พิมพ์หน้านี้ - #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 16: กลับบ้านใหญ่ [14-1-20] คห.69

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: littlepig ที่ 04-06-2019 21:12:13

หัวข้อ: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 16: กลับบ้านใหญ่ [14-1-20] คห.69
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 04-06-2019 21:12:13
0u[ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


-----------

คลังนิยายของข้าพเจ้า

 :mc4:จบแล้ว

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58878.msg3600724#msg3600724 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58878.msg3600724#msg3600724) Which one? รัก||หลอก||เด็ก (แนวกินเด็กและโดนเด็กกิน)

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58331.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58331.0)Blind side รัก || ของ || แว่น(แนวแอบรัก)

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59401.0ํ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59401.0ํ)Your Stranger รัก||ไม่||ลืม (แนวความจำเสื่อม)

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60332.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60332.0)How to fall in love with your boss คู่มือการเป็นเลขาฉบับเกือบสมบูรณ์ (แนวแอบรัก)


 :z13:ยังไม่จบ

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66195.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66195.0) Sugar Daddy เล่น||ของ||สูง(อายุ) (แนวโดนเด็กกิน) rewrite อยู่ coming soon

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70320.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70320.0) Soulmate From Hell ด้วยรักจากนรก (แนวแฟนตาซี)

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70468.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70468.0) #Newyou สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่


********

#ต้าปราณ

"...สำหรับของขวัญวันเกิดแกนะปราณ พี่ซื้อคอร์สลดน้ำหนักขัดสีฉวีวรรณให้แล้วนะยะ นี่ฉันอุตส่าห์ควักเนื้อตัวเองให้น้องชายสุดที่รักได้แต่งสามีเข้าบ้านเลยนะ"

ฮะ?

"แกจะได้เลิกเอาแต่มองตามคุณชายวิทย์กีฯตาละห้อยแล้วกล้าเด็ดออกฟ้ากับเขาซะที บอกตรงๆ ลำไยว่ะ”

อะไรนะ?

“หนึ่งเดือนนี้เทรนเนอร์จะอยู่กับแกตลอด24ชั่วโมง ช่วยทั้งเรื่องน้ำหนัก การดูแลตัวเอง แล้วยังมีบริการพิเศษช่วยคำนวณสเป็กของคนที่แกชอบให้แกเข้าถึงเป้าหมายได้ดีขึ้น ไปบรีฟข้อมูลของอีตาคุณชายนั่นกับเขาแล้วกัน”

เดี๋ยวนะ…

“เทรนเนอร์น่าจะถึงห้องแกวันนี้แหละ โชคดีนะจ๊ะน้องชาย เดี๋ยวกับไทยเจ้ซื้อขนมไปฝาก…ติ๊ด!!!”



แล้วผมจะบอกพี่สาวของตัวเองได้ยังไง ว่าเทรนเนอร์ที่พี่จ้างมาช่วยผม กับไอ้คุณชายที่ผมมองตามตาละห้อยนั้น แม่งเป็นคนคนเดียวกัน


_____________


#เจษฎ์นที

“ไอ้ที มึงรู้ไม่ใช่เหรอว่ากูชอบผู้หญิง?”

“อื้อ”

“มึงรู้ใช่มั้ยว่ากูไม่เคยสนใจผู้ชาย?”

“อื้อ”

“แล้วที่ผ่านมานี่คือมึงเล็งกูมาโดยตลอด…”

“…อื้อ”

“ไอ้ที!!! มึงช่วยตอบอย่างอื่นนอกจากอื้อได้มั้ยวะ?! นี่ตกลงว่าที่ผ่านมามึงอยากเป็นเมียกูมาตั้งแต่ม.สี่เลยรึไง?!!!”

“…ใช่”

“อะ…อะไรนะ?”

“ใช่…” ดวงตาคู่สวยทอประกายแน่วแน่ “เราอยากเป็นเมียเจษฎ์”




----------

#นคินทร์ภีม


“มึงรู้ตัวมั้ยภีม ว่าตอนนี้มึงอยู่ในฐานะอะไร?”

รู้ครับ…ผมรู้ตัวดี…

“ผมเป็นของคุณคิน”

ผมเป็นของคุณทั้งตัวและหัวใจ ตั้งแต่วันนั้นเมื่อห้าปีก่อนแล้ว…

“ไม่ใช่”

เอ๊ะ?

“มึงไม่ใช่ของกู”

คำพูดนั้นเปรียบเสมือนน้ำเย็นสาดใส่หน้าคนฟัง

ต่อให้ไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวหัวใจของนคินทร์ แค่ได้ยืนอยู่ข้างๆอีกฝ่ายในมุมมืดก็ยังฝันสูงเกินไปสินะ…

“มึงไม่ใช่ของกู ภีม” ร่างสูงเอ่ยย้ำ ใบหน้าคมอยู่ห่างจากเขาเพียงลมหายใจคั่น “มึงเป็นเมียกู”
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Introduction [4-06-19]
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 04-06-2019 21:16:45
lntro:



ผมคิดว่าทุกคนต้องเคยมีคนที่แอบปลื้มอยู่สักช่วงเวลาในชีวิต



และผมค่อนข้างแน่ใจว่าเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์รู้ดีว่าตัวเองไม่มีวันสมหวังในความรักนั้น



แต่ผมรู้ดี ว่านั่นไม่ได้หยุดจินตนาการอันบรรเจิดเลิศหรูของเหล่ามนุษย์แอบรักให้โบยบินไปสู่ท้องฟ้าอันกว้างไกลได้เลย








“เฮ้ย ไอ้อ้วน นั่งเหม่ออะไรอยู่วะ ไปช่วยเพื่อนขนของ!”



เสียงดังเป็นเอกลักษณ์และฝ่ามือที่ตบป้าบเข้ามาเต็มแผ่นหลังทำเอาผมหลุดจากโลกจินตนาการของตัวเองมาสู่ความเป็นจริง ผมหันกัลบไปมองค้อนไอ้รุ่นพี่เวรที่ขัดเวลาแห่งความสุขอันน้อยนิดของผมตาขวาง แต่อีกฝ่ายเพียงแค่หัวเราะแล้วพูดว่า



“จ้องขนาดนั้นไอ้ต้ามันท้องไปครอกนึงแล้วมั้งไอ้ปราณ”



“ไอ้พี่เจษฎ์!”



ผมแทบจะกระโจนจากเก้าอี้ไปปิดปากรุ่นพี่ชมรมซึ่งบังเอิญเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่สิงสถิตอยู่ข้างบ้านผมตั้งแต่ผมเกิด ถ้าจะป่าวประกาศขนาดนี้ไม่ขึ้นป้ายบิลบอร์ดไปเลยล่ะครับ?!



“เออๆ ไม่พูดละ ไปช่วยผัวมึงยกของไป เดี๋ยววันนี้ไม่เสร็จกันพอดี”



พี่เจษฎ์ดึงมือผมออกจากปากพร้อมเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ถ้ารู้ว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ถึงจะเมาแค่ไหนผมคงไม่มีวันเปิดปากเล่าความลับที่น่าอายที่สุดของผมให้มันฟังหรอก



“ทำอะไรกันเนี่ย?”



เสียงทุ้มของคนที่ผมแอบส่องของผมอยู่เงียบๆมาตลอดทั้งวันดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงที่หอบลังกระดาษขนาดใหญ่ตรงมาหาพวกผม เสื้อยืดสีดำสกรีนชื่อชมรมค่ายอาสาที่ทุกคนที่มาออกค่ายใส่กัน แต่กลับดูราวกับเสื้อผ้าดีไซเนอร์ราคาแพงบนร่างสูงที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามตามประสาหนุ่มวิทย์กีฬานั้น ผิวขาวเนียนสม่ำเสมอแม้จะออกแดดเป็นประจำขับให้ใบหน้าคมหล่อเหลายิ่งดูน่าเคลิ้มฝัน ผมย้อมสีน้ำตาลแดงตัดตามสมัยนิยมเหมือนซุปเปอร์สตาร์เกาหลีที่หลุดออกมาจากนิยายออนไลน์ที่พี่สาวของผมชอบอ่านนักหนา



คนคนนี้ชื่อพี่ต้า ชื่อจริงคือ คทา วงศ์พยัคฆ์ รุ่นพี่ปีสองของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา เป็นรุ่นพี่อีกคนในชมรมค่ายอาสา…และเป็นคนที่ทำให้คนที่ไม่เคยจากห้องจากแอร์และอินเตอร์เน็ตอย่างผมยอมมาในพื้นที่ที่สัญญาณโทรศัพท์เข้าไม่ถึงแบบนี้



“เมียมึงอู้อ่ะไอ้ต้า เอาไปจัดการดิ๊”


ตามปกติแล้วมนุษย์ตัวกลมนุ่มนิ่มอย่างผมนั้นถูกผลักจนเซได้ไม่ง่ายนักหรอกครับ แต่แรงวัวแรงควายของไอ้พี่เจษฐ์ประกอบกับที่พี่ต้าโผล่มาโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้ผมเซถลาไปชนกับคนที่ยับคงหอบลังกระดาษไว้ราวกับไม่มีน้ำหนัก


หมับ!


“อย่าแกล้งน้องดิ๊ไอ้เจษฐ์…เป็นไงบ้างปราณ?”



พี่ต้าพยุงกล่องที่ถือมาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งส่วนอีกข้างคว้าแขนผมเอาไว้ก่อนที่ก้อนไขมันกลมๆก้อนนี้จะทับพี่เขาจนแบนติดพื้น



“เอ่อ…ไม่เป็นไรครับพี่ต้า”



ผมรีบผละจากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แม้ใจจริงจะอยากอิงแอบแนบชิดกับแผงอกล่ำๆนั้นอีกซักพัก



เดี๋ยวคนผ่านไปมาจะหาว่าผมไปทำให้พี่เขามีราคี



“แค่ได้ซบอกมึงก็หายแล้ว” ไอ้พี่เจษฐ์รู้ดีอีก…



“นี่ก็ชงเหลือเกิน บ้านเป็นร้านกาแฟเหรอวะ?”



พี่ต้าส่ายหน้ายิ้มๆ ด้วยความเป็นคนอารมณ์ดีเลยไม่เคยโกรธที่โดนล้อ แม้ว่าเพื่อนๆในกลุ่มจะแซวพี่ต้ากับสิ่งมีชีวิตรอบตัวแทบทุกคนที่ยังไม่มีคู่ก็ตาม



ความเป็นพ่อพระนั้นไม่ได้ช่วยให้ใจผมนิ่งขึ้นเวลาอยู่ใกล้พี่เขาเลย



หือ?อะไรนะครับ อยากให้ผมย้อนกลับไปเล่าตั้งแต่ต้น?


เอาแบบนั้นก็ได้ สวัสดีครับทุกคน ผมมีชื่อว่านาย ปราณ ศิรโชติ อายุสิบแปดปี ปัจจุบันศึกษาอยู่ในชั้นปีที่หนึ่ง คณะอักษรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านมากนัก พูดถึงบ้าน บ้านของผมเป็นบ้านเดี่ยวขนาดกลางอยู่ในซอยแคบครับ ถนนหน้าบ้านมีทางให้รถวิ่งผ่านแค่หนึ่งคันครึ่ง…



ฮะ?ผมเล่าย้อนไกลไป?



ไม่ไกลหรอกครับ เพราะความแคบของถนนนั่นแหละ ที่ทำให้ผมได้พบพี่ต้าเป็นครั้งแรก



บ่ายของวันที่แดดร้อนจัดวันหนึ่ง ผมกำลังเดินกลับบ้านจากร้านขายของชำหน้าปากซอย ในมือถือไอศกรีมแท่งรสแตงโมของโปรดที่ผมตั้งใจฝ่ารังสียูวีออกมาซื้อโดยมีเพียงเสื้อยืดตัวบางและชั้นไขมันกลมหนาเป็นเกราะกำบัง ด้วยอัตราการแผดเผานี้ บอกยากเหลือเกินว่าชั้นไขมันของผมหรือไอศกรีมแท่งนี้จะละลายก่อนกั…



โครม!!!!



ในตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนหูดับไปทั้งสองข้างจากเสียงนั้น รู้สึกว่าร่างของผมลอยหวือจากพื้นดินที่เคยยืนอยู่ แหวกว่ายไปตามสายลมและอากาศ…



…ก่อนจะตกลงมาเอาหน้าปักพื้นคอนกรีตด้วยท่วงท่าอันสวยงาม



ผมยันตัวขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก เสียงโหวกเหวกโวยวายภายนอกตีกับเสียงหวีดภายในหูจนผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง ผมได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนพื้นถนน มองรถยนต์ที่พุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าซึ่งอยู่ห่างจากผมไปแค่ไม่ถึงเมตร แม้จะรู้ว่าอยู่ท่ามกลางสถานการณ์อันตราย แต่ร่างกายไม่ยอมขยับตามคำสั่งของสมอง



“คุณครับ…ได้ยินผมมั้ยครับ?”


จนกระทั่งใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรเข้ามาในลานสายตา




ผมค่อนข้างมั่นใจว่าตอนนี้เลือดที่ไหลลงมาจากหน้าผากบดบังวิสัยทัศน์ของผมไปมากกว่าครึ่ง ดังนั้นความหล่อที่สามารถทะลุม่านเลือดสีแดงฉานนั้นเข้ามาได้จะต้องไม่ธรรมดา



อา…อย่างน้อยถ้าจะตายผมก็ได้ไปอวดเพื่อนพ้องในนรกได้แหละนะว่าได้ตายในอ้อมกอดของหนุ่มหล่อหน้าตี๋คนนี้



และนั่นเป็นความคิดสุดท้ายที่แล่นเข้ามาในสมอง ก่อนที่ผมจะมารู้สึกตัวอีกครั้งในห้องพักของโรงพยาบาลใกล้บ้านแห่งหนึ่ง
โดยมีป๊า ม๊า และพี่สาวของผมร้องไห้ฟูมฟายอยู่ปลายเตียง




ผมค่อนข้างมั่นใจอยู่พอสมควรว่าเทพบุตรที่ผมเห็นก่อนหมดสติไปเป็นเพียงภาพในความฝัน จนกระทั่งวันที่พี่เจษฐ์ พี่ชายข้างบ้านของผมนัดผมมาเอาของที่ห้องตอนสมัยที่ผมสอบติดใหม่ๆ



ในตอนนั้น ไอ้พี่เจษฐ์ที่เป็นคนนัดผมมาเอาของที่แม่ผมฝากมาให้ดันส่งข้อความมาบอกว่าติดธุระ แถมยังให้ผมนั่งรอในห้องจนกว่าตัวเองจะกลับมา ถ้าไม่ติดว่าหนึ่งในนั้นเป็นกางเกงในและของใช้ส่วนตัวที่ผมจำเป็นต้องใช้ ผมคงจะแปะกระดาษโน๊ตคัดคำด่าด้วยลายมือบรรจงไว้แล้วหนีกลับไปนานแล้ว




“ขออนุญาตนะครับ”



ผมถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้าไปหลังจากเคาะประตูอยู่นานแต่ไม่มีเสียงตอบรับ เสียงน้ำกระทบพื้นกระเบื้องจากห้องน้ำบ่งบอกว่ารูมเมทของพี่เจษฐ์คงกำลังอาบน้ำอยู่



ผมทำได้เพียงยืนเอ๋ออยู่กลางห้อง ไม่กล้าดึงเก้าอี้มานั่งเพราะไม่รู้ว่าฝั่งไหนเป็นของพี่ชายข้างบ้านและฝั่งไหนเป็นของคนแปลกหน้าที่ผมไม่เคยเจอ แต่ดูจากความเรียบร้อยสะอาดสะอ้านของโต๊ะเขียนหนังสืออีกตัว ฝั่งที่มีซองขนมโยนทิ้งอยู่บนโต๊ะกับขวดน้ำอัดลมนี้คงเป็นของพี่เจษฏ์อย่างไม่ต้องสงสัย



ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกพร้อมกับร่างที่มีผ้าขนหนูผืนเล็กพันรอบตัวที่ก้าวออกมา



“เฮ้ย!”



ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องออกมาก่อนที่สมองจะประมวลผลได้ทัน



เทพบุตรเดินดินที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าเป็นเพียงภาพหลอนจากศีรษะที่กระแทกแรงเกินไปในอุบัติเหตุครั้งนั้นเหลือบตาขึ้นมองผมผ่านผ้าขนหนูผืนเล็กที่อีกฝ่ายกำลังใช้เช็ดหัว หยดน้ำเม็ดเล็กเกาะพราวบนแผงอกและหน้าท้องขาวเป็นลอนน่าลูบ…



“อ๋อ น้องไอ้เจษฎ์ใช่มั้ย? นั่งก่อนสิ เตียงไหนก็ได้ เดี๋ยวมันกลับมา”



พี่เทพ(บุตร)เอ่ยพร้อมรอยยิ้มมุมปาก เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดนักศึกษาของตัวเองออกมา



อื้อหือ…คนบ้าอะไรขนาดหลังยังน่ามองขนาดนี้



“เอ้อ พี่ชื่อต้านะ เป็นรูมเมทไอ้เจษฎ์ น้องชื่ออะไรเหรอ?”



ผมรีบหุบปากฉับก่อนที่น้ำลายจะไหลย้อยลงมาให้คนตรงหน้าเห็นถึงความคิดอกุศลในหัว เสตามองประตูตู้เสื้อผ้าที่เผยออยู่เล็กน้อยเพื่อหาจุดโฟกัสไม่ให้เผลอหลุดจ้องรูปร่างสมส่วนนั้น



“เอ่อ…ปราณครับ”



“ปราณ…” พี่ต้าทวนคำเบาๆ ชื่อของผมเมื่อหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายกลับฟังดูเหมือนเสียงขับกล่อมให้รู้สึก
เคลิบเคลิ้ม “ชื่อน่ารักดีนะ…เหมาะกับหน้าดี”



“คะ…ครับ?”



ผมที่กำลังเคลิ้มถึงกับสะดุ้งเมื่อความหมายของประโยคนั้นแทรกซึมเข้ามาในสมอง



“ฮะๆ โทษที เผลอไปหน่อย” คนที่เพิ่งใส่เสื้อนักศึกษาเสร็จหัวเราะ ขณะที่ผมกำลังถูกสะกดด้วยเสียงหัวเราะเบาๆในลำคออย่างอารมณ์ดีนั้น เจ้าของเสียงก็ถือโอกาสก้าวเข้ามาประชิดโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว นิ้วเรียวยาวก็จิ้มลงบนแก้มกลมๆที่เป็นเหมือนเอกลักษณ์ประจำตัวของผม ผมไม่ได้อ้วนนะครับ แต่แก้มกลมๆกับพุงนิ่มๆที่ไม่เหมือนกับกรามคมเป็นสันและหน้า
ท้องเป็นมัดๆของผู้ชายสมัยนี้มักจะทำให้ผมโดนล้อเสมอ “แก้มกลมๆน่ารักดี”



ฮือ…ฟินตายตอนนี้ไอ้พี่เจษฎ์จะเผากางเกงในตามผมไปมั้ยครับ


“ไอ้ต้า! ทำอะไรน้องกู!”



ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ความคิดอกุศลยังทำให้ผมสะดุ้งกับเสียงอันดังก้องของพี่เจษฎ์



“เฮ้ย! เปล่า! กูไม่ได้ทำอะไร!” แต่ที่น่าแปลกคือคนที่ร้อนตัวแบบเป็นจริงเป็นจังตามคำกล่าวหาของไอ้พี่เจษฎ์ไปด้วยนี่ต่างหาก



โดนแหย่ง่ายแบบนี้อยู่กับไอ้พี่เจษฎ์มาได้ยังไงเป็นปีวะเนี่ย



“เออ อย่าให้รู้นะเว้ย คนนี้กูหวง แม่มันฝากฝังกูมา” พี่เจษฎ์ดึงผมเข้ามากอดไว้อย่างปกป้อง ผมกลอกตากับความเว่อร์วังของไอ้พี่ชายข้างบ้าน



“พี่เจษฎ์ ผมจะรีบกลับ”



“เออๆ รอแป๊บ เดี๋ยวกูหยิบให้” ผมนั่งนิ่งมองไอ้พี่เจษฎ์ที่เปิดประตูตู้เสื้อผ้าฝั่งตัวเองรื้อค้นหาของ ไม่กล้าหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้แต่แอบลักลอบเหลือบเก็บภาพอาหารตาไว้เป็นที่ระลึกจากหางตา



โอย…คนบ้าอะไรแค่สะดือยังหล่อเลยวะ โลกนี้ไม่ยุติธรรม!!










นั่นแหละครับ เหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้มาเจอกับพี่ต้า



ยิ่งได้รู้จัก ยิ่งได้เห็นมุมอื่นนอกจากใบหน้าหล่อๆกับหุ่นนายแบบนิตยาสารปลุกใจ ทั้งกิจกรรมอาสาสมัครที่เจ้าตัวเข้าร่วมแทบทุกกิจกรรมในมหาวิทยาลัย ให้ความรู้สุขภาพ พัฒนาชุมชน และเป็นอาสาสมัครกู้ภัยในยามว่าง โดยเฉพาะรอยยิ้มหลังจากได้ช่วยเหลือคนอื่นของพี่ต้า ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหลงใหลได้ปลื้มอีกฝ่ายจนโงหัวไม่ขึ้น



พ่อแม่เลี้ยงมายังไงถึงได้งานดีตั้งแต่หน้าตายันจิตใจแบบนี้เนี่ย



“เอ้อ ปราณ คืนนี้มานอนกับพี่มั้ย?”



กลับมาที่ปัจจุบันด้วยคำถามจากปากของพี่ต้าที่ทำเอาหัวใจของผมเต้นผิดจังหวะ



“เดี๋ยวนี้ชวนกันเข้าห้องเลยเหรอวะ แหมๆ ไวไฟนะเรา โอ๊ย!”



พี่เจษฎ์ร้องโอดโอยขึ้นเมื่อโดนพี่ต้าแจกมะเหงกกลางกบาลไปลูกหนึ่งโดยไม่คิดที่จะต่อล้อต่อเถียงให้เปลืองน้ำลาย



“ว่าไง? ปีหนึ่งปีนี้มาเยอะนี่ ปีสองมีพวกพี่แค่ไม่กี่คน มานอนกับพี่ก็ได้นะ”


ผมเกลียดรอยยิ้มมุมปากที่ไม่เคยจางหายไปของพี่ต้าเสียจริง ไม่รู้รึไงว่าไม่ควรถามอะไรใครด้วยรอยยิ้มแบบนี้ เดี๋ยวเผลอๆนอกจากจะได้คำตอบแล้วจะได้เมียเป็นของแถมนะครับ



“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยู่ได้” ผมตอบด้วยสีหน้าที่คิดว่าดูเกรงใจที่สุด ไม่ได้ครับ จะให้เขารู้ไม่ได้ว่าผมไม่อยากหลับนอนร่วมห้องกับรุ่นพี่คนนี้เป็นเพราะกลัวความหวั่นไหวและใจที่ไม่นิ่งของตัวเอง



“งั้นเหรอ…นั่นสินะ มาแบบนี้ก็คงอยากอยู่กับกลุ่มเพื่อนมากกว่า” คนถามคิดเองเออเอง แต่ผมก็ไม่ได้คิดที่จะแก้ไขความคิดของอีกฝ่าย เพียงแต่ยิ้มแห้งๆให้อย่างไม่รู้จะพูดอะไร



“เพื่อนอะไรล่ะ เมียมาเฝ้าขนาดนี้ดูไม่ออกเหรอว่าไอ้อ้วนมันหวง”



ไอ้พี่เจษฎ์นี่ถ้าไม่ได้แกว่งปากหาบาทาสักวันคงจะนอนไม่หลับ



“ที่เมียมาเฝ้านี่น่าจะมึงมากกว่านะ”



พี่ต้าสวนพร้อมรอยยิ้มขำ พยักเพยิดไปยังร่างอีกร่างที่กำลังเดินตรงมาทางนี้



ร่างสูงโปร่งขาวเนียนจนเหมือนมีออร่าแผ่ออกมานอนร่างนั้นเป็นของพี่นที เพื่อนสนิทของไอ้พี่เจษฎ์ตั้งแต่สมัยมัธยม ใบหน้าขาวเรียวรูปไข่ล้อมรอบด้วยเส้นผมสีดำสนิทตัดเรียบร้อย ริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูระเรื่อกับดวงตาเรียวสวยที่เป็นประกายอ่อนโยนทำให้ยากที่จะเชื่อว่าคนแบบนี้จะยอมคบกับตัวเรื้อนตัวไรอย่างพี่เจษฎ์มาร่วมห้าปี



“เฝ้าอะไร? อย่างกูนี่เรียกมาฮันนีมูน ใช่มั้ยจ๊ะเมียจ๋า” พี่เจษฎ์เล่นตามอย่างไม่กระดากอาย ดึงข้อมือของคนมาใหม่ให้เซลงมานั่งบนตักแล้วโอบเอวบางไว้ด้วยท่อนแขนใหญ่แข็งแรงนั้น พี่นทีกระพริบตาปริบๆอย่างงุนงง แต่ก็ปล่อยให้ตัวเรื้อนยักษ์นี้ทำตามอำเภอใจโดยไม่ขัดขืน “…ว่าไงครับ? ใช่มั้ยจ๊ะเมียรักของเจษฎ์?”



“…อื้อ”


จากที่ผมรู้จักพี่นทีมาร่วมห้าปี คำตอบยอดฮิตของคุณชายนุ่มนิ่มที่มีต่อทุกคำถามของพี่เจษฎ์มีแค่คำคำนี้ ผมยังไม่เคยเป็นพี่นทีปฏิเสธอะไรเพื่อนสนิทของตัวเองเลยสักครั้ง



“พอเลยไอ้เจษฏ์ สงสารไอ้ทีมัน” พี่ต้ายิ้มขำ แต่คนอย่างพี่เจษฏ์มีหรือจะหยุดอยู่แค่นี้



“พออะไร… เมียกูออกจะชอบ เมื่อคืนยังครางชื่อกูทั้งคืน บอกว่ากูเด็ดอย่างนั้นเด็ดอย่างนี้ จริงมั้ยจ๊ะเมีย” พี่เจษฏ์ดึงแก้มของพี่นทีอย่างหมั่นเขี้ยว เมียจำเป็นที่จำพลัดจับผลูมาอยู่ตรงนี้ไม่ได้เสียเวลาคิด มีเพียงการพยักหน้าและคำตอบยอดฮิตของตน



“อื้อ”



บางทีผมก็สงสารพี่นทีที่มีเพื่อนอย่างไอ้พี่เจษฎ์



“งั้นกูไปละ ต้องไปประชุมกับพวกพี่ๆ เจอกันพรุ่งนี้นะปราณ” ประโยคสุดท้ายหันมาบอกผมพร้อมรอยยิ้มเดิมที่ชอบทำใจผมปั่นป่วน



“ครับ”



ผมยิ้มตอบ จะให้ผมพูดอะไรได้นอกจากนั้นเหรอครับ?



พี่ต้า…ผมอยากนอนห้องพี่นะ



พี่ต้า…ที่ผมมาที่นี่เพราะผมอยากอยู่ใกล้ชิดพี่มากกว่านี้อีกซักนิด



พี่ต้า…ไอ้เด็กอ้วนคนนี้โคตรชอบพี่เลยครับ แต่ผมรู้ว่าพี่ไม่มีวันมองผมไปมากกว่ารุ่นน้องคนหนึ่ง



พี่ต้า…ผมขออยู่ใกล้ๆพี่เงียบๆแบบนี้ต่อไปได้มั้ยครับ



แค่คิด จุดจบของความสัมพันธ์ที่แทบจะไม่มีอยู่ของพวกเราก็ชัดเจนจนผมแทบจะหายไม่ออกอยู่แล้ว…


----------------

สวัสดีค่า หมูน้อยกลับมาล้าวววว
เป็นฤดูกาลเปิดเรื่องใหม่จริงๆ5555
เรื่องนี้น่าจะเป็นแนวมหาวิทยาลัยเรื่องแรกที่ไม่มีอะไรเกี่ยวดองกับน้องแว่นเดอะซีรีย์ ฝากน้องปราณกับพี่ต้าไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Introduction [4-06-19]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-06-2019 23:08:41
 :pig2:
 :L2:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Introduction [4-06-19]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 05-06-2019 07:01:41
น้องอ้วนน่าเอ็นดู  ไหนตอนแรกอิพี่ข้างบ้านทำเป็นหวงนักหนา ไหงตอนนี้ล่ะชงให้เพื่อนจัง  :laugh:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Introduction [4-06-19]
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 06-06-2019 12:34:53
Day 1: สามสิบวัน รับประกันคุณคนใหม่

“เฮ้อ…ได้พักซะที”


ผมทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆของตัวเองแทบจะในทันทีที่อาบน้ำเสร็จ หลังจากผ่านค่ายนรกที่นอกจากเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของผู้คนในชุมชนแล้ว งานที่พวกผมต้องทำนั้นเรียกได้ว่ายิ่งกว่าสายตัวแทบขาด ผมก็ได้กลับมาสู่ห้องแอร์เย็นฉ่ำและความ
กว้างขวางของห้องพักของตัวเองเสียที



ถึงจะต้องยอมรับว่าหากรอยยิ้มของพี่ต้าสามารถตามผมจากค่ายกลับมาที่นี่ได้ ผมคงมีความสุขมากกว่านี้ แต่แค่ช่วงสิบวันที่ได้เห็นแววตามีความสุขของพี่ต้าตอนที่สร้างโรงเรียน สอนหนังสือให้กับเด็กๆ และช่วยเจาะน้ำตาลตรวจความดันในกับผู้สูงอายุในชุมชน ผมก็รู้สึกว่าตัวเองโดนต่ออายุไปอีกร้อยปีแล้ว



ครืดดดด



ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอแสดงชื่อของพี่สาวบังเกิดเกล้าที่ปัจจุบันเป็นนักเขียนนิยายขายดีที่ทัวร์โปรโมทงานเขียนของตัวเองอยู่ที่ต่างประเทศ เช่นเดียวกับพ่อแม่ผมที่หอบผ้าหอบผ่อนไปเที่ยวตามพี่สาวของผม ทิ้งให้ลูกชายคนสุดท้องของบ้านนอนตีพุงอยู่ในหอพักของตัวเอง



“ครับเจ้ปาย”



ผมกดรับสาย ไปอยู่นอกเขตสัญญาณโทรศัพท์มาเสียนาน หากไม่รีบรับโทรศัพท์พรุ่งนี้ครอบครัวขี้ห่วงของผมอาจจะยกโขยงกลับมาตามหาศพก็เป็นได้



“Happy Birthdayจ้าาาา”



ผมยิ้ม คิดแล้วไม่ผิดว่าพี่สาวของผมคงจะโทรมาอวยพรวันเกิด ใจจริงผมแอบนึกอยากให้ค่ายอาสาจบพรุ่งนี้ เพราะอย่างน้อยวันนี้ผมก็จะได้ใช้เวลาในวันเกิดของตัวเองไปกับการนั่งมองพี่ต้าอีกสักวัน แต่แค่นี้ก็ดีเกินฝันแล้ว



“ขอบคุณครับเจ้ แล้วนี่เจ้สบายดีมั้ยครับ?” ผมถาม อดรู้สึกเหงาไม่ได้ ทุกปีบ้านของผมมักจะจัดปาร์ตี้เล็กๆที่มีคนในครอบครัวและเพื่อนๆไม่กี่คน แน่นอนว่ามีไอ้พี่เจษฎ์ที่ลากพี่นทีพ่วงมาด้วยตลอด ของขวัญจากพี่นทีเปิดทีไรผมนี่มือสั่นตลอด คนบ้าอะไรซื้อของให้น้องข้างบ้านเพื่อนทีราคาร่วมหมื่น เล่นเอาพ่อแม่ผมต้องโทรไปคุยกับพ่อแม่พี่นทีเป็นการใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นพี่นทีก็ยังดึงดันจะซื้อของแพงๆให้ผมทุกปี



ว่าแล้วปีนี้จะได้คอมพ์ใหม่ที่เปรยไว้มั้ยน้า หึๆๆๆ



“สบายดีๆ ป๊าม๊าก็ลั้ลลาดี บ่นคิดถึงแกแต่ออกไปสวีทชมเมืองกันทุกวัน” เจ้ปายทำเสียงทอดถอนใจ “แต่ไม่ต้องห่วง ของขวัญวันเกิดเตรียมไว้ให้แล้ว รับรองต้องชอบแน่”



ผมนี่หูผึ่งทันทีเลยครับ ทีแรกคิดว่าปีนี้จะชวดของขวัญจริงๆซะแล้วเพราะกว่าทั้งบ้านจะกลับมาก็อีกสองเดือน แต่มาอีหรอบนี้ก็เสร็จโจรสิครับ



“ของขวัญอะไรเหรอครับเจ้?”



“หึ…สำหรับของขวัญวันเกิดแกนะปราณ ฉันซื้อคอร์สลดน้ำหนักขัดสีฉวีวรรณให้แล้วนะยะ นี่ฉันอุตส่าห์ควักเนื้อตัวเองให้น้องชายสุดที่รักได้แต่งสามีเข้าบ้านเลยนะ"



ฮะ?



“อะ…อะไรนะครับ”



"แกจะได้เลิกเอาแต่มองตามคุณชายวิทย์กีฯตาละห้อยแล้วกล้าเด็ดออกฟ้ากับเขาซะที บอกตรงๆ ลำไยว่ะ”



ถึงแม้ทั้งบ้านจะรับรู้ถึงรสนิยมของผมอยู่แล้ว แต่คนคนเดียวที่ผมกล้าพอที่จะเล่าเรื่องของพี่ต้าให้ฟังอย่างจงใจ มีเพียงเจ้ปายพี่สาวของผมเท่านั้น ตลอดเวลาเจ้ปายเพียงแค่ผลักหัวผมเบาๆ บอกให้ผมเลิกมโน หรือปล่อยให้ผมพล่ามถึงความดีของพี่ต้าอยู่คนเดียว แต่ผมไม่เคยคิดว่าพี่สาวของผมจะลงทุนถึงขั้นซื้อคอร์สลดน้ำหนักอะไรนี่มาให้ผม



“ไม่เอาอ่ะเจ้…ปราณไม่อยากลดน้ำหนัก ลดแล้วก็หิว หิวแล้วก็กิน กินแล้วก็อ้วน ไม่เห็นมันจะมีอะไรดีเลย” ผมงอแง คิดว่า
ผมไม่เคยคิดจะลดความอ้วนเหรอ ยิ่งตั้งใจยิ่งอ้วน! ต่อให้พี่ต้าก็ไม่พอที่จะทำให้ผมเปลี่ยนตัวเองได้หรอก



เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว…



“มันไม่ใช่แค่คอร์สลดน้ำหนักไง บริษัทนี้รับออกแบบแกให้กลายเป็นคนใหม่ที่ตรงสเป็กคนที่แกชอบมากขึ้น หนึ่งเดือนนี้เทรนเนอร์จะอยู่กับแกตลอด24ชั่วโมง ช่วยทั้งเรื่องน้ำหนัก การดูแลตัวเอง แล้วก็ช่วยคำนวณสเป็กของคนที่แกชอบให้แกเข้าถึงเป้าหมายได้ดีขึ้น ไปบรีฟข้อมูลของอีตาคุณชายนั่นกับเขาแล้วกัน น่าจะถึงห้องแกวันนี้แหละ โชคดีนะจ๊ะน้องชาย
เดี๋ยวกลับไทยเจ้ซื้อขนมไปฝาก…ติ๊ด!!!”



“เดี๋ยว…เจ้!!”



ผมจ้องหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับไปอย่างสับสน แต่ก่อนจะได้โทรกลับไปเคลียร์ให้รู้เรื่องเสียงเคาะประตูห้องก็ดีลดังขึ้นเสียก่อน
 แต่ผมไม่ได้นัดใครไว้นี่



อย่าบอกนะว่า…




นั่งสงสัยไปคงไม่ช่วยอะไรขึ้นมา ผมลุกจากเตียงไปยังทิศทางของเสียงเคาะประตูนั้น ภาวนาให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงตลกร้ายของพี่สาวขี้แกล้งของผมเท่านั้น




แต่คนที่อยู่อีกฟากของประตูไม่เพียงแต่จะไม่ใช่คนแปลกหน้าอย่างที่ผมคิดไว้เท่านั้น คนคนนี้ยังเป็นคนที่ผมรู้จักดี




“สวัสดีครับ ผม คทา วงศ์พยัคฆ์ เทรนเนอร์ส่วนตัวจากบริษัทNewyouครับ…” พี่ต้าในชุดเสื้อยืดรัดรูปอวดกล้ามเนื้อที่ทำให้ผมกลืนน้ำลายเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมุมปากกระชากใจ “…โทษทีนะ นโยบายบริษัทให้พี่แนะนำตัวกับลูกค้าทุกคนใหม่น่ะ แต่พี่ว่ากับปราณเราคงไม่ต้องทำความรู้จักกันใหม่แล้วเนอะ?”




ผมได้แต่ยืนนิ่ง กล้ามเนื้อกล่องเสียงในลำคอเป็นอัมพาตเฉียบพลันขึ้นมา




พี่ต้ามองผ่านผมเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า แล้วหยิบกระเป๋าเดินทางใบเล็กขึ้นจากพื้น




“งั้น…เรามาเริ่มกันเลยมั้ยครับ?”



ใครก็ได้บอกผมทีว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่?!!!







“…”



“…”



“…ทำหน้าแบบนี้ นี่คงไม่ใช่ความคิดของปราณหรอกใช่มั้ย?”



พี่ต้าเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ตอนนี้พวกผมนั่งอยู่ในส่วนนั่งเล่นของห้องผม หลังจากเริ่มหายจากอาการช็อก ตอนนี้ร่างกายของผมเริ่มยุกยิกอยู่ไม่สุขจากบรรยากาศแสนน่าอึดอัด



ผมจินตนาการถึงเหตุการณ์ร้อยแปดพันอย่างที่พี่ต้าจะมาปรากฏตัวในห้องของผม แต่สิ่งนี้ไม่เคยเป็นหนึ่งในนั้น



“พี่สาวผมซื้อคอร์สให้เป็นของขวัญวันเกิดน่ะครับ” ผมตอบเสียงเบา ก้มหน้าลงมองตักของตัวเอง ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายใน
ตอนนี้



แค่นี้ผมก็อายจนแทบไม่รู้จะเอาหน้าไว้ไหนแล้ว



“เป็นพี่สาวที่น่ารักจังนะ” พี่ต้าตอบยิ้มๆ ก่อนจะหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมา “ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า…”



“ดะ…เดี๋ยวครับพี่ต้า! คือ…จะ…จะให้ผมพูด…” จะให้ผมบอกว่าคนที่ผมชอบเป็นใครเนี่ยนะ?ไม่มีทาง!



“ไม่ต้องบอกชื่อก็ได้ แค่อธิบายลักษณะ ข้อมูลอะไรก็ได้ที่ปราณรู้ เขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร เดี๋ยวพี่จะคำนวณต่อเอง” พี่ต้าจดอะไรบางอย่างลงในสมุด ดวงตาคมเหลือบมองผมพร้อมรอยยิ้มให้กำลังใจ “ไม่ต้องห่วง…พี่จะเก็บมันไว้เป็นความลับระหว่างเราสองคน พี่สัญญา”



ยิ้มแบบนี้ฆ่าผมเลยดีกว่าครับพี่



“เขา…เป็นรุ่นพี่ของผม…” ผมเหลือบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอย่างหวั่นใจ แต่พี่ต้าเพียงแค่กัมลงจดคำพูดของผมลงในสมุดด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกถึงความรู้สึก “...เขาเป็นคนชอบเล่นกีฬา ชอบออกกำลัง ชอบทำงานเพื่อสังคม...แล้วก็เป็นคนใจดีมากๆ เหมือนพี่ชาย...”



“พี่ชาย?”



มือที่เขียนอยู่ชะงักกึก ผมที่เพิ่งรู้ว่าเผลอหลุดอะไรออกมายกมือขึ้นปิดปากตัวเองพร้อมเบิกตากว้าง จนคนที่ชะงักไปรีบพูดแก้ตัวพัลวัน




“พี่ไม่ได้... ขอโทษนะ พี่แค่ตกใจ...อย่าถือสาพี่เลยนะ”



“พี่ต้า...ไม่รังเกียจเหรอครับ?”แม้จะประหลาดใจ แต่ผมก็อดถามออกมาไม่ได้




“…ก็ไม่นะ”พี่ต้าตอบแค่นั้น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพร้อมรอยยิ้มสดใสด้วยคำถามต่อไป “แล้ว...พอจะรู้อย่างอื่นมั้ย? ของที่เขาชอบ หนัง?แนวเพลง?หนังสือ?”



“ก็คงพวกหนังแอคชั่น เพลงสากลอะไรพวกนี้ล่ะมั้งครับ” ผมตอบอย่างไม่แน่ใจ พี่ต้าเป็นนิยามของคำว่า ‘อะไรก็ได้’จริงๆ เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกัน พี่เจษฎ์มักจะเป็นฝ่ายลากพี่ต้ากับพี่นทีไปไหนต่อไหน จนผมอนุมานเอาเองว่านั่นเป็นสิ่งที่พี่เขาชอบ ไม่อย่างนั้นใครจะยอมโดนเพื่อนลากตะลอนๆไปทุกที่แบบนั้น



“นอกจากนั้นมีอะไรอีกมั้ยครับ? กิจกรรมยามว่าง? ชมรม?”



พี่ต้าคงเห็นท่าทีที่หวาดระแวงขึ้นของผม อีกฝ่ายถึงได้ส่งรอยยิ้มเทพบุตรที่เจ้าตัวคงรู้ว่ามีดาเมจรุนแรงกับคนมองให้ ราวกับจะให้สัญญาอีกครั้งว่าบทสนทนาในครั้งนี้ ‘จะเป็นความลับของพวกเราสองคน’



ไม่ได้รู้เลยว่าคนที่ผมไม่อยากให้รู้ก็คือพี่ต้านั่นแหละ




“ก็…ชมรมค่ายอาสา...”



ผมตัดสินใจเลือกชมรมที่มีจำนวนสมาชิกเยอะที่สุดด้วยหวังจะให้ผู้ต้องสงสัยในหัวของคนตรงหน้าเพิ่มขึ้น แต่ผิดคาด เมื่อดวงตาสีน้ำตาลเข้มของพี่ต้าฉายแววเข้าใจอย่างชัดเจน




ก่อนที่ผมจะได้มีโอกาสแก้ตัวอะไร อีกฝ่ายก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อน



“ไม่ต้องห่วง พี่ไม่บอกไอ้เจษฎ์หรอก”



ชื่อของคนที่ไม่คิดว่าจะเข้ามาในบทสนทนาทำให้ผมนิ่งไปอย่างงุนงง แต่พี่ต้ากลับถือเอาความเงียบนั้นเป็นการยอมรับเสียอย่างนั้น



“เอ่อ...พี่ต้า...”



“มาดูกิจกรรมในคอร์สกันดีกว่าเนอะ ปราณจะได้รู้ว่ามีโปรแกรมอะไรบ้าง”



พี่ต้าเอ่ยขัดพร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟา แม้จะอยากแก้ไขความเข้าใจผิด แต่อีกส่วนในสมองของผมกลับสั่งให้ผมหุบปาก ให้ความเข้าใจผิดนี้เบี่ยงเบนความสนใจของพี่ต้าจากคนที่อยู่ในใจของผมจริงๆ




 “แต่ก่อนอื่น...” พี่ต้าหันกลับมาพร้อมสายวัดในมือ เอ่ยพร้อมรอยยิ้มมุมปากติดลักยิ้มเล็กๆ “ปราณครับ ถอดเสื้อออกให้พี่ดูหน่อยสิ”




พี่ต้าครับ อย่าใช้คำพูดแบบนั้นกับลูกค้าจะได้มั้ยครับ?!!










ผมไม่ใช่คนตื่นยาก



โอเค ผมอาจจะไม่ใช่คนกระปรี้กระเปร่าตื่นมารับอรุณแข่งกับดวงอาทิตย์ แต่ผมก็ไม่ถึงขั้นต้องถูกถีบตกเตียงถึงจะโงหัวขึ้นมาทุกเช้า



ดังนั้น การที่ผมจะไม่ตื่นจากเสียงนาฬิกาปลุกที่แผดไปทั่วห้องเป็นสิ่งที่หาได้ยาก แต่ที่หาได้ยากยิ่งกว่า คือเสียงทุ้มที่กระซิบอยู่ข้างหูแทนเสียงนาฬิกาปลุกที่ผมคุ้นเคย ซึ่งสร้างพลังทำลายล้างได้มากกว่ากันหลายเท่าตัว



“เช้าแล้วครับปราณ”


“เฮ้ย!!”


เสียงทุ้มต่ำและลมร้อนที่เป่าข้างหูทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที



และที่ทำให้ผมสะดุ้งยิ่งไปกว่านั้นคือใบหน้าของเทรนเนอร์ส่วนตัวที่เรียกได้ว่าอีกนิดเดียวก็แทบจะแนบชิดสนิทกับหน้าของผมแล้ว



“ขอโทษนะครับ พี่ทำปราณตกใจเหรอ?”



เห็นตาเศร้าๆกับสีหน้าเป็นกังวลแบบนี้ ต่อให้ไม่ใช่ผมก็ไม่มีใครกล้าดุหรอกครับพี่ต้า



“ปะ…เปล่าครับ ผมแค่ไม่ชิน แหะๆ”



ผมหัวเราะแห้งๆ ยิ้มแก้แก้ออย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ พี่ต้าดูมีสีหน้าดีขึ้น ลุกขึ้นจากเตียงของผมพร้อมรอยยิ้มละมุนตา
“ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนชุดดีกว่าเนอะ ไปวอร์มร่างกายกันดีกว่า”



ในตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตว่าพี่ต้าใส่ชุดออกกำลังกายแขนยาวขายาวสีดำที่มีโลโก้ #Newyou อยู่ เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานถาโถมเข้ามาในสมอง เหมือนจะย้ำเตือนให้ผมรู้ว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป



ว่าแต่...ตอนนี้กี่โมงแล้วเนี่ย?


นาฬิกาดิจิตัลที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงของผมบอกเวลาตีห้าครึ่ง เร็วกว่าเวลาตื่นปกติของผมไปชั่วโมงกว่าๆ มิน่าล่ะผมถึงรู้สึก
อยากจะคลานกลับไปนอนมากขนาดนี้



“ออกไป...ตอนนี้เลยเหรอครับ?”


“อื้อ ออกกำลังกายตอนเช้ามืดแบบนี้อากาศกำลังดี”พี่ต้าตอบ ขยับตัวเล็กน้อยเผยให้เห็นชุดออกกำลังกายไซส์พอดีกับตัผมที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า



นี่ผมไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้เหรอครับถึงได้ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้








“แฮ่ก...”



“เก่งมากเลยปราณ ถ้าไม่บอกไม่รู้นะเนี่ยว่าเพิ่งเคยออกกำลังกายครั้งแรก”



เทรนเนอร์ประจำตัวตบไหล่ผมที่ยืนจับเข่าหอบหายใจอย่างรุนแรงหลังจากเดินเร็วรอบสวนสาธารณะใกล้คอนโดที่ผมอยู่ไปไม่ถึงสองรอบดีพร้อมชมให้กำลังใจอย่างที่ทำมาตลอดทาง ไม่ว่าผมจะเดินช้าแค่ไหนหรือโอดโอยสักกี่ครั้ง พี่ต้าก็ไม่เคยดุด่าผม ต่อให้ผมบอกว่าไม่ไหวแล้ว สิ่งที่พี่ต้าทำคือการเอื้อมมือมาจับมือผมไว้แล้วพาผมเดินต่อไปเรื่อยๆโดยไม่คิดรำคาญ
ส่วนผม...ต่อให้ฟินแค่ไหนสภาพปอดที่ขาดอากาศในตอนนี้ก็ดูจะเป็นเรื่องใหญ่กว่ามาก



“พี่..ผม...”



“เช้านี้พอก่อนเนอะ ไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า เดี๋ยวพี่ทำอาหารเช้าให้”



พี่ต้าเอ่ยขัดยิ้มๆเหมือนจะรู้ว่าผมจะพูดว่าอะไร มือใหญ่ดึงมือผมไปกุมไว้หลวมๆอีกครั้งก่อนจะดึงเบาๆให้ผมเดินตาม คงจะกลัวผมเป็นลมล้มพับไปถ้าไม่จับไว้



หลังจากมาถึงห้อง พี่ต้าก็ไล่ผมไปอาบน้ำ ส่วนตัวเองก็ผลุบหายเข้าไปในครัวก่อนผมจะได้ทักท้วงอะไร ผมเปิดประตูห้องน้ำของตัวเอง ก่อนจะชะงักไปกับภาพแปลกตาตรงหน้า



ที่อ่างล้างหน้ามีแก้วใส่แปรงสีฟันเซรามิกรูปลูกหมูที่หม่าม้าผมซื้อให้วางตั้งอยู่ ในนั้นมีแปรงสีฟันสีชมพูของผมใส่ไว้เหมือนทุกวัน แต่ที่แปลกตาไปคือแปรงสีฟันสีเขียวเข้มที่เสียบไว้คู่กัน และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่ของตัวเองจัดวางอย่างเป็นระเบียบเพื่อให้กินพื้นที่เคาท์เตอร์น้อยที่สุด



ที่ราวแขวนผ้าเช็ดตัวมีผ้าขนหนูสีชมพูที่แน่นอนว่าหม่าม้าผมเป็นคนซื้อแขวนไว้คู่กับผ้าขนหนูสีเขียวเข้มคุมโทน หากเป็นคนนอกเข้ามาเห็นคงคิดว่านี่เป็นห้องน้ำของคู่รักที่ชอบใช้ของคู่....



บ้าสิ! คนรักอะไรวะ ชาวบ้านมาเห็นแบบนี้ก็ต้องคิดถึงเรื่องรูมเมทก่อนสิ!



ผมส่ายหัวกับความมโนของตัวเอง เมื่อคืนพี่ต้าถามผมแล้วว่าผมสะดวกจะให้เขาอยู่ที่นี่ด้วยมั้ย ถึงแม้นโยบายของบริษัทจะแจ้งลูกค้าไว้ก่อนเพื่อให้ลูกค้าจัดเตรียมสถานที่ล่วงหน้าไว้ แต่ในกรณีของผมนั้นเป็นกรณีพิเศษ พี่ต้าเลยอยากเอาความต้องการของผมเป็นหลัก



แน่นอน...เหตุผลที่ผมให้ในการยอมให้พี่ต้านอนในห้องนอนเล็กที่ผมใช้เป็นห้องเก็บของแทนที่จะให้อีกฝ่ายมาทำงานแบบไปกลับ คือการอ้างว่ากลัวพี่ต้าจะถูกทางบริษัทเพ่งเล็งที่ไม่ทำตามกฎ



แต่ในใจลึกๆ ผมรู้ว่าเหตุผลของผมเห็นแก่ตัวกว่านั้นมาก


“ปราณ อาหารเช้าเสร็จแล้วนะ”



เสียงของพี่ต้าที่ดังขึ้นหน้าประตูห้องทำเอาผมสะดุ้ง


“ครับ! แป๊บนึงนะครับ”



ผมสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่าน เริ่มถอดเสื้อผ้าแล้วเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันโดยพยายามไม่สนใจความเปลี่ยนแปลงภายในห้องน้ำที่บ่งบอกว่าตอนนี้มีใครอีกคนใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้กับผม


---------

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 1 : สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ [6-06-19]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 06-06-2019 13:00:37
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 1 : สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ [6-06-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 06-06-2019 21:38:43
สงสารต้า โดนน้องแอบส่องทุกวันแน่เลย
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 1 : สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ [6-06-19]
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 08-06-2019 10:08:47
Day 2: Clean Food, Good Life

“พี่ต้า...จริงๆไม่ต้องมาส่งผมก็ได้นะครับ”



ผมเอ่ยอย่างเกรงใจ เห็นอย่างนี้ผมก็เป็นเด็กอักษรฯนะครับ เอกภาษาญี่ปุ่นโทวรรณคดีอังกฤษ เรียกได้ว่ามาสายภาษาจัดจนกลับลำไม่ได้แล้ว ซึ่งตึกที่ผมเรียนอยู่ห่างจากตึกคณะวิทยาศาตร์ของพี่ต้าชนิดที่เรียกได้ว่าอยู่คนละฟากของมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว การที่อีกฝ่ายยอมเสียสละเวลาขับรถออ้อมมาส่งผมในเวลาที่ควรเอาไปแย่งที่จอดรถอันมีอยู่น้อยนิดในมหาวิทยาลัยยิ่งทำให้ต่อมเกรงใจของผมทำงานหนักขึ้น



“ไม่เป็นไรครับ พี่เต็มใจ” มาแล้วครับ รอยยิ้มอบอุ่นละมุนละไมดาเมจหัวใจคนมองไปอีกดอก



“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายแล้วเปิดประตูรถออก แต่พี่ต้ารั้งข้อมือของผมไว้ก่อน



ด้วยความที่ผมเป็น ‘น้องรัก’ของพี่เจษฏ์ทำให้พี่ต้าพลอยเอ็นดูผมไปด้วย เรื่องการแตะนู่นจับนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับพวกผม...แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าในช่วงเวลาสองวันนี้มันถึงได้มากขึ้นผิดปกติก็ไม่รู้



“ปราณ ตอนเที่ยงเดี๋ยวพี่มาหานะ” พี่ต้าพูดด้วยน้ำเสียงที่แม้จะไม่ใช่คำสั่งแต่ก็ไม่ใช่ประโยคคำถาม “ไปกินข้าวกัน”


แม้จะรู้ว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมลดน้ำหนัก แต่คำพูดคำจาของอีกฝ่ายก็ทำให้คนขี้มโนอย่างผมมีอะไรให้เก็บไปเพ้อได้หลายวันแล้ว









“ร่าเริงเชียวนะมึง ไปทำอะไรมาเนี่ย?”



ผมยังไม่ทันจะได้หย่อนก้นติดเก้าอี้ ไอ้เต้ เพื่อนสมัยมัธยมปลายที่สอบติดคณะเทคนิคการแพทย์มอเดียวกับผมก็ทักขึ้นมาเสียงดัง ดีที่คนยังไม่เยอะมากและห้องเรียนนี้เป็นห้องบรรยายรวมหลายคณะ จึงไม่ค่อยมีใครสนใจมันเท่าไหร่



“เรื่องของกูมั้ยเต้” ผมตอบอย่างขอไปที ไม่คิดจะเล่าความจริงให้คนปากมากอย่างมันฟัง



“โห่ แค่นี้ก็ไม่บอก เพื่อนกันปะวะ” ไอ้เพื่อนหน้าตี๋แกล้งทำเป็นน้อยใจ แน่นอนว่าคนอย่างผมไม่คิดจะง้อไอ้เด็กโข่งข้างๆอยู่แล้ว เดี๋ยวผ่านไปซักพักพอมีอะไรใหม่ให้มันสนใจมันก็หายงอนผมไปเอง



ครืดดดด



“ฮัลโหล ครับๆพี่มุก เลี้ยงสายเที่ยงเหรอครับ? ว่างครับว่าง!บ่ายผมไม่มีเรียน”


นั่นไง พูดทันขาดคำซะเมื่อไหร่



“…โห ไปไกลขนาดนั้นจะไปยังไงเหรอครับ? รถพี่ภีม?...อ๋อๆ รถเพื่อนพี่ภีม คร้าบบบ เจอกันครับ”



หลังจากวางสายไอ้คนได้แดกของฟรีก็แฮปปี้ดี๊ด๊าไม่มากวนใจผมอีกจนจบคาบเรียน ผมเดินลงมาจากตึกโดยมีไอ้คนอารมณ์ดีติดสอยห้อยตามมา ถึงจะพยายามเร่งฝีเท้าหนีมันแค่ไหนไอ้เต้ก็ยังเกาะหนึบเหมือนเจ้ากรรมนายเวรมาขอส่วนบุญ ผมจึงได้แต่หวังว่าพี่ต้าจะมาถึงหลังใครก็ตามที่จะมารับมันไปเลี้ยงสาย เพราะถ้ามีรถหรูปริศนามารับผมถึงหน้าตึกเรียนผมคงได้ถูกมันซักฟอกไปอีกหลายวัน



“พี่ภีม!!”



ไอ้เต้พุ่งตัวนำหน้าผมทันทีที่เห็นรุ่นพี่คนหนึ่งก้าวออกมาจากฝั่งข้างคนขับของรถสี่ประตูสีขาวคันหรูราคาหลายสิบล้านที่ทำเอารถของพี่ต้าดูเป็นรถของเล่นไป รุ่นพี่ของไอ้เต้เป็นผู้ชายร่างสูงโปร่ง ผิวสีน้ำผึ้งตัดกับชุดนักศึกษาสีขาวสะอาด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูเป็นคนใจดี อาจเป็นเพราะดวงตาสีเข้มดูหวานจากแพขนตางอนที่ไม่ควรเป็นของผู้ชายของอีกฝ่าย



“อุ่ก...พอแล้วเต้...พี่เจ็บ”


 พี่ที่ชื่อพี่ภีมนิ่วหน้าเมื่อโดนลูกลิงตัวไม่เล็กนักกระโดดกอดจนเซวูบ แต่ไอ้เต้ไม่คิดจะสนใจ กอดพี่สายรหัสของตนโยกซ้ายขวาด้วยสีหน้าทะลึ่งทะเล้น จนกระทั่งร่างสูงที่ก้าวออกมาจากรถคันนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งคู่



แค่สายตาของผู้มาใหม่ก็มากพอจะทำให้ไอ้เต้ผละออกจากพี่ภีมราวกับถูกไฟช็อต คนคนนี้เป็นคนที่เรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ที่
สูงที่สุดที่ผมเคยเห็น ชนิดที่ว่าพี่เจษฐ์ที่สูงแล้วยังต้องเงยหน้ามอง รูปร่างสันทัดอกผายไหล่กว้างตามประสาคนมีกล้ามเนื้อไม่สามารถถูกซุกซ่อนได้โดยเสื้อนักศึกษา ใบหน้าคมหล่อเหลาตามประสาชายไทยรับกับทรงผมตัดสั้นจัดทรงเป็นระเบียบที่ทำให้อีกฝ่ายดูมีกลิ่นอายของความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนรอบข้าง



“ภีม ไปนั่งในรถเถอะ ไม่ค่อยสบายนี่”



“ผมไม่เป็นไรครับคุณคิน” พี่ภีมตอบอ้อมแอ้ม ก้มมองพื้นเหมือนไม่กล้าสบตากับคนที่ขับรถมาให้



“อย่าดื้อสิ น้องครับ ไปนั่งข้างหลังเลย”



ประโยคหลังหันไปพูดกับไอ้เต้ที่รีบทำตามอย่างไม่อิดออด แล้วดึงแขนคนข้างๆเบาๆให้เดินตามกลับไปประจำตำแหน่งตุ๊กตาหน้ารถของตัวเอง



“อ้าว พี่คิน?”



เสียงหวานที่คุ้นเคยทำให้ผมหันขวับไปหาพี่นทีที่มายืนอยู่ข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้



“รู้จักกันด้วยเหรอครับ?”



“อื้อ พี่ชายพี่เอง”



พี่นทีพยักหน้าหงึกหงัก การที่หนุ่มตี๋ผิวขาวออร่าจับตัวบอบบางหน้าตาจิ้มลิ้มตาหวานเยิ้มปากรูปกระจับบอกว่าคุณชายแบดบอยควายถึกเมื่อครู่เป็นพี่ชายทำให้ผมเอ๋อไปชั่วขณะ ส่วนคนที่ได้ชื่อว่าพี่ชายหันกลับมาตามเสียงของน้องชายตัวเองพร้อมรอยยิ้มกว้าง



“พี่นึกว่าทีจะเลิกช้ากว่านี้ซะอีก”



“อาจารย์ ปล่อยเร็วน่ะครับ แล้วนี่พี่คินมาทำอะไรแถวนี้เหรอครับ?” พี่นทีเอียงคอถามด้วยสีหน้าน่ารักน่าเอ็นดู ให้ตายเถอะ ผมต้องทำยังไงถึงจะน่ารักได้แบบนี้นะ




“อ๋อ มารับหลานรหัสภีมไปเลี้ยงสายน่ะ เห็นเขาไม่มีรถกัน”



ทำไมพี่น้องบ้านคนรวยถึงพูดจาได้ดอกพิกุลทองขนาดนี้ ขนาดผมที่ไม่ค่อยได้พูดคำหยาบใส่อาเจ้ที่เคารพรักยังรู้สึกว่าตัวเองดูไร้มารยาทไปเลยเมื่อเทียบกับสองคนนี้ แต่ถึงจะดูเรียบร้อยแต่ผมยังคงเห็นได้จากแววตาว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องที่รักกันดี ไม่ใช่พวกใส่หน้ากากเข้าหากันเหมือนในละครหลังข่าวแนวนั้น




“อ๊ะ จริงสิครับ คุณแม่ฝากถามว่าอยากขอแรงพี่ภีมไปช่วยเตรียมงานช่วงเย็นวันศุกร์ได้มั้ย แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะครับ”



พี่นทีหันไปพูดกับชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งที่ยืนนิ่งตัวเกร็งอยู่ข้างๆพี่ชายของตัวเอง



“ได้ครับคุณหนู...”



“ที่มหาลัยไม่ต้องเรียกผมแบบนั้นก็ได้ครับ”



แม้จะยังคงไว้ซึ่งความสุภาพเรียบร้อยที่เป็นแก่นแท้ของนิสัยแต่หางเสียงของพี่นทียังคงตวัดอย่างไม่พอใจ พี่เขาเกลียดการถูกปฎิบัติด้วยเหมือนตนเป็นลูกคุณหนูมากที่สุด แต่ไม่รู้ทำไมพอไอ้พี่เจษฏ์ล้อ พี่นทีกลับไม่ถือสาสักครั้ง



“น่าๆ อย่าดุภีมเลย เขาก็เป็นของเขาแบบนี้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่กับภีมจะกลับไปช่วยเตรียมงานนะ วันเกิดทีทั้งทีพี่กลับบ้านอยู่แล้ว ไปกันเถอะภีม น้องรอนานแล้ว”




คุณพี่ชายรูปหล่อรีบแก้ไขสถานการณ์ ดึงให้คนข้างตัวกลับไปที่รถของตน ผมได้แต่ยืนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น



“พี่ที คนที่มากับพี่ชายพี่ทีนี่คือ...”



“อ๋อ ลูกชายของแม่บ้านที่บ้านพี่น่ะ เขาเป็นคนดูแลพี่คิน เลยตัวติดกันแบบนี้” พี่นทีไหวไหล่ “แต่พี่ว่านะ พี่คินมากกว่าล่ะมั้งที่ดูแลเขา เห็นขับรถไปรับไปส่งกันแบบนี้มาตั้งแต่พี่เขาขับรถได้แล้ว”



น่าแปลก...ทั้งที่พี่นทีเป็นคนอ่านคนได้เก่ง สังเกตท่าทีของคนได้ดี แต่ทำไมถึงไม่ได้สัญญาณแปลกๆจากสองคนนั้นอย่างที่ผมได้กันนะ



“ไอ้ที! แดกไรดี กูหิววววว....อ้าว ไอ้อ้วน”



เสียงพี่เจษฎ์ดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ล็อคคอเพื่อนรักตัวบางไว้อย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะเห็นว่ามีเจ้าหมูน้อยตัวหนึ่งยืนอยู่ข้างๆกัน



“ระวังพี่ทีขาดอากาศตายนะพี่” ผมเตือนด้วยความหวังดี แม้ว่าพี่ทีจะดูไม่ถือสาคนมือหนักก็ตาม



“ไปกินข้าวกัน เดี๋ยวกูให้ไอ้ทีเลี้ยง”



“โห ถามเขามั้ยน่ะ” ผมกลอกตากับความคิดเองเออเองของพี่เจษฐ์ ส่วนคนโดนทักเพียงแค่หันไปเลิกคิ้วให้คนที่ตัวเองกอดคออยู่




“เงินของเมียจ๋าก็คือเงินของผัวจ๋า ใช่มั้ยจ๊ะ”



“อื้อ” คำตอบยอดฮิตของพี่นทียังคงเป็นอมตะต้านกระแสของกาลเวลา ผมกำลังจะเอ่ยปฏิเสธอีกครั้งเมื่อรถของคนที่เป็นสาเหตุให้ผมไปกินข้าวกับคนทั้งสองไม่ได้เข้ามาจอดเทียบแทนรถหรูของพี่ชายพี่นทีที่เพิ่งขับออกไป



“อ้าว รถไอ้ต้านี่”



พี่เจษฎ์ผละจากพี่นทีไปหาเพื่อนอีกคนที่กดกระจกลงเผยให้เห็นชายหนุ่มภายใน พี่ต้ายิ้มให้รูมเมท แต่สายตาเหลือบมองมาที่ผมพร้อมกับเลิกคิ้วราวกับจะถามว่านี่มันเรื่องอะไรกัน



…ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ



“มารับสาวที่ไหนวะต้า กล้ามากนะมาถึงถิ่นน้องกูแบบนี้”



พี่เจษฎ์เท้าแขนกับขอบหน้าต่างรถของรูมเมท สายตาของพี่ต้ายังคงไม่ละไปจากผมขณะที่คุยกับพี่เจษฎ์



“มารับน้องปราณไปกินข้าว”



ตะ..ตอบง่ายๆแบบนี้จะดีเหรอครับ?!



พี่เจษฎ์ผงะไปเล็กน้อยกับคำตอบที่ไม่คาดคิด ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างออกมาพร้อมแววตาเป็นประกายระยับ



“ฮั่นแน่ เดี๋ยวนี้มีกินข้งกินข้าวกัน มันยังไงครับเนี่ยไอ้คุณเพื่อน”



“กูต้องรายงานมึงด้วย?” พี่ต้าเลิกคิ้ว ผมเคยเห็นมุมกวนๆของพี่ต้าอยู่บ้างแม้จะไม่บ่อยนัก แต่เห็นทีไรใจก็ไม่สงบสักทีเลยให้ตายสิ



“อ้าว ได้ไงวะ แม่ปราณเขาฝากฝังกูมาให้ดูแลลูกเขา ใครจะไปมาหาสู่น้องกูก็ต้องรู้สิวะ” พี่เจษฎ์ยังคงโวยวายทีเล่นทีจริง ผมกำลังจะบอกให้ไอ้พี่ชายกิตติมศักดิ์เลิกแกล้งพี่ต้าตอนที่คนในรถเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง



“งั้นฝากไปบอกคุณแม่ด้วยว่ากูจีบน้องปราณอยู่ ต่อจากนี้เดี๋ยวกูดูแลน้องให้เอง ไม่กวนมึงแล้ว”



ผมคงจะขำกับสีหน้าเหวอๆของพี่เจษฎ์หากผมไม่มัวแต่อ้าปากค้างอย่างตกใจกับสิ่งที่ออกมาจากปากของพี่ต้า คนพูดใช้โอกาสที่พี่เจษฎ์กำลังตกใจกับสิ่งที่ได้ยินกวักมือเรียกผม ส่วนตัวผมนั้นสมองลัดวงจรไปเรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีเวลาคิดอะไรนอกจากทำตามคำสั่งของพี่ต้าแล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างพี่เขาทั้งที่ยังอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น



“ขอโทษนะที่ต้องพูดแบบนั้นออกไป” คนขับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววกังวล“ปราณโกรธพี่มั้ยครับ?”



ให้ตายเถอะ...หัวใจผมจะทนอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ไปได้ถึงสามสิบวันจริงๆเหรอครับ


“มะ…ไม่โกรธครับ” ดีมากไอ้ปราณ ถ้าเสียงมึงจะแผ่นซีดีตกร่องขนาดนี้มึงไม่เขียนใส่กระดาษแปะบนหน้าผากไปเลยล่ะว่ามึงหวั่นไหว “แต่...ทำไม...”



“พี่แค่คิดว่าถ้าอ้างแบบนั้นไป พี่จะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างทุกครั้งที่อยู่กับปราณ” พี่ต้าเอื้อมมือมากุมมือที่วางอยู่บนตักของผม


“ไม่ต้องห่วง พอครบสามสิบวัน พี่จะบอกไอ้เจษฎ์ว่าพี่จีบไม่ติด มันไม่ใช่คนติดใจเรื่องอะไรแบบนี้หรอก”



พี่ต้า มือครับพี่ มือๆๆๆๆ



แต่ถึงผมจะส่งกระแสจิตให้แค่ไหน มือของพี่ต้ายังคงอยู่ที่เดิม หากจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง คงจะเป็นแรงบีบที่กระชับแน่นขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป








“ร้านอาหารสวยดีนะครับ”




ผมมองไปรอบๆร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ตัวร้านถูกตกแต่งด้วยสีขาวตัดกับต้นไม้สีเขียวสดที่ปลูกไว้ทั้งข้างนอกและในตัวร้าน ข้างโต๊ะที่ผมนั่งมีลำธารจำลองเล็กๆที่เชื่อมต่อกับกำแพงน้ำตกด้านนอกร้าน มีปลาตัวเล็กสีสันสวยงามว่ายผ่านพอให้เพลินตา ไม่ยักรู้ว่าแถวนี้มีร้านสวยๆแบบนี้ด้วย




“ร้านญาติพี่เอง เป็นร้านอาหารคลีน สูตรอาหารของที่นี่เป็นสูตรที่บริษัทคิดค้นขึ้นมาสำหรับโปรแกรมนี้ อยากกินอะไรก็สั่งได้เลยนะ”




“ครอบครัวพี่ต้านี่ทำธุรกิจนี้กันหมดเลยรึเปล่าครับเนี่ย?” ผมอดถามไม่ได้ พี่ต้าอมยิ้มขำ



“อือ พ่อแม่พี่เป็นคนแนะนำให้พี่ทำน่ะ”



“อ๋อ…”



ผมก้มลงดูดน้ำเปล่าจากหลอดด้วยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ตามปกติแล้วช่วงเวลาที่ผมกับพี่ต้าได้พูดคุยกันจริงๆไม่เคยเกินสามถึงสี่นาทีสักครั้ง ผมจึงไม่เคยประสบปัญหาในการหาหัวข้อสนทนาอย่างวันนี้



อาหารที่พี่ต้าทำให้ผมกินในตอนเช้าและอาหารที่นี่มีความคล้ายคลึงในเรื่องของรสชาติอยู่มาก ถึงแม้จะไม่ได้มีรสชาติเหมือนอาหารที่ผมกินประจำ แต่ก็นับว่าอร่อยมากสำหรับอาหารปรุงรสน้อยที่แทบไม่ได้รับการแตะต้องจากน้ำมัน



“ปราณ”



ผมเงยหน้าขึ้นจากจานเสต็กปลาย่างที่ผมกำลังซัดอย่างหิวโหย พี่ต้าถือโทรศัพท์รออยู่ก่อนแล้ว และเสียงแชะเบาๆจากมือถือรุ่นล่าสุดของสมาร์ทโฟนยี่ห้อดังนั้นทำให้ผมรีบเอื้อมมือไปคว้ามันจากมือของอีกฝ่าย เจ้าของมือถือชูโทรศัพท์ขึ้นเหนือศีรษะพร้อมรอยยิ้มมุมปาก



“พี่ต้า เอามาเลยนะ” ผมไม่ชอบถูกถ่ายรูป โดยเฉพาะรูปตอนที่ผมกำลังโซ้ยของกินเหมือนปอบลงแบบนี้ และการที่พี่ต้าเป็น
คนถ่ายภาพน่าอายแบบนั้นยิ่งทำให้ความต้องการในการลบรูปของผมเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า



“ไม่อ่ะ พี่จะเอาไปตั้งเป็นรูปโทรเข้า” พี่ต้าขยับหนีจากรัศมีการเอื้อมคว้า จิ้มนิ้วลงบนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองด้วยรอยยิ้ม
พึงพอใจ “น่ารักดีออก นี่เป็นรูปแรกของปราณในเครื่องพี่เลยนะ”



“ถ่ายดีๆก็ได้นี่ครับ” ผมว่าเสียงอ่อย พี่ต้าเลิกคิ้ว



“ถ้าปราณยอมพี่ง่ายๆแบบนั้นก็ดีสิ”



จริงอยู่ว่าผมมักจะอาสาเป็นคนถ่ายรูป หรือแอบขยับหลบเวลาถ่ายรูปรวมบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้ดื้อขนาดนั้นสักหน่อย…



ว่าแต่…ประโยคสองแง่สามง่ามเมื่อกี้มันอะไรกัน(วะ)ครับ?!



บางทีผมก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องคุยกับพี่เจษฎ์ให้ตักเตือนพฤติกรรมให้ความหวังเรี่ยราดของรูมเมท ไม่อย่างนั้นไม่ผมก็ใครได้ตบะแตกตีหัวลากพี่เขากลับห้องแน่ๆ



“พี่ไปห้องน้ำนะ”



ผมพยักหน้า หยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่สั่นครืดในกระเป๋ากางเกงแทบจะในทันทีที่พี่ต้าลุกไปออกมาดูข้อความ ก่อนะจรีบสไลด์เปิดแอพอ่านข้อความทั้งหมดทันทีที่เห็นว่าใครเป็นคนส่งมา



เมียเจษฎ์เองครับ: ไวไฟเหมือนกันนะเนี่ยเรา



อา…ผมคงจะต้องอธิบายก่อนสินะครับว่าพี่เจษฎ์เป็นคนตั้งชื่อนี้ในโทรศัพท์ของพี่นที และตามประสาคนไม่เคยขัดใจเพื่อน พี่นทีเลยไม่เคยคิดจะเปลี่ยน คนรอบข้างของสองคนนี้ก็แซวจนไม่มีเรื่องจะแซวแล้ว สุดท้ายทุกคนก็ชินกับชื่อใหม่ในแอพของพี่นทีไปเอง




ลมปราณ: พี่ที ช่วยผมด้วย



ผมกดส่งไปก่อนที่จะรู้ตัวเสียอีกว่าพิมพ์อะไรลงไป



ต่างจากพี่เจษฎ์ที่ผมหลุดปากสารภาพความรู้สึกของตัวเองต่อพี่ต้าให้ฟังตอนเมา พี่นทีเป็นคนเอ่ยปากถามผมตรงๆหลังเห็นท่าทีของผมเวลาอยู่ใกล้พี่ต้าไม่กี่ครั้ง หลังจากนั้นมา ผมก็มีพี่นทีเป็นคนรับฟังและที่ปรึกษาชั้นดีมาโดยตลอด




และนั่นทำให้ผมรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์โทรศัพท์อย่างบ้าคลั่ง ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงที่แสนยาวนานนี้เป็นตัวอักษรให้ได้มากที่สุดก่อนที่พี่ต้าจะกลับมาจากห้องน้ำ




แต่สิ่งที่พี่นทีตอบกลับมามีเพียง…



เมียเจษฎ์เองครับ: ก็ดีแล้วนี่ปราณ




ราวกับว่าคนที่อยู่อีกฟากของบทสนทนาสามารถเห็นสีหน้าสับสนของผมในตอนนี้ได้ ข้อความที่สองเด้งตามหลังข้อความแรกแทบจะในทันที




เมียเจษฎ์เองครับ: มีอีกหลายคนนะที่ยอมทุกอย่างเพื่อโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองชอบ ต่อให้ไม่ได้บอกความรู้สึกของตัวเองออกไป แค่ได้มีความทรงจำกับคนคนนั้นให้ย้อนกลับมาคิดถึง ก็น่าจะพอแล้วนี่ จริงมั้ย?



นั่นสินะ…



“คุยกับใครอยู่เหรอ?”




ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นของคนในห้วงความคิด มือถือในมือแบบหลุดลงไปทักทายพื้นโลกตามแรงโน้มถ่วง พี่ต้าเลิกคิ้วกับท่าทีลนลานของผม แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ



“ระ…เราไปกันดีกว่าครับ เดี๋ยวพี่ต้าจะเข้าเรียนสาย” ผมลุกขึ้นพร้อมเก็บมือถือใส่กระเป๋า พี่ต้ามองตามการกระทำของผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก




พวกเรากลับมาถึงมหาวิทยาลัยก่อนเวลาเข้าเรียนของพี่ต้าเพียงไม่กี่นาที แต่ดูเหมือนพี่เขาจะไม่ได้เดือดร้อนอะไร แถมยังแวะมาส่งผมที่หน้าตึกเรียนก่อนด้วย




“ปราณ…” พี่ต้ากดกระจกลงเรียกผมไว้ก่อนจะได้กลับเข้าไปในตัวอาคาร ผมหันกลับไปตามเสียงเรียก นี่ผมลืมอะไรไว้รึ
เปล่า… “คืนนี้เจอกันนะครับ”



เลิกพูดอะไรแบบนั้นด้วยลักยิ้มบุ๋มน่ารักแบบนั้นได้มั้ยครับ?!



ผมพยักหน้า ไม่ไว้ใจให้ตัวเองส่งเสียงอะไรออกไปทั้งนั้น พี่ต้าโบกมือให้ผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่รถจะเริ่มเคลื่อนตัวออกไป



“หวานกันจังนะ”



“ทีพี่นทีไปกับพี่เจษฎ์ทุกวันผมยังไม่เคยล้อเลยนะครับ”  ผมหันไปหาพี่รหัสของตัวเองที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างหลัง แอบนึกแปลกใจที่เห็นพี่นทีอยู่ตามลำพังแบบนี้




“เด็กที่คุยด้วยเรียกให้ไปหาน่ะ หายไปตั้งแต่กลับมาถึงมอแล้ว” พี่นทีเอ่ยพร้อมรอยยิ้มประจำตัว แต่ผมกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นส่งไปไม่ถึงดวงตาเรียวหวานของอีกฝ่าย ”จริงสิ อย่าลืมชวนต้าไปงานวันเกิดพี่ด้วยนะ เดี๋ยวจะให้ที่บ้านเตรียมอาหารคลีนไว้ให้”



“ไม่ต้องลำบากหรอกครับ”ผมรีบพูดอย่างเกรงใจ แม้จะรู้ว่าพี่นทีคงเตรียมการไว้เรียบร้อยหมดแล้วก็ตาม ปีนี้เป็นปีแรกที่ผม
ว่างไปงานวันเกิดของพี่ที ปกติแล้ววันเกิดของพี่เขามักจะไปตกช่วงปิดเทอมที่ผมไปต่างจังหวัดไม่ก็ไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัวเสมอ



พวกเรายืนคุยกันอยู่สักพักก่อนที่พี่นทีจะเอ่ยขอตัวไปเรียน ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา แต่สิ่งที่อยู่บนหน้าจอกลับเป็นข้อความจากเพื่อนที่บอกว่าอาจารย์ยกเลิกคลาสในช่วงบ่าย




ผมกำลังจะโบกแทกซี่กลับหอตอนที่โทรศัพท์ดัง



“ไอ้อ้วน อยู่ไหน ว่างป่ะ มาช่วยกูหน่อย”



แท็กซี่คันหนึ่งตีไฟจอดเทียบทางเท้าเมื่อเห็นมือของผมที่ยังยกค้าง ผมทำได้เพียงทอดถอนใจและเปลี่ยนจุดหมายปลายทางจากห้องของผมเป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกล




คนอย่างไอ้พี่เจษฎ์ต่อให้บอกว่าไม่ว่างก็คงไม่ฟังหรอก









“สรุปพี่โกหกพี่นทีว่าเด็กเรียกไปหาแล้วมาเดินตามหาของขวัญวันเกิดให้เขาเนี่ยนะ?”



ผมนึกอยากจะตบกระโหลกไอ้พี่บ้องตื้นของตัวเองจริงๆ ทีเรื่องอื่นล่ะตอแหลลื่นไหลนัก



“เออดิ ไม่งั้นก็ไม่เซอร์ไพร์สดิวะ” พี่เจษฎ์หันซ้ายแลขวาอย่างไร้จุดหมาย ผมที่มีของขวัญให้พี่นทีเตรียมไว้แล้วเพียงแค่เดินตามอีกฝ่ายต้อยๆอย่างไม่มีความเห็น



เห็นพี่เจษฎ์มันบ้าๆบอๆแบบนี้ แต่วันเกิดพี่นทีทุกปีเขาก็ตั้งใจหาของขวัญให้ตลอดนะครับ ต่อให้พี่เจษฎ์ไม่ได้คิดอะไรมากกว่าเพื่อนกับพี่นที และพี่นทีก็สงวนท่าทีจนผมไม่ค่อยมั่นใจว่าเขาชอบพี่เจษฎ์หรือแค่ติดพี่เจษฎ์มากกันแน่ แต่การกระทำที่ดูเหมือนคู่รักมากกว่าคู่รักวัยมหาวิทยาลัยที่ผมเคยเห็นทั่วไปก็เป็นสิ่งนึงที่ทำให้ผมมักจะอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องของสองคนนี้มันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ



“เฮ้ย อันนี้ไง กูจำได้ว่ามันชอบเปิดเพลงของนักร้องคนนี้ในรถบ่อยๆ”



พี่เจษฎ์ร้อง ชี้ไปที่ตำแหน่งบนสุดของชาร์ตในร้านขายดีวีดี ผมรู้จักนักร้องคนนี้ดี เจคอบ ฟรายส์ เป็นนักร้องดาวรุ่งที่กวาดรางวัลจากแทบทุกชาร์ตเพลงในเวลาเพียงสามปีที่เขาเข้าวงการ อาเจ้ผมนี่แหละเป็นหนึ่งในติ่งสาวรุ่นบุกเบิก เห็นว่าพระเอก
นิยายของเจ้แกก็มีอิทธิพลมาจากนักร้องคนนี้



ผมกำลังเดินเตร่ดูหนังออกใหม่ในร้านรอพี่เจษฎ์จ่ายเงินและห่อของขวัญเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นขึ้นมา



ครืดดด



คทา: ได้ยินว่าคลาสแคนเซิลเหรอ ให้พี่ไปรับมั้ยครับ



ทำไมข่าวไปถึงพี่ต้าไวขนาดนี้เนี่ย



ไม่สิ พี่ต้าไม่ได้มีเรียนอยู่ตอนนี้เหรอ



ลมปราณ:ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่กับพี่เจษฎ์ เดี๋ยวผมให้พี่เจษฎ์ไปส่ง




ผมพิมพ์ตอบกลับไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ข้อความสั้นๆที่พี่ต้าพิมพ์ตอบกลับมานั้นทำเอาโทรศัพท์ผมแทบหลุดมือ



คทา: เก่งมากเลยครับปราณ สู้ๆนะ



ผมลืมความเข้าใจผิดที่โคตรจะใหญ่หลวงนั้นไปได้ยังไงนะ



ช่างเถอะ ชื่อเสียงผมในสายตาพี่ต้าคงจะไม่ป่นปี้ไปมากกว่านี้แล้วล่ะ



“กูเอาอันนี้แหละ ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับมั้ย?”



พี่เจษฎ์กลับออกมาจากร้านพร้อมถุงกระดาษประทับตราของร้าน ผมส่ายหน้า ไม่กล้ากินอะไรนอกจากของในโปรแกรมที่พี่ต้าจัดให้



ถึงผมจะไม่ได้ต้องการคอร์สแปลงโฉมงี่เง่านี่ แต่ถ้ามันทำให้พี่ต้ามีผลงาน ผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียหายที่จะพยายามอย่างถึงที่สุด



“ฮั่นแน่ ไปกินข้าวกับไอ้ต้านี่อิ่มทิพย์ถึงเย็นเลยเหรอไอ้อ้วน”



พี่เจษฎ์แซว ผมกลอกตา ไม่ยอมตกหลุมพรางให้อีกฝ่ายล้วงข้อมูลไปง่ายๆ ถึงแม้จะต้องโดนล้อไปตลอดทางจนถึงหอนอก
โดยไม่สามารถเถียงได้สักคำก็ตาม



ผมเปิดประตูห้องของตัวเองด้วยความเคยชิน ลืมไปสนิทว่าห้องของผมในตอนนั้นเป็นที่พักอาศัยของอีกหนึ่งชีวิตที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำในกางเกงขาสั้นตัวบางเพียงชิ้นเดียว พี่ต้ายิ้มทักทายผมราวกับเรื่องทั้งหมดเป็นกิจวัตรกประจำวันที่อีกฝ่ายทำมาแรมปี




ผมคิดส่าพี่ต้าจะถามเรื่องพี่เจษฎ์ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นข้อมูลในการทำงานของตัวเอง แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมีเพียง



“พี่ทำอาหารเย็นไว้ให้แล้วนะ เปลี่ยนชุดมาออกกำลังซักหน่อยแล้วค่อยมาทานเนอะ”



ผมอยากจะถามเหลือเกินว่าถ้าคิดจะให้ผมออกกำลังแล้วทำไมถึงได้อาบน้ำตอนนี้ แต่กล้ามท้องเป็นลอนนั้นดึงดูดความสนใจของผมได้ดีจนไม่สามารถตั้งสติอยู่คำถามนั้นได้



บางทีผมก็คิดว่าการจ้างเทรนเนอร์หน้าตาดีก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้คอร์สลดน้ำหนักประสบผลสำเร็จ


--------------

มาช่วยน้องปราณลดน้ำหนักกานนนนน :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 2 : Clean Food, Good Life [08-06-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 08-06-2019 14:34:17
ปราณลู๊กกกกก
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 2 : Clean Food, Good Life [08-06-19]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-06-2019 20:06:49
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 2 : Clean Food, Good Life [08-06-19]
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 09-06-2019 15:57:43
Day 3 : ไดเอทวันเกิด




วันนี้เป็นวันเกิดของพี่นที


ถึงแม้พี่นทีจะเคยมาร่วมงานวันเกิดของผมหลายต่อหลายครั้ง แต่สำหรับวันเกิดของพี่นทีที่ตรงกับวันธรรมดาในเวลาเปิดเทอมทำให้ผมไม่เคยได้ไปเลยสักครั้ง จะมีก็แต่พี่เจษฎ์ที่เข้าออกบ้านของเพื่อนสนิทเหมือนบ้านตัวเองที่ไม่เคยพลาดวันเกิดของพี่นทีสักปี จนคนในบ้านหลังนั้นรับพี่แกเป็นลูกบุญธรรมเพิ่มไปอีกคนแล้ว


“พี่ต้าครับ ผมว่าชุดนี้มันออกจะ…”



ผมก้มลงมองเสื้อผ้าที่พี่ต้าเป็นคนเลือกให้อย่างประหม่า แน่นอนว่าเสื้อเชิ้ตคอปกแขนยาวสีครีมกับกางเกงขายาวเข้ารูปสีน้ำตาลเข้มตัวนี้ดูเข้ากับงานมากกว่าเสื้อยืดกางเกงบอลที่ผมใส่เป็นประจำ แต่ความไม่เคยชินยังคงทำให้ผมอดรู้สึกประหม่าไม่ได้



“น่ารักดีนี่ครับปราณ” รอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจในผลงานตัวเองของพี่ต้าทำให้ผมหุบปากฉับ ตัวคนพูดนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวคล้ายกับของผมแต่เป็นโทนสีน้ำเงิน ซึ่งพอเดินคู่กันแบบนี้ทำให้ผมอดคิดถึงเสื้อคู่ที่เห็นคู่รักชอบใส่กันไม่ได้
งานวันเกิดของพี่นทีทำให้ผมนึกถึงพวกงานเลี้ยงสังสรรค์หรืองานเลี้ยงรุ่นตามซีรีย์ต่างประเทศมากกว่า ลานสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ขนาดไกลสุดลูกหูลูกตาถูกตกแต่งเป็นซุ้มต่างๆด้วยฝีมือของออแกไนเซอร์มือออาชีพ มีซุ้มอาหารและทีมควบคุมแสงสีเสียงทำงานอยู่ตลอดเพื่อรักษาบรรยากาศสนุกสนานในงาน และคนที่มาร่วมงานก็ช่วยกระจายแสงสีด้วยอัญมณีเม็ดยักษ์ที่สะท้อนแสงเข้าตาทุกคนที่เดินผ่าน



“ต้า ปราณ ขอบใจมากนะที่มา เจษฎ์น่าจะอยู่ในซุ้มของกินแถวๆนี้แหละตามสบายเลยนะ”



เจ้าของวันเกิดอยู่ในชุดสูทสั่งตัดสีขาวครีมที่เน้นให้รูปร่างโปร่งบางดูสูงเพรียวน่าทะนุถนอม เรียกได้ว่าทำให้คนมองน้ำลายหกกันเป็นแถว



“สุขสันต์วันเกิดนะครับพี่ที”



ผมคุยกับพี่นทีได้ไม่กี่ประโยค เจ้าของวันเกิดก็โดนแขกที่มาร่วมงานดึงตัวไป น่าสงสาร งานวันเกิดตัวเองแท้ๆยังไม่ได้พักเลย



“ไปหาเจษฎ์กันมั้ย?” พี่ต้าเสนอ ผมรู้ว่าตัวเองควรเล่นตามบทบาทที่อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ในตอนนี้ผมยังไม่อยากให้เวลาที่ได้อยู่กับพี่ต้าต้องหมดไปกับการตามหาพี่เจษฎ์



“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวก็เจอกัน”



ผมกับพี่ต้าเดินสำรวจหาของกินตามซุ้มต่างๆ ไม่สิ คงต้องเรียกว่าพี่ต้าเดินตักอาหารให้ผมอย่างขมักเขม้นคงจะถูกกว่า ผมได้แต่มองตามขาหมูเยอรมันกับมันบดราดซอสเกรวี่น้ำลายสอ แต่รู้ชะตากรรมของตัวเองดีเมื่อเห็นเนื้อปลาลวกจิ้มที่วางอยู่ไม่ห่างกัน



พี่ต้าคงจะเห็นสายตาเหมือนลูกหมาโดนเตะของผมถึงได้หลุดขำออกมาเล็กน้อย ก่อนจะยื่นจานพลาสติกใส่อาหารคัดสรรมาแล้วให้ผม



“เห็นแก่ที่ปราณเป็นเด็กดี พี่จะให้กินเค้กคำนึงแล้วกัน”



“จริงเหรอครับ?!”



ดวงตาผมคงเป็นประกายวิบวับน่าดู พี่ต้าถึงได้หลุดขำออกมา



“อื้อ แต่พรุ่งนี้เดินเพิ่มนะ”



“พี่ต้าอ่ะ…”



ผมรู้ว่าที่พี่ต้าคอยดูแลผมแบบนี้แค่เพราะถูกจ้างมา แต่บางครั้ง สายตาอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมองมาก็ทำให้ผมเลือกที่จะลืมข้อเท็จจริงนั้นไปชั่วคราว




หากหนึ่งเดือนต่อไปนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ก็คงจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผมแน่นอน









“โย่ว ไอ้ปราณ ทางนี้ๆ”



ผมหันไปตามเสียงของคนที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างงุนงง ไอ้เต้โบกมือให้ผมหยอยๆจากซุ้มขนม วันนี้ไอ้ตี๋ตาโตอยู่ในชุดสูทสีขาวพกความมั่นใจมาเต็มร้อยในทะเลผู้คนชุดลำลองสุภาพ



“ไอ้เต้? ใครจุดธูปเชิญมึงมาวะ?” ผมอดถามไม่ได้ ถ้าผมไม่รู้จักกับเจ้าของวันเกิดเป็นการส่วนตัว อย่าว่าแต่เข้ามาในงานเลย ประตูบ้านพี่นทีผมก็คงไม่ได้เห็น



“บ้านพ่อกูเป็นหุ้นส่วนบริษัทบ้านพี่ที เขาเลยส่งกูมา” ไอ้เต้ไหวไหล่ กระตุกยิ้มมุมปากให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างผม “งานยิบย่อยแบบนี้แค่ลูกเมียน้อยอย่างผมก็น่าจะพอแล้ว เฮียไม่เห็นต้องลำบากมาเองเลยนี่ครับ”



“ไอ้เต้ เฮียบอกแล้วไงว่าอย่าเรียกตัวเองแบบนั้น” พี่ต้าขมวดคิ้ว กอดอกมองไอ้เต้อย่างไม่สบอารมณ์ แต่ไอ้ตี๋หาได้สะทกสะท้านไม่ ผมซะอีกที่สะดุ้งกับสีหน้าแบบนั้น ถึงจะหล่อไปอีกแบบก็เถอะ



ว่าแต่…ไอ้บทสนทนาละครหลังข่าวเมื่อกี้มันอะไรกัน?



“ผมไปก่อนนะเฮีย วันนี้ยังมีอีกหลายอีเว้นท์ เจอกันไอ้ปราณ”



แต่ไอ้ตี๋ไม่ยอมอยู่ให้ผมซักฟอก ชิ่งเดินหนีตัวปลิวไปโดยที่พี่ต้าก็ไม่ได้เอ่ยรั้งอะไร ผมหันไปมองหน้าพี่ต้า ก่อนจะหันไปทางไอ้เต้อีกครั้ง โครงหน้าของทั้งสองคนนอกจากออกแนวหนุ่มตี๋ตามสมัยนิยมแล้วไม่มีอะไรคล้ายกันเลยสักนิด ถึงแม้จะ
อยากถาม แต่ผมไม่อยากละลาบละล้วงอะไรให้พี่ต้าไม่สบายใจ



ราวกับอ่านความคิดออก พี่ต้าหันมายิ้มให้ผมเป็นเชิงขอบคุณและเดินนำผมไปยังโต๊ะที่จัดเรียงผลไม้หั่นชั้นวางเรียงรายหลายชนิด



“ปราณชอบเมล่อนใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ตักให้”



“ไม่ต้องหรอกครับพี่ต้า เดี๋ยวผม…”



ผมหยุดตัวเองไว้ก่อนจะได้ห้ามคนที่เริ่มคีบผลไม้ใส่จานอย่างคล่องแคล่ว ผมลืมไปได้ยังไงว่าเหตุผลที่พี่ต้ามาอยู่ที่นี่ในตอนนี้คือการควบคุมปริมาณอาหารให้ผม



“รับเครื่องดื่มมั้ยครับ”



ผู้ชายที่ผมจำได้ว่าเป็นพี่สายรหัสของไอ้เต้ในชุดบริกรก้าวมาหาพวกผม มือข้างหนึ่งประคองถาดใส่น้ำอัดลมไว้ระดับอก ส่วนอีกข้างไพล่ด้านหลังเช่นเดียวกับบริกรคนอื่นในงาน ถ้าหากผมไม่เคยเห็นเขาก่อนหน้านี้ ผมคงคิดว่าเขาเป็นบริกรอีกคนในงานจริงๆ



“ไม่เป็นไรครับ” พี่ต้าตอบปัดด้วยรอยยิ้มตามมารยาท นอกจากน้ำเปล่ากับน้ำผักปั่น ผมไม่ได้แตะต้องเครื่องดื่มอย่างอื่นมาตั้งแต่วันที่เริ่มคอร์สลดน้ำหนักนี้



“พี่ต้าครับ ไม่ต้องอยู่กับผมตลอดก็ได้นะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่แอบกินอะไรจริงๆ” ผมว่าอย่างเกรงใจ ก็พี่แกเล่นเดินตัวติดจนแทบควงแขนผมชมงานแล้วเนี่ย ต่อให้ตัดเรื่องหัวใจที่เต้นผิดจังหวะจนผมกลัวจะเป็นลมล้มตึงกลางงานออกไป ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระของอีกฝ่ายอยู่ดี



“พี่ไม่ได้ยืนอยู่กับปราณเฉยๆนะ ดูสิ พี่พาปราณเดินรอบงานได้สามรอบแล้วนะครับ เดินไปเรื่อยๆไม่เห็นเหนื่อยเลยใช่มั้ยล่ะ” พี่ต้าหยิบโทรศัพท์ที่แสดงหน้าจอการนับก้าวให้ผมดู อา…สรุปที่ใจผมหวิวๆเมื่อกี้คือจากเดินเยอะสินะครับ



“คือผมเป็นหมาให้พี่จูงเดินใช่มั้ยครับ”



ผมถามอย่างนึกขำ คือไม่ได้โกรธนะ ถ้าพี่ต้าอยากได้หมาไว้จูงเดินผมจะเดินไปซื้อปลอกคอกับสายจูงจริงๆด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะตีความน้ำเสียงของผมผิดไป



“พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจให้ปราณคิดอย่างนั้น” พี่ต้าทำหน้าเจื่อน ขนาดสีหน้าสำนึกผิดพี่แกยังหล่อเลยครับ ถามจริงๆเถอะว่ามีใครบนโลกโกรธหน้าแบบนั้นลงด้วยเหรอ “เอาไว้…วันหลังพี่ให้ปราณจูงพี่เดินบ้างเอามั้ย?”



“ไอ้ต้า!ไอ้ปราณ! มาๆๆ มานี่เลย ใครเขาบอกให้พวกมึงมาเป็นแขก มาเป็นแรงงานทาสกับกูนี่”



โชคดีที่ผมไม่จำเป็นต้องคิดคำตอบให้กับคำถามของพี่ต้าเมื่อครู่ เพราะไอ้คุณพี่เจษฐ์ที่หายตัวไปตลอดงานดันเลือกเวลานี้ที่จะโผล่หัวกลับออกมาพอดี พวกผมเลยได้เปลี่ยนสถานะจากแขกของงานเป็นแรงงานทาสช่วยลำเลียงของขวัญจากหน้างานไปยังห้องนอนของพี่นที



“มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ย?” พี่ชายของพี่นทีชะโงกหน้าออกมาถามจากบนบันได พวกผมหันกลับไปมองกองของขวัญที่ยังคงกองพะเนินเทินทึกอยู่บนโต๊ะทั้งที่ขนกันไปไม่รู้กี่รอบ การมีคนช่วยเพิ่มน่าจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น แต่พี่เจษฎ์กลับชิงตอบด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจเสียก่อน



“ไม่เป็นไรครับพี่คิน ใกล้เสร็จแล้ว”



“งั้นเหรอ ถ้าเสร็จแล้วเจษฏ์ไปที่ครัวเลยก็ได้นะ เดี๋ยวพี่คุยงานเสร็จจะตามลงไปช่วยเรื่องเค้ก” ทั้งที่พี่คินอยู่ชั้นสองของบ้าน แต่กลับไม่มีการตะโกนหรือตะเบ็งเสียง ทั้งกิริยาท่าทางและคำพูดคำจาของอีกฝ่ายทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าบุคคลิกแบบนี้จะต้องฝึกตั้งแต่อายุเท่าไหร่ถึงจะติดตัวเป็นธรรมชาติที่สองแบบนี้



“คุณคินครับ…” พี่ชายคนที่พี่นทีบอกว่าเป็นลูกชายของแม่บ้านโผล่มาจากด้านหลังของพี่นคินทร์แตะข้อศอกของร่างสูงแล้วกระซิบบางอย่างให้คุณชายคนโตของบ้าน คนฟังพยักหน้ารับแล้วหันกลับลงมาหาพวกผม



“พี่ขอตัวก่อน แต่มีอะไรตามพี่ได้ตลอดนะ ฝากด้วยนะเจษฎ์”พี่คินเอ่ยอย่างขอโทษขอโพยแล้วตามคนรับใช้ของตัวเองไป



“โห เจอพี่ชายพี่ทีปุ๊บเรียบร้อยขึ้นมาปั๊บเลยนะพี่เจษฎ์” ผมแซว ปกติไอ้พี่เจษฎ์เคยทำตัวเคารพนอบน้อมใครเป็นกับเขาที่ไหนนอกจากทำตัวเป็นเด็กกะล่อนให้ผู้ใหญ่เอือมระอาไปวันๆ



“มึงลองมาบ้านไอ้ทีทุกอาทิตย์เหมือนกูดิ กับพี่คินนี่ยังไม่ค่อยเกร็งเท่าไหร่นะ แต่ท่านเจ้าสัวกับคุณนาราเนี่ย ขนาดกูเจอมาตั้งหลายปียังวางตัวไม่ถูกเลย” พี่เจษฎ์ส่ายหัวแล้วหันไปสนใจงานของตัวเองต่อ ถึงแม้ผม พี่เจษฎ์ และพี่นทีจะจบจากโรงเรียนนานาชาติเดียวกัน ครอบครัวของพวกผมอย่างมากก็เรียกได้ว่ามีเงินใช้ไม่เดือดร้อนมากนัก



แต่สำหรับครอบครัวของพี่ที จะเรียกว่ามหาเศรษฐีก็คงจะไม่ผิดนัก ทั้งท่านเจ้าสัวและคุณนารามาจากตระกูลเศรษฐีเก่า เรียกได้ว่าทั้งสองคนไม่มีใครได้สัมผัสกับความยากจนในชีวิต จึงไม่แปลกที่บางครั้งผมกับพี่เจษฎ์จะมีความรู้สึกว่าพี่ทีนั้นมาจากคนละโลกกับพวกเรา ถึงแม้ว่าพี่ทีจะต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโลกของพวกเราแค่ไหนก็ตาม




“ไอ้ต้า มึงกับไอ้ปราณขนของต่อไปนะ เดี๋ยวกูไปดูความเรียบร้อยในครัวหน่อย”



พี่ต้าพยักหน้าแล้วหอบบรรดากล่องของขวัญเต็มอ้อมแขนขึ้นบันไดโดยที่ผมหอบส่วนของตัวเองเดินตามไม่ห่าง ห้องนอนของพี่ทีกว้างกว่าคอนโดของผมที่มีสองห้องนอนอยู่ในนั้น แต่จำนวนกล่องของขวัญนั้นเริ่มทำให้ผมมองไม่เห็นพื้นห้องแล้วในตอนนี้



“ต้องทำงานอีกกี่ชาติถึงจะมีบ้านแบบนี้ได้เนี่ย” ผมกวาดสายตามองห้องนอนกว้างที่เหมือนหลุดออกมาจากฉากคฤหาสน์ในละคร ยังคงรู้สึกตื่นตาตื่นใจถึงแม้นี่จะเป็นการขนของขึ้นมารอบที่สามแล้วก็ตาม



“ปราณชอบเหรอ?”  พี่ต้าถามขณะวางกล่องของขวัญในอ้อมกอดลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง ผมไหวไหล่



“บ้านใหญ่ขนาดนี้ใครไม่ชอบบ้างล่ะครับ?” พี่ต้าก็ถามอะไรแปลกๆ



“…พี่ว่าบ้านหลังเล็กๆก็มีเสน่ห์ของมันนะ” ดวงตาสีน้ำตาลหันมาสบตาผมพร้อมรอยยิ้มมุมปากอวดลักยิ้ม “ยิ่งถ้าอยู่กับคนที่รัก บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ถึงอยู่บ้านเดียวกันพี่ก็คงทนคิดถึงเขาไม่ไหวหรอก”



”นะ…นั่นสินะครับ” ผมกระพริบตาที่พร่ามัวจากความเจิดจ้าตรงหน้า



ถ้าได้อยู่กับพี่ต้า ต่อให้เป็นกล่องกระดาษผมก็ชอบครับ



“ไม่ต้องห่วงน่า พี่ว่าไอ้เจษฎ์คงไม่ได้เป็นพวกประหลาดแบบพี่หรอก” พี่ต้าใช้ศอกถองสีข้างผมเบาๆอย่างหยอกล้อ “ไว้ซื้อบ้านกันแล้วก็อย่าลืมชวนพี่ไปหาบ้างล่ะ”



“พี่ต้า!” ผมรีบหันซ้ายแลขวาด้วยกลัวว่าไม่พี่ทีก็พี่เจษฎ์จะโผล่มาได้ยินประโยคนั้น ไม่อย่างนั้นล่ะก็ความได้แตกตรงนี้แน่ๆ


“คิดไปถึงไหนแล้วครับเนี่ย”



“การที่เราจะคิดถึงอนาคตของตัวเองกับคนที่ชอบไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอกนะปราณ” คิ้วคมขมวดมุ่น แววตาของอีกฝ่ายดูกังวลขึ้นมา “พี่อยากให้ปราณมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ ต่อให้ในสามสิบวันนี้สิ่งที่พี่สอนไม่ได้ทำให้ปราณสมหวังกับไอ้เจษฎ์ พี่ก็อยากให้ปราณมีความมั่นใจพอที่จะเข้าหาคนอื่นที่ปราณสนใจ…อื้อ…”



ผมยกมือขึ้นปิดปากคนตรงหน้าก่อนที่พี่ต้าจะเทศน์ผมด้วยคอร์สเสริมบุคคลิกของบริษัทตัวเองไปมากกว่านี้ พี่ต้ากระพริบตาปริบๆ ริมฝีปากที่แนบชิดกับฝ่ามือของผมหยุดขยับในที่สุด




“ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันที่ห้องได้มั้ยครับ” ถึงจะรู้ว่าพี่ต้าหวังดี แต่การต้องมาฟังคนที่ตัวเองชอบร่ายสุนทรพจน์ให้ผมมีกำลังใจไปจีบคนอื่นนั้นสูบพลังงานผมมากกว่าที่คิดไว้



ผมดึงมือออกเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับปาก พยายามไม่แสดงสีหน้าเสียดายสัมผัสนุ่มของริมฝีปากคู่นั้นบนมือของตัวเอง




“อีกสักสองสามรอบคงเสร็จ รีบขนของกันต่อดีกว่าครับ น่าจะใกล้เวลาตัดเค้กแล้ว”



พวกผมทำงานต่อโดยไม่มีใครเปิดประเด็นเรื่องพี่เจษฎ์ขึ้นมาหลังจากนั้น จริงอย่างที่คิดไว้ หลังจากของขวัญกล่องสุดท้ายถูกลำเลียงขึ้นมาบนห้องของพี่ที พี่เจษฎ์ก็โทรตามพวกผมให้ลงไปเจอกันในครัว



สิ่งที่รออยู่ภายในครัวนอกจากพี่เจษฎ์และสมาชิกทุกคนในครอบครัวนอกจากเจ้าของวันเกิดคือเค้กวันเกิดก้อนโตที่จำเป็นต้องวางบนรถเข็นเนื่องจากเกินความสามารถที่คนหนึ่งคนจะสามารถถือได้ พี่คินกำลังใช้ปืนไฟจุดเทียนเกือบยี่สิบแท่งอย่างระมัดระวังโดยมีพี่ชายผิวสีน้ำผึ้งคนเดิมช่วยจุดจากอีกฝั่ง



“ล็อคตำแหน่งเป้าหมายได้แล้ว ทีมเอเคลื่อนตัวได้ เปลี่ยน” เสียงที่ด้งขึ้นจากวิทยุสื่อสารที่ตั้งอยู่บนเคาท์เตอร์ครัวฟังดูเหมือนหน่วยสวาทกำลังเคลื่อนตัวเข้าจู่โจมคนร้ายมากกว่าทีมจัดงานวันเกิด พี่เจษฎ์หยิบวิทยุสื่อสารเครื่องนั้นขึ้นตอบรับแล้วหันกลับมาหาหญิงวัยกลางคนในชุดผ้าไหมกระโปรงสอบสีเหลืองนวล




“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณนาราเลยครับ”



“พี่ว่าเจษฎ์เป็นคนเข็นออกไปน่าจะดีกว่านะ” พี่คินขัดก่อนที่คุณนาราจะได้ก้าวไปยังรถเข็นเค้ก ทุกคนในห้องมีสีหน้าประหลาดใจกับข้อเสนอนั้น พี่คินหันไปสบตาแม่ของตัวเอง คุณนาราพยักหน้าเห็นด้วยแม้จะมีสีหน้ากังวลใจเล็กน้อย



“นั่นสินะ แม่ว่าถ้าเจษฎ์เป็นคนเข็นออกไปทีน่าจะดีใจกว่า”



“แต่ว่า…”



“รีบออกไปเถอะ เทียนเริ่มละลายแล้ว” ท่านเจ้าสัวเอ่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พี่เจษฎ์ทำหน้าเหวออย่างเห็นได้ชัดก่อนจะรีบหุบปากฉับแล้วเข็นรถเค้กออกไปจากห้องครัวตามคำสั่งแต่โดยดี ซึ่งถ้าผมถูกสายตาของท่านเจ้าสัวแห่งเครือวิสุทธรากรเพ่งเล็งแบบนั้นคงมีปฏิกิริยาไม่ต่างจากพี่เจษฎ์มากนัก



ผมแยกพี่ทีจากผู้คนในงานได้อย่างไม่ลำบากยากเย็น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบรรดาแขกในงานต่างยินยอมพร้อมใจหันแหวกทางให้กับพี่เจษฏ์และเค้กก้อนโต อีหส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าของวันเกิดกำลังยืนเหม่ออยู่หน้าน้ำพุขนาดยักษ์ที่ถูกเปิดไฟหลังพระอาทิตย์ตกดิน ไม่ได้รับรู้ถึงการมาของเพื่อนสนิทและครอบครัวของตน



“Happy Birth Day to you…”



นอกจากเสียงของน้ำพุยักษ์ตรงหน้า มีเพียงเสียงของพี่เจษฎ์ที่ร้องขึ้นมาโดยไม่มีเสียงดนตรีประกอบ พี่นทีหันขวับกลับมาจากน้ำพุด้วยสีหน้าประหลาดใจ ดวงตาเรียวสีน้ำตาลเบิกกว้างเมื่อเห็นเพื่อนสนิทยืนอยู่ตรงหน้า



“Happy Birth Day to you…” พี่เจษฎ์ร้อง รอยยิ้มกวนบาทาเป็นเอกลักษณ์ยังคงประดับอยู่บนใบหน้าเมื่อพี่คินหันไปส่งสัญญาณให้กับทีมงานด้านหลัง และเสียงดนตรีประกอบเพลงวันเกิดดังกระหึ่มออกมาจากลำโพง ทุกคนในงานร่วมกันร้องเพลงให้กับดจ้าของวันเกิด แต่สายตาของพี่ทีไม่เคยละไปจากพี่เจษฎ์ ในที่สุด หลังจากเสียงเพลงจบลง พี่นทีก้มลงใกล้เค้กสีขาวก้อนโต ดวงตาเรียวช้อนมองเพื่อนสนิทอีกครั้ง ก่อนจะเป่าเทียนบนเค้กของตน



พี่เจษฎ์โน้มตัวกระซิบอะไรบางอย่างกับพี่ทีท่ามกลางเสียงปรบมือของทุกคน ถ้าผมอ่านปากไม่ผิด พี่เจษฎ์คงพูดว่า
“สุขสันต์วันเกิดเว้ยไอ้ที” หรืออะไรทำนองนั้น พี่ทียิ้ม ก่อนที่คนอื่นๆจะเข้ามาอวยพรวันเกิดบ้างและทำให้พี่เจษฎ์ต้องถอยออกมาหาพวกผมก่อนจะโดนเบียดกระเด็นไปเสียก่อน



เค้กวนิลลาชิ้นไม่เล็กไม่ใหญ่มากถูกแจกจ่ายให้กับแขกในงานตามลำดับอาวุโส ผมส่ายหน้าปฏิเสธบริกรที่ยื่นจานกระดาษพร้อมเค้กหน้าตาน่าทานให้ รู้ดีว่านั่นไม่ได้อยู่ในรายการอาหารที่เทรนเนอร์ของผมอนุญาตให้กินแน่



“ปราณครับ” ผมหันไปตามแรงสะกิดบนไหล่ พี่ต้ายิ้มให้ผมพร้อมกับเอาส้อมที่ตักเค้กคำใหญ่มาจ่อที่ริมฝีปาก พี่หางตา ผมเห็นพี่เจษฎ์กับพี่ทียืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดพร้อมรอยยิ้มกว้าง ไอ้พี่เจษฎ์ถึงกับชูนิ้วโป้งให้ผมด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ



“จะ…จะดีเหรอครับพี่ต้า”



“พี่สัญญาแล้วก็ต้องรักษาสัญญาสิครับ” พี่ต้าแตะส้อมลงบนริมฝีปากของผมเบาๆให้ผมอ้าปาก ซึ่งจะให้ค้างท่านี้อยู่นานกว่านี้ผมก็กลัวจะกลายเป็นจุดสนใจมากกว่าเจ้าของวันเกิด ผมเลยยอมงับขนมจากอีกฝ่ายแต่โดยดี ภาวนาให้แสงสลัวในตอนนี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้ใครเห็นเลือดฝาดบนแก้มทั้งสองข้าง



กว่าจะจบสามสิบวัน ผมว่าตัวเองคงมีความทรงจำในสมองมากพอที่จะดึงออกมามโนต่อเองได้ไปตลอดชีวิตแน่ๆ



รสชาติหอมหวานมันกลมกล่อมของเค้กคุณภาพดีทั้งที่เป็นเค้กรสวนิลลาที่ผมเคยกินมานับครั้งไม่ถ้วนทำให้ผมหลับตาลงดื่มด่ำกับรสสัมผัสอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่



อา…



น้ำตาลหวานละมุนสงวนท่าที


เนยสดแท้หอมมันตีใส่แป้งจนเนียนนุ่มราดน้ำเชื่อมทุกอณูจนฉ่ำชุ่มไปทั้งปาก



ครีมสดนุ่มละมุนลิ้น เรียบหรูดูแพงเชื่อมประสานชิ้นเค้กนุ่มไว้ด้วยกันในสัดส่วนที่พอดี



ผมค่อยๆลืมตากลับขึ้นมาพบกว่าโลกแห่งความเป็นจริงก่อนจะค้นพบว่าในโลกใบใหม่ตรงหน้าของผมนั้นอีโรติกกว่าสิ่งที่ขนมเค้กชิ้นนั้นทำกับปุ่มรับรสของผมมากมายนัก



หลังจากป้อนเค้กชิ้นนั้นให้ผม พี่ต้าใช้ส้อมคันเดิมตักเค้กอีกคำเข้าปาก ตวัดลิ้นเลียครีมที่เหลืออยู่บนส้อมพลาสติกด้วยท่วงท่าทำให้คนมองหน้าร้อนฉ่า




“หืม? อยากกินอีกคำเหรอครับปราณ?” พี่ต้าเอียงคอถาม แลบลิ้นเลียคราบครีมสดที่เลอะริมฝีปากของตัวเอง แล้วตักเค้กขึ้นมาอีกคำ “แต่พรุ่งนี้ต้องวิ่งกับพี่เพิ่มนะ”



“มะ…ไม่เป็นไรครับ”



แม้ว่ารสชาติของเค้กจะคุ้มค่ากับการวิ่งเพิ่มเป็นพิเศษในวันพรุ่งนี้มาก แต่หลังจากภาพการกินขนมที่ไม่ควรจัดอยู่ในเรทต่ำกว่าสิบแปดของพี่ต้าเมื่อครู่ ผมรู้สึกว่าการปฏิเสธดูจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่าสำหรับตอนนี้




พวกผมขอตัวกลับหลังจากนั้นไม่นาน แน่นอนว่าพี่เจษฎ์อยู่ค้างกับพี่ทีเหมือนกับวันเกิดทุกปี ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมจะไม่เคยมาร่วมงาน แต่ทุกเช้าหลังจากวันเกิดของพี่ที พี่เจษฎ์จะมาโผล่ที่หน้าบ้านของผมพร้อมถุงใบใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยของขวัญที่พี่ทีไม่เอา เหมือนเป็นพิธีกรรมเล็กๆของทั้งสองคนที่จะใช้คืนวันเกิดของพี่ทีไปกับการแกะของขวัญและหาทางระบายของที่พี่ทีไม่เอาออกไม่ว่าจะผ่านทางการแจกจ่ายให้คนรู้จักหรือการบริจาคให้กับคนยากไร้ ของที่พี่ทีเก็บไว้หากไม่ใช่ของขวัญจากเพื่อนที่รู้จักกับคนในครอบครัวมักจะจบลงที่การบริจาคเป็นส่วนใหญ่



“พี่ต้าครับ จริงๆวันนี้พี่ต้ากลับไปนอนบ้านก็ได้นะครับ พรุ่งนี้วันหยุด ผมไม่อยากให้พี่ไม่ได้กลับเพราะผม” ผมบอกอีกฝ่ายหลังจากขึ้นมาบนรถ พี่ต้ามักจะกลับบ้านแทบทุกสุดสัปดาห์ ที่ผมรู้เพราะไอ้พี่เจษฎ์ที่เป็นโรคอยู่คนเดียวไม่ได้มักจะหาเรื่องลากผมหรือไม่ก็พี่ทีไปไหนมาไหนด้วยเสมอในวันที่พี่ต้ากลับบ้าน



“ปราณไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก พ่อกับแม่รู้ว่าพี่มาทำงาน” พี่ต้าออกรถเข้าสู่ถนนใหญ่ แม้สายตาจะจดจ่ออยู่กับท้องถนนแต่คิ้วเข้มกลับขมวดมุ่นอย่างไม่สบายใจ “หรือว่าปราณไม่อยากให้พี่อยู่?”




“ไม่ใช่นะครับ” ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธข้อกล่าวหา “ผมแค่…ไม่อยากให้พี่ต้าเหงาน่ะครับ”




“พี่จะเหงาได้ยังไง” คนขับยิ้ม ดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด “พี่มีปราณอยู่ทั้งคนนี่นา”



ผมเอนพิงเบาะพนักพิงเงียบๆด้วยไม่รู้จะตอบอะไรกับประโยคที่ชวนคิดไม่ต่างจากที่ผ่านมาในช่วงไม่กี่วันมานี้ ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดพวกนั้น แต่การต้องย้ำเตือนตัวเองทุกสิบนาทีก็ทำให้ผมเริ่มอึดอัดแล้วเหมือนกัน



ทำไมอะไรที่ดีต่อใจขนาดนั้นถึงได้ทำร้ายสุขภาพจิตผมได้ขนาดนี้กัน ไม่เข้าใจจริงๆ





__________

ปั่นๆๆ :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 3 : ไดเอทวันเกิด [09-06-19] คห.10
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 09-06-2019 17:51:09
 :katai2-1: :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 3 : ไดเอทวันเกิด [09-06-19] คห.10
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 10-06-2019 17:17:06
Day 3.2 เก็บตกวันเกิด



“มึงเนี่ยน้า โตป่านนี้แล้วยังให้กูอยู่ช่วยแกะของขวัญอีกเหรอวะ?”



เจษฎาปิดประตูห้องนอนของเพื่อนสนิทเมื่อกบ่องของขวัญขนาดมหึมาล็อตสุดท้ายถูกลำเลียงเข้ามาจนหมด นทีที่นั่งอยู่บนเตียงท่ามกลางทะเลกล่องของขวัญยิ้มเผล่ แต่ดวงตาสีน้ำตาลทองไร้แววสำนึกผิด



“อื้อ”



“เอ้า มาๆ รีบๆแกะ เดี๋ยวก็ได้นอนตีสามเหมือนปีที่แล้วหรอก”



ร่างสูงส่ายศีรษะอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ทรุดตัวลงบนพื้นเพื่อหยิบของขวัญกล่องแรกมาฉีกกระดาษห่อครั้งแรกที่เขามางานวันเกิดของนที หากจะบอกว่าเขาตกใจกับจำนวนของขวัญของร่างโปร่งคงจะเป็นคำพูดที่เบากว่าความเป็นจริงมาก



แต่เขาก็ยังคงเป็นเขา ที่ใช้มุกตลกแซวกลบเกลื่อนเพราะไม่อยากให้เพื่อนรู้สึกไม่ดีในวันเกิดของตัวเอง



เจษฎาจำได้ว่าตนต้องเริ่มเก็บเงินเร็วทุกปีเพื่อหาของขวัญที่จะไม่ดูขี้ริ้วขี้เหร่ในสายตาของเพื่อนสนิท เขารู้ว่านทีไม่ถือต่อให้เขาจะไม่มีอะไรให้ แต่เขาอยากให้ของขวัญของตัวเองดูมีค่าพอที่จะไม่ทำให้นทีไม่ลำบากใจที่จะเก็บไว้



“โทรศัพท์อีกแล้วเหรอวะ นี่สามเครื่องแล้วนะ” ร่างสูงบ่นอุบ ดูจากรุ่นของมือถือแต่ละยี่ห้อที่ยังไม่วางขายในท้องตลาด คงจะเป็นของที่ทางบริษัทแม่ส่งมาให้ร่างโปร่งใช้โดยตรง



ถึงแม้นทีจะเป็นเด็กขี้อายที่ไม่ค่อยใช้โซเชี่ยลมีเดียมากนัก แต่ทุกครั้งที่คุณชายคนเล็กของตระกูลวิสุทธรากรลงรูปภาพตัวเองกับสินค้าใดในโซเชี่ยลมีเดียแม้จะไม่ได้ตั้งใจ เหล่าลูกหลานไฮโซคนดังที่พบเห็นก็มักจะต้องขวนขวายหาของชิ้นนั้นมาครอบครองเสมอ จึงไม่แปลกที่แบรนด์สินค้าต่างๆจะส่งของขวัญวันเกิดมาให้เด็กหนุ่มอย่างล้นหลาม



“เจษฎ์เอาเครื่องนี้ไปใช้มั้ย? ดูเหมาะกับเจษฎ์ดีนะ” นทีเสนอ หยิบสมารทโฟนสีดำเครื่องหนึ่งขึ้นมาพิจารณา



นี่เป็นอีกหนึ่งประเพณีในวันเกิดของนที เด็กหนุ่มมักจะคัดเอาของขวัญต่างๆมาแจกจ่ายให้เจษฎาและปราณเสมอ จนบางครั้งร่างสูงต้องปรามไม่ให้อีกฝ่ายแจกของขวัญวันเกิดของตัวเองไปจนหมด



“ไม่อ่ะ ของกูยังใช้ดีอยู่ มึงลองถามไอ้ปราณดูดิ”



เจษฎาเปิดกล่องของขวัญขนาดใหญ่ออก ขมวดคิ้วกับจำนวนเครื่องบำรุงผิวเซ็ทใหญ่ที่บรรจุอยู่ภายใน ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่านทีชอบใช้ของพวกนี้ หลายครั้งอีกฝ่ายชอบเอามาส์กเย็นๆมาแปะหน้าให้เวลาเขาซ้อมบอลเสร็จ แต่บางทีเขาก็แอบสงสัยว่าทำไมมันถึงได้เยอะแยะมากมายขนาดนี้



ทั้งที่ผิวมันก็เนียนนุ่มน่าฟัดอยู่แล้วแท้ๆ ขนาดเขาไม่ชอบผู้ชายยังต้องยอมรับเลยว่าเพื่อนสนิทของเขาคนนี้ผิวสวยกว่าผู้หญิงหลายคนที่เขาเคยคบเสียอีก



”ของพี่คินเป็นแหวนแฮะ”



เจษฎาเงยหน้าจากกล่องของขวัญ นทีสวมแหวนเงินสลักลายที่แม้จะไม่หวือหวาแต่ยังคงดูออกว่าราคาไม่ใช่เล่นพร้อมรอยยิ้มกว้าง เด็กหนุ่มรักของขวัญทุกชิ้นที่ได้จากพี่ชาย และนั่นทำให้เขาอดรู้สึกหวั่นใจกับของขวัญราคาถูกของตัวเองไม่ได้
ทุกครั้งที่เห็นข้าวของแบรนด์เนมราคาแพงที่นทีคัดแยกลงในกองของบริจาค ท้องไส้ของเจษฎาก็ยิ่งปั่นป่วน แม้จะรู้ว่านทีไม่เคยทิ้งของขวัญของเขาก็ตาม



กับอีแค่ของขวัญแค่นี้ มึงเป็นอะไรของมึงวะเจษฎ์?!



“อ๊ะ…”



นทีอุทานออกมาเบาๆเมื่อแกะของขวัญชิ้นถัดไป เจษฎาขยับเข้าไปใกล้เพื่อนสนิทอย่างสนใจ ก่อนที่อาการปั่นป่วนในลำไส้จะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นหน้าปกแผ่นซีดีที่คุ้นตา



“ใครส่งมาน่ะ?” เจษฎารู้สึกว่าตัวเองรู้คำตอบนั้นอยู่แล้วก่อนที่จะได้ยินคำตอบจากปากของนที



“เจคอบน่ะ เขาเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ไม่คิดเลยว่าจะจำวันเกิดเราได้” นทีอมยิ้ม วางแผ่นซีดีหน้าตาเหมือนแผ่นที่เจษฎาซื้อมาทุกประการนอกจากลายเซ็นของนักร้องหนุ่มและคำอวยพรที่แนบมาลงบนกองของที่ตนจะเก็บไว้ ซึ่งสามารถนับจำนวนชิ้นได้ด้วยมือข้างเดียว



เด็กหนุ่มร่างสูงเหลือบมองกล่องของขวัญของตัวเองที่วางอยู่บนพื้น แล้วใช้เท้าเขี่ยมันเข้าไปหลบใต้กระเป๋าเป้ของตัวเองในจังหวะที่นทีหันไปสนใจของขวัญชิ้นอื่น



“เออ…ปีนี้กูไม่มีของขวัญให้นะ มัวแต่ยุ่งกับค่ายอาสาเลยไม่ได้ซื้อมา” เจษฎาโกหกหน้าตาย แต่นทีเพียงแค่ส่ายหน้ายิ้มๆ




“ไม่เป็นไรหรอก แค่เจษฎ์มาเราก็ดีใจแล้ว…”



“มึงมีอะไรที่อยากได้อีกมั้ย” ร่างสูงรู้ว่าหากเทียบกับข้าวของที่วางกองอยู่บนพื้น เขาคงไม่มีปัญญาหาอะไรที่ดีกว่าให้กับเพื่อนสนิทได้ แต่การลองถามดูก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร และเขาก็ไม่คิดว่านทีจะร้องขออะไรที่เขาหามาไม่ได้ให้เขาลำบากใจอีกด้วย “ถ้าหาได้กูจะหามาให้”



นทีนิ่งไปกับคำถามนั้น ทีแรกเจษฎาเข้าใจว่าเพื่อนไม่ได้จะขออะไรจากตน แต่สีหน้าคิดไม่ตกของนทีทำให้ร่างสูงเริ่มสงสัย



“เจษฎ์…คือเรา…”



เจษฎาเงยหน้ามองเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่บนเตียง รอฟังว่าอีกฝ่ายอยากได้อะไรในวันเกิดนี้ แต่นทียังคงอึกอัก ซึ่งผิดวิสัยคุณชายมาดดีที่มักพูดจาไหลลื่นเหมือนท่องบทมาก่อนอย่างนทีอยู่พอสมควร



“เรา…ชอบเจษฎ์…”



“หะ…”




คำพูดประหลาดของเพื่อนรักเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาคิดว่าจะได้ยิน ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องรสนิยมทางเพศของนที แต่เขาไม่เคยคิดว่านั่นเป็นกงการอะไรของเขา ไม่ต้องพูดถึงความเป็นไปได้ที่ดอกฟ้าที่มีแต่ผู้ชายมาขายขนมจีบให้ไม่เว้นแต่ละวันอย่างนทีจะมาชอบเขา



“เรา…ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเราไม่ได้พูดแล้วกัน”



นทีก้มหยิบของขวัญชิ้นต่อไปอย่างรีบร้อนจนกล่องของขวัญลื่นหลุดจากมือ เจษฎารีบคว้ากล่องกระดาษนั้นไว้ก่อนจะตกกระแทกพื้น



“ที…นี่มึงจริงจังเหรอวะ?”



ร่างสูงถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ นทีเบือนหน้าหลบสายตาของเพื่อนสนิท แต่สีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่ายยังคงทำให้เจษฎารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอก



“ไอ้ที มึงรู้ไม่ใช่เหรอว่ากูชอบผู้หญิง?” ร่างสูงถามอย่างไม่เข้าใจ เขาคิดว่าตัวเองแสดงออกชัดเจนว่าไม่สนใจเพศเดียวกัน ถึงแม้จะชอบแหย่คนตรงหน้า แต่การกระทำของเขาใครเห็นก็รู้ว่าเป็นการล้อเล่น



“อื้อ” ร่างโปร่งพยักหน้า ยังคงปฏิเสธจะสบตาเขา และนั่นทำให้เจษฎาเริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา



“มึงรู้ใช่มั้ยว่ากูไม่เคยสนใจผู้ชาย?”



“อื้อ” คำตอบยอดฮิตของอีกฝ่ายที่เคยเป็นเรื่องตลกในสายตาเขา ตอนนี้กลับเป็นสิ่งสุดท้ายที่ร่างสูงอยากได้ยิน



“แล้วที่ผ่านมานี่คือมึงเล็งกูมาโดยตลอด…” เขาไม่เข้าใจ ทำไมคนตรงหน้าไม่คิดจะอธิบายอะไรให้เขาฟังเลย



“…อื้อ”



“ไอ้ที!!! มึงช่วยตอบอย่างอื่นนอกจากอื้อได้มั้ยวะ?! นี่ตกลงว่าที่ผ่านมามึงอยากเป็นเมียกูมาตั้งแต่ม.สี่เลยรึไง?!!!” เจษฎาตะคอก เขาไม่เคยขึ้นเสียงใส่นที เพื่อนรักของเขาไม่เคยทำอะไรให้ร่างสูงโกรธ…



…อย่างน้อยก็จนกระทั่งตอนนี้



“…ใช่” นอกจากนทีจะไม่สะดุ้งสะเทือน คุณชายที่นั่งอยู่บนเตียงยังคงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ




“อะ…อะไรนะ?” เจษฎาไม่มั่นใจว่าตนหูฝาดไปหรือไม่ แต่สิ่งที่นทีเอ่ยต่อจากนี้คลายความสงสัยทั้งหมดของเขาอย่างง่ายดาย




“ใช่…” ดวงตาคู่สวยทอประกายแน่วแน่ “เราอยากเป็นเมียเจษฎ์”



เจษฎารู้สึกเหมือนทุกสิ่งรอบกายพวกเขาหยุดเคลื่อนไหว ในห้องนอนขนาดยักษ์ของนทีมีเพียงเสียงหายใจของคนทั้งคู่ที่บ่งบอกว่าเวลายังคงเดินต่อไป แม้อีกฝ่ายจะไม่พูด แต่เขาที่รู้จักเพื่อนสนิทดีรู้ว่าการกระทำของตนต่อจากนี้อาจจะทำให้เขาเสียคนตรงหน้าไปตลอดกาล



ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เจษฎาคิดว่าเขาไม่สามารถทนได้



“เอาดิ”



“เอ๊ะ?” หากเขาไม่ได้กำลังเครียดอยู่ เจษฎาจะหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายสีหน้าเหวอๆของเพื่อนสนิทเก็บไว้ดูเล่น แต่คนไม่ฉลาดอย่างเขามีโอกาสเดินหมากได้ไม่กี่ครั้งก่อนที่นทีจะไหวตัวทันแล้วเก็บกระดานเผ่นแน่บไป



“กูไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้วก็จะไม่มีวันชอบ แต่ถ้ามันทำให้มึงมีความสุข แค่ร่างกาย กูให้ได้…” เด็กหนุ่มหยุดคิด ถึงเขาจะดูโชกโชนในการจีบสาวสับรางรถไฟจนใครๆเอาไปลือในทางที่ผิด แต่เนื้อแท้แล้วนอกจากน้องนางทั้งห้ากับสาวสวยในคอม เขาก็ยังไม่เคยจึ้กกะดึ๋ยกับใครจริงๆ



เอาวะ…เพื่อไอ้ที



“เจษฎ์…”



“กูให้ได้แค่นี้ อยู่ที่มึงแหละ จะเอาป่ะ?”



นทีกัดริมฝีปาก ชั่ววินาทีนั้น เจษฎาคิดว่าอีกฝ่ายจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่แทนที่นั่นจะทำให้เขารู้สึกโล่งอก เจษฎากับรู้สึกอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายว่าอะไร แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกในแง่ดีนัก


“อื้อ…”



แต่ความรู้สึกในตอนนี้ ร่างสูงสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังตื่นตระหนกถึงขีดสุด







ผ้าปิดตาผืนหนาที่นทีผูกไว้รอบศีรษะของเขาทำให้เจษฎามองไม่เห็นสภาพรอบกาย แต่เสียงการเคลื่อนไหวยวบยาบบนเตียงนุ่มและกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่ลอยมาแตะจมูกทำให้เขารู้ว่านทีอยู่ไม่ไกล



“ไอ้ที…มึงไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้…”



นิ้วเรียวแตะที่ริมฝีปากได้รูปหยุดคำพูดของเจษฎาไว้ เขาไม่เคยรับรู้มาก่อนว่านิ้วของเพื่อนจะนุ่มขนาดนี้ แต่ร่างสูงต้องยอมรับว่าตนไม่แปลกใจนัก เพราะทุกอย่างของนทีดูนุ่มนิ่มน่ารักไปเสียหมด เรียกได้ว่าหากอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงคงไม่รอดพ้นเงื้อมมือของเขาตั้งแต่มอสี่แล้ว



และนั่นทำให้การนึกภาพสาวสวยอกบึ้มจากประสาทสัมผัสอื่นนอกจากการมองเห็นไม่ได้ยากอะไรอย่างที่เขาคิด เขารู้ว่านทีจงใจไม่พูดอะไรเพื่อให้เขาไม่ได้รู้สึกหมดอารมณ์ แต่การไม่ได้ยินเสียงเพื่อนก็ทำให้คนที่มองอะไรไม่เห็นเริ่มรู้สึกวังเวงเล็กๆ



“ที…!”



ซิปกางเกงที่ถูกรูดลงโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างสูงสะดุ้ง แต่เด็กหนุ่มพยายามตั้งสติแล้วปล่อยให้มือเรียวจัดการ ทันทีที่มือนิ่มสัมผัสกับความเป็นชายที่เริ่มแตกตื่นหลังจากถูกปลุกจากการหลับใหลด้วยอากาศเย็นๆในห้อง เจษฎากัดริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงคำรามในคอ ยิ่งมือเรียวที่ขยับขึ้นลงอย่างเชื่องช้ายิ่งทำให้ร่างสูงนึกอยากขยับสะโพกสวนแย่งคุมจังหวะ ทว่าเมื่อสัมผัสจากมือนิ่มถูกแทนที่โดยสัมผัสอุ่นชื้นที่ครอบครองส่วนปลาย เจษฎาที่ทนไม่ไหวขยุ้มผ้าปูเตียงเพื่อระบายความเสียวซ่านจากริมฝีปากอุ่นที่ปรนเปรอราวกับคุ้นชินกับการทำแบบนี้ แม้ในใจจะรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างน่าประหลาดกับภาพของนทีที่คุกเข่าบนพื้นทำแบบนี้ให้กับผู้ชายคนอื่นก็ตาม



หากอารมณ์ของเจษฎาในตอนนี้ยังถูกปรนเปรอไม่ถึงขีดสุด ความรู้สึกของช่องทางคับแคบที่ค่อยๆขยับลงครอบครองแกนกายของร่างสูงและน้ำหนักของร่างโปร่งที่กดลงมาทีละนิดแทบจะทำให้เขาเรือล่มปากอ่าว แต่โชคดีที่เขายังมีสติพอจะสูด
ลมหายใจเขาออกช้าๆขณะที่เพื่อนสนิทขยับขึ้นลงบนตักของตน แขนเรียวโอบรอบคอของเจษฎา ใบหน้าที่เขาจดจำได้แม้ถูกปิดตาซุกลงบนไหล่กว้างและเร่งจังหวะการขยับจนมือใหญ่ต้องคว้าสะโพกกลมไว้แล้วขยับสวนอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เสียงเนื้อกระทบกันดังระงมไปทั้วห้องพร้อมกับเสียงหายใจถี่กระชั้น ตามสัญชาตญาณ เจษฎาขยุ้มกลุ่มผมนิ่มแล้วดึงนทีเข้ามาบดขยี้ริมฝีปากเรียว แม้จะไม่รู้ว่าริมฝีปากนิ่มนั้นอยู่ตรงไหน แต่ลิ้นเรียวเล็กที่เกี่ยวกระหวัดตอบรับอย่างกระหายบ่งบอกว่าเขาเดาตำแหน่งได้แม่นยำพอสมควร



ร่างสูงพลิกกายให้คนที่คร่อมอยู่บนตักลงมานอนใต้ร่าง ควบคุมจังหวะร่างกายของคนทั้งคู่ขณะที่ริมฝีปากไม่เคยผละจากกัน สะโพกสอบกระแทกเร่งจังหวะเมื่อรู้ตัวว่าใกล้ถึงฝั่งฝัน และร่างข้างใต้นั้นยังคงขยับตอบรับโดยไม่เอ่ยประท้วงแม้แต่คำเดียว



“เชี่ย…”




นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เจษฎาสามารถเอ่ยออกมาหลังจากภาพในหัวขาวโพลนไปครู่หนึ่ง ร่างใหญ่พลิกตัวนอนหอบหายใจข้างเจ้าของห้อง แต่เมื่อเขาจะยกมือขึ้นแกะผ้าปิดตา นทีกลับคว้าข้อมือของเขาไว้อย่างรวดเร็ว




“ไอ้…”



“ให้เราไปห้องน้ำก่อน…”




ร่างโปร่งเอ่ยแค่นั้นก่อนจะลุกไปจากเตียง เจษฎารอจนได้ยินเสียงฝักบัวเปิดแล้วจึงแกะผ้าผูกตาออก สภาพของผ้าปูเตียงเรียกได้ว่าเละ ทั้งรอยย่นยับรวมไปถึงคราบของเหลวที่เขาไม่อยากรับรู้ว่าคืออะไร และของเหลวสีแดงสดที่เขารู้ดีว่าคืออะไร




“ไอ้ที! มึงเลือดออกเหรอ?! เป็นไงบ้างวะ?!” ร่างสูงรีบตรงไปยังห้องน้ำของเพื่อนสนิท ทุบบานประตูอย่างแตกตื่นด้วยกลัวว่าจะทำให้เพื่อนบาดเจ็บ ไม่นานนัก ประตูห้องนำก็เปิดออกพร้อมกับร่างโปร่งในชุดนอนผ้าลื่นตัวโปรด กลิ่นหอมฟุ้งของสบู่อาบน้ำของนทีทำให้เจษฎารู้สึกร้อนวูบวาบในช่องท้องขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ



“เราไม่เป็นไร…ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง”




ริมฝีปากนิ่มที่บวมเจ่อจากกิจกรรมเมื่อครู่ขยับยิ้ม ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลจะเบิกกว้างและรีบหันหน้าหนี เจษฎาก้มลงมองสภาพที่…ไม่น่ามองนักของตัวเอง ก่อนจะรีบหันหลังให้อย่างร้อนรน



“ ‘โทษๆ”



เด็กหนุ่มรีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะตั้งสติแล้วหันกลับมาหาคนที่ยังคงยืนหน้าแดงอยู่ที่เดิม



“เมื่อกี้…มึงไม่เจ็บใช่มั้ย?”



“อื้อ…” ร่างโปร่งพยักหน้าหงึกหงัก ก้มหน้างุดเดินตรงไปที่เตียงของตัวเอง เจษฎาถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินตามเจ้าของห้องไป รอยยิ้มกว้างประดับบนให้หน้าหล่อเหลา



“ดีแล้ว ครั้งต่อไปกูจะหาเจลมาไว้ให้แล้วกัน”





“เอ๊ะ…คระ…ครั้งต่อไป?” นทีหันขวับมาหาเขาอย่างตกใจ เจษฎาขยี้ผมเพื่อนรักอย่างหมั่นเขี้ยว ทั้งที่เป็นสิ่งที่เขาทำอยู่แทบทุกวัน แต่ครั้งนี้ร่างสูงกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างแตกต่างออกไป




“เออ กูไม่ถือ ถ้ามันทำให้มึงมีความสุข เรื่องแค่นี้กูให้มึงได้น่า”



“เจษฎ์…” ดวงตากลมสีน้ำตาลรื้นไปด้วยน้ำตา เจษฎาปาดหยาดน้ำใสออกจากแก้มนิ่มด้วยนิ้วหัวแม่มือ ไม่ชอบสีหน้าแบบนี้ของเพื่อนสนิทสักนิด “…ไม่รังเกียจเราจริงๆเหรอ”




“คิดมากจังวะไอ้ที” เด็กหนุ่มดึงเพื่อนสนิทเข้ามากอดไว้แน่น “…ถ้าไม่มีมึงซักคนใครจะอยู่ให้กูแกล้งวะ หยุดร้องได้แล้ว ไปนอนกันดีกว่า”



“อื้อ” ร่างโปร่งยิ้ม เงยหน้าขึ้นมองเจษฎาด้วยแววตาที่เขาเพิ่งเคยสังเกตว่าเหมือนเขาเป็นโลกทั้งใบของอีกฝ่าย
หากจะให้สารภาพตามตรง การถูกใครสักคนมองด้วยแววตาแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแล้วร้ายอะไรสำหรับเขานัก


-------------

หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 3.2: เก็บตกวันเกิด [10-06-19] คห.12-13
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 10-06-2019 17:18:20
“ขออนุญาตนะครับคุณคิน”




ภวัตประคองถาดใส่อาหารเย็นในมืออย่างชำนาญขณะใช้แผ่นหลังดันประตูห้องนอนของบุตรชายคนโตของบ้านให้เปิดออกและปิดลงอย่างเงียบเชียบ เขารู้ดีว่านคินทร์ยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เช้าเนื่องจากต้องวิ่งวุ่นเตรียมงานวันเกิดของน้องชาย
เรื่องที่ นคินทร์ วิสุทธรากร บุตรชายคนโตของเจ้าสัวใหญ่ของเครือวิสุทธรากรเป็นลูกบุญธรรมไม่ใช่สิ่งที่บิดามารดาของชายหนุ่มคิดจะปิดบัง



คุณนารา ภรรยาของเจ้าสัวประสบปัญหาเรื่องการมีบุตรตั้งแต่แต่งงานใหม่ๆ สุดท้าย หลังจากความพยายามที่ล้มเหลวมาหลายปี การไปเยี่ยมชมสถานสงเคราะห์ที่พวกตนบริจาคเงินให้ปีละหลายล้าน ก็ทำให้หญิงสาวตกหลุมรักเด็กน้อยวัยเจ็ดเดือนที่ถูกพาเข้ามาในสถานสงเคราะห์ในวันนั้นราวกับถูกโชคชะตากำหนดไว้แทบจะในทันที



แม้ว่าหนึ่งปีหลังจากนั้น ฟ้าเบื้องบนจะประทานบุตรชายร่วมสายเลือดให้กับคนทั้งคู่ ความรักที่เจ้าสัวและภรรยามีต่อบุตรชายคนโตก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเดิม และนั่นทำให้คุณนารามั่นใจพอที่จะอธิบายให้นคินทร์ฟังอย่างอ่อนโยนถึงสาเหตุที่เด็กชายมีโครงหน้าไม่เหมือนกับใครในบ้านตั้งแต่เล็ก



หากถามภวัต เขาว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณนายของบ้านจะทำได้



แต่แผลตื้นๆไม่ได้หมายความว่าหัวใจของนคินทร์จะไม่มีรอยแผลเป็นมาจนถึงทุกวันนี้



“คุณคิน อาหารเย็นครับ”



“กูไม่หิว” นคินทร์ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์บนตัก



ในสายตาของคนภายนอก นคินทร์คือนิยามของคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’



ทายาทคนโตของเจ้าสัวหมื่นล้าน ความประพฤติดี เป็นที่รักของคนรอบข้าง เกรดเฉลี่ยเอล้วนไม่มีด่างพร้อย นักกีฬาฟันดาบมหาวิทยาลัย เดือนมหาวิทยาลัย และนักกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ดีเด่น จะให้เรียกว่าสมบูรณ์แบบยังรู้สึกว่าน้อยไปด้วยซ้ำ
แต่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีแค่พวกเขาสองคนนี้ หน้ากากที่คนตรงหน้าสวมไว้ตลอดเวลาจะถูกเขวี้ยงทิ้งไปอย่างไม่ใยดี



”แต่ว่า…”



“ถ้าจะให้กูกินอะไร…” นิ้วที่รัวลงบนแป้นคีย์บอร์ดหยุดลง นคินทร์เงยหน้าขึ้นมองเด็กรับใช้ที่ยืนถือถาดใส่อาหารด้วยรอยยิ้มมุมปาก “กูอยากกินมึงมากกว่า”



หากใครมาได้ยินคุณชายนคินทร์แสนสุภาพอ่อนโยนพูดอะไรแบบนั้นออกมา คงได้เป็นลมล้มพับด้วยความตกใจ…




…และคงจะหัวใจวายเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น






“อ๊ะ…คุณ…อ๊ะ…อ๊า…คุณคิน…อ๊ะ…”



สะโพกสอบที่โรมรันกระแทกกระทั้นร่างที่คลานเข่าอยู่บนเตียงจนตัวโยกคลอนไปทั้งร่างกัดฟันกรอด เร่งจังหวะการสาวสะโพกเข้าออกจนคนที่อยู่ใต้ร่างร้องครางไม่เป็นภาษา



“กูบอกแล้วไง…” นคินทร์กระซิบข้างหูของอีกฝ่าย ลิ้นร้อนแยงเข้าไปในหูของภวัตจนร่างโปร่งต้องหดคอหนีด้วยความเสียวซ่าน “อยู่บนเตียงให้เรียกกูว่าคิน”



“คิน…มะ…ไม่ไหว…อ๊า…ช้าลงหน่อย…อ๊ะ!”



ร่างเปลือยเปล่าสะบัดศีรษะที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ดวงตาเรียวปรือปรอยฉ่ำวาวไปด้วยความต้องการที่ถูกปลุกขึ้นมาอย่างไม่จำยอม แต่นอกจากเจ้าของชื่อจะไม่สนใจคำขอร้องนั้นแล้ว นคินทร์ยังจงใจรวบร่างที่คลานเข่าอยู่ให้กลับขึ้นมานั่งบนตักของตัวเองโดยไม่ผ่อนผันจังหวะลงแม้แต่น้อย ความลึกขององศาใหม่ทำให้คนที่แทบคลั่งกับท่าก่อนหน้าร้องครางเสียงหวานไม่เป็นภาษาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่



“ชอบช้าๆก็ไม่บอก” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างนึกสนุก ขยับผ่อนปรนจังหวะตามคำขอให้คนที่กำลังจะเสียสติได้มีโอกาสตอบโต้ “ถ้าอย่างนั้นกูจะทำแบบนี้ทั้งคืน…แล้วให้มึงเสร็จพรุ่งนี้เช้าดีมั้ย?”



คนฟังส่ายหน้าหวืออย่างลนลาน กลับกลายเป็นว่าระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นของการเสียดสีผนังอ่อนนุ่มนั้นยิ่งทำให้ภวัตรู้สึกมากกว่าเดิม ร่างโปร่งบิดเร่าในอ้อมกอดแข็งแรง เรียกเสียงหัวเราะทุ้มต่ำอย่างพึงพอใจ



“ถ้าอย่างนั้นอยากได้แบบไหน”



“…”



“ภีม…มึงอยากให้กูทำแบบไหน”



“ผะ…ผมตามใจคิน”


คนขี้อายแทบจะมุดหนีลงไปกับซอกเตียง แต่เห็นได้ชัดว่าคำตอบของเขาเป็นที่พึงพอใจของอีกฝ่ายจากการที่คนใจร้ายเริ่มประสานจังหวะของสะโพกสอบให้เข้ากับหายใจที่หอบกระชั้นของร่างโปร่ง นคินทร์จุมพิตแผ่นหลังนวลเนียนสีน้ำผึ้งอย่างหลงใหล



“ค่อยน่ารักหน่อย”



ทุกสัมผัสของอีกฝ่ายหลังจากนั้นทำให้ภวัตแทบหลอมละลาย ร่างโปร่งทำได้เพียงกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้นในอ้อมกอดของคุณชายคนโตของบ้านอย่างไม่มีทางอื่นให้ระบายความรู้สึกที่ผสมปนเปกันอยู่ภายใน



ความสุขที่ล้นในอกจากการถูกคนที่รักสัมผัส



ความรู้สึกวาบหวามที่ถูกปลุกเร้าไปทั่วทุกประสาทสัมผัสของร่างกาย



และความเจ็บปวด…ที่รู้ดีว่าตนไม่ต่างอะไรกับเครื่องระบายความใคร่ที่ร่างสูงเก็บไว้ใช้เพียงเพราะความสะดวกเท่านั้น










เรื่องทั้งหมดเริ่มขึ้นในช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก ช่วงเวลาที่พวกเขากลายเป็นเด็กเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างเต็มตัว โรงเรียนของภวัตเป็นโรงเรียนรัฐบาลที่อยู่ห่างจากโรงเรียนนานาชาติของนคินทร์ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร เด็กหนุ่มจึงได้อานิสงค์ในการกลับบ้านกับคุณชายทั้งสองของบ้านแทบทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ได้เจอกับคนทั้งคู่บ่อยนักหากไม่ใช่ที่บ้าน



แต่เรื่องนั้นกำลังจะเปลี่ยนไปในช่วงปิดเทอมที่ตึงเครียดที่สุดปิดเทอมหนึ่งในชีวิตของเด็กมัธยมปลาย



“ภีม มานี่ซิลูก”



มารดาของเขาเอ่ยเรียกจากห้องนั่งเล่น ภวัตที่กำลังปัดฝุ่นชั้นใส่ถ้วยรางวัลของนคินทร์วางถ้วยรางวัลสีทองเงาวับลงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะโค้งกายเดินเข้าไปหาคุณนายของบ้านที่นั่งรอเขาอยู่บนโซฟา ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องแล้วเงยหน้าขึ้นมองหญิงวัยกลางคนผู้ให้ทั้งหลังคาคลุมศีรษะพวกเขาพ่อแม่ลูก ให้ทั้งงาน อาหาร ค่าเล่าเรียน ชนิดที่ต่อให้ทดแทนบุญคุณอย่างไรก็ไม่มีวันหมด แม่ของเขามักจะสอนเสมอให้เขาตระหนักถึงบุญคุณของเจ้านาย และนั่นทำให้ภวัตตั้งใจทำงานที่ตนได้รับมอบหมายมาโดยตลอด



“คุณนารามีอะไรให้ผมรับใช้รึเปล่าครับ?”


“ภีม อยากเรียนพิเศษมั้ย?”



นั่นเป็นประโยคแรกที่คุณนาราเอ่ยถามเขา ภวัตนิ่งอึ้ง หันไปหามารดาที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างงุนงง



“เอ้า ไปมองแม่ทำไมล่ะ เราน่ะอยากเรียนติวเข้ามหาวิทยาลัยมั้ย?” นายหญิงของเขาถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ภวัตกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตอบเสียงเบา



“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่อยากเป็นภาระให้แม่”



ในช่วงที่การแข่งขันสูงจนแทบไม่มีที่ยืนให้คนไม่ได้เรียนพิเศษหรือติวกวดวิชา ทำไมเขาจะไม่อยากเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จให้ตัวเอง แต่เขารู้ว่าสถานะทางการเงินของเขาไม่มีทางสู้ไหว และเขาไม่อยากรบกวนมารดาไปมากกว่าที่เป็นอยู่



“ถ้าฉันจะส่งเธอไปเรียนพิเศษกับคินปิดเทอมนี้ สัญญามั้ยว่าจะตั้งใจเรียน” คุณนาราถาม คำถามนั้นทำเอาคนฟังเงยหน้าขึ้นมองหญิงวัยกลางคนอย่างตกใจ



แม้ว่าเจ้าสัวและคุณนาราจะเมตตาส่งเสียเรื่องเรียนในเขามาโดยตลอด แต่ก็เป็นแค่ส่วนต่างค่าเล่าเรียนที่เป็นสิ่งพื้นฐานจำเป็นในการดำรงชีวิต การจะส่งเขาไปเรียนพิเศษในสถาบันชื่อดังราคาแพงในเมืองนั้นเป็นอะไรที่เขาไม่คิดฝันว่าจะได้รับ



“คุณนารา…”



“แต่ฉันมีข้อแม้นะ” นารายิ้มให้เด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับลูกชายคนโต เธอเห็นภวัตมาตั้งแต่เด็กหนุ่มลืมตาดูโลก รู้นิสัยของลูกชายคนรับใช้ของตนดีพอที่จะรู้ว่าเด็กหนุ่มมีความรับผิดชอบมากแค่ไหน “ปิดเทอมนี้ฉันจะให้คินไปอยู่คอนโดหน้าตึกเรียนพิเศษ ฉันจะให้เธอตามไปดูแลเขา เรื่องจัดการห้อง อาหารการกิน คิดว่าทำได้มั้ย?”



ดวงตาสีรัตติกาลเป็นประกายวาววับเมื่อได้ยินว่าตนต้องทำอะไรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน คุณนคินทร์เป็นคนในอุดมคติที่ใครก็ต่างใฝ่ฝันอยากจะเป็น ถึงอยากนั้นร่างสูงกลับไม่เคยแบ่งชนชั้นกับคนรับใช้อย่างพวกเขา ยกมือไว้ผู้อาวุโสทุกคนอย่างนอบน้อมและพูดคุยกับเด็กรุ่นเดียวกันอย่างเขาเหมือนคนปกติ ซึ่งหากเทียบกับคนอายุไล่เลี่ยกันและอยู่ในสังคมแบบเดียวกัน การวางตัวของนคินทร์นั้นทำให้อีกฝ่ายยิ่งดูเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่นๆ



เขาไม่รู้ว่าเขาจะสามารถดูแลคุณนคินทร์ได้ดีแค่ไหน แต่ภวัตก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้อยู่ใกล้คนที่เขาชื่นชม



“ได้ครับ!”



เด็กหนุ่มไม่ได้รู้เลยว่าคำตอบนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา








“คิดอะไรอยู่?”



คนที่เหม่อคิดอะไรไปเรื่อยสะดุ้งเมื่อฟันคมงับดึงต่างหูวงเล็กบนติ่งหูเย็นเบาๆ นคินทร์เป็นคนพาเขาไปเจาะหู แม้ว่าภวัตจะไม่ได้รู้สึกพิสมัยอะไรเจ้าเครื่องประดับเรียบหรูนั้น แต่หากมันทำให้นคินทร์มีความสุข เขาก็ไม่นึกเกี่ยง



“เปล่าครับ…”



“คิดถึงฉันอยู่รึเปล่า?” เสียงทุ้มกระซิบถามอย่างหยอกเย้า ไล้นิ้วไปตามแนวกระดูกสันหลังเปลือยเปล่าอย่างเบามือ แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว



“…ครับ”



เพราะนอกจากคนคนนี้ เขาไม่คิดว่าตัวเองมีเนื้อที่ในสมองมากพอให้คิดถึงใครอีกแล้ว



“หึ ปากหวาน”



ริมฝีปากร้อนประกบจูบพิสูจน์ความหวานที่ว่านั้น ภวัตหลับตาลง ดื่มด่ำไปกับรสจูบแสนมัวเมาด้วยความเต็มใจ



เขาจะตักตวงความสุขนี้ไว้เท่าที่นคินทร์จะยอมให้เขาอยู่เคียงข้าง


ก๊อกๆๆ



“คิน นอนรึยังลูก”



ร่างทั้งสองบนเตียงสะดุ้ง ภวัตรีบกระโจนลงจากเตียงโดยไม่ลืมคว้าเสื้อผ้าของตนที่กระจายอยู่บนพื้นผลุบหายไปในห้องน้ำ ส่วนเจ้าของห้องก็รีบใส่กางเกงกลับเข้าไปแล้วจัดผมเผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเปิดประตูให้มารดาพร้อมรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์



“ครับแม่?”



“อ้าว อยู่คนเดียวเหรอจ๊ะ? แม่นึกว่าภีมขึ้นมาทำความสะอาดห้องซะอีก” คุณนาราเอ่ยทัก แม้ในใจจะร้อนรน แต่นคินทร์ที่ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการกลบเกลื่อนความรู้สึกของตนเพียงแต่ยิ้ม



“ครับ พอดีผมรู้สึกเพลียๆ เลยบอกให้ภีมมาเก็บกวาดพรุ่งนี้ ถึงยังไงก็ต้องกลับไปค้างคอนโดอยู่ดี”



“งั้นเหรอจ๊ะ…” มารดาบุญธรรมของเขาตอบเพียงเท่านั้น ก่อนจะเข้าประเด็นที่ทำให้ตนมาเคาะประตูห้องของลูกชาย “คิน…แม่เป็นห่วงทีจัง”



“ทำไมเหรอครับ?”นคินทร์กอดอกเอนพิงบานประตู คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างเป็นกังวลตามท่าทีของมารดา



“ก็เรื่องทีกับเจษฎ์น่ะสิ…” คุณนาราถอนหายใจ “ถึงจะรู้ว่าเจษฎ์เป็นเด็กดีก็เถอะ แต่พากันมานอนค้างที่บ้านแบบนี้…”



“แม่ครับ…” นคินทร์เอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่ก็รู้ว่าทีแอบชอบเจษฎ์มาตั้งหลายปี ถ้าจะมีอะไรเกิดก็คงเกิดไปนานแล้วล่ะครับ อีกอย่าง ให้น้องอยู่ที่นี่ยังดีกว่าเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองที่อื่นนะครับ”



“…ถ้าคินว่าแบบนั้น แม่ก็สบายใจ”


นารายิ้มให้บุตรชายคนโต แม้ว่าแววตายังคงไม่คลายความกังวล นคินทร์รู้ดีว่าน้