"ที่หนึ่ง" : END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ที่หนึ่ง" : END  (อ่าน 193378 ครั้ง)

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.2 [14.02.16]
«ตอบ #300 เมื่อ14-02-2016 21:21:03 »

บทที่ 18.2


   วันเกิดของผมปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ หลังจากที่เราสลายตัวแยกย้ายกันหน้าร้านอาหารแล้วจึงกลับมาเก็บของอะไรให้เรียบร้อยเตรียมกลับหอ บนอีโค่คาร์คันเดิมมีแค่ผมกับแบล็ค ส่วนไวท์ไม่มีเรียนในสัปดาห์นี้เพราะคณะต้องจัดงานอะไรสักอย่างที่พี่สาวผมไม่มีทางผ่านไปให้ใครเห็นอยู่แล้ว

   "อะ ของขวัญ"

   กล่องกระดาษสีดำสนิทอย่างที่เหมาะกับการเป็นของแจกงานศพมากกว่าถูกโยนมาไว้บนตักของผมตอนที่รถจอดเข้าซองแล้ว คือเข้าใจนะว่าชื่อแปลว่าสีดำ มันก็ไม่ได้หมายความว่าต้องให้อะไรที่ดูเป็นลางขนาดนี้ไหมล่ะ

   "อะไรอะ"

   "ไว้ไปเปิดที่ห้อง"

   "ไม่ใช่ระเบิดใช่ป่ะ"

   "ถ้ามึงเปิดแล้วระเบิดห้องต่อไปอย่างกูก็ตายไปด้วยไหม"

   "แต่มึงให้ของขวัญกูมาแล้วไม่ใช่เหรอ"

   ชุดโมเดลเหล็กรูปโคลอสเซียมในกรุงโรม ราชาช่างสรรหาของขวัญที่แปลกตามาให้ผมได้ประหลาดใจอยู่ทุกปี ถ้าถามว่าผมตั้งความหวังไว้กับของขวัญชิ้นไหนมากที่สุดคงเป็นจากเขานี่แหละ อย่างสองปีที่แล้วที่ซื้อน้องหมีส้มให้อันนั้นก็ถูกใจผมเหมือนกัน

   "มีไม่ได้ให้ไปปีนึง ทบมาปีนี้เป็นสองอย่างแล้วกัน"

   ผมนั่งนิ่งไปพักใหญ่ตอนที่ย้อนกลับไปทวนว่ามีปีไหนที่เขาไม่ได้ให้ด้วยเหรอ ไม่มีทางล่ะ ขืนพี่ชายไม่ให้ผมได้โวยวายบ้านแตกแน่ "มึงให้กูทุกปี"

   "กูไม่ได้ให้ไปปีนึง"

   "ให้กูไล่ให้ฟังไหม?" ถึงจะขี้ลืมแต่สำหรับเรื่องนี้ไม่มีทางลืมหรอก

   "มึงอย่ามาทำเป็นความจำดีกว่าคนรับ ...แล้วนั่นจะเดินไปไหน?"

   ผมคว้าทุกอย่างที่จำเป็นไว้ในมือแล้วปิดประตูรถ สนใจแต่กล่องสีดำในมือจนได้ยินคำทักถึงเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนที่เดินไปยังทางขึ้นตึกอีกฝั่ง

   "ขึ้นห้องไง"

   "ห้องมึงอยู่ตึกนี้"

   "..."

   "วันนี้ไวท์ไม่อยู่ นอนห้องตัวเองไป"

   "แต่ของอยู่ห้องนู้น"

   ชี้ไปยังห้องที่ปิดไฟมืด ลืมไปสนิทเลยว่าห้องของตัวเองอยู่ที่ไหน กลายเป็นความเคยชินไปแล้วที่ต้องอยู่ติดกับใครอีกคนตลอดเวลา

   "ห้องมืดอย่างนั้นรู้ได้ยังไงว่าอยู่ ไม่มีกุญแจห้องมันไม่ใช่เหรอ"

   เสียงโทรศัพท์แผดลั่น แบล็คหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมากดตัดสายพลางบ่นอะไรกับตัวเอง "รู้แล้วไอ้เหี้ย จิกกูเป็นไก่เลย"

   "เดี๋ยวโทรหาหนึ่งก็ได้"

   "ไม่ต้องเลย ห้องตัวเองก็มี" เขาโยนกุญแจห้องที่ผมยกให้ไวท์ใช้ชั่วคราวมาส่งๆ เล่นเอาผมรีบตะครุบไว้แทบไม่ทัน "เน่าจะตายห่า ถ้าคิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเลย อย่ามาเอาแต่พูดว่าจะเปลี่ยนแต่ก็ยังใช้ต่อ"

   "ก็..."

   "ขี้หวงอยากได้เป็นของตัวเองไปหมด เหมือนพี่ไม่มีผิด"

   กุญแจพวงเดิมไม่คุ้นแม้กระทั่งน้ำหนัก ตุ๊กตารูปนางฟ้าที่ถูกใช้งานจนไม่เหลือเค้าเดิมยังคงส่งยิ้มทักทายให้ผมอยู่อย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน ผมเดินเข้าลิฟต์ไปพร้อมกับอีกคนที่ไม่รู้ว่าโดนใครโทรตามจิกจนเสียงริงโทนดังไม่หยุดขนาดนั้น พอถึงชั้นที่เราสองคนอยู่ผมก็เดินเรื่อยๆ ไปจนถึงหน้าห้องของตัวเอง

   กระดาษสีขาวที่ติดด้วยเทปลายสวยเด่นอยู่กลางประตูสีทึม นี่ผมโดนนิติกรเตือนเรื่องไม่จ่ายค่าไฟหรือไง?

   'เปิดกล่องได้แล้ว'

   เห?

   หันมาจะถามว่านี่กำลังเล่นสนุกอะไรอยู่ พี่ชายที่เข้ามาในลิฟต์พร้อมกับผมก็ไม่อยู่ให้ถามเสียแล้ว นี่อย่าบอกนะว่ากำลังเซอร์ไพส์ผมอยู่น่ะ

   ในกล่องสีดำมีเพียงกระดาษโพสอิทสีขาวลายเด็กชายที่ผมเคยได้รับจากที่หนึ่งหลายใบ แต่ละใบมีข้อความเขียนไว้สั้นๆ

   'วันนี้วันอะไรเหรอ'

   'อย่าตอบว่าวันอาทิตย์นะ'

   'มีอะไรจะให้ล่ะ'

   'ไปที่ระเบียงสิ'

   อย่าบอกนะ...

   กล่องสีดำถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว ผมรีบไขประตูห้องแล้วกระโจนไปยังส่วนในสุดของห้องโดยไม่สนใจที่จะเปิดไฟส่วนไหนทั้งสิ้น ความมืดจากฝั่งตรงข้ามฉุดใจผมให้แป้ว

   ไม่ใช่ที่หนึ่งจริงเหรอ

   "เอ๋?"

   กลับหลังหันตั้งใจว่าจะเข้าห้องตามเดิม กระดาษแบบเดียวกันที่ติดอยู่ตรงกระจกก็หยุดผมไว้ตรงนั้น

   'กดตอน 21.34'

   พอมองรอบตัวอีกทีถึงเห็นว่าตรงขอบระเบียงมีสวิทช์ไฟแบบประกอบขึ้นเองวางอยู่ สายที่โยงลับหายไปยังฝั่งตรงข้ามบอกผมไม่ได้ว่ามันไปสิ้นสุดที่ตรงไหน อ่านกระดาษบนกระจกอีกทีถึงนึกขึ้นได้ว่าต้องเปิดดูเวลา หน้าจอล็อคสกรีนโชว์เลข 21.30 หรือหมายถึงผมต้องรอไปอีกสี่นาที

   หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่รู้ว่าเกิดจากการวิ่งเข้าห้องมาหรือว่ากำลังลุ้นระทึกกับสิ่งที่กำลังจะเกิด

   นี่ ตอนนี้ผมคิดคำอธิษฐานเมื่อตอนเย็นออกแล้วล่ะ

   ผมอยากเห็นเขายิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์ให้ผมอยู่อีกฟากตอนที่กดปุ่มไปแล้ว

   พอใจจดใจจ่อกับอะไรสักอย่างโลกก็มักเล่นตลก ผมรู้สึกว่ากว่าเวลาจะผ่านไปแต่ละวินาทีได้มันช่างยาวนานจนน่ารำคาญใจ อยากจะโกงด้วยการปรับเวลาในโทรศัพท์ให้ไปถึงช่วงที่กำหนดไว้เสียเลย ผมจ้องเข็มวินาทีที่เคลื่อนตัวไปตามการเดินทางของกาลเวลาจนกระทั่งมันวนครบถึงเลขสิบสองถึงกดปุ่มเปิดที่อยู่ในมืออย่างไม่รอช้า

   ทันทีที่กระแสไฟทำงานครบระบบ หลอดไฟก็สว่างจ้าท่ามกลางความมืดมิด

   และถึงจะไม่มีร่างของใครที่ผมภาวนาอยู่อีกฝั่งตามที่คิดไว้ หัวใจที่ห่อเหี่ยวมาทั้งวันก็กลับมาพองโตได้ไม่ยาก

   H B D <3

   กำแพงฝั่งตรงข้ามปรากฎเพียงแค่คำสามคำกับอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยหลอดไฟสีอุ่น มีน้องหมีส้มของผมกับเจ้าไอกำลังนั่งข้างกันอยู่ที่ระเบียงโดยที่เจ้าตัวประหลาดไร้ชนิดอยู่ในชุดบาสสกรีนเลข 11 เอาไว้ มือข้างหนึ่งของตุ๊กตาทั้งสองตัวกำลังจับกันโดยที่แขนยาวเก้งก้างอีกข้างของหมีส้มมีลูกโป่งแบบลอยได้สีใสผูกติดไว้อยู่

   ...

   เข้าใจคำว่าดีใจจนพูดไม่ออกก็ตอนนี้แหละ

   "Happy Bir... เหวอ!"

   แค่ได้ยินเสียงก็เตรียมพุ่งเข้าไปหาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง การขยับตัวกะทันหันของผมมันส่งผลให้อีกฝ่ายต้องถอยหนีไปหลายก้าวเพื่อไม่ให้เค้กก้อนเล็กในมือกลายเป็นซาก

   "หนึ่ง"

   แล้วคำขอของผมก็เป็นจริงเมื่อผมได้เห็นเขายิ้มให้ผมอย่างที่วาดหวังไว้ "สุขสันต์วันเกิดครับน้องโรม"

   "...นึกว่าลืมไปแล้ว!"

   "?"

   "ทำไมไม่ไปหา ความจำสั้นลืมทางไปบ้านโรมแล้วรึไง ตังค์ค่าโทรหมดเหรอถึงโทรมาไม่ได้ สามจีไม่มีรถเมล์ก็มีไวไฟฟรีแล้วรู้ป่ะ ไลน์มีมากี่ชาติแล้วทำไมไม่ส่งอะไรมา สติกเกอร์ล้านตัวนั่นหัดใช้ให้คุ้มหน่อยดิ!! "

   "เอ่อ..."

   "ทั้งวันทำอะไรอยู่ฮะ! จับมือถือทั้งวันจนเคสจะสึกอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องรอถึ..."

   21.34

   จะบอกว่าไม่เคยจำก็คงไม่ผิดเท่าไหร่ พอนึกไปมาเลยเพิ่งคิดได้ว่ามันคือเวลาที่เขียนลงในใบสูติบัตรว่ามันเป็นครั้งแรกที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกแห่งนี้

   "...เป่าเค้กก่อนไหม?"

   อยากกจะเอาถังดับเพลิงมาฉีดใส่ ผมเป่าลมออกจากปากไปยังเปลวไฟสีสว่างตามที่เขาขอทันที เมินแท่งเทียนที่ไร้แสงส้มน้ำเงินกลายเป็นเพียงควันสีเทาลอยเฉื่อย ตวัดสายตาไปที่หน้าติดเหวอของเขาแบบคาดโทษไว้เรียบร้อย

   "ให้เวลาแก้ตัวสามวิ หายไปไหนมา"

   "นี่ไม่อธิ..."

   "หนึ่ง"

   "น้อง..."

   "สอง"

   "เฮ้อ..."

   "ส..."

   สัมผัสบาง ที่ชัดเจนในความรู้สึก

   ไม่รอให้ผมพูดได้จบตัวสุดท้าย ที่หนึ่งโน้มตัวลงมาฉวยเอาคำพูดทั้งหมดให้หายไปกับการประทับจูบสั้นๆ แล้วกลับไปยืนเต็มส่วนสูงอย่างเดิม

   "ให้เวลาอธิบายมากกว่านั้นหน่อยไหม?"

   "..."

   ผมยืนค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นเหรอ หรือผมเข้าใจผิดไปเอง...

   นั่นเรียกว่าจูบรึเปล่า

   "เงียบอย่างนี้หมายความว่าไง?"

   "ที่หนึ่งงง..."

   พอผมเรียกด้วยเสียงยานคางแบบนั้นก็ได้เห็นเขาหัวเราะร่ากลับ "อะ ที่หายไปทั้งวันก็..."

   "ไม่ใช่!" ค้านเสียงแข็ง ถึงผมจะไม่เห็นตัวเองแต่ความร้อนที่กำลังกองอยู่บนนั้นบอกผมว่าหน้าของผมต้องแดงมากๆ อยู่แน่ "มะ...เมื่อกี้ทำอะไร!"

   "เมื่อกี้? ไปซ่อนอยู่ที่ห้องแบล็คมา"

   "โอ๊ยยย ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น"

   "อ้าว?"

   "นี่" ชี้มาที่ปากของตัวเอง "หนึ่ง...."

   มีอะไรน่าขำนักหนาถึงได้หัวเราะไม่ยอมหยุดอย่างนั้น เขายื่นกล่องเค้กในมือมาให้ผมถือไว้ ความสับสนวุ่นวายมันมีมากจนยอมรับมาไว้ในมืออย่างไม่อิดออด

   ที่หนึ่งไม่ปล่อยมือออกจากกล่อง แทนที่เขาจะถอยกลับไปอยู่ที่เดิมทั้งร่างกลับชิดผมเข้ามาเรื่อยๆ ทุกอย่างกลายเป็นภาพช้าเมื่อผมไม่ยอมปล่อยให้สักวินาทีเดียวหลุดออกไปจากสายตา ผมเห็นเขายิ้มสดใสกว่าทุกที เห็นว่านอกจากมุมปากที่ยกขึ้นแล้วทั้งนัยน์ตาก็ยังแปรเป็นสระอิตามไปด้วย

   ฟากหนึ่งก็กลัวว่าเหตุการณ์เมื่อกี้จะเกิดซ้ำอีกครั้ง แต่อีกส่วนก็ร้องแย้งว่าผมอยากได้มันอีก

   เราห่างกันนับเป็นหน่วยมิลลิเมตรได้ ลอบกลืนน้ำลายจนอีกฝ่ายหัวเราะในลำคอออกมา ที่หนึ่งจรดจมูกของเขาให้ชิดกับจมูกของผม เอ่ยเอื้อนคำที่เรียกเอาความร้อนทั้งหมดขึ้นมากองบนหน้ายิ่งกว่าเดิม

   "เมื่อกี้เหรอ ...ก็จูบไง"
 


   "สรุปคือวางแผนกับแบล็ค?"

   "ไม่เชิง แค่ให้ช่วยรายงานว่าถึงคอนโดแล้วเฉยๆ"

   "แล้วทำไมไม่ส่งอะไรมาเลยทั้งวัน"

   "เพื่อนให้ไปช่วยงาน คนที่เป็นกัปตันบาสอะ ส่งด่วนตอนหกโมง"

   เค้กเพียงแค่ชิ้นเดียวกินไม่กี่คำก็หมด ถึงผมจะเพิ่งผ่านการเลี้ยงฉลองมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วช็อตเค้กสตอเบอรี่ก็ยังคงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแป้งโมเลกุลเล็กในลำไส้ผมได้ไม่ยาก

   "แสนดีจังนะ"

   "กลัวกลับมาจัดห้องไม่ทันจะตาย"

   "ทีหลังไม่เอาแบบนี้นะ อันตรายอะ" ถัดจากระเบียงมีปูนยื่นออกมาไม่มากเท่าไหร่ ก้าวพลาดนิดหน่อยก็ได้ลงไปแนบพื้นคอนกรีตต่อด้วยสวัสดียมบาลได้สบายๆ

   "พูดอย่างนี้แสดงว่าพี่จะได้ทำอีกใช่ไหม?"

   "อย่าโมเม"

   "พูดแล้วไม่คืนคำสิ นี่ใครทำให้เหรอ" เขายกมือของผมขึ้นโบกไหวๆ

   "พี่นิช"

   "สวย รีเควสลายเองรึเปล่า"

   "คิดว่าอย่างโรมจะเลือกลายอะไรอย่างนี้?"

   เค้กร้านนี้มันต้องใส่กัญชาลงไปแหง ผมเปลี่ยนจากฟีลลิ่งหงุดหงิดงอแงทั้งวันมาเป็นดอกไม้บานยามเช้า ขนาดเขาดึงแขนของผมไปจับๆ ลูบๆ ตรงรอยวาดอยู่อย่างนั้นมาหลายนาทีก็ยังไม่โวยวาย

   "แอบคิดนิดหน่อย"

   "เออ ไปเอาน้องส้มกลับเข้ามาเลยนะ เอาไปใช้ไม่ขออนุญาต" 

   "น้องอยากช่วยเองต่างหาก"

   "โดนบังคับแหงๆ"

   "จริงๆ นะ น้องส้มบอกว่าอยากมีส่วนร่วมในการเซอร์ไพรส์ด้วย"

   "โกหกตกนรก"

   ทำตาจิกใส่คนที่นั่งถัดไปบนโซฟา เขาหัวเราะอยู่อย่างนั้นเหมือนโดนกัญชามาไม่ต่างจากผม บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างที่ไม่ต้องมีเครื่องทำความร้อนใดๆ

   "สาบานได้เลย"

   "ไม่เชื่อ"

   "เอ้า ไม่อยากเชื่อก็ไม่เป็นไร"

   "คนผิดห้ามเถียง!"

   "พี่ทำอะไรผิดตอนไหน?"

   "ผิดมาก! นี่คิดว่าจะมาอวยพรคนแรกด้วยซ้ำ!!"

   ยิ่งกว่าเด็กอยากได้ของเล่น พาลใส่ทุกอย่างที่ขวางหน้า ผมเตรียมร่ายยาวเป็นบทสวดสรภัญญะไว้แล้ว เพียงแต่พอเห็นเขาขยับมุมปากจนเป็นการยิ้มเล็กๆ แบบนั้นผมก็ไม่กล้าพูดต่อ ผมชอบเวลาที่มีที่หนึ่งสไมล์สไตล์อยู่บนหน้า ไม่ใช่ยิ้มหวานจ๋าหรือว่าสว่างจ้า แต่เป็นยิ้มที่บอกว่าเขากำลังมีความสุขขนาดไหน ไม่เหมือนตอนนี้ที่เขาเหมือนมีอะไรอยากพูดออกมาแต่ก็กลบความต้องการของตัวเองด้วยการยิ้มให้ผม

   "...เป็นอะไร เหนื่อยเหรอ?"

   "เปล่าๆ เมื่อกี้ถามว่าทำไมไม่ส่งมาเป็นคนแรกใช่ไหม ทีแรกก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นแหละแต่คิดไปมาแล้วมันเบสิคไปอะ อยากได้เวลาอื่นที่มันพิเศษกว่านั้น"

   "นี่ไปเอาเวลาเกิดมาจากไหน ถามแบบจริงจัง"

   "ก็บอกแล้วว่ารู้หมดแหละ"

   ที่ผมบอกว่าเขาแปลกไปนิดหน่อยคงแสดงออกผ่านประโยคนี้มากที่สุด ถึงผู้ชายไม่เคยแพ้จะยิ้มกว้างมากแค่ไหนผมก็บอกตัวเองได้ว่านั่นเป็นการยิ้มที่ฝืนเสียเหลือเกิน ที่หนึ่งเป็นพวกที่แสดงออกผ่านสายตาออกมาเยอะ มันคงเป็นเรื่องของสภาพแวดล้อมที่ผมโตมาด้วย อย่างไวท์นี่ถึงพยายามอ่านความรู้สึกผ่านสายตาหรือท่าทางมากแค่ไหนถ้าไม่ใช่ระดับผู้เชี่ยวชาญอย่างฝาแฝดแล้วล่ะก็อ่านยังไงก็อ่านไม่ออกหรอก ผมตั้งใจเรียนวิชานี้มาตั้งแต่เด็กจนถึงทุกวันนี้มันก็ยังไม่ผ่านหลักสูตรเบื้องต้นเสียที เลยกลายเป็นว่าต้องเอามาปรับใช้กับคนอื่นในชีวิตเสียมากกว่า

   "ให้ตอบใหม่ เร็ว"

   "ความลับ"

   "ที่หนึ่ง!"

