Day 2: Clean Food, Good Life
“พี่ต้า...จริงๆไม่ต้องมาส่งผมก็ได้นะครับ”
ผมเอ่ยอย่างเกรงใจ เห็นอย่างนี้ผมก็เป็นเด็กอักษรฯนะครับ เอกภาษาญี่ปุ่นโทวรรณคดีอังกฤษ เรียกได้ว่ามาสายภาษาจัดจนกลับลำไม่ได้แล้ว ซึ่งตึกที่ผมเรียนอยู่ห่างจากตึกคณะวิทยาศาตร์ของพี่ต้าชนิดที่เรียกได้ว่าอยู่คนละฟากของมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว การที่อีกฝ่ายยอมเสียสละเวลาขับรถออ้อมมาส่งผมในเวลาที่ควรเอาไปแย่งที่จอดรถอันมีอยู่น้อยนิดในมหาวิทยาลัยยิ่งทำให้ต่อมเกรงใจของผมทำงานหนักขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ พี่เต็มใจ” มาแล้วครับ รอยยิ้มอบอุ่นละมุนละไมดาเมจหัวใจคนมองไปอีกดอก
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายแล้วเปิดประตูรถออก แต่พี่ต้ารั้งข้อมือของผมไว้ก่อน
ด้วยความที่ผมเป็น ‘น้องรัก’ของพี่เจษฏ์ทำให้พี่ต้าพลอยเอ็นดูผมไปด้วย เรื่องการแตะนู่นจับนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับพวกผม...แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าในช่วงเวลาสองวันนี้มันถึงได้มากขึ้นผิดปกติก็ไม่รู้
“ปราณ ตอนเที่ยงเดี๋ยวพี่มาหานะ” พี่ต้าพูดด้วยน้ำเสียงที่แม้จะไม่ใช่คำสั่งแต่ก็ไม่ใช่ประโยคคำถาม “ไปกินข้าวกัน”
แม้จะรู้ว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมลดน้ำหนัก แต่คำพูดคำจาของอีกฝ่ายก็ทำให้คนขี้มโนอย่างผมมีอะไรให้เก็บไปเพ้อได้หลายวันแล้ว
“ร่าเริงเชียวนะมึง ไปทำอะไรมาเนี่ย?”
ผมยังไม่ทันจะได้หย่อนก้นติดเก้าอี้ ไอ้เต้ เพื่อนสมัยมัธยมปลายที่สอบติดคณะเทคนิคการแพทย์มอเดียวกับผมก็ทักขึ้นมาเสียงดัง ดีที่คนยังไม่เยอะมากและห้องเรียนนี้เป็นห้องบรรยายรวมหลายคณะ จึงไม่ค่อยมีใครสนใจมันเท่าไหร่
“เรื่องของกูมั้ยเต้” ผมตอบอย่างขอไปที ไม่คิดจะเล่าความจริงให้คนปากมากอย่างมันฟัง
“โห่ แค่นี้ก็ไม่บอก เพื่อนกันปะวะ” ไอ้เพื่อนหน้าตี๋แกล้งทำเป็นน้อยใจ แน่นอนว่าคนอย่างผมไม่คิดจะง้อไอ้เด็กโข่งข้างๆอยู่แล้ว เดี๋ยวผ่านไปซักพักพอมีอะไรใหม่ให้มันสนใจมันก็หายงอนผมไปเอง
ครืดดดด
“ฮัลโหล ครับๆพี่มุก เลี้ยงสายเที่ยงเหรอครับ? ว่างครับว่าง!บ่ายผมไม่มีเรียน”
นั่นไง พูดทันขาดคำซะเมื่อไหร่
“…โห ไปไกลขนาดนั้นจะไปยังไงเหรอครับ? รถพี่ภีม?...อ๋อๆ รถเพื่อนพี่ภีม คร้าบบบ เจอกันครับ”
หลังจากวางสายไอ้คนได้แดกของฟรีก็แฮปปี้ดี๊ด๊าไม่มากวนใจผมอีกจนจบคาบเรียน ผมเดินลงมาจากตึกโดยมีไอ้คนอารมณ์ดีติดสอยห้อยตามมา ถึงจะพยายามเร่งฝีเท้าหนีมันแค่ไหนไอ้เต้ก็ยังเกาะหนึบเหมือนเจ้ากรรมนายเวรมาขอส่วนบุญ ผมจึงได้แต่หวังว่าพี่ต้าจะมาถึงหลังใครก็ตามที่จะมารับมันไปเลี้ยงสาย เพราะถ้ามีรถหรูปริศนามารับผมถึงหน้าตึกเรียนผมคงได้ถูกมันซักฟอกไปอีกหลายวัน
“พี่ภีม!!”
