.......
......
.....
....
...
..
.
“นี่มึงมานานยังเนี่ย” เสียงมันทักผมมาจากด้านหลัง
ผมหันหน้าไป “สามสิบนาทีได้มั๊ง”
“อี๋ ขี้อวดว่ะ ทำเป็นเก่ง!” มันทำหน้าเบ้ แต่ก็ยังเดนตรงเข้ามาหา
“พวกมึงจะไปไหนกันต่อวะ?” เพื่อนของมันที่เดินตามหลังกันมาถามผมกับมัน
“จะไปน้ำตกเหวนรก” มันหันหน้าไปบอกเพื่อน
“โห ไกลเลย” เพื่อนมันทำหน้าอึ้งๆ
“ก็บ้านมันมึงอยู่ไกล แต่บ้านพวกกูอยู่แค่นี้เอง เวลาเท่านี้ก็พอแล้วเว้ย ถมถืด” มันฉอดๆ ใส่เพื่อนของมัน
เราก็ร่ำลากันตามมารยาท ก็มีที่อยู่มีเบอร์กันไว้แล้ว คงได้ติดต่อกันอีกอยู่ดี พอเพื่อนมันไปแล้ว มันก็เรียกผมขึ้นรถ
“มึงบอกว่าจะกินข้าวที่โรงอาหารก่อนไป” ผมท้วงมัน
“เออออ ลืมว่ะ ไป๊ ไป กินข้าวก่อน” มันร้องเสียงหลงก่อนที่จะกวักมือเรียกผมไป
ระหว่างที่เดินไปโรงอาหาร มีรุ่นน้องทักมันหลายคน ทักผมก็มีบ้าง แต่ทักมันมากกว่า...กว่าจะเดินถึงโรงอาหาร ต้องปล่อยให้มันถ่ายรูปกับรุ่นน้องจนเสร็จนั่นแหละ ถึงเดินต่อกันมาได้
ผมก็ไปแจมอยู่บางรูป แต่หลายๆ รูปเค้าต้องแค่มันคนเดียว
“บายคร๊าบ” มันโบกมือให้น้องๆ เสียงอ่อนเสียงหวาน
“พอใจยังครับมึง” ผมท้วงมัน
“เอ มึงนี่ ไม่รู้จักสร้างสมาคมบ้างเลยนะ”
“สมาคมรักเด็กอ่ะนะ กูเลือกเองว่าจะไม่เข้าว่ะ คุก คุก คุก”
“หึหึหึ....เด็กๆ อยู่กับกูน่ะปลอดภัย“
“ไม ปลอดภัยยังไง?”
มันไม่ตอบครับ มันเดินหัวเราะหึหึนำลิ่วไปเลย
.......
......
.....
....
...
..
.
“นี่ นี่”
“ไร”
“มึงหารกับกูได้ป๊ะ อยากกินหลายอันเลยว่ะ”
“เออ จะเอาไรก็เอามา”
ผมพูดแล้วก็คว้ากระเป๋ามันเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้ วันนี้คนบางตา ผมเลยว่าเราไม่จำเป็นต้องจองที่นั่ง ผมลุกไปซื้อน้ำ เอาน้ำที่มันชอบสามอย่างมาให้มัน คิดว่ามันจะได้เลือกกินเอง
ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ เห็นจานข้าวมันไก่แบบธรรมดาหนึ่งจาน แต่ตัวมันไม่อยู่
ก็นั่งรอมันก่อน
.......
......
.....
....
...
..
.
สักพักมันก็กลับมาพร้อมจานหนึ่งใบ กับชามหนึ่ง แล้วมันก็จะเดินไปอีก ผมสังหรณ์ เลยรีบคว้าแขนมันไว้ก่อน
“มึงจะไปไหน?”
“เขาข้าวดิ ก็สั่งไว้”
“นี่มึงยังไม่พอเหรอ มึงสั่งอะไรไว้บ้างเนี่ย?”