   เสียงโวยวายของผมแปรผันตรงกับความสุขของเขา พอผมเรียกชื่อเต็มๆ ก็ยิ่งหัวเราะคิกคักมากเข้าไปอีก

   "คุยกับน้องก่อนนน อย่าเล่นมือถือสิ"

   "อีกแป๊บนะ"

   กล้าดียังไงมาคุยกับคนอื่นต่อหน้าผม ฉวยโอกาสที่เจ้าของยังคงใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างจิ้มอะไรบนหน้าจอแย่งโทรศัพท์มาไว้กับตัวเอง "ถ้าไม่ตอบก็กลับห้องไปเลยนะ"

   "น้องโรม"

   "กว่าจะมาก็ช้า ยังจะมาเล่นอะไรอยู่นั่น" สวมวิญญาณนิชดุ

   "โรมครับ..."

   มองโทรศัพท์ในมือของตัวเอง ถึงเห็นว่าเขาไม่ได้คุยอะไรกับใครอยู่อย่างที่คิดไว้ มันเป็นการแสดงคำสั่งส่วนที่ผมไม่ค่อยได้เห็นบ่อยเท่าไหร่นักเพราะตัวเองไม่ชอบโพสอะไรลงเฟสบุ๊ค


   Happy Birthday to you


   ไม่มีรูปภาพ ไม่มีการแท็ก ไม่มีอะไรที่เป็นการบอกใบ้ว่าเขากำลังอวยพรให้ใคร ผมช้อนตาขึ้นมามองเดือนคณะผู้ยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เก้อแถมยังทำปากมุบมิบจากการที่โดนจับได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่

   "ไม่ชอบใช่ไหมล่ะ กดแคนเซิลไปก็ได้นะ"

   "..."

   "พี่ขอโทษ อย่ามองอย่างนั้นสิ" มีการก้มหน้าสำนึกผิดอีกด้วย ถ้าลงไปกราบได้ผมว่าเขาก็ทำ "ก็อยากเก็บไว้ดูบ้าง..."

   ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ ส่ายหัวระอาใจกับความเป็นเด็กน้อยสุดกู่ ใช่อยู่ว่าผมไม่ชอบการโพสอะไรลงโซเชียล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมต้องห้ามคนอื่นให้เห็นด้วยในแบบเดียวกับผม เมื่อตอนหลังกินข้าวนิชเองก็ถ่ายรูปรวมแล้วก็อัพเดตลงเฟสบุ๊คไปเหมือนกัน ผมจะไปสั่งให้ลบก็คงไม่ใช่ นั่นเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ต่างฝ่ายต้องเคารพให้ดี

   กดแป้นลบตัวอักษรโดยมีเสียงงอแงเป็นซาวน์เอฟเฟค รำคาญคนตัวใหญ่กว่าที่ชะโงกมาจนหน้าเกือบติดจอเลยถอยมาจนสุดขอบโซฟา ยกมือถือขึ้นขนานกับใบหน้าป้องกันไม่ให้มีใครชะโงกหน้ามาดูอีก เครื่องของเขาไม่ได้ปิดเสียงปุ่มกดไว้มันเลยมีเสียงติ๊กๆ ทุกครั้งที่นิ้วของผมสัมผัสหน้าจอ ทุกครั้งที่มีเสียงกดที่หนึ่งก็ร้องเสียงหลงประหลาดๆ จนผมหยุดแกล้งไม่ได้

   สนุกสนานจนเป็นที่พอใจแล้วถึงกดแป้นพิมพ์รัวๆ ตามด้วยปุ่มโพส ผมส่งโทรศัพท์คืนให้เขาไป มืออีกข้างหยิบอดีตชิ้นของหวานที่เหลือแต่ฟลอยด์รองฐานไปทิ้งที่ถังขยะหน้าห้อง ลอบมองจากที่ไกลๆ ว่าเขาจะทำหน้ายังไงตอนที่เห็นว่าหน้าวอลล์ของตัวเองมีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมา
 
   เห็นแก่เซอร์ไพรส์ชิ้นแรกในชีวิตหรอกนะ

   One Teenueng
   Happy Birthday to R



***
   สวัสดีวันวาเลนไทน์ค่ะ มีใครปล่อยทิ้งวันนี้ให้หมดไปด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้องทั้งวันแบบเจ้าบ้างคะ (ฮา)
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.2 [14.02.16]
«ตอบ #301 เมื่อ14-02-2016 21:34:00 »

หวานๆสั้นๆ

ออฟไลน์ kung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.2 [14.02.16]
«ตอบ #302 เมื่อ15-02-2016 21:33:22 »

ที่หนึ่งมาเหนือจริงๆ น่ารักที่สุดเนอะ ว่ามั้ยน้องโรม คนดีๆเก่งๆหล่อๆช่างเอาใจแบบที่หนึ่งอย่าปล่อยให้หลุดมือนะน้องโรม สู้ๆแม้พี่ๆจะน่ากลัวทุกคน555 o13

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.2 [14.02.16]
«ตอบ #303 เมื่อ16-02-2016 15:55:04 »



ที่หนึ่งน่ารักมาก... ก็เข้าใจอารมณ์โรมนะ
แต่ถ้าเจอที่หนึ่งเซอร์ไพรส์แอทแท็คเข้าไป ถ้าอีป้าเป็นน้องโรม อีป้าก็ตายค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
รออ่านตอนต่อไปค่ะ ^^  :กอด1:


ออฟไลน์ GMJeam

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.2 [14.02.16]
«ตอบ #304 เมื่อ22-02-2016 22:31:36 »

เซอร์ไพรสในเวลาเกิด สุดๆอ่ะ

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.2 [14.02.16]
«ตอบ #305 เมื่อ23-02-2016 20:56:28 »

โฮยยยยย ที่หนึ่งน่ารักก

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 19 [26.02.16]
«ตอบ #306 เมื่อ26-02-2016 20:53:29 »

บทที่ 19
 
   เสียงจากนาฬิกาแบบตั้งโต๊ะแผดลั่นเรียกให้หลุดออกจากนิทรา ผมครางฮึมฮัมในลำคอด้วยความรำคาญใจจากการถูกขัดจังหวะผ่อนคลาย เอาหมอนใบใหญ่มาอุดหูไว้กั้นเสียงที่ยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็ง

   “หนึ่ง ปิดเสียงหน่อย”

   พูดอู้อี้อยู่ใต้หมอน เปลือกตาไม่ยอมขยับห่างออกจากกันเสียที

   "ฮืมมม เดี๋ยวตื่นแล้วน่า"

   นอกจากเสียงแสบแก้วหูจะยังไม่ยอมอันตรธานไป ผมยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือเสียงเขายุ่งวุ่นวายกับการจัดเก็บห้องในตอนเช้าเช่นทุกที ความง่วงที่ยังคงครอบงำไว้บอกให้ผมรอไปอีกสักพักก่อน เดี๋ยวก็มีคนมาจัดการให้เองอย่างทุกที จนในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้

   "ที่หนึ่งงง ทำไมไม่ป..."

   เสียงแหบหายไปในลำคอ ยามลืมตาตื่นขึ้นมามองสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้วเพิ่งรู้ตัวว่ามันไม่ใช่พื้นที่ที่เคยคุ้น บนเตียงขนาดใหญ่มีเพียงตุ๊กตาสีส้มนอนยิ้มต้อนรับอรุณอยู่เพียงตัวเดียว ไม่มี 'ใคร' ที่เป็นเจ้าของเจ้าตัวประหลาดสีม่วงและเป็นเจ้าของความอบอุ่นแสนอ่อนโยน

   ไม่มีอีกแล้ว

   ใจหายวาบกับสิ่งที่เป็นอยู่ ผมยกมือขึ้นมาจับหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองไว้โดยไม่รู้ตัว รอยนูนจากแผลยังคงย้ำเตือนถึงการตัดสินใจของตัวเองว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้คือเรื่องจริงไม่ใช่โลกแห่งความฝันอย่างแน่นอน

   มันบอกว่าผมไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้อีกแล้ว

   นาฬิกาที่ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุดปลุกผมออกจากภวังค์ เอื้อมมือไปกดปุ่มที่นูนขึ้นมาด้านบนเป็นการปิดเสียง เข็มวินาทีที่ยังคงเดินต่อไปไม่มีหยุดพักร้องเรียกให้ผมยอมขยับตัวแล้วจัดการกิจวัตรส่วนตัวให้เสร็จเรียบร้อยถ้าไม่อยากไปเรียนคาบเช้าสาย

   อยากจะยื้อทุกการเคลื่อนไหวให้ช้ามากที่สุด กฎของเวลาช่างน่าชังจนผมอยากลองหายตัวไปอยู่มิติอื่นที่มีการเคลื่อนไหวของกาลเวลาที่เฉื่อยกว่านี้ ภาพสะท้อนในกระจกยังคงเป็นผมคนเดิมที่ไม่ค่อยเหมือนเดิมสักเท่าไหร่ หน้าตาอิดโรยเป็นผลต่อเนื่องมาจากอาการเบื่ออาหาร ผมสีน้ำตาลถูกย้อมกลับไปเป็นสีเข้มเกือบติดดำ มันสั้นลงกว่าเดิมเยอะพอควรเพราะความคิดชั่ววูบที่แล่นเข้ามาในหัวเมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่แล้ว

   อยากรู้เหรอ?

   แค่ไม่อยากนึกถึงมือของเขาที่คอยจัดแต่งให้ก็เท่านั้น

   จัดการอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จสรรพ ปรบมือสามครั้งเป็นการให้รางวัลตัวเองที่สามารถผ่านภารกิจภาคเช้าไปได้อย่างเข้มแข็ง ก้าวช้ายิ่งกว่าการเดินจงกรมที่เคยโดนฝึกสมัยเด็กลงจากพื้นที่ชั้นสองของบ้าน จนถึงโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ที่มีเพียงสาวผมยาวสีรัตติกาลนั่งอ่านหนังสือโดยมีอาหารเช้ารออยู่พร้อม

   “สายนะ”

   ไวท์เงยหน้าขึ้นมาทักสั้นตามแบบฉบับของตัวเอง

   “อือ โทษที”

   “พรุ่งนี้จะไปปลุก”

   “ไม่เป็นไร โตแล้ว"

   รู้ทั้งรู้ว่าเหตุผลที่ใช้มันเป็นเพียงข้ออ้าง แท้จริงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความต้องการของตัวเองที่อยากให้สิ่งสุดท้ายที่เขาให้ยังมีความหมายอยู่ในชีวิตของผม

   "โตแล้วก็ไม่ควรสาย"

   "เมื่อคืนนอนดึกน่ะ อ่านหนังสือ"

   "เหรอ"

   "ก็ดีกว่าไม่นอนน่า"

   ตะครุบปากก็คงไม่ทัน ผมช้อนตาขึ้นมามองฝั่งตรงข้ามของโต๊ะตัวใหญ่ เธอไม่แสดงออกถึงความไม่พอใจหรือว่าอาการอื่นใด ไวท์ยังคงทานอาหารเช้าของตัวเองต่อไปไม่มีสะดุด อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ ที่เผลอพูดอะไรที่ไม่ควรออกไปชะมัด สีขาวไม่ได้ทำอะไรผิด อาจเป็นผมที่ไม่ชินกับการพูดมากกว่าปกติอยู่พอสมควร แต่นั่นก็เป็นผลมาจากการที่ผมเงียบเองอยู่บ่อยครั้งจนคนอื่นต้องเติมให้บาลานซ์ต่างหาก

   “อนุญาตให้โดดเรียน”

   “หืม?”

   เธอรักผมมากที่สุด รักมากกว่าใครทั้งนั้น ใต้ใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกยังคงเต็มไปด้วยความอาภรณ์ สีขาวรวบช้อนส้อมไว้ทางด้านข้างของจานเป็นสัญลักษณ์เพื่อบอกว่ามื้ออาหารนี้ได้จบลงแล้ว

   “ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป” เราต่างเงียบไปทั้งคู่ พอเห็นว่าเธอวางมือลงแล้วผมก็เลยทำบ้าง ถึงบนจานของตัวเองจะพร่องไปเพียงไม่กี่คำก็ตาม "ทำอะไรที่อยากทำบ้าง"

   พี่ไวท์ไม่เคยขัดใจอยู่แล้ว ไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่เข้าสู่โหมดโอ๋น้องเลเวลสูงสุด นิช เน็ท หรือแม้กระทั่งแบล็คเองขอเพียงแค่ผมเอ่ยปากออกมาไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ในบางอารมณ์ผมก็คิดว่าพวกเขาก็แค่อยากไถ่โทษที่ไม่สามารถดูแลผมได้ล่ะมั้ง พี่ที่ดูแลน้องไม่ได้อย่างที่ถูกสอนไว้

   "ไม่ล่ะ" ผมตีกลับคำเสนอชัดเจน "โรมโตแล้ว"

   ไม่ใช่การย้ำแบบไร้จุดหมาย  คำว่าโตแล้วของผมคือผมควรเป็นคนจัดการเรื่องราวที่ตัวเองก่อไว้ เมื่อเลือกที่จะทำอย่างนี้แล้วก็ไม่มีทางไหนที่ให้แก้ไขอดีตได้ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือต้องก้าวเดินต่อไปให้ได้

   "งั้นก็เลิกมือบอนกับนั่น"

   พี่สาวชี้ไปที่ปฏิทินแบบแขวนทำมือขนาดใหญ่ รู้ได้โดยง่ายว่าตอนนี้วันที่เท่าไหร่แล้วเพราะเมื่อหมดวันหนึ่งผมก็จะเอาปากกาเมจิคหัวใหญ่สีดำมาขีดฆ่าทิ้ง มีวงกลมสีแดงขนาดใหญ่วงไว้ที่วันสุดท้ายของเดือน

   จำนวนวันที่บอกได้อีกนัยว่าเขาเดินจากผมไปนานแค่ไหนเช่นกัน

   พาลคิดไปถึงกอดสุดท้ายแล้วก็น้ำตารื้นมาเสียอย่างนั้น ผมสูดลมหายใจเข้ายาวๆ เรียกสติให้กับตัวเอง ท่องบอกไว้ว่าในเมื่อตัวเองเห็นแก่ตัวเกินกว่าที่จะตัดสินใจ เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับมัน

   ยอมรับว่าในวันนี้ผมไม่มี 'ที่หนึ่ง' แล้ว
 


[หกสัปดาห์ก่อน]

   "แบล็ค วันนี้กูไปข้างนอกนะ"

   "แล้ว?"

   "บอกไว้ไง"

   "ที่หนึ่ง?"

   "..."

   "มึงรู้ไหมว่าการเงียบทางกฎหมายบางทีคือการยอมรับนะ"

   มองราชาดันแว่นสายตาที่ไม่เห็นมานานแล้วขึ้นไปอยู่บนสันจมูกตามเดิม เขายังไม่ละสายตาจากหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนาตรงหน้ามาหาผมที่ยืนตัวลีบอยู่ไม่ไกล ผมยังคงติดนิสัยรายงานตัวกับคุณพ่ออยู่ตลอด ถึงอายุจะเลยเข้ามาถึงเลขสองแล้วก็เถอะ

   "อืม หนึ่งไปด้วย"

   "ไปไหนล่ะ"

   "ไปซื้อหนังสือ แล้วก็อาจแวะไปซื้อขนมต่อ"

   "โอเค"

   "มึ..." บอกตัวเองให้ปิดปากให้สนิท ผมไม่ควรย้อนกลับไปหาคำถามที่ฝั่งตรงข้ามเคยให้คำตอบเอาไว้แล้ว นี่คือวิธีเลี้ยงน้องในแบบของเขา คิงบนบัลลังก์ต้องรักษาสัจจะไว้ให้ได้

   "อ้าว น้องโรมลงมาแล้วเหรอ"

   หันไปทางม่านตาข่ายไว้กันยุงที่แหวกออกจากกัน เห็นที่หนึ่งเดินออกมาสบายๆ พร้อมน้ำเปล่าในมืออีกขวด ผมมองเขาสลับกับว่าที่เจ้าของบ้านกันไปมา จนแบล็คปิดหนังสือลงอย่างที่ไม่ต้องหาอะไรมาคั่นไว้ มันเป็นวิธีการฝึกสมองตัวเองให้จดจำว่าอ่านถึงหน้าไหนแล้ว เป็นการคั่นเอาไว้ในความทรงจำ ไม่ต้องกลัวเรื่องที่คั่นหายหรือหนังสือมีรอบพับมุม ไม่น่าแปลกใจที่เขาเรียนนิติศาสตร์ได้เลยใช่ไหมล่ะ เคยลองเลียบแบบอยู่พักหนึ่งแต่ไม่ค่อยเวิร์คเลยกลับไปใช้ที่คั่นตามเดิมดีกว่า สบายใจดี

   "เห็นยืนเป็นสล็อตเกาะรั้วอยู่นานแล้วเลยเรียกเข้ามารอข้างใน"

   "แบล็คคค"

   "เรียกชื่อกูมากๆ เดี๋ยวไม่ให้ไปนะ"

   เจอขู่อย่างนั้นเข้าไปก็เงียบสิครับ ผมไม่ดื้อกับคนขี้รำคาญให้โง่หรอก

   ใช้คำถามเป็นการทักทายแรก "ทำไมไม่บอกว่าถึงแล้ว"

   "ส่งไลน์ไปบอกแล้วนะ ไม่เห็นล่ะสิ"

   "ขนาดตั้งปลุกไว้รัวขนาดนั้นยังไม่ได้ยิน คิดว่าจะรู้ไหมว่าไลน์มา?"

   ผมนัดกับที่หนึ่งไว้ตอนสิบโมง ส่วนเวลาในมือถือตอนที่ผมตื่นขึ้นมามันก็ไม่ค่อยห่างกันมากเท่าไหร่ เก้าโมงสี่สิบเจ็ดนาที นาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ไม่รู้ทำไมไม่ยอมทำงาน หรือทำงานจนเต็มความสามารถไปแล้วเลยเลิกทำก็ไม่รู้

   "บอกแล้วว่าให้ฝึกตื่นเอง เดี๋ยวจะซื้อนาฬิกาปลุกไว้ให้"

   "มีคนปลุกทุกวันสบายจะตาย"

   "กว่าจะตื่นพี่ต้องเรียกกี่รอบ"

   "แล้วเมื่อกี้ไปไหนมา" เบี่ยงประเด็นก่อนที่ผมจะโดนนาฬิกาปลุกมนุษย์ที่บ้านเล่นงาน ถึงอยากจะเถียงกลับไปใจจะขาดก็เถอะว่าปกติแล้วเขามาปลุกครั้งแรกๆ ผมก็ตื่นทุกทีนั่นแหละ แค่นอนต่อเนียนๆ ให้ปลุกต่อไปต่างหาก

   "ไปกินน้ำมา บ้านน้องโรมใหญ่อะ มาครั้งที่สองแล้วยังหลงอยู่เลย"

   "เฮ้อ หลงไม่เท่าไหร่ ระวังไปเหยียบกับระเบิดแล้วกัน"

   "หา?"

