ตอนที่ 2 รอยสักรูปดอกไม้
ร.ต.อ.เก่งกาจ กิตติธเนศ นั่งจ้องกระดาษขนาดเดียวกันกับที่ใช้พิมพ์เอกสารซึ่งวางเรียงกันอยู่บนโต๊ะทำงาน ใบหนึ่งเป็นภาพของหญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มน่ารักที่กำลังแนบแก้มลงบนแผ่นหลังเปลือยของใครคนหนึ่ง ช่วงบ่ากว้างรับกับหัวไหล่กลมกลึงนั้นยากจะคาดเดาว่าอีกคนเป็นชายหรือหญิงกันแน่ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับต่ำลงมาจากแนวบ่าด้านขวามองเห็นรอยสักเล็ก ๆ ประดับอยู่บนผิวเนื้อนวลผ่อง แม้จะมองเห็นไม่ชัดนักแต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคเมื่อรูปนี้ถูกเลือกเฉพาะบริเวณที่ต้องการมาขยายออกให้เห็นรายละเอียด มันเป็นรอยสักรูปดอกไม้สีแดงตัดกับผิวขาวที่ปราศจากตำหนิ นิ้วหนาเคาะลงบนภาพที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างใช้ความคิด หากจะให้เดาแล้วละก็ ทั้งสองคนในภาพจะต้องสนิทสนมกันมากเป็นแน่จึงได้ถ่ายภาพที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเช่นนี้เก็บเอาไว้ นายตำรวจหนุ่มหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะวางมันไว้ที่เดิมในขณะที่ปลายนิ้วยังคงเคาะเป็นจังหวะทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเริ่มรำคาญจนต้องขยับตัวนั่งกอดอก เม้มปากแน่นและเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“เคาะแบบนี้แล้วจะหาเจอเหรอวะ” เมื่อจบคำถามเสียงเคาะโต๊ะก็เงียบลงราวกับกดปุ่มปิด เก่งกาจทำหน้าฉงนเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด
“หาอะไรวะ”
“ก็หาพ่อแกไง พ่อหายทำไมไม่ไปแจ้งความ เคาะอยู่ได้”
ประโยคยียวนกวนประสาทเรียกสายตาหมั่นไส้ก่อนจะสวนกลับตามประสาเพื่อนสนิทที่แค่ต่างคนต่างอ้าปากก็มองเห็นไปถึงลำไส้ใหญ่ “ไอ้บุ้ง! พ่อแกสิหาย!”
“ก็เห็นเอาแต่เคาะ จะพูดอะไรก็ไม่พูด นึกว่าเคาะเรียกพ่อ”
“ขอเวลาคิดบ้างสิวะ”
คันธชาติมองตามมือคนหัวเสียที่เลื่อนกลับกระดาษทั้งหมดคืนให้ รู้สึกว่านี่กำลังจะเป็นอีกครั้งที่สิ่งที่เขาทำต้องสูญเปล่า
“แล้วยังไง แค่นี้มันจะช่วยสนับสนุนข้อสันนิษฐานของแกได้ยังไงกันในเมื่อทุกอย่างถูกสรุปออกมาแล้ว เมื่อไรจะเชื่อเสียที” นายตำรวจหนุ่มถอนใจพลางจ้องหน้าเพื่อนอย่างรอคำตอบ แม้การเสียชีวิตของกิ่งดาวจะล่วงเลยมาจนเข้าสู่เดือนที่สอง รวมถึงกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหญิงสาวพลัดตกจากที่สูงลงมากระแทกพื้นเสียชีวิตจริง แต่เพื่อนรักอย่างคันธชาติก็ยังเป็นคนเดียวที่ไม่อาจทำใจเชื่อในการสรุปสำนวนคดีของตำรวจได้ เขายังคงค้นหาหลักฐานอยู่เนือง ๆ เพื่อสนับสนุนความคิดของตนเองที่ว่ากิ่งดาวอาจถูกใครบางคนทำให้ตกลงมาก็ได้
คนถูกถามขยับตัวนั่งหลังตรงเอื้อมหยิบกระดาษอีกใบที่ซ้อนอยู่ข้างใต้ก่อนจะยื่นให้ เก่งกาจรับมันมาอย่างเสียมิได้ พลันลมหายใจหนัก ๆ ก็ถูกปล่อยผ่านปลายจมูกอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อพบว่าชายหนุ่มหน้าตาคมสันที่ปรากฏอยู่ในภาพไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ ดร.ธันวา ธิตินาวา คนที่เคยได้พบกันแล้วครั้งหนึ่งในห้องสอบสวนและอีกครั้งที่งานศพของกิ่งดาวนั่นเอง
“ดร.ธันวา?”
“ใช่ เขาเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับกิ่ง เบอร์สุดท้ายที่กิ่งโทร.หาก็คือเบอร์ของเขา แกสอบปากคำเขาเองก็น่าจะรู้นี่”
“แต่พยายานยืนยันนะว่าวันนั้นเขาไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด แล้วเขาจะลงมือฆ่ากิ่งได้ยังไง”
“ฉันก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเขาเป็นคนฆ่ากิ่ง แค่รู้สึกว่าเขาน่าสงสัยเท่านั้นเอง แล้วอีกอย่างเขาอาจจะบอกไม่หมดก็ได้ว่าเขาคุยอะไรกับกิ่งบ้างในวันที่เกิดเหตุ บางที...เขาอาจจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น” คันธชาติกล่าวทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างพลางแหวกม่านอะลูมิเนียมบานเกล็ดมองดูสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมา นับตั้งแต่วันที่กิ่งดาวจากไปก็ไม่มีวันไหนที่ในหัวของเขาปราศจากภาพและเรื่องราวของเธอ
“ที่สำคัญ หลัง ๆ มากิ่งพูดถึงเขาให้ฉันฟังบ่อย ๆ”
คนฟังถอนใจยาวก่อนจะลุกขึ้นเดินตามมายืนใกล้ ๆ มองใบหน้าเคร่งขรึมของคนที่กำลังหันหลังจากเงาสะท้อนบนกระจกหน้าต่าง เพื่อนรักในตอนนี้ดูไม่เหมือนหนุ่มเจ้าสำราญทายาทเจ้าของฟาร์มใหญ่ที่เคยรู้จักเลยสักนิด ว่าไปแล้วนับตั้งแต่วันที่ได้รู้ข่าวการเสียชีวิตของกิ่งดาว ความร่าเริงในตัวเขาก็เหือดหายไปเกือบครึ่ง
คันธชาติเหลือบมองชายหนุ่มร่างกายกำยำเจ้าของท่อนแขนแกร่งที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามแบบคนออกกำลังกายในยิมเป็นประจำก่อนจะเบนสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่างอีกครั้ง ครู่หนึ่งก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือที่สัมผัสลงมาบนบ่า ห้องทั้งห้องกลับเงียบงันแต่รู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่มีให้กัน
เก่งกาจจ้องมองหลังมือของตนเองที่ขยับขึ้นลงตามการหายใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากหยักที่เคยเม้มแน่นค่อย ๆ คลายออก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดแต่ยังไม่เคยได้พูดมันออกมา
“ไอ้บุ้ง หยุดพยายามแล้วยอมรับความจริงเถอะ แกแค่ยังทำใจไม่ได้แล้วก็เสียดายที่แกไม่ใช่คนที่ได้อยู่กับกิ่งในวินาทีสุดท้ายเท่านั้นแหละ”
คำพูดที่ดังอยู่ข้างหูเล่นเอาคนฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าการที่ภาพตรงหน้ามัวหม่นลงนั่นจะเป็นเพราะสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักหรือเพราะน้ำตาที่กำลังเอ่ออยู่กันแน่ ทั้งที่ในใจร้องตะโกนค้านข้อสันนิษฐานบ้า ๆ ของเพื่อน แต่คำว่า “ไม่จริง” ที่ปากพูดออกมานั้นกลับแผ่วเบาจนแทบจะฟังไม่ได้ยิน
“มันเป็นเรื่องจริงบุ้ง แกควรทำใจได้แล้ว กิ่งตายไปแล้ว แล้วมันก็เป็นอุบัติเหตุ ส่วนเรื่องดร.ธันวานั่นน่ะมันก็อาจจะเป็นแค่ข้ออ้างที่แกสร้างขึ้น แกอาจแค่อยากรู้ว่าเขาหรือเปล่าที่เป็นคนทำให้กิ่งปฏิเสธแก”