“ข้าวหมูกรอบ ลูกชิ้นทอด ปลาทอดมัน หมดแหละ”
“มึงครับ มึงจะแดกหมดได้ไงครับ มันเยอะนะครับ ไม่เอาเหอะ พอแล้วเหอะ”
“ก็กินกับมึงไง เดี๋ยวไม่ได้มากินแล้วนะมึง เรียนจบกันแล้วนะเว้ย!”
“...............”
.......
......
.....
....
...
..
.
สรุป ว่ากลางวันนั้นผมก็แชร์ของกินที่มันสั่งมากองไว้จนเกลี้ยง ผมไม่ใช่ปอบลงนะ แต่มันต่างหากที่ชูชก มันยัดเข้าไปได้ยังไงก็ไม่รู้
กินเสร็จเราก็เดินออกไปตรงใกล้ประตูหน้าโรงเรียน พอมันเดินมาถึงที่รถ ลุงยามก็ร้องเรียกมัน บอกมันว่าเพื่อนฝากของให้ มะนเลยเดินไปเอาของที่ป้อมลุงยาม
ผมนั่งรอที่เก้าอี้หินอ่อนที่มอไซด์มันจอดอยู่
ไม่นานมันก็เดินกลับมาพร้อมหมวกกันน๊อกสองอัน มันบอกว่าที่จริงลืมไปแล้ว แต่มันขอเพื่อนไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าสอบ เพื่อนมันหาตัวไม่เจอ แต่เห็นรถมันจอดอยู่ เลยฝากหมวกไว้กับลุงยาม หมวกที่มันถืออย่างดีเหมือนกันนะ แพงพอดู ก็สมควรให้เพื่อนมันฝากกับลุงยามมากกว่าแขวนไว้ที่แฮนด์มอไซด์เฉยๆ อ่ะนะ
เมื่อคนพร้อม รถพร้อม เราก็ออกเดินทาง
มันขับมอไซด์ออกมาทางเดียวกับที่เรากลับบ้าน แต่วันนี้เราเลยไป ตรงไปเรื่อยๆ จนถึงสี่แยกที่เป็นวงเวียนแล้วเราก็ตรงไปอีก เราขี่ขึ้นไต่เขาไปเรื่อยๆ สักพักใหญ่ เราก็มาถึงด่านเก็บค่าผ่านทาง ผ่านด่านมาเราก็ขี่ตรงมาเรื่อยๆ ไม่นานเท่าขาขึ้น เราก็มาถึงปากทางเข้าน้ำตกเหวนรก
มันเลี้ยวซ้ายแล้วลัดเลาะทางไปเรื่อยๆ ....... ก็สุดถนน
ถึงทางที่เราต้องลงเดินกันแล้ว
“เอาหมวกไปด้วยเปล่าวะ?” ผมถามมัน
“ไม่ต้องหรอก ไว้นี่แหละ” มันบอก แล้วเอาหมวกของมันแขวนไว้บนแฮนด์ข้างหนึ่ง จากนั้นจึงก้าวข้ามรถ มายืนบนพื้น
“ถ้าหายล่ะ?” ผมถามมัน
“คนมาเที่ยวไม่เยอะ ไม่หายหรอก เดินถือไปด้วยลำบาก ช่วงลื่นๆ มันอันตราย” มันบอก
ก็เห็นด้วยกับมันนะ เลยวางหมวกกันน๊อคอีกอันแขวนไว้ที่แฮนด์อีกข้างของรถ
“ป๊ะ”
มันบอก แล้วหมุนตัวกลับ เดินนำไป
เขาเดินตามมันไปเรื่อยๆ
.......
......
.....
....
...
..
.
