ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นแล้วก็ทุกกำลังใจมากๆเลยครับ ขอบคุณจริงๆ
ตอนที่ 18
เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะได้เวลาออกเดินทางกันแล้ว พวกเราสามคนก็ต้องเตรียมการอะไรหลายๆอย่างทั้งเรื่องของการเดินทาง การเตรียมของใช้ เสื้อผ้า การเตรียมพร้อมสำหรับการท่องเที่ยว และการเตรียมความพร้อมที่จะเอาตัวรอดเมื่อไปถึงที่อเมริกาแล้วด้วยลำพังพวกเราเอง เช่นเรื่องที่พัก การเดินทาง แผนที่ และสภาพอากาศ โดยคนที่ดูจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงและดูกังวลมากกว่าใครๆก็คือแม่ของไอ้ซันนั่นเอง ท่านกำชับให้พวกเราสามคนดูแลเรื่องต่างๆนาๆมากมายและยังคอยเป็นธุระให้ทั้งเรื่องตั๋วเครื่องบินรวมไปถึงเงินพ๊อคเก็ตมันนี่ที่จะให้ติดตัวไปด้วย ทั้งแม่ของไอ้ซันและแม่ของไคล์ต่างก็ออกเงินให้กับผมเช่นกันซึ่งผมเองก็ปฏิเสธที่จะรับเอาไว้หลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายไอ้ซันก็เป็นคนที่บังคับให้ผมต้องรับเอาไว้จนได้
หลังจากเรื่องวันนั้น ไคล์เองก็ไม่ได้มีท่าทางอะไรเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ยกเว้นแค่บางครั้งที่ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่เขามองมายังผมสองคนแบบแปลกๆอยู่บ้างเท่านั้นเอง แต่นอกจากนั้นเขาก็ปกติดีกับเราทั้งคู่ เราสามคนไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นกันขึ้นมาอีกเลย ทั้งซันก็ไม่เคยถามไคล์ และไคล์ก็ไม่เคยถามผมและซันนอกเหนือไปจากวันที่เราสองคนเคยคุยกันที่สนามบาสนั่น
ผมเองก็รู้สึกตื่นเต้นและกังวลอยู่บ้างที่ต้องเดินทางไกลๆแบบนี้ แต่ความตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวในสถานที่ที่ผมอยากไปมานานแล้วนั้นมันมีมากกว่าจึงเป็นแรงขับให้ผมรู้สึกกระตือรือร้นและจดจ่ออยู่กับวันเดินทางมากกว่าเรื่องอื่นๆ
“ดูตื่นเต้นจริงนะ” ไอ้ซันพูดกับผมขณะที่เรากำลังเช็คของที่จะแพ๊คลงกระเป๋าเป็นครั้งสุดท้ายในวันก่อนวันเดินทาง
“ก็นิดหน่อยว่ะ” ผมตอบ
“ไม่นิดหรอก เพราะมึงน่ะยิ่งเก็บอาการก็ยิ่งดูออกชัด เหมือนเด็กๆไม่มีผิด ต่างกันก็ที่มึงรู้จักทำเป็นวางฟอร์มนิดๆหน่อยๆก็แค่นั้นเอง” ไอ้ซันพูดพลางหัวเราะหึๆอยู่ในลำคอไปด้วย
“เออ กูยอมรับก็ได้ว่ากูตื่นเต้น” ผมรูดซิปกระเป๋าแล้วหยิบแม่กุญแจมาล็อคซิปเอาไว้ “ก็กูจะได้ไปเที่ยวกับคนที่กูรักนี่นา” ผมแสร้งทำเป็นพูดแหย่ออกไป
ไอ้ซันหันมามองหน้าของผมทันที แต่ผมทำเป็นมองไม่เห็นมัน
“กูจะอ้วก” มันหัวเราะ
“เออ อย่าว่าแต่มึงเลย กูคนพูดเองก็ยังจะอ้วกเลยเหมือนกัน” เราสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน
“เสียดายเหมือนกันแหละที่ไม่ได้ไปกันสองคนน่ะนะ..........” ไอ้ซันพูดพลางรูดซิปกระเป๋าของตัวเอง “ส่งกุญแจมาซิ” มันพูด ผมจึงโยนแม่กุญแจตัวเล็กที่ใช้สำหรับล็อคกระเป๋าแบบเดียวกับของผมให้มันไป “ทีนี้ก็ไม่ต้องเปิดกันอีกเลยล่ะนะ” มันพูดพลางกดล็อค “.......พอไปถึงที่นั่น กูอยากจะทำอะไรสักอย่างด้วยว่ะ” มันพูดขณะก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับกระเป๋า
“ทำอะไรวะ” ผมถาม
“เอาไว้ไปถึงเดี๋ยวมึงก็รู้เองนั่นแหละ” มันเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม “เอาล่ะ เสร็จแล้วใช่มั๊ย”
ผมพยักหน้า
“ดี งั้นไปหาไคล์กัน ดูซิว่ามันเป็นยังไงแล้วบ้าง”
เราสองคนเดินออกจากห้องไปเคาะที่ห้องของไคล์ ไคล์เดินมาเปิดประตูให้เราสองคนเข้าไป เมื่อผมเข้าไปข้างในก็เห็นว่าเขาเองก็กำลังจัดของเป็นครั้งสุดท้ายอยู่เช่นเดียวกัน
“มีอะไรให้ช่วยมั๊ย” ซันถามขึ้น
“ไม่มีครับ ไม่เป็นไร ใกล้เสร็จแล้วล่ะ ผมแค่กำลังเช็คดูว่าขาดอะไรอีกรึเปล่าเท่านั้น” ไคล์ตอบ
“อืม ก็ดีแล้วล่ะ งั้นคืนนี้อย่าลืมรีบนอนก็แล้วกันนะ” ไอ้ซันพูดจบก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องทันที ผมเองก็แปลกใจที่มันเข้ามาเพื่อคุยแค่นี้น่ะหรือ แต่ไคล์ก็พูดขึ้นก่อนที่มันจะทันได้เปิดประตูห้องออก
“เดี๋ยวซัน”
ไอ้ซันหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วหันมามองไคล์ที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง “ว่าไง”
“คือ ผมขอคุยกับพี่หน่อยได้มั๊ย”
“ก็ได้นี่.....” ซันตอบแล้วหันมามองหน้าผม
“เอ่อ งั้นกูกลับห้องก่อนแล้วกันนะ” ผมพูดขึ้น
“เอางั้นเหรอ” ไอ้ซันถาม
ผมมองหน้าของมันสลับกับไคล์แล้วจึงพยักหน้า “อือดิ่ เดี๋ยวกูไปนอนเลยแล้วกันนะ ราตรีสวัสดิ์นะไคล์” ผมหันไปหาไคล์
“ฝันดีครับ” ไคล์ตอบ ยิ้มและหลิ่วตาให้ผมข้างหนึ่ง ผมไม่เข้าใจหรอกว่าการที่เขาหลิ่วตานั้นหมายถึงอะไร แต่คิดว่าน่าจะแปลว่าไม่ต้องกังวลเรื่องที่เขาจะคุยกับซันหรือไม่ก็แปลว่ามันใช้เวลาไม่นานหรอก หรือไม่ก็คงเป็นไม่ต้องหึงหรอกนะ วางใจได้ อะไรแบบนั้นหรือเปล่า
ผมเดินออกจากห้องแล้วกลับเข้าไปยังห้องของไอ้ซัน ผมเดินไปที่หัวเตียงเปิดโคมไฟอันเดิมขึ้นแล้วจึงเดินไปปิดไฟในห้องจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง ถึงผมจะพยายามไม่คิดเรื่องของซันกับไคล์ว่าเขาคุยอะไรกัน แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะคอยแว่บเข้ามารบกวนประสาทของผมอยู่ร่ำไป คำว่า “หึง” มันคงเป็นอย่างนี้ล่ะมั๊ง
ผมนอนลืมตาคิดและพยายามคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องของไคล์ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงปิดประตู ผมรีบหลับตาลงแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมตัวทันที นี่ผมจะแกล้งทำเป็นนอนแล้วแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันเนี่ย หลังจากนั้นประตูห้องของไอ้ซันก็ถูกเปิดออก ผมรู้สึกว่าไอ้ซันหยุดมองมาที่ผมครู่หนึ่งจากนั้นก็ค่อยๆปิดประตูลง แล้วจึงเดินมาหยุดอยู่ที่เตียง ไอ้ซันยังคงไม่นอนหรือนั่งลงแต่กลับยืนมองผมอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ผมไม่เข้าใจว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ แต่แล้วมันก็พูดขึ้น
“หลับแล้วเหรอครับ”
นั่นไม่ใช่เสียงของไอ้ซัน แต่เป็นเสียงของไคล์ ด้วยความตกใจผมจึงลืมตาขึ้นมองไปยังใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ใต้ความมืดในบริเวณที่แสงจากโคมไฟส่องไปไม่ถึง ผมเห็นหน้าเขาลางๆแต่นั่นก็คือไคล์ไม่ผิดแน่
“อ้าว ไคล์” ผมร้องด้วยความประหลาดใจ “ซันล่ะ”
“เขาไปห้องของคุณลุงกับคุณป้าน่ะ” เขาตอบ “พี่หลับไปแล้วรึยัง ผมมาปลุกรึเปล่า”
“อ๋อ เปล่าหรอก” ผมชันตัวขึ้นนั่ง “แค่เคลิ้มๆน่ะ มีอะไรรึเปล่า”
“ก็ เรื่องที่ผมคุยกับซันน่ะ........” ไคล์หยุดไปครู่หนึ่งแล้วนั่งลงที่ขอบเตียง “พี่คงไม่ได้คิดมากหรอกใช่มั๊ย” ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าผมคิดยังไง และที่สำคัญทำไมเขาถึงมาถามผมแบบนั้น มันสำคัญขนาดที่ต้องเข้ามาถามผมด้วยตัวเองในเวลาแบบนี้เลยเชียวหรือ เมื่อผมไม่ตอบ ไคล์จึงเริ่มพูดต่อ “อย่าคิดอะไรมากนะ ผมไม่ได้คุยกับเขาเรื่องของพี่ทั้งคู่หรอก”
ผมพยักหน้า “อ่าฮะ”
“ก็” ไคล์ยักไหล่ “ผมกลัวพี่จะคิดมากน่ะ ว่าเอาเรื่องของพี่ไปคุยกับซันหรือเปล่า และทำไมผมถึงต้องคุยกับเขาสองคนอะไรแบบนั้น”
“คือ พูดจริงๆตอนแรกก็มีคิดเหมือนกันแหละ แต่ก็ไม่ได้กังวลใจอะไรนะ จริงๆ” ผมยืนยัน
“ผมรู้ แต่ผมก็แค่.......” เขาหันไปมองทางอื่นแล้วยักไหล่อีกครั้ง “ไม่รู้สิ เอาเป็นว่า ที่แน่ๆผมรู้ว่าซันรักพี่ศิลามากเหมือนกันนั่นแหละ เท่านั้นก็พอมั๊ง”
“อะไรนะ” ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด หรือถ้าพูดให้ถูก คือสิ่งที่เขากำลังจะสื่อออกมามากกว่า
ถึงใบหน้าของไคล์จะถูกซ่อนอยู่ในความมืดสลัวๆแต่ผมก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังยิ้ม “ผมเองน่ะ ก็อยากให้พี่สองคนได้ไปเที่ยวกันสนุกๆเหมือนกันนะ แต่ก็เสียดาย..........”
“เฮ้ย ไม่สิ อย่าคิดแบบนั้น” ผมรีบขัด เริ่มเข้าใจสิ่งที่เขาพูดมากขึ้น เขาคงจะกังวลเรื่องนี้อยู่นี่เอง “ไปกันสามคนก็ดีแล้ว สนุกดีออก เที่ยวหลายๆคนน่ะสนุกดี อย่าคิดอะไรแบบนั้นสิครับ” ผมท้วง
“ครับ” เขาพยักหน้า
“ไคล์คิดมากเรื่องนี้เหรอ.........” ผมลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง “กลัวว่าจะไปเป็นส่วนเกินอะไรแบบนั้นน่ะนะ” แต่ไคล์ไม่ตอบ เราสองคนเงียบกันไปครู่หนึ่ง “ห้ามคิดแบบนั้นเด็ดขาดนะรู้มั๊ย ไคล์เป็นน้องชายของไอ้ซัน และก็เป็นเพื่อนของผมเช่นกัน ถึงเราจะยังรู้จักกันไม่นาน แต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนี่ จริงมั๊ย”
ไคล์หัวเราะ “ศิลานี่เป็นคนดีจริงๆนะ” เขาหันหน้ามองไปทางประตูแล้วจึงหันหลับมาหาผม “ขอบคุณมากนะครับ ผมไม่แปลกใจเลยจริงๆ ว่าทำไมซันถึงได้รักพี่มากนักน่ะ” เขายิ้มและตบบ่าผมเบาๆส่งท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป
“จะไปแล้วเหรอ” ผมถามไล่หลังเขา
“อื้ม ฝันดีนะครับ”
“เช่นกันครับ”
ผมเห็นหน้าของไคล์เพราะแสงไฟจากทางเดินหน้าห้อง เขายังคงมีรอยยิ้มในแบบของเขาประทับอยู่บนหน้าจนกระทั่งเขาปิดประตูตามหลังและห้องของผมก็เริ่มกลับสู่ความมืดสลัวอีกครั้ง
หลังจากไคล์ออกจากห้องไปไม่นานซันก็กลับเข้ามาพร้อมกับของสิ่งหนึ่งในมือซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เนื่องจากความมืดมันจึงดูเหมือนกับมันจะเป็นหนังสือหรือสมุดอะไรสักอย่าง ผมถึงกับหายใจติดขัดไปครู่หนึ่งเมื่อคิดว่าหนังสือที่มันถืออยู่นี้คือหนังสือเล่มนั้นที่ผมสงสัยมานานเหลือเกินว่ามันเอาไปเก็บไว้ที่ไหน แต่เมื่อมันเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นผมจึงเห็นว่ามันไม่ใช่หนังสือเล่มนั้น แต่เป็นสมุดเล่มหนึ่ง ผมใจหายวาบอีกครั้งเมื่อคิดไปถึงสมุดของผมเอง แต่เมื่อดูดีๆก็เห็นว่าเล่มที่มันถืออยู่นั้นต่างออกไปจากของผมนิดหน่อย สมุดที่มันถืออยู่นั้นเป็นสมุดเย็บริมลวดปกแข็งที่เล่มหนากว่าและใหญ่กว่าของผมเยอะ
“เมฆ” ไอ้ซันเรียกชื่อผมและนั่งลงบนเตียง มันมองหน้าผมแว่บหนึ่งจากนั้นก็ก้มลงไปดูที่สมุดที่มันถืออยู่ในมือ “กูมีอะไรจะคุยกับมึงนิดหน่อยว่ะ”
ผมพยักหน้า “อะไรวะ”
“คือ.........” มันหยิบสมุดเล่มนั้นชูขึ้นมาให้ผมเห็นได้ชัดขึ้น มันเป็นสมุดปกแข็งที่มีหน้าปกสีน้ำตาลออกแดง ตรงกลางปกถูกตัดออกเป็นช่องลายยาวโค้งคล้ายกับรูปตัวเอส และมันถูกพันไว้ด้วยเชือกสีแดงเส้นหนึ่ง “กูอยากจะให้สมุดเล่มนี้กับมึงว่ะ”
ผมมองหน้าของมันสลับกับสมุดเล่มนั้นด้วยความแปลกใจ และขณะที่ผมกำลังจะยื่นมือออกไปรับนั้น ไอ้ซันก็ชิงพูดขึ้นมาอีก “แต่กูต้องขออะไรมึงอย่างนึง”
ผมชักมือกลับอย่างรวดเร็ว “อะไรวะ”
“มึงไม่ต้องถามกูได้มั๊ยว่านี่คืออะไร” มันชูสมุดเล่มนั้นขึ้นอีกครั้ง ปลายเชือกที่ยาวห้อยลงมาจากส่วนปมที่ถูกมัดเอาไว้เหนือรูปตัวเอสไหวไปตามแรงเขย่าของไอ้ซัน “และอีกอย่าง กูขอมึงว่าอย่าเพิ่งเปิดมันตอนนี้จะได้มั๊ย คือ อย่างน้อยๆก็ช่วงนี้”
ผมไม่รู้ว่าสมุดเล่มนั้นคืออะไร และผมเองก็อยากจะรู้ ผมไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรถูกเขียนเอาไว้บ้าง และผมก็อยากจะอ่านมัน ผมไม่รู้ว่ามันให้สมุดเล่มนี้กับผมทำไม และผมก็อยากที่จะถามมัน ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่มันทำอยู่นี้มีความหมายอะไรสำหรับผมและสำหรับตัวมันเองแค่ไหนแบบไหน และผมก็อยากที่จะรู้ให้ได้จริงๆ แต่ทว่า เมื่อได้ยินเสียงและได้เห็นสีหน้าของมันในตอนนี้แล้ว ผมก็กลับกลืนคำพูดรวมถึงคำถามทุกๆอย่างของผมลงคอไปเสียหมดและได้แต่พยักหน้ารับคำของมันเท่านั้น
“กูสัญญา กูจะยังไม่อ่านมัน” ผมรับปาก
ไอ้ซันยิ้มให้ผมและกุมมือผมเบาๆ มันยกมือของผมมาวางทาบไว้บนสมุดเล่มนั้น “กูอยากจะมอบให้มึงซะตั้งแต่ตอนนี้ แต่กูยังไม่อยากจะให้มึงอ่านมัน กูก็ไม่รู้นะว่าทำไมกูถึงต้องมอบให้มึงในขณะที่กูยังไม่พร้อมที่จะให้มึงอ่าน แต่กูเกิดกลัวว่าสักวันหนึ่งกูอาจจะไม่มีโอกาสได้ให้สิ่งนี้กับมึงก็ได้ และบางทีเมื่อมีโอกาสที่กูอยากจะให้มึง แต่กูก็กลัวมึงจะไม่อยากรับ กูเลยคิดว่านี่น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”
ผมพยักหน้าช้าๆ พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่มันพูด ตอนนี้ในใจของผมก็คิดไปถึงสมุดที่ผมเขียนตอนที่อยู่ในโรงพยาบาลที่ยังถูกเก็บไว้บนชั้นหนังสือในห้องของผมนั่นบ้างแล้วเหมือนกัน หรือว่าสมุดเล่มนี้จะเป็นแบบเดียวกับสมุดของผมที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะให้มันอ่านสักวันหนึ่งเพื่อสื่อความในใจตลอดเวลาที่ผ่านมาของผมกันนะ......... ผมรู้สึกหัวใจของผมเต้นแรงขึ้นอยู่ภายในอก และผมต้องบังคับความอยากรู้นี้เอาไว้ให้ได้ ผมสัญญากับมันแล้วว่าจะไม่เปิดอ่านมันจนกว่าจะถึงเวลาที่สมควร..............
“.........แล้วเมื่อไหร่กูถึงจะอ่านได้ล่ะ” ผมสงสัย
“บอกตามตรง......... กูก็ไม่รู้หรอก” ไอ้ซันหยุดไปครู่หนึ่งและมองจ้องเข้ามาในดวงตาของผม บางอย่างในแววตาของมันสะท้อนความเศร้าที่ผมยังไม่อาจเข้าใจได้ “แต่กูคิดว่า เมื่อเวลามาถึง มึงก็จะรู้และอยากเปิดอ่านมันเองนั่นแหละ”