“ฉันถามว่าใคร !” ครั้งนี้โทนเสียงของเชอร์รีแสดงความไม่ชอบใจขึ้นกว่าเดิม
“เอ่อ ฝน.. ฝนตก อากาศหนาวเลยเอาชามาให้ค่ะ !” เสียงของชะเอมขานตอบคล้ายร้อนรน ผมเหลือบมองไปที่หน้าต่างห้องใกล้ ๆ แต่ไม่เห็นว่ามีฝนอย่างที่เธอว่าจึงลุกขึ้นไปแล้วเปิดประตูหน้าต่างเพื่อตรวจดูให้แน่ใจ และดันพบว่าฝนตกจริง แต่เป็นแค่ฝนปรอย ๆ เท่านั้น ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงฟ้าร้อง
ส่วนอากาศก็ต้องหนาวอยู่แล้ว ก็เปิดแอร์อยู่นี่นะ...
“ยัยนี่..” ผมพึมพำบ่น
“หึ ๆ ๆ” เชอร์รีเผยยิ้ม
“ว่าแต่ ฉันเคยได้ยินเสียงเธอครางรึเปล่านะ ไม่ลองดูหน่อยล่ะ” ผมหยุดยืนตรงหน้าเธอ
“ถ้าเสร็จธุระแล้วฉันขอตัวนะคะ” อีกฝ่ายตัดบทเสียงแข็ง ซิปกระเป๋าถูกรูดปิดอย่างโมโห
“หึ..” ผมหลุดยิ้ม
แกรก ~ผมตรงไปเปิดประตูห้อง คนที่ยืนอยู่หน้าประตูกลับไม่ใช่ชะเอม สมุทรยืนอยู่และยังไม่ถือว่าโกหกทั้งหมดเพราะมีถาดน้ำชามาด้วย เขาสบตาผมเล็กน้อยก่อนหลบสายตาลง เชอร์รีแบกกระเป๋าใบใหญ่ออกจากห้องไปพร้อม ๆ กับสมุทรที่หลีกทางให้
ผมมองเขาที่เดินผ่านผมเข้าไปในห้องโดยไม่ขออนุญาตอย่างเช่นนิสัยที่เขาควรจะทำ นั่นทำให้ผมอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ประตูห้องถูกเชอร์รีปิดลง
“........” ทั้งผมและเขาไม่มีใครเอ่ยปากพูดก่อน อีกฝ่ายดูระมัดระวังการกระทำของตัวเอง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ปลายเตียงแล้ววางถาดชาลง
“นายไม่รู้สินะว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ” ผมพูดขึ้นก่อน สมุทรเงยหน้าขึ้นมองผมในทันที
“ขอโทษครับ” เขาพูดหลังจากทิ้งช่วงเงียบอยู่พักหนึ่ง
“อย่าไปว่าพี่ธานเลยนะครับ ผมเป็นคนขอที่อยู่คุณมาเอง”
“จะไม่ว่าได้ยังไงในเมื่อเวลานี้มันควรเป็นเวลาที่นายควรต้องฟื้นฟูร่างกายและโฟกัสการฝึกซ้อมของตัวเอง ซึ่งทางนั้นก็ควรจะรู้ดี” ผมเท้าเอว จ้องมอง
“........” สมุทรนิ่งไป ผมถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง ตัดบทด้วยการเดินผ่านเขาไปเพื่อเข้าห้องน้ำ รู้สึกอยากล้างมือมาตั้งแต่เมื่อครู่หลังจากที่เสร็จจากงานที่คุยกับเชอร์รีแล้ว
พอกลับออกมาอีกครั้งก็ยังพบว่าเขายังยืนอยู่ที่จุดเดิม อีกทั้งยังไม่มีท่าทีที่จะกลับไป...
“ธุระของนายล่ะ” ผมถาม ฝ่ายหนึ่งไม่ตอบโดยทันที เขายืนนิ่งเงียบและหลบสายตา
“คุณกับทุกคนกำลังจะทำอะไรกันเหรอครับ” สมุทรถาม
“มันไม่ใช่เรื่องของนาย มีหน้าที่อะไรก็ทำไปเถอะ”
“แต่ยังไงผมก็เป็นลูกน้องคุณคนนึงเหมือนกันนะครับ” อีกฝ่ายย้อนตอบด้วยโทนเสียงที่แข็งขึ้น
“หึ..” ผมอมยิ้ม แทบไม่เชื่อหูว่านั่นหลุดออกมาจากปากเขา ผมหันกลับไป แววตาของคนตรงหน้าที่แสดงออก ปรากฏความผิดหวังที่ถูกผมหัวเราะกลับแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความจริงเปลี่ยนไปอยู่ดี
“งั้นก็เข้าใจซะใหม่ด้วย” ผมพูดพร้อมก้าวขาตรงเข้าไปใกล้
“ฉันไม่ได้อยากให้นายมาเป็นลูกน้องฉันแต่แรกอยู่แล้ว ก็แค่..