“ทำข้อสอบได้มั้ยล่ะ” มันถามผม
“ทำได้ แต่คงไม่เต็มหรอก ไม่แน่ใจหลายข้อ” ผมบอกมัน
“ตกลงมึงจะเอ็นท์ที่ไหนล่ะ”
“.........มหาลัยที่บอก...นั่นแหละ” บอกอ้ำอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะตอบมันไปตามความจริง
“กูก็เอาแค่ที่กูเข้าได้ ที่ที่บอกมึงไว้”
“อื้อ แล้วแต่มึง”
“แต่กูคงอยู่หอเดียวกับมึงไม่ได้ เพราะที่กูไปต่อมันอยู่ไกลจากมหาลัยมึงมากไป”
“อื้อ....กูเข้าใจ....”
ถึงกระนั้นผมก็ยัง เสียใจ รู้มาแต่แรกต้องเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ยังอยากได้ปาฏิหาริย์
“.................” มันเดินต่อไป โดยไม่พูดอะไรอีก
ผมก็เดินตามหลังมันไป โดยไม่พูดอะไรกับมันอีกเช่นกัน
.......
......
.....
....
...
..
.
“น้ำตรงนี้เริ่มใสแล้วเนอะ” ผมเอ่ยปากชวนมันคุย
เดินมาจนครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว ไม่มีใครสวนทางมาเลยสักคน
“ฮื๊อ....” มันรับคำเสียงหนักแน่น
“ค่อยๆ เดินเดี๋ยวลื่น....ไม่ชะ...” ยังไม่ทันขาดคำ ผมก็ทันเห็นขามันไถลลงไปจากบันไดข้างหนึ่ง ผมรีบไปรับตัวมันไว้ ไม่ให้มันกระแทกกับหิน
ตัวผมที่นั่งราบไปกับพื้น กลายเป็นเบาะรองตัวของมัน
“อู๊ยยยยย----” มันร้องลากเสียงยาว
“กูบอกมึงแล้ว มึงนี่ ทำไมชอบประมาทนัก ห๊า!” ผมโมโห โมโหจริงๆ เลยไม่เก็บน้ำเสียงถนอมน้ำใจอะไรทั้งสิ้น จุดนี้ หากลื่นผิดท่ามันไถลเหวไปได้เลยนะ!
“มันลื่นเว้ย ลื่นมาก โอย...ลุกไม่ขึ้นว่ะ” มันบ่นพึมในปาก ไม่เถียงเสียงแข็งแบบปกติ ซึ่งผมรับรู้ล่ะว่ามันรู้ตัวเองว่ามันผิดแล้ว เลยว่ามันแค่นั้นแหละ
“เอา จับราวไว้ ดีๆ ไม่ไหวก็ล้มมาทางกู มึงจะได้ตกเหว รู้มั้ย?” ผมบอกมัน
แล้วเราสองคนก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้นที่เปียกลื่น ทว่า พอผมยืนมาได้เท่านั้นแหละ ยังไม่ทันจะก้าวขาออกไป เท้าผมมันก็ลื่นไปข้างหน้าแล้ว ขี้ตะไคร่ตรงนี้หนามาก แค่ยืนเฉยๆ ยังลื่นได้เลยครับ
“เชี่ยแม่ง อะไรนักวะ” ผมสบถไม่หยุดปาก
“ดีๆ มึง ดีๆ” มันก็ร้องบอกผมแบบนั้นไม่หยุดปากเหมือนกัน
.......
......
.....
....
...
..
.
เสี้ยวเวลาที่ต่างก็ตกอกตกใจกันอยู่นี้
ผมกับมันก็ได้มาอยู่ในท่าที่ล่อแหลมที่สุดเท่าที่คบกันมา
มือของผมกุมเหนือมือของมัน...บนราวเหล็กที่เราต่างก็เอาไว้ยึดตัวเอง
ส่วนมืออีกข้างของพวกเรา มันไปโอบเอวของต่างฝ่ายเอาไว้....แน่นทีเดียวล่ะ
.......
......
.....
....
...
..
.
ผม.......ผมมองดวงตาของมัน มองเหมือนไม่รู้เบื่อ
มัน......แววตามันตกใจ และยังคงตกใจอยู่
.......
......
.....
....
...
..
.