   เห็นเขาร้องเสียงหลง ผมเลยได้ทีสร้างเรื่องต่อ "รู้ป่ะว่าคุณพินิจทำงานอะไร บ้านนี้มีปืนซ่อนไว้เพียบ"

   "พอเลย เลิกแหย่มันได้แล้ว"

   "มึง มาคอนเฟิร์มหน่อยว่าบ้านนี้แม่งคลังอาวุธชัดๆ"

   "ไม่มีหรอกระเบิดน่ะ" เจ้าบ้านอย่างสีดำลดความน่ากลัวของบ้านหลังนี้ให้ลดลงไปมากโข ตามด้วยการเพิ่มตัวเร่งเข้าไปอย่างไม่ปราณี "แต่หลังรูปตรงนั้นมีมีดสปาต้าอยู่"

   "ทิวา!"

   "ไม่เชื่อไปพลิกดู น้องเอ๋อ ห้องนี้มี .38 อยู่ตรงนั้นอีกใช่ป่ะ" เขาชี้นิ้วไปทางตู้โชว์ถ้วยรางวัลของตัวเองที่ได้จากการแข่งเทนนิสเยาวชน ผมเองจำไม่ได้หรอกว่ามีซ่อนไว้อยู่ตรงไหนบ้าง เคยทำการวิจัยแล้วก็พบว่ามันมีการเปลี่ยนที่ทางอยู่บ่อยครั้ง

   "ใช่ๆ ตอนนั้นที่มึงกับกูทำสมุดจดกันอะ" แต่ถ้าเพื่อนรักลำดับหนึ่งช่วยชงแล้วก็เล่นต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน

   "แล้วจะกลับบ้านกี่โมง จะได้เตรียมข้าวเย็นถูก"

   "ยังไม่ชัวร์เลย"

   "งั้นสรุปคือกลับมาทันข้าวเย็น จะได้ให้แม่บ้านเตรียมเพิ่มไว้อีกที่"

   เขาอ่านหนังสือมากไปจนไม่รู้วิธีจับใจความสำคัญหรือไง ผมบอกว่ายังไม่ชัวร์ นั่นคือห้าสิบห้าสิบ ไหงมันเด้งกลายเป็นร้อยเปอร์เซนต์ไปได้

   "เพิ่มทำไม"

   "เย็นนี้จองตัวนะที่หนึ่ง มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษป่ะ เดี๋ยวกูไปบอกให้" ถ้าผมจะไม่มีตัวตนขนาดนี้ล่ะก็นะ แบล็คนี่มีระบบปิดเสียงหรือไงถึงทำเป็นไม่สนใจทุกอย่างรอบตัว แล้วเกิดอะไรขึ้นมาถึงไปชวนหนึ่งมากินข้าวเย็นด้วย

   "ไม่ล่ะ เอาที่สะดวกเลย "นี่ก็ช่วยเก็บอาการดีใจไว้ให้มิดหน่อยไหมล่ะ

   "คุณพินิจก็น่าจะกลับมากินทัน"

   "คุณพินิจด้วยเหรอ!?" ร้องเสียงหลง แค่ชวนมาทานข้าวด้วยก็น่าตกใจมากพอแล้ว นี่ยังบอกว่าคุณพินิจจะกลับมากินด้วยอีก ผมกังวลว่าไวท์จะไม่พอใจที่มีคนอื่นอยู่ในบ้านน่ะสิ จะว่าไปผมยังไม่รู้เลยว่าหญิงสาวคนเดียวของบ้านนี้อยู่ข้างไหนเรื่องที่หนึ่ง ใช้วิธีของแบล็คอุปมาเอาได้ไหมนะ เงียบคือการยอมรับ

   "ลูกชายไปรบกวนคนอื่นไว้เยอะ ต้องตอบแทนบ้างสิ"

   เข้าใจที่หนึ่งเลยว่าทำไมไม่ปฏิเสธออกไป ราชาไม่ชอบให้ใครขัดใจ คำสั่งคือ 'ต้อง' ทำตาม ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ แน่นอนแล้วว่าตอนเย็นผมจะต้องรีบกลับมาบ้านให้ทันหกโมงครึ่งซึ่งเป็นเวลาตั้งโต๊ะอาหารของบ้าน

   ด้วยความประมาทขั้นสุดของผมเองที่ไม่ยอมซื้อหนังสือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จนกลายเป็นว่าหนังสือหมดสต็อกไปแล้ว พอใกล้จะสอบอย่างตอนนี้ผมเลยต้องมาตระเวนหาหนังสือทางบัญชีขั้นสูงไว้ใช้เรียนโดยมีวิญญาณตามติดอีกหน่อคอยไปรับไปส่ง

   "แล้วถ้าที่นี่ไม่มีจะทำยังไง"

   "ก็ต้องยอมซีรอกซ์ล่ะมั้ง ไม่อยากทำเลยอะ"

   ผมไม่ชอบหนังสือที่ถูกถ่ายเอกสารแล้วจัดทำให้เป็นเล่มใหม่ ตามร้านที่มหาลัยเขาชอบใช้กระดาษคุณภาพต่ำอย่างที่เขียนไปนิดหน่อยก็มีรอยหมึกขึ้นเป็นปื้น ไม่ต้องพูดถึงไฮไลท์ที่ทะลุไปอีกสองหน้ากระดาษสบายๆ

   "ซีไปตั้งแต่ต้นก็จบแล้ว เอาของพี่ไปจะได้ไม่ต้องจดใหม่ด้วย"

   "ไม่ชอบบบ"

   "ไม่ยอมเตรียมพร้อมเองแล้วยังมาบ่นอีกน่ะ"

   โดนขยี้ผมไปอีกที เล่นเอาที่จัดทรงมาไม่เหลือซากอารยธรรมความตั้งใจของผม "อย่าเล่นหัวสิ มันเซตยากนะ"

   เส้นผมสีน้ำตาลของเราไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่ความหนาของเส้นกับกรรมพันธุ์ผมหยักศกมันก็เสกให้รังนกมาสร้างอยู่บนหัวของผมได้เสมอ น่าอิจฉาพวกผมเส้นเล็กแล้วยังอยู่ในโอวาทเจลแต่งผมอย่างเขาจัง

   "อะๆ จัดให้ใหม่"

   มือของที่หนึ่งใหญ่แล้วก็อบอุ่น คุณพี่ผู้สวมวิญญาณช่างทำผมขยับมือไปมาเพื่อจัดเส้นผมให้เข้าที่ ความคล่องแคล่วที่เกิดจากการที่ผมเป็นหุ่นให้เขาดูแลมานานพอสมควรมันเลยจบด้วยการที่ผมหยิกๆ ของผมกลับไปสู่สภาพเดิมได้อย่างง่ายดาย

   "ขอบคุณฮับ ...งืออออ" ร้องประท้วงที่เขาหยิกแก้มจนยืด

   "ขอบคุณทำไมต้องยิ้มขนาดนี้"

   "นิชสอนว่าเวลาขอบคุณให้ยิ้มด้วย"

   "นี่บอกว่าเป็นแม่ก็เชื่อนะ"

   "ใช่ นั่นแม่นิช"

   ตำราเลี้ยงลูกฉบับนิชนี่โคตรพิสดารอะบอกเลย

   เขาน่าจะรู้ดีว่าผมไม่ได้พูดเล่นนะ ผมคิดมาตลอดว่าถ้านิชมีลูกจะต้องเป็นเด็กที่ดีมากๆ แน่ เล่นมีคุณพ่อที่เต็มไปด้วยความพิเศษอย่างนั้น อย่างผมยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้การสอนของนิชมันไม่สามารถหยั่งรากลึกไปถึงแก่นในได้

   "แล้วมีพ่อกี่คนแล้วฮะ"

   "สาม" พ่อจริง คุณพินิจ แล้วก็แบล็ค

   "ใช่เหรอ?"

   "...สี่ก็ได้" ถ้าจะเสนอตัวขนาดนั้นผมนับเป็นพ่อให้อีกคนก็ได้ "คุณพ่อทูลหัวที่หนึ่ง"

   "พี่ไม่ใช่พ่อสักหน่อย"

   "อ้าว แล้วอีกคนมาจากไหน"

   "พ่อตา"

   "?"

   "พ่อของพี่ก็ต้องเป็นพ่อตาของน้องโรมสิ"
 

***
ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 19 [26.02.16]
«ตอบ #307 เมื่อ26-02-2016 21:00:38 »


   นี่มันปีชงของผมแน่เลย

   นอกจากจะนาฬิกาไม่ปลุก เจอที่หนึ่งหยอดมุกเพลียโลก แล้วยังต้องมารับรู้ว่าความตั้งใจของตัวเองกำลังทลายลงเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าตอนนี้คือภาพเด็กมหาวิทยาลัยใจกลางเมืองกำลังเอื้อมมือไปคว้าหนังสือที่ผมดั้นด้นมาหาไว้ในอ้อมแขน แถมยังเดินฉิวไปยังเคาท์เตอร์จ่ายเงินแล้วอีก

   "เล่มสุดท้ายเหรอ..."

   ท่ามกลางหนังสือวิชาการหลายสีหลายขนาดเกิดเป็นช่องว่าง บอกว่าพื้นที่ตรงนี้เคยมีสิ่งใดวางอยู่

   "ลองหาดูก่อนสิ"

   "ไม่มีแล้วอะ" ค่อยไล่ไปทีละเล่มก็ยังไม่พบสันหนังสือเป็นชื่อหนังสือที่ผมต้องการ "ฮือ..."

   "ค่อยๆ ดูไป เดี๋ยวพี่ไปถามพนักงานให้ว่ายังมีสต็อกเก็บไว้อยู่รึเปล่า"

   เข้าสู่ห้วงความคิดที่ถามตัวเองอยู่นั่นว่านี่ปีชงหรือว่าผมไปทำอะไรผิดไว้ถึงโดนเล่นงานอย่างนี้ คือผมลงทุนมาถึงที่นี่เลยอะ โรมไม่มีทางมาศูนย์หนังสือที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินไปมายั้วเยี้ยอย่างนี้แน่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อะไรคือการที่ผมมาถึงแล้วกลับไม่มีสิ่งที่ผมต้องการล่ะ

   จากที่ไล่หาจากชั้นเดียวกันก็ขยับไปทั้งบนล่าง ลามไปถึงชั้นวางข้างๆ ด้วยเลยแล้วกัน จากตู้แรกก็ขยับไปตู้ที่สอง สาม และสี่ตามลำดับ

   "เขาบอกว่าบนชั้นมีแค่นั้นแหละ"

   แผนที่ผิดไปจากที่คิดไว้มากดูดพลังความศรัทธาของผมไปมาก ผมที่ไม่พร้อมจะสู้กับความเป็นปีชงนอกราศีได้อีกแล้วก็บอกความต้องการของตัวเองที่อยากจะหาที่นั่งพักเหนื่อยสักหน่อยค่อยกลับบ้านไป

   "อะ มีอะไรจะให้"

   ผมรับมันมาไว้กับตัวเอง ก้มลงมองหนังสือเล่มหนาที่เป็นต้นเหตุของการเดินตะลุยในวันนี้กับกล่องกระดาษลายตารางขนาดเกือบเท่าฝ่ามือ

   "ไหนบอกหมด?"

   "ไม่ได้บอกว่าหมด บอกว่าบนชั้นหมดแล้วแต่หลังร้านยังมีสต็อคอยู่"

   "หนึ่ง!"

   "คิก ไม่ทำหน้ายู่สิ" นิ้วอีกฝ่ายจิ้มมาตรงกลางหน้าผาก “รอยย่นขึ้นหมดแล้วน่ะ”

   “เพราะอยู่กับหนึ่งนั่นแหละ”

   "น้องโรมทำจนเป็นนิสัยแล้วต่างหาก"

   "แล้วนี่อะไรอะ"

   "เปิดสิ"

   วางหนังสือเล่มหนาลงบนโต๊ะ มือทั้งสองข้างช่วยกันแกะกล่องกระดาษออกจนเห็นของข้างใน "นาฬิกา?"

   ยกเครื่องบอกเวลาสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเขียวให้เขาดู เหมือนเคยเห็นที่คล้ายแบบนี้อยู่ในห้องแบล็คเมื่อก่อน จำไม่ได้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เครื่องกลชนิดนี้หายไปจากความทรงจำของผม

   "จะได้ไม่ต้องอ้างนู่นนี่อีก"

   ที่หนึ่งแม่งคนจริง บอกว่าจะซื้อก็ซื้อ "ประชดรึเปล่า"

   "เปล่า น้องโรมต้องหัดตื่นเองบ้างสิ"

   "อยู่บ้านแบล็คก็ปลุก อยู่หอหนึ่งก็ปลุกอยู่แล้วนี่"

   "ก็เผื่อวันนึงพี่ไม่ได้ปลุกแล้วไง" เขาคลี่ยิ้มจาง "เดี๋ยวกลับไปอยู่ห้องตัวเองก็ต้องตื่นเองให้ได้นะ"

   "..."

   คำพูดจุกอยู่ที่คอ การบอกไม่ต่างอะไรกับที่เขาเคยพูดในหลายครั้ง คนมีชนักติดหลังอย่างผมก็อย่างนี้แหละ พอพูดอะไรหน่อยก็ร้อนตัว

   ตอนนี้ผมคิดภาพตัวเองกลับไปอยู่คนเดียวในห้องเดิมไม่ออกสักนิด

   "ใช้แบบนี้แหละจะได้ไม่ต้องอ้างว่านาฬิกาไม่ปลุกอีก"

   "ยังไม่ได้กลับสักหน่อย" พูดกับตัวเองเบาๆ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องที่ต้องกลับไปนอนที่ห้องเลย การมีรูมเมทมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้ ตอนแรกเคยคิดว่าผมจะต้องเผ่นกลับตั้งแต่วันแรกๆ กลับกลายเป็นว่าอยู่ได้โดยราบรื่นเสียจนลืมไปเลยว่าห้องที่อยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ห้องของตัวเอง

   "พูดว่าอะไรนะ?"

   "พูดว่าหนึ่งขี้บ่น"

   "ยังไม่ได้บ่นอะไรเลยนะ เออใช่" เขาก้มลงหาของบางอย่างในกระเป๋าสะพายข้าง กล้องโพราลอยด์สีดำสนิทเป็นเงาเลื่อมวางลงบนโต๊ะ "มาเป็นนายแบบให้หน่อย"

   "ไหนพูดใหม่"

   "ถ่ายรูปกัน"

   "ไม่"

   ผมเกลียดการถ่ายรูปยิ่งกว่าอะไรดี ถ้าเป็นรูปเดี่ยวนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยนับนิ้วได้ แล้วนี่ยังจะมาถามอีกว่าถ่ายรูปไหม ตลกล่ะ

   “ค่าหนังสือ”

   มีการทวงอีกน่ะ ผมล้วงกระเป๋าเงินของตัวเองเตรียมหยิบเงินคืนคนขี้งก “เอาไปเลย!”

   “ไม่รับ”

   อีกฝ่ายยกมือขึ้นกอดอกไว้ไม่รับแบงค์ที่ผมยื่นให้ แลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนใส่ จะเอายังไงกับผมกันแน่เนี่ย

   “หนึ่งงง รับไปสิ”

   “ซื้อให้”

   “ไม่เอา”

   “แค่ยิ้มแป๊บเดียวเอง คุ้มจะตาย”

   ค้อนหน้าเหวี่ยง เห็นผมเป็นคนเห็นแก่ได้ขนาดไหนกันถึงคิดว่าผมจะยอมแลกหน้าจืดๆ กับหนังสือเรียนราคาเกือบสามร้อย

   “ไม่ชอบ หน้าตลก”

   เน็ทชอบล้อว่าผมหน้าประหลาด แล้วมันก็จริงเวลาถ่ายรูปรวมกันหน้าของผมมันจะตลกมากเมื่อเทียบกับคนอื่น จนผมชอบทำหน้านิ่งมากกว่า

   “ไม่เห็นตลกเลย นี่ไง”

   อะไรคือการโชว์รูปผมแบบที่เห็นแล้วฟันธงได้ร้อยเปอร์เซนต์ว่ามันเป็นรูปแอบถ่ายอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่ามันเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจน่ะ เออ ก็ดี สไลด์รูปอื่นให้ดูด้วย นั่นมันสมัยผมเข้ามหาลัยใหม่ๆ นี่หว่า ยังหัวตลกไม่เข้าทรงอยู่เลย

   "ถ่ายเมื่อไหร่"

   น่าจะเพิ่งรู้สึกว่ากำลังเผาตัวเองอยู่ ที่หนึ่งสะดุ้งโหยง ตะครุบโทรศัพท์ของตัวเองกลับไปพลัน รู้สึกตัวช้าไปไหมนั่น...

   "แหะๆ"

   "ที่ หนึ่ง"

   "ถ่ายพี่ก่อนก็ได้มา"

   วิธีการเฉไฉที่ไม่เนียนที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เขายัดกล้องสีดำตัวเดิมมาไว้ในมือของผม

   เฮ้อ ตีหน้ามึนเก่งจริง

   ผมยกกล้องขนาดกำลังดีขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา หลับตาลงข้างหนึ่งให้เห็นเพียงผ่านช่องมองภาพขนาดเล็ก ที่หนึ่งที่ผมเห็นยามปกติกับการมองผ่านกระจกใสไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

   "จะกดถ่ายแล้วนะ"

   "หน้าโอเคไหมๆ"

   "ถามอะไรช่วยสงสารเบ้าหน้าคนถ่ายหน่อยได้ไหมล่ะ"

   ทำปากยื่นหมั่นไส้พวกหน้าตาดี ผมสไลด์ด้านล่างขวาของมือถือตัวเองให้เปลี่ยนจากการพักหน้าจอเป็นกล้องถ่ายภาพ ให้พ่อรองเดือนมหาลัยได้เห็นความดีงามบนใบหน้าตัวเองจนพอใจ

   "อิจฉาพวกดีเอ็นเอหน้าตาตีจริง"

   "น้องโรมน่ารักจะตาย"

   "เอาคำอื่นได้ไหม ทำไมชอบใช้คำว่าน่ารัก" คุณพินิจก็ชอบบอกว่าผมน่ารักนะ ก็ผมเป็นน้องเล็กของบ้านนี้นี่นา แต่กับที่หนึ่งผู้ซึ่งพูดคำว่าน่ารักพร้อมออร่าฟรุ้งฟริ้งรอบตัวมันดูน่าสยองชอบกล

   "ก็น่ารักจริงนี่ นี่หน้าเหมือนพ่อหรือแม่"

   "เหมือนคนข้างบ้าน"

   "พี่หน้าเหมือนพ่อ"

   "หล่อทั้งบ้านล่ะสิ"

   "แม่ชอบพูดอย่างนั้นนะ" เขาไม่เคยอวดหรือถือตัวข่มคนอื่น ทั้งที่คนอย่างเขามีอะไรให้โชว์เต็มไปหมด แล้วยังไม่ชอบยอมรับว่าตัวเองหน้าตาดีแค่ไหนด้วย "แล้วพี่โรมเหมือนพ่อหรือแม่ล่ะ?"

   "แบล็คแอนท์ไวท์อะนะ"

   "อื้ม"

   ผมนิ่งไปพักหนึ่งจึงตอบตามที่ตัวเองรู้สึก "...ไม่รู้"

   "ไหงงั้นล่ะ"

   "เดี๋ยวเย็นนี้เจอคุณพินิจก็รู้เองนั่นแหละ ยังจะถ่ายรูปไหม"

   "ถ่ายครับ"

   "ยิ้มสิ"

   เสียงกลไกทำงานตามที่ตั้งไว้ ผมมองแผ่นฟิล์มค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากตัวเครื่อง มันยังคงเป็นภาพที่ขาวขุ่นไร้ซึ่งภาพสะท้อนใด

   "หนึ่ง ทำไมเป็นอย่างนี้อะะะ" โวยวายไว้ก่อนนี่แหละผม ที่หนึ่งตื่นตกใจกับอาการของผมจนกระทั่งเขาดีดนิ้วเป็นการบอกว่าเข้าใจแล้วว่าผมต้องการจะสื่ออะไร

   "รอก่อนสิ นี่ไงมาแล้ว"

   "อ้าว"

   จากฟิล์มขาวขุ่นเริ่มเห็นเป็นสีสันที่แตกต่างกัน ผมจ้องดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจนกระทั่งปรากฎรูปที่ไม่ต่างจากในกรอบกระจกเล็ก เพิ่งรู้ว่ามันมีกลไกอะไรแบบนี้ด้วย

   ผมไม่ชอบถ่ายรูป และบ้านเราก็ไม่มีใครชอบการถ่ายภาพเลยสักคน ในตัวบ้านจะมีก็แต่รูปรวมหลักๆ จำพวกวันจบการศึกษาหรือไม่ก็วันสำคัญๆ อย่างช่วงหนึ่งก็จะมีรูปแบล็คกับรางวัลที่เขาได้อยู่เต็มไปหมดตามอารมณ์เห่อลูกของคุณพินิจ พอมาเจอของที่ต่างไปจากการใช้กล้องดิจิตอลทั่วไปผมเลยไปต่อไม่ถูก เอาน่า ตอนนี้ผมก็รู้วิธีใช้แล้วไง

   และภาพที่ออกมามันสร้างหนึ่งคำถามขึ้นมาในหัว ว่าเขายิ้มอย่างนี้ให้กล้องหรือให้คนหลังกล้อง

   เพราะถ้าเขายิ้มให้ผม ทำไมมันถึงเป็นการยิ้มที่แล้งความสุขเสียเหลือเกิน

   ทุกองค์ประกอบมันรวมกันเป็นภาพที่สวย มันเป็นรูปที่เขายกมุมปากขึ้นสูงทั้งสองข้าง แต่ทำไมพอลองมองดูอีกทีผมกลับเห็นแต่รอยเจ็บปวดบนนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขายิ้มอย่างนี้ ตั้งแต่ที่ผมเห็นเขายิ้มอย่างนี้ให้ในวันเกิดของผมมันก็เผยบนใบหน้าเขาบ่อยครั้งจนผมเผลอหงุดหงิดใส่ไปหลายรอบ

   มันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปนเปกันมากเกินไป

   "ตาน้องโรมแล้ว เร็ว"

   "มันต้องออกมาตลกแน่เลยอะ"

   จนถึงตอนนี้จะให้ดื้อไปก็คงไม่มีประโยชน์ ดีไม่ดีเดี๋ยวโดนแอบถ่ายรูปอาจจะแย่กว่าอีกก็เป็นได้

   "ยื่นหน้ามา หัวไม่เป็นทรงอีกแล้วนั่น" ทำตามที่เขาสั่ง อย่างกับมีมือวิเศษที่เสกให้ผมของผมเข้าทรงได้อย่างง่ายดาย "บอกแล้วว่าให้ใช้มูสก่อนออก"

   "ไม่ชอบ"

   "พอหัวยุ่งก็บ่น"

   "ตัวเองบ่นก่อนไหมล่ะ"

   จอมยุ่งไม่มีใครเกิน ตอนแรกก็แค่บ่นเรื่องที่ผมไม่ชอบใช้โลชั่นหรือครีมอะไรดูแลผิว โยนของใช้ล้านแปดที่อยู่ตรงชั้นวางเครื่องบำรุงมาอยู่ในความดูแลของผม จะไม่ใช้ก็เสียดายของเปล่าๆ ไหนบอกว่าใช้แล้วดีขึ้น ผมยังไม่เห็นใครชมบ้างเลย มีเขาอยู่หน่อเดียวนี่แหละที่ภาคภูมิใจกับผลงานของตัวเอง

   "โรมก็อยู่ได้มาตั้งนานแล้ว"

   "เปลี่ยนตัวเองได้สิ เดี๋ยวก็กลายเป็นตาลุงก่อนวัยหรอก"

   "ตาแก่ขี้บ่น"

   "ทำไมชอบบอกว่าพี่แก่" ยิ่งพอเขาทำหน้าไม่พอใจแล้วเห็นว่ามีรอยย่นตรงหน้าผากจางๆ นั่นแหละที่ผมบอกว่าเขาแก่ ที่หนึ่งหยิบกล้องขึ้นมาเตรียมถ่ายผม "ไม่ยิ้มเหรอ"

   "ไม่อะ นี่คือโรมสไตล์"

   ครึ่งหน้าของเขาที่ไม่โดนเครื่องถ่ายโพลารอยด์บังกลั้นขำสุดกำลัง ปากเขาขมุบขมิบพูดกับตัวเองแบบไร้เสียง จะอ่านปากก็อ่านไม่ออกเพราะเขาพูดเร็วจนเกินไป

   ให้สัญญาณหนึ่งสองสามตามปกติตามมาด้วยการกดปุ่ม ที่หนึ่งล้อเลียนท่าตกใจของผมด้วยการทำตาโต อ้าปากกว้าง พร้อมชี้ไปยังแผ่นฟิล์มขนาดครึ่งฝ่ามือที่ยังคงเป็นสีขาวขุ่นไม่ต่างจากที่ผมเห็นในตอนแรก เออ ใช่สิ ผมมันเด็กบ้านนอกไร้ความสามารถเรื่องเทคโนโลยีนี่

   "เป็นไงบ้าง?"

   เขาไม่ยอมโชว์ให้ผมดูว่าหลังจากที่สารเคมีมันทำปฎิกิริยาเรียบร้อยแล้วภาพของผมที่ปรากฎบนนั้นออกไปในทางไหน คนแก่ขี้บ่นดูภาพนั้นแล้วยิ้มคนเดียวอย่างกับคนสติไม่เต็ม มีอะไรตลกนักหนา

   "จะซื้ออะไรไปฝากที่บ้านไหม ไวท์น่าจะชอบของหวานนะ"

   ร้านคาเฟ่ชอบมีของหวานเอาไว้ล่อลวงเงินในกระเป๋า ผมส่ายหัวไปมา ไวท์น่ะเกลียดของหวานจะตายไป กินอยู่ได้แต่น้ำชาแบบที่คนแก่ชอบกิน ตัวเลยเล็กแค่นั้นไง "ไม่ต้อง เอารูปมาให้ดูก่อน"

   รูปที่ผมไม่รู้ว่าน่าเกลียดหรือพอดูได้ ยืดสุดตัวเพื่อแย่งสิ่งที่อยู่ในมือเขามาไว้กับตัวเอง ที่หนึ่งไม่ยอมให้ความต้องการของผมเป็นจริงได้ง่ายๆ ความสูงที่ต่างกันอยู่แล้วก็กลายเป็นผมเขย่งกระโดดข้ามโต๊ะแบบไม่กลัวว่าจะทำความเสียหายให้ตัวร้าน

   "ชู่ว ไม่กลัวคนอื่นมองเหรอ"

   "ไม่ เอารูปมาดู" เวลาที่ผมอยากได้อะไรแล้วผมไม่สนอะไรทั้งนั้นแหละครับ "พี่หนึ่ง ...เฮ้ย!"

   จังหวะที่ผมกระโดดพลาดจนหน้าเกือบฟาดโต๊ะไม้ไปนั้นเขาเผลอปล่อยสิ่งที่อยู่ในมือ แผ่นฟิล์มร่วงหล่นลงสู่พื้นโดยมีมือของผมตามติดไปอย่างรวดเร็ว ยังไงผมก็ต้องเห็นหน้าตัวเองว่าแย่แค่ไหนให้ได้

   ถึงจะคิดว่าตัวเองพุ่งตัวไปเร็วแล้วแต่ก็มีอีกมือเร็วกว่า ไม่ใช่ที่หนึ่งเพราะมือนี้เล็กกว่าเยอะ ผมโค้งตัวตามเพื่อขอบคุณในทันที

   "ขอบคุณ...ครับ"

   คำสุดท้ายเกือบไม่ได้ออกมาเป็นเสียง เมื่อตรงหน้าของผมมันสร้างความตกตะลึงให้จนไม่อาจจะเรียกสติทั้งหมดให้กลับมาอยู่กับตัวเองได้ กระพริบตาถี่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองว่าไม่ได้ตาฝาดหรือว่าเป็นเพียงคนหน้าเหมือน

   ...ผมอยากหลอกตัวเองว่านี่มันไม่ใช่เรื่องจริง

   เมื่อคนตัวสูง รูปร่างบอบบาง ผมสีดำเป็นทรงเดียวไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีแล้วก็ตามคือคนที่ผมไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกครั้งเร็วอย่างนี้

   "อ้าว" อีกฝั่งดูไม่ค่อยตกใจอย่างผมมากนัก สิ่งที่ถูกส่งต่อมาก็คือยิ้มแห้งติดเย็นชาจนเป็นเอกลักษณ์ "บังเอิญจังเลยนะ"

   "...เกรย์"


***
   หายไปสัปดาห์หนึ่งเต็มๆ เลยค่ะ ขอโทษนะคะ /โค้ง เจ้าติดงานต้องออกต่างจังหวัดเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนค่ะเลยไม่ได้เอามาลง แล้วก็ยังแต่งไม่เสร็จด้วยค่ะ (ร้องไห้) พอมาสัปดาห์นี้งานก็เทลงมาแบบไม่เกรงใจร่างกายพังๆ นี่เลย กว่าจะมาลงได้เลยเป็นวันศุกร์แล้ว ขอโทษจริงๆ นะคะ
   ตอนนี้ก็มาอีกตัวละครนึงแล้ว ดูจากชื่อแล้วพอจะเดากันได้ไหมคะ เรื่องนี้จะเดินต่อไปทางไหนมาลุ้นกันต่อไปนะ (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 19 [26.02.16]
«ตอบ #308 เมื่อ26-02-2016 21:06:26 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DE SaiKuNee

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-9
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 19 [26.02.16]
«ตอบ #309 เมื่อ26-02-2016 22:43:13 »

 :katai2-1: :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 19 [26.02.16]
« ตอบ #309 เมื่อ: 26-02-2016 22:43:13 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 19 [26.02.16]
«ตอบ #310 เมื่อ03-03-2016 00:47:34 »

ตัวละครลับโผล่มาแล้ววววววว แล้วทำไมที่หนึ่งกับน้องโรมต้องแยกกันนนนน รอตอนต่อไปนะคะ^^

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.1 [05.03.16]
«ตอบ #311 เมื่อ05-03-2016 23:26:57 »

บทที่ 20.1
 
   "น้องโรม รับโทรศัพท์ของแบล็คเถอะ"

   "ไม่"

   ปล่อยให้เครื่องมือสื่อสารของตัวเองเคลื่อนตัวไปมาตามแรงสั่น ผมหยิบหูฟังไว้ส่วนมืออีกข้างก็ถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์ของรูมเมทชั่วคราวมาไว้กับตัวเอง กดปุ่มตรงกลางให้หน้าจอที่พื้นหลังเป็นรูปตุ๊กตาปรับแต่งดีเอ็นเอสองตัวนั่งอยู่ข้างกันปรากฎขึ้น สไลด์พาสเวิร์ดที่จำได้จนขึ้นใจจากการใช้หลายต่อหลายครั้ง

   "มันสั่นอย่างนั้นมาหลายนาทีแล้วนะ"

   "เดี๋ยวแบตหมดก็เลิกสั่นเองนั่นแหละ"

   บอกกลับสบายๆ เลื่อนเปิดหาเกมส์โปรดของตัวเองที่มีอยู่ในเครื่องของที่หนึ่งเหมือนกัน ส่วนหูฟังก็แค่ใส่เพื่อลดระดับการได้ยินเท่านั้น ไม่ได้หาเพลงอะไรฟังหรอก

   ไม่อยากรับก็ยังโทรมาอยู่นั่น

   ที่หนึ่งเองคงปลงตกกับสงครามเย็นของเราพี่น้องแล้วถึงคว้าโทรศัพท์ที่ยังไม่หยุดสั่นของผมไปปิดการแจ้งเตือนเสีย เปิดกล่องกระดาษจากร้านหกสิบบาทที่ผมซื้อมาวางไว้เฉยๆ แล้วยัดมันลงไปไม่ให้เห็นอีก

   "ถ้าแบล็คมาเคาะประตูน้องโรมไปเปิดเองเลยด้วย"

   "ไม่เปิด"

   เสียงถอนหายใจด้วยความระอาบอกได้ว่าเขาเหนื่อยกับครอบครัวของผมแค่ไหน ราชาถ้าลองให้โกรธแล้วมีแต่เสียกับเสีย แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากเจอใครทั้งนั้นอะ เห็นหน้าแล้วก็คิดถึงคนที่เพิ่งกลับมาเมื่อช่วงปลายอาทิตย์ที่แล้ว

   แม่ง แค่นึกถึงหน้าก็หงุดหงิด

   Coming call : คุณพ่อตา

   อะหือ นี่เล่นเมมไว้ด้วยชื่อนี้เลยเหรอ

   จากภาพลูกกวาดหลายสีกำลังระเบิดต่อเนื่องจากไอเทมกลายเป็นหน้าของผู้ชายสีดำกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่สักที่ในมหาวิทยาลัย ดูท่าแล้วคงรู้ว่าโทรหาผมต่อไปก็คงไม่มีการตอบรับใดๆ ถึงเปลี่ยนไปโทรหาที่หนึ่งอย่างนี้

   "เป็นการเมมชื่อที่แย่มากเลยรู้ไหมหนึ่ง"

   พลิกไปให้เขาดูว่าใครโทรมา ที่หนึ่งผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้งก่อนตอบผม

   "รับไปเถอะ พี่ไม่อยากโดนราชาสั่งประหาร"

   "มันไม่ทำหรอกน่า"

   "ตื่นเช้ามาวันพรุ่งนี้ห้องอาจเหลือแค่ครึ่งเดียวก็ได้ใครจะรู้"

   สงสารเหยื่อผู้โดนลูกหลง อยู่กับผมผมก็ระเบิดอารมณ์ใส่ไปหลายรอบ นี่ยังต้องมาเจอพี่ชายของผมโทรตามจิกอีก ผมรู้ตัวดีว่าเป็นตัวปัญหาอยู่เลยเดินออกมานอกระเบียงแล้วยอมกดรับสายไปส่งๆ

   "ไร"

   (กลับบ้าน) ไม่ต้องยืดเยื้ออะไรทั้งนั้น เขาแน่ใจอยู่แล้วว่าผมต้องเป็นคนรับสาย

   "ไม่กลับ"

   (กลับ)

   "ไม่"

   พูดสั้นยิ่งกว่าไวท์ ผมบอกเขาผ่านคำพูดและน้ำเสียงว่าไม่อยากพูดคุยด้วยแค่ไหน

   (โรมัน) ชอบเรียกชื่อจริงให้รู้สึกตัวว่ากำลังทำไม่ดีอยู่

   "ทำไม"

   (มึงอย่าหนี)

   "..."

   มันเป็นอย่างนี้เสมอมา เขารู้จักผมมากกว่าที่ผมรู้จักตัวเอง ผมเงียบลงเพื่อให้สมองได้ใช้ความคิดมากขึ้น เมื่อวันที่เจอเกรย์โดยบังเอิญมันเลยกลายเป็นว่าชุดอาหารที่เตรียมไว้เพิ่มขึ้นนั้นเป็นของลูกชายคนที่สองที่กลับมาโดยไร้การบอกกล่าวล่วงหน้า และผมก็ไม่เคยกลับบ้านหรือติดต่อสื่อสารกับคนในครอบครัวอีกเลย จะไลน์จะโทรจะทำอะไรก็ตามแต่ผมก็ปล่อยให้มันลอยผ่านไป เป็นการตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์แบบ

   (อย่าเงียบด้วย นี่กูใจดีมากแล้วนะ)

   "ไม่อยากกลับ"

   บอกไปตามตรงว่าไม่อยากเจอเจ้าของยิ้มแห้งแล้งนั่นเลย

   (คุณพินิจเจอลูกครบหน้า)

   "กูเป็นลูกด้วยเหรอ"

   (มึงเป็นน้องกู)

   "แต่อีกคนไม่คิดอย่างนั้นนี่"

   (เลิกงอแงได้แล้ว เปลืองเงินโทรศัพท์) เขาเริ่มใช้เสียงห้วนด้วยความไม่พอใจ ความกลัวที่สะสมมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยกระตุ้นให้ผมรีบตอบในสิ่งที่เขาต้องการก่อนที่จะโดนสั่งทำโทษ

   "...หนึ่งจะไปด้วย"

   สูดลมหายใจลึกก่อนต่อรองออกไป ไม่อาจหาเหตุผลให้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงพูดออกไปอย่างนั้น ที่หนึ่งกำลังทำให้ผมนิสัยเสีย ถึงพวกพี่จะไม่บอกผมก็สังเกตมาได้สักพักแล้วว่าตัวเองจะต้องมองหาเขาตลอดเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เอาเขาไปเทียบกับคนอื่นในทุกเรื่อง

   และมันทำให้ผมกลัว

   กลัวว่าผมจะรักษา 'สัญญา' เอาไว้ไม่ได้

   (ให้พูดอีกรอบ)

   "กูจะกลับ ...แต่ที่หนึ่งจะไปกับกูด้วย"

   (รอบนี้เจอคุณพินิจจริงๆ นะ) ย้ำพร้อมกับขู่ การที่เขาไปด้วยมันบอกได้อย่างเดียวว่าความสัมพันธ์ของเรามันกำลังไปในทิศทางไหน (กูไม่พูดมากกว่านี้แล้วนะโรม)

   "อืม"

   (งั้นศุกร์กลับมาด้วย หกโมงครึ่งเหมือนเดิม)

    กดปุ่มวางสายตั้งแต่ยังไม่จบคำสุดท้าย ความอึดอัดมากจนผมถอนหายใจออกมาซ้ำๆ หวังว่ามันจะช่วยให้ความรู้สึกนี้ละลายหายไป มันเป็นเรื่องปกติที่การมีอยู่ของคนบางคนสามารถผลักให้ตัวเองขยับห่างออกมาเพื่อเพิ่มความสบายใจให้ตัวเอง โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ต้องการโลกใบเล็กของตัวเองขยายใหญ่ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อย่างผม เพราะงั้นทุกครั้งที่เกรย์กลับมาสถานการณ์มันเลยวนลูปซ้ำๆ อยู่อย่างนี้

   หรืออาจเป็นแบบที่บางคนเคยพูด ผมไม่เคยยอมรับความจริง

   ส่วนลึกที่สุดของใจรู้ดีว่าวันหนึ่งเขาต้องกลับมา ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าแค่ไหนก็ตาม สักวันหนึ่งผมก็ต้องเผชิญหน้ากับเกรย์อย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถึงอย่างนั้นผมก็ทำใจให้ยินยอมรับมันไม่ได้เสียที เขามีชีวิตอยู่เหมือนคนไร้ชีวิต จนผมไม่สะดวกใจที่จะพูดคุยให้เป็นปกติได้ทุกครั้งที่เห็นหน้า

   เดินกลับเข้ามาด้วยความห่อเหี่ยว แค่ต้องกลับบ้านก็เป็นอะไรที่แย่มากพอแล้วยังต้องมาคิดเรื่องที่จะบอกที่หนึ่งยังไงอีกว่าจะให้เขาไปกินข้าวเย็นด้วย ปากที่ไวกว่าความคิดนี่สร้างภาระให้ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ ที่หนึ่งกำลังจัดเก็บอะไรสักอย่างขึ้นชั้นตอนที่ผมเดินกลับเข้าไปในส่วนห้องนั่งเล่น พอเขาเห็นผมก็วางของทุกอย่างลง ปัดมือกับกางเกงยีนส์ราคาสูงเสร็จแล้วกางมือออกกว้าง

   "มานี่มา"

   ก้าวขายาวขึ้นหลายช่วงตัวให้เข้าไปประชิดตัวอีกคนได้ในเสี้ยวนาที ผมทิ้งทุกความคิดในหัวไปเสีย ปล่อยให้ร่างกายได้ซึมซับความอบอุ่นจากร่างกายของอีกคนเพียงอย่างเดียว กอดของที่หนึ่งไม่เหมือนพี่คนอื่น นอกจากจะได้สัมผัสเพิ่งกำลังใจแล้วยังมีอะไรบางอย่างส่งมาด้วย

   เบา เคลิ้ม ผ่อนคลายไม่ต่างจากยาเสพติดชั้นดี

   และอาจโหยหายเจียนตายหากขาดมันไป


 
   ลมอะไรหอบเขามาอยู่ตรงนี้

   ผมหยุดนิ่งอยู่ตรงทางออกตึกเรียน มองไปยังชายร่างผอมบางในชุดเสื้อยืดกางเกงสีซีดที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้ขนาดยาวหน้าคณะ เขาก้มหน้ากดมือถือของตัวเองอยู่ในเวลานี้ผมเลยยังคงอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่ต้องหลบซ่อนอะไร เกรย์เรียนจบชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนประจำ แล้วไปต่อในคณะทางสายวิทยาศาสตร์ที่อังกฤษ ไม่มีเหตุผลอะไรเข้าท่าเลยกับการมาเยือนมหาวิทยาลัยย่านชานเมืองอย่างนี้

   จะพยายามมองในแง่ดีว่าเขามาหาเพื่อนเก่าแล้วกัน

   "น้องโรมหยุดเดินทำไม?"

