@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (เต๋อ กับ ช่างวินัย) ตอน เข้าใจไม่ตรงกัน
บ้านเราอยู่ใกล้กัน เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก ที่จริงเมื่อก่อนก็ไปโรงเรียนด้วยกัน ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน
แต่ที่เราต้องห่างเหินกันเพราะเมื่อโตขึ้นเราก็ต่างมีภาระหน้าที่มีสิ่งที่ต้องทำ
วินัยมีแฟน และไปเป็นทหาร
สุดท้ายก็ไปกันไม่ได้ และต้องเลิกกับแฟน หลังปลดประจำการก็มาเป็นช่างซ่อมรถอยู่ที่อู่ของบารมีหลายปี
ในระหว่างหลาย ๆ ปีนั้น เราก็ได้กลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง
ดีหรือเปล่าช่างวินัยไม่รู้
แต่ที่แน่ ๆ สิ่งที่ช่างวินัยคิดได้มีอย่างเดียวในตอนนั้นคือ
........ไอ้ห่าเต๋อ แม่งกวนตีน เด็กอะไรกวนตีนเหี้ย ๆ สมัยเด็กเดินตามกูต้อย ๆ พอโตขึ้นมันเสือกเมินกูซะงั้น แค่เมินอย่างเดียวไม่พอ ยังตั้งแง่ใส่กันอีก มีเรื่องอะไรก็ถามคำตอบคำ ทำเหมือนไม่อยากจะคุยกันสักนิด
แต่ช่างเถอะเรื่องนั้นช่างวินัยไม่เคยติดใจเอาความอะไร ก็ปล่อยมันไป พูดกันตามหน้าที่ก็พอ
แต่จะให้พูดกันตามหน้าที่อย่างเดียวเอาเข้าจริง ๆ มันก็ทำไม่ได้อีกเพราะแม่ของเต๋อ มักจะเข้าใจไปเองว่า .......ปัจจุบันเต๋อก็ยังสนิทกับช่างวินัย........
เอาอะไรมาคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างช่างวินัยกับเต๋อจะยังคงเป็นเหมือนสมัยเด็ก
แม่ของเต๋อไม่เคยถามใด ๆ ทั้งสิ้น
การไปรับไปส่งเต๋อ กลายเป็นเรื่องปกติ เพราะเต๋อมีปัญหาที่แขน อุบัติเหตุสมัยมัธยม ทำให้ไม่สามารถใช้แขนได้เหมือนคนปกติ จนแม่ของเต๋อเป็นห่วงและไม่ยอมให้ทำอะไรที่ลำบากร่างกายจนเกินไป บางครั้งถึงมันจะปากดี หรือกวนตีนขนาดนั้น แต่เอาจริง ๆ ช่างวินัยก็ปล่อยไปไม่ได้
ยังไงก็เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ
โตขนาดนี้แล้ว จะทำเป็นไม่สนใจก็ได้ แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ทำไม่ลง
เพราะสมัยช่างวินัยยังเด็ก แม่ของเต๋อก็เลี้ยงช่างวินัยมาเหมือนกัน
สำหรับช่างวินัยแล้ว
เต๋อก็เหมือนน้องชาย ถึงจะต่างสายเลือดแต่ช่างวินัยก็จำไม่ลืมที่ป้าเคยสอนว่าให้เห็นเต๋อเป็นน้อง
และน้องชายคนที่ว่า มันก็ทำตัวห่างเหิน เมินกันได้เมินกันดี เมินกันแบบชัดเจน
ท่าทางหมางเมิน และทำเหมือนไม่ชอบหน้ากันขนาดนั้น ช่างวินัยคิดเหมาเอาเองว่า เป็นเพราะความทะลึ่งบ้าบอแบบเด็ก ๆที่ไปแกล้งเต๋อเอาไว้ เต๋อเลยแค้นไม่หายมาถึงป่านนี้ ที่จริงจะถูกโกรธก็ไม่แปลก ในเมื่อก็สมควรถูกโกรธจริงๆ แต่ไม่นึกว่านานขนาดนี้แล้วเต๋อมันก็ยังไม่ลืม
ผ่านไปนานกี่ปี เต๋อก็ไม่เคยลืม
ที่จริงคือไม่ยอมลืม มากกว่า
“นั่งรถสองแถวกลับเองก็ได้ ไม่งั้นก็ให้เพื่อนมาส่งก็ได้ วันหลังช่างนัยก็บอกแม่ไปสิ ว่ามาไม่ได้ เหตุผลมีตั้งเยอะแยะ”
แล้วมึงมาโกรธอะไรกูวะเนี่ย
กูมารับมึงนี่มันผิดมากหรือไง
“กูจะบอกแม่มึง ว่ามึงให้กูโกหกแม่มึง”
ช่างวินัยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเปิดเพลงฟังอย่างสบายอารมณ์ ส่วนเต๋อได้แต่ทำหน้างี่เง่าและฮึดฮัดอยู่คนเดียว
“ผมโตแล้วป่าววะ ทำไมต้องมารับมาส่งด้วย แม่จะเห็นเป็นเด็กสี่ขวบไปตลอดชีวิตหรือไง”
กูไม่รู้ กูไม่ใช่แม่มึง
“รำคาญ ไปถามแม่มึงเอาเองสิทำอย่างกับว่ากูอยากมารับมึงนักนี่”
“ไม่อยากมาแล้วจะมาทำไมวะ ก็บอกไปสิว่าไม่อยากมา”
น่าเบื่อว่ะ ไอ้เต๋อแม่งพูดจาไม่รู้เรื่อง
“หุบปากไปเหอะ กูขี้เกียจจะพูดกับมึงแล้ว เจอกันในอู่ไม่เห็นจะอ้าปากพูด เวลาเจอกูตัวต่อตัวนี่ มึงจะอะไรกับกูนักหนาวะ หาเรื่องอะไรกูนักหนาเนี่ย กูแก่กว่ามึงตั้งกี่ปี มารับแทนที่จะขอบคุณ นี่แม่งมีแต่พูดห่าอะไรไม่รู้ ไม่เข้าท่า”
โดนช่างวินัยด่า และเต๋อก็ได้แต่อ้าปากค้าง อยากจะทะเลาะด้วยหรอกนะ แต่เจอสายตาดุ ๆของช่างวินัยที่มองมาและแสดงให้รู้ว่ากำลังหงุดหงิด โกรธ และรำคาญ เต๋อก็เลยได้แต่เมินหน้าหนีแล้วก็หุบปากเงียบ เพราะทำอะไรไม่ได้
ที่จริงคือไม่เคยทำอะไรได้........
“ป้าไม่อยู่นะวันนี้ ไปดูดนตรี มึงหาข้าวกินเองด้วย”
อีกแล้วเหรอวะ
เต๋อหันมามองช่างวินัยทันทีและรีบกดโทรศัพท์โทรหาแม่
“ไปอีกแล้วเหรอ มีข้าวกินมั้ย ไม่มีอีก โห่แม่ แม่จะกลับมากี่โมง แม่..........”
แล้วปลายสายก็เงียบไปดื้อ ๆ
และเต๋อก็มองโทรศัพท์ในมือที่ถูกแม่ตัดสายไปพร้อมประโยคอำลา
........ก็อต กำลังจะขึ้นแสดง แค่นี้ก่อนนะ แม่ยุ่งมาก ไปกินข้าวบ้านพี่นัยก่อนนะลูก.........
แล้วเต๋อก็ได้แต่มองโทรศัพท์ในมือและถอนหายใจออกมายาว ๆ
ให้ไปกินข้าวบ้านช่างนัย ใครจะไปวะ แม่ทำไมทำแบบนี้ เห็นวงดนตรีดีกว่าลูก ไม่สนใจว่าลูกจะมีข้าวกินหรือเปล่า อยากจะชินอยู่หรอก แต่มันทำใจได้ง่าย ๆ หรือไง
ไม่ได้เป็นเด็กติดแม่ โตป่านนี้แล้ว ก็เข้าใจงานอดิเรกของแม่อยู่ แม่ก็มีความสุขในแบบของแม่ กลายเป็นเต๋อที่บางครั้งก็ไปนั่งจับเจ่าอยู่บ้านคนเดียว
ตะกร้อมันก็ใช่ว่าจะเตะกันทุกวัน
ยิ่งช่วงนี้งานที่อู่ยุ่ง ๆ ด้วย พี่พัฒน์ก็เลยไม่ค่อยมีเวลา คนอื่นเขาก็มีงานมีการทำ ไปเล่นก็ได้อยู่หรอก แต่ต้องเล่นกับเด็กประถมชนะมันไปก็เท่านั้น คนก็หาว่ารังแกเด็ก
อีกอย่าง วันนี้เลิกดึกด้วย กลับไปก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว เฮียบัสก็กลับบ้านแล้ว ไปที่อู่ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว
“ทำหน้าเป็นหมาเหงาเชียวนะ”
นี่ไงเรื่องที่ทำให้เกลียดช่างนัย ไม่เคยจะพูดกันดี ๆ มีแต่ซ้ำเติมให้เจ็บปวด
“เรื่องของผมเหอะ”
เออ เรื่องของมึง
เรื่องของมึงก็เรื่องของมึง กูก็ใช่ว่าจะอยากยุ่ง
ช่างวินัยไม่ได้พูดอะไรอีก รถแล่นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะลัดเลาะเข้าไปในหมู่บ้าน มองไปไม่ไกล แสงไฟหลากสี และเสียงดนตรีอึกทึกชวนให้ผู้คนอยากมองไปที่ข้างทางไม่เว้นแม้กระทั่งเต๋อ ที่ชะเง้อคอมองออกไปนอกรถ
“งานอะไรวะ”
กูจะไปรู้เหรอ
“ถามใคร”
ไม่ได้ถามใครหรอก แค่ละเมอพูดคนเดียวมั้ง
เต๋อหันมามองช่างวินัยและเบะหน้าแบบเซ็ง ๆเลิกมองไปที่ข้างทางและกลับมานั่งกอดอก และไม่คิดจะสนใจช่างวินัยอีก
“จะลงไปดูมั้ยล่ะ”
เต๋อหันไปมองหน้าช่างวินัยอีกครั้ง และไม่ต้องให้พูดอะไรกันมากความช่างวินัยชะลอรถและขับเข้าไปในงานและมองหาที่จอดรถทันที
“แวะซะหน่อย สงสารเด็กถูกทิ้ง”
ใช่ที่ไหนล่ะ
เต๋อกำลังจะอ้าปากเถียง แต่ช่างวินัยไม่เปิดโอกาส
“พูดน้อยๆ ไอ้เต๋อ กูรำคาญ กูหิวข้าวแวะหาข้าวกินหรอก ไม่ใช่จะอยากพามึงเที่ยวจริง ๆ อย่าสำคัญตัวผิดไป”
เออออออออออออออออ
แวะหาข้าวกิน รู้ตั้งนานแล้ว
“ไม่ลงนะ อยากกินก็ลงไปคนเดียว”
ที่ไม่ลงไม่ใช่ไม่หิวข้าว แต่เป็นเพราะว่า.........ไม่มีตังค์กินข้าว....
“ก็ตามใจนะ แม่มึงฝากตังค์กูไว้สองร้อยไว้ให้มึงซื้อข้าวกิน ถ้าไม่ลง เงินที่แม่มึงฝากไว้กูยึดเป็นค่าน้ำมันรถแล้วกัน”
ได้ไงวะ
ไม่ต้องให้รอนาน เต๋อรีบลงจากรถและเดินตามช่างวินัยที่เดินลิ่ว ๆ เข้างานโดยไม่คิดจะรอ
“นี่จะยึดเงินเป็นค่าน้ำมันรถจริงเหรอ แม่ผมก็ออกค่าน้ำมันรถให้ไม่ใช่หรือไง จะฟ้องแม่ว่าช่างนัยเม้มตังค์”
โว้ยยยยยยยยยยย มึงจะฟ้องมึงก็ฟ้องไปเหอะ
“ไอ้ประสาท แม่มึงรักกูมากกว่ามึงอีกเหอะไอ้เต๋อ”
แค่คำพูดเดียวก็ทำให้เต๋อรู้สึกเจ็บจี๊ดไปถึงทรวง
เต๋อรีบเดินตามช่างวินัยที่เดินนำหน้าแบบไม่เคยคิดจะรอคนที่เดินตาม
สุดท้ายเดินไปแวะร้านผัดไทหอยทอด และสั่งมากินกันคนละจาน
นั่งรออาหารมาเสริฟ และเต๋อก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านอะไรไปเรื่อยระหว่างรอ
“หัดเงยหน้ามาสนใจผู้คนในโลกซะบ้าง โทรศัพท์เอาไว้เล่นตอนว่าง ๆ ก็ได้มั้ง”
บ่นออกมาลอย ๆ และเต๋อก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าของช่างวินัย
“ก็คนตรงหน้าแม่งไม่เคยทำให้อยากสนใจ แล้วใครจะอยากมอง"
อ่อ งั้นเหรอ
“ปากดีนักนะมึง ตอนเด็ก ๆไม่เห็นเป็นแบบนี้เลยวะ”
นั่นมันตอนเด็ก แต่นี่มันโตแล้ว
“ไอ้เต๋อที่เดินตามช่างนัยต้อย ๆ ให้ช่างนัยแกล้ง มันตายห่าไปตั้งนานแล้ว”
อ่อเหรอออออออออออ
ช่างวินัยพยักหน้าและก็หัวเราะออกมาเสียงเบา
“ขำห่าอะไรวะ”
ก็เปล่า ไม่ได้ขำอะไรก็แค่ว่า.....
“ว่าแต่ กูยังนึกสงสัย ว่าของมึงใหญ่ขึ้นบ้างยังวะเต๋อ หรือมันตกใจที่โดนแกล้งเลยไม่โตขึ้นแล้ว มึงก็เกินไปจะเอาเรื่องนั้นมาโกรธกูจนถึงป่านนี้ก็ไม่ไหวนะ ลืม ๆ มันไปบ้างได้แล้ว”
ลืมเหี้ยอะไรล่ะ
เต๋อถึงกับตาค้าง และกำลังจะอ้าปากด่าช่างวินัย แต่เพราะผัดไทมาเสิร์ฟแล้ว เต๋อก็เลยไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก
“เหี้ยเอ้ย”
ได้แต่สบถออกมา ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เต๋อก็ยังไม่เคยชนะช่างนัยได้
แค่ต่อปากต่อคำ บางทียังแพ้ เคยเป็นเด็กยังไงก็เป็นอยู่อย่างนั้น เคยแพ้ช่างนัยยังไงก็แพ้อยู่อย่างนั้น
เคยพยายามเอาชนะยังไง สุดท้ายก็ยังแพ้เหมือนเดิม
ถึงอยากจะเถียงอยากจะด่า สุดท้ายพอเห็นสายตาดุ ๆ ของช่างวินัยที่มองมา เต๋อก็ได้แต่หุบปากเงียบเหมือนตอนเด็ก ๆไม่มีผิด
น่าแปลก ถึงจะโตขนาดนี้แล้ว เต๋อก็ยังไม่กล้าเอาชนะช่างวินัยอยู่ดี ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่กล้า พยายามแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าจะต่อปากต่อคำกับช่างวินัยไปจนถึงที่สุด
ได้แต่ตั้งแง่ใส่อยู่ทุกวัน แค่ช่างวินัยเริ่มเอ็ด เต๋อก็กลายเป็นเด็กน้อยที่ต้องก้มหน้าก้มตาฟังสิ่งที่ช่างวินัยพูด
โตขึ้นขนาดไหน ก็ไม่เคยเอาชนะได้เลยจริง ๆ
เต๋อจัดการกับผัดไทตรงหน้า และไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าช่างวินัยอีก
รีบกิน จะได้รีบกลับบ้าน
และช่างวินัยก็คีบเส้นผัดไทใส่ปากไปเรื่อย ๆ
ไม่ได้หิว ไม่ได้อยากกินเท่าไหร่ แต่รู้ว่า “น้อง” หิวข้าว ถึงได้พามากิน ดี ๆ ร้าย ๆมันก็เป็น “น้อง” ถึงจะไม่ใช่น้องแท้ ๆแต่ป้าก็บอกทุกวันว่าขอให้เห็นไอ้เต๋อ เป็น “น้อง”
ใครอยากให้มันเป็นน้องล่ะ
ไม่เคยเลย ไม่เคยสักครั้งที่อยากให้เต๋อเป็นแค่น้อง........
แต่เพราะถูกขอร้องมาก็เลยต้องจำใจเห็นเป็นน้องอยู่ทุกวัน ก็เพราะเห็นเป็นน้องไง ถึงได้พามันมากินข้าว
ก็เพราะเห็นเป็นน้องไง ถึงได้ไปรับไปส่ง เวลาที่แม่มันไปรับไปส่งไม่ได้
ก็เพราะเห็นเป็น........น้อง.......ไง
ถึงได้.............
ยอมทนเก็บความรู้สึกของตัวเองมาจนถึงป่านนี้ ทั้งที่ไม่ว่าวันไหน สายตาก็ไม่เคยละไปจากมันได้
และไม่เคยคิดอยากจะให้ไอ้เต๋อเป็นน้องเลยสักครั้ง
ช่างวินัยถอนหายใจออกมายาว ๆ และก้มหน้าก้มตาใช้ตะเกียบคีบผัดไทกินไปเรื่อยๆ และไม่คิดอยากจะมองหน้าของเต๋ออีก
ไม่อยากมอง
ไม่อยากเห็นนักหรอก เห็นไปก็เท่านั้น ไม่เห็นซะบ้างบางทียังดีกว่า
และเมื่อช่างนัยไม่คิดจะมอง
เต๋อที่รีบกินผัดไทเสร็จก่อนก็เลยนั่งมองช่างวินัยแทน
..............ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากปากของเต๋อ........
มีเพียงสายตาในเวลาที่เผลอตัวเท่านั้นที่ปกปิดความรู้สึกเอาไว้ไม่มิด หลายครั้งที่หัวใจแกว่งไปแกว่งมา เวลาที่อยู่ใกล้ ๆ กัน
มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ความรู้สึกนี้ก็ยังไม่เคยจางหาย และเต๋อไม่เคยกล้าหาความหมายที่แท้จริงของมัน
.......เต๋อเกลียดพี่นัย โตขึ้นเต๋อจะมีแฟนให้เยอะยิ่งกว่าพี่นัยอีกคอยดู.........
คำพูดนั้นที่เคยพูดเอาไว้เต๋อไม่เคยลืม
ไม่ลืม.......และไม่มีวันลืม
เพราะช่างนัยเห็นคนอื่นดีกว่าเต๋อ เพราะช่างนัยเห็นคนอื่นสำคัญกว่าเต๋อ เพราะช่างนัยแสดงให้รู้ว่าเต๋อเป็นแค่เด็กผู้ชายข้างบ้านที่น่ารำคาญ เพราะช่างนัยเอาแต่แกล้งเต๋อทุกวัน แกล้งให้อาย แกล้งให้โกรธ เพราะอย่างนั้นมันก็เลยเป็นเหตุผลมากพอให้เต๋อเกลียดช่างวินัย
“ผมเกลียดช่างนัย”
ยิ่งคิดบางครั้งเต๋อก็นึกอยากจะร้องไห้
สิ่งที่ทำก็แค่พยายามหลอกตัวเองไปเรื่อย ๆ
จะเกลียดให้ดู
จะเกลียดช่างนัยทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน จะไม่พูดดีด้วย จะไม่สนใจ จะไม่มอง
ไม่ว่ายังไงก็จะไม่รู้สึกอะไรกับช่างนัยทั้งนั้น นอกจาก “เกลียด”
เกลียด คนที่ผิดสัญญา
ช่างวินัยเงยหน้าขึ้นมองหน้าของเต๋อ ก่อนจะก้มกลับลงไปสนใจกับผัดไทตรงหน้า
ไม่ใช่ว่าเต๋อไม่เคยพูดแบบนี้
เพราะพูดแบบนี้อยู่บ่อย ๆ ช่างนัยก็เลยคิดว่าจะพยายามชินกับสิ่งที่เต๋อพูด
แล้วจะให้ทำยังไง
โดนเกลียดไปแล้ว จะไปทำอะไรได้ ไม่ว่ากี่ปีก็ไม่เคยทำอะไรได้
และในเวลานี้ความรู้สึกเดิม ๆ ก็กลับมา ความรู้สึกที่คล้ายหัวใจเบาโหวงเหวงเหมือนปุยนุ่นเริ่มกลับมาอีกครั้ง
“รู้แล้วว่าเกลียด”
ช่างวินัยพยักหน้าและตอบรับสิ่งที่เต๋อพูด พยายามทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นปกติ
ทำไมจะไม่รู้ ว่าไอ้เต๋อมันรู้สึกยังไงด้วย แต่ช่างนัยจะไปทำอะไรได้
ดีแล้วที่เกลียด ช่างนัยจะได้ทำใจได้และพยายามเชื่อต่อไปว่าเต๋อ คือ “น้อง” ต่อให้น้องมันกวนตีนมันร้าย มันแสดงออกให้รู้ว่าเกลียดขนาดไหน แต่ในฐานะพี่ชาย จะให้เกลียดน้องแบบจริงๆ จัง ๆ ใครมันจะไปทำได้
ช่างวินัยลอบถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาบอกสิ่งที่คิดอยู่ในหัวมาตลอดให้เต๋อได้รับรู้บ้าง
“กูก็ไม่เคยคิด หรือหวังให้มึงมาชอบกูเหมือนกัน”
TBC.