สักพัก มันก็หน้าแดง มันเบือนหน้าหนีผม แต่มันไม่ได้คลายมือที่ราวเหล็ก หรือมือที่โอบรอบเอวผมออกไป
.......
......
.....
....
...
..
.
“นี่” ผมเรียกมัน
“.....อื้อ....”
“ถึงต่างคนต่างไปเรียนที่อื่น มึงจะยังเป็นแฟนกูมั้ย?”
มันหันหน้าควับกลับมาทันที หน้ามันยังแดงอยู่ แต่มันคงสงสัยมากจนลืมอาย “มึงถามอะไรหมาๆ แบบนี้วะ”
“เปล่าหมานะ กูเชื่อใจมึง แต่กูไม่รู้อนาคต กูห่วง กลัวมึงไม่รักกู กลัวมึงปันใจให้คนอื่น กลัวมึงเห็นคนอื่นดีกว่ากู” ผมบอกมันด้วยยิ้ม เป็นความคิดจากใจจริงของผม
“มึงกับกูคบกันมากี่ปี” มันถามเสียงเข้ม
“2 ปี” ผมตอบมัน
“มึงเรียนมหาลัยกี่ปี”
“4 ปี”
“เคยได้ยินมั้ย 7 ปีอาถรรพ์?” มันถาม ตอนนี้หน้ามันไม่แดงแหละ
“หือ?........”
“.............................”
มันไม่พูดต่อ มันปล่อยแขนมันจากเอวผม มันดึงมือที่ผมกุมไว้เหนือมันออกไป แล้วมันก็เดินต่อไปตามเรื่อยๆ แบบระวังกว่าเดิม
.......
......
.....
....
...
..
.
หลายครั้ง
ผมเหมือนรู้คำตอบ เหมือนรู้ความหมาย เหมือนรู้...ในสิ่งที่มันพูด
แต่ผมไม่มั่นใจ
ผมมั่นใจในเรื่องอื่นๆ แต่กับมัน...เรื่องที่เกี่ยวกับมัน ผม “ไร้ความมั่นใจโดยสิ้นเชิง”
ผมค่อยเดินตามมันไป จนถึงช่วงหนึ่งที่มันหยุด มันเกาะราวยืนนิ่ง แล้วมองออกไปที่น้ำตก
ผมเดินตามมันทัน แล้วไปยืนอยู่ข้างๆ มัน
.......
......
.....
....
...
..
.
เรายืนอย่างนั้นกันแบบเงียบๆ
ไม่มีใครพูดอะไร
.......
......
.....
....
...
..
.
“ถ้ามึงจะถามว่ากูรักมึงมั้ย? กูก็ทำให้มึงเห็นมาตลอดไม่ใช่เหรอไง มึงยังสงสัยเหี้ยไรอีก” มันเอ่ยขึ้นมาก่อน ตามันทอดมองไปที่น้ำตกแบบไม่วางตา
“รู้ เห็น แต่....แต่ก็ไม่เคยได้ยิน....จากปากของมึง....” ยิ่งพูดผมก็รู้สึกว่าตัวเองมันละโมบโลภมาก อยากได้จากมันไม่หยุดไม่หย่อน
“กู......รักมึง.....มาก่อนมึงบอกรักกูที่หลังโรงยิมอีก....”
โอ้โห ยิ่งกว่าฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางกบาลกูอีกพ่อคู๊นนนน ----- ที่ไหนเมื่อไหร่ ยังไงไม่ทราบครับมึง
“ทำไมไม่บอกว่ะ อุบมันทำไมคนเดียว” ผมบ่นอุบ
“ไม่รู้นิว่ามึงจะอยากรู้”
โห แม่งพูดหน้าตาเฉยเลยนะมึง--------- “เมื่อไหร่ ยังไง?” ว่าจะไม่ถามแหละ แต่อดไม่ไหวว่ะ ขอรู้หน่อยเฮอะ
มันหันหน้ามาจ้องตากับผม “ไม่บอก! ปล่อยให้งง!” พูดจบมันก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผม ...เฮ้ออ------ เอาสาระกับมันได้เกินนาทีนี่ก็ถือว่าคุ้มสุดๆ แล้วล่ะมั๊ง
“มึงนะ!” ผมชี้หน้ามันแบบคาดโทษ
“ฮ่าฮ่าฮ่า” มันหัวเราะร่วน เพราะมันรู้ว่าหากยืนตรงนี้ ผมทำไรมันไม่ได้ พื้นแถวนี้ยังลื่นอยู่ อันตรายเกินกว่าที่จะเล่นกัน
.......
......
.....
....
...
..
.
ยืนมองน้ำตกได้สักพัก ผมก็ว่าเราถึงเวลาสมควรที่จะเดินกลับ ขามาก็ราวๆ เกือบหนึ่งชั่วโมงได้ เดินกลับขาขึ้นจะนานกว่า เลยเรียกมันกลับแต่เนิ่นๆ “ไปกันเถอะ เดี๋ยวกลับบ้านเย็น มึงจะอันตราย”
“อื้อ”
พอมันรับคำผมก็เดินก้าวนำขึ้นไปก่อน แต่พอผมก้าวขึ้นไปที่บนไดที่สูงกว่ามันได้แล้ว ผมก็นึกอยากขออะไรมันสักอย่าง
“นี่” ผมก้มหน้าไปหามัน
“หือ” มันเงยหน้าขึ้นมามองผม
“ขออะไรอย่างดิ๊” ผมบอกมัน
“ทะลึ่ง” มันพูดเสียงดุ คิ้วขมวดเลยด้วย
“เปล่าๆ ไม่ได้จะขอทะลึ่ง ขอนิดเดียวมึงทำได้แหละ แค่หน้าด้านๆ หน่อยเท่านั้นเอง” ผมบอกมันพร้อมหัวเราะร่วนในลำคอ
“...................” มันไม่ตอบ มันจ้องหน้าผม หรี่ตามองแบบพิจารณา
“จริงๆ ไม่เชื่อใจกันรึไงวะ นี่ถ้ากูจะปล้ำมึงน่ะ กูปล้ำมึงไปนานแล้ว ไม่รอจนป่านนี้หรอก กูสัญญา สาบานเลยเอ้า เรื่องที่มึงไม่อนุญาตก่อน กูไม่ทำ!”
“เอออออ------ขอเหี้ยไร พิจารณาก่อนนะ ไมได้ตอบตกลงเลยนะเว้ย” มันพูดแบบเสียมิได้
ผมยื่นฝ่ามือไปหามัน ผมแบมือหงาย รอมัน....มันที่รอมันมาคายหมากฝรั่งบนกระดาษที่อยู่เหนือฝ่ามือผม แต่เวลานี้ผมขออย่างอื่น.....
มันมองฝ่ามือผม สลับกับหน้าผม
สีหน้ามันเหมือนไม่เข้าใจ
แต่ผมรู้ว่าแฟนผมฉลาด
“ขอแค่นี้ได้มั้ย?” ผมบอกสำทับมันอีกครั้ง ทั้งที่ยังแบมือไว้อยู่
.......
......
.....
....
...
..
.
“เออ แม่ง ต้องหน้าด้านมากๆ ถึงทำได้นะเนี่ย!”