ไอ้เต้พุ่งตัวนำหน้าผมทันทีที่เห็นรุ่นพี่คนหนึ่งก้าวออกมาจากฝั่งข้างคนขับของรถสี่ประตูสีขาวคันหรูราคาหลายสิบล้านที่ทำเอารถของพี่ต้าดูเป็นรถของเล่นไป รุ่นพี่ของไอ้เต้เป็นผู้ชายร่างสูงโปร่ง ผิวสีน้ำผึ้งตัดกับชุดนักศึกษาสีขาวสะอาด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูเป็นคนใจดี อาจเป็นเพราะดวงตาสีเข้มดูหวานจากแพขนตางอนที่ไม่ควรเป็นของผู้ชายของอีกฝ่าย
“อุ่ก...พอแล้วเต้...พี่เจ็บ”
พี่ที่ชื่อพี่ภีมนิ่วหน้าเมื่อโดนลูกลิงตัวไม่เล็กนักกระโดดกอดจนเซวูบ แต่ไอ้เต้ไม่คิดจะสนใจ กอดพี่สายรหัสของตนโยกซ้ายขวาด้วยสีหน้าทะลึ่งทะเล้น จนกระทั่งร่างสูงที่ก้าวออกมาจากรถคันนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งคู่
แค่สายตาของผู้มาใหม่ก็มากพอจะทำให้ไอ้เต้ผละออกจากพี่ภีมราวกับถูกไฟช็อต คนคนนี้เป็นคนที่เรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ที่
สูงที่สุดที่ผมเคยเห็น ชนิดที่ว่าพี่เจษฐ์ที่สูงแล้วยังต้องเงยหน้ามอง รูปร่างสันทัดอกผายไหล่กว้างตามประสาคนมีกล้ามเนื้อไม่สามารถถูกซุกซ่อนได้โดยเสื้อนักศึกษา ใบหน้าคมหล่อเหลาตามประสาชายไทยรับกับทรงผมตัดสั้นจัดทรงเป็นระเบียบที่ทำให้อีกฝ่ายดูมีกลิ่นอายของความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนรอบข้าง
“ภีม ไปนั่งในรถเถอะ ไม่ค่อยสบายนี่”
“ผมไม่เป็นไรครับคุณคิน” พี่ภีมตอบอ้อมแอ้ม ก้มมองพื้นเหมือนไม่กล้าสบตากับคนที่ขับรถมาให้
“อย่าดื้อสิ น้องครับ ไปนั่งข้างหลังเลย”
ประโยคหลังหันไปพูดกับไอ้เต้ที่รีบทำตามอย่างไม่อิดออด แล้วดึงแขนคนข้างๆเบาๆให้เดินตามกลับไปประจำตำแหน่งตุ๊กตาหน้ารถของตัวเอง
“อ้าว พี่คิน?”
เสียงหวานที่คุ้นเคยทำให้ผมหันขวับไปหาพี่นทีที่มายืนอยู่ข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“รู้จักกันด้วยเหรอครับ?”
“อื้อ พี่ชายพี่เอง”
พี่นทีพยักหน้าหงึกหงัก การที่หนุ่มตี๋ผิวขาวออร่าจับตัวบอบบางหน้าตาจิ้มลิ้มตาหวานเยิ้มปากรูปกระจับบอกว่าคุณชายแบดบอยควายถึกเมื่อครู่เป็นพี่ชายทำให้ผมเอ๋อไปชั่วขณะ ส่วนคนที่ได้ชื่อว่าพี่ชายหันกลับมาตามเสียงของน้องชายตัวเองพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“พี่นึกว่าทีจะเลิกช้ากว่านี้ซะอีก”
“อาจารย์ ปล่อยเร็วน่ะครับ แล้วนี่พี่คินมาทำอะไรแถวนี้เหรอครับ?” พี่นทีเอียงคอถามด้วยสีหน้าน่ารักน่าเอ็นดู ให้ตายเถอะ ผมต้องทำยังไงถึงจะน่ารักได้แบบนี้นะ
“อ๋อ มารับหลานรหัสภีมไปเลี้ยงสายน่ะ เห็นเขาไม่มีรถกัน”
ทำไมพี่น้องบ้านคนรวยถึงพูดจาได้ดอกพิกุลทองขนาดนี้ ขนาดผมที่ไม่ค่อยได้พูดคำหยาบใส่อาเจ้ที่เคารพรักยังรู้สึกว่าตัวเองดูไร้มารยาทไปเลยเมื่อเทียบกับสองคนนี้ แต่ถึงจะดูเรียบร้อยแต่ผมยังคงเห็นได้จากแววตาว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องที่รักกันดี ไม่ใช่พวกใส่หน้ากากเข้าหากันเหมือนในละครหลังข่าวแนวนั้น
“อ๊ะ จริงสิครับ คุณแม่ฝากถามว่าอยากขอแรงพี่ภีมไปช่วยเตรียมงานช่วงเย็นวันศุกร์ได้มั้ย แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะครับ”
พี่นทีหันไปพูดกับชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งที่ยืนนิ่งตัวเกร็งอยู่ข้างๆพี่ชายของตัวเอง
“ได้ครับคุณหนู...”
“ที่มหาลัยไม่ต้องเรียกผมแบบนั้นก็ได้ครับ”
แม้จะยังคงไว้ซึ่งความสุภาพเรียบร้อยที่เป็นแก่นแท้ของนิสัยแต่หางเสียงของพี่นทียังคงตวัดอย่างไม่พอใจ พี่เขาเกลียดการถูกปฎิบัติด้วยเหมือนตนเป็นลูกคุณหนูมากที่สุด แต่ไม่รู้ทำไมพอไอ้พี่เจษฏ์ล้อ พี่นทีกลับไม่ถือสาสักครั้ง
“น่าๆ อย่าดุภีมเลย เขาก็เป็นของเขาแบบนี้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่กับภีมจะกลับไปช่วยเตรียมงานนะ วันเกิดทีทั้งทีพี่กลับบ้านอยู่แล้ว ไปกันเถอะภีม น้องรอนานแล้ว”
คุณพี่ชายรูปหล่อรีบแก้ไขสถานการณ์ ดึงให้คนข้างตัวกลับไปที่รถของตน ผมได้แต่ยืนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“พี่ที คนที่มากับพี่ชายพี่ทีนี่คือ...”
“อ๋อ ลูกชายของแม่บ้านที่บ้านพี่น่ะ เขาเป็นคนดูแลพี่คิน เลยตัวติดกันแบบนี้” พี่นทีไหวไหล่ “แต่พี่ว่านะ พี่คินมากกว่าล่ะมั้งที่ดูแลเขา เห็นขับรถไปรับไปส่งกันแบบนี้มาตั้งแต่พี่เขาขับรถได้แล้ว”
น่าแปลก...ทั้งที่พี่นทีเป็นคนอ่านคนได้เก่ง สังเกตท่าทีของคนได้ดี แต่ทำไมถึงไม่ได้สัญญาณแปลกๆจากสองคนนั้นอย่างที่ผมได้กันนะ
“ไอ้ที! แดกไรดี กูหิววววว....อ้าว ไอ้อ้วน”
เสียงพี่เจษฎ์ดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ล็อคคอเพื่อนรักตัวบางไว้อย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะเห็นว่ามีเจ้าหมูน้อยตัวหนึ่งยืนอยู่ข้างๆกัน
“ระวังพี่ทีขาดอากาศตายนะพี่” ผมเตือนด้วยความหวังดี แม้ว่าพี่ทีจะดูไม่ถือสาคนมือหนักก็ตาม
“ไปกินข้าวกัน เดี๋ยวกูให้ไอ้ทีเลี้ยง”
“โห ถามเขามั้ยน่ะ” ผมกลอกตากับความคิดเองเออเองของพี่เจษฐ์ ส่วนคนโดนทักเพียงแค่หันไปเลิกคิ้วให้คนที่ตัวเองกอดคออยู่
“เงินของเมียจ๋าก็คือเงินของผัวจ๋า ใช่มั้ยจ๊ะ”
“อื้อ” คำตอบยอดฮิตของพี่นทียังคงเป็นอมตะต้านกระแสของกาลเวลา ผมกำลังจะเอ่ยปฏิเสธอีกครั้งเมื่อรถของคนที่เป็นสาเหตุให้ผมไปกินข้าวกับคนทั้งสองไม่ได้เข้ามาจอดเทียบแทนรถหรูของพี่ชายพี่นทีที่เพิ่งขับออกไป
“อ้าว รถไอ้ต้านี่”
พี่เจษฎ์ผละจากพี่นทีไปหาเพื่อนอีกคนที่กดกระจกลงเผยให้เห็นชายหนุ่มภายใน พี่ต้ายิ้มให้รูมเมท แต่สายตาเหลือบมองมาที่ผมพร้อมกับเลิกคิ้วราวกับจะถามว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
…ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ
“มารับสาวที่ไหนวะต้า กล้ามากนะมาถึงถิ่นน้องกูแบบนี้”
พี่เจษฎ์เท้าแขนกับขอบหน้าต่างรถของรูมเมท สายตาของพี่ต้ายังคงไม่ละไปจากผมขณะที่คุยกับพี่เจษฎ์
“มารับน้องปราณไปกินข้าว”
ตะ..ตอบง่ายๆแบบนี้จะดีเหรอครับ?!
พี่เจษฎ์ผงะไปเล็กน้อยกับคำตอบที่ไม่คาดคิด ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างออกมาพร้อมแววตาเป็นประกายระยับ
“ฮั่นแน่ เดี๋ยวนี้มีกินข้งกินข้าวกัน มันยังไงครับเนี่ยไอ้คุณเพื่อน”
“กูต้องรายงานมึงด้วย?” พี่ต้าเลิกคิ้ว ผมเคยเห็นมุมกวนๆของพี่ต้าอยู่บ้างแม้จะไม่บ่อยนัก แต่เห็นทีไรใจก็ไม่สงบสักทีเลยให้ตายสิ
“อ้าว ได้ไงวะ แม่ปราณเขาฝากฝังกูมาให้ดูแลลูกเขา ใครจะไปมาหาสู่น้องกูก็ต้องรู้สิวะ” พี่เจษฎ์ยังคงโวยวายทีเล่นทีจริง ผมกำลังจะบอกให้ไอ้พี่ชายกิตติมศักดิ์เลิกแกล้งพี่ต้าตอนที่คนในรถเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“งั้นฝากไปบอกคุณแม่ด้วยว่ากูจีบน้องปราณอยู่ ต่อจากนี้เดี๋ยวกูดูแลน้องให้เอง ไม่กวนมึงแล้ว”
ผมคงจะขำกับสีหน้าเหวอๆของพี่เจษฎ์หากผมไม่มัวแต่อ้าปากค้างอย่างตกใจกับสิ่งที่ออกมาจากปากของพี่ต้า คนพูดใช้โอกาสที่พี่เจษฎ์กำลังตกใจกับสิ่งที่ได้ยินกวักมือเรียกผม ส่วนตัวผมนั้นสมองลัดวงจรไปเรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีเวลาคิดอะไรนอกจากทำตามคำสั่งของพี่ต้าแล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างพี่เขาทั้งที่ยังอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น
“ขอโทษนะที่ต้องพูดแบบนั้นออกไป” คนขับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววกังวล“ปราณโกรธพี่มั้ยครับ?”
ให้ตายเถอะ...หัวใจผมจะทนอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ไปได้ถึงสามสิบวันจริงๆเหรอครับ
“มะ…ไม่โกรธครับ” ดีมากไอ้ปราณ ถ้าเสียงมึงจะแผ่นซีดีตกร่องขนาดนี้มึงไม่เขียนใส่กระดาษแปะบนหน้าผากไปเลยล่ะว่ามึงหวั่นไหว “แต่...ทำไม...”
“พี่แค่คิดว่าถ้าอ้างแบบนั้นไป พี่จะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างทุกครั้งที่อยู่กับปราณ” พี่ต้าเอื้อมมือมากุมมือที่วางอยู่บนตักของผม
“ไม่ต้องห่วง พอครบสามสิบวัน พี่จะบอกไอ้เจษฎ์ว่าพี่จีบไม่ติด มันไม่ใช่คนติดใจเรื่องอะไรแบบนี้หรอก”
พี่ต้า มือครับพี่ มือๆๆๆๆ
แต่ถึงผมจะส่งกระแสจิตให้แค่ไหน มือของพี่ต้ายังคงอยู่ที่เดิม หากจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง คงจะเป็นแรงบีบที่กระชับแน่นขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
“ร้านอาหารสวยดีนะครับ”
ผมมองไปรอบๆร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ตัวร้านถูกตกแต่งด้วยสีขาวตัดกับต้นไม้สีเขียวสดที่ปลูกไว้ทั้งข้างนอกและในตัวร้าน ข้างโต๊ะที่ผมนั่งมีลำธารจำลองเล็กๆที่เชื่อมต่อกับกำแพงน้ำตกด้านนอกร้าน มีปลาตัวเล็กสีสันสวยงามว่ายผ่านพอให้เพลินตา ไม่ยักรู้ว่าแถวนี้มีร้านสวยๆแบบนี้ด้วย
“ร้านญาติพี่เอง เป็นร้านอาหารคลีน สูตรอาหารของที่นี่เป็นสูตรที่บริษัทคิดค้นขึ้นมาสำหรับโปรแกรมนี้ อยากกินอะไรก็สั่งได้เลยนะ”
“ครอบครัวพี่ต้านี่ทำธุรกิจนี้กันหมดเลยรึเปล่าครับเนี่ย?” ผมอดถามไม่ได้ พี่ต้าอมยิ้มขำ
“อือ พ่อแม่พี่เป็นคนแนะนำให้พี่ทำน่ะ”
“อ๋อ…”
ผมก้มลงดูดน้ำเปล่าจากหลอดด้วยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ตามปกติแล้วช่วงเวลาที่ผมกับพี่ต้าได้พูดคุยกันจริงๆไม่เคยเกินสามถึงสี่นาทีสักครั้ง ผมจึงไม่เคยประสบปัญหาในการหาหัวข้อสนทนาอย่างวันนี้
อาหารที่พี่ต้าทำให้ผมกินในตอนเช้าและอาหารที่นี่มีความคล้ายคลึงในเรื่องของรสชาติอยู่มาก ถึงแม้จะไม่ได้มีรสชาติเหมือนอาหารที่ผมกินประจำ แต่ก็นับว่าอร่อยมากสำหรับอาหารปรุงรสน้อยที่แทบไม่ได้รับการแตะต้องจากน้ำมัน
“ปราณ”
ผมเงยหน้าขึ้นจากจานเสต็กปลาย่างที่ผมกำลังซัดอย่างหิวโหย พี่ต้าถือโทรศัพท์รออยู่ก่อนแล้ว และเสียงแชะเบาๆจากมือถือรุ่นล่าสุดของสมาร์ทโฟนยี่ห้อดังนั้นทำให้ผมรีบเอื้อมมือไปคว้ามันจากมือของอีกฝ่าย เจ้าของมือถือชูโทรศัพท์ขึ้นเหนือศีรษะพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
“พี่ต้า เอามาเลยนะ” ผมไม่ชอบถูกถ่ายรูป โดยเฉพาะรูปตอนที่ผมกำลังโซ้ยของกินเหมือนปอบลงแบบนี้ และการที่พี่ต้าเป็น
คนถ่ายภาพน่าอายแบบนั้นยิ่งทำให้ความต้องการในการลบรูปของผมเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า
“ไม่อ่ะ พี่จะเอาไปตั้งเป็นรูปโทรเข้า” พี่ต้าขยับหนีจากรัศมีการเอื้อมคว้า จิ้มนิ้วลงบนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองด้วยรอยยิ้ม
พึงพอใจ “น่ารักดีออก นี่เป็นรูปแรกของปราณในเครื่องพี่เลยนะ”
“ถ่ายดีๆก็ได้นี่ครับ” ผมว่าเสียงอ่อย พี่ต้าเลิกคิ้ว
“ถ้าปราณยอมพี่ง่ายๆแบบนั้นก็ดีสิ”
จริงอยู่ว่าผมมักจะอาสาเป็นคนถ่ายรูป หรือแอบขยับหลบเวลาถ่ายรูปรวมบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้ดื้อขนาดนั้นสักหน่อย…
ว่าแต่…ประโยคสองแง่สามง่ามเมื่อกี้มันอะไรกัน(วะ)ครับ?!
บางทีผมก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องคุยกับพี่เจษฎ์ให้ตักเตือนพฤติกรรมให้ความหวังเรี่ยราดของรูมเมท ไม่อย่างนั้นไม่ผมก็ใครได้ตบะแตกตีหัวลากพี่เขากลับห้องแน่ๆ
“พี่ไปห้องน้ำนะ”
ผมพยักหน้า หยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่สั่นครืดในกระเป๋ากางเกงแทบจะในทันทีที่พี่ต้าลุกไปออกมาดูข้อความ ก่อนะจรีบสไลด์เปิดแอพอ่านข้อความทั้งหมดทันทีที่เห็นว่าใครเป็นคนส่งมา
เมียเจษฎ์เองครับ: ไวไฟเหมือนกันนะเนี่ยเรา
อา…ผมคงจะต้องอธิบายก่อนสินะครับว่าพี่เจษฎ์เป็นคนตั้งชื่อนี้ในโทรศัพท์ของพี่นที และตามประสาคนไม่เคยขัดใจเพื่อน พี่นทีเลยไม่เคยคิดจะเปลี่ยน คนรอบข้างของสองคนนี้ก็แซวจนไม่มีเรื่องจะแซวแล้ว สุดท้ายทุกคนก็ชินกับชื่อใหม่ในแอพของพี่นทีไปเอง
ลมปราณ: พี่ที ช่วยผมด้วย
ผมกดส่งไปก่อนที่จะรู้ตัวเสียอีกว่าพิมพ์อะไรลงไป
ต่างจากพี่เจษฎ์ที่ผมหลุดปากสารภาพความรู้สึกของตัวเองต่อพี่ต้าให้ฟังตอนเมา พี่นทีเป็นคนเอ่ยปากถามผมตรงๆหลังเห็นท่าทีของผมเวลาอยู่ใกล้พี่ต้าไม่กี่ครั้ง หลังจากนั้นมา ผมก็มีพี่นทีเป็นคนรับฟังและที่ปรึกษาชั้นดีมาโดยตลอด
และนั่นทำให้ผมรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์โทรศัพท์อย่างบ้าคลั่ง ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงที่แสนยาวนานนี้เป็นตัวอักษรให้ได้มากที่สุดก่อนที่พี่ต้าจะกลับมาจากห้องน้ำ
แต่สิ่งที่พี่นทีตอบกลับมามีเพียง…
เมียเจษฎ์เองครับ: ก็ดีแล้วนี่ปราณ
ราวกับว่าคนที่อยู่อีกฟากของบทสนทนาสามารถเห็นสีหน้าสับสนของผมในตอนนี้ได้ ข้อความที่สองเด้งตามหลังข้อความแรกแทบจะในทันที
เมียเจษฎ์เองครับ: มีอีกหลายคนนะที่ยอมทุกอย่างเพื่อโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองชอบ ต่อให้ไม่ได้บอกความรู้สึกของตัวเองออกไป แค่ได้มีความทรงจำกับคนคนนั้นให้ย้อนกลับมาคิดถึง ก็น่าจะพอแล้วนี่ จริงมั้ย?
นั่นสินะ…
“คุยกับใครอยู่เหรอ?”
ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นของคนในห้วงความคิด มือถือในมือแบบหลุดลงไปทักทายพื้นโลกตามแรงโน้มถ่วง พี่ต้าเลิกคิ้วกับท่าทีลนลานของผม แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ระ…เราไปกันดีกว่าครับ เดี๋ยวพี่ต้าจะเข้าเรียนสาย” ผมลุกขึ้นพร้อมเก็บมือถือใส่กระเป๋า พี่ต้ามองตามการกระทำของผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก
พวกเรากลับมาถึงมหาวิทยาลัยก่อนเวลาเข้าเรียนของพี่ต้าเพียงไม่กี่นาที แต่ดูเหมือนพี่เขาจะไม่ได้เดือดร้อนอะไร แถมยังแวะมาส่งผมที่หน้าตึกเรียนก่อนด้วย
“ปราณ…” พี่ต้ากดกระจกลงเรียกผมไว้ก่อนจะได้กลับเข้าไปในตัวอาคาร ผมหันกลับไปตามเสียงเรียก นี่ผมลืมอะไรไว้รึ
เปล่า… “คืนนี้เจอกันนะครับ”
เลิกพูดอะไรแบบนั้นด้วยลักยิ้มบุ๋มน่ารักแบบนั้นได้มั้ยครับ?!
ผมพยักหน้า ไม่ไว้ใจให้ตัวเองส่งเสียงอะไรออกไปทั้งนั้น พี่ต้าโบกมือให้ผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่รถจะเริ่มเคลื่อนตัวออกไป
“หวานกันจังนะ”
“ทีพี่นทีไปกับพี่เจษฎ์ทุกวันผมยังไม่เคยล้อเลยนะครับ” ผมหันไปหาพี่รหัสของตัวเองที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างหลัง แอบนึกแปลกใจที่เห็นพี่นทีอยู่ตามลำพังแบบนี้
“เด็กที่คุยด้วยเรียกให้ไปหาน่ะ หายไปตั้งแต่กลับมาถึงมอแล้ว” พี่นทีเอ่ยพร้อมรอยยิ้มประจำตัว แต่ผมกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นส่งไปไม่ถึงดวงตาเรียวหวานของอีกฝ่าย ”จริงสิ อย่าลืมชวนต้าไปงานวันเกิดพี่ด้วยนะ เดี๋ยวจะให้ที่บ้านเตรียมอาหารคลีนไว้ให้”
“ไม่ต้องลำบากหรอกครับ”ผมรีบพูดอย่างเกรงใจ แม้จะรู้ว่าพี่นทีคงเตรียมการไว้เรียบร้อยหมดแล้วก็ตาม ปีนี้เป็นปีแรกที่ผม
ว่างไปงานวันเกิดของพี่ที ปกติแล้ววันเกิดของพี่เขามักจะไปตกช่วงปิดเทอมที่ผมไปต่างจังหวัดไม่ก็ไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัวเสมอ
พวกเรายืนคุยกันอยู่สักพักก่อนที่พี่นทีจะเอ่ยขอตัวไปเรียน ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา แต่สิ่งที่อยู่บนหน้าจอกลับเป็นข้อความจากเพื่อนที่บอกว่าอาจารย์ยกเลิกคลาสในช่วงบ่าย
ผมกำลังจะโบกแทกซี่กลับหอตอนที่โทรศัพท์ดัง
“ไอ้อ้วน อยู่ไหน ว่างป่ะ มาช่วยกูหน่อย”
แท็กซี่คันหนึ่งตีไฟจอดเทียบทางเท้าเมื่อเห็นมือของผมที่ยังยกค้าง ผมทำได้เพียงทอดถอนใจและเปลี่ยนจุดหมายปลายทางจากห้องของผมเป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกล
คนอย่างไอ้พี่เจษฎ์ต่อให้บอกว่าไม่ว่างก็คงไม่ฟังหรอก
“สรุปพี่โกหกพี่นทีว่าเด็กเรียกไปหาแล้วมาเดินตามหาของขวัญวันเกิดให้เขาเนี่ยนะ?”
ผมนึกอยากจะตบกระโหลกไอ้พี่บ้องตื้นของตัวเองจริงๆ ทีเรื่องอื่นล่ะตอแหลลื่นไหลนัก
“เออดิ ไม่งั้นก็ไม่เซอร์ไพร์สดิวะ” พี่เจษฎ์หันซ้ายแลขวาอย่างไร้จุดหมาย ผมที่มีของขวัญให้พี่นทีเตรียมไว้แล้วเพียงแค่เดินตามอีกฝ่ายต้อยๆอย่างไม่มีความเห็น
เห็นพี่เจษฎ์มันบ้าๆบอๆแบบนี้ แต่วันเกิดพี่นทีทุกปีเขาก็ตั้งใจหาของขวัญให้ตลอดนะครับ ต่อให้พี่เจษฎ์ไม่ได้คิดอะไรมากกว่าเพื่อนกับพี่นที และพี่นทีก็สงวนท่าทีจนผมไม่ค่อยมั่นใจว่าเขาชอบพี่เจษฎ์หรือแค่ติดพี่เจษฎ์มากกันแน่ แต่การกระทำที่ดูเหมือนคู่รักมากกว่าคู่รักวัยมหาวิทยาลัยที่ผมเคยเห็นทั่วไปก็เป็นสิ่งนึงที่ทำให้ผมมักจะอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องของสองคนนี้มันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ
“เฮ้ย อันนี้ไง กูจำได้ว่ามันชอบเปิดเพลงของนักร้องคนนี้ในรถบ่อยๆ”
พี่เจษฎ์ร้อง ชี้ไปที่ตำแหน่งบนสุดของชาร์ตในร้านขายดีวีดี ผมรู้จักนักร้องคนนี้ดี เจคอบ ฟรายส์ เป็นนักร้องดาวรุ่งที่กวาดรางวัลจากแทบทุกชาร์ตเพลงในเวลาเพียงสามปีที่เขาเข้าวงการ อาเจ้ผมนี่แหละเป็นหนึ่งในติ่งสาวรุ่นบุกเบิก เห็นว่าพระเอก
นิยายของเจ้แกก็มีอิทธิพลมาจากนักร้องคนนี้
ผมกำลังเดินเตร่ดูหนังออกใหม่ในร้านรอพี่เจษฎ์จ่ายเงินและห่อของขวัญเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นขึ้นมา
ครืดดด
คทา: ได้ยินว่าคลาสแคนเซิลเหรอ ให้พี่ไปรับมั้ยครับ
ทำไมข่าวไปถึงพี่ต้าไวขนาดนี้เนี่ย
ไม่สิ พี่ต้าไม่ได้มีเรียนอยู่ตอนนี้เหรอ
ลมปราณ:ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่กับพี่เจษฎ์ เดี๋ยวผมให้พี่เจษฎ์ไปส่ง
ผมพิมพ์ตอบกลับไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ข้อความสั้นๆที่พี่ต้าพิมพ์ตอบกลับมานั้นทำเอาโทรศัพท์ผมแทบหลุดมือ
คทา: เก่งมากเลยครับปราณ สู้ๆนะ
ผมลืมความเข้าใจผิดที่โคตรจะใหญ่หลวงนั้นไปได้ยังไงนะ
ช่างเถอะ ชื่อเสียงผมในสายตาพี่ต้าคงจะไม่ป่นปี้ไปมากกว่านี้แล้วล่ะ
“กูเอาอันนี้แหละ ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับมั้ย?”
พี่เจษฎ์กลับออกมาจากร้านพร้อมถุงกระดาษประทับตราของร้าน ผมส่ายหน้า ไม่กล้ากินอะไรนอกจากของในโปรแกรมที่พี่ต้าจัดให้
ถึงผมจะไม่ได้ต้องการคอร์สแปลงโฉมงี่เง่านี่ แต่ถ้ามันทำให้พี่ต้ามีผลงาน ผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียหายที่จะพยายามอย่างถึงที่สุด
“ฮั่นแน่ ไปกินข้าวกับไอ้ต้านี่อิ่มทิพย์ถึงเย็นเลยเหรอไอ้อ้วน”
พี่เจษฎ์แซว ผมกลอกตา ไม่ยอมตกหลุมพรางให้อีกฝ่ายล้วงข้อมูลไปง่ายๆ ถึงแม้จะต้องโดนล้อไปตลอดทางจนถึงหอนอก
โดยไม่สามารถเถียงได้สักคำก็ตาม
ผมเปิดประตูห้องของตัวเองด้วยความเคยชิน ลืมไปสนิทว่าห้องของผมในตอนนั้นเป็นที่พักอาศัยของอีกหนึ่งชีวิตที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำในกางเกงขาสั้นตัวบางเพียงชิ้นเดียว พี่ต้ายิ้มทักทายผมราวกับเรื่องทั้งหมดเป็นกิจวัตรกประจำวันที่อีกฝ่ายทำมาแรมปี
ผมคิดส่าพี่ต้าจะถามเรื่องพี่เจษฎ์ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นข้อมูลในการทำงานของตัวเอง แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมีเพียง
“พี่ทำอาหารเย็นไว้ให้แล้วนะ เปลี่ยนชุดมาออกกำลังซักหน่อยแล้วค่อยมาทานเนอะ”
ผมอยากจะถามเหลือเกินว่าถ้าคิดจะให้ผมออกกำลังแล้วทำไมถึงได้อาบน้ำตอนนี้ แต่กล้ามท้องเป็นลอนนั้นดึงดูดความสนใจของผมได้ดีจนไม่สามารถตั้งสติอยู่คำถามนั้นได้
บางทีผมก็คิดว่าการจ้างเทรนเนอร์หน้าตาดีก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้คอร์สลดน้ำหนักประสบผลสำเร็จ
--------------
มาช่วยน้องปราณลดน้ำหนักกานนนนน