   "เปล่า!" สะดุ้งโหยงตอนที่มีเสียงทักข้างหู รีบหันไปปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่มีอะไร แต่ดูเหมือนว่ายิ่งทำอย่างนั้นมันก็กลายเป็นมีพิรุธมากขึ้นไปอีก

   "ลืมของไว้บนห้องเหรอ ขึ้นไปหาไหม"

   "ไม่ได้ลืมๆ"

   "งั้นเป็นอะไร ทำไมหยุดเดินล่ะ"

   "เอ่อ..."

   "ที่ไทยเลิกเรียนเย็นจังนะ"

   ระหว่างที่คุยกับเดือนคณะอยู่เลยไม่ได้มองไปที่เขาอีก รู้ตัวอีกทีคนที่ผมต้องการจะหนีก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว การคิดบวกของผมนี่มันไม่เคยช่วยอะไรเลย เขามาหาผมอย่างที่ระแวงไว้จริงๆ

   "อ้าว...?" ที่หนึ่งอุทานออกมาเบาๆ

   "สวัสดีครับ"

   "มา...ทำไม" กัดฟันถามออกไป นอกจากใช้เสียงที่ไม่เป็นมิตรแบบสุดๆ แล้วผมว่าหน้าตัวเองตอนนี้ก็คงแสดงออกชัดว่าไม่ยินดีต่อการมาของเขาเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

   "มารับ กลัวว่าบางคนจะหนี"

   วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ผมต้องกลับบ้านตามที่สัญญาเอาไว้ กว่าจะทำใจบอกที่หนึ่งไปได้ว่าจะต้องไปกินข้าวที่บ้านอีกรอบก็เล่นเอาเหงื่อตก เขาก็ซักอยู่นั่นว่าทำไมต้องกลับไป ขอหาข้อมูลเพิ่มเติมจนสุดท้ายก็ต้องพูดออกไปตามตรงอยู่ดีกว่าผมไม่อยากกลับไปคนเดียว ยังดีที่เขายอมไปด้วย ให้ผมกลับไปคนเดียวนี่เหมือนพาตัวเองกระโดดตึกตายชัดๆ

   "การหนีมันใช้กับคนขี้ขลาดเท่านั้นแหละ" ไม่ใช่คนชอบเหน็บแนมสักเท่าไหร่ เว้นไว้กับเขาคนหนึ่ง ผมแพ้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่เกรย์

   ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนเรายังคงเป็น 'กระจก' ของกันและกัน

   "บอกตัวเองอยู่อย่างนั้นสิ?"

   เกรย์คือสีเทา สีที่เป็นการผสมกันระหว่างสีดำกับสีขาวจนกลายเป็นสีหม่นหมอง และเขาก็เป็นการผสมกันระหว่างพี่ทั้งสองอย่างลงตัว นิ่งเรียบแบบไวท์และร้ายกาจแบบแบล็ค ถึงเจ้าตัวเองจะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองได้รับอะไรมาบ้างก็ตามทีเถอะ คนที่อยู่กับเขามานานอย่างผมดูปราดเดียวก็อ่านออกหมดแล้ว

   น้ำนิ่งที่ไหลลึก ...อันตราย

   "มาที่นี่ทำไม" ผมถามย้ำออกไปอีกครั้ง 

   "เมื่อกี้เพิ่งบอกไปเองนะว่ามารับ"

   "ซึ้งใจมาก แต่จะซึ้งกว่าถ้าไม่มา"

   "กลายเป็นคนขี้ระแวงไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" เขาจงใจโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูเพื่อไม่ให้อีกคนได้ยิน ผมกำมือแน่น จ้องชายผอมซีดกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ "...กลัวหรือไงว่าความลับที่เก็บไว้จะแตกน่ะ"

   "!"

   "ดูแล้วเขายังไม่รู้สินะ"

   "พูดเพ้อเจ้ออะไรอยู่"

   "ผมพูดเรื่องอะไรอยู่นะ" เขายกมุมปากอย่างผู้เหนือกว่า โทนเสียงที่ขึ้นสูงในบางช่วงกลายเป็นการล่อให้ผมหลงกล "ใครกันที่ยังรอ 'นางฟ้า' กลับมา"

   เขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง...

   ราวกับมีใครมาปิดปากผมไว้ในทันควัน ริมฝีปากของเขาไม่มีแล้วรอยยิ้มที่น่าชัง สิ่งที่หลงเหลืออยู่บนรูปหน้าไร้ความรู้สึกมีเพียงนัยน์ตาเศร้าที่ไม่เคยเปลี่ยน

   "ปากบอกว่าไม่มีทางลืม แต่ที่ฉันเห็นนี่มันคืออะไรกันเหรอ?"

   "อย่ามาตัดสินกู"

   หลุดใช้สรรพนามสมัยพ่อขุนออกมาจนได้ เรามักถูกสอนมาว่าคำสุภาพเป็นสิ่งที่อนารยชนควรใช้ แต่กลับกลายว่าในปัจจุบันมันถูกใช้เพื่อเป็นการเสแสร้งใส่กันเสียมากกว่า

   "ไม่แน่นะ บางทีอาจเผลอพูดออกไปก็ได้" แสยะร้ายของเขาน่าสะพรึงกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ผมถึงไม่ชอบเขาไง ยิ้มที่ไม่ต่างอะไรกับการใส่หน้ากากปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงข้างใน "นานๆ ทีจะรับบทเป็นพระเอกที่ช่วยปลดปล่อยคนโง่"

   "..."

   "เหมือนที่นายเคยทำไง"

   "เกรย์!" ผมหมดความอดทนกับการเล่นโง่ๆ นี้แล้ว โพล่งออกไปเสียงดังแบบไม่กลัวว่าใครจะมองมาอย่างไร

   "ดีใจจังที่ยังจำชื่อกันได้อยู่นะโรม"

   สีเทาเป็นตัวแทนของความแห้งแล้ง ความไร้ชีวิตชีวา เช่นเดียวกับเสียงของเขาที่ทั้งราบเรียบและเย็นชา อยู่ดีๆ เขาก็หันไปทางที่หนึ่งเสียอย่างนั้น "ขอบคุณที่เหนื่อยมาตลอดนะครับ"

   "อ่า...ครับ"

   "งั้นผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน ไปได้แล้วโรม"

   "หนึ่งไปด้วย"

   "หืม?" ใช้เสียงจากลำคอเพื่อบอกว่าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

   "ที่หนึ่งจะไปกินข้าวที่บ้านด้วย"

   เกรย์นิ่งไปเกือบห้าวินาที เขาใช้สายตามองประเมินคนข้างกายผมพลางกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ "อาหารมื้อนี้คงอร่อยขึ้นเยอะ นี่คงไม่เป็นการรบกวนไปถ้าผมจะขอร่วมเดินทางไปด้วยนะครับ"

   เขาปฎิเสธไม่ได้หรอกก็เล่นขอเสียขนาดนั้น ผมไม่ได้เล่าอะไรให้ที่หนึ่งฟังเพิ่มเติมนับแต่เราเจอกันโดยบังเอิญวันก่อน สิ่งที่ผมทำลงไปก็แค่รับรูปกลับคืนมาแล้วพาตัวเองออกมาอยู่นอกร้านทันที ที่หนึ่งเองก็ไม่กล้าถามอะไรผมออกมาด้วย แต่สายตาเขาบอกหมดล่ะว่าเขาเองต้องการคำตอบให้เรื่องนี้ขนาดไหน

   ไม่บอกกับบอกไม่ได้มันไม่เหมือนกัน

   "คิดซะว่าไม่มีผมอยู่ข้างหลังนี้ก็แล้วกันนะ" เกรย์เอ่ยออกมาสบายๆ ด้วยประโยคที่เต็มไปด้วยการประชด แม้เพลงที่เปิดตามคลื่นวิทยุตอนนี้จะเป็นเพลงป๊อบจังหวะสนุกมากขนาดไหนก็กลายเป็นเพลงช้าแสนอึมครึม "ปกติก็ไม่มีใครสนใจผมอยู่แล้วน่ะ"

   ขากลับเลยมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งอยู่ตรงเบาะหลัง เขานั่งอยู่ติดหน้าต่างฝั่งคนขับเยื้องกับผม พอลอบมองผ่านกระจกหน้ารถก็เห็นได้ชัดวันว่าเกรย์ยังคงชอบเลี่ยงไปอยู่ในอีกโลกเหมือนเดิม หูฟังแบบเฮดโฟนอันใหญ่สีทะมึนไม่ต่างกับชุดหรือกระเป๋าสะพายใบย่อม สัมผัสได้ถึงความหดหู่ที่กระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง

   "นี่ ชื่อที่หนึ่งใช่ไหม”

   ชะงักค้างไปชั่วขณะ ผมแตะปุ่มหน้าจอออกไปสู่หน้าหลักเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้จากการตัดสินใจไม่ได้ว่าจส่งไปบอกคนที่บ้านดีไหมว่าเกรย์มาหาผมที่มหาลัย ที่จริงสิ่งที่ผมควรทำคืออยู่ให้เป็นปกติมากที่สุด ท่องว่านี่มันก็แค่การมาเยี่ยมเยียนของพี่ชายเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่ใครๆ เขาก็ทำกัน

   "ใช่"

   "หึ..."

   แม้แต่วิธีการหัวเราะติดเหยียดหยันก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป ผมลอบมองผู้โดยสารเบาะหลังผู้เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเสียแล้ว เหมือนจะผอมลงกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอ ผมสีดำธรรมชาติยาวจนสามารถมัดเป็นหางม้าได้สบายๆ ต่างหูแบบแป้นทรงเหลี่ยมสีดำสนิทเด่นชัด

   ใจไม่ดีเลย

   ลางสังหรณ์บอกว่าการกลับมารอบนี้ของสีเทาจะพาความยุ่งยากมาให้ผมด้วย


***
พรุ่งนี้มาลงครึ่งหลังต่อนะคะ พอดีงานเข้าด่วนเลยจบตอนไม่ลงสักที (สะอื้น)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.1 [05.03.16]
«ตอบ #312 เมื่อ06-03-2016 02:00:35 »

ความลับอีกแล้ว

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.1 [05.03.16]
«ตอบ #313 เมื่อ06-03-2016 13:22:45 »

ปมเยอะจนกลัวจะคลายไม่หมดเลยทีเดียว
ทุกตัวละครลึกลับมากกกก

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.1 [05.03.16]
«ตอบ #314 เมื่อ06-03-2016 14:19:16 »

ปมเยอะมาก อึดอัดแทนตัวละครทุกตัว
ยังไงน้องโรมก็สู้ๆน้า

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
«ตอบ #315 เมื่อ06-03-2016 20:12:47 »

บทที่ 20.2

   ไฟในบ้านเปิดสว่างแล้วตอนที่รถของที่หนึ่งเทียบจอดหน้าบ้านต่อจากรถอีโค่คาร์ของลูกชายคนโต ถ้ารถของแบล็คต้องระเห็จออกมาจอดนอกบ้านอย่างนี้ก็รู้ได้เลยว่าคุณพินิจต้องกลับมาแล้วแหง ในบ้านมันก็มีพื้นที่อยู่หรอกแต่ถูกกันไว้เป็นที่จอดรถของบิ๊กไบค์ของแบล็คที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ ที่ต้องใช้รถอีโค่คาร์แทนก็เพราะว่าเขาต้องตามรับตามส่งผมนี่แหละ เป็นพี่ชายแสนดีที่สุดแล้ว

   "เดี๋ยวให้ถาม"

   ดักคอเอาไว้ก่อน เรื่องของบ้านนี้มันมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างจะยุ่งเหยิงมากจนไม่สามารถอธิบายให้จบในการเล่าสั้นๆ ได้ สุดท้ายก็ไม่กล้าไลน์หรือโทรบอกคนที่บ้านว่าเกรย์ไปรับผมถึงมหาลัย เพราะงั้นเมื่อคุณพินิจและแบล็คเห็นว่านอกจากแขกรับเชิญหมายเลขหนึ่งแล้วยังมีอีกตัวละครลับโผล่มาเสริมด้วยเลยอยู่ในอาการตกตะลึงไม่แพ้กัน

   "สวัสดีครับคุณพินิจ"

   เหินห่างไว้มารยาทในทุกคำ จนไม่เหมือนการพูดคุยของพ่อลูก

   และไม่รอให้ใครได้ปริปากออกมาเพิ่ม เกรย์ก็ลับหายไปตามทางเชื่อมของบ้าน คุณพินิจถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หันมายิ้มแย้มให้กับอีกคนที่ไม่คุ้นหน้า

   "นี่ที่หนึ่งสินะ"

   ที่หนึ่งยกมือขึ้นไหว้คุณพ่อทางกฎหมายของผม "สวัสดีครับ"

   "เคยได้ยินชื่อตอนไปงานโรงเรียนบ่อยๆ วันนี้ได้เจอตัวจริงสักที"

   "ตัวจริงไม่ค่อยเหมือนที่คิดไว้ใช่ไหมล่ะครับ"

   "หน้าตาดีกว่าที่เห็นไกลๆ อีกนะ เดี๋ยวนี้ลุงตาไม่ดีแล้วล่ะ" ชายอายุเกือบขึ้นเลขห้าชี้ไปที่แว่นสายตาที่เหน็บอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อ "เห็นว่าน้องโรมไปอยู่ด้วยใช่ไหม ขอโทษทีนะที่รบกวน"

   "ไม่ได้รบกวนอะไรฮะ"

   "ยังไม่ถึงเวลาตั้งโต๊ะ น้องโรมพาเพื่อนไปเดินเล่นก่อนก็ได้นะ"

   เรารอไม่ถึงชั่วโมงดีก็ถึงเวลาอาหารเย็น บนโต๊ะมีจานหกชุดวางไว้เตรียมพร้อมอยู่แล้วตอนที่เราเข้าไป ผมกับที่หนึ่งเลือกฝั่งซ้ายมือของเจ้าบ้าน ปล่อยให้อีกฝั่งเป็นพื้นที่ของสามพี่น้องตระกูลสีไป

   "ทำไมยัยไวท์ยังไม่ลงมา" ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวในห้องถามขึ้นหลังจากรอสมาชิกคนสุดท้ายที่มาไม่ถึงสักที "แบ ...อ้อ มาแล้วนั่น"

   ไวท์ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่ามีสมาชิกหน้าไม่คุ้น สำหรับคนที่มีความสามารถพิเศษในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วก็เข้าใจเรื่องราวเบื้องต้นได้อย่างดี เธอเพียงอ้อมไปนั่งต่อจากพี่ชายฝาแฝดแล้วสร้างบาเรียของตัวเองชั้นใหม่ขึ้นมา

   ที่หนึ่งเป็นผู้ชายที่เข้ากับผู้ใหญ่ได้ดีกว่าที่ผมคิดไว้ ความสนใจหลายๆ อย่างของทั้งคู่ไปในทางเดียวกันจนบรรยากาศบนโต๊ะอาหารตัวใหญ่ดูมีสีสันขึ้นมาไม่ใช่น้อย บอกแล้วว่าที่หนึ่งน่ะมีรสนิยมแบบคนแก่

   "แล้วจัดการเอกสารเสร็จหรือยัง" ลูกชายคนที่สองของบ้านกลับจากอังกฤษมาเพื่อเปลี่ยนข้อมูลในเอกสารที่จำเป็นนิดหน่อย "รอบนี้มาอยู่นานเท่าไหร่ล่ะ"

   "คงเกือบสองเดือนครับ หยุดที่นู่นพอดี"

   "ถ้าต้องไปธุระอะไรไกลๆ ก็บอกก่อน จะได้ให้พี่ไปส่ง"

   "ผมคงไม่รบกวนหรอกครับ"

   "นั่นพี่ ไม่ใช่คนอื่น"

   "คนอื่นครับ"

   นานแล้วที่ไม่ได้เจอบรรยากาศอย่างนี้ ผมเอื้อมมือไปแตะหน้าขาของที่หนึ่ง หาที่พึ่งพิงเตรียมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เกรย์กับคุณพินิจไม่ค่อยมีปากมีเสียงกันมากเท่าไหร่ แต่ถ้าลองได้ทะเลาะกันสักทีแล้วระดับความรุนแรงมันมากอย่างที่อาจไม่มีใครเหลือรอดไปได้เลย

   บอกแล้วว่าระดับความสัมพันธ์ของคนในบ้านนี้มันซับซ้อนจนเกินไป

   "เกรย์..."

   "ครับ"

   "พ่อมีลูกอยู่สี่คน ที่พูดเข้าใจใช่ไหม?"

   "ลูกที่คนนึงเป็นฆาตกร ส่วนอีกคนก็ควรจะตายไปตั้งนานแล้วน่ะเหรอครับ"

   "สนธยา!"

   สองเสียงเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน หนึ่งคือเสียงถอยเก้าอี้ตามด้วยเสียงฝีเท้าวิ่งฉิวออกไปของคนท้ายสุดของโต๊ะฝั่งตรงข้าม สองคือเสียงดุดันเรียกชื่อจริงซึ่งบอกได้เลยว่าเจ้าของเสียงไม่พอใจในการตอบนั้นมากแค่ไหน เกรย์เพียงมองหน้าพ่อบังเกิดเกล้ากลับไปนิ่งเฉย "ครับ"

   "นั่นพี่แก"

   "ผมไม่มีพี่ครับ" คำปฏิเสธชัด หันหน้ามาทางที่ผมนั่งอยู่ "แล้วก็ไม่มีน้องด้วย"

   ปากเม้มสนิทจนรู้สึกเจ็บ มือที่ยังคงอยู่บนหน้าขาของเขาจิกลงไปในเนื้อยีนส์ไม่รู้ตัว เพิ่งนึกขึ้นได้ก็ตอนที่หนึ่งกุมมือผมไว้แน่น ไม่ต้องมีคำพูดอะไรออกมาผมก็รับรู้ได้ว่าเขาจะอยู่ตรงนี้กับผมไม่ไปไหนทั้งนั้น

   "พ่อว่าเรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ"

   "คุณพินิจพยายามจะล้างสมองผมต่างหากครับ"

   "พ่อไม่เคยล้างสมองใคร เราทำความเข้าใจกันแล้วไม่ใช่เหรอ"

   "ผมว่าเราไม่ควรทำให้แขกอึดอัดนะ"

   เสียงที่สามตัดบทการสนทนาระหว่างพ่อลูก แบล็คยกแก้วน้ำเปล่าของตัวเองขึ้นดื่มจนเกือบหมดก่อนพูดต่อ "มีอะไรไว้ไปคุยกันเองดีกว่ามั้ง"

   "งั้นเรามาเล่าเรื่องอธิบายโครงสร้างครอบครัวเน่าๆ นี่ไหมล่ะครับ?" เกรย์กวาดมือไวๆ ไปยังสมาชิกทั่วทั้งห้อง "จะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ควรอึดอัด"

   "..."

   "ระหว่างลูกแท้ๆ อย่างผมกับกาฝากอย่างใครบางคน"

   สิ่งที่ทนมาตลอดจบลงด้วยคำพูดไม่กี่คำ ผมลุกพรวดพราดออกจากพื้นที่ทานอาหารไปยังทางที่ไวท์เดินไปก่อนหน้านั้น ปลายทางเดียวคือห้องนอนตัวเองบนชั้นสอง

   เสียงปิดประตูดังสนั่น แต่ไม่อาจสู้อีกเสียงที่ดังขึ้นมาในใจได้

   ประโยคที่ไม่ต่างกับลิ่มตอกย้ำในสิ่งที่ผมบอกตัวเองว่าลืมมันไปแล้ว

   ลมหายใจติดขัดแบบที่ไม่ได้เจอมานาน ผมพยายามยื้อตัวเองให้เคลื่อนตัวต่อไปถึงจุดปลอดภัยอย่างบนเตียงให้ได้ ก้าวแต่ละก้าวที่เคยทำได้อย่างง่ายดายกลับกลายเป็นความยากลำบาก ฝืนตัวเองไปได้อีกสองสามก้าวเท่านั้นก็ทรุดลงกลางห้อง โชคดีเป็นของผมที่ต้องทำห้องคุณพินิจยืนกรานว่าต้องมีพรมรองไว้กินพื้นที่เกือบทั้งห้องเลยทำให้การทิ้งตัวลงอย่างไร้การฝืนของผมไม่เจ็บเท่าที่ควร

   มือสั่นเทาแตะรอยเแผลเป็นตรงบริเวณหน้าอก พาลคิดถึงความเจ็บที่เคยเกิดขึ้นแล้วแทบจะขาดสติไป ความร้อนขับเหงื่อออกมาจนเต็มขมับ ขยับปากตะโกนขอความช่วยเหลือแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

   เจ็บ

   เจ็บเกินไป

   เจ็บกว่าทุกครั้งที่เคยเจอ

   เรียกสติที่กระเจิงกลับมาให้กับตัวเองด้วยการสูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ พลางบอกตัวเองว่ามันไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่หมอเคยแนะนำมาในการรักษาเมื่อนานมาแล้ว ออกซิเจนที่เข้าไปแลกเปลี่ยนในปอดกลับกลายเป็นมีดบาดร่างกายผมให้หวิ่นเป็นริ้ว

   เลือด

   ทำไมถึงมีเลือดล่ะ

   ยามยกมือที่แตะหน้าอกขึ้นมากลับมีฮีโมโกบิลสีข้นติดมาด้วย ก้มลงมองเสื้อสีขาวมีวงเลือดซึมจนเป็นบริเวณกว้าง แผลเปิดได้ยังไง มันควรจะสนิทไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ

   "ทำไมแผลเปิดได้ล่ะ"

   "แผลอะไร?"

   "ที่หนึ่ง..."

   เขามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน สายตาของผมพร่ามัวด้วยหยดน้ำตาที่คลอเต็มเบ้า ทั้งสั่นแล้วก็ล้าราวกับผ่านการทรมานมาอย่างยาวนาน ยิ่งพอเขาเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ แบบที่เขาชอบใช้แล้วสิ่งที่พยายามเก็บมาตลอดวันก็หมดลง ต่อมน้ำตาของผมเริ่มทำงานอย่างขยันขันแข็งจนผมไม่สามารถเห็นเขาได้ชัดเจน

   “เป็นอะไรไป แบล็คบอกให้พี่ขึ้นมาหา แล้วร้องไห้ทำไม”

   "หนึ่ง ฮึก...ดูแผลให้หน่อย" ผมไม่สนคำถามของเขา สิ่งเดียวที่ต้องการคือหาสาเหตุของเลือดที่ไหลไม่หยุดนี้

   ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเจ็บแบบนั้นอีกแล้ว

   "แผล? แผลอะไร?"

   "นี่ไง" ผมชี้ไปที่รอยเปื้อนสีแดงเป็นวงกว้าง "เจ็บมากเลยพี่หนึ่ง..."

   "น้องโรม มันไม่มีอะไรเลยนะ"

   "มีสิ" ยืนกรานคำเดิม "นี่ไ..."

   เงียบลงเพราะเมื่อก้มลงมองอีกครั้งกลับไร้ซึ่งร่อยรอยใด แม้จะกระพริบตาไล่หยดน้ำตาที่คลอเต็มออกไปแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ราวกับที่ผมเห็นเมื่อครู่เป็นน้ำยาล่องหนที่หายไปตามกาลเวลา

   แต่ความเจ็บปวดที่อยู่กับผมไม่ได้จางตามลงไปเลย

   “พี่ไปเรียกแบล็คดีกว่า”

   “ไม่!” ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้จะไม่จบลงแค่ตรงนี้แน่ เกรย์อาจยังอยู่กับพี่น้องของเขา และผมมั่นใจว่าเขาพร้อมเล่าความเป็นมาของความสัมพันธ์นี้อีกครั้งอย่างแน่นอน ผมไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น “พาไปบนเตียงหน่อยก็พอ นะ...”

   “แต่น้องโรมหน้าซีดมากเลยนะ ไปหาหมอก็ดีเหมือนกัน”

   “ไม่ต้องไป...ไม่มีอะไร”

   “น้องโรมครับ”

   “จริงๆ“

   แผลในใจมันไม่ได้ดีขึ้นง่ายอย่างนั้น...

   เขายอมเข้ามาประชิดตัว ผมค่อยๆ ยกแขนที่ไร้เรี่ยวแรงขึ้นเกาะเกี่ยวอีกฝ่ายไว้ จากที่คิดว่าจะได้ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มของตัวเองกลับกลายเป็นว่าที่หนึ่งเพียงอ้อมมาอยู่ด้านหลัง ขยับตำแหน่งนิดหน่อยเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นเบาะรองให้ผมทิ้งน้ำหนักไปด้านหลังไปทั้งตัวอย่างไร้กังวล  คางของเขาเกยกับไหล่ของผม สัมผัสได้ถึงแรงกดปลายจมูกกับข้างขมับปลอบโยนหนักๆ อยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนจับมือของผมขึ้นโบกไปมาเหมือนกำลังเล่นตุ๊กตาของเล่น

   "อยู่อย่างนี้ดีกว่าไหม"

   มันไม่สบายกว่าหรอก แต่ผมอยากอยู่อย่างนี้มากกว่า "อื้ม"

   "ดีขึ้นหรือยัง?"

   ผมนิ่งนั่งโดยมีเขาโอบรัดอย่างนั้นนานนับชั่วโมง ระหว่างนั้นเขาก็ปลอบผมไปมาจนอาการสะอื้นหายไปในที่สุด ที่หนึ่งฆ่าเวลาด้วยการเอาปากกาหมึกสีดำมาเขียนๆ ขีดๆ อะไรสักอย่างลงบนข้อมือของผม จนเห็นตัวเลขสีดำในภาษาโรมันขึ้นมาหนึ่งตัว
ตัวอักษรที่เหมือนกับชื่อของตุ๊กตาสีม่วงตัวนั้น จะว่าไปอยากกลับห้องจัง ห้องที่มีตุ๊กตาไร้ชีวิตสองตัวนั้นสร้างความสุขให้ผมได้มากกว่ามนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเสียอีก

   "ไม่เห็นรู้เลยว่าแบล็คกับไวท์มีน้อง"

   ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่เขาไม่รู้ว่าฝาแฝดยังมีน้องอีกคนที่ไม่ใช่ผม ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทหรือว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจริงๆ เกือบร้อยทั้งร้อยไม่เคยรู้เรื่องนี้ เราไม่ได้ปกปิด...เราแค่เลือกที่จะไม่พูดมันออกไป

   "ก็รู้แล้วไง"

   "แล้วทำไมไม่เคยเห็นที่โรงเรียนเลย"

   "เกรย์เรียนที่อื่นน่ะ"

   "เหรอ"

   "พวกนั้นไม่ค่อยเหมือนพี่น้องกันหรอก" เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ผมเลยขยายความให้ดีขึ้น "จะพูดว่าเป็นพี่น้องกันมันก็พูดได้ไม่เต็มปากขนาดนั้น"

   "..."

   "มันมีเรื่องอื่นอีก"

   น้องที่ควรเป็นพี่

   ...พี่ที่ไม่ควรมีตัวตน

   "เล่าได้ไหม"

   อยากเล่า อยากเล่าทุกอย่างออกไปไม่ให้เหลือแม้แต่เรื่องราวเล็กน้อย แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่มีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องมากมายเสียเหลือเกินจนผมไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

   "เล่าไม่ได้"

   และที่สำคัญที่สุดผมไม่ได้รับสิทธิให้พูดออกไป

   "...อืม"

   อาการน้อยใจผ่านน้ำเสียงบอกให้ผมรีบคว้ามือของเขามาจับไว้แน่น ไม่กล้ามองใบหน้าที่หมองลงไปถนัดตาจนต้องหลบสายตาเอง "ไม่ใช่ไม่อยากเล่านะ แต่นี่มันเรื่องของพวกเขา ไม่รู้ว่าจะเล่าได้รึเปล่า"

   ผมเองยังไม่มีสิทธิรู้เลย ที่รู้มาได้ก็เพราะว่าบังเอิญไปได้ยินคนงานในบ้านพูดกันเมื่อนานมาแล้ว ถึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดว่าเพราะอะไรบ้านนี้ถึงมีอะไรที่แปลกประหลาดเต็มไปหมด เหตุผลอะไรที่พาผมมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านนี้อย่างที่ไม่คาดคิด

   "เข้าใจๆ ก็พอเห็นอยู่ว่าเขาดูไม่ค่อยลงรอยกัน" ส่งหน้าเหยเกมาให้ เขาคงไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน คุณพินิจมีข้อตกลงกับลูกชายคนที่สองไว้ว่าจะให้ไปอยู่โรงเรียนประจำตามที่ขอได้ต่อเมื่อสัญญาว่าจะกลับบ้านทุกสุดสัปดาห์และตลอดปิดเทอมเขาไม่สามารถไปไหนได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต สำหรับผมแล้วการปะทะคารมของทั้งคู่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอในตัวบ้าน จนเริ่มอยู่เป็นโดยการไม่เอาเรื่องราวเดิมๆ ซ้ำๆ ที่เขาทะเลาะกันมาใส่ใจผมถึงอยู่ในบ้านหลังนี้ได้อย่างสงบสุข "แล้วเมื่อกี้เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม?"

   ในท้ายที่สุดก็วนกลับมาเรื่องของตัวเองจนได้ ผมปฏิเสธกลับไปโดยการนิ่งเงียบ ไม่อยากโกหกเขาแม้แต่เสี้ยวความคิด จะให้บอกว่าร้องไห้เพราะว่าทนฟังเขาพูดกระทบอย่างนั้นไม่ได้จนบ่อน้ำตาแตกไปก็คงไม่เชื่อ

   "นี่ก็เล่าไม่ได้สินะ" อารมณ์ตัดพ้อแสดงออกมาชัดแจ้ง ผมกระอึกกระอักไม่กล้าแก้ตัวอะไรต่ออีก ความรู้สึกผิดก่อตัวเต็มไปหมด ผมไม่ชอบเห็นเขาทำอย่างนี้เลย

   "ไม่ใช่เล่าไม่ได้ แต่..."

   "ขอโทษนะ"

   "ที่หนึ่ง!" ร้องประท้วงออกมาดังลั่น เมื่อร่างที่คอยคุ้มครองผมเอาไว้กลับกลายเป็นบุกเข้ามาจู่โจม ปัดป่ายมือของเขาที่พยายามถลกเสื้อของผมออก "จะทำอะไร!!"

   แรงที่มีอยู่น้อยนิดเทียบไม่ได้กับนักกีฬาอย่างเขา การรุกรานที่ไร้การเตือนบอกให้ผมต้านตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ถึงผมจะไม่เข้าใจมากเท่าไหร่ก็ยังฮึดสู้จนสุดกำลัง จนสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถต้านทานได้ การต่อสู้ของเราจบลงเมื่อเสื้อยืดสีขาวหลุดออกจากศีรษะไปความรุนแรง

   ที่หนึ่งค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น มือซ้ายยังมีอดีตเสื้อผ้าของผมไว้ในมือ ทิศทางที่สายตาของเขามองลงมาคือพื้นที่เดียวกับที่ผมเพิ่งเกิดภาพหลอนไปก่อนหน้านี้

   เขาเห็นแล้วว่าตรงหน้าอกข้างซ้ายของผมมีร่องรอยการสมานกันของผิวหนัง

   แผลที่ทำให้ผมเป็น 'ผู้เสียสละ'

   "มีอะไรที่พี่ควรรู้ไหม?"

   เจ็บและจุกจนพูดไม่ออก หมดแล้วทุกสิ่งที่พยายามเก็บไว้ เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นมุมปากของเขายกขึ้นสูง ต่างจากนัยน์ตาสีดำที่แสดงออกทุกอย่าง ไม่เอานะ อย่ามองผมด้วยสายตาอย่างนั้น

   มันบอกหมดทุกอย่างว่าเขาผิดหวังกับผมมากแค่ไหนกัน

   "..."

   "ที่หนึ่งรู้อะไรเกี่ยวกับโรมบ้าง?"

   ครั้งหนึ่งเคยถูกถามว่าผมรู้จักเขามากแค่ไหน และครั้งนี้เขาใช้คำถามเดิมแต่ว่าสลับประธานและกรรมของประโยค ผมกลายเป็นคนไร้เสียงที่ทำได้แค่กลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมาอีกครั้ง เขาเคยบอกว่าเขารู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับผม และตลอดมาการกระทำของเขาพิสูจน์ว่าสิ่งที่เคยบอกไว้มันไม่ใช่การพูดออกมาลอยๆ สักนิด 

   "รู้ไหมน้องโรม คำตอบเดียวที่พี่มีให้ตัวเองคือพี่ไม่รู้อะไรเลย"

   ไม่อาจทนฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปได้ ผมโถมตัวเข้าไปหาสุดแรงกอดเขาไว้แน่นจนน่ากลัวว่าอีกฝ่ายจะขาดอากาศหายใจไปเสียตรงนั้น ความลับเป็นความลับต่อเมื่อไม่มีใครรู้ เมื่อมีคนรู้...มันก็ไม่เรียกว่าลับได้อีกต่อไป

   เพิ่งรู้ตัวว่าที่เคยบอกแบล็คไว้ว่าจะเดินต่อ มันเป็นเพียงการวิ่งในลู่ ที่ต่อให้วิ่งได้เร็วมากแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องกลับมาสู่จุดเริ่มต้นอยู่ดี ต่อให้อยากหนีออกไปจากวังวนนี้มากแค่ไหนก็ทำได้แค่เพียงยอมรับอย่างไร้ข้อแม้เท่านั้น

   หมดเวลาแล้ว

   เมื่อตัดสินใจทุกอย่างได้แล้วผมถึงผละออกมา ยกมือขึ้นประคองใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาไว้ เกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลคล้ายกับของตัวเองให้พ้นออกจากกรอบหน้า ใช้เวลาจดทุกองค์ประกอบที่รวมแล้วเป็น 'ที่หนึ่ง' ขึ้นมา ตาที่ผมเคยบอกว่ามันเว้าวอน จมูกโด่งที่เคยชิดใกล้ ริมฝีปากที่เคยประทับจูบเบาเมื่อคราวนั้น

   เก็บทุกอย่างเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะผมอาจไม่ได้สัมผัสมันอีกต่อไป

   "หยุด...ไหมที่หนึ่ง"

   เอ่ยปากออกไปทั้งเสียงแห้งผากจากการตะโกนร้องก่อนหน้าจนไร้เรี่ยวแรง "บางทีการที่เราหยุดตรงนี้ มันอาจจะเป็นทางที่ดีที่สุด"

   ต่อให้ใจร้องเรียกในสิ่งที่แตกต่างมากแค่ไหนผมก็ทำตามสิ่งที่ควรจะเป็น ภาพที่เขาอยู่บนเวทีอย่างนั้นมันกำลังบอกให้ผมควรทำอย่างไรต่อไป ที่ที่เขาควรอยู่คือตรงนั้น ไม่ใช่การที่ต้องมาอยู่ข้างคนอย่างผม จากเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองเทียบไม่ได้กับเสี้ยวของเขา เขาต้องเข้มแข็งอีกมากแค่ไหนกับคนที่ไร้ความมั่นคงอย่างผมนะ

   ถามว่าผมเองเกลียดเขาขนาดนั้นเหรอ ไม่เลย

   ผมอยากให้เขาอยู่

   แต่ผมก็อยากให้เขาไป

   มันคือระบบการทำงานของสมองง่ายๆ ที่มักจะหลีกหนีสิ่งที่เคยทำให้ตัวเองทุกข์มาก่อน เราจะกลัวสิ่งที่เคยทำให้เราเจ็บ เช่นตอนเด็กหากเราเคยล้มจักรยานก็จะกลัวการขึ้นไปถีบมันอีกครั้ง ถ้าเคยโดนตีก็จะกลัวไม้เรียว และผมเองก็กลัวการจากลา

   "อยู่ที่นายเลือกแล้วหนึ่ง"

   หลับตาลงเตรียมพร้อมรับสิ่งที่จะตามมา หัวใจที่ควรจะเต้นเร็วขึ้นกลับผ่อนจังหวะลงจนเกือบเป็นกราฟที่ไร้เส้นหยัก สักพักจากเส้นคงที่ก็กลายเป็นหล่นวูบเมื่อแขนทั้งสองข้างของเขาที่รัดผมไว้คลายออก ที่หนึ่งดันตัวผมออกให้ตาเราสองคนได้สบกันเพียงชั่วขณะ ก่อนที่ผมเองเป็นฝ่ายหลบสายตานั้นเสีย

   ต่างคนต่างไม่พูดอะไร ผมไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าภายความเรียบเฉยนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งเขาจับแขนของผมที่มีตัวอักษรไอขึ้นมา จ้องมองมันอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรจนผมเกือบจะอ้าปากถาม ถ้าไม่ติดว่าเขาดึงข้อมือของผมขึ้นประทับจูบ ช้า เนิ่นนาน

   มันคือการบอกลาที่ไม่ต้องใช้เสียง

   ...เพราะแผ่นหลังนั้นลับหายไปโดยไม่กลับมามองผมอีกเลย


***
   ครบทั้งบทแล้วนะคะ (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
«ตอบ #316 เมื่อ06-03-2016 22:51:10 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
«ตอบ #317 เมื่อ06-03-2016 23:27:03 »

นี่เรามาถึงจุดๆนี้ได้ยังไง? จุดที่เราอ่านนิยายแล้วรู้สึกเครียด จุกในอก อึดอัด หายใจลำบาก
แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่การเปรียบเทียบเปรียบเปรยใดๆทั้งสิ้น.... ตอนที่20.2นี่ทำเอาเราหายใจไม่ออกไปเป็นนาทีเลยล่ะ
น่ากลัวมากๆ นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าอินมากเกินไป...

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
«ตอบ #318 เมื่อ06-03-2016 23:41:38 »

อ่านมาถึงตอนนี้บอกได้ว่า
ความลับเยอะมากกกกกกก ไม่เคลียร์ซักเรื่องอ่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
«ตอบ #319 เมื่อ07-03-2016 00:38:38 »

งื้ออออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
« ตอบ #319 เมื่อ: 07-03-2016 00:38:38 »





ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
«ตอบ #320 เมื่อ09-03-2016 10:11:01 »

ฮือออออออ จะร้องไห้ !!!!

