1.
“กูชอบภีม”
ในคืนที่ดาวเกลื่อนฟ้า ผมนิ่งอึ้งหลังได้ยินคำสารภาพนั้น
เข้าใจว่าตอนนี้ทะเลกำลังสวย ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ลมโชยพัดมาเบา ๆ ท้องฟ้าคืนแรมมีพระจันทร์เสี้ยวเล็ก ๆ บรรยากาศลงตัวแสนโรแมนติกเป็นใจ ไม่แปลกถ้าใครบางคนจะเลือกบอกความจริงที่เก็บซ่อนไว้
แต่ผิดแค่ว่า...ผมไม่ใช่ภีม และคนพูดคือ...ไอ้เก้า
ไอ้เก้า มนุษย์ร่างสูงใหญ่หุ่นนักกีฬา ผิวเข้ม หน้าตาคม มองเผิน ๆ เหมือนเด็กเรียนวิศวะมากกว่าเรียนคณะอักษร เวลาเดินผ่านไปแถวคณะวิศวะทีไร จะมีรุ่นน้องยกมือไหว้กันเกรียวเพราะนึกว่าเป็นรุ่นพี่ แล้วมันก็ดันรับสมอ้าง แกล้งใช้ให้รุ่นน้องไปทำนู้นทำนี้ มันบอกว่าเป็นการเอาคืนที่พวกวิศวะมาจีบเด็กคณะเราเยอะ แต่ถึงอย่างนั้น สาวในคณะส่วนใหญ่ก็ยังแอบปลื้มมัน และตลอดสี่ปีที่เรียนมา ผมก็เห็นมันควงผู้หญิงสวย ๆ ไม่ซ้ำหน้า
...พูดง่าย ๆ ไอ้เก้าเป็นคนสุดท้ายที่ผมคิดว่า ...มันจะชอบผู้ชาย
“กูไม่รู้ว่าชอบภีมตอนไหน แต่กูก็ชอบมันไปแล้ววะ”
ไอ้เก้าพึมพำขึ้นมาอีกครั้ง ทีแรกผมคิดว่ามันแค่พูดเล่นตามนิสัยกวนตีน แต่พอได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของมัน ผมก็ชักเริ่มไม่แน่ใจ อาจเพราะด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของพวกเรา
ทะเลที่ผมนั่งมอง คือการมาเที่ยวครั้งสุดท้ายของชีวิตนักศึกษา ผมกับเพื่อนในกลุ่มเพิ่งสอบวิชาตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อตอนบ่าย แล้วก็พากันขับรถสามคันรวม ชาย 9 หญิง 3 ตียาวจากมหาลัยมาถึงหัวหิน จองรีสอร์ทแบบบ้านเดี่ยวหลังใหญ่เพื่อความเป็นส่วนตัว ซื้อเหล้าเบียร์ กับแกล้ม ตั้งวงนั่งดื่มชมวิวตั้งแต่พระอาทิตย์ตกจนฟ้ามืด
ตอนเกือบสี่ทุ่ม กรึ่ม ๆ กำลังดี ผมได้ยินเสียงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกง เลยเดินหลบจากวงเพื่อน ๆ ซึ่งเริ่มเมาส่งเสียงคุยเอะอะ หาที่นั่งปลีกวิเวกตรงชายหาดเงียบ ๆ หยิบโนเกียรุ่นเก่าตกยุคเพื่อรับสาย
แม่โทรมาคุยถามไถ่เป็นปกติทุกวัน ผมไม่ลืมบอกแม่ว่าอยู่หัวหิน วันพรุ่งนี้ถึงจะกลับ แม่เตือนว่าให้ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วคุยยาวไปจนถึงเรื่องการย้ายหอออกในสิ้นเดือนนี้
...นึกแล้วก็ใจหาย ช่วงเวลาสี่ปีคล้ายจะนาน แต่สำหรับผมเหมือนผ่านไปแค่พริบตาเดียว การมาเที่ยวครั้งนี้จึงถือเป็นปาร์ตี้ฉลองเรียนจบกับเพื่อน ก่อนที่เราจะแยกย้ายไปเผชิญกับโลกการทำงานแท้จริง
หลังจากวางสายเสร็จ ผมรู้สึกตัวว่ามีคนเดินมาทรุดตัวนั่งที่พื้นทรายข้าง ๆ พอหันไปก็เจอไอ้เก้า ผมกำลังจะอ้าปากทักว่าหนีเสียงดังมาเหมือนกันเหรอ ทว่าอยู่ ๆ มันกลับชิงพูดขึ้นซะก่อน
...ไม่ใช่ประโยคนั้น แต่เป็นคำถามแบบไม่มีที่มาที่ไป
“มึงว่าโลกห่างจากดวงอาทิตย์เท่าไร”
ผมชะงักด้วยความงง พยายามเพ่งสังเกตสีหน้าของไอ้เก้าว่าเมารึเปล่า เพราะเห็นมันดื่มไปหลายแก้ว แต่ในความมืดลาง ๆ นั้นผมเดาไม่ออก เลยแกล้งย้อนถามกลับ
“อะไรของมึง จะมาทดสอบความรู้กูก่อนเรียนจบเหรอวะ”
คนฟังไม่รับมุก แถมส่งเสียงจิ๊จ๊ะเร่งคาดคั้น
“เออ ตอบมาเท่าไร หรือมึงไม่รู้”
...อ้าว ๆ อย่าดูถูกเด็กเอกภูมิศาสตร์สิครับ ไอ้คำถามเนี่ยตอบได้ตั้งแต่ยังไม่แอดเข้ามหาลัยด้วยซ้ำ
“150 ล้านกิโลเมตร ถ้าคิดเป็นไมล์ก็ 92,600,000 ไมล์”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ไม่เฉพาะแค่ดวงอาทิตย์ จะให้ท่องระยะห่างจากโลกไปดวงจันทร์ โลกไปดาวเสาร์ หรือดาวดวงไหน ๆ ในจักรวาลก็ตอบได้หมด มันเป็นความชอบส่วนตัว ผมจึงมีคลังความรู้เก็บไว้เพียบ แต่ไอ้เก้าดูเหมือนไม่ค่อยจะแสดงความชื่นชมในความสามารถพิเศษนี้ แค่พึมพำสั้น ๆ
“เหรอวะ ไกลเนอะ”
...อะไรของมัน? ตกลงมึงเมาใช่มั้ยไอ้เก้า
ใจผมคิดจะถามกลับ แล้วลากมันไปหาเพื่อนในกลุ่ม ดื่มน้ำสักแก้วคงช่วยให้สร่างเมาอยู่บ้าง แต่ไอ้เก้ากลับดันพูดต่อ ด้วยประโยคแบบไม่มีที่มาที่ไปอีกครั้ง
...ประโยคที่ทำให้คิดว่า ผมเป็นฝ่ายเมาจนฟังเพี้ยนไปเสียเอง
แต่น้ำเสียงของไอ้เก้าหนักแน่นจนผมชักไม่มั่นใจ ความคิดมากมายเริ่มตีกันในสมอง หรือผมอาจแปลความหมายคลาดเคลื่อน จริง ๆ ไอ้คำพูดว่า ‘ชอบ’ ของไอ้เก้าอาจจะแปลเป็นอย่างอื่นก็ได้
“มึงหมายถึง มึงชอบภีมแบบไหน?”
“แล้วมันจะมีแบบไหน”
“แบบเพื่อนไรเงี้ย”
“แบบเพื่อนกูก็เป็นกับมันอยู่แล้ว”
คำอธิบายแฝงนัย สื่อออกมาถึงระดับความลึกซึ้งในคำว่า ‘ชอบ’ ของไอ้เก้าอย่างชัดเจน
ความจริงผมไม่ได้รังเกียจเกย์ กะเทย อาจเพราะอยู่ในคณะที่สังคมอุดมไปด้วยเรื่องพวกนี้จนชิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังมีอย่างอื่นที่ผมไม่เข้าใจอยู่ดี
“ถ้ามึงชอบไอ้ภีม มึงก็ไปบอกมันดิ มาบอกกูทำไมละ”
แม้พวกเราจะอยู่กลุ่มเดียวกัน แต่ผมสนิทกับเก้าน้อยมาก เราเรียนกันคนละเอกโท เวลาเรียนไม่เคยตรงกัน ที่มาคบกันได้ก็เนื่องจากคณะสายภาษาผู้ชายมีน้อย ไอ้ผู้ชายที่เห็น ๆ ก็ไม่ใช่ชายแท้ กว่าจะรวบรวมคัดกรองพวกที่นับว่าเป็น ‘ผู้ชาย’ จริง ๆ ในชั้นปีจึงมีอยู่ไม่ถึงยี่สิบคน
และผมก็เชื่อมาตลอดว่า ถ้าจะยกตัวอย่างผู้ชายที่ดูมาดแมนสมชายที่สุด ทั้งนิสัย ท่าทาง บุคลิก ก็คงเป็นไอ้เก้าเนี่ยแหละ
มันปากหมา ใจร้อน ไม่กลัวใครหน้าไหน ถ้ามีเรื่องกับใครมันก็พร้อมออกหน้าลุยแทน มันรู้จักกับคนเยอะแยะทั้งในและนอกคณะ ผิดกับผมที่ไม่ค่อยสนิทกับใครเท่าไร ผมชอบอยู่เงียบ ๆ มีโลกส่วนตัวของตัวเอง ยิ่งใส่แว่นประกอบกับบุคลิกเนิร์ด ๆ เหมือนเด็กเรียน ใคร ๆ ก็บอกว่าผมเป็น ‘ไอ้ติ๋ม’ ประจำกลุ่ม แถมยังจะพ้องกับชื่อเล่นตัวเองอีกต่างหาก
“ติณ มึงพูดเหมือนง่าย ถ้ากูบอกได้กูคงบอกไปแล้ว”
ไอ้เก้าทำสีหน้าหงุดหงิด แปลออกมาประมาณว่า มึงก็น่าจะฉลาดพอคิดได้นะ
อ้าว...ผมจะไปรู้ได้ไงวะ เห็นปกติไอ้เก้ามันมีอะไรก็พูดตรง ๆ เป็นขวานผ่าซากจะตาย ที่สำคัญไม่เคยมีใครมาขอคำปรึกษาเรื่องความรักจากผม แล้วยังเป็นความรักระหว่างเพื่อนในกลุ่มที่รู้จักกันอีก แต่ก็คงจะจริงอย่างที่มันว่า
...ถ้าบอกรักกับใครสักคนได้ง่ายขนาดนั้น ก็คงไม่มีคำว่า ‘แอบรักข้างเดียว’
“แล้วได้บอกคนอื่นอีกมั้ย”
“ไม่ กูเพิ่งบอกมึงคนแรก”
ผมเลิกคิ้วแปลกใจ นึกว่าคนอย่างไอ้เก้าจะเที่ยวไปปรึกษาคนในกลุ่มที่ดูใช้การใช้งานได้ อย่างไอ้พอส ขึ้นชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิง หรือ ไอ้เอิร์ธ ที่มีแฟนรักกันยาวนานตั้งแต่มัธยม แต่ถ้อยคำเฉลยต่อมาก็ทำให้เริ่มเดาทางออก
“กูไม่อยากเก็บไว้คนเดียว กูอึดอัดว่ะ”
สงสัยวันนี้คงถึงจุดพีคของไอ้เก้า บังเอิญผมอยู่ตรงนั้นพอดีเลยเหมาะเป็นที่ระบาย แล้วเรื่องมากมายซึ่งถูกเก็บไว้ในใจ ก็ค่อย ๆ ทยอยผ่านปากมัน
“ตอนแรกกูไม่เคยคิดอะไรกับไอ้ภีมเลยนะ กูเห็นว่ามันเป็นแค่เพื่อน แต่มึงก็รู้ว่ามันเป็นคนคุยด้วยง่าย พอมีอะไรกูก็จะปรึกษามัน กูเริ่มสนิทกับมันเรื่อย ๆ โทรหามันทุกวัน จนหลัง ๆ กูไม่รู้ว่า กูแค่อยากคุยกับมัน หรือเพราะกูขาดมันไม่ได้”
ผมนึกภาพออกทั้งหมดตามที่ไอ้เก้าเล่า
ภีม ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาที่หล่อโดดเด่นกว่าใครในกลุ่ม มันยังนิสัยดี มีมนุษย์สัมพันธ์ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ภีมเป็นเหมือนพระอาทิตย์ดวงใหญ่ดึงดูดให้คนรอบตัวเข้าหา ใครที่อยู่ใกล้กับมันคล้ายโดนออร่าให้อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นผู้ชายเพอร์เฟคจนหน้าหมั่นไส้ แต่ทุกคนก็เกลียดมันไม่ลง
แล้วคนที่ไปไหนมาไหนกับภีมบ่อยสุดก็คือเก้า เป็นคู่ดูโอปาท่องโก๋ เรียนเอกโทเดียวกัน อยู่หอเดียวกัน มีภีมที่ไหนมีเก้าที่นั้น เป็นแบบนี้ตลอดสี่ปี โดยที่ภีมมันคงไม่รู้ตัวสักนิดว่า ความสนิทจากคนใกล้ ๆ ตัว วันหนึ่งจะเกินเลยกว่าคำว่า ‘เพื่อน’
“กูกลัวว่าถ้ากูบอกภีมไป มันจะไม่อยากมองหน้ากู มันจะตัดเพื่อนกับกู ...กูรับไม่ได้”
ผมพยักหน้าเข้าใจ เพื่อนคงเป็นสถานะที่ปลอดภัยสำหรับคนแอบรัก ไอ้เก้าจึงเลือกตัดสินใจไม่บอก เพราะถึงผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องความรัก แต่ก็รู้ว่าการถูกเกลียดจากคนที่เราชอบมันเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน ไม่งั้นจะมีข่าวคนอกหักฆ่าตัวตายบ่อย ๆ เหรอ
พอนึกถึงตรงนี้ ผมก็กลัวว่าไอ้คนข้าง ๆ จะเผลอคิดอะไรแพลง ๆ ทำนองนั้น เลยต้องรีบหาคำมาพูดปลอบ
“เฮ้ย ๆ มึงก็ลองมองโลกในแง่ดีบ้าง อย่างน้อยถ้ามึงเป็นเพื่อนไอ้ภีม ยังไงมึงก็ยังได้อยู่ใกล้ ๆ คนที่ชอบตลอดนะเว้ย”
“เหรอวะ”
ไอ้เก้าพึมพำตอบสั้น ๆ คล้ายไม่ใส่ใจ เหมือนตอนที่มันถามว่าดวงอาทิตย์ห่างจากโลกเท่าไร ดวงตาคมมองไปที่คลื่นซึ่งซัดกระทบ ผมเดาอารมณ์ในแววตามันไม่ถูก แต่ก็พยายามนึกหาเหตุผลมาปลอบใจมันอีก หากยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ กลับมีเสียงแทรกดังขัดจากด้านหลัง
“เฮ้ย! ไอ้เก้า ไอ้ติณ นั่งทำอะไรกันสองคนวะ กูหาตั้งนาน ไอ้พอสมันซื้อเหล้ามาเพิ่มแล้ว มาช่วยกันกินหน่อย คิดตังค์หารแล้วนะโว้ย!”
ภีมเป็นคนตะโกนเรียก เห็นมันถือแก้วเหล้ามาด้วย คงเป็นห่วงที่เห็นว่าเพื่อนสองคนหายไป เลยเดินมาตาม ไอ้เก้าลุกขึ้นยืนหันไปส่งเสียงตอบไปบ้าง
“เออ รู้แล้ว! เดี๋ยวกูไป อย่าแดกถั่วหมด เหลือให้กูด้วย”
“ได้ ๆ เดี๋ยวกูไปบอกไอ้ขิงก่อน เมื่อกี๊มันแกะถุงที่สองแล้ว มึงก็รีบตามมาดิ เดี๋ยวกูกั๊กให้มึงไม่ทัน ไอ้ติณ มึงด้วยนะ น้ำแข็งในแก้วมึงละลายหมดแล้ว”
ท้ายประโยคภีมหันมาพูดกับผม ซึ่งผมก็พยักหน้ารับลุกขึ้นยืนตามไอ้เก้า ปัดเศษทรายออกจากกางเกง เตรียมกลับไปยังวงเหล้า แต่อยู่ ๆ ไอ้คนนำก็ชะงัก จนผมที่ตามหลังต้องเงยหน้าไปมอง แล้วก็พบสาเหตุว่าทำไมไอ้เก้าถึงหยุดเดิน
ถ้า 150 ล้านกิโลเมตร คือระยะห่างจากโลกถึงดวงอาทิตย์
15 ก้าว ก็คือระยะห่างจากตรงจุดที่ไอ้เก้ายืนบนหาดไปจนถึงไอ้ภีม
แต่เพียงแค่ก้าวสั้น ๆ ของผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาภีม และไอ้ภีมก็ส่งยิ้มกว้างไปให้คนคนนั้น ...คนที่ภีมเรียกว่าเป็นแฟน
...15 ก้าว ของไอ้เก้าก็คงเท่ากับ 150 ล้านกิโลเมตร ในนาทีนั้น
สิ่งที่ทำให้ระยะห่างระหว่างเก้ากับภีมเพิ่มมากขึ้น มีเพียงเหตุผลเดียว
...ภีมมีเนตร ...และภีมก็รักเนตร
...
...
ผมคล้ายจะได้ยินเสียงพึมพำของไอ้เก้าดังแว่วมา
“เหรอวะ ไกลเนอะ”-------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
สวัสดีค่ะ เอาเรื่องสั้นมาฝาก เป็นเรื่องสั้นหลายตอนจบค่ะ แต่คิดว่าไม่น่าจะเกินสิบ
ดราม่าหรือเปล่า ไม่บอก...ต้องเดาเอาเองค่ะ ฮาาาาา
ฝากติชมได้ทุกความคิดเห็น ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ BitterSweet