มันพูดพลางเอามือที่อยู่ฝั่งเดียวกับผม มาวางบนฝ่ามือของผม
ผมรีบกำมือของมัน กลัวมันเปลี่ยนใจ ผมกำมันไว้แบบไม่หลวมไม่แน่น ไม่ให้มันอึดอัด แต่ให้มันรู้สึกอบอุ่น
ผมฉุดมือมันขึ้น แล้วบอกว่า “ป๊ะ ห้ามสะบัดมือกูนะ เอาให้ถึงรถมึงเลยนะ”
“โอย ฉิบหาย แลวถ้ามีคนเดินสวนมาล่ะ?” มันพูดพลางก้าวขาขึ้นมายืนบนบันไดขั้นเดียวกันกับผม
หน้ามันแดงอย่างเห็นได้ชัด มันเลี่ยงที่จะสบตากับผม
“ถ้ามึงอายก็ก้มหน้าไว้ กูรับหน้าให้เอง ถ้ามึงปล่อยมือกูนะ กูจะถือว่าที่กูสาบานไปเมื่อกี้เป็นโมฆะ ถ้าเป็นงั้น มึงก็ระวังตัวไว้เหอะ เผลอล่ะ พ่อขย้ำแน่”
“ไอ้เลว!” มันพูดพร้อมกระตุกมือที่เราจับกันไว้แรง ให้ผมเจ็บนิดๆ
“อย่าเล่นสิ ทางมันลื่น เดี๋ยวได้กอดคอกันตายกลางเหวนี่หรอก” ผมเตือนมัน
“เลิกพูดๆ เรื่องอื่น มึงนี่พูดไม่รู้จักกาละเทศะ” มันแกว่งมือของผมแรงๆ ให้เปลี่ยนเรื่องคุยใหม่
“หึหึหึ.....นี่”
“ไร....”
“ห้ามเล่นหูเล่นตากับใครนะ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง กูไม่เว้น ไม่แบ่งเพศ มึงแค่เล่นแต่กูไม่เล่นด้วยนะ” ผมชวนมันคุย...เรื่องอื่น
“...เออ...” มันตอบเหมือนรำคาญ
“คิดถึงกูด้วยนะ” ผมบอกมัน
“.....เออ.....” มันตอบลากยาวกว่าเดิม
“โทรหากูอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งนะ” ผมบอกมัน
“เอาทุกวันเลยมั้ยล่ะ” มันทำเสียงท้าทาย
“มึงอย่าท้านะ” ผมขมวดคิ้วใส่มัน
“มึงทำได้ป๊ะล่ะ” น่านยังท้าไม่เลิก
“เชี่ยนี่ ก็กูทำมาแล้ว บอกว่าอย่าท้า มึงเหอะอยู่ให้ติดหอละกัน ไม่ใช่แม่งโทรหาแล้วไม่เจอนะ มึง”
“มึงนั่นแหละ ไอ้คนมารยาทสังคมสูง อย่าให้กูโทรไปไม่เจอนะ”
ดู๊ มันพูด มันดิ ไอ้เทพบุตรมิตรไมตรี ยื่นไมตรีกับคนอื่นไปทั่ว ผมว่ามันมั้ย? เคยว่ามันมั้ย?
“มึงนั่นแหละ”
“มึงนั่นแหละ”
“มึงนั่นแหละ”
“มึงนั่นแหละ”
“มึงนั่นแหละ”
“มึงนั่นแหละ”
.......
......
.....
....
...
..
.
มาถึงตรงนี้
ผมกับมัน เราพอแล้วล่ะ เราเอาแค่นี้แหละ
อาจไม่ถูกใจใครหลายคน
แต่เรื่องของผมกับมัน ไม่มีอะไรหวือหวา จริงๆ นะ
เท่าที่ผมจำได้ ที่ควรจำ ที่จำได้ติดหัว....มันคือสิ่งเหล่านี้ ที่ผมร่ายมาข้างต้น
ที่ผมเล่าทุกเรื่อง มันเป็นช่วงพิเศษของผมกับมัน.....ในความคิดผม
อืม...... หากคุณยังอยากรู้อะไรต่อ ก็เอาเป็นว่า ผมพิเศษให้
คุณถามมา
เดี๋ยวผมจะตอบไป
เอาเท่าที่ตอบได้นะ
งดเรื่องบนเตียงครับ เล่าไม่ได้ “มัน” ถือครับ
โอเคนะ
ขอบคุณมากที่ทนอ่านกันมา
น่ารักกันจริงๆ
.......
......
.....
....
...
..
.
“มึงนั่นแหละ”
“มึงนั่นแหละ”
เอวัง