ใช้นายหาเงินในฐานะนักมวย” ผมพูดบอก สมุทรที่ยืนอยู่ห่างเพียงคืบจ้องผมไม่กะพริบตา และดูเหมือนคำพูดตรงไปตรงมานี้ไม่ได้ทำให้ผู้ฟังตกใจกับสิ่งที่ตนได้ยินมากนัก
“คนแบบคุณ ผมก็พอรู้อยู่แล้วครับ” เขาปัดพลางผลิยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“เข้าใจก็ดีแล้ว งั้นก็ช่วยกลับไปทำหน้าที่ของนายด้วย”
“........” สมุทรนิ่งไป ครั้งนี้ ดวงตาที่จ้องมองผมแข็งกร้าวกว่าเดิม
“หลังจบเวทีนี้ เงินค่าตัวนายมีเหลือเฟือพอให้ฉันหักส่วนที่ฉันควรจะหัก เงินส่วนที่เหลือเป็นของนาย หลังจากนั้นเป็นอิสระ จะอยู่ค่ายฉันต่อก็ได้หรือไปอยู่ค่ายอื่นก็ได้ แล้วแต่นาย” “แต่จากที่ฉันจำได้นายก็ไม่ได้เต็มใจมาอยู่ค่ายฉันแต่แรกอยู่แล้วนี่” ผมแสยะยิ้ม ตัดบทด้วยการเดินตรงไปปิดไฟดวงใหญ่ของห้อง เตรียมตัวพักผ่อน
“คุณมันก็เป็นแบบนี้...” อีกฝ่ายพูดขึ้น ผมหยุดเดิน แต่ยังคงไม่หันกลับไปมอง
“นึกอยากจะพูดอะไรก็พูด” สมุทรขยายความ
“ไม่ดีเหรอ ฉันอุตส่าห์ทำให้นายจ่ายเงินคืนฉันด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องแบกหน้าให้ผู้หญิงคนนั้นมาพูดว่าจะจ่ายให้” ผมย้อน
“ต่อให้ต้องขึ้นชกอีกกี่เวทีเพื่อนำเงินมาคืนคุณ ผมก็จะหาเงินมาจ่ายคืนเองครับ” อีกฝ่ายถลึงตา ไม่พอใจที่ผมเอ่ยถึงบุคคลที่สาม
“อา เข้าใจแล้วครับ แมนจริง ๆ” ผมพยักหน้ารับทราบ ปัดมือส่ง ๆ เพราะอยากจบประเด็น
“รู้ไหมครับว่าผมไม่เสียใจเลยที่พูดกับคุณวันนั้น” สมุทรสวน
“........” ผมเงียบ
“แต่กลับคิดว่าคุณน่าจะเสียใจกับคำพูดของคุณบ้าง ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้...”
“นี่คือธุระของนายงั้นเหรอ” ผมหันกลับไปถาม ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาพูดเรื่องนี้
“ครับ” อีกฝ่ายตอบกลับ ความหนักแน่นในดวงตาที่แทบไม่กะพริบบ่งบอกว่าผู้พูดกำลังข่มอารมณ์ของตนเองอยู่เช่นกัน
“คุณถามผมว่าผมคาดหวังที่จะได้ยินอะไรจากคุณใช่ไหม หึ.. ครับ วันนั้นผมโกหก” สมุทรแสยะยิ้มคล้ายเย้ยหยัน
“ถ้าจะเอาคำขอโทษละก็ ไม่มีให้หรอก ถึงคำพูดฉันมันจะไม่ดี แต่ดันรู้สึกว่าตัวเองพูดเรื่องจริงน่ะ” ผมตอบเสียงเรียบพร้อมผลิยิ้มให้เล็กน้อย
คำพูดของผมครั้งนี้ทำเอาคนตรงหน้าเงียบไปอึดใจ...
“ผมไม่น่ามาเลย” “งั้นก็กลับไปซะสิ” ผมตัดบท บทสนทนาถูกหยุดไว้แค่นั้น
ผมเดินตรงไปที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอนโดยคนที่อยู่ร่วมห้องในตอนนี้ก็ไม่ได้ออกไปอย่างที่ควร แสงจากโคมไฟตรงโต๊ะทำงานซึ่งมีถาดชาวางอยู่นั้นเป็นจุดเดียวที่มีแสงสว่างจากไฟสลัว สมุทรยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดูแล้วคงจะไม่กลับไปง่าย ๆ เพราะคำถามแรกที่หมอนั่นต้องการจากผม เขายังไม่ได้คำตอบ
ครู่หนึ่งผมก็ได้ยินเสียงเลื่อนเก้าอี้ออก ถึงแม้มันจะเบามากแต่เพราะความเงียบสงบภายในห้องจึงทำให้ได้ยินเสียงนั้นชัดเจน การบังคับให้ตัวเองเข้านอนทั้งที่ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกค้างคาในใจเป็นความจำเป็น อาจไม่หลับในทีแรก แต่เพราะร่างกายที่สะสมความเหนื่อยล้ามาตลอดหลายวัน สุดท้ายก็ผล็อยหลับไป พอตกกลางดึกก็รู้ตัวอยู่บ้างว่าตัวเองหลับ ๆ ตื่น ๆ อาจเพราะกังวลหลาย ๆ เรื่องอยู่ลึก ๆ และอีกใจหนึ่งยังสงสัยอยู่ว่าสมุทรยังอยู่ในห้องด้วยหรือไม่
ทุกครั้งที่ตื่น ดวงตาที่หรี่ขึ้นก็ยังพบว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ที่เดิมอย่างนั้นไม่ไปไหน เป็นอย่างนั้นจนกระทั่งเก้าอี้ที่อยู่ปลายเตียงว่างเปล่า สติของผมถูกดึงกลับมาในทันที แต่เมื่อหันไปมองด้านข้างกลับพบว่าสมุทรไม่ได้จากไปแต่นั่งหันหลังอยู่บนเตียงใกล้ ๆ นี่เอง
“........” ผมนอนเฉย ไม่ได้แสดงออกไปว่าตื่นแล้ว แปลกใจเหมือนกันที่อีกฝ่ายนั่งอยู่ใกล้แค่นี้กลับไม่รู้สึกตัว ทั้งที่ปกติความระแวดระวังที่มีในสัญชาตญาณมักจะรับรู้ได้ไวมาก
“โอเค ฉันขอโทษ” ผมเอ่ยพูด
“........” สมุทรหันหน้ากลับมาสบตาผมครู่หนึ่งก่อนหันกลับไป เมื่อตื่นเต็มตาแล้วจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่ง หยิบหมอนอีกใบหนึ่งวางซ้อนกันก่อนเอนหลังพิงหัวเตียง เราต่างเงียบอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังมีเรื่องให้คิด
“ช่วยกลับไปได้ไหม”
“ไม่ครับ” สมุทรตอบโดยไม่เว้นช่วงคิด
“สมุทร นายอยากเห็นฉันเป็นบ้ารึไง แค่พายุคนเดียวก็มากเกินพอแล้ว” ผมเกือบกดน้ำเสียงไว้ไม่อยู่ ขณะเดียวกันหน้าจอโทรศัพท์มือถือของผมที่วางอยู่บนหัวเตียงก็สว่างขึ้นก่อนที่ระบบสั่นจะทำงาน
ตืด ๆ ๆทั้งผมและสมุทรจ้องไปที่หน้าจอซึ่งไม่ปรากฏเบอร์ผู้ที่ติดต่อเข้ามา...
“ฮัลโหล” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ
“ไง..” ปลายสายทัก เป็นคนละโทนเสียงกับที่เคยได้รับสายก่อนหน้านี้
“พวกกูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าให้ทำตามที่กูสั่ง”
“หึ นายกำลังพูดกับฉันเหรอ” ผมพ่นหัวเราะ
“ฉันอุตส่าห์ช่วยให้พวกนายหลุดจากตำรวจพวกนั้นได้ นายควรจะต้องขอบคุณฉันมากกว่านะ” ผมพูด
“ไอ้ไฟ มึงจะลองดีกับกูเหรอ” อีกฝั่งหนึ่งข่มเสียงลงคล้ายหงุดหงิด
เพียะ !!
ผลัวะ !!!!เสียงของการลงไม้ลงมือเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงหัวเราะด้วยความสะใจจากปลายสาย
“มึงอยากเห็นสภาพน้องมึงไหม” มันเย้ย
“ไอ้ไฟ มึงต้องจำใส่หัวมึงไว้ให้ดีว่าสิ่งที่มึงทำมันจะส่งผลต่อสภาพน้องมึง” “........” ผมเงียบฟัง มองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าที่มองผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง เอาแต่จับจ้องผมไม่กะพริบ ในสมองกำลังลำดับความสำคัญด้วยสติที่ควรมี
“กูยังไม่ได้ทำตามสัญญาเลย มึงอยากคุยกับน้องมึงไม่ใช่เหรอ เฮ้ย ! ลากมันขึ้นมา !!”
เสียงลากถูคล้ายการเคลื่อนไหวของร่างกายไปกับพื้นได้ยินชัดเจน ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงหายใจที่หอบแรงอยู่ใกล้ ๆ ผมตั้งใจฟังโดยไม่พูดอะไร ปลายสายเองก็เช่นกัน...
“ให้มันคุยกับพี่มัน !” เสียงเดิมที่คุยกับผมก่อนหน้านี้ตะโกนขึ้น ครั้งนี้เสียงนั้นแว่วไกลออกไป
“พูดสิวะ !” ใครคนหนึ่งสั่ง มันสบถลั่น เสียงลอดออกมาจนสามารถทำให้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมได้ยินชัดเจน
“Tāmen bù huì shuō zhōngwén” พายุพูดภาษาจีนขึ้นโต้ง ๆ ด้วยโทนเสียงกระซิบและรวดเร็ว
“โรงเรียนร้าง ห้าส่วนสี่ พรุ่งนี้จะเริ่มส่งของไปชายแดน”
“อืม พี่รู้แล้ว” ผมขานตอบในลำคอสั้น ๆ ถึงความหมายของคำที่รู้กันเพียงพวกเรา
“ยุจะไป..”
“ไอ้สัส ! มึงพูดเหี้ยอะไรวะ !” เสียงหนึ่งสบถขัดขึ้นก่อนที่พายุจะได้พูดจบประโยค
“ลูกพี่ เมื่อกี้ผมได้ยินมันพูดอะไรไม่รู้ครับ !” พวกมันตะโกนฟ้องอย่างร้อนใจ
“ระยำเอ๊ย” อีกเสียงที่คุ้นหูสบถบ่น
ผลัวะ !!!“หึ ๆ ๆ ๆ” พายุหัวเราะ
“ไอ้เชี่ยนี่ เมื่อกี้มึงพูดอะไร” ลูกพี่มันคาดคั้นด้วยความหงุดหงิด
“I said.. I don’t know anyone as stupid as you guys in my life hahaha !!!” พายุตะโกนลั่น เปลี่ยนภาษากลบเกลื่อนประเด็นก่อนหน้า
“ไอ้สัสสส !!!”
ผลัวะ !!!!“ไอ้ไฟ...” ปลายสายเรียก ครั้งนี้โทนเสียงเกือบควบคุมความโกรธเอาไว้ไม่ได้
“หึ อย่าเพิ่งโกรธเลย เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาโกรธจริง ๆ ของมึงหรอก” ผมยิ้มบอก อีกฝั่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง
“ได้ข่าวว่าน้องมึงเป็นเกย์นี่...” “........” ผมเงียบ
“ก็ประหลาดเหมือนมึง ฮ่า ๆ ๆ” ปลายสายหัวเราะ
“ฮิ ๆ ๆ ๆ” ผมก้มหน้าลง นำมือข้างที่ว่างอยู่ลูบหน้าผากตัวเองขณะหลุดหัวเราะเช่นกัน
“ก็ดี งั้นกูมีอะไรดี ๆ มาเสนอ มึงจะรับหรือไม่รับก็ได้ แต่กูคิดว่ามึงควรจะรับนะ” มันพูดด้วยโทนเสียงที่เป็นไปอย่างตื่นเต้น
“อะไรล่ะ..” ผมสวนถาม
“จะใช้ให้ไอ้ประหลาดอย่างกู สั่งล้มมวยครั้งหน้างั้นเหรอ” ผมแสยะยิ้ม
“........” ปลายสายเงียบไปในทันที
“หึ อุตส่าห์ทำให้ไอ้กล้าล้มมวยได้ทั้งที ครั้งหน้าก็คงไม่เกินความพยายามของมึงหรอกมั้ง” ผมพูดขณะช้อนตาขึ้น เหลือบมองสมุทรที่นั่งอยู่และชะงักไปด้วยความตกใจจากสิ่งที่ได้ยินอย่างเห็นได้ชัด เขาจะตกใจก็คงไม่แปลก เพราะนั่นคือนักมวยคู่ชกคู่แรกที่ขึ้นชกกับเขา
“อย่างแรกตอนนี้ มึงควรเลิกทำตัวเป็นหมาหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่หลังกำแพงได้แล้ว” ผมเตือน
“กริด...มึงไม่ควรเอาน้องกูไปแต่แรก” ผมลดเสียงเย็นลง ปลายสายเงียบสนิทราวกับว่าสายถูกตัดไปแล้วอย่างนั้น
“ตกใจเหรอที่กูรู้ว่าเป็นมึง หึ.. เดี๋ยวกูมีเรื่องที่จะทำให้มึงตกใจได้เยอะกว่านี้อีก ระหว่างนี้ บอกให้คนของมึงดูแลน้องกูดี ๆ ล่ะ” ผมเป็นฝ่ายตัดบทสนทนาแล้วตัดสายลงในทันที เบอร์ต่อไปที่ถูกกดโทรออกคือเบอร์ของคนที่เตรียมตัวรอรับคำสั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ครับคุณไฟ” นิ่งรับสาย