คันธชาติรีบขยับตัวออกห่างก่อนจะหันมาจ้องเขม็ง “การที่ฉันไม่แก้ต่างข้อกล่าวหาของแกไม่ใช่ว่าฉันจะยอมรับในสิ่งที่แกพูดหรอกนะ” ไม่รู้ตัวเลยว่าแววตาและน้ำเสียงเอาแต่ใจแบบนั้นจะทำให้คนพูดจี้จุดค่อยคลายใจขึ้นมาบ้าง
เก่งกาจกดยิ้มที่มุมปาก ทำยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจราวกับจะบอกว่า 'ก็เรื่องของแก' ก่อนจะกลับไปนั่งลงที่โต๊ะ มองดูภาพถ่ายของหนุ่มสาวในกรอบที่วางอยู่ตรงหน้า สองคนที่ยืนขนาบข้างคือเขาในชุดนักเรียนนายร้อยตำรวจและคันธชาติที่สวมชุดนักศึกษาเต็มยศ ส่วนตรงกลางก็คือหญิงสาวในชุดครุยที่กำลังถูกพูดถึงอยู่เมื่อสักครู่ รอยยิ้มของเธอเป็นรอยยิ้มที่งดงาม มันควรจะได้อยู่ประดับโลกนี้ไปอีกแสนนานถ้าหากเหตุการณ์น่าเศร้าในวันนั้นไม่เกิดขึ้นเสียก่อน
แม้จะเพิ่งรู้จักกันเมื่อตอนสมัยเรียนชั้นมัธยมปลาย แต่พวกเขาทั้งสามคนก็ถือว่าเป็นเพื่อนรักที่รู้ใจกันจนใคร ๆ ก็พากันอิจฉา หลังจากเรียนจบ ม. 6 แต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไปเรียนในสิ่งที่ตนเองสนใจ กิ่งดาวสอบเข้าเรียนในคณะศิลปศาสตร์ สาขาการละครได้ตามที่เธอฝัน ส่วนคันธชาติก็ได้เรียนในคณะเกษตรอย่างที่ลั่นวาจาเอาไว้ว่าอย่างไรก็จะไม่ทิ้งบ้านเกิดและฟาร์มแสงฉานไปไหน ส่วนเก่งกาจเองก็เข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารจากนั้นจึงไปต่อนายร้อยตำรวจตามรอยผู้เป็นพ่อและย้ายรกรากจากปากช่องมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อย่างถาวร แต่กระนั้นระยะทางก็ไม่ใช่อุปสรรค เพื่อรักทั้งสามยังคงไปมาหาสู่กันเสมอไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยมานานเพียงใด คนที่เป็นศูนย์รวมของเพื่อน ๆ ก็หนีไม่พ้นหนุ่มน้อยขี้เล่นที่ชอบทำนิสัยเด็ก ๆ ให้เพื่อน ๆ ต้องคอยปวดหัว
ชีวิตการรับราชการของเก่งกาจเริ่มต้นที่สถานีตำรวจภูธรในต่างจังหวัด จากนั้นไม่กี่ปีก็ถูกย้ายกลับเข้ามาประจำการที่กรุงเทพฯ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ต้องคอยรับเรื่องร้องทุกข์ของผู้คนมากมาย วันหนึ่งจะต้องมาได้รับข่าวร้ายเกี่ยวกับเพื่อนของตนเอง ไม่เคยลืมเสียงวอแจ้งจากหัวหน้าสายตรวจแจ้งเหตุพบหญิงสาวพลัดตกจากที่สูงในเช้าของวันที่อากาศขมุกขมัวได้เลยสักนาทีเดียว
‘โรงละครนาฏยกาล’
คนที่ไม่มีความสุนทรีย์ในใจอย่างเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำถ้าหากกิ่งดาวไม่พูดถึงบ่อย ๆ บ่อยเสียจนเขาต้องรู้ไปโดยปริยายว่าที่นั่นเป็นโรงละครที่มีชื่อเสียง ผลิตดาวประดับวงการบันเทิงมานับไม่ถ้วน น่าเสียดายที่ในระยะหลังนโยบายของโรงละครเปลี่ยนเป็นรับเฉพาะนักแสดงที่เป็นสาวประเภทสอง แต่กระนั้นหนุ่มหญิงสาวมากมายก็ยังหวังและแข่งขันกันเพื่อจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงานที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งน้อยคนจะได้รับโอกาสนั้นแต่กิ่งดาวก็ทำมันได้สำเร็จ ยังจำวันที่เธอโทร.มาละล่ำละลักว่าสามารถเข้าทำงานในโรงละครนั้นได้ดี แม้จะไม่เห็นหน้ากันแต่น้ำเสียงที่ได้ยินก็พลอยทำให้คนฟังยิ้มแก้มปริตามไปด้วย
เมื่อทราบชื่อที่เกิดเหตุผู้กองเก่งกาจก็ภาวนาไปตลอดทางขอให้ไม่ใช่อย่างที่เขากำลังเป็นกังวล แต่ทันทีที่ไปถึง บัตรประชาชนซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่ใช้ยืนยันตัวตนของผู้ตายก็ทำให้เข่าอ่อน พยายามตะโกนเรียกชื่อตัวเองในใจเผื่อว่าจะสะดุ้งตื่นแล้วพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝันแต่ก็สูญเปล่า เสียงไซเรนที่ดังเคล้าไปกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงของบรรดาเหล่าไทยมุงเป็นสิ่งย้ำเตือนให้รู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นเรื่องจริง สุดท้ายเขาก็ต้องเปลี่ยนมาตะโกนเรียกชื่อเจ้าของร่างไร้วิญญาณที่นอนจมกองเลือดแทน
จากผลการชันสูตรพลิกศพของตำรวจร่วมกับแพทย์เวรจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งพบว่าทางซีกขวาของร่างกาย เช่น แขน ขา รวมถึงซี่โครงหัก คาดว่าจะตกลงมาในลักษณะที่ดฝั่งขวากระแทกพื้นจนเสียชีวิต ระยะเวลาการเสียชีวิตอยู่ที่ราว ๆ 6-7 ชั่วโมง ตั้งแต่เมื่อกลางดึกจนกระทั่งมีผู้มาพบศพในตอนเช้า ร่างของหญิงสาวที่ปราศจากลมหายใจนั้นซีดขาวจนนึกต่อว่าสายฝนที่ใจร้ายตกลงมาไม่รู้เวล่ำเวลาทำให้เพื่อนต้องเหน็บหนาว แม้จะไม่พบร่องรอยการต่อสู้ใด ๆ ทรัพย์สินมีค่าก็ยังอยู่ครบ แต่กะโหลกศีรษะที่ยุบเนื่องจากการกระแทกกับพื้นอย่างแรงประกอบกับสภาพแขนและขาที่หักนั้นชวนให้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อได้เห็น นึกไม่ออกเลยว่าเธอจะทรมานแสนสาหัสสักเพียงใดก่อนจะสิ้นใจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนผู้ที่พักอยู่บริเวณใกล้เคียงซึ่งได้ความว่าตั้งแต่ช่วงหัวค่ำของเมื่อคืนก่อนฝนตกหนักมากและเพิ่งจะมาซาลงในตอนรุ่งเช้าจึงไม่มีใครออกจากบ้านหรือได้ยินเสียงผิดปกติใด ๆ เมื่อตำรวจตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุและบนดาดฟ้าก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ไม่ไกลจากจุดที่ผู้ตายตกลงมาพบเพียงบทละครที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ร่างของเธอถูกนำกลับไปตรวจสอบที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ของโรงพยาบาลอีกครั้งก่อนจะรอญาติมารับกลับ และแน่นอนว่าข่าวการเสียชีวิตของผู้เป็นที่รักย่อมนำความเศร้าโศกมาสู่คนใกล้ชิด คันธชาติแทบคลั่งไม่ต่างจากกิ่งกาญจน์และพิพัฒน์เมื่อทราบข่าวของลูกสาว เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้นจึงเป็นสาเหตุให้เก่งกาจลืมความชุ่มฉ่ำของสายฝนที่มักจะตกลงมาในตอนเช้าอยู่พักใหญ่ กลับเป็นความหม่นเศร้าและความกลัวที่ก่อตัวขึ้นภายใต้ความเข้มแข็ง ซึ่งเขาเองไม่คิดจะแสดงออกให้ใครเห็น
“ยังไงฉันก็จะสืบต่อ”
นายตำรวจหนุ่มถูกฉุดขึ้นจากห่วงแห่งความคิดด้วยคำพูดสั้น ๆ ของคนที่เดินกลับมานั่งลงยังฝั่งตรงกันข้าม หัวคิ้วหนาค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหากันอีกครั้ง ไม่เห็นประโยชน์อะไรในการตั้งข้อสงสัยในเรื่องที่ดำเนินมาจนถึงบทสรุปแล้ว การขุดคุ้ยรังแต่จะนำความทุกข์ใจมาสู่คนที่พยายามจะลืม
“ไอ้บุ้ง แกดูหนังนักสืบมากไปหรือเปล่าวะ นี่มันเรื่องจริงนะโว้ย ไม่ใช่บทประพันธ์ นึกว่าว่าตัวเองเป็นเชอร์ล็อค โฮล์มส์หรือไง ตำรวจเขาก็สรุปสำนวนคดีออกมาแล้วว่ากิ่งขึ้นไปบนนั้นแล้วก็ตกลงมาเอง”
"แกก็รู้...กิ่งน่ะไม่มีวันขึ้นไปท่องบทละครอะไรนั่นบนนั้นแน่ ๆ ไม่รู้ละ ยังไงฉันก็ยังไม่ปักใจเชื่อจนกว่าจะได้พิสูจน์ แล้วแกก็ต้องช่วยฉันสืบด้วยไอ้กาจ”
คนฟังย่นคอพร้อมกับกลอกตาไปมาอย่างอ่อนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับนิสัยดื้อด้านของเพื่อนคนนี้
“แล้วแกจะสืบยังไง”
“ก็ต้องเริ่มจากคนที่เรามองเห็นก่อน” คันธชาติยักคิ้วก่อนจะกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ รู้อยู่แล้วว่ายังไงคนรักเพื่อนอย่างเก่งกาจก็ไม่ปล่อยให้เขาทำอะไรบ้าบิ่นอยู่คนเดียวแน่
คนฟังโคลงศีรษะอยากจะทึ้งหัวตัวเองในเวลาเดียวกัน ถึงปากจะห้ามแต่พอเจอลูกดื้อแบบนี้เข้าก็ใจอ่อนยอมตามน้ำทุกทีไป เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร จนเก่งกาจมักจะบ่นอยู่บ่อย ๆ ว่า ไอ้นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานที่แสนจะขี้เล่นเป็นกันเองอย่างที่พ่อแก่แม่เฒ่ารวมถึงบรรดาพี่ป้าน้าอาซึ่งเป็นคนงานในฟาร์มพากันโจษขาน แท้จริงแล้วมันช่างหัวดื้อและเอาแต่ใจชนิดหาตัวจับยาก ตั้งแต่รู้จักกันกระทั่งตอนนี้นิสัยก็ไม่ได้โตตามอายุเลยจริง ๆ เก่งกาจรู้สึกว่าตอนนี้ตนเองกำลังถูกมัดมือชก ในใจนึกอยากจะตบเข้ากลางกะโหลกของ ‘ไอ้นายน้อยเจ้าสำราญ’ ให้จำได้เสียทีว่าตัวเองเป็นเกษตรกรไม่ใช่นักสืบ แต่ยิ่งเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับดวงตาเป็นประกายนั่นแล้วยิ่งให้คิดว่าอย่างไรก็ตามแต่คันธชาติก็จะไม่ยอมรามือจากเรื่องนี้ง่าย ๆ แน่
ฝนปลายฤดูเพิ่งหยุดตกไปเมื่อต้นชั่วโมง พยับฝนที่เคยตั้งเค้าเคลื่อนห่างออกไปเพราะไม่อาจต้านทานแรงลม ทิ้งเอาไว้ก็แต่ความชุ่มชื้นบนผืนหญ้า เหนือขึ้นไปที่หน้าต่างหอสมุด หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งทอดอารมณ์มองแสงอาทิตย์สะท้อนหยาดน้ำระยิบระยับ มันเป็นภาพที่สวยงามจนอดคิดไม่ได้ว่าเธอช่างโชคดีเหลือเกินที่มีโอกาสได้เห็นมัน โชคดีที่ยังได้เป็นเจ้าของลมหายใจของตนเอง
“คิดถึงกิ่งเนอะแก ถ้ากิ่งยังอยู่ป่านนี้คงมานั่งอ่านหนังสือด้วยกันบนนี้”
หน้าสวยหันกลับมามองคนพูดที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ ช่างไม่รู้เลยว่าตัวเองได้เอื้อมมือดึงเอาความรู้สึกเศร้าหมองกลับมาสู่จิตใจของคนฟังอีกครั้ง
(มีต่อค่ะ)