เครียดอ่าาา

ออฟไลน์ GMJeam

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
«ตอบ #321 เมื่อ09-03-2016 17:22:14 »

เครียดดดดดด  :ling1:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #322 เมื่อ13-03-2016 18:20:18 »

บทที่ 21

   ก็แค่กลับไปอยู่ต่างมิติกันเหมือนเดิม

   สิ่งที่เขาไม่มีอะไรมากไปกว่าการหายไปจากชีวิตของผมในทุกทาง ตัดขาดทุกช่องทางการติดต่อ ตอนกลับมาถึงคอนโดก็พบว่าเจ้าหมีส้มของผมกำลังนอนยิ้มอยู่บนเตียงของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ข้าวของต่างๆ ถูกจัดเก็บลงกล่องไว้อย่างเป็นระเบียบ เป็นการตอกย้ำว่าคำตอบของเขาคืออะไร

   เราอยู่บนทางคนละสายแล้ว

   ประจวบเหมาะกับการแข่งของแบล็คจบลงแล้วไวท์เลยกลับไปอยู่กับแฝดของตัวเองตามเดิม ห้องกลับมาเป็นของผมร้อยเปอร์เซนต์ ไม่จำต้องไปเบียดเบียนอยู่กับใครอีก

   เอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะตัวเล็ก ปลดตัวล็อคออกเพื่อให้กระดาษสองใบที่ซ้อนกันอยู่ในนั้นร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วง จับใบที่ซ่อนอยู่ด้านหลังให้ขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา มองเด็กชายสนธยาที่ยืนอยู่ต่อจากผมกำลังยิ้มกว้าง ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมไม่ได้เห็นเขามีความสุขอย่างนี้นะ กี่ปีผ่านมาแล้วที่ผมเห็นเพียงแต่ความทุกข์ฉายอยู่ในนัยน์ตานั้น

   พอนึกถึงคำพูดแขวะบนโต๊ะอาหารวันนั้นขึ้นมาได้เลยโยนมันทิ้งไปเสีย เปลี่ยนไปหยิบภาพที่หนึ่งบนโพลารอยด์ตรงข้างหมอนขึ้นมาดูเป็นรอบที่ร้อยได้ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่ห้อง

   คิดถึง

   ผมเข้าใจพฤติกรรมแปลกๆ ของวีที่ชอบถ่ายรูปเก็บไว้ตลอดเวลาแล้วล่ะ อย่างตอนนี้ผมเองก็เสียดายมากอยู่ที่อัลบั้มรูปในมือถือไม่ค่อยมีภาพของเขาเก็บไว้เลย จะมีก็ไม่กี่รูปที่เราเคยถ่ายด้วยกันเมื่อนานมาแล้ว...

   เอาแผ่นฟิล์มแปะลงกับหน้าผาก หลับตาลงแล้วกล่อมให้ตัวเองเลิกฟุ้งซ่านกับเรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีก ยอมรับเลยว่าใจโหวงไปเลยตอนที่เปิดไฟห้องตัวเองแล้วเห็นของทุกอย่างวางไว้อย่างนั้น โดยเฉพาะเจ้าหมีที่นอนยิ้มไม่รับรู้ว่าเจ้าของกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่แย่มากแค่ไหน แค่เข้าไปกอดแล้วรู้สึกไม่คุ้นชินก็บ่อน้ำตาแตกไปอีกรอบ การกอดของใครอีกคนกลายเป็นมาตรฐานสำหรับผมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

   เช้ามาก็โดนห้องถัดไปลากไปเรียนตั้งแต่เช้า โชคไม่ดีเด้งสองตอนเจอที่หนึ่งกำลังซื้อน้ำอยู่ตรงร้านค้าข้างทางขึ้นบันไดเสียอีก จะหลบก็ไม่ได้เพราะห้องเรียนอยู่ถัดต่อไป ทำได้แต่แสร้งตัวว่าเป็นปกติโดยการเดินให้ห่างกันมากที่สุด เข้าห้องเรียนมานั่งที่ประจำโดยไร้เงาคนด้านข้าง เขาย้ายไปนั่งบริเวณกลางห้องกับเพื่อนกลุ่มบาส มีบางคนที่หันมาทางผมแต่ก็โดนโหมดเย็นชาของโรมเล่นงานจนไม่กล้าเข้ามาใกล้ ซึ่งก็ดีแล้ว อย่ามาทำให้ผมลืมว่าตอนนี้สถานะของเราสองคนไม่เหมือนเดิมแล้วเลย

   เรียนไปได้แค่ชั่วโมงเดียวจากสามชั่วโมงก็ทนต่อไปไม่ไหว ถึงเขาจะนั่งคนละฝั่งกับผมเลยก็ตามทีสายตาเจ้ากรรมก็ยังคงมองไปหาอยู่เกือบตลอดเวลา ผมตัดสินใจโดดเรียนโดยส่งไปบอกพี่ชายว่ารู้สึกไม่ดีขอกลับห้องก่อน โบกมอเตอร์ไซด์รับจ้างกลับหอแล้วก็มานอนทิ้งตัวอยู่อย่างนี้จนกระทั่งเกือบเย็น เป็นการใช้เวลาได้คุ้มค่ามากจริงๆ ให้ตาย

   "ไม่อยากไปเรียนเลยแฮะ..."

   คิดเรื่อยเปื่อยไปถึงตารางเรียนพรุ่งนี้ แน่นอนว่าเด็กเอกบัญชีแบบเดียวกันก็ต้องเจอหน้ากับอีกเป็นธรรมดา นี่ผมต้องแข็งแกร่งเบอร์ไหนถึงจะพาตัวเองไปเผชิญหน้ากับเขาได้อีกครั้งในวันพรุ่งนี้น่ะ ขอเวลานอกให้ปรับตัวหน่อยได้ไหมล่ะ จะให้ผมกลับไปเป็นโรมคนเดิมผู้ไร้เพื่อนฝูงได้นี่คงอีกพักใหญ่เลย ดันไปชินกับชีวิตอีกแบบเสียแล้ว

   ดึงฟิล์มใบเดิมออกมา จ้องมองรูปอยู่อย่างนั้นอย่างกับกำลังเล่นเกมส์จับผิดภาพ ตามเซนต์ของคนทั่วไปแล้วมันควรจะส่งคืนหรือไม่ก็ทิ้งไปเสีย เพียงแต่ใจอีกฝั่งของผมสั่งห้ามไม่ให้ทำอย่างนั้น อย่างน้อยมันก็เป็นไม่กี่สิ่งที่เหลืออยู่ให้ผมได้ครอบครองมัน

   เพราะต่อจากนี้มันไม่มีอะไรอย่างนี้อีกแล้วล่ะ

   เสียงกระดาษต้านลมดังอยู่สองสามครั้งตามมาด้วยรูปถ่ายรวมหกคนสมัยจบชั้นมัธยมปลิวผ่านหน้าไป ผมเด้งตัวขึ้นมาตามจับกระดาษมันที่ลอยไปตามลม เอื้อมมือคว้าเพียงไม่กี่ครั้งก็จับมันไว้ได้ ลมก็ไม่ค่อยแรงทำไมถึงปลิวได้ไกลขนาดนี้นะ

   "..."

   ร่างกายและคงรวมถึงหัวใจชาสนิท ยามที่ลดมือจากรูปภาพแล้วสามารถมองเห็นออกไปนอกหน้าต่างได้พอดีว่าเจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามเพิ่งเปิดประตูบานเลื่อนเข้ามาอยู่ในส่วนของห้องนอน เขาก้มหน้าหาอะไรสักอย่างในกระเป๋าหนังอยู่เลยไม่เห็นว่าผมกำลังจ้องอย่างไม่ลดละอยู่

   หลบสิ หลบเดี๋ยวนี้

   ใจบอกอย่างนั้น แต่ร่างกายไม่ยอมขยับตาม ผมมองเขาควานหาสิ่งของให้กระเป๋า กัดปากแน่นจนรู้สึกเจ็บเมื่อเกิดความคิดขึ้นมาว่าไม่มีพื้นที่ของผมในห้องนั้นอีกแล้ว

   ที่หนึ่งคงหาของของตัวเองเจอแล้วเลยเงยหน้าขึ้นมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างกายของผมยอมทำตามคำสั่งทิ้งตัวลงกับพื้นเพื่อให้กำแพงบังไว้ไม่ให้เขาจับได้ว่าผมกำลังแอบมองอยู่ หัวใจเต้นรัวอย่างกับวิ่งรอบสนามแบบสปีดสุดกำลัง ผมยกมือขึ้นจับตรงหัวใจที่น่ากลัวว่าจะทำงานหนักไปแล้ว ระแวงไปหมดว่าเขาจะเห็นผมหรือเปล่า ไม่หรอก เขาไม่น่าจะเห็นผมหรอกมั้ง

   ถึงจะเห็น เขาก็คงไม่รู้สึกอะไรหรอก
   
   "ทำอะไรอยู่น้องเอ๋อ?"

   สะบัดหน้าไปมองเพื่อนข้างห้องผู้ยังคงอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อเช้าบ่งบอกว่าเพิ่งกลับมาถึงห้อง ข้างกายเขามีน้องสาวฝาแฝดยืนไร้ตัวตนอยู่

   "ปิดม่านหน่อย"

   "หา?"

   "เดินมาปิดม่านให้หน่อย" สั่งย้ำไปด้วยเสียงจริงจัง แบล็คมองหน้าผมสลับกับมุมนอกหน้าต่าง นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ยอมทำตามคำขอของผม "แบล็ค ปิดม่าน!"

   กระชากเสียงสั่งออกไป คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจมากนัก ทิวากาลยืนพิงกำแพงอยู่อย่างนั้นไม่ไหวติง คนอย่างเขาเข้าใจอยู่แล้วล่ะว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลผมเลยทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่อย่างนี้

   "ทำไมกูต้องทำ"

   "ยังจะมาถามอีก"

   "กูจะขยับตอนที่มึงสัญญาว่าจะเล่าให้กูฟังว่าเกิดอะไรขึ้น"

   "เดี๋ยวเล่าหมดเลย!"
   
   ตกลงกลับไปอย่างไม่ต้องคิด สิ่งเดียวที่ผมต้องการในตอนนี้คือให้ห้องของผมเป็นห้องปิดตายทุกด้าน ไม่ให้ใครมองเห็นเข้ามาได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในบ้าง รวมถึงไม่ให้ตัวเองเห็นว่ามีใครอยู่ภายนอกนั้นด้วยเช่นกัน

   "มึงแม่งไม่คิดก่อนพูดเหมือนเดิม กูเคยสอนไม่ให้รับปากใครทันทีไม่ใช่หรือไง" เจอเขาเทศน์กัณฑ์เบาไปหนึ่งรอบพลางเดินไปปิดม่านให้สนิทตามที่ขอ ผมเผลอถอนหายใจออกมาที่ไม่ต้องเห็นสิ่งที่ไม่ต้องการอีกแล้ว

   "เสร็จหน้าที่กูแล้ว ทำตามสัญญาด้วย"

   "..."

   "เราตกลงกันไว้ว่ายังไงน้องโรม?"

   "...สัญญาต้องเป็นสัญญา"

   ตอบอ้อมแอ้มไป ก้มหน้าจนคางเกือบชิดกับอกจะได้ไม่ต้องเห็นโหมดสั่งสอนของคุณพ่อ

   "มองหน้ากูด้วยเวลาตอบ หนึ่ง...สอง...สาม"

   ตัวเลขแรกฉีดยาชาเพิ่มเข้าไปอีก การนับเลขที่รวดเร็วจนเกือบตั้งตัวไม่ทันจนผมรีบเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกคนที่ขึ้นไปนั่งไขว้ห้างอยู่บนเตียงตรงข้ามกับผม ส่วนไวท์กำลังยืนพิงกับโต๊ะเครื่องแป้งอยู่

   "เรียบเรียงให้ดีด้วย กูขี้เกียจมาสรุปใหม่เองอีก"

   “...กูกับที่หนึ่งแยกกันเดินแล้วนะ” บอกให้เรียบเรียงให้งั้นก็เอาเมนไอเดียไปเลยแล้วกัน

   "ไหนพูดอีกรอบ"

   "เราแยกกันเดินแล้ว"

   "ไม่ต้องออกไปแดกไหนล่ะสัตว์ พิซซ่าหนึ่งแถมหนึ่งพอ"

   ดูท่าแล้วเราคงต้องคุยกันอีกยาว สีดำหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรเร็วๆ โดยมีผมนั่งมองการกระทำทุกอย่างตามไปด้วย

   "ซีฟู้ดใช่ป่ะ เล่นของแพงตลอดมึงอะ"

   เกลียดการโดนแขวะแบบนี้ที่สุด ผมเบะปากคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ทำไมต้องมาบ่นอะไรอย่างนี้ด้วยล่ะ ที่หนึ่งไม่เคยปริปากถามผมด้วยซ้ำ

   "อย่าร้องไห้นะมึง ร้องเมื่อไหร่กูพากลับบ้านแน่"

   "แล้วทำไมต้องพูดอะไรอย่างนั้นด้วยล่ะ"

   "พูดอะไร กูก็ทำตัวปกติป่ะ"

   "ไม่ต้องมายุ่งกับกูเลย!"
   
   "ทำอย่างกับกูอยากยุ่งนักนี่ จะบอกมาดีๆ หรือจะไปนั่งพับเพียบกราบกรานรายงานพวกคุณพี่ทั้งหลายของมึงเองว่าทำอะไรลงไปอะ" ผมไม่ยอมกลับบ้านอีกเลย ที่ตั้งใจไว้ก็จนกว่าเกรย์จะกลับอังกฤษไปนั่นแหละ เบื่อที่ต้องกลับไปเจอเขาพูดจาสองแง่อย่างนั้นใส่ เขาสามารถเกลียดผมได้ ผมเต็มใจให้เขาเกลียดเลยล่ะ แต่เขาไม่ควรไปพูดอย่างนั้นใส่คนอื่น ไม่ควรเลยสักนิด "งั้นที่กลับมานอนห้องก็เพราะอย่างนี้?"

   "...คงอย่างนั้น"

   "แล้วยังไม่เอาของออกจากกล่องอีกเหรอ พอใช้หรือไง?"

   "พออยู่แหละ"

   ผมไม่อยากแกะมันออก อยากให้มันอยู่อย่างนั้นเผื่อว่าอีกไม่นานผมจะได้กลับไปอยู่กับเขาอีก

   "กูย้ำหน่อยนะว่านี่แบล็ค ไม่ใช่ไวท์ ถึงมึงจะนั่งก้มหน้าอย่างนั้นกูก็ไม่ปล่อยให้มึงเงียบหรอก"

   "แล้วจะให้กูพูดอะไรล่ะ"

   "อะไรที่คิดว่าควรเล่าก็เล่ามาให้หมด"

   "...ที่หนึ่งเห็นแผลแล้ว" เหมือนมีใครไปสับสวิทช์เปิดโหมดเงียบหลังจากคำสุดท้ายออกจากปาก เมื่อประโยคแรกหลุดออกมาแล้วมันคงไม่มีประโยชน์อะไรอีกที่จะเก็บส่วนที่เหลือไว้ "เขาถามกูว่าแผลมายังไง"

   "แล้วมึงตอบไปว่า?"

   "กูไม่ตอบ"

   "ฉิบ..."

   "หมดเรื่องแล้ว"

   ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันมีแค่นี้ ผมก็ไม่รู้จะเล่าอะไรต่อไปอีก

   "แต่กูยัง"

   "อะไรอีกล่ะ"

   "แล้วทำไมมึงไม่เล่า?"

   "...กูเล่าได้หรือไง" ถ้าเริ่มเล่าแล้วมันต้องเล่าตั้งแต่ตรงไหน แล้วจะต้องจบที่ตรงไหน

   "น้องโรม..." เสียงเขาทั้งอ่อนและระอาใจ "เอาเลือดกูไปนี่ไม่ได้ฉลาดขึ้นเลยนะ"

   "ไม่ใช่เลือดมึงสักหน่อย"

   "ก็ลองไม่มีกูอยู่สิ มึงไม่ได้มานั่งตาแดงเป็นกระต่ายโง่ใส่อยู่อย่างนี้หรอก"

   การมีอยู่ของบางคนหมายถึงการต่อลมหายใจของตัวเองด้วยเช่นกัน ผมเข้าใจนะว่ากระต่ายบางตัวก็ตาแดงอยู่แล้ว ที่เติมคำว่าโง่เข้ามานี่แค่อยากหลอกด่าผมรึเปล่า

   "ดีแค่ไหนแล้วที่มึงเจอกูอะ ลองเป็นนิชสิ แม่งได้เค้นมึงจนตาย"

   "พี่นิชไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอกน่า"

   “หึ ทำอย่ากับไม่รู้ฤทธิ์มันไปได้”

   “ถึงขั้นนี้ใครจะทำอะไรอีก?”

   อารมณ์ไม่ดีมาจากไหนก็ไม่รู้ถึงได้ประชดออกไปทุกครั้งที่มีโอกาส ความน่าเบื่ออย่างหนึ่งของคุณพ่อคงไม่พ้นเรื่องนี้แหละ ตอกย้ำลงไปให้เจ็บกว่าเดิม

   "งั้นถามอีกข้อ สรุปแล้วมึงกับที่หนึ่งนี่ยังไง"

   "..."

   นั่นสิ เรื่องของผมกันเขานี่คือยังไงนะ

   ไม่อยากหานิยาม แค่มีเขาอยู่กับผมอย่างนี้ก็มีความสุขมากพอแล้ว

   "น่ารำคาญว่ะ" เขาขยี้หัวตัวเองด้วยความขุ่นเคืองใจ "กูถามไม่ตอบ ใครถามก็ไม่ตอบ แล้วจะทำตัวอย่างนี้ไปเพื่ออะไรวะ"

   เขาคงหมดความอดทนแล้วจริงๆ ถึงโพล่งออกมาอย่างไม่ปิดปัง ไม่อย่างนั้นเขาก็จะเป็นผู้ชมตำแหน่งวีไอพีในโรงโอเปร่ายิ้มนั่งมองจากที่สูงไม่ลงมายุ่งเกี่ยวเด็ดขาด

   "..."

   "เงียบอีกล่ะ มึงลองเงียบอีกทีกูเดินไปเปิดม่านแน่"

   "กูไม่รู้"

   "ถ้ามึงยังไม่รู้ กูก็ไม่แปลกใจที่มันจะไป"

   "แบล็ค!"