“ลงมือเลย” ผมสั่ง
“ได้ครับ” ปลายสายตอบ น้ำเสียงฉะฉานหนักแน่น เสร็จจากนั้นผมก็กดเบอร์เพื่อจะติดต่อหาอีกคน
“โทรหาใครครับ” สมุทรถามคล้ายรู้ทัน ผมไม่ตอบ เบอร์ของพี่ธานยังถูกกดไม่ครบดี โทรศัพท์มือถือของผมก็ถูกอีกฝ่ายแย่งไป ผมมองนิ่ง ๆ ไม่ได้โมโหอะไร และก็ไม่คิดที่จะออกแรงแย่งคืนมาด้วย
“บางเรื่องนายก็หัวไวดีนะ” ผมชม เอนหลังพิงหัวเตียงตามเดิม สมุทรวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะตรงหัวเตียง
“กลับไปดี ๆ เถอะ ต่อให้ฉันไม่โทรตามให้ใครมารับ นายคิดว่าพวกที่อยู่ข้างล่างนั่นไม่มีวิธีลากนายไปเหรอ” ผมกล่าวถึงพวกของเชอร์รีที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญไม่ต่างจากผู้ชาย
“ให้ผมกลับไปแล้วยังไงครับ ไปเตรียมขึ้นชกเวทีพรรค์นั้นเหรอ หึ..” สมุทรพ่นหัวเราะ ผมเงียบ มองอยู่ครู่หนึ่งเพื่อทิ้งช่วงให้เขาได้ตั้งสติกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้มา
“ที่นายเพิ่งชนะ ไม่มีใครล้มมวยหรอกสมุทร” ผมหมายถึงผลการชกล่าสุดนี้ที่มาจากฝีมือของเขาเอง
“........” คนตรงหน้าเงียบไปและค่อย ๆ ก้มหน้าลง นำฝ่ามือลูบผ่านศีรษะของตนไปถึงท้ายทอยขณะถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์เคร่งเครียด เรารักษาความเงียบหลังจากนั้นอยู่พักใหญ่ เมื่อเขาผ่อนคลายลงแล้วจึงหันกลับมาทางผมอีกครั้ง
“บอกผมมาเถอะครับว่าคุณจะทำอะไร” สมุทรพูด คำพูดแกมสั่งกับน้ำเสียงนุ่ม ๆ นั่นทำให้ผมหลุดยิ้มมุมปากได้นิดหน่อย
“คุณไฟ ผมเหรอครับที่จะทำให้คุณเป็นบ้า คุณต่างหากที่กำลังทำ” เขาต่อว่า
“หายโกรธแล้วเหรอ” ผมสวนถามเบา ๆ อีกฝ่ายชะงัก ดวงตาเขม็งมองมาไม่วางตา
“สมุทร.. ฉันไม่แน่ใจ ว่าจริง ๆ แล้วเราโกรธกันรึเปล่านะ ?” ผมพูดเชิงถาม เขายังคงนั่งนิ่ง ริมฝีปากก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเพื่อให้คำตอบด้วย
ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ ท่ามกลางความมืดที่ปกคลุม มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตร แต่กลับมองเห็นดวงตาคู่ตรงหน้าในความหมายได้ชัดเจน
“ฉันโกรธได้ไหม..” ผมกระซิบถาม แท้จริงแล้วไม่ได้ต้องการคำตอบ ปลายจมูกเกลี่ยเข้าใกล้ปลายคางอีกฝ่ายก่อนวางริมฝีปากลงที่ปากของเขาเบา ๆ
“คุณกับพี่ธานวางแผนจะทำอะไรกันครับ” สมุทรย้ำถามอีกครั้ง ครั้งนี้ดวงตากวาดมองคล้ายอ้อนวอน
“........” ผมไม่ตอบ ทำเพียงแต่เก็บรายละเอียดใบหน้านี้ใกล้ ๆ เท่านั้น
“ยอมนอนกับฉันดูสิ”
“คุณไม่ได้คิดจะทำแต่แรกอยู่แล้ว จะพูดทำไมครับ” อีกฝ่ายตำหนิอย่างไม่ยอมความ คำพูดที่คล้ายไม่แยแสหากผมจะทำจริงและคาดเดาราวกับรู้จักผมเป็นอย่างดีทำให้ผมหลุดหัวเราะในลำคอ
