เสน่หา...รักเอย ตอนที่๑๓
กลิ่นแก้มนวลชวนชื่นพี่รื่นหลง บุษบงอวลกลิ่นรวินท์หวาน
พี่ฝังจูบสูดกลิ่นแก้มรพีกานต์ ชื่นดวงมานกานต์แก้วแพร้วพิไล
[/color]
-มญชุ์สิตางศุ์-
“ว่าจะถามหลายรอบแล้วก็เผลอลืม ไม่ยักรู้มาก่อนว่าพี่วินจะพายเรือเป็นด้วย”
รพีกานต์เอ่ยเย้ายิ้ม ๆ ขณะใช้มือวักน้ำเล่น มุมปากฉีกยิ้มกว้างอวดแนวฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบ ยิ้มทั้งดวงหน้าและดวงตาทอประกายสดใส
“พี่เคยพายเรือแคนู เรือคายัคน่ะ เรือพายธรรมดาก็ไม่ยากเท่าไหร่”
อัครวินท์บอกขณะจ้วงไม้พายจ้ำลงน้ำพาเรือลำน้อยเลียบล่องไปตามคลองผ่านเรือนริมน้ำ บรรยากาศอวลไปด้วยกลิ่นอายความสุขสงบ สายตาคมกริบจ้องมองดวงหน้าผ่องผัดเพียงแป้งเด็กไม่วางตา
“กานต์หน้าคล้ายแม่หรือ”
อัครวินท์เอ่ยปากถามอย่างไม่คิดอะไร แต่ใบหน้าคนฟังสลดลงวูบหนึ่ง ก่อนเปิดปากบอกตามตรง
“อันนี้กานต์ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ตั้งแต่เกิดมา กานต์ก็ถูกนำมาทิ้งไว้ที่ถังขยะหน้าบ้านคุณพ่อรพินทร์ตั้งแต่สายสะดือยังไม่ทันแห้ง ด้วยความเมตตาของคุณพ่อ กานต์เลยอยู่สุขสบายดีมาจนถึงตอนนี้”
รพีกานต์ไม่เคยคิดอยากปกปิดชาติกำเนิดตน ตรงกันข้าม หนุ่มน้อยกลับเต็มใจบอกให้รับรู้เสียด้วยซ้ำ ว่าคุณพ่อรพินทร์มีน้ำใจต่อคนที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแค่ไหน
“พี่ขอโทษที่ละลาบละล้วง พอดีเห็นกานต์หน้าไม่ค่อยคล้ายพ่อเท่าไหร่ ส่วนพี่น่ะเบ้าหน้าถอดแบบบล็อกพ่อมาเลยเต็ม ๆ แต่ริมฝีปากกับผิวนี่ได้แม่มา”
ริมฝีปากอัครวินท์สวยบาง มุมปากโค้งขึ้นเหมือนกำลังยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ตลอด ยิ่งเจอสายตาแพรวพราวเข้าไป มองไปที่ใคร คนนั้นมักจอดไม่แจวตลอด
“ดีจัง ผิวพี่วินสวยกว่ากานต์เสียอีก ทั้งขาวทั้งเนียนละเอียด จะว่าไปแล้วดูดี ๆ พี่วินนี่ก็สวยอยู่นา”
ยิ้มหวานกระเซ้าเย้าแหย่คนรูปหล่อ ผิวพี่วินขาวราวเคลือบมุก เนียนไม่ต่างจากผิวผู้หญิง สวยกว่าไอยวริญท์คนน้องเสียอีก ด้วยชาติกำเนิดดีจากทั้งฝ่ายบิดาและมารดา
“ขนลุกน่า สวยอะไร ตัวพี่โตอย่างกับช้างเผือก สูงล่ำ ปล้ำกานต์ง่ายออกขนาดนี้”
อัครวินท์ยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อสามารถปล่อยหมัดฮุกให้คนแก้มแดง อ้าปากพะงาบ ๆ ได้
“ไม่พูดด้วยแล้ว”
คนเถียงไม่ขึ้นแกล้งเฉไฉเปิดกล่องทัพเพอร์แวร์ หยิบฝรั่งขี้นกไส้แดงที่สับเป็นชิ้นแล้วออกมาจิ้มพริกเกลือส่งเข้าปาก เหล่มองคนแจวเรือหน่อยหนึ่งก่อนลอยหน้าลอยตากินฝรั่งต่อ อัครวินท์มองเขม้นคนตัวเล็กอย่างมันเขี้ยว
“ใจร้ายนะคนเรา เดี๋ยวก็ปล้ำบนเรือเสียนี่ มันเขี้ยวนัก”
คนฟังหูผึ่งอ้าปากค้าง ฝรั่งแทบหลุดมือ
“พี่วิน!”
“ไม่อยากให้ปล้ำก็หยิบฝรั่งป้อนพี่เสียดี ๆ ป้อนช้าพี่จูบ”
อัครวินท์หรี่ตาคาดโทษอย่างเป็นต่อ ปากหยักบางสีอ่อนอ้ารับชิ้นฝรั่ง สายตาคมคายมองคนหน้างออย่างขบขัน ถ้าเป็นพี่ณัฐคงหงอยอมอ่อนให้น้องน้อย แต่นี่เป็นพี่วิน เอะอะเลยจะหาเรื่องปล้ำน้องกานต์ท่าเดียว รพีกานต์ได้ยินคำขู่ก็รีบหยิบฝรั่งป้อนพร้อมค้อนงาม ๆ แถมให้ อัครวินท์อ้าปากงับ เคี้ยวกร้วม ๆ หัวเราะหึ
“งอนพี่ดุหรือ งั้นพี่ยอมให้หอมแก้มพี่เลยเอ้า”
ทำแก้มพองลมข้างหนึ่งพลางบุ้ยใบ้เอียงแก้มให้หอมท่าทีทะเล้น รพีกานต์ฉวยดอกผักตบชวาที่ลอยมาตามน้ำได้เลยเหน็บทัดให้ที่ใบหู
“ผู้ชายพายเรือ”
ยักคิ้วหลิ่วตายั่วล้ออย่างสนุกสนาน มือเล็กถอดงอบบนศีรษะตัวเองสวมให้ก่อนถอยออกมามองหัวเราะเอิ้กอ้าก
“กานต์ขอเก็บรูปพี่วินรูปนี้หน่อยนะครับ”
รพีกานต์ฉวยโทรศัพท์ที่ใส่ซองกันน้ำแล้วขึ้นมาชักภาพ มือลดโทรศัพท์ลงชมผลงานตัวเองหัวเราะคิกคักก่อนกดส่งไลน์ให้นายแบบดูบ้าง อัครวินท์มองคนแจกยิ้มฟุ่มเฟือยแล้วอดยกยิ้มตามอย่างเอ็นดูไม่ได้ มิน่าเล่า เจ้ามดแดงณัฐธีร์ถึงได้เฝ้ารักเฝ้าหวงขนาดนี้ รอยยิ้มสว่างสดใสเหมือนแสงตะวันสาดส่อง พลอยทำให้คนมองสบายใจไปด้วย...หากจะหลงรัก ก็คงเพราะหลงรอยยิ้มจุดประกายสว่างโลกนี่ละมัง
“ถ้ามีสายบัวบนเรือด้วยนี่เจ๋งเลย ขากลับเดี๋ยวถ่ายอีก เอ้า เร้ว พ่อค้าสายบัวมาแล้วจ้า พี่วินบัวสายขายถูก ๆ แถมฟรีหอมแก้มพ่อค้าด้วยเอ้า”
ป้องปากร้องแซ็วพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี ลักยิ้มบุ๋มตรงมุมปากนั่นน่ามันเขี้ยวจนอัครวินท์นึกอยากดึงตัวเข้ามาฟัดแก้มแรง ๆ นัก มนตร์เสน่ห์รอยยิ้มพิมพ์ใจทำให้หัวใจคนกร้าวละสายตาไปไม่ได้ จากแค่ว่าจะมาหลอก เลยชักจะลังเล
“แกล้งพี่หรือ เดี๋ยวมีคนอื่นมาหอมจริง ๆ ชะรอยคนแถวนี้จะหน้างอคอหัก”
อัครวินท์ดึงไม้พายวางข้างลำเรือ กายหนาเคลื่อนเข้ารั้งตัวบางฝังจมูกหอมฟอดเข้าให้
“นี่แน่ะ มันเขี้ยว”
หอมแก้มแล้วเลื่อนไปหอมคอ ซุกไซ้ให้ตัวแสบจักจี๋เล่น
“ฮ่า ๆ ๆ พี่วินอย่างแกล้งกานต์ เดี๋ยวเรือคว่ำ”
“กานต์ก็อยู่นิ่ง ๆ ให้พี่หอมซี เรือคว่ำก็เล่นน้ำคลองกันนี่แหละ”
อัครวินท์รัดตัวเล็กกว่าจมอก ตัวไม่ได้เล็กนุ่มนิ่มเหมือนอย่างผู้หญิง แต่ก็จับเล่นได้เต็มมือ
“มัวโอ้เอ้ เดี๋ยวพ่อจะดุเอาน้า”
“กานต์ก็บอกพ่อไปซี ว่าพี่ขอหอมแล้วไม่ให้ พี่เลยต้องใช้กำลังจนเรือคว่ำ พลอยทำให้กลับบ้านช้า”
“พี่วินอ่า”
“ว่ายังไง จะยอมให้หอมดี ๆ ไหม”
“อายคนเขา”
บอกพร้อมชะเง้อชะแง้สอดส่องสายตาดู
“กานต์จะให้พี่หอม หรือกานต์จะหอมพี่ เลือกเอา”
“แน้ ขี้ตู่ มีแต่ตัวเลือกให้กานต์ขาดทุนอยู่เรื่อย แบร่ ไม่หอมหรอก ไม่ให้หอมด้วย”
บอกพร้อมหันหลังให้ อัครวินทร์แอบเห็บใบหูแดงพ้นปอยผม ร่างใหญ่ฉวยโอกาสอีกฝ่ายไม่ระวังตัว โน้มกายเคลื่อนใบหน้ากดจูบลงที่ท้ายทอยเข้าให้ พร้อมยักคิ้วหล่อล้อเลียนคนทำตาโตที่หันขวับมามอง
“หอมกานต์ตรงไหนก็หอมทั้งตัวเนอะ”
เรือลำน้อยล่องมาจนถึงที่หมาย รพีกานต์ชี้มือให้ชายหนุ่มพายเรือเข้าไปใกล้ ๆ บัวสายที่หมายตา
“พี่วินเก็บสายบัวดอกสีขาวเยอะ ๆ นะครับ น้ำแกงจะได้สีจะไม่เข้มมาก”
บอกพลางเอื้อมตัวดึงก้านบัว อัครวินท์เงอะงะลองดูบ้าง รพีกานต์เหลือบมองอมยิ้มแซ็ว
“ระวังตกน้ำน้า”
“ถ้าพี่ตก พี่จะดึงคนแถวนี้ลงไปว่ายน้ำเล่นด้วยกัน”
“ไม่เอา กว่าจะพายเรือกลับ เดี๋ยวกานต์หนาวไข้กลับ ถ้าพี่วินอยากเล่น ไปเล่นหลังบ้านดีกว่านะ ขากลับเราต้องแวะเก็บดอกโสนกับดอกผักตบไทยด้วยนา วันนี้กานต์จะโขลกน้ำพริกให้คนบางคนเผ็ดจนลิ้นห้อย”
“ถ้าพี่เผ็ด พี่ก็จะใช้น้ำบ่อน้อยของใครบางคนนี่แหละช่วยดับ”
อัครวินท์ขู่สายตาเจ้าเล่ห์ คนเถียงไม่ขึ้นแก้มร้อนวูบวาบ ก้มหน้างุดเอื้อมมือดึงสายบัวใส่กระจาดไม่ยอมสบตา
เก็บสายบัวได้จำนวนที่พอใจแล้วจึงพากันกลับ มือเล็กชี้ไม้ชี้มือให้ชายหนุ่มพาแวะข้างตลิ่ง ดอกโสนสีเหลืองน่ากินถูกเด็ดใส่ถุง มีดอกผักไทยสีม่วงถูกเก็บไปด้วย อัครวินท์มองสีหน้าเปื้อนยิ้มอย่างปริ่มสุข ก่อนกวาดสายตามองทัศนียภาพที่เงียบสงบโดยรอบ สายน้ำไหลเอื่อยเฉื่อยเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ไม่เร่งไม่รีบ แตกต่างจากสภาพแวดล้อมที่เขาคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง
“พี่วินชอบที่นี่ไหม เบื่อหรือเปล่าครับ”
“ก็เงียบดี ปกติวันหยุดพี่คงเมาค้างเพิ่งตื่น ตื่นแล้วก็เตรียมไปเที่ยวต่อ” อัครวินท์บอกตามตรง
“นาน ๆ หนีความวุ่นวายมาเปลี่ยนบรรยากาศเป็นหนุ่มบ้านคลองก็สนุกดี”
รพีกานต์คลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยิน มือเล็กฉวยโทรศัพท์ขึ้นมาชักภาพอีกรอบ หนุ่มหล่อผิวขาวหยวกสวมงอบกำลังถือไม้พายพายเรือ ตรงหน้าเป็นกระจาดบรรจุสายบัว อัครวินท์ส่งโทรศัพท์ให้รพีกานต์ถ่ายให้ ทั้งนั่งซ้อนกันเซลฟี่สนุกสนาน หลังอดีตเดือนบริหารฯ อัพรูปลงไอจีไม่นาน ยอดไลก์ยอดคอมเมนต์ก็กระหน่ำตามมาไม่ขาด ถึงขนาดเพื่อน ๆ ในกลุ่มส่งไลน์มาแซ็ว รพีกานต์จึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายพายเอง ปล่อยให้ชายหนุ่มได้คุยไลน์กับเพื่อน
“เชี่ยวินติดใจไปฝากตัวเป็นลูกเขยบ้านสวนแล้วหรือมึง ได้กินเข้าหน่อย กู่ไม่กลับเลยหรือวะ”
“ก็ไม่เลว ไม่ท้องด้วย จะได้ไม่ต้องหาเรื่องจับกู”
“ไอ้ห่า ได้หลังลืมหน้าชัด ๆ”
“กูได้หมดแหละ คั่วเล่น เบื่อก็ค่อยทิ้ง”
อัครวินท์ตอบอย่างไม่ยี่หระ สายตาเหลือบมองร่างเล็กตรงหน้า ปกติเขาเล่นแต่กับพวกนิสัยแรง ๆ เซ็กซ์เฟรนด์ ไม่ผูกมัด ไม่ค่อยชอบแบบพวกบริสุทธิ์ผุดผ่องเพราะยังไม่อยากได้แม่ของลูกตอนนี้ ด้วยนิสัยอย่างเขายังอยากจะไปต่อเรื่อย ๆ แต่รพีกานต์เป็นผู้ชาย คงไม่ยุ่งยากอะไร
รพินทร์เตรียมเครื่องปรุงไว้ให้หมดแล้วตอนรพีกานต์กลับมาพร้อมกับรุ่นพี่ร่างสูงใหญ่ ร่างเล็กกุลีกุจอนำสายบัวมาลอกเปลือกหั่นท่อน ชะเง้อคอเห็นพ่อกำลังเดินไปเก็บดอกฟ้าทั้งเจ็ดมาเป็นเครื่องเคียงน้ำพริกให้ก็อมยิ้ม อัครวินท์หันรีหันขวางไม่รู้จะช่วยอะไร ด้วยเห็นคนอื่นต่างมีงานในมือกันหมด
“พี่วินนั่งดูกานต์ทำก็ได้ ทำไม่เป็นก็ไม่ต้องช่วยหรอก เดี๋ยวกานต์ทำให้กินนะครับ”
รอยยิ้มสดใสถูกส่งให้อย่างจริงใจ อัครวินท์มองร่างเล็กลอกเปลือกบัวอย่างคล่องแคล่วจนเสร็จเรียบร้อยจึงนำไปล้าง พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ ก่อนหันมาคว้าครกหิน หย่อนพริกไทยเม็ด หอมแดง กะปิ โขลกพอหยาบแล้วละลายเครื่องที่โขลกเข้ากับกะทิ ยกขึ้นตั้งไฟรอเดือด ระหว่างตั้งไฟรพีกานต์ยืนคอยคนกะทิอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้แตกมัน พอกะทิร้อนจึงหย่อนเนื้อปลาทูนึ่งที่แกะก้างแล้วลงไป รอให้เดือดอีกหนจึงใส่สายบัวต่อ อัครวินท์ชะเง้อคอมองสิ่งที่อยู่ในหม้อ รพีกานต์หันมายิ้มให้ รอสายบัวนิ่มจึงปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปลา น้ำมะขามเปียก คนให้ละลายจึงตักชิมรส
“พี่วินชอบรสนี้ไหม”
รพีกานต์ตักน้ำแกงใส่ช้อนกลางส่งให้ลองชิม อัครวินท์นิ่งไปทันทีที่น้ำแกงแตะปลายลิ้นรับรู้รส
“อร่อย”
เอ่ยสั้น ๆ อย่างนึกทึ่งในรสมือ รพีกานต์ยิ้ม ปิดฝาหม้อ ปิดแก๊ส หมุนตัวหันมาหาเมนูใหม่ ‘แกงส้มดอกโสนปู’ พ่อรพินทร์ล้างและสับเนื้อปูไว้ให้แล้ว ร่างเล็กจึงหันมาที่ดอกโสนที่เพิ่งเก็บมาพร้อมสายบัว
“พี่วินเด็ดดอกโสนออกจากก้านได้ไหม”
รพีกานต์ถามพลางทำให้ดู แอบหัวเราะคิกตอนเห็นคนหล่อเงอะงะ มือเรียวหยิบดอกโสนมาช่วยเด็ดก้านออกจะได้เสร็จเร็วขึ้นพลางบอก
“เสร็จแล้วพี่วินเอาดอกโสนไปล้างน้ำ แล้วพักให้สะเด็ดน้ำนะครับ ทำได้ไหมเอ่ย” รพีกานต์ลองถามยิ้ม ๆ
“ได้ พี่ทำได้ เคยเห็นแม่ครัวทำ”
อัครวินท์พยักหน้าแรง ๆ ผุดลุกจากพื้นกระวีกระวาดนำดอกโสนไปล้าง มีน้ำหกกระเซ็นเลอะบ้างนิดหน่อยให้คนมองอดอมยิ้มขำไม่ได้
“เบา ๆ นะครับ เดี๋ยวช้ำ”
รพีกานต์เอ่ยสำทับแล้วหันมาโขลกเครื่องปรุง โดยมีอัครวินท์คอยมองอยู่ตลอด รพีกานต์บรรเลงจนครบถ้วนกระบวนความอร่อย จนได้น้ำแกงร้อนๆ หอมฉุยตักใส่ช้อนให้ลองชิม อัครวินท์ถึงกับท้องร้องประท้วง อยากจะได้ข้าวสวยร้อน ๆ สักจานขึ้นมาทันที
“กานต์ทำกับข้าวอร่อยมาก อร่อยกว่าร้านประจำที่พี่เคยไปกินเสียอีก”
อัครวินท์ชมเปาะจากใจจริง เพราะนอกจากจะเป็นเมนูต้นตำหรับหากินได้ยากแล้ว รสมือคนทำอย่างรพีกานต์ยังหาตัวจับยาก
“กานต์ช่วยพ่อทำบ่อยน่ะครับ ถ้าพี่วินได้กินฝีมือพ่อ ไม่ก็ฝีมือคุณอาธุ ญาติคุณพ่อนะ จะยิ่งติดใจกว่านี้ ฝีมือกานต์ธรรมดาไปเลย”
“ขนาดนี้ยังว่าธรรมดา ชักอยากจะให้กานต์ทำให้พี่กินคนเดียวตลอดชีวิตแล้วซี”
อัครวินท์สัพยอก สายตาเจ้าชู้ไก่แจ้วาววับจนคนถูกมองก้มหน้างุดเปิดโอกาสให้เสือเจ้าเล่ห์กอดเอวหมับ ฝังจมูกหอมฟอด หอมไม่หอมเปล่า จมูกซุกซนยังคลอเคลียซุกไซ้ซอกคอหอมจนคนถูกรุกรานจักจี๋จนต้องหดคอร้องห้าม
“พี่วินอย่า เดี๋ยวพ่อเห็น เหลือน้ำพริกจะเด็ดอีกหนึ่งอย่าง พี่วินไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะครับ คุณพ่อไปเก็บดอกฟ้าทั้งเจ็ดคงเกือบมาแล้ว เดี๋ยวกานต์จะตำน้ำพริกจะเด็ดกับเจ็ดดอกฟ้าให้ลองชิม น้ำพริกคนเจ้าชู้”
รพีกานต์หน้ายู่พลางบีบจมูกโด่งอย่างมันเขี้ยว อัครวินท์พยักหน้าหงึกทำตามอย่างว่าง่าย ด้วยรสชาติอาหารฝีมือคนตัวเล็กทำเอาน้ำลายสอ แต่ก่อนไปไม่วายกดจูบปากนุ่มหนัก ๆ แล้วรีบผละออก ก่อนเผ่นแผล็วออกจากห้องหน้าทะเล้น ทิ้งให้อีกคนแก้มร้อนฉ่าอ้าปากค้าง
“พี่วินไปไหนแล้วลูก”
รพินทร์เอ่ยถามขณะถือตะกร้าบรรจุดอกไม้สำหรับเครื่องเคียงน้ำพริกเดินเข้ามาในครัว
“กานต์บอกให้ไปอาบน้ำครับ ท่าจะหิว บอกปุ๊บรีบไปปั๊บ”
รพีกานต์บอกยิ้ม ๆ นึกเอ็นดูนิสัยเด็ก ๆ ในบางมุมของอีกฝ่าย
“ไปทำอีท่าไหน หนุ่มหล่อขนาดนี้ถึงตามมาหาที่บ้านได้”
รพินทร์ถามเปิดประเด็นเมื่อสบโอกาส ขณะมือสาละวนล้างดอกฟ้าทั้งเจ็ดอันประกอบด้วย ดอกผักตบไทย ดอกอัญชัน ดอกกาหลง ดอกแค ดอกดาหลาสีปูน ดอกเข็ม และดอกต้อยติ่ง
“พี่วินเป็นพี่ชายเพื่อนสนิทในกลุ่มของกานต์น่ะครับ เลยรู้จักกัน”
รพีกานต์อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนัก
“คงไม่ใช่แค่รู้จักธรรมดาล่ะมั้ง พี่เขาถึงตามกานต์มาถึงที่นี่ แล้วนี่พี่ณัฐรู้ไหม”
รพินทร์ยังคงซักน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“พี่ณัฐไม่รู้ครับ กานต์...กานต์ไม่รู้จะทำยังไงดี กานต์...คือกานต์”
รพีกานต์อึกอัก ร่างเล็กไม่ชินกับการโป้ปดด้วยไม่ใช่นิสัย เมื่อถูกถามจึงไม่รู้จะตอบบุพการีเช่นไร
“กานต์รักพี่วินหรือลูก”
รพินทร์ถามตามตรงด้วยแน่ใจว่ามองไม่ผิด รพีกานต์พยักหน้าหงึกแทนคำตอบ
“แน่ใจนะว่ารัก ไม่ใช่หลงความหล่อ หลงคารมพี่เขา”
รพินทร์ถามอย่างห่วงใยหาใช่อยากคาดคั้นกดดันลูก ด้วยสายตาของอัครวินท์นั้น คนอาบน้ำร้อนมาก่อนเห็นแล้วใจคอไม่สู้ดี กลัวว่าไม่แคล้ว แก้วตาดวงใจของตนจะน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า
“กานต์คิดถึงแต่พี่วินตลอดครับ อยู่กับพี่ณัฐก็คิดถึงพี่วิน กานต์ไม่ได้อยากให้พี่ณัฐเสียใจเลยนะครับ กานต์พยายามปฏิเสธพี่วินแล้ว แต่กานต์ทำไม่ได้ กานต์...กานต์รักพี่วินครับพ่อ”
ดวงหน้านวลอ้อยส้อยเหมือนเด็กน้อยกลัวถูกตำหนิ รพินทร์ระบายลมหายใจพรู ทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้า มืออ่อนโยนลูบศีรษะบุตรชายถ่ายทอดความห่วงใยเต็มเปี่ยม ก่อนเอ่ยเตือนสติลูกรัก
“กานต์ครับ กานต์ทั้งรักทั้งหลงพี่วินเข้าเต็มเปาแล้วนะลูก แถมหลงมากเสียด้วย กานต์ต้องเผื่อใจไว้บ้างนะครับ ศึกษานิสัยใจคอพี่เขาแล้วก็ต้องเผื่อใจไว้เจ็บ คนสมัยนี้รักง่ายหน่ายเร็วกานต์ก็เห็น ที่พ่อเตือนไม่ใช่ว่าคิดห้ามปรามขัดขวาง แต่เพราะพ่อไม่อยากให้กานต์ของพ่อต้องเจ็บช้ำเพราะน้ำคำคนลวง กานต์เข้าใจที่พ่อบอกไหม”
รพินทร์เตือนลูกรักด้วยความอาทร ด้วยรู้ดีว่าเรื่องของหัวใจ ใช่ว่าใครจะควบคุมได้ ยิ่งวัยอย่างรพีกานต์ด้วยแล้ว ยิ่งถูกห้ามปรามขัดขวางมีแต่จะยิ่งเตลิด
“กานต์เข้าใจครับ แต่พี่วินบอกว่าเลิกกับทุกคนเพื่อกานต์ และกานต์เองก็เห็นกับตา ตอนพี่วินถูกทำร้ายเพื่อปกป้องความรู้สึกที่มีให้กานต์”
รพีกานต์บอกพ่อเสียงอ่อย แต่ในน้ำถ้อยบ่งบอกชัดว่าเชื่อคำพูดพี่วินนักหนา ความรักครอบงำบังตาจนคำเตือนพ่อแทบไม่เข้าหูเสียแล้ว รพีกานต์ไม่เคยรักใคร เมื่อเจอคนเข้าหา ทั้งรูปหล่อ ป้อแต่คำหวาน หัวใจพิศุทธิ์จึงเตลิดได้โดยง่าย แม้แต่ณัฐธีร์ก็ไม่อาจจะสู้ได้ พุทโธ่ ลูกเอ๋ย รพินทร์เก็บงำความเป็นห่วงเอาไว้ในใจไม่ได้ซักไซ้ต่อให้ลูกใจเสียจนเกิดต่อต้าน ทั้งที่อยากบอกลูกเหลือเกินว่า คำพูดนั้นไม่สำคัญเท่าการกระทำหรอก คนพูดจะพูดอย่างไรก็ย่อมได้เพื่อหลอกล่อให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา อีกทั้งการกระทำนั้นใช่ว่าจะแสแสร้งแกล้งทำเพื่อตบตาใครไม่ได้ รพินทร์รู้สึกไม่ไว้ใจอัครวินท์เอาเสียเลย ด้วยใบหน้าหล่อเหลานั้นพาให้นึกถึงอินทัชอยู่ตลอด อินทัชที่ได้หัวใจของรพินทร์ไปแล้วก็เหยียบขยี้ลงดินอย่างไร้ค่า รพินทร์ไม่อยากให้ลูกต้องเจ็บช้ำระกำใจเฉกเช่นเดียวกันกับเขา
“แล้วพี่เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันหรือลูก หน้าตาผิวพรรณดีอย่างนั้น กานต์รู้ชื่อจริงพี่เขาไหม”
รพินทร์ถาม ใจไม่ได้อยากละลาบละล้วงเรื่องชาติตระกูลหรือฐานะของอีกฝ่าย เพียงแต่อยากแน่ใจบางอย่าง
“พี่วินชื่อจริงชื่อ อัครวินท์ อิศวัชร์ ครับพ่อ ครอบครัวทำธุรกิจเป็นเจ้าของธนาคารกับโรงแรม แล้วก็มีบริษัทเครื่องเพชรอัญมณีอิศวัชร์”
เคร้ง!
อิศวัชร์!
อินทัช อิศวัชร์! ลูกชายเจ้าของธนาคารใหญ่ที่รพินทร์รู้จักเมื่อหลายปีก่อน แล้วตอนนี้กลับมีอัครวินท์ อิศวัชร์ กลับเข้ามาในวงโคจรนี้อีกครั้ง!
รพินทร์มือไม้อ่อนจนของในมือหล่นกระจาย เข่าแทบทรุดกับนามสกุลที่จำได้ขึ้นใจ
“พ่อ! พ่อเป็นอะไรครับ!”
รพีกานต์ละมือจากงานรีบถลันรุดเข้ามาหาพ่อทันทีที่ได้ยินโครม
“เปล่าหรอก มือพ่อลื่นน่ะ ดูซิ ดอกฟ้าแสนสวยร่วงลงพื้นหมดเลย พ่อเก็บก่อนนะลูก เดี๋ยวจะช้ำมากกว่านี้”
รพินทร์ส่ายหน้าปฏิเสธพลางยอบกายลงเก็บเครื่องเคียงน้ำพริกจะเด็ดกลบเกลื่อนอาการพิรุธทั้งที่หัวใจเต้นกระหน่ำราวรัวกลอง รพีกานต์กุลีกุจอช่วยบุพการีอีกแรง เพราะเดี๋ยวต้องรีบตั้งโต๊ะอาหารและอาบน้ำรอพี่วินมากินข้าวเย็นด้วย
รพินทร์มองใบหน้านวลของบุตรชาย แล้วย้อนถามตนเองในใจว่า เขาเลี้ยงประคบประหงมลูกดีเกินไปไหมหนอ รพินทร์สอนให้ลูกรักใครก็รักจริง ๆ อย่าลวงหลอกใครให้เจ็บช้ำ แต่คนอื่นเล่าจะสอนกันเช่นไร แล้วยังณัฐธีร์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เฝ้าคอยเทิดทูนบูชาความรักให้แก่น้องน้อยอีกเล่า เจ็บร้าวคราวนี้จะระทมสักกี่เส้ากัน
อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดจึงมาพร้อมหน้ากันที่โต๊ะกินข้าวในสวน ซึ่งผนังรั้วเป็นม่านน้ำตกมีแผ่นหินทรายรูปกินรีตกแต่งอย่างสวยงาม รพินทร์ชวนลูกเปลี่ยนบรรยากาศกินข้าวกันในสวนท่ามกลางแสงไฟนวลตา มีเสียงน้ำไหลเสริมบรรยากาศสุดดื่มด่ำ อัครวินท์ดูจะถูกปากกับอาหารโบราณไม่น้อย ถึงกับเอ่ยชมไม่ขาดปาก
“อาหารบ้านนี้อร่อยจนอยากมาฝากท้องบ่อย ๆ เลยนะครับ”
หนุ่มหล่อปากหวานชมจนรพีกานต์ต้องหลบสายตาวูบ รพินทร์มองแล้วก็ได้แต่หนักอึ้งในใจเหมือนถ่วงหิน หากอัครวินท์เป็นลูกชายของอินทัชอย่างที่นึกสังหรณ์ใจจริง อินทัชที่รพินทร์รู้จักขนาดไม่เจ้าชู้ขุนแผนเท่านี้ รพินทร์ยังแทบขาดใจตอนถูกสะบั้นรัก แล้วรพีกานต์ลูกน้อยเล่า จะต้องเจ็บช้ำน้ำใจเท่าใดกัน
“วินกินน้ำพริกได้ไหม”
รพินทร์เอ่ยถามอาคันตุกะของบุตรชายที่เคยบอกไว้แล้วว่ากินเผ็ดมากไม่ค่อยได้
“ได้ครับ น้องกานต์ตำไม่เผ็ดแถมอร่อยถูกปากเหมือนรู้ใจ เพิ่งรู้ว่าดอกไม้นำมากินกับน้ำพริกก็ได้”
อัครวินท์ส่งสายตาให้ร่างเล็กแวบหนึ่งก่อนหันมายิ้มกับผู้อาวุโสวัยกว่า
“กินได้สิ กินผักผลไม้หลากหลายสีมีประโยชน์มากนะ ดอกไม้สด ๆ หลายชนิดก็กินได้ อย่างกลีบกุหลาบ ยังนำมายำเป็นอาหารกินเล่นได้เลย ยำกลีบกุหลาบน่ะ”
“สงสัยกลับไปมหาวิทยาลัยคงต้องรบกวนพ่อครัวตัวน้อยทำให้กินแล้วล่ะครับ ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อย ๆ นะครับ ไม่ทราบว่าที่บ้านนี้มีไวโอลินหรือเปียโนไหมครับ”
อัครวินท์ถามด้วยรอยยิ้มพราย สายตามองดวงหน้าขาวอย่างสื่อความหมาย
“มีทั้งสองอย่างครับ อยู่ที่ห้องหนังสือ พี่วินจะทำไมหรือครับ”
“พี่อยากสีไวโอลินให้ทุกคนฟังเป็นการตอบแทนสำหรับอาหารมื้อสุดพิเศษมื้อนี้น่ะครับ หรือจะฟังเป็นเปียโนก็ได้นะครับ”
นับเป็นส่วนดีที่พอจะมีติดตัวอยู่บ้าง อัครวินท์ก็เหมือนลูกคนมีอันจะกินทั่ว ๆ ไป ที่วัยเด็กครอบครัวมักส่งให้ไปเรียนดนตรี ร้องเพลง หรือเรียนเต้นรำ อะไรเทือกนั้น จึงนับเป็นโอกาสให้หนุ่มเจ้าเสน่ห์ได้ใช้เป็นอาวุธในการหยอดความหวานให้กระต่ายน้อยเคลิ้มตาม
หลังเสร็จจากมื้อเย็น ทั้งหมดจึงเคลื่อนพลกันไปที่ห้องหนังสือ บทเพลงหวาน ‘เพียงคำเดียว’ ถูกบรรเลงด้วยไวโอลินโดยฝีมือร่างสูงสง่า รพีกานต์หัวใจหวิวราวจะปลิวหายตลอดเวลาที่สบตากับสายตาเจ้าชู้หวานเยิ้ม เพลงหวานเพราะพริ้ง สายตาอัครวินท์ก็จ้องมองกันไม่วางตา สีไวโอลินให้ฟังเสร็จ ร่างใหญ่ก็นั่งปุลงที่หน้าเปียโนพลางเริ่มพรมมือบรรเลงเพลงต่อ เป็นบทเพลงเดิม แต่คราวนี้มีน้ำเสียงทุ้มนุ่มของอัครวินท์ขับร้องร่วมด้วย ร่ายมนตร์สะกดให้หัวใจดวงน้อยสวามิภักดิ์ต่อเขาไม่เสื่อมคลาย
เพียงคำเดียวที่ปรารถนา อยากฟังให้ชื่นอุรา ใจพะว้าภวังค์
นาน...เท่านาน พี่คอยจะฟัง คำนี้ คำเดียวที่หวัง อยากฟังจากปากดวงใจ
คำ คำนี้มีค่าใหญ่หลวง พี่รัก พี่แหน พี่หวง เพียงดั่งดวงฤทัย
พี่ ไม่เคย เฉลยกับใคร แต่แล้วพี่บอกเจ้าไป เพื่อให้เจ้าตอบเช่นกัน
มี...หลายคราที่เคย เหมือนเจ้าจะเอ่ย เปิดเผยเฉลยคำนั้น
โอ...แล้วใยอัดอั้น มิกล้าจำนรรค์ กลับตื้นกลับตันทรวงใน
ฤา เจ้ามีคู่เคียงอุรา เจ้ารักเป็นหนักเป็นหนา ตรึงติดตราหัวใจ
จึงจดจำถ้อยคำพี่ไว้ แอบเอาไปบอกคู่ใจ ทอดทิ้งพี่ให้อกตรม
ฤา เจ้าลืมถ้อยคำคำนี้ จึงทำไม่รู้ไม่ชี้ ดังไม่มี เยื่อใย
แม้น...เจ้าลืมเจ้าเลือนเคลื่อนคลาย
พี่เตือนให้อีกก็ได้ ก็รักอย่างไร เจ้าเอย
#เพียงคำเดียว # สุเทพ วงศ์กำแหง
โอ...ดวงฤทัยของกระต่ายน้อยจะเพริดถลำไปก็ไม่แปลกหรอก ด้วยดวงแขดวงนี้ร่ายมนตร์สะกดกระต่ายน้อยเสียอยู่หมัด รพินทร์ไม่แปลกใจสักนิด ว่าทำไมหัวใจของรพีกานต์ถึงได้ลุ่มหลงอัครวินท์นักหนา หากรักนี้ต้องร้าวราน คงไม่ต่างอะไรกับน้ำผึ้งเจือยาพิษ รพินทร์หวั่นใจเหลือเกิน ภาวนาให้อัครวินท์รักรพีกานต์จริง ๆ ด้วยเถิด อย่าให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำลงรอยเดิมเลย
วินเป็นหลานรักของปู่ย่า คลุกคลีกับปู่ย่ามากกว่าพ่อแม่ เลยติดเพลงไทยเก่า ๆ มาจากที่ปู่ย่าชอบฟัง ลองสมมุติตัวเองเป็นรพีกานต์ มีผู้ชายหล่อจัด เสียงเพราะ ร้องเพลงให้ฟังตัวจะลอยขนาดไหน อีวินมีส่วนดีในตัวเยอะนะ
เพียงแต่นิสัยครึ่งน้ำครึ่งบก แหะ ๆ
เรากำลังคิดว่า ลูกกานต์เป็นแฝดสามดีไหม กานต์ชังน้ำหน้าวินขนาดหนัก วินเลยฝากความรักไว้ให้ถึงสามหน่อ คือ อัษศดิณย์(น้องเปรม), อัศม์เดช(น้องปรีดิ์), อัศวเดช(น้องโปรด)
ความหมายของชื่อเล่นทั้งสามคือ ถึงกานต์จะเกลียดวิน แต่ก็ยินดีเปรมปรีดาที่ลูกมาเกิดด้วย
เหอ ๆ เวิ่นเว้อไปเรื่อย นิยายด้นสด เอาแน่กับอารมณ์คนแต่งไม่ได้หรอก ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