามกูให้เจอเถอะ กูอยากกลับบ้านแล้วว่ะ...ธีร์
...
...
...
กรุงเทพมหานคร
“ไม่เจอเลยครับ ไม่มีวี่แววเลย ข่าวคราวก็ไม่มี ผมตามให้ทั้งในและต่างประเทศก็ไม่เจอครับ ครับคุณแม่ ผมจะตามหามันให้เร็วที่สุด ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะโทรไปแจ้งนะครับ แม่อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะครับ ไอ้อินมันไม่เป็นอะไรหรอก ยังไงระหว่างนี้ให้ผมดูแลบริษัทแทนไปก่อนนะครับ ไม่มีปัญหาเลยครับ ผมดูแลได้ ครับ สวัสดีครับ” ร่างผอมโปร่งของธีร์วางสายโทรศัพท์แล้วโยนลงบนโซฟาด้วยความความเครียด
“มึงหายไปไหนวะอิน ทำไมต้องทำให้เป็นห่วง”
“อย่าเครียด”
“ไม่ให้เครียดได้ไงไอ้พัฒน์ เพื่อนกูหายไปทั้งคนนะเว้ย ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง”
“อาจจะไปเที่ยว”
“ไม่หรอก ไอ้อินไม่หายไปแบบเงียบๆ ไร้ร้องรอยแบบนี้แน่ๆ” ส่ายหน้าค้านแบบสุดๆ เพราะคบกันมาตั้งนานเลยรู้ดีว่าเพื่อนของตนมีนิสัยยังไง
“มึงกำลังคิดว่าอะไรธีร์” พัฒน์ถามน้ำเสียงนิ่งๆ
“โดนจับตัวไปแน่ๆ”
“อะไรที่ทำให้มึงคิดแบบนั้น”
“ไม่รู้ กูสังหรณ์ใจแบบนี้ ยังไงซะมันโดนจับตัวไปแน่ๆ และกู...ก็จะตามหามันให้เจอ” ร่างโปร่งตั้งปณิธานแน่วแน่ ใจกระวนกระวายเป็นห่วง
“เพื่อนมึงมีศัตรู?”
“ไม่มีนะ...แต่อาจจะมีก็ได้ พวกคู่แข่งทางการค้า ยิ่งบริษัทของมันโคเข้ากับ PLEUNG ได้ คงจะสร้างความไม่พอใจให้กับหลายๆ บริษัทแน่ๆ”
“ที่มึงพูดอาจจะเป็นไปได้” พัฒน์พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ไหม...แล้วจะเริ่มจากตรงไหนล่ะ”
“มึงคุยกันครั้งสุดท้าย เพื่อนมึงอยู่ไหน” ร่างสูงถาม
“อยู่ไหนงั้นหรือ...วันสุดท้าย วันสุดท้าย...อืม...ที่ไหนวะ” ร่างโปร่งบางพยายามคิดโดยเดินไปเดินมา ลูบปลายคางตัวเองไปด้วยอย่างใช้ความคิด ก่อนจะต่อยที่ฝ่ามือตัวเองหนึ่งทีเมื่อคิดออก
“จริงสิ!!”
“อะไร...”
“งาน XXX ไง มันไปรับรางวัลที่นั่น” ธีร์เริ่มจะมีความหวังขึ้นมานิดๆ เพราะอย่างน้อยก็จะได้เริ่มหาจากที่นั่น งานใหญ่แบบนั้นคงจะมีกล้องวงจรปิดอยู่
สืบหาดีๆ ต้องเจอแน่
“งั้นก็เริ่มตามจากที่นั่น”
“เออๆ”
“ให้กูช่วยอะไรไหม” พัฒน์ถาม
“แน่นอนว่ามึงได้ช่วยแน่พัฒน์”
“เอาน่า อย่ากังวลไปเลย ถ้ามันจับตัวไปจริงๆ ถ้าไม่ใช่เงินก็ไม่มีเรื่องอื่นหรอก สักพักคงจะโทรมาเรียกค่าไถ่เอา ต่อให้อยากฆ่า กูก็คิดว่ามันต้องเอาเงินก่อนแน่ๆ เพราะฉะนั้น มึงเชื่อกู เพื่อนมึงยังปลอดภัย”
“จริงนะเว้ย”
“อือ”
ธีร์มองสบกับคนรักอย่างซึ้งใจที่อีกคนให้กำลังใจตนด้วยประโยคที่แสนยาวทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยพูดยาวได้ขนาดนี้
“ขอบคุณ...”
อิน...กูต้องหามึงให้เจอ...
ไม่ว่ามึงจะมีเรื่องบาดหมางกับใคร กูจะหามึงให้พบ ไอ้อิน
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอใช้คนหน่อยก็แล้วกัน ลูกน้องมึงมีแต่เก่งๆ นี่” ธีร์เอ่ยขอ ซึ่งร่างแกร่งก็พยักหน้าน้อยๆ
“ตามสบาย”
“กูขอใช้แค่คนของมึงก่อนก็แล้วกัน ถ้ากูหมดปัญญาจริงๆ จะให้มึงช่วยนะพัฒน์”
“อืม...เข้าใจ”
ธีร์ขอใช้ความสามารถของตัวเองให้ได้มากที่สุดก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ไม่เจอจริงๆ ก็ต้องพึ่งอำนาจของรัตนมณีโชติเข้ามาช่วย และถ้ายังไม่เป็นผลอีก ยังไม่เจออีก ก็คงต้องใช้อำนาจของอภิหชัยบดินทร์
ก็ลองดูว่าจะสามารถต่อกรกับมหาอำนาจได้หรือเปล่า
“ช่วยตรวจจากกล้องวงจรปิดงาน XXX ที่อินทัช ชยอัมรินทร์ไปเป็นที่สุดท้ายด้วย ได้ความว่ายังไง ติดต่อมาที่ฉัน ขอให้ตามเรื่องนี้ให้ด่วนที่สุด เร็วที่สุด เข้าใจนะ ถ้าฉันรู้ว่าใครมันอู้...คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ธีร์ใช้โทรศัพท์ต่อสายไปยังลูกน้องมากฝีมือของพัฒน์ ซึ่งร่างสูงก็ยิ้มน้อยๆ ให้กำลังใจโดยที่ธีร์มองไม่เห็นมัน
“โหดนะมึง”
“ไม่ได้หรอก เรื่องเพื่อนรักของกู จะทำเป็นเล่นไม่ได้”
“มึงเป็นห่วงเพื่อนเกินไปไหมวะ” พัฒน์ถามนิ่งๆ แต่ไม่ได้หาเรื่องแต่อย่างใด แค่ถามดูเฉยๆ ว่าคนรักจะตอบยังไง แม้จะรู้อยู่แล้วก็ตาม
“ทำไม หึง? ไม่ต้องกังวลน่า เพราะอินมันเป็นเพื่อนรักคนเดียวของกู เราโตมาด้วยกัน เรียนด้วยกัน ผ่านอะไรมาด้วยกัน ไม่แปลกหรอกที่กูจะเป็นห่วงมัน อย่างตอนที่กุมีปัญหากับมึงคราวนั้น มันก็ทิ้งทุกอย่าง ทิ้งงาน ทิ้งเที่ยว ทิ้งนัดเพื่อมาอยู่กับกู”
“โอเคๆ กูเข้าใจแล้ว มึงจะเสียงสั่นทำไม อย่าร้องนะเว้ย” พัฒน์รีบเดินเข้าไปหาคนรักที่เสียงเริ่มสั่นเครือ ร่างโปร่งหันหลังให้เพราะไม่อยากให้พัฒน์เห็นด้านที่อ่อนแอ
“กูเปล่าร้อง”
“แล้วหันหนีเพื่อ?”
“เรื่องของกูไหม?”
“มึงเมียกูไหม?” พัฒน์ถาม ก่อนที่ร่างโปร่งของธีร์จะหันมา ดวงตาใสเอ่อคลอไปด้วยน้ำใสๆ ที่พร้อมจะไหลรินตลอดเวลา
“อึก...”
“ร้องทำไม” ถามเสียงเรียบ แต่ไม่ทันที่ตนจะต่อว่าเรื่องที่คนรักอ่อนแอร้องไห้ออกมาไม่สมกับเป็นผู้ชายก็เจอร่างนิ่มๆ ของคนรักเข้ามากอดแล้วรัดเอวสอบของพัฒน์เอาไว้แน่น “มึงเป็นผู้ชายนะธีร์ ถึงจะเป็นเมียกู แต่มึงก็ไม่ควรอ่อนแอ” แม้ว่าจะพูดออกไปแบบนั้น มือใหญ่ก็ลูบเบาๆ ที่กลุ่มผมนุ่มของคนรักอย่างปลอบประโลม
“มัน...อึก มันจะไม่เป็นไรใช่ไหม ไอ้อินมันจะปลอดภัยใช่ไหม”
“เพื่อนมึงไม่เป็นไร เดี๋ยวก็เจอนะ มึงหยุดร้องเถอะ ร้องไปก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“อือ...” ถึงจะรับปากแบบนั้น แต่ร่างที่กำลังสั่นเทาโดยไร้เสียงสะอื้นที่พัฒน์สัมผัสได้ก็รู้ว่าคนรักกำลังพยายามมากแค่ไหน
“เฮ้อ...งั้นก็ร้องเถอะ”
“อึก...”
“วันเดียวนะ ห้ามมีแบบนี้อีก แล้วก็ทุ่มเททุกอย่างตามหาเพื่อนของมึงอย่างเข้มแข็งและมีความหวัง อย่าคิดมาก ถ้ามึงเชื่อมั่นว่าเพื่อนมึงไม่เป็นไร มึงก็จงเชื่อต่อไป”
“…”
“อย่าเอาความกลัวมาทำให้มึงไปต่อไม่ได้”
“อือ...ขอบใจ”
“อืม...”
ขอโทษนะอิน ขอโทษที่ชั่วขณะหนึ่งกูคิดว่ามึงตายไปแล้ว แต่ต่อให้มึงตายไปแล้ว ก็จะตามหามึงให้พบ...แต่ว่า...กูเชื่อว่ามึงยังมีชีวิตอยู่มากกว่า
คนอย่างอินทัชน่ะ ไม่ตายง่ายๆ หรอกใช่ไหม
ไม่รู้หรอกว่าจะมีใครเชื่อเรื่องความรู้สึกที่สื่อถึงกันไหม แต่อินทัชกับธีร์เชื่อมั่นในกันและกันมาโดยตลอด แค่คิดถึงกัน ก็มีกำลังใจขึ้นมา เพราะอย่างน้อยเพื่อนก็ไม่ถึงกัน เวลาธีร์มีปัญหา คนแรกที่เข้าไปช่วยก็คืออินทัช และในทางกลับกันตอนที่อินทัชมีปัญหา คนแรกที่เข้ามาช่วยก็คือธีร์เช่นกัน
และครั้งนี้...มันก็ต้องเป็นแบบนั้น
“แต่มันคงจะนานหน่อยใช่ไหมวะ ไม่เป็นไร กูรอมึงได้ธีร์”
กูจะรอ...ตราบที่กูยังไหวอยู่
100%
มาแล้วค่า ขอโทษที่อัพช้า ยูกิติดงานที่สาขาแล้วก็เรียนหนักค่ะ ในวันที่ 30 นี้ทางสาขายูกิจัดงาน Job Fair แล้วยูกิก็เป็นสตาฟ ต้องวิ่งทำหลายอย่างเลย ไม่มีเวลามาอัพนิยายเท่าที่ควร ขอโทษด้วยนะคะ ยังไงอย่าเลิกติดตามเรื่องนี้น้า...
มีอะไรสามารถสอบถาม พูดคุย ทวงนิยายได้ที่แฟนเพจเลยค่า
https://www.facebook.com/sawachiyuki/