หน้าผากของผมแตะวางลงที่หน้าผากของอีกฝ่าย เปลือกตาของเขาค่อย ๆ หรี่ลงคล้ายจงใจหลบสายตา เมื่อผมหยุดการเคลื่อนไหวจึงสัมผัสได้ถึงลมหายใจเบาบางที่กระทบกัน หากเป็นปกติคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับรู้อะไรเช่นนี้
“อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีก” อีกฝ่ายพูดขณะหลับตาลง โทนเสียงแหบพร่าแทบกระซิบ มือขวาของสมุทรขยับขึ้น วางฝ่ามือนั้นลงที่ข้างแก้มผม
“........” ผมมองสีหน้าของเขาที่ขอร้องออกมาอย่างจริงจังโดยไม่พูดอะไร ทั้งที่ไม่เข้าใจว่า “แบบนั้น” ที่ว่าคือแบบไหน เมื่อไหร่ แต่ที่ไม่ขยายความถามออกไปก็เพราะอ่านออกได้เองว่าคงไม่ใช่สิ่งที่ดี
ดูเหมือนว่าเสียงจากเครื่องปรับอากาศจะเป็นสิ่งเดียวที่ดังที่สุดในตอนนี้...สมุทรช้อนตาขึ้นมองผมอีกครั้งในขณะที่ใบหน้าขยับเข้าหาพร้อมริมฝีปากที่ประทับลงมา เป็นการสัมผัสเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะผละออก ผมจ้องมองการกระทำนั้นโดยไม่พูดอะไร ที่ข้างแก้มยังถูกฝ่ามือนี้โอบอยู่เพราะผมกำลังถูกอีกฝ่ายมองคล้ายพยายามค้นหาบางอย่าง
“อะไร” ผมกระซิบถามไปอย่างนั้นเอง ขยับมือข้างที่เท้าเตียงอยู่นำขึ้นวางลงบนหน้าขาของสมุทร ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปจนถึงลำตัว เจ้าของร่างกายไม่เอ่ยปากทัดทาน ทั้งกลับยังเกลี่ยจมูกลงมาที่ปลายจมูกของผมและหอมลงที่ข้างแก้มเบา ๆ ผมสอดมือผ่านชายเสื้อเข้าไป ปลายนิ้วแตะเข้าที่ผิวเนื้อบริเวณหน้าท้อง อีกฝ่ายก็ประกบจูบมาในทันที
น้ำหนักของรสจูบมากพอให้เกิดเสียงแทรกภายในห้องที่เงียบสงบนี้ ผมลูบไล้ไปจนถึงข้างลำตัว กล้ามเนื้อตรงส่วนนั้นทำให้อดออกแรงบีบไม่ได้ ลมหายใจของเราทั้งคู่เริ่มดังขึ้น ปลายนิ้วที่เกือบจะรุกล้ำขึ้นไปยังลำตัวส่วนบนถูกหยุดเอาไว้ที่ใต้หน้าอกได้ก่อน ปฏิกิริยาทางร่างกายของคนตรงหน้าทำให้ต้องใช้ความหักห้ามใจอย่างมากเพื่อหยุดความคิดเลยเถิด เพราะรู้สันดานของตัวเองดีจึงไม่ควรคิดไปยุ่งกับส่วนนั้น...
ผมผละปากออก หอมลงที่หัวไหล่ของเขาแล้วซบหน้าอยู่อย่างนั้น ในขณะที่มือก็ทำหน้าที่ปลดกระดุมกางเกงยีนส์ของสมุทรออก กระทั่งเสียงของซิปที่ถูกรูดลงก็ยังทำให้ใจเต้นผิดจังหวะ อดคิดไม่ได้ว่าภายใต้กางเกงนั้นกำลังเป็นอย่างไร เสียงลมหายใจที่แหบพร่าถูกปล่อยออกพร้อม ๆ กับร่างกายที่ขยับเล็กน้อยเมื่อผมล้วงมือเข้าไป สมุทรซบหน้าลงที่ไหล่ของผมเช่นกัน มือซ้ายของเขาเก้ ๆ กัง ๆ จับลำแขนของผมไว้หลวม ๆ คล้ายไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับสิ่งที่ผมทำอยู่
ถึงแม้จะไม่ได้สัมผัสถูกเนื้อหนังส่วนนั้นโดยตรง แต่เนื้อผ้าของกางเกงชั้นในก็ไม่สามารถปกปิดความตื่นตัวที่อยู่ภายใต้นั้นได้ ปฏิกิริยานั้นทำให้ผมเองก็รู้สึกร่วม ส่วนหนึ่งแอบโล่งใจที่เห็นว่าร่างกายของเขามีปฏิกิริยา ทั้งยังเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาที...
ผมขยับตัวออกเล็กน้อย กวาดตามองใบหน้าด้านข้างของคนตรงหน้าก่อนหอมแก้มเขา ในขณะที่มือก็เริ่มขยับไปตามแนวของสิ่งที่สัมผัสอยู่ สมุทรหันหน้ามา ริมฝีปากของเขาเผยอออก ผมประกบปากเข้าจูบในทันที น้ำหนักของการจูบรุนแรงขึ้นกว่าก่อนหน้า ปลายลิ้นถูกสัมผัส เสียงลมหายใจของเจ้าของร่างกายเริ่มทักท้วงต่อการกระทำของผมที่ขยับแรงขึ้นพร้อมกับน้ำหนักของฝ่ามือ เมื่อสังเกตเห็นว่าร่างกายเกร็งผิดปกติ ผมจึงชักมือออกโดยทันที
“.........” ผมเงียบมองสมุทรที่นั่งหอบหายใจแรง
“ฉันลืมไป กลัวว่านายจะต้องมาจำใจเสร็จเพราะฉันอีกน่ะ” ผมอมยิ้มมุมปากพูดอย่างเย้ยหยัน พลางปั้นหน้าเสียดายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ทันทีที่บอกสาเหตุของการกระทำที่หยุดลงดื้อ ๆ นั้น สมุทรก็พุ่งเข้ามาอย่างไม่รีรอ มือของผมที่เพิ่งผละจากเขาถูกรวบไปจับไว้ ร่างกายถูกดันให้นอนลง หลังแตะเข้ากับเตียงและหมอนที่อยู่ด้านหลัง เสียงของลมหายใจขณะที่จูบไม่สามารถควบคุมไว้ได้อีก
“ฮะ ~”
สมุทรขยับตัวขึ้นมาบนเตียง แขนอีกข้างที่ไม่ได้จับมือผมอยู่คร่อมไว้กับเตียง จู่ ๆ การเคลื่อนไหวที่เร็วไวก็ถูกหยุดลงจากเราทั้งคู่ คล้ายเรียกสติกันเอง บรรยากาศในห้องจึงเหลือเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศอีกครั้งหนึ่ง
ผมมองโดยไม่พูดอะไรในขณะที่สมุทรค่อย ๆ ก้มลงมาและแนบแก้มของตนลงที่ข้างแก้มผม...
“คุณไฟ”
น้ำเสียงของเขานุ่มเบา ลมหายใจที่กระทบอยู่ระหว่างต้นคอค่อย ๆ ไล่ขึ้นมาจนถึงข้างแก้ม ริมฝีปาก ก่อนจะจูบลงมาอีกครั้ง น้ำหนักของการจูบเน้นหนักขึ้นจนกลายเป็นเสียงแหบพร่าที่หลุดลอดออกมา ผมขยับขาออกข้างหนึ่ง มือขวาจับขอบกางเกงยีนส์ของสมุทรดึงเข้าหาเพื่อให้ร่างกายส่วนล่างของเราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับไม่ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก อีกทั้งไม่คิดที่จะปลดเสื้อผ้าของคนที่คร่อมอยู่เช่นกัน ที่หมอนี่พูดก็ถูก..
ผมไม่ได้คิดที่จะทำแต่แรกอยู่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องการ สิ่งสำคัญในตอนนี้คืออีกฝ่ายจะต้องมีร่างกายที่พร้อมเตรียมตัวขึ้นชกในรอบถัดไปอีกในไม่ช้า และถึงแม้จะรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของความต้องการ ส่วนตัวกลับไม่อยากให้สิ่งที่อยากได้มากที่สุดเกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้
การควบคุมตัวเองเป็นสิ่งหนึ่งที่สัตว์ทำไม่ได้ นี่อาจเป็นข้อตักเตือนให้ตัวเองว่าอย่างน้อยก็ควรระวังการกระทำไว้
“ลองเอาเข้าดูไหม” ผมกระซิบถามขณะที่อีกฝ่ายกำลังหันตัวไปเพื่อขยับกางเกงของตนออก
“........” สมุทรชะงัก หันกลับมามองผมในทันที สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่จะหลบสายตา
“ไม่ครับ” เขากระซิบตอบ โทนเสียงของการปฏิเสธเต็มไปด้วยความสุภาพและหนักแน่น ฝ่ามือที่โอบแก้มผมอย่างอ่อนโยน เหมือนเจ้าตัวพยายามสื่ออยู่ว่าการปฏิเสธนี้ไม่ใช่ไม่ต้องการเช่นกัน
“หึ...” ผมหลุดอมยิ้มมุมปาก ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจรู้ว่าผมลองใจอยู่ก็ได้ หรือไม่.. เขาก็อาจมีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ต่างจากผม แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลข้อไหน บอกปัดไม่ได้ว่านั่นทำให้ผมถูกใจน่ะนะ
กางเกงยีนส์ที่ถูกปลดออกเพียงครึ่งเดียว ไม่ได้หลุดออกจากร่างกายไปทั้งหมด ทำให้เห็นร่างกายที่เกิดปฏิกิริยาจนส่วนปลายนั้นเลยขอบกางเกงในออกมาชัดเจน เจ้าของแสดงอาการเล็กน้อยเมื่อถูกปลายนิ้วของผมสัมผัสที่ส่วนนั้นเบา ๆ การที่ผมไม่ถูกปลดกางเกงชั้นในออกก็เหมือนว่าเขาจงใจให้มันเป็นแบบนี้เช่นกัน มีบางอย่างที่อดคิดไม่ได้ว่าเราทั้งคู่กำลังเกิดคำถามคล้ายคลึงกันอยู่
เสียงลมหายใจ เสียงจูบ เสียงของการเคลื่อนไหวร่างกายของเนื้อที่แนบชิด รับรู้ได้ถึงความร้อนจากภายในที่เครื่องปรับอากาศไม่สามารถช่วยบรรเทาได้ ความร้อนของส่วนล่างที่ถูกเสียดสีจากคนที่คร่อมอยู่ทำให้สติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มือของผมที่ล้วงเข้าไปยังส่วนนั้นอีกครั้งถูกจับล็อกออกในทันทีที่ขยับไปได้เพียงไม่กี่ครั้ง จังหวะหนึ่งร่างกายก็ถูกบดเข้ามาในจุดที่ทำให้รู้สึกมากกว่าเดิม ผมเงยหน้าขึ้นทั้งที่ยังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ ริมฝีปากเผยอออกเพื่อปล่อยลมหายใจ สมุทรจูบลงมา ทันทีนั้นแรงเสียดสีก็รุนแรงขึ้นจึงส่งเสียงออกไปเพื่อบอกเป็นนัยว่ากำลังไม่ไหวเช่นกัน สมุทรรวบมือซ้ายของผมที่จับอยู่ที่ลำแขนของเขาไปกุมไว้ ต่างฝ่ายต่างกดเสียงลงพร้อมกันในจังหวะนั้น ร่างกายแนบอีกไม่กี่ครั้งก่อนที่มันจะกระตุกขึ้นพร้อมกัน
ทุกอย่างสงบลง...
แขนข้างหนึ่งวางลงบนแผ่นหลังของคนที่เพิ่งทิ้งตัวลงมา รับรู้ได้ถึงสิ่งที่ถูกปลดปล่อยออกมาและเปื้อนอยู่บนร่างกายตัวเอง
สติกลับสู่ปกติ ดูท่าจะงานเข้าแล้ว ทั้งผม ทั้งหมอนี่.. ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองเสร็จได้ด้วยอะไรแบบนี้เป็นครั้งที่สองกับคนเดิม
...............(ไฟ)..............
ผู้เขียน:ส่วนตัวคิดอยู่นานว่าบทสุดท้ายของตอนที่ 59 มันควรเป็นแบบนี้จริง ๆ ไหม เราได้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาอยู่หลายครั้ง หลายเดือนที่ผ่านมาแก้พล็อตส่วนของตอนจบเยอะมาก ๆ และก็ทิ้งไอเดียของพล็อตช่วงตอนท้าย ๆ ไปเยอะเช่นกัน แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะคงไว้ที่ไอเดียแรกที่เคยผุดขึ้นมาในหัว ลองเปลี่ยนไปเขียนเป็นมุมอื่นแล้วแต่รู้สึกว่าไม่ใช่ คิดว่าให้จุดนี้เป็นจุดที่ตัวละครยอมหักเหไปในทางเดียวกันค่ะ (จะว่าตัวละครทิ้งอีโก้ตัวเองแล้วแอบทดสอบความต้องการก็น่าจะมีส่วน) ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าคนอ่านจะคิดอย่างไร ฝ่ายคนเขียนขอพูดถึงตอนนี้ไว้เท่านี้ แฮะ ๆ > _ <
ปล. ไม่ได้เขียน nc นานแล้ว ต้องขออภัยหากไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร 555++
.
.
ประกาศแจ้ง: ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 64 - 31 ธันวาคม 64เบบี้ได้เปิดแบบสอบถามเพื่อขอข้อมูลจากคนอ่านเกี่ยวกับนิยาย The Real Me อย่าท้าให้บ้ารัก
สำหรับท่านที่สนใจรวมเล่มนิยายเรื่องนี้...
สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โพสต์ลำดับที่ 16 ของวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ทางลิงก์นี้
แบบสอบถามความสนใจและ/หรือ รบกวนตอบแบบสอบถามด้วยนะคะ
ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะที่ติดตามมาอย่างยาวนาน ใกล้จบแล้วค่า ~
เบบี้