   "เสียงดังทำไม" การที่เขาทำท่าปิดหูของตัวเองอย่างนั้นโคตรน่าหมั่นไส้ "เข้าใจรึยังว่าทำไมพวกมันถึงค้านหัวชนฝาอย่างนั้นน่ะ เพราะพวกมันรู้ว่าสุดท้ายมึงก็จะกลับมาอยู่ในสภาพนี้ไง"

   ผมคิดมาตลอดว่าเน็ทกับนิชยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของผมมากจนเกินไป เจ้ากี้เจ้าการในทุกเรื่องโดนเฉพาะเรื่องที่หนึ่งที่จิกยิ่งกว่าอะไรดี จนมาถึงตอนนี้ผมรู้ซึ้งเลยว่าไม่มีอะไรเกินไปกว่าที่พวกเขาเคยพูดไว้สักอย่าง

   'อย่าเอาความลังเลมาเล่นสนุก'

   'หยุดได้แล้ว'


   ท้ายที่สุดแล้วผมมันก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง

   "เอาจริงคือกูก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่มันออกมาในสภาพนี้นะ" ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อมากเท่าไหร่เลยเงยหน้าขึ้นมามอง "นานกว่าที่กูคิดไว้เยอะ"

   "ไอ้เหี้ย" สรรหาคำด่าต่อไปไม่ออกแล้ว พูดมาอย่างนี้ก็ตีความได้อย่างเดียวว่าที่เขาอยู่นอกวงก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจ ก็แค่คิดตอนจบไว้ล่วงหน้าแล้วค่อยดูว่าจะเหมือนตามที่ตัวเองวางแผนไว้หรือไม่เท่านั้นเอง ดีไม่ดีอาจเกิดการแทรกแซงเพื่อให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการอีกด้วยซ้ำ

   "หึ"

   "ทำอย่างนี้ไปทำไมวะ"

   ในบางอารมณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรกับหุ่นเชิดให้เขาโบกไปมาได้ตามใจจนหลุดปากไป คุณพ่อทางพฤตินัยของผมสบตากลับมา โครงหน้าที่ดูลงตัวไปทุกสัดส่วนเรียบตึงจนกลายเป็นรูปสลักไร้ชีวิต อยากอ่านความคิดของเขาให้ทะลุมากเพียงไหนก็ทำได้เพียงแค่ยอมรอจนกว่าเขาจะขยับปากอีกครั้ง

   "กำลังทดสอบอะไรสักอย่างอยู่มั้ง"

   ไม่อยากจะนับว่านั่นเป็นการตอบ เขาหยุดพูดไปเมื่อโทรศัพท์ของตัวเองส่งเสียงร้องลั่น เป็นพิซซ่าที่มาถึงแล้ว แบล็คหันมาสั่งให้ผมนั่งรออยู่เฉยๆ ไม่หนีไปไหนพลางคว้ากระเป๋าเงินของตัวเองออกไปรับสินค้าโปรโมชั่น

   "ไหวไหม?" เธอนิ่งเงียบตลอดการคุยของเราจนเกือบลืมไปว่าห้องนี้มีสมาชิกอยู่สามคน ไวท์เดินเข้ามาจนชิดกับผม ปลอบขวัญที่เสียไปจากคำพูดทำร้ายจิตใจจำนวนมหาศาลจากคุณพ่อด้วยการดึงส่วนศีรษะของผมไปซบไว้กับหน้าท้องแบนราบ กลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวของพี่น้องขาวดำแสบจมูกอยู่เช่นเดิม

   "เอาความจริงเหรอ..." เหนื่อยกับสิ่งที่ต้องเผชิญเหลือเกิน ผมหลับตาลงรับสัมผัสที่อาจไม่อบอุ่นเท่าแต่ก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ไม่ต่างกัน หลอกตัวเองว่าน้ำตาที่หยดลงบนเสื้อสีดำสนิทของเธอตอนนี้มันเกิดจากกลิ่นหวานแปลกที่แสบไปทุกประสาทสัมผัส

   "ไม่เลย"
 


   เคยอ่านเจอมาว่าคาเฟอีนไม่ใช่สิ่งดีต่อร่างกายหากได้รับเข้าไปในปริมาณมากๆ เพราะงั้นต้องสั่งแต่พอดี

   "ชาเขียวปั่นแก้วใหญ่ครับ"

   แต่จะมาถามหาความพอดีกับผมที่อยู่ในช่วงเป๋ก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง

   ปกติแล้วผมไม่ชอบกินชาหรือกาแฟสักเท่าไหร่ ขอเว้นวันนี้ไว้หน่อยแล้วกันที่ต้องพึ่งมันสำหรับคาบบ่ายที่ห้ามตายเด็ดขาด เมื่อเช้าผมมีเรียนตอนแปดโมงถึงสิบเอ็ดโมง ได้เรียนจริงจังก็ปาไปเกือบสิบโมงเพราะหลับไม่รู้เรื่องคาโต๊ะเลคเชอร์ที่งีบไม่สบายเลยสักนิด ที่ยังพอมีแรงฮึดเรียนตัวบ่ายก็เพราะว่าวันนี้ผมเรียนไม่ตรงกับที่หนึ่งเลยสักคาบ มั่นใจได้เลยว่าต้องเข้าไปควิซไหวแน่
ยื่นแบงค์สีแดงไปให้พร้อมรอรับเงินทอนอยู่อย่างนั้น เห็นหน้าตัวเองที่สะท้อนกลับมาจากกระจกหลังร้านแล้วยู่หน้าลงอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ทำไมถึงหน้าโทรมได้ขนาดนี้เลยนะ

   ร้านดูแคบลงไปถนัดตาในเวลาที่นักศึกษาต่างต้องการหาตัวช่วยให้ตื่นตัวในการเรียน หมายเลขคิวที่สิบสามในขณะที่เมื่อกี้ผมเพิ่งได้ยินพนักงานตะโกนเรียกคิวที่เจ็ดให้ไปรับเครื่องดื่มเป็นการไล่ให้ไปหาที่นั่งทางอ้อม ผมพาตัวเองมานั่งรออยู่ตรงเก้าอี้สานริมกระจก กดเปิดโปรแกรมสนทนาออนไลน์สีเขียวขึ้นมา ถ้านี่ไม่ใช่หน้าจอกระจกผมว่ามันมีสิทธิสึกลงไปเป็นรอยมือแล้วล่ะ ในเมื่อผมนั่งกดมันทั้งวันอยู่อย่างนี้

   กดเข้าออกซ้ำๆ อยู่ตรงชื่อไลน์ที่เขียนไว้ว่า 'TeeNueng'

   บนเฟสบุ๊คส่วนตัวของเขาก็ไม่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มเติมใดๆ ให้รู้ว่าตอนนี้เขาสบายดีอยู่หรือเปล่า ที่พอเปลี่ยนไปบ้างก็แค่รูปโคฟเวอร์ในไลน์เป็นภาพพื้นสีเพลนที่ไม่รู้จะเรียกว่าสีอะไรดี สเตตัสที่ต่อท้ายก็มีเพียงอิโมติค่อนหมายเลขหนึ่งไม่ใช่ตัวไออย่างที่เป็นมาตลอดในช่วงหลัง

   ไม่มีอะไรทำก็กลับไปเล่นเกมส์แล้วกัน ตั้งใจจะปิดแล้วไปเปิดอีกแอพให้หายเบื่อก็ปรากฎการแจ้งเตือนขึ้นมาพอดี ผมมองชื่อเจ้าของไลน์ที่เด้งขึ้นมาใหม่แล้วเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นในหัว


   GRY : Guess what , Where am I


   ชื่อไลน์ไม่คุ้น รวมถึงภาพตัวแทนก็เป็นเพียงรูปท้องฟ้าแปลกตาที่ปรับจนซีดจาง

   ...แต่ก็เดาได้ว่าใครเป็นคนส่งมา


   GRY : Sent a photo
   GRY : Who is he?


   ไม่ต้องกดขยายภาพก็รู้ได้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร ในเมื่อรูปที่เขาส่งมาคือภาพที่หนึ่งบนไวนิลที่ซีดไปตามกาลเวลา ชื่อของผู้ชายคนนั้นกับคำเขียนสั้นๆ ว่า Beyours เล่นเอาผมไปต่อไม่ถูก

   ผมอยากเป็น 'ที่หนึ่ง' ของคุณ

   สายตาที่ผมเคยบอกว่ามันเว้าวอนขออะไรสักอย่างมันยังคงอยู่อย่างนั้นไม่แปรเปลี่ยนไป


   GRY : Where r u
   GRY : Wanna have twin talk?



   คุณพินิจมีลูกแฝดสองคู่ แบล็คกับไวท์ แล้วก็เกรย์กับโรม...

   สัมผัสได้แต่รอยประชดประชันและเสียดสีในตัวอักษรเหล่านั้น และไม่ต้องตอบกลับอะไรไปสิ่งที่ถูกส่งมาเป็นอย่างสุดท้ายคือโลเคชั่นที่อยู่ของเขาในเวลานี้


   GRY : Always waiting
   GRY : ; )



   เครื่องหมายที่ผสมกันเป็นรูปรอยยิ้มกลายเป็นเพียงการเตือนให้ระวัง ผมกำโทรศัพท์ในมือแน่น มาถึงขนาดนี้แล้วผมไม่มีอะไรจะต้องเสียเพิ่มแล้วล่ะ ก้าวเดินออกนอกร้านโดยปล่อยให้ชาเขียวแก้วเกือบร้อยที่เพิ่งสั่งเป็นม่ายไปอย่างไม่แยแส คุยกันให้จบๆ ไปเลยก็ดี จะได้ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก

   พอเดินตามที่อยู่ที่เขาส่งมาให้แล้วถึงรู้ว่าคือที่ไหน โรงยิมชั้นสองว่างเปล่าตอนที่ผมขึ้นไป เวลาบ่ายสองมันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่จะไม่มีใครอยู่ สถานที่ออกกำลังกายแบบปิดไร้ซึ่งหน้าต่างระบายอากาศเต็มไปด้วยความร้อนสะสม ผมกระแอมไอออกมาสองสามครั้งเพื่อไล่ฝุ่นในโพรงจมูก ตอนตามที่หนึ่งมามันเป็นเวลาเย็นที่เปิดไฟสนามไว้แล้ว แถมยังมีพัดลมอะไรไว้บริการเสร็จสรรพ ต่างจากตอนนี้ที่ทั้งมืดและวังเวงเสียเหลือเกิน

   ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงรองเท้าผ้าใบคู่เก่งของผมเสียดสีไปตามพื้นไม้ ผมกวาดตาหาเจ้าของคำเชิญชวนจนทั่วแล้วก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากตัวเอง ใจมีแต่ความหวาดระแวงเต็มไปหมด หรือว่าเขาจะหลอกให้ผมมาที่นี่เพื่อที่ให้อยู่ห่างกับที่หนึ่ง

   ไม่เคยคาดเดาความคิดของเขาออกเลยให้ตายเถอะ

   ที่บอกว่าเหมือนพี่รวมถึงเรื่องนี้อีกเรื่อง ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ที่ส่งต่อมาตั้งแต่รุ่นพ่ออย่างคุณพินิจแล้ว การที่ต้องมาเดาความคิดของคนบ้านนี้เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ต่อให้พยายามวิ่งตามให้ทันมากแค่ไหนพอเริ่มตีตื้นได้ก็จะพบว่าผมไม่ได้เร็วขึ้นเลย พวกเขาแค่ผ่อนการวิ่งให้ผมตามทันแค่นั้นเอง และพอเป็นที่พอใจแล้วก็กลับไปวิ่งเต็มสปีดแบบเดิม

   "โรงยิมนี่ควรจะปรับปรุงหน่อยนะ"

   สะดุ้งไปนิดหน่อยตอนที่เกิดเสียงแทรกท่ามกลางความเงียบสงบ ผมท่องบอกตัวเองให้ใจเย็นเข้าไว้ วันนี้ไม่ว่าเกรย์จะมาไม้ไหนผมก็ต้องสู้กับมันให้ได้

   "ทำไมต้องมาคุยถึงบนนี้?" ไม่ได้สงสัยอะไรจริงจังหรอก ก็แค่ว่าไม่รู้จะเริ่มอย่างไรก็เท่านั้นเอง

   "มันเงียบดี ไม่มีคนอื่นเข้ามาสอด"

   "แล้วมีอะไรจะคุยอีก"

   "หลายอย่าง ให้เริ่มตรงไหนดี"

   "อยากเริ่มตรงไหนก็เชิญ ช่วยเล่าตั้งแต่ต้นด้วยนะ บางเรื่องก็อาจลืมไปแล้ว"

   ตลกดีที่วันนี้เราต้องมาเผชิญหน้ากันในรูปแบบนี้ ไม่มีเค้าความสนิทสนมเดิมที่เคยมีมาตั้งแต่จำความได้

   "งั้นเอาเรื่องของผู้ชายคนนั้นก่อนไหม" เกลียดยิ้มหยันอย่างนั้นเหลือเกิน "ชื่ออะไรนะ ที่หนึ่งรึเปล่า?"

   "อย่ายุ่งกับหนึ่ง"

   บอกเสียงห้วน ผมมองเขาตาขวาง หวาดระแวงกับทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ ก็อย่างที่บอกไงว่าสีผสมอย่างเขาน่ะอันตรายไม่ต่างจากคนเป็นพี่ทั้งสองคนหรอก

   "ทำไมถึงยุ่งไม่ได้ล่ะ"

   "หนึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้...อย่าเอาเขาเข้ามาเกี่ยว"

   "ไม่เกี่ยวเหรอ แน่ใจแล้วใช่ไหม?"

   "ใช่"

   "เฮ้อ...น่างสงสารจังนะ บางคนก็โง่ให้หลอกไปเรื่อย" ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเพราะอะไรเขาถึงสนใจเรื่องของผมกับที่หนึ่งอย่างนี้ "ชื่อไม่ได้บอกตำแหน่งสักหน่อย ว่าอย่างนั้นไหม"

   ครั้งสุดท้ายที่เราได้พูดคุยกันจริงจังมันผ่านมากี่ปีแล้วนะ กี่ปีแล้วที่เราไม่ได้รับฟังเรื่องราวในชีวิตของอีกฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมไม่เคยรู้ว่าชีวิตการอยู่ในโรงเรียนประจำของเขาเป็นอย่างไร ได้เห็นหน้ากันก็เพียงแค่ช่วงสุดสัปดาห์ตามข้อตกลงที่เขาให้ไว้ หากเจอหน้ากันต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดจาปราศรัยกันสักนิด จนผมสงสัยว่าในขณะที่ผมไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ทำไมเกรย์ถึงรู้ไปถึงเรื่องที่เป็นความลับที่สุด

   เรื่องที่ควรจะมีแค่ผมคนเดียวที่รู้

   "...ทั้งที่บนนั้นมีอีกคนยืนอยู่แล้ว" เขาทำเหมือนสิ่งที่ผมทำมันน่าสมเพชเสียเหลือเกิน "ที่หนึ่งน่ะมีได้แค่คนเดียวนะโรม"

   "อยากมีตำแหน่งอีกคนหรือไง"

   "ก็เปล่า แค่อยากรู้ว่าสรุปแล้วตอนนี้คนที่อยู่บนนั้นเป็นใครกันแน่ ...จะได้เอาไปบอกอีกคนได้ถูก"

   "ขอบคุณในความหวังดี แต่ไม่ต้องการ"

   "งั้นเดี๋ยวจะไปบอกนางฟ้าให้แล้วกันนะ"

   เอาอีกคนมาล่อให้หลุดปากออกมา ถึงตอนนี้ผมก็มั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เขาต้องการได้ยินคืออะไร

   "เขาเป็นที่หนึ่งไม่ได้อยู่แล้ว พอใจรึยัง!!"

   ได้ยินเสียงของตัวเองก้องเต็มโรงยิม ความที่ไม่ใช่คนชอบใช้เสียงดังเป็นทุนเดิมตอนนี้ลำคอเลยแสบไปหมด พอมาประกอบกับร่างกายที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงดีมากเท่าไหร่ในช่วงนี้ผมเลยรู้สึกหัวหมุนไปชั่วขณะ จนต้องโค้งตัวลงเพื่อปรับสมดุล

   "อยากให้รู้เท่านี้ใช่ไหม"

   "!!!"

   ความเจ็บปวดทั้งหมดถูกลืมไปในทันที ผมหมุนตัวไปทางด้านหลังของตัวเองโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ ร่างที่ควรสั่งให้เป็นไปตามที่ต้องการได้กลายเป็นว่าผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ มันชาดิกไปหมด รวมกับว่าผมเพิ่งได้รับสารพิษเข้าร่างไป

   ที่หนึ่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...

   ในขณะที่ผมนิ่งไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง ริมฝีปากที่ผมเคยสัมผัสคลี่ยิ้มจางให้ เขาเหมือนดีใจที่เห็นผมอยู่ตรงนี้ ในขณะที่มองอีกทางได้เหมือนกันว่ามันคือการฝืนเพื่อเก็บซ่อนอะไรไว้ มันยกขึ้นสูงอยู่อย่างนั้นจนเผลอจ้องริมฝีปากสวยว่ากำลังจะเอ่ยเอื้อนคำใดออกมาอีก

   ในบางเวลามิติของเราก็เข้ามาอยู่ใกล้กัน แต่ไม่อาจส่งความรู้สึกถึงกันได้

   ส่วนลึกในใจบอกว่าสิ่งที่ผมเคยกลัวกำลังเกิดขึ้นจริง

   "ถ้าเป็นเรื่องนี้ความจริงไม่ต้องเรียกผมมาก็ได้"

   "..."

   "ผมรู้อยู่แล้วว่า 'ลัจ' คือที่หนึ่งของโรม"

   อ่อนล้า เหนื่อย ท้อ แต่ก็ยอมรับความจริง ทุกอย่างรวมอยู่ในหนึ่งคำพูด

   รู้หมดทุกอย่างนั่นแหละ
 
   ...กลายเป็นผมเองที่ไม่รู้อะไรเลย

   "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมไปก่อนนะ"

   ไม่รอให้ใครยื้อหรือรั้ง เขาหันหลังกลับแล้วเดินออกไปอย่างไร้เยื่อใย ภาพอดีตครั้งที่เขาเลือกที่จะเดินออกไปทับซ้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า หนึ่งเฉลยแล้วว่าเพราะอะไรถึงตัดสินใจเลือกที่จะหยุดอยู่ตรงนั้น ต่อให้ผมอยากจะวิ่งตามแผ่นหลังนั้นไปอย่างที่เคยอยากทำเมื่อครั้งก่อนผมกลับถูกอะไรบางอย่างตรึงไว้อยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับไปไหนอีก หัวสมองตื้อไปหมด

   "ได้ยินไหม ...ผมไม่ได้เป็นคนพูดเองนะ"

   เกรย์พูดทั้งที่ไม่ได้กลับมามองผมสักนิด เสียงแห้งแล้งของเขาที่เคยทำร้ายจิตใจผมมาโดยตลอดเทียบไม่ได้กับหนึ่งประโยคก่อนหน้าของที่หนึ่ง

   "ทำอย่างนี้ทำไม..." นึกอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ สายตาของผมมองแผ่นหลังนั้นลับหายไปเป็นครั้งที่สองอยู่อย่างนั้น มันคือคำถามที่ผมเคยคิดอยากจะบอกออกไปหลายต่อหลายครั้ง ว่าเพราะอะไรกระจกที่เคยเป็นตัวสะท้อนของกันและกันถึงอยากจะแยกออกจากกันไป เราเคยสนิทกันมากไม่ใช่เหรอ

   เคยสัญญากันไว้

   ว่าเราจะเป็นคนสุดท้ายที่บอกลากัน

   "คนที่แย่งทุกอย่างไป ก็ไม่สมควรได้อะไรเหมือนกัน"

   "คิดอย่างนั้นมาตลอดเลยสินะ" ในสถานการณ์อย่างนี้ผมกลับแค่นหัวเราะให้ตัวเอง อย่างน้อยสิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มันก็ถูกต้องมาตลอด เขามองผมเป็นแค่คนที่เข้ามาแย่งพื้นที่ของเขาไป "ถ้าได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วก็ไปสักทีเถอะ อย่ามายุ่งชีวิตของกูอีก"

   เขาเดินผ่านหน้าของผมไปโดยไม่มีการบอกลา เสียงฝีเท้าที่ไกลออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นไร้สรรพเสียงใด ห้องกว้างเหลือเพียงผมยืนอยู่เดียวดาย และพอมันยิ่งเงียบมากเท่าไหร่ เสียงของเขากลับก้องกังวาลอยู่ในหูมากเท่านั้น

   "ผมรู้อยู่แล้วว่า 'ลัจ' คือที่หนึ่งของโรม"


***
   #ที่หนึ่ง #ที่ไม่ใช่ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ GMJeam

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #323 เมื่อ13-03-2016 19:47:50 »

เครียดไปอีก

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #324 เมื่อ13-03-2016 20:22:06 »

โอ้พระจ้าวววววววว!! นี่มันเรื่องอะไรก๊านนนนนนนนนนนน!?
ความมุ้งมิ้งโมเอะในตอนต้นเรื่องมันหายไปไหนหมดแล้ว!
ยิ่งอ่านก็ยิ่งมีแต่เรื่อง อยากบอกคนเขียนว่าบางทีก็ปมเยอะเกินไปหน่อยนะจ๊ะ...
ปล.ที่หนึ่งผู้น่าสงสาร มากอดเราก็ได้นะนาย โอ๋ๆ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #325 เมื่อ13-03-2016 23:18:38 »

เครียดอ้ะ แง

ปมเยอะ จุงงงงง

สงสารหนึ่งมากเลยอ่า

ออฟไลน์ kung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #326 เมื่อ14-03-2016 10:42:41 »

ไม่เคลียร์อะไรเลยอะ เริ่มมึน คือแต่ละคนดูไม่ปกติเลยเว้นที่หนึ่งคนเดียว นอกนั้นเหมือนมนุษย์กลายพันธุ์x-menไปสิ555 ยิ่งอ่านยิ่งหน่วง ที่หนึ่งจะไม่มีบทแล้ว เปลี่ยนเป็น ที่เกรย์ ที่แบล็ค เหอะ บทโคตรเยอะ #เอาที่หนึ่งที่เป็นที่หนึ่งกลับมาเถอะนะๆ  :z3:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #327 เมื่อ14-03-2016 11:13:51 »


อ่านแล้วอึดอัด ไม่เคลียร์ ไม่ชัด แบบไร้ว้า!!

แต่ที่หนึ่งก็คือที่หนึ่ง จริงๆ นะ

รอตอนต่อไปค่ะ ลุ้น!!

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #328 เมื่อ14-03-2016 11:25:28 »

มีมาเพิ่มอีกหนึ่งแล้ว อะไรกันน๊าบ้านนี้

ออฟไลน์ Ametyst

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
«ตอบ #329 เมื่อ14-03-2016 11:43:27 »

แค่อ่านบทนำ ก็รีบปักหมุดเลยค่ะ น่าติดตามมากกกก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด