#Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 16: กลับบ้านใหญ่ [14-1-20] คห.69
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 16: กลับบ้านใหญ่ [14-1-20] คห.69  (อ่าน 23833 ครั้ง)

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
เคลียร์ไปคู่ล่ะ เหลืออีกคู่จะลงเอยกันได้เมื่อไหร่น้อ.  :hao4:

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Day 14: มาราธอน

วันนี้เป็นวันเสาร์



หากจะพูดให้เจาะจงลงไปมากกว่านี้ วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ผมให้สัญญากับพี่ต้าไว้ว่าจะไปดูวิ่งมาราธอนการกุศลทีททั้งพี่ต้าและเป็นเจษฎ์ลงชื่อเข้าร่วม



“แดดร้อนเหมือนกันนะเนี่ย สองคนนั้นจะเป็นอะไรรึเปล่านะ”



พี่นทีบ่นอุบทันทีที่ก้าวลงมาจากรถซึ่งจอดไม่ไกลจากเส้นชัยเท่าไหร่นัก อุณหภูมิที่ร้อนระอุบวกกับแสงแดดจ้าทำให้ผมเริ่มเป็นห่วงว่าคุณชายรองของบ้านวิสุทธรากรจะเป็นลมล้มพับไปก่อนหรือไม่ แต่หากเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา รู้เลยว่าพี่นทีจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่



พวกผมช่วยกันหยิบข้าวของที่เตรียมไว้สำหรับผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคน เหล่ากองเชียร์ที่มารวมตัวกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งสองฟากฝั่งของเส้นชัยทำให้ผมถอนหายใจอย่างรู้สึกเสียดาย แบบนี้คงมองไม่เห็นพี่ต้าวิ่งเข้าเส้นชัยแน่ๆ



“เอ้า ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะปราณ” พี่นทียิ้มขำ วันนี้พี่รหัสของผมอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตตัวบางสีฟ้าอ่อนที่ผมจำได้ว่าไอ้พี่
เจษฎ์ลากผมไปช่วยเลือกในวันเกิดปีก่อนของอีกฝ่าย ปลดกระดุมเม็ดบนสุดเผยสร้อยคอเชือกถักสีดำที่หาได้ตามท้องตลาดคล้องแหวนรุ่นของโรงเรียนมัธยมปลายที่ผมกะได้จากสายตาว่าไม่ใช่ไซส์ของพี่ทีแน่นอน มองจากสถานีอวกาศก็รู้ว่าจงใจให้คนตั้งคำถาม



“พี่ทีไม่เห็นเคยบอกผมเรื่องพี่เจษฎ์เลยอ่ะ” ผมตัดพ้ออย่างน้อยใจ “ผมอุตส่าห์บอกพี่ทุกอย่างเลยนะ…”



“พี่ไม่อยากให้เรื่องของพี่ทำให้ปราณลำบากใจ…” พี่นทีตอบพร้อมรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงวงตาคู่สวย “ขนาดแอบชอบเขาพี่ยัง
ลำบากใจเลย…”



“พี่เจษฎ์นี่โชคดีชะมัดที่มีคนอย่างพี่ทีมาชอบ” ผมยังคงไม่เข้าใจว่าคนที่เห็นถึงกมลสันดานของไอ้พี่เจษฎ์ชนิดที่หากสาวน้อยสาวใหญ่ที่คลั่งไคล้พี่มันนักหนาได้เห็นเพียงเศษเสี้ยวคงวิ่งเตลิดทำไมถึงยังยืนกรานจะชอบไอ้พี่เจษฎ์ได้



“พี่ต่างหากที่โชคดี ที่เขายอมให้พี่ชอบเขา…”



มือเรียวเล่นกับแหวนที่คล้องอยู่บนคออย่างเพลินมือ สร้อยเส้นนั้นพี่เจษฎ์มักจะถอดให้พี่ทีเก็บไว้เวลาลงแข่งหรือเล่นกีฬาที่อาจจะหลุดหายได้ แต่ผมไม่เคยเห็นพี่ทีเอาออกมาใส่แบบนี้มาก่อน



“คนเยอะแบบนี้คงไปข้างหน้าไม่ได้แล้วล่ะครับ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย รู้ว่าหากพี่นทีสบายใจที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังเมื่อไหร่ เขาก็คงจะพูดเอง



คุณชายร่างโปร่งเหลือบมองผมราวกับจะถามว่า ‘รู้มั้ยว่านี่ใคร?’



และตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าท่ามกลางผู้คนที่มาจับจ้องพื้นที่รอนักวิ่งเข้าเส้นชัยนั้น มีชายในชุดสูทสีดำสนิทท้าแสงยูวียืนล้อมร่มสนามตัวใหญ่ที่มีทั้งเก้าอี้สองตัวและขาตั้งกล้องวางอยู่



พี่ภีมในชุดเสื้อคอปกกางเกงขายาวดูเรียบร้อยสะอาดตาโค้งกายให้พวกผมทั้งสองพร้อมรอยยิ้ม หนึ่งในชายชุดดำเข้ามาช่วยถือกระเป๋าผ้าในมือของผมกับพี่นที ส่วนอีกคนยื่นถาดเหล็กใส่เครื่องดื่มเย็นๆที่ผมเดาว่าคงเป็นน้ำผลไม้รวมสกัดเย็นที่พี่นทีชอบ



“คุณพ่อพี่เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ของงานน่ะ” พี่นทีหันมาอธิบายพร้อมรอยยิ้ม ส่วนผมที่ได้ใบบุญใบกุศลหล่นทับเพียงแต่พยักหน้าหงึกหงักตาม



ตลอดเวลาที่พวกผมนั่งรอ พี่ภีมยืนตัวตรงเอามือไพล่หลังไม่ต่างจากชายในชุดสูททั้งหลาย แม้จะได้อยู่ในร่มกับพวกเขาหลังจากพี่นทีออกปากให้อีกฝ่ายเข้ามาก็ตาม



“เกิดพี่คินรู้ว่าผมให้คนของพี่คินยืนตากแดดคงจะไม่พอใจน่าดู” พี่นทีกล่าว พี่ภีมมีสีหน้าอึดอัดใจเพียงวูบเดียว ก่อนจะยิ้มให้กับพี่นทีอย่างขอบคุณ



พวกผมได้ยินเสียงร้องเฮดังเป็นระลอกมาแต่ไกล คิดว่าคงจะมีนักวิ่งกลุ่มแรกใหล้ถึงเส้นชัยแล้ว ทั้งผมและพี่นทีชะเง้อมองอย่างตื่นเต้น ที่หางตา ผมสังเกตว่าพี่ภีมก็ชะเง้อมองด้วยสีหน้าลุ้นระทึกไม่ต่างกัน



“กรี๊ดดดดด!!!คุณคินนนนนน!!”



เจ้าของชื่อที่วิ่งนำคนอื่นๆอยู่ไกลโขยกมือขึ้นโบกให้กับแฟนคลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เหงื่อกาฬไหลโทรมกายจนเสื้อกล้ามสีเข้มเปียกลู่ซิกแพ็คส์ที่ไม่ว่าจะด้วยปาฏิหาริย์อะไรก็ตามเป็นลอนกล้ามที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ผมเคยเห็น



เจิดจ้าเหลือเกินพ่อคุณเอ๋ย



“น้ำลายหกแล้ว” พี่นทีติงผมเบาๆอย่างหยอกล้อ “คอยดูพี่จะฟ้องต้า”



“โธ่ พี่ทีครับ พี่ทีโทษผมได้เหรอครับ” ผมชี้ไปที่ความเจิดจ้านั้นอย่างคาดโทษ “พี่ทีกล้ามองตาผมแล้วบอกว่าพี่ไม่เห็นอะไรเลยเหรอ?”



“ก็นะ ยอมรับว่าเด็ดจริง” พี่ทีหัวเราะเบาๆ ท่าทีที่ผ่อนคลายลงของคุณชายที่ต้องวางตัวดีอยู่เสมอทำให้ผมยิ้มออก



แม้ว่าจะแอบตงิดใจกับพี่ภีมที่จู่ๆก็มือไม้อ่อนเกือบทำผ้าขนหนูในมือร่วงขึ้นมาก็ตาม



พี่คินวิ่งมาถึงเส้นชัยเป็นคนแรกตามที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ ทีมรักษาความปลอดภัยของคุณชายคนโตแห่งบ้านวิสุทธรากรรวมถึงพี่ภีมที่คว้าเอาผ้าขนหนูและน้ำที่เตรียมไปก้าวออกไปหาร่างสูง ส่งผ้าให้พี่คินซับเหงื่อแล้วเปิดขวดน้ำส่งให้นักกีฬายกดื่ม ขณะที่ชายในชุดสูทอีกคนกางร่มให้



“พี่ทีไม่ได้แสดงความยินดีหน่อยเหรอครับ?” ผมหันไปถามพี่นทีที่ลุกไปจัดมุมกล้องที่ถูกตั้งไว้รอ พี่นทีแนบใบหน้ากับกล้อง ส่งเสียงหึในลำคอเป็นเชิงปฏิเสธ



“ไม่ล่ะ เดี๋ยวเจษฎ์ก็มา”


แบบนี้ก็ได้เหรอครับ?



จริงอย่างที่ว่า ไม่นานนัก ร่างของคนที่พี่นทีรออยู่ก็วิ่งมาให้เห็นรำไร ข้างกันนั้นมีพี่ต้าที่วิ่งตีคู่กันมาติดๆเรียกเสียงกรี้ดจากกองเชียร์และชัตเตอร์ของสาวๆได้หลายระลอก ผมชักไม่มั่นใจแล้วว่านี่คือมาราธอนการกุศลรึงานเดินพรมแดง



“ไปกันเถอะ” พี่นทีผละออกจากกล้องหลังจากได้ภาพของพี่เจษฎ์ไม่ต่ำกว่าสิบรูปสมใจอยาก ผมคว้าผ้าขนหนูและขวดน้ำที่เตรียมไว้ให้พี่ต้า แล้วลุกตามพี่ทีไปที่เส้นชัย พี่เจษฎ์เฉือนชนะพี่ต้าไปเพียงไม่กี่ก้าว แทบจะโผเข้าหาพี่ทีที่ยืนรออยู่ด้วยรอยยิ้มกว้าง ยื่นหน้าหลับตาพริ้มให้อีกฝ่ายช่วยซับเหงื่อให้ด้วยสัหน้าน่าหมั่นไส้อย่างสุดซึ้ง พี่ทียิ้มขำ ใช้ผ้าขนหนูผืนนิ่มซับไปตามหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างเบามือ



“เหนื่อยมั้ย?”



“ไม่เหนื่อย เห็นหน้ามึงแล้วไม่เหนื่อยเลย” พี่เจษฎ์หยอดเสียงหวาน ผมกลอกตาอย่างหมั่นไส้กับคู่ที่กระหนุงกระหนิงออดอ้อนกันอย่างไม่แคร์สื่อแล้วเดินไปหาคนที่ผมตั้งใจมาเชียร์



พี่ต้าก้มหน้าหอบหายใจ มือยังคงจับอยู่ที่เข่าของตัวเอง ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาเสียทีจนผมเริ่มเป็นกังวล


“พี่ต้า…โอเคมั้ยครับ”



”อืม…” ทั้งที่พูดแบบนั้น แต่อีกฝ่าบกลับไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา ผมกำลังจะเข้าไปพยุงเมื่อคนที่ยังคงก้มหน้านิ่งเอ่ยขึ้น


“ขอโทษนะ…ทั้งที่ปราณอุตส่าห์ยอมมาดูพี่แท้ๆ พี่ยังชนะไอ้เจษฎ์ไม่ได้เลย”



“แค่วิ่งมาราธอน ไม่ได้แข่งเอาแพ้ชนะซักหน่อยครับ” ผมปลอบ ไม่คิดเลยว่าคนอย่างพี่ต้าก็มีมุมอยากเอาชนะกับเขาเหมือน
กัน



พี่ต้าเงยหน้าขึ้นมองผมในที่สุด ก่อนจะเหลือบมองพี่เจษฎ์ที่กำลังออดอ้อนขอให้พี่ทีดูแลอย่างไม่เกรงใจฟ้าดิน สีหน้าของอีกฝ่ายเหมือนกับชิ้นส่วนในหัวเริ่มประกอบกันเป็นรูปเป็นร่างในที่สุด ก่อนที่พี่ต้าจะหันมามองผมด้วยแววตาสมเพชเวทนา


อ่า…ลืมไปเลยว่าในความคิดของพี่ต้า ผมกำลังหลงพี่เจษฎ์หัวปักหัวปำอยู่นี่นะ



“พี่รู้ว่าผ้าผืนนี้ปราณไม่ได้เตรียมมาให้พี่” พี่ต้าเอื้อมมือมาหยิบผ้าขนหนูในมือของผมด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “แต่ถ้าคนที่ปราณเตรียมมาให้เขาไม่อยากใช้มัน พี่ขอได้มั้ยครับ”



ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมคิดว่าพี่ต้าไม่น่าจะพูดถึงแค่ผ้าขนหนู



“ผมเตรียมมันมาให้พี่ต้านั่นแหละครับ” ผมตอบ “ก็พี่ต้าบอกเองนี่ครับ ว่าอยากให้ผมมาเชียร์”



“นั่นสินะ...พี่ขอปราณไว้จริงๆนั่นแหละ” พี่ต้าหัวเราะ เสียงหัวเราะที่เจือไปด้วยความขมขื่นอย่างปิดไม่มิด



ผมอยากจะพูดให้ได้เต็มปากว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่แววตาของอีกฝ่ายสื่อ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมแค่ไม่กล้าที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง ก็เท่านั้น



“ไม่ต้องเสียใจไปนะครับพี่ต้า” ผมพยายามยิ้มปลอบอีกฝ่าย “ยังไงวันนี้พี่ต้าก็ชนะใจสาวๆไปมากกว่าไอ้พี่เจษฎ์ตั้งเยอะ”
ผมไม่ได้โกหก ป้ายไฟที่รอเชียรืพี่ต้าอยู่นั้นมีมากกว่าพี่เจษฎ์อยู่มากทีเดียว



“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ?” พี่ต้ามองผมด้วยแวววตาเศร้าหมอง “ในเมื่อคนที่พี่อยากได้หัวใจแต่แรก ไอ้เจษฎ์มัน
ได้ไปตั้งนานแล้ว”



ผมอยากจะหลบสายตาที่สื่อความหมายย่างชัดเจนไม่แพ้คำพูดของอีกฝ่าย แต่ร่างของผมในตอนนี้ราวกับถูกคนตรงหน้าสาปให้เป็นหิน ได้แต่นิ่งอึ้งมองคนพูดอย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไร



“ไอ้ปราณ ไอ้ต้า ไปกินข้าวกัน พี่คินเลี้ยง”



โชคดีของผมที่พี่เจษฎ์เลือกจังหวะนั้นในการโผล่มาล็อคคอผมไว้จากข้างหลังอย่างที่ชอบทำประจำ พยักเพยิดไปยังพี่ชายของพี่นทีที่หันมายิ้มให้กับพวกผม ข้างกายยังคงมีพี่ภีมยืนนิ่งรอรับคำสั่งอยู่ไม่ห่าง



ผมเหลือบมองพี่ต้าที่ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แม้ว่าแววตาแข็งกร้าวที่มุ่งเป้าไปยังพี่คินนั้นจะชัดเจนจนผมนึกประหลาดใจ



ตกลงว่าสองคนนั้นเขามีเรื่องอะไรกันอยู่กันแน่








“เมื่อกี้พี่คินเท่มากเลยครับ ที่เส้นชัยมีแต่สาวๆมารอเชียร์พี่กันเต็มเลย”



พี่นทีเอ่ยชมพี่ชายตัวเองไม่ขาดปากตั้งแต่พวกเราก้าวเท้าเข้ามาในภัตราคารหรูที่ตามปกติแล้วคงจะไม่ยอมเปิดประตูรับนักวิ่งมาราธอนที่เหงื่อยังโทรมกายให้ชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นชื้นเหงื่อเข้ามาในร้าน



แน่นอนว่านักวิ่งเหงื่อท่วมที่ว่านั้นมีแค่พี่ต้ากับพี่เจษฎ์เท่านั้น คุณชายใหญ่ของบ้านวิสุทธรากรเขาพื้นที่เปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเอง หลังจากพี่ภีมพาพี่นคินทร์ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแค่ไม่กี่นาที ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาและกางเกงแสลคสีดำที่ก้าวออกมานั้นดูราวกับเพิ่งออกมาจากห้องประชุมแอร์เย็นฉ่ำอย่างไรอย่างนั้น



หลังจากดูแลความเรียบร้อยให้เจ้านายของตัวเองเสร็จ พี่ภีมก็ขอตัวไปช่วยกลุ่มชายชุดดำเก็บข้าวของกลับไป พี่นทีอธิบายให้ผมฟังตอนที่พวกเราติดรถพี่คินมาว่าตามปกติแล้วคนรับใช้จะไม่รวมโต๊ะอาหารกับเจ้านายถึงแม้จะสนิทกันเพียงใด



“ขอบใจนะ ตอนแรกที่เห็นทีบอกว่าจะมาเชียร์พี่ดีใจมากเลยนะ” พี่นคินทร์ตอบยิ้มๆ “แต่พี่สังหรณ์ใจว่ากล้องทีคงไม่มีรูปพี่
อยู่เลยล่ะมั้ง”



“คุณแม่จ้างช่างภาพมืออาชีพตามเก็บภาพพี่คินตั้งแต่จุดสตาร์ท ผมว่าคงมีภาพมากเกินพอแล้วล่ะครับ” พี่นทีตอบเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานั้น



“พี่ก็อยากอยู่ในสายตาทีบ้างนี่นา” พี่คินทำสีหน้าเจ็บปวดใจทีเล่นทีจริง เหลือบมองพี่เจษฎ์ที่นั่งตัวเกร็งมาตั้งแต่เมื่อครู่ คนถูกมองสะดุ้งโหยงคล้ายมีชะนักติดหลัง



“แล้วเราสองคนตกลงยังไงกัน ที่เส้นชัยพี่เห็นนะ”



“ยังไม่ใช่แฟนครับ” พี่นทีตอบ หันไปหาคนในหัวข้อสนทนาที่ดูจะเป็นผู้เป็นคนผิดหูผิดตาขึ้นมาทุกครั้งที่พบกับครอบครัวของพี่นที “เขาขอจีบผมก่อน”



“จีบ?” พี่คินทวนคำอย่างไม่เข้าใจ เลิกคิ้วมองน้องชายสลับกับพี่เจษฎ์ไปมาอย่างงุนงง “นี่เขารู้ใช่มั้ย…”



“รู้ครับ” พี่นทีพยักหน้ารับ “ผมบอกชอบเขาไปแล้ว”



ผมรู้สึกถึงสายตาเป็นห่วงของพี่ต้าที่นั่งข้างๆ มือใหญ่วางลงบนต้นขาของผมนิ่งราวกับจะปลอบประโลม แม้ว่านั่นจะให้ผลที่ต่างไปจากที่พี่ต้าคิดมากก็ตาม



ผมขยับไขว้ขาเพื่อผละออกจากความอบอุ่นของมือใหญ่อย่างนิ่มนวลเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ



ถึงผมจะใจง่ายเมื่อเป็นเรื่องของพี่ต้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะยอมให้ลูบคลำก่อนที่จะได้เคลียร์เรื่องที่เส้นชัยให้รู้เรื่องนะครับ



“แล้วเรื่องจีบนี่เล่นอะไรกันอยู่ คุณแม่เขาลุ้นจนตัวโก่งแล้วนะรู้มั้ย?” พี่นคนิทร์ติง แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
คนที่ก้มหน้างุดหูเหอแดงก่ำกลับกลายเป็นไอ้พี่เจษฐ์ที่เริ่มทำตัวไม่ถูก พี่นทีไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมากับข้อมูลดังกล่าว



“พี่คิน เชื่อใจน้องสิครับ…” มือเรียวเอื้อมมากุมมือของพี่ชายบุญธรรมบนโต๊ะ เอียงคอทำสีหน้าออดอ้อนราวลูกแมวน้อยที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหากไปทำกับคนอื่นที่ไม่ใช่พี่นคินทร์คงโดนอุ้มหายไปหลังร้านแล้ว “น้องรู้ว่าน้องทำอะไรอยู่…”



“…เอาเถอะ พี่เชื่อว่าทีดูแลตัวเองได้” พี่นคินทร์ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ ลูบศีรษะน้องชายด้วยความเอ็นดูอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะหันไปหาพี่เจษฎ์ที่ตัวหดเหลือสองนิ้วทันทีที่พบว่าตัวเองถูกล็อคเป้าหมาย “ห้ามทำน้องพี่เสียใจนะครับ พี่ดุมากนะ”


พี่นทีหัวเราะออกมากับคำพูดของพี่ชาย แต่ผมกลับรู้สึกว่านั่นไม่ใช่คำขู่เลื่อนลอย และจากสีหน้าซีดเผือดของพี่เจษฎ์ ความหมายในดวงตาของพี่นคินทร์คงถูกส่งไปถึงว่าที่แฟนน้องชายอย่างครบถ้วน



“น้องปราณนี่เป็นน้องรหัสของทีใช่มั้ย?” จู่ๆพี่คินก็หันมาถามผม คงจะไม่อยากทิ้งให้ผมอยู่นอกวงสนทนา



“ครับ” ผมพยักหน้าเกร็งๆ ถึงแม้พี่นคินทร์จะไม่ได้เป็นอย่างอื่นนอกจากสุภาพบุรุษทุกครั้งที่ผมเห็น แต่ท่าทีที่พี่ต้ามีต่ออีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่นัก



“เห็นว่าชอบอ่านนิยายแฟนตาซีเหรอ?” พี่คินถามต่อ “พี่มีนิยายอยู่ที่ห้องเต็มเลย ถ้ามีเรื่องไหนอยากอ่านก็บอกนทีได้นะ ถ้าพี่มีจะให้คนส่งมาให้ หรือจะไปเลือกที่ห้องพี่ก็ได้นะ พี่อยู่คอนโดไม่ไกลจากมหาลัยเท่าไหร่”



“พี่คินชอบอ่านหนังสือมากเลยนะ” พี่นทีอวดพี่ชายพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ในห้องมีหนังสือเยอะกว่าห้องสมุดคณะอีก ว่างๆปราณก็ลองไปยืมที่ห้องพี่คินดูสิ…”



จังหวะนั้นเองที่พี่ต้าเท้าแขนกับโต๊ะส่งผลให้แก้วน้ำที่วางอยู่เอียงล้ม ของเหลวในนั้นกระฉอกใส่เสื้อราคาแพงของพี่คินอย่างพอดิบพอดีราวกับจับวาง



“ขอโทษครับ เดี๋ยวผมเช็ดให้”น้ำเสียงของพี่ต้าไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเสียใจ ดึงให้พี่คินลุกขึ้นด้วยแรงที่แทบจะเรียก
ได้ว่าเป็นการกระชาก “ไปที่ห้องน้ำดีกว่านะครับ”



พี่นทีลุกขึ้นเพื่อตามไปช่วยแต่ถูกพี่ชายยกมือห้ามไว้พร้อมรอยยิ้มประจำตัวก่อนจะเดินตามแรงดึงกลายๆนั้นไปอย่างไร้ปากเสียง



ถ้าหากผมไม่ได้มั่นใจว่าสองคนนี้กำลังมีเรื่องผิดใจกันในตอนแรก ผมก็มั่นใจแล้วในตอนนี้



และดูจากสีหน้าเป็นกังวลที่หาดูได้ยากของพี่เจษฎ์ อีกฝ่ายก็คงคิดไม่ต่างกัน



“ต้าเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมดูแปลกๆจัง” คนที่ดูจะไม่ได้เอะใจกับท่าทีของพี่ชายตัวเอง แต่กลับสังเกตเห็นสีหน้าของพี่ต้าเสียอย่างนั้นกลับเป็นพี่นที ผมกับพี่เจษฎ์ลอบมองหน้ากันแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา



แปลก…แปลกมากจริงๆนั่นแหละ








“คิดจะทำอะไรกันแน่”



คฑาเอ่ยขึ้นทันทีที่ล็อคประตูห้องน้ำลง นคินทร์ล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยสีหน้าสนุกสนานที่คฑานึกอยากจะซัดมันออกไปจะใบหน้าหล่อเหลาด้วยหมัดลุ่นๆ



“พี่ก็แค่อยากรู้จักเพื่อนๆของน้องชาย พี่ทำอะไรผิดเหรอครับ?”



“เลิกใส่หน้ากากซักที ในนี้มีแค่คุณกับผม คุณกลัวใครจะมาเห็นกัน”คฑาขัดอย่างไม่สบอารมณ์
เขาเห็นแววตาที่นคินทร์ใช้มองปราณ



ต่อให้โง่แค่ไหนเขาก็ดูออกว่าความพึงพอใจในแววตาของอสรพิษตัวนี้ไม่มีทางเป็นเรื่องดีสำหรับเขา



“ผมทำทุกอย่างตามที่คุณสั่ง งานทุกอย่างเสร็จลุล่วงตามแผนที่คุณวางไว้ แล้วคุณจะเอาอะไรกับผมอีก”



“เรื่องแบบนี้มันไม่ได้อยู่ที่นายจะทำตามคำสั่งฉันมั้ย…” รอยยิ้มจอมปลอมถูกแทนที่ด้วยแววตาเย็นเยียบและสรรพนามที่เปลี่ยนไป “มันอยู่ที่นายรู้มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้านายคิดตุกติกขึ้นมาต่างหาก”



“ผมไม่โง่ขนาดนั้น”



คฑาเอ่ยตามความเป็นจริง การตั้งตัวเป็นศัตรูกับทายาทแห่งวิสุทธรากรไม่ใช่จุดจบที่ใครต้องการเผชิญ นคินทร์ยกยิ้มอย่างพึงพอใจกับคำตอบนั้น



“ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น ปราณเขาเป็นเด็กดีมากนะ อนาคตสดใส คงน่าเสียดายแย่ ถ้าจะเกิดอะไรที่ทำให้เขาต้องเสียอนาคต…”



คฑากัดฟันกรอดจนกรามขึ้นเป็นสัน มือใหญ่กำแน่นข้างกายจนเห็นเป็นเส้นเลือดปูดโปน ทว่านคินทร์กลับมองภาพนั้นด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว



“นายน่าจะรู้ตัวตั้งแต่มาขอความช่วยเหลือจากฉันแล้ว ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบง่ายๆ” ร่างสูงกว่าไหวไหล่ จุดยิ้มมุมปากมองอีกฝ่ายอย่างขบขัน “ในฐานะคนกันเอง ฉันจะสอนอะไรดีๆให้ก็แล้วกัน”



ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนไหล่ของคฑาอย่างไม่เยานัก เสียงทุ้มของนคินทร์กระซิบคำสอนนั้นข้างหูรุ่นน้องของตน



“ถ้าอยากปกป้องของสำคัญของนายไว้ ก็แข็งแกร่งให้ได้มากกว่านี้”



แข็งแกร่ง…จนกระทั่งสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาล้มลงได้ มีเพียงคนสำคัญที่อยากปกป้องคนนั้น



นคินทร์ตบบ่าของคนที่ยังยืนนิ่งหนักๆอีกสองสามครั้ง ก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวออกจากห้องน้ำของภัตราคารไปโดยไม่สนใจปฎิกิริยาของอีกฝ่ายที่มีต่อความหวังดีของตน



-----------

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
พี่เต้มีลับลมคมในอะไรอ่ะ

ออฟไลน์ Maple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ปีใหม่แล้ว​ พี่จะไม่กลับมาอัพจริงๆหรอจ่ะะ​ อัพเถอะจ่ะะ​ ชอบมากก​อยากอ่านต่อออ

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Day 15: แผน

ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ต้าในรถของอีกฝ่ายตลอดทางกลับบ้าน ถึงแม้ผมอยากจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาแค่ไหน แต่การเปิดประเด็นอ่อนไหวในพื้นที่จำกัดที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงดูจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก แต่ผมไม่คิดจะรอให้สิ่งที่ค้างคาใจมาตั้งแต่เริ่มโปรแกรมคอร์สลดน้ำหนักประหลาดนี่ยืดเยื้อไปมากกว่านี้  ทันทีพวกเรากลับมาถึงห้อง ผมรีบเอาร่างกลมๆของตัวเองมาขวางประตูห้องนอนเล็กก่อนที่พี่ต้าจะได้ใช้มันเป็นหลุมหลบภัย

“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะครับ”

“เรื่องที่พี่พูดที่สนาม…ปราณลืมๆมันไปเถอะนะครับ พี่ขอโทษที่ทำให้ปราณอึดอัดใจ ถือซะว่าพี่ไม่ได้พูดก็แล้วกัน” พี่ต้ารีบตัดบทสนทนาด้วยรอยยิ้มประจำตัวที่เคยทำให้ผมใจเต้นรัวทุกครั้งที่เห็น แต่ความเจ็บปวดที่ฉายชัดในแววตาของอีกฝ่ายนั้นบดบังมันไปจนหมดสิ้น ร่างสูงพยายามที่จะเดินหลบเข้าไปในครัว แต่ผมคว้าต้นแขนแกร่งไว้แน่น ไม่ยอมให้พี่ต้าเดินออกไปจากบทสนทนานี้โดยง่าย

“จะให้ผมลืมเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมทำไม่ได้หรอกนะครับ”

“สงสารพี่เถอะนะปราณ…” อีกฝ่ายไม่ยอมหันกลับมามองผม แต่น้ำเสียงสั่นเครือยังคงชัดเจนในห้องที่เงียบสงัด “พี่รู้ว่าพี่ไม่มีหวัง ปราณปล่อยพี่ไว้แบบนี้เถอะ พี่สัญญาว่าพี่จะตัดใจ…”

“ง่ายๆแบบนี้เลยเหรอครับ?” สิ่งที่พี่ต้าพูดทำให้ผมปล่อยมือจากอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ “พี่ต้าจะตัดใจ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะตอบว่าอะไรเนี่ยนะครับ?”

“เพราะพี่รู้ไงว่าคำตอบของปราณคืออะไร” นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินโทสะในน้ำเสียงของอีกฝ่าย “พี่ผิดมากเหรอที่ไม่อยากได้ยินมัน พี่ผิดมากเหรอที่อยากยึดติดกับความหวังลมๆแล้งๆนี่ต่อทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าปราณชอบใคร”

“พี่รู้จริงๆเหรอครับว่าผมจะตอบว่าอะไร” ผมย่างสามขุมเข้าไปหาคนที่ยังคงปฏิเสธที่จะหันมามอง

“ทำไมพี่จะไม่รู้…”

“พี่ต้ารู้จริงๆใช่มั้ยครับ”

“พี่รู้ตัว…อื้อ!”

ผมกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายเข้ามากระแทกริมฝีปากเพื่อหยุดคำพูดไร้สาระนั้นอย่างโมโห ที่บอกว่ากระแทกคือกระแทกจริงๆครับ ผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในปากเมื่อลิ้นสากฉกเข้าในปากมาราวกับว่าผมเป็นฝ่ายถูกกระทำเสียเอง หลังของผมกระแทกกับผนังห้องพร้อมกับลิ้นร้อนที่เกี่ยวกระหวัดพัวพันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

ผมเคยเพ้อฝันถึงจูบแรกของผมกับพี่ต้าอยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่ผมคิดว่ามันจะเลือดตกยางออกขนาดนี้ พี่ต้าตรึงร่างของผมไว้กับผนังห้อง แทรกกายคั่นระหว่างขาของผมแล้วจับปลายคางของผมให้เงยขึ้นเพื่อรับจูบแสนเอาแต่ใจของตัวเอง เสียงของลิ้นร้อนที่เกี่ยวกระหวัดชื้นแฉะน่าอายสลับกับเสียงหายใจหอบกระชั้นของพวกเราดังตัความเงียบในห้องนอนของผม พี่ต้าคำรามในลำคอ ขบเม้มริมฝีปากของผมราวขนมเยลลี่ขบเคี้ยวที่เจ้าตัวชอบพกติดตัวเวลาอยู่ที่ค่ายอาสา....

…ก่อนจะรีบผละออกมาราวกับถูกของร้อนเมื่อผมร้องประท้วงออกมาเบาๆเพราะเริ่มขาดอากาศหายใจ

“พี่…พี่ขอโทษ...”

“ไว้ค่อยขอโทษทีเดียวแล้วกันนะครับ”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองได้ลูกบ้านี้มาจากที่ไหน รู้ตัวอีกที ตัวเองก็เป็นฝ่ายกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายลงมาเป็นครั้งที่สอง


ครั้งนี้พี่ต้าดูเหมือนจะเตรียมพร้อมดีขึ้นอีกนิด เพราะนอกจากความรู้สึกของลิ้นร้อนที่แทรกเข้ามาอย่างไม่จำเป็นต้องขออนุญาตแล้ว ผมไม่รู้สึกถึงสภาพแวดล้อมอื่นอีก


ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย เหมือนกับว่าจูบของพี่ต้ากับช่วงชิงลมหายใจของผมจนสติแทบจะหลุดลอยหายใจ ผมต้องเกาะไหล่พี่ต้าไว้แน่นเพื่อพยุงร่างของตัวเองไม่ให้ทรุดลงไปกองกับพื้น และการกระทำนั้นเองที่เหมือนจะดึงสติของคนที่ดูดดุนขบเม้มไปตามริมฝีปากของผมให้กลับเข้าร่างในที่สุด พี่ต้าผละออกไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ก่อนที่คำขอโทษจะหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายให้ผมหงุดหงิดอีก ผมจึงชิงเอ่ยตัดหน้าอีกฝ่าย



“เรื่องที่สนาม ถ้าพี่ต้าไม่ได้พูดเล่น...ผมอยากให้พี่ต้ารู้นะครับว่าคำตอบของผมคือผมตกลง”



“อะ…อะไรนะ?” พี่ต้าจ้องหน้าผมอย่างไม่ไว้วางใจ ราวกับจะรอให้ผมหัวเราะออกมาแล้วบอกว่าเรื่องที่ผมพูดออกไเมื่อครู่เป็น


แค่เรื่องล้อเล่น



แน่นอน...สิ่งที่พี่ต้าได้รับมีเพียงเสียงลมหายใจของพวกเราภายในห้องที่เงียบสนิท



“จริง....จริงเหรอปราณ?! ปราณไม่ได้พูดเล่นนะ ปราณไม่ได้ล้อพี่เล่นใช่มั้ย?!”


รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ถูกเขย่าไปมาจนเริ่มเห็นภาพซ้อน สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงพยักหน้ายืนยัน รอยยิ้มกว้างและประกายวาววับใน
แววตาของอีกฝ่ายช่วยให้ความเขินอายใดๆก็ตามที่ผมกำลังรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย



“โอ๊ย พี่ต้า พอแล้วครับ ผมเวียนหัว”



“ขอโทษๆ พี่...พี่ตื่นเต้นไปหน่อย” พี่ต้ารีบปล่อยผมทันที แต่นั่นยิ่งทำให้ผมที่โดนเขย่าไปมาเซไปครู่หนึ่ง “ปราณ…ไม่ได้แค่พูดรักษาน้ำใจพี่ใช่มั้ย…”



“พี่ต้า...” ผมลูบหน้าตัวเองอย่างอ่อนเพลีย “บ้านพี่มีกระจกมั้ยครับ?”



แก้มของพี่ต้ามีริ้วสีแดงพาดผ่าน แต่คิ้วเข้มยังคงขมวดคิ้วอย่างสับสน



“แล้ว…ไอ้เจษฎ์ล่ะ?”



“พี่เจษฎ์เขามีคนที่ทำให้เขามีความสุขแล้ว ผมจะเอาตัวเองเข้าไปทำไม” ผมคิดหาคำอธิบายที่ง่ายที่สุดในสถานการณ์นี้ ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเมื่อพี่ต้าฉีกยิ้มกว้างออกมาเมื่อได้ยินดังนั้น



“ขอบคุณนะครับปราณ! พี่สัญญาว่าปราณจะไม่เสียใจเลยที่เลือกพี่!”



ผมถูกรั้งเข้าไปในอ้อมกอดที่รัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก แต่ท่าทีดีอกดีใจราวกับเด็กน้อยได้ของเล่นนั้นทำให้ผมไม่มีใจจะบอกให้อีกฝ่ายปล่อย



และรอยยิ้มบนหน้าของผมเองที่ไม่น่าจะจางหายไปโดยง่ายนั้นยิ่งทำให้พี่ต้ากอดรัดผมแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม



“ปราณ ทำไงดี พี่ดีใจดีจนหายใจไม่ทันแล้ว” เสียงของพี่ต้าพึมพำอู้อี้จากการซุกหน้ากับไหล่ของผม เสียงลมหายใจที่เร็วขึ้นจนผิดวิสัยของอีกฝ่ายบ่งบอกว่านั่นไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรยเกินจริง ผมหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ลูบเบาๆไปตามแผ่นหลังกว้างเหมือนเวลาที่พี่ต้าช่วยให้ผมหายใจหลังออกกำลังกายเสร็จใหม่ๆ



“หายใจเข้านับสามครับพี่ต้า เอ้า ฮึบ 1…2…3…”



“ปราณเก่งจังครับ…” เสียงของพี่ต้าฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย ทั้งยังเจือไปด้วยแววขบขันอย่างไม่ปิดบัง



“ครูสอนมาดีครับ” ผมอมยิ้ม รู้สึกเหมือนยกภูเขาลูกโตออกไปจากอกในที่สุด พวกเราผละออกจากกันในที่สุด ขอบตาของพี่ตาแดงก่ำ แต่รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าทำให้ผมมองผ่านมันไปอย่างง่ายดาย



“เอาล่ะ เรื่องนี้เคลียร์ได้แล้ว แล้วเรื่องของพี่กับพี่คินมันยังไงกันแน่ครับ”



รอยยิ้มที่ว่านั้นหายไปทันทีที่ผมเปิดประเด็นขึ้นมา แม้จะรู้สึกเสียดาย แต่ผมไมสามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้นานกว่านี้




“พี่แสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ” พี่ต้าหน้าเจื่อน


“ก็เล่นจ้องพี่คินอย่างกับจะเขมือบหัวเขาขนาดนั้น ไม่สังเกตก็แปลกแล้วครับ” ผมกอดอก จริงอยู่ที่ผมอาจจะสังเกตพี่ต้ามากกว่าคนทั่วไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพี่ต้าจะควบคุมการแสดงออกของตัวเองได้อย่างที่คิด “อีกอย่าง ผมได้ยินพี่คุยโทรศัพท์กับเขาที่ร้านพี่เต็งหนึ่ง ผมไม่เคยเห็นพี่ทำหน้าเครียดแบบนั้นมาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ”



“พี่…ทำข้อตกลงบางอย่างกับเขา ตอนนั้นพี่เดือดร้อนมาก ต้องพึ่งใบบุญคุณนคินทร์ในหลายๆเรื่อง สิ่งที่เขาขอให้พี่ช่วยทำ เอาจริงๆก็ดูไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ ยิ่งพี่เข้าใกล้ข้อตกลงที่ทำไว้กับเขาเท่าไหร่ เขายิ่งกดดันให้พี่เร่งมือขึ้น เหมือนกับว่ากำลังแข่งกับเวลาอยู่อย่างนั้นล่ะ” พี่ต้าสั่นศีรษะ “ผู้ชายคนนั้นไม่เคยไว้ใจใคร อะไรที่น้อยกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบคือ
การทรยศในสายตาของเขา พี่ไม่เข้าใจว่าคนแบบนั้นโตขึ้นมาได้ยังไงโดยที่ไม่ได้เป็นบ้าไปซะก่อน”



“ทำไมพี่ต้าถึงไม่บอกพี่ทีล่ะครับ พี่ทีเป็นเพื่อนสนิทพี่เจษฎ์ แถมพี่คินก็ดูออกจะรักพี่ทีขนาดนั้น ผมว่า…”





“ไม่มีใครเชื่อพี่หรอก” พี่ต้ายิ้มขื่น “เพราะคนอย่างคุณชายนคินทร์ วิสุทธรากร ไม่มีทางทำเรื่องไม่ดี มดสักตัวยังไม่เคยฆ่า นทีเทิดทูนพี่ชายอย่างกับอะไร พี่พูดไปเขาก็ไม่มีทางเชื่อพี่ ผู้ชายคนนั้นรู้เรื่องนี้ดี ถึงไม่คิดว่าพี่จะกล้าเอาเรื่องนี้ไปบอกนที”
“แล้วทำไมพี่ต้าถึงได้ตกลงรับข้อเสนอของเขาตั้งแต่แรกล่ะครับ”



พี่ต้าเป็นคนฉลาด ผมไม่คิดว่าพี่ต้าจะตกหลุมพรางอะไรง่ายๆแบบนี้



“เพราะเรื่องที่พี่ต้องการ มีแต่เขาที่ช่วยพี่ได้ แล้วเขาก็ทำข้อตกลงในส่วนของเขาเสร็จแล้วด้วย” พี่ต้าถอนหายใจ “ไม่ต้องห่วงนะครับปราณ หลังจากพี่ทำงานที่เขาสั่งจบ เขาจะไม่มาตามรังควาญพี่อีก พี่จะไม่ยอมให้เขาทำอะไรปราณแน่”



“ผมดูแลตัวเองได้ครับพี่ต้า”…อีกอย่าง ไม่ใช่ตัวผมหรอกนะที่ผมเป็นห่วงในตอนนี้ “ผม…ถามได้มั้ยครับ ว่าเขาต้องการอะไรจากพี่”




พี่ต้าพยักหน้า ไม่ว่าผมจะคาดกวังคำตอบแบบไหนจากอีกฝ่าย สิ่งที่พี่ต้าตอบกลับมาไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของผมแม้แต่น้อย



“เขาต้องการให้พี่ใช้ชื่อซื้อหุ้นทุกตัวของบริษัทใหญ่เครือวิสุทธรากรที่พ่อของเขาไม่ได้ถือ แล้วโอนให้เป็นชื่อของเขาทั้งหมด”







นคินทร์ขยับยิ้มเมื่อเห็นหุ้นของวิสุทธรากรส่วนที่ตระกูลวงศ์พยัคฆ์เป็นผู้ถือถูกโอนมาให้เขาอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น ร่างสูงที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนหนึ่งพันรอบสะโพกสอบหลังจากก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำหันไปมองร่างของคนรับใช้ที่หั่นผักอยู่ในครัวด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่ขายาวๆนั้นจะก้าวเข้าไปในครัวโดยไม่สนใจประตูตู้เสื้อผ้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล



“เอ หรือว่าจะย่างเนื้อเพิ่มดี…อ๊ะ! คุณคินครับ…”



ภวัตที่ง่วนอยู่กับการตัดสินใจเมนูอาหารเย็นในวันนี้สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อวงแขนแข็งแรงของเจ้าของห้องรวบกอดเขาไว้จากด้านหลัง นคินทร์ซุกหน้าลงกับซอกคอเนียนสีน้ำผึ้ง ดูดเม้มสลับไล้เลียผิวกายบางลงมาถึงลาดไหล่นวลเนียนจนมือเรียวที่ยังถือมีดหั่นผักต้องรีบวางมันลงด้วยกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นในครัว



“กูตัวหอมยัง”



เสียงทุ้มกระซิบพร่าชิดริมหู ทว่าก่อนที่ภวัตจะได้ตอบคำถาม ลิ้นร้อนที่สอดเข้ามาในหูอย่างหยอกเย้าจนเขาต้องย่นคอหนีอย่างวาบหวามก็ทำให้สติของคนโดนแกล้งแตกกระเจิง นคินทร์งับที่ต่างหูเงินที่ตนเป็นคนซื้อให้แล้วดึงเบาๆให้อีกฝ่ายหลุดเสียงน่าอายออกมาเป็นของตอบแทน



“หะ…หอม หอมแล้วครับ อ๊ะ…คุณคิน…”



“มึงก็หอม…” ไม่ว่าเปล่า จมูกโด่งซุกไซร้ตามซอกคอเนียนอย่างลุ่มหลง “หอมไปหมดทั้งตัว”



“จะหอมได้ยังไง…อื้อ…ครับ ผม…อะ…ยังไม่ได้อาบน้ำเลย” ภวัตจิกมือลงบนเคาเตอร์ครัวเพื่อห้ามตัวเองไม่ให้เผลอคว้าข้อมือหนาที่สอดผ่านใต้เสื้อเลื้อยขึ้นมาถึงเม็ดทับทิมหวานอย่างชำนาญทางไว้ ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านเพียงแค่นิ้วเรียวยาวสะกิดเขี่ยตุ่มไตสีหวานเป็นการทักทาย



“อาบไม่อาบมึงก็หอม…”ลิ้นสากตวัดเลียข้างแก้มขึ้นสีเรื่อด้วยแววตากระหายอยาก “ทั้งหอมทั้งหวาน มึงจงใจยั่วกูใช่มั้ยภีม”



“ยะ…ยั่วอะไรครับ อ๊ะ!”



ฝ่ามือหนาคลึงขยำบั้นท้ายกลมกลึงภายใต้กางเกงขาสั้นของภวัตอย่างมันเขี้ยว



“ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ จงใจยั่วกูก็บอกมา”




“เสื้อผ้าพวกนี้ก็คุณคินซื้อมาไม่ใช่เหรอครั…อือ…”



ริมฝีปากที่เผยออ้าเตรียมเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองถูกประกบปิดในทันทีที่เขาเปิดโอกาส ลิ้นร้อนกวาดต้อนให้เรียวลิ้นเล็กเกี่ยวกระหวัดพัวพันอย่างไม่อิดออด มือใหญ่ที่วางบนสะโพกมนเมื่อครู่เคลื่อนขึ้นมาเชยคางมนเพื่อปรับองศาหวานล้ำ



“ภีม…วันนี้มึงรอกูอยู่ที่เส้นชัยรึเปล่า” เสียงทุ้มถามหลังจากที่ถอนริมฝีปากออก นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเช็ดของเหลวสีใสบนริมฝีปาก
นิ่มออกอย่างเบามือ



“พูดอะไรอย่างนั้นครับ” ภวัตเกลียดหัวใจของตัวเองที่เต้นระรัวกับการกระทำเพียงเล็กน้อยของอีกฝ่าย “ผมก็ต้องรอคุณคิดนอยู่แล้ว”


“มึงต้องรอกูนะภีม” ดวงตาสีเข้มฉายแววบางอย่างที่ภวัตไม่เข้าใจ เหมือนกับอีกฝ่ายกำลัง...ขอร้องเขา? “ที่เส้นชัย ทุกครั้ง มึงต้องรอกูอยู่ตรงนั้น ห้ามไปไหน มึงเข้าใจมั้ย”



“ครับ” ร่างโปร่งรับคำอย่างง่ายดาย ไม่เข้าใจว่าทำไมร่างสูงต้องย้ำหนักแน่นถึงเพียงนี้ ในเมื่อเขาต้องคอยอยู่ดูแลอีกฝ่ายในทุกการแข่งขันอยู่แล้ว



สีหน้าของนคินทร์ดูผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินดังนั้น อ้อมแขนที่ตระกองกอกกระชับแน่นพร้อมกับจมูกโด่งที่คลอเคลียปลายจมูกของภวัตเบาๆ ความอ่อนโยนที่เขาไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักทำให้ภวัตทำตัวไม่ถูก



“เอ่อ...คุณคินอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ”



“อยากทานมึงครับ”




อา...เขาต้องขุดหลุมฝังตัวเองอีกกี่รอบถึงจะจำกันนะ



“ผมหมายถึงอาหารเย็...คุณคิน!มีดครับ!” คนที่เกือบจะถูกดันให้เอนราบไปกับเคาท์เตอร์ครัวรีบร้องเตือนอย่างตกใจ รีบคว้ามีดใกล้มือลงไปวางในอ่างล้างจานเพื่อความปลอดภัย “มะ...ไม่ได้นะครับ ตรงนี้อันตราย”



นคินทร์หรี่ตาลงอย่างไม่พอใจที่ถูกขัดใจ แต่เมื่อเห็นบรรดาของมีคมใกล้ตัวพวกเขาจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะช้อนตัวภวัตขึ้นอุ้มไปวางลงบนเคาท์เตอร์กลางครัวที่ไม่มีสิ่งใดวางอยู่ให้เกะกะสายตาแทน



“...หรือจะลงไปทำบนพื้นก็ได้นะ เดี๋ยวกูช่วยถู”


“…ครับ คุณคินเชิญตามสบายเลยครับ” ภวัตที่นอนแผ่หลาบนเคาท์เตอร์ควรัวยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างจนใจ เรียวขายาวแยกออกให้ร่างสูงใหญ่แทรกกายเข้ามาได้ถนัด



“หึๆ มึงพูดเองนะ”



“ตะ...แต่พรุ่งนี้คุณคินต้องขับรถกลับไปทานอาหารกลางวัลกับคุณนาราที่บ้านใหญ่นะครับ ผมว่าอย่างหักโหมเกินไปจะดีกว่า...”
“มึงห่วงตัวเองเถอะน่า” ความพยายามที่จะลดภาระงานของตนถูกโยนออกไปนอกหน้าต่างอย่างง่ายดาย ร่างสูงเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อคิดถึงตารางเวลาของตนในวันรุ่งขึ้น “ยุ่งยากชะมัด ถ้ามึงไม่บ่นคิดถึงแม่นะ หยุดยาวแบบบนี้จ้างให้กูก็ไม่กลับ อยู่กับมึงดีกว่าเยอะ”



ภวัตพยายามอย่างยิ่งที่จะซ่อนรอยยิ้มขัดเขินของตัวเองไว้ แต่ไม่เป็นผล นคินทร์ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ กระชากกางเกงขาสสั้นตัวบางให้ลอยหวือไปพาดอยู่บนตู้ด้านหลัง



“เพราะฉะนั้น มึงต้องทบต้นทบดอกให้กู เข้าใจมั้ย?”



สุดท้ายแล้ว มื้อเย็นของคนทั้งคู่ก็หนีไม่พ้นพิซซ่าที่สั่งมาส่งหน้าคอนโดโดยที่คุณชายนคินทร์เป็นผู้ลงไปรับด้วยตัวเอง เพราะคนรับใช้ในนามของเขาที่ขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่บนเตียงกว้างอย่างอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะคลานลงมาจากเตียง

--------------



ขอสารภาพค่ะว่าที่หยุดอัพไปส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสตอบรับของเรื่องนี้ไม่เท่าเรื่องอื่นๆที่ผ่านมา เลยหันไปโฟกัสกับเรื่องอื่นๆก่อน แต่เรื่องนี้จะกลับมาอัพนะคะ อาจจะไม่สม่ำเสมอมาก แต่หลังจื่อหลิงน้อยจบน่าจะอัพถี่ขึ้นแน่นนอนค่ะ

ออฟไลน์ Maple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กรี้ดด​อัพแล้ววว​  คือโคตรดีใจ​ เฝ้าเรื่องนี้มาก​ กดดูบ่อยมาก​ นึกว่าโดนเทแล้ว​ เรื่องเงียบจริงจัง​ ขอบคุณ​มากๆที่กลับมาค่ะ

ออฟไลน์ pepperpro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
นึกว่าจะไม่มาต่อแล้ว เราชอบเรื่องนี้มากนะครับ มันน่ารักมากกกกกก และตัวละครก็มีมิติดีด้วย

อย่าหยุดแต่งนะครับ พลีสสสสสสสสสสสส

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอ้โหววววววววววว ลุ้นมากกกกกกก นี่ลุ้นคู่พี่ต้ากับปราณสุดๆๆๆๆ คือคนน้องก็ไม่บอกความจริงว่าชอบใคร คนพี่ก็คิดเองไปไกลเว่อร์ตัดพ้อเก่งงงง พอพี่ต้ารู้ว่าน้องชอบใคร ชั้นก็แฮปปี้ :katai2-1: // คู่เจษฎ์กับนทีคือแบบ ที่สุดของความฟินนนนน คู่นี้คือน่ารักมากๆๆๆๆๆๆ  :-[ // ส่วนคู่คุณคินกับภีมนั้นนนนน ฮาร์คคอมากแม่ หนุบหนับๆตลอดๆ คุณคินฮอตและรักเมียมาก ให้ตังเมียหมด ประทับใจ :heaven

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Day 16: กลับบ้านใหญ่

นคินทร์เหลือบมองร่างที่นอนหลับคอพับไปกับเบาะรถข้างกายของตนเป็นระยะ เสี้ยวหน้าคมคายจุดยิ้มมุมปากอย่างเอ็นดูคนที่เหนื่อนจากการ ‘ปรนนิบัติรับใช้’ คุณชายใหญ่ของบ้านเสียจนหมดแรง มือใหญ่เอื้อมหามือเรียวที่วางนิ่งอยู่บนตักของชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้ง นิ้วเรียวยาวสอดประสานากับมือที่แม้จะเริ่มสากจากงานบ้านงานสวนที่อีกฝ่ายช่วยบิดามารดาทำแต่เล็กกลับมมิได้ทำให้เขาอยากจะกุมมันน้อยลงแต่อย่างใด

“อือ...คุณคิน...”

“นอนต่อเถอะ ถึงแล้วกูจะปลุก” เจ้าของชื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ภวัตที่สะลึมสะลืออยู่เมื่อได้ยินดังนั้นจึงปรือปิดเลือกตากลับลงไปแต่โดยดี ว่าง่ายเสียจนเขาอยากจะรังแกให้อีกฝ่ายสะอึกสะอื้นอย่างสุขสมใต้ร่างของอีกสักสิบรอบ


เพราะอย่างนี้ไงเขาถึงไม่อยากก้าวเท้าออกมาจากห้องของตัวเอง


นคินทร์เลี้ยวรถเข้ามาในคฤหาสน์ของเจ้าสัวนิวิฐก่อนเที่ยงวันเพียงไม่กี่นาที ภวัตที่นอนหลับอยู่เมื่อรู้สึกถึงยานพาหนะที่ชะลอ
ตัวจึงลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างง่วงงุน พยายามจะยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเองให้ตื่นเต็มตาทว่ามือของเขากลับถูกอะไรบางอย่างพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา



บางอย่างที่ว่าคือมือของนคินทร์ที่ยังคงไม่ยอมปล่อยแม้ว่าเขาจะออกแรงดึงเพียงใด



“คุณคิน ปล่อยเถอะครับ ถ้าใครมาเห็นเข้า...” ภวัตเริ่มแตกตื่น หากใครในบ้านให้มาเห็นเข้า คุณคินจะเดือดร้อนเอาได้


“รถติดฟิล์มมืดขนาดนี้ ต่อให้มึงกับกูทำมากกว่านี้...” ใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มหยอกเย้า “...ถ้ารถไม่โยกก็ไม่มีใครสังเกตหรอกน่า”



“คุณคินครับ!” ภวัตไม่เคยดูออกสักทีว่าคุณชายใหญ่ของบ้านกำลังพูดจริงหรือล้อเล่นอยู่กันแน่



“มึงนี่นะ จะแกล้งง่ายไปไหน” นคินทร์ถอยกลับออกมาพร้อมเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ปลดสายคาดเข็ดขัดของตัวเองออกพร้อมดับเครื่องยนต์ ภวัตรีบเปิดประตูลงจากรถ กุลีกุจอวิ่งอ้อมมาเปิดประตูให้ร่างสูง



ดวงตาของทุกคนจ้องมาที่นคินทร์ทันทีที่ร่างสูงก้าวเข้ามาในบ้านใหญ่ ทั้งท่วงท่าก้าวย่างดูองอาจ สีหน้าแววตาอ่อนโยนไม่ถือตัวทว่ายังคงสงวนท่าทีเช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้านายของบ้านคนอื่นๆที่ภวัตไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักเริ่มทำให้ก้อนในอกของเขาเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่


“อ้าว คิน มาพอดีเลยลูก แม่กำลังจะให้คนจัดสำรับอยู่พอดี”



ภายในห้องรับแขก มีร่างของนายหญิงของบ้านในชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนสีโปรดของเจ้าตัวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นคินทร์ยกมือไหว้มารดาของตน ก่อนที่คิ้วคมจะเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักในชุดกระโปรงพลิ้วสีขาวอ่อนหวานที่นั่งอยู่ข้างคุณนาราบนโซฟาตัวยาว



“สวัสดีครับคุณแม่ สวัสดีครับคุณปัทมา”


“แหม คุณปัทมาอะไรกัน เรียกน้องเขาซะห่างเหินเชียว เรียกน้องปัทม์สิจ๊ะคิน” คุณนารารีบแก้ เจตนาของหญิงสูงวัยชัดเจนจนคนตาบอดยังดูออกอย่างง่ายดาย “น้องปัทม์ จำพี่เขาได้มั้ยลูก ที่เจอกันในงานเลี้ยงบ่อยๆสมัยเด็กไงจ๊ะ”



“จำได้ค่ะคุณน้า” ปัทมาตอบพร้อมรอยยิ้ม ทว่าไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น



“คิน อยู่คุยเป็นเพื่อนน้องแทนแม่ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะไปดูในห้องอาหารซักหน่อย” คุณนารารีบลุกขึ้นเพื่อให้คนทั้งสองได้สนทนาทำความรู้จัก หันมาเห็นภวัตที่ด้านหลังของนคินทร์จึงเอ่ยขึ้น



“ภีม ไปหาพ่อกับแม่เราซะสิ ยายอิ่มบ่นคิดถึงเราจะแย่แล้ว”



“ขอบคุณครับคุณนารา”


ภวัตยกมือไหว้ลานายหญิงของบ้านแทบจะในทันทีที่ได้ยินคำอนุญาต แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่านคินทร์ไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่เขาก็ไม่อยากทนอยู่เห็นภาพบาดตาบาดใจ ถึงจะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากเขายังอยากยืนข้างกายของนคินทร์ต่อไป
ที่หางตา เขาเป็นนคินทร์พูดคุยกับหญิงสาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบกายของตน



ได้เวลากลับไปอยู่ในที่ของเขาแล้ว








ภวัตโยนกรรไกรตัดหญ้าลงบนพื้นแล้วทรุดตัวลงนั่งบนสนามหญ้ากว้าง ใช้มือเปล่าถอนต้นวัชพืชออกทีละต้นอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังจากที่เขาทักทายมารดาในครัว ร่างโปร่งจึงเดินออกมามองหาบิดาของตนที่ทำงานเป็นคนสวนในคฤหาสน์หลังนี้ เมื่อภวัตเห็นชายวับกลางคนผิวคล้ำแดดนั่งถอนวัชพืชท่ามกลางแสงแดดจ้ายามเที่ยงวันจึงรีบออกปากไล่พ่อให้ไปนั่งพักในร่มเงา แล้วรับหน้าที่นั้นต่อเสียเอง



เขาตัองการทำอะไรซักอย่างไม่ให้ตัวเองมีเวลาไปฟุ้งซ่านกับเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุม



”มึงนี่นะ ซนไปทั่วจริงๆ รออยู่ในครัวเย็นๆไม่ได้ใช่มั้ย”



เสียงทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมกับร่มเงาบดบังแสงแดดที่สาดส่องลงมาทำให้ภวัตชะงัก ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นพบต้นเหตุของความฟุ้งซ่านทั้งมวลในชีวิตของเขากำลังยืนกางร่มคันใหญ่เพื่อบดบังร่างของพวกเขาทั้งคู่จากแสงอาทิตย์ ภวัตรีบหันซ้ายแลขวาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก



“คุณคิน? แล้วคุณปัทมาล่ะครับ?”


“กลับไปแล้ว กูคุยกับเขาถูกคอ คิดว่าน่าจะเหมาะกับไอ้แชมป์ เลยให้มันมารับน้องเขาไปเที่ยวซักหน่อย” คนที่ถูกมารดาหลอก
มาดูตัวยิ้มกริ่ม “มึงหาชุดงานแต่งไว้ให้กูเลย ไม่เกินท้ายปีแน่”



“ผมว่าคุณคินควรจะไปเปิดบริษัทหาคู่ดีกว่านะครับ” ภวัตกล่าวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ มีอย่างที่ไหนถูกแม่ส่งไปดูตัวทีไรกลับได้ภรรยาไปฝากเพื่อนเสียทุกที “แล้ว…ออกมาแบบนี้จะดีเหรอครับคุณคิน ถ้าใครมาเห็นเข้า…”



“มึงนี่คิดมากจังวะ คนอื่นเขาอยู่ในบ้านกันหมด ไม่มีใครมาเห็นหรอก” นคินทร์ไหวไหล่ ย่อลงนั่งยองข้างๆเขาแล้วดึงวัชพืชออกทีละต้น ภวัตลอบมองอย่างแตกตื่นด้วยกลัวว่ามือใหญ่ที่ไม่ชำนาญจะถูกเศษหญ้าบาดเสียก่อน“ต่อให้มีแล้วไง มึงกับกูก็ตัวติดกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร กูแค่มาคุยกับเพื่อนกู ผิดตรงไหน”



“ผมว่าคุณคินระวังตัวน้อยลงมากนะครับ” ภวัตตักเตือนอย่างหวั่นใจ แต่ดูคนฟังจะไม่ได้สะทกสะท้านเท่าไหร่นัก



“ภีม…”มือใหญ่ละจากวัชพืชมาเกาะกุมมือของเขาไว้หลวมๆ “กูไม่มีทางทำร้ายมึง เชื่อใจกูสิ”



“ตายแล้ว คุณคิน มาทำอะไรตรงนี้คะ”


เสียงของมารดาของภวัตทำให้เขาสะบัดมือออกจากการเกาะกุมอย่างไม่ทันคิด วูบหนึ่งร่างโปร่งรู้สึกเหมือนเห็นแววตาเจ็บปวดของอีกฝ่ายก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อแม่ของเขาเดินตรงมาทางนี้



“ผมเห็นภีมนั่งถอนหญ้าอยู่คนเดียวก็กลัวจะเหงาเลยมานั่งเป็นเพื่อนน่ะครับ” นคินทร์ตอบเสียงกลั้วหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ภวัตปัดมือของตัวเองกับขากางเกงแล้วลุกขึ้นตามผู้เป็นนาย “จะว่าไปแล้ว คนอื่นๆไปไหนกันหมดล่ะครับ”


ทั้งที่กล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แววตำหนิติเนียนยังคงเจือในน้ำเสียงอย่างไม่ปิดบัง ป้าอิ่มยิ่มเจื่อน ก่อนจะตอบตามความเป็นจริง


“คนสวนหนุ่มๆมันก็โดดบ้างสายบ้างตามประสานั่นแหละจ้ะ ตาแช่มแกทนไม่ไหวเลยมาทำเอง พอเจ้าภีมมาเห็นเลยไล่พ่อเขา

ไปพักแล้วมานั่งทำเองนี่ล่ะจ้ะ”



“อย่างนั้นเหรอครับ” สีหน้าของนคินทร์ยังคงเปื้อนรอยยิ้ม กระนั้นความคุกรุ่นที่อยู่ภายใต้ยังคงแผ่ออกมาจนสองแม่ลูกรู้สึกได้


“ถ้าอย่างนั้น ผมจะคุยกับคุณแม่เรื่องคนงานให้นะครับ ลุงแช่มแกอายุมากแล้ว อุตส่าห์จ้างคนมาช่วยทั้งทียังเป็นแบบนี้ คงปล่อยไว้ไม่ได้”



“มะ…ไม่ต้องลำบากคุณคินหรอกค่ะ” ป้าอิ่มกล่าวอย่างเกรงใจ



“ไม่ลำบากหรอกครับ คนทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิด” นคินทร์กล่าว “อีกอย่าง ลุงแช่มกับป้าอิ่มก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของผม ถ้าใครมาเอาเปรียบคนใกล้ตัวผม ปมก็ไม่ยอมเหมือนกันครับ”



ภวัตไม่รู้ว่าทำไม แต่ประโยคนั้นของนคินทร์ทำให้เขารู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา



“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณคินเป็นธุระให้ด้วยนะคะ” ป้าอิ่มเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “แต่ป้าว่าคุณคินไปพักผ่อนเย็นๆในบ้านดีกว่านะคะ แดดแรงแบบนี้เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปจะแย่เอา เจ้าภีม มาช่วยแม่ในครัวมา”


“ครับแม่” ภวัตตอบรับอย่างว่าง่าย เหลือบมองเสี้ยวหน้าของผู้เป็นนายก่อนจะเดินตามมารดาเข้าไปในตัวบ้าน







กว่าเขาจะล้างจานชามในบ้านเสร็จก็ล่วงเลยไปบ่ายคล้อยจนเกือบเย็น ภวัตยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของตัวเองลวกๆ นึกอยากจะแอบหนีกลับห้องไปล้างเนื้อล้างตัวด้วยกลัวว่านคินทร์จะเหม็นกลิ่นเหงื่อไคล ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้อีกฝ่ายไม่ได้นอนห้องเดียวกับตน ซึ่งหากไม่นับวันเกิดของคุณนทีที่สุดท้ายแล้วเขาก็นอนค้างที่ห้องของอีกฝ่ายแล้วแอบย่องกลับตอนรุ่งสาง ภ
วัตก็ไม่คิดว่าตัวเองเคยเข้านอนโดยไม่มีร่างของนคินทร์อยู่เคียงข้าง



 “ภีม มานี่ซิลูก”



ภวัตโผล่หน้าออกมาจากครัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกของมารดา ดวงเนตรเรียวเบิกกว้างอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นนายหญิงของบ้านนั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยสีหน้าเป็นกังวล



ชั่ววูบหนึ่งเขาคิดว่าเรื่องของเขากับนคินทร์ถูกอีกฝ่ายจับได้เสียแล้ว คำโกหกเพื่อช่วยคุณชายใหญ่ของบ้านติดอยู่ที่ริมฝีปาก
เมื่อคุณนาราถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ


“ภีม พอจะรู้มั้ยจ๊ะว่าคินเขาคบใครอยู่รึเปล่า?”


“อะ…อะไรนะครับคุณนารา”


มือไม้ของภวัตอ่อนเปลี้นยทันทีที่ได้ยินคำถาม เคราะห์ดีที่เขาไม่ได้ถืออะไรไว้ในมือ



“ก็คินน่ะ แม่หาใครมาให้แต่ละคนก็จับคู่ให้เพื่อนตัวเองซะหมด นี่เพื่อนจะลูกสองอยู่แล้ว คินยังไม่เคยพาใครมาที่บ้านด้วยซ้ำ”

คุณนาราถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เขาได้พาใครกลับมาที่ห้องบ้างมั้ย หรือมีคนที่คบด้วยอยู่ที่มหาวิทยาลัยรึเปล่า”


“ไม่มีครับคุณนารา” แม้จะรู้สึกผิด แต่ภวัตยังคงพยายามปลอบใจตัวเองว่าสิ่งที่เขากล่าวนั้นไม่ใช่คำโกหก


นอกจากเขา นคินทร์ไม่เคยพาใครขึ้นมาที่ห้อง


“แปลกจริง“ คุณนาราพึมพำอย่างไม่เข้าใจ ภวัตที่เห็นท่าไม่ค่อยดีนักจึงรีบเอ่ยเสริมอย่างร้อนรน



“คุณคินเรียนหนัก ทำกิจกรรมแทบทุกวัน แล้วก็มีงานที่บริษัท ผมว่าคุณเขาคงแค่ไม่อยากสนใจเรื่องอื่นในตอนนี้มากกว่าน่ะครับ”



“จริงด้วยสินะ เห็นทีไรคินก็ดูเหนื่อยดูเพลียอยู่ตลอดเลย” คุณนาราพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ภีม ฉันฝากคินด้วยแล้วกันนะ อย่าให้เขาหักโหมนัก เด็กคนนั้นชอบทำอะไรเกินตัวอยู่เรื่อย”



“ครับ คุณนารา” ภวัตรับคำอย่างหนักแน่น ร่างโปร่งตั้งท่าจะขอตัวกลับไปทำงานต่อเมื่อมารดาของเขาเอ่ยขึ้น



“เอ้อ ภีม ไหนๆก็ไหนๆแล้วเอายานวดขึ้นไปนวดขาให้คุณเขาหน่อยสิ เห็นบ่นปวดเมื่อยเนื้อตัวมาตั้งแต่บ่ายแล้ว”



“คะ…ครับแม่…” ภวัตแทบสำลักอากาศ ภาวนาให้สีผิวเข้มๆของตัวเองอำพรางสีเลือดฝาดบนแก้มเมื่อนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ถูกคุณ
คินสั่งให้นวดให้ เรียกได้ว่าคุณชายใหญ่ให้เขาทั้งนวดทั้งนาบเสียจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเดินไม่ตรงไปเป็นวัน


“เอาชาสมุนไพรขึ้นไปด้วย ด้วยซักหน่อยจะได้มีกำลัง” ไม่ว่าเปล่า มารดาของเขายังยกเอาถาดที่บรรจุกาน้ำชากับถ้วยชาใบเล็กออกมาให้พร้อมกับยานวดเสียด้วย ภวัตยิ้มแห้ง รับถาดกระเบื้องจากมารดามาแต่โดยดี







ร่างโปร่งก้าวขึ้นไปยังห้องที่ตนคุ้นเคยดี ประคองถาดใบโตไว้ด้วยหนึ่งมือและยกมืออีกข้างขึ้นเคาะประตูตามมารยาท ก่อนจะผลักประตูเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต


“คุณคิน…เอ๊ะ…”



ร่างโปร่งร้องออกมาอย่างประหลาดใจเมื่อไม่เห็นร่างของเจ้าของห้อง ภวัตวางถาดไว้บนโต๊ะไม้ข้างเตียง กำลังจะก้าวไปทางห้องน้ำของร่างสูงเมื่อถูกวงแขนแข็งแรงดึงเข้ามาในอ้อมกอดอย่างด้านหลังพร้อมกับจมูกโด่งที่ขโมยหอมฟอดใหญ่ไปจากแก้มนิ่ม



“เหงื่อท่วมเลยมึง โดนใช้งานหนักมากเหรอ”


ตัวคำถามนั้นเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใย แต่ความหื่นกระหายในน้ำเสียงแหบพร่านั้นชัดเจนจนไม่อาจมองข้าม



“คุณคิน อย่าเข้าใกล้ผมเลยครับ ตอนนี้ตัวผมมีแต่เหงื่อ…” ภวัตพยายามดันร่างสูงออกทั้งที่รู้ว่าไม่เป็นผล ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือก
เมื่อริมฝีปากได้รูปดูดดุนติ่งหูเย็นที่วันนี้ปราศจากต่างหู มีเพียงก้านพลาสติกใสเสียบไว้เท่านั้น มือใหญ่สอดใต้เสื้อแล้วลูบไล้ไปตามหน้าท้องแบนราบ เคลื่อนขึ้นมาสะกิดเขี่ยตุ่มไตที่ชูชันรับสัมผัสอย่างคุ้นชินอย่างเพลินมือ



“มึงเจาะตรงนี้ด้วยดีมั้ย” เสียงพร่าถามอย่างกระตือรือร้น ซุกไซ้หลังคอของเขาจนภวัตเผลอหลุดเสียน่าอายออกมาเป็นระยะ
ร่างโปร่งกัดริมฝีปาก แน่นอนว่าเขาไม่อยากทำ แค่เจาะหูภวัตก็ไม่เคยคิดอยากจะทำอยู่แล้ว



“เอาสิครับ” แต่ในเมื่อคุณคินดูตื่นเต้นถึงเพียงนี้กับร่างกายของเขาทั้งที่อีกฝ่ายครอบครองมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็จะยอมแลกกับความเจ็บปวดเพียงชั่วครู่นั้น



“ไว้กูจะติดต่อร้านที่เขาเจาะหูให้มึง” นคินทร์กดจูบหนักๆ บนขมับของเขาแล้วผละออกมาพร้อมรอยยิ้ม “มา มานอนนี่”


“นอน? คุณคินจะทำอะไรครับ อ๊ะ…”



เขาถูกดันให้นอนราบลงไปกับเตียงแล้วจับพลิกคว่ำ ยังไม่ทันจะได้ทักท้วงเรื่องคราบเหงื่อไคลบนร่างกายเสื้อผ้าของเขาก็ถูกลอกคราบออกไปอย่างชำนิชำนาญ



“คุณคิน ให้ผมอาบน้ำก่อนเถอะนะครับ” ภวัตแทบจะอ้อนวอนขอความเห็นใจ แต่ร่างสูงกลับกดร่างของเขาไว้ไม่ให้ขยับลุกขึ้นมา



“เสร็จแล้วค่อยอาบที่เดียวก็ได้” ของเหลวหนืดข้นถูกบีบลงบนแผ่นหลังนวลเนียนสีน้ำผึ้งภายใต้อุณหภูมิเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศ ภวัตขมวดคิ้วกับเนื้อสัมผัสที่ไม่เหมือนสารหล่อลื่นที่ร่างสูงใช้เป็นปกติ อีกทั้งความรู้สึกอุ่นๆกับกลิ่นยาจางๆยิ่งทำให้เขาไม่คุ้นเคย



ถึงอย่างนั้นร่างเพรียวยังคงหมอบราบลงไปกับเตียง ยกสะโพกกลมกลึงให้คนข้างหลังด้วยความเคยชิน เรียกเสียงหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่จากคุณชายใหญ่ของบ้าน



“นี่มึงอยากขนาดนั้นเลยเหรอวะภีม”


“เอ๊ะ…แต่ว่า…” คนถูกกล่าวหาหันกลับไปหาอีกฝ่ายอย่างสับสน นคินทร์อมยิ้ม ในมือยังคงถือหลอดยานวดที่ภวัตเป็นคนนำเข้ามา ดวงหน้าเนียนสีน้ำผึ้งซับสีเรื่อด้วยความอับอาย



“นอนลงไปดีๆ กูก็อยาก แต่มือกูเปื้อนยาแล้ว ทำตอนนี้เดี๋ยวจะแสบ” เสียงทุ้มแฝงแววหยอกเย้า ภวัตซุกหน้าลงกับหมอนอย่างอับอาย ไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป


ทันทีที่มือใหญ่บีบนวดตามหัวไหล่เปลือยเปล่าแผ่นหลังที่แข็งเกร็งก็เริ่มผ่อนคลายลง ภวัตผ่อนลมหายใจออกมาอย่างมีความสุข นึกสงสัยว่าเจ้าของมือที่บีบนวดไปตามเส้นที่ตึงรั้งของตนนั้นไปร่ำเรียนวิชานวดนี้มาจากที่ใดกัน



“เสร็จแล้วมึงก็กินชาด้วยนะ จะได้ช่วยบำรุงด้วย” คนที่กดนวดสะโพกมนอยู่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ภวัตที่แทบจะเคลิ้มหลับไปกับสัมผัสนั้นส่งเสียงตอบรับในลำคออย่างผ่อนคลาย “ภีม คืนนี้มึงนอนนี่ไม่ได้เหรอ…”


“ไม่ได้หรอกครับ…งืม…เดี๋ยวแม่สงสัย…” คนที่กำลังเคลิ้มงึมงำเสียงยานคาง หลับตาพริ้มอย่างสุขสมจากบริการของผู้เป็นนาย



“กว่าจะเจอกันอีกทีก็เช้า คืนนี้กูปีนหน้าต่างเข้าห้องมึงได้มั้ยเนี่ย”เสียงทุ้มบ่นอุบเรียกรอยยิ้มจำคนฟังได้เป็นอย่างดี



หลังจากถูกบีบนวดจนแทบจะกลายเป็นของไหลจมลงไปกับเตียง ภวัตก็ถูกดึงขึ้นมานั่งพิงอกของคุณชายใหญ่ของบ้านที่ดึงมือของเขามาบีบนวดเช่นเดียวกับส่วนอื่นของร่างกาย นคินทร์ยกมือเรียวที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงขึ้นบรรจงจุมพิตทีละข้อนิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล


“ภีม มือมึงหยาบกว่าแต่ก่อนเยอะเลยนะ”


เพียงเท่านั้นภวัตที่กำลังเคลิ้มรีบผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง ดึงมือออกจากการเกาะกะมของร่างสูงอย่างตกใจ เรียกแววตาตำหนิจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี



“ขะ…ขอโทษครับ”



“กูไม่ได้โกรธ” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่น้ำเสียงและแววตาคุกรุ่นทำให้ภวัตรู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายยากจะเชื่อได้ลง “ถ้าจะโกรธ ก็เพราะมึงดึงมือออกไปมากกว่า”



“เอ๊ะ…มือ?” ร่างสูงดึงมือเรียวกลับเข้ามาในการเกาะกุม



“ห้ามปล่อยมือกู” เสียงของนคินทร์หนักแน่นและจริงจัง “มึงห้ามปล่อยมือกูแบบวันนี้อีก กูไม่ชอบ”



“แต่ว่า…” คำโต้แย้งถูกกลืนลงไปในลำคอเมื่อแววตารวดร้าวที่เขาไม่เข้าใจกลับมาอีกครั้ง ภวัตพยักหน้า “ครับ คุณคิน”
สีหน้าของนคินทร์ผ่อนคลายลงแทบจะในทันทีที่ได้ยินคำตอบรับจากปากของภวัต


“มือน่ะ ถ้าปล่อยไว้ไม่ดูแลแบบนี้ มันจะแตก เป็นแผลเลือดออก เสี่ยงติดเชื้อง่าย มึงเรียนสายสุขภาพไม่รู้รึไง”



“…” ภวัตทำได้เพียงยิ้มเจื่อน เรื่องบางเรื่องต่อให้รู้ ถ้าไม่ใส่ใจจะดูแลตัวเอง รู้ไปก็เหมือนไม่รู้



นคินทร์โน้มไปเปิดลิ้นชักหัวเตียงเพื่อหยิบแฮนด์ครีมราคาแพงที่เจ้าตัวชอบพกไว้ในที่ต่างๆหลายหลอดมาบีบลงบนมือแล้วบีบนวดมือเรียวของคนบนตักต่อ



“นอนซะ ถ้าถึงเวลาลงไปแล้วกูจะปลุก”



แม้จะไม่ค่อยเชื่อใจคำสัญญาของนคินทร์นักเปลือกตาที่หนักอึ้งของภวัตก็ทำให้ร่างโปร่งพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วหลับตาลง ปล่อยให้คุณชายใหญ่ของบ้านปรนนิบัติพัดวีตัวเองไม่ต่างจากคนรับใช้ส่วนตัว



อา…เขานี่เริ่มจะนิสัยเสียแล้วจริงๆสินะ



“ภีม พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมขึ้นไปเอาเสื้อผ้าคุณคินนะ ทิ้งไว้บ้านใหญ่นี่แหละเดี๋ยวแม่ซักรีดเก็บไว้ให้”



“ครับแม่”



ภวัตรับปากมารดาก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันเข้าห้องนอน เรือนคนรับใช้เดิมทีไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ แม้จะไม่ได้เบียดเสียดกันแต่ภวัตยังคงนอนห้องเดียวกับพ่อแม่ของตัวเองมาโดยตลอด จนกระทั่งช่วงขึ้นมัธยมที่คุณนาราเห็นว่าเขาโตเกินกว่าจะนอน
รวมกับพ่อแม่แล้วจึงต่อเติมห้องให้เขาเป็นสัดส่วนพอให้ภวัตได้มีพื้นที่ส่วนตัว ความเมตตาของนายหญิงของบ้านยิ่งทำให้
ครอบครัวของเขารับใช้ตระกูลวิสุทธรากรอย่างยอมตายถวายหัว



ร่างโปร่งที่อาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้านอนแล้วก้าวเขามาในห้องของตนที่ในปีนี้เพิ่งได้นอนแค่วันสองวัน แอบนึกประหลาดใจอยู่พอสมควรที่นคินทร์ยินยอมให้เขากลับมานอนห้องตัวเองจริงๆ


เขาเหลือบมองเตียงของตัวเองก่อนจะก้าวไปเปิดโคมไฟแล้วนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบหนังสือนิยายที่อ่านค้างไว้มาอ่าน
ด้วยรู้ว่าวันนี้ตัวเองคงนอนไม่หลับง่ายๆ



ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแอบอู้หลับไปในห้องของคุณนคินทร์ แต่ภวัตคิดว่าเหตุผลหลักๆน่าจะเป็นเพราะเขาไม่ชินกับการนอนคนเดียวเสียมากกว่า



ร่างโปร่งจมลงสู่โลกของนวนิยายแฟนตาซีที่เนื้อหากำลังเข้มข้น เพราะคุณนคินทร์ชอบนิยายแนวนี้มาก ถึงแม้เจ้าตัวจะอ่านแต่นิยายคลาสสิคต่างประเทศต่อหน้าคนอื่น เขาจึงอยากรู้ว่าสิ่งที่คุณคินชื่นชอบนั่นมีเนื้อหาแบบไหน



 “…อื้อ! อื้อๆ!!!”


มือใหญ่ครอบปิดปากของเขาไว้ก่อนที่ภวัตจะได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ ถึงอย่างนั้นภวัตยังคงไม่ได้คิดจะดิ้นหนี เพราะมือใหญ่นี้เขาคุ้นเคยดีว่าเป็นของใคร


“อะไรวะ ไม่ขัดขืนกูหน่อยเหรอ”


นคินทร์ปล่อยมือจากปากของภวัตพร้อมถามด้วยน้ำเสียงยียวน คนถูกถามถอนหายใจ


“คุณคิน มาทำอะไรครับ”


“ก็กูบอกแล้วไงว่าจะปีนหน้าต่างห้องมานอนกอดมึง” ร่างสูงกอดอกตอบด้วยน้ำเสียงเป็นเหตุเป็นผล ราวกับนั่นเป็นสิ่งที่ภวัตควรจะรู้อยู่แล้ว “ดึกแล้ว ทำไมยังไม่นอน”


“ผม…นอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ” ภวัตตอบไปตามความเป้นจริง



“หึ คิดถึงกูก็บอก” นคินทร์รั้งร่างโปร่งเข้ามาในอ้อมกอด ซุกหน้าลงหอมกลุ่มผมนิ่มอย่างพึงพอใจ “นอนกัน”



“คุณคิน ผนังมันบางนะครับ” เจ้าของห้องรีบออกตัวอย่างแตกตื่น อีกอย่าง พ่อกับแม่เขานอนอยู่ข้างห้อง เรื่องบัดสีบัดเถลิงแบบนี้ภวัตทำใจไม่ได้จริงๆ


“ลามกขึ้นทุกวันนะมึงเนี่ย”



 นคินทร์หัวเราะ ส่ายหน้ายิ้มๆ ปิดโคมไฟแล้วดึงให้อีกฝ่ายตามเขามาที่เตียงภายใต้แสงจันทร์สลัวจากหน้าต่าง



ภวัตที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดเซล้มลงไปบนเตียงเดี่ยวขนาดเล็กของตนพร้อมๆกับร่างสูงที่ยังไม่ยอมปล่อยเขาไปไหน นคินทร์ตวัดขาโอบรอบเอวบาง รั้งร่างของอีกฝ่ายเข้ามาแนบชิดเสียจนแทบไม่มีพื้นที่หายใจ



“คุณคิน…”



“ขอกูกอดมึงไว้แบบนี้ก็พอ” เสียงทุ้มดังขึ้นในความมืด ลมหายจะอุ่นระข้างแก้มเนียนเบาๆเป็นจังหวะ “เดี๋ยวกูค่อยปีนออกไปก่อนเช้า ตอนนี้กูอยากกอดมึง ไม่มีมึงข้างๆแล้วกูนอนไม่หลับ…”



ภวัตตัดสินใจที่จะไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดตอบกลับไป เพียงแต่ซุกกายเข้าซบกับแผงอกแกร่ง ฟังเสียงหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอของนคินทร์แล้วหลับตาลง



แย่แล้ว…


ชาตินี้ เขาคงหนีไปจากอ้อมกอดนี้ไม่ได้แล้วจริงๆ

-----------------

 :mew1: :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คุณคินน่ารัก น่ารักมากๆๆๆๆ โอ้ยยยย คนหลงเมียยยย :hao7:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ผมคิดว่าที่กระแสตอบรับเรื่องนี้ไม่ดีเท่ากับเรื่องอื่นๆ สำหรับผม ผมคิดว่าอาจจะเพราะคาแรกเตอร์หลายตัวมันมีความซ้ำอยู่เยอะไปนิดหนึ่งครับ

ถ้าจำได้ จักรวาลนึงที่คุณลิตเติลพิกเขียนไว้แล้วมีจำนวนตัวละครมาก และแต่ละตัวมีจุดเด่นที่น่าสนใจ รวมถึงมีมิติที่ดี นั่นคือจักรวาลของ You Stranger, How to fall in love with your boss, Sugar Daddy ซึ่งผมเคยชมไว้ในเรื่อง You Stranger ว่าการเขียนแบบนี้ทำได้ยาก แต่คุณลิตเติลพิกออกมาได้ดีครับ แม้ว่าพล็อตของหลายๆเรื่องอาจไม่ตรงจริตผมบ้าง แต่สำหรับเรื่องความแน่นในมิติคาแรกเตอร์และการบรรยาย ก็ถือว่าทำได้ดี...เรียกว่าจะดีมากก็คงได้

แต่ปัญหาคือ พอกลับมาถึงเรื่อง New You สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ จะเห็นว่าเรามีจำนวนคาแรกเตอร์เยอะเหมือนกับจักรวาลของเรื่องเก่า แต่เราเอาสามคู่มารวมกันหมดในเรื่องเดียวกัน ดังนั้นมันจะทำให้การแบ่งบทสำคัญมากเป็นพิเศษ ผมเข้าใจว่าตอนนี้เรามีพล็อตเรื่องกลางที่เป็น Major Plot ขนาดใหญ่อยู่ แล้วทั้งสามคู่ก็จะมีโทนเรื่องเฉพาะตัวของคู่ตัวเอง เปรียบเสมือนกลุ่มก้อนสามก้อนที่จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆโดยมีพล็อตเรื่องใหญ่นี้ยึดโยงและขับเคลื่อนพล็อตให้เนื้อเรื่องคืบหน้า

ซึ่งการกระทำแบบนี้ถือว่าดีนะครับ มันเป็นแกรนด์สเกลของเนื้อเรื่องเลย ทำออกมาได้ดี แต่ต้องระวังเรื่องของโทนเรื่องในแต่ละคู่ไม่ให้ไปขัดกันเองมากนัก ผมคิดว่าการทำเนื้อเรื่องแบบนี้ การเน้น interactive ระหว่างตัวละครโดยที่ใช้ base experience ที่ไม่เหมือนกัน จะเป็นจุดขายที่ทำให้คนอ่านสนใจและติดตามนะครับ เช่น ฉากที่ผมชอบมากฉากนึงคือฉากเจษฏ์บ่นเรื่องที่ชอบนทีให้ต้าฟัง แล้วต้ามองเหมือนเปรียบเทียบตัวเองกับปราณ ทำให้เขาเริ่มมองเห็นว่าสิ่งที่เจษฏาพูดมันไม่แฟร์ ฉากตรงนี้แค่ไม่กี่ประโยค แต่มันทำให้เรารู้สึกถึงพื้นตัวละครที่แตกต่างกันเห็นชัด และน่าสนใจติดตามต่อครับ อีกอย่างนึงคือต้องเขียนยาวพอสมควรครับ เขียนกระชับไม่ได้ เพราะจะทำให้คนอ่านขาดดีเทลสำคัญในแต่ละคู่ ซึ่งนอกจากดีเทลที่จะอธิบายเคมีความสัมพันธ์ระหว่างกันของคู่ตัวเองแล้ว ยังมีดีเทลที่จะมีผลส่งต่อไปยังพล็อตหลักเพื่อทำการเดินเนื้อเรื่องไปด้วย ถ้าขาดดีเทลใดดีเทลหนึ่งไป คนอ่านก็จะรู้สึกเบื่อ

และที่สำคัญ ซึ่งส่วนตัวผมคาดเดาว่าสิ่งที่ทำให้กระแสตอบรับไม่ดีเท่ากับเรื่องอื่นๆ อาจจะเพราะเราเหมือนเห็นการผลิตซ้ำของคาแรกเตอร์ครับ

การผลิตซ้ำของคาแรกเตอร์ในที่นี้ คือดูเหมือนการรียูสคาแรกเตอร์ในเรื่องเก่าๆมาใช้ ทำให้ตัวละครหลายๆตัวอาจจะมีนิสัยเหมือนตัวละครเรื่องเก่า แค่เปลี่ยนพื้นฐานตัวละครใหม่เท่านั้น เช่น คู่ของนที-เจษฏา ก็ให้อารมณ์ของคาแรกเตอร์เหมือน เมฆ-หมอก หรือคู่ของนคินทร์-ภวัต ก็คาแรกเตอร์คล้ายกับนิโคลัสกับเงา คู่ที่ดูจะใหม่ที่สุดและมีมิติน่าสนใจที่สุดก็คือ ต้า-ปราณ เนี่ยแหละครับ

ดังนั้นพอสังเกตว่าคาแรกเตอร์มันผลิตซ้ำ คนก็จะเริ่มเบื่อ เพราเหมือนเคยอ่านมาแล้ว แค่เปลี่ยนชื่อกับพื้นตัวละครใหม่เท่านั้น วิธีการพิสูจน์ว่าตัวละครนี้ไม่เหมือนกับตัวละครเก่า คือเราต้องมีการฉีกคาแรกเตอร์เดิมออกด้วยการกระทำบางอย่างที่ไม่มีในคาแรกเตอร์เดิม และสอดคล้องกับพื้นฐานตัวละครใหม่ในเรื่องนี้ครับ เพราะไม่งั้นมันก็จะดูเหมือนซ้ำซากไปหน่อย

ถ้าสังเกต งานเก่าของคุณลิตเติลพิก เราจะไม่เคยเห็นพระเอกที่ดูเป็นมนุษย์ผู้ชายปกติมาก่อนเลย ปกติในที่นี้หมายความว่าไม่ได้เพอร์เฟ็คต์ ไม่ได้เหนือกว่าคนอื่นมากมาย ยังมีความเป็นคนธรรมดา แพ้ได้ น้อยใจได้ ซึ่งนิสัยเหล่านี้เราเห็นจากต้าครับ ขณะที่ปราณก็เป็นน้องลูกหมูตัวน้อยๆน่ารักที่พออยู่กับต้าก็ให้อารมณ์เขินๆด้วยกันทั้งคู่ ผมชอบโมเมนต์ของสองคนนี้นะ ดูน่ารักดี ดูเรียลและถือว่าเป็นคาแรกเตอร์ที่ค่อนข้างใหม่ในงานคุณลิตเติลพิก

ทีนี้มาว่ากันที่วิเคราะห์เนื้อเรื่อง ส่วนตัวผมว่าผมไม่ค่อยชอบนคินทร์เท่าไหร่ครับ เค้าให้อารมณ์ตัวร้ายมากเกินไป ดูมีความโรคจิตอยู่ในตัวนิดๆ ซึ่งผมไม่แปลกใจนะ เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมเนื่องจากครอบครัวไม่มีลูกชาย แล้วปรากฏว่ามีลูกชายขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ ทำให้ต้องพยายามที่จะทำตัวให้เพอร์เฟ็คต์เพื่อที่จะมีคุณค่าภายในสายตาของครอบครัว มันก็ไม่แปลกที่จะมีปมความโรคจิตนิดๆอยู่ในตัว แต่ที่ผมไม่ค่อยชอบ คือการกระทำบางอย่างที่ดูจะ ungrateful ต่อหลายๆคนเนี่ยล่ะล่ะ นคินทร์ดูเป็นคนที่ไม่กล้ายอมรับความจริงบางอย่างเนื่องจากเป็นคนที่แพ้ไม่ลง

การให้ต้าไปไล่ซื้อหุ้นนอกเหนือจากส่วนของพ่อตัวเอง โดยใช้ชื่อตัวเอง แต่ใช้เงินของพ่อ ดูก็รู้ว่านคินทร์พยายามสร้าง ‘หลักประกัน’ ในอาณาจักรของพ่อตัวเอง เพราะนคินทร์มองตัวเองว่าไม่ได้มีค่าอะไรในตระกูล ถ้าเทียบกับนที (ซึ่งในความจริงก็คงจริง ด้วยนิสัยแบบนี้ จะให้ไว้ใจก็คงยาก ผมคิดว่าพ่อแม่ของนทีต้องสังเกตเห็นความพยายามที่จะ perfectionist ของนคินทร์ หรือไม่ก็สังเกตเห็น dark spirit ในตัวนคินทร์ อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบๆปี) จุดนี้มันมีความเสี่ยงต่อตระกูลนิดนึงตรงที่ หากจำนวนหุ้นที่มีมากกว่าพ่อตัวเอง มันจะทำให้อำนาจการบริหารถูกโอนง่ายไปเป็นของนคินทร์ แล้วเข้าถือสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท มันอันตรายตรงที่นคินทร์อาจจะพลิกกระดานของครอบครัวตัวเองเนี่ยแหละครับ ขณะที่นทียังคงทำเหมือนไม่รู้อะไร เป็นคุณชายงดงามที่ใช้เงินไปวันๆเนี่ย มันก็ดูมีความเสี่ยงที่ตระกูลนี้อาจล่มจมได้

ถ้าเกิดการกระทำอย่างนั้นขึ้นมา ถ้าเรียกในภาษาทางบัญชีถือว่าเป็นการยักยอกทรัพย์โดยมีเจตนายึดครองสินทรัพย์หรือธุรกิจครับ ถ้าสืบทราบจากพยานได้ว่าเจตนาที่ทำเป็นไปด้วยความไม่สุจริต ก็มีความผิดทางอาญา แต่ถ้ากระทำเพื่อซื้อคืนหุ้นในแง่เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารของผู้ถือหุ้นใหญ่ มันก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่สิ่งที่สำคัญคือมันแปลว่านคินทร์ไม่ได้รู้สึกเชื่อใจในสายสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นมาในครอบครัวเลยเป็นระยะเวลาสิบกว่าปี ตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ ‘ขาด’ อย่างน่าเห็นใจ การที่พ่อแม่ของนทีมีนทีขึ้นมาแล้วดูแลรักเอาใจใส่ มันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่คุณต้องไปแย่งชิงมาเพื่อมั่นใจว่าคุณจะได้เสวยสุข แต่ในฐานะของคนที่เป็นพี่(แม้จะไม่แท้) คุณควรจะสนับสนุนให้เขาได้เติบโตอย่างมีวิสัยทัศน์ เป็นคนที่สมควรจะเป็น และเสียสละเพื่อเขามากกว่า เพราะว่าพ่อแม่ของนทีก็ไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายกับคุณ ตรงกันข้าม เขาสนับสนุนคุณในหลายๆเรื่องด้วยซ้ำ ดังนั้น คุณไม่ได้ขาดอะไรด้วยซ้ำ แต่ถ้าการกระทำนั้นมันเป็นสิ่งที่ ungrateful แสดงว่ามันาจากแรงผลักดันภายในจิตใจของคุณเองที่บิดเบี้ยวน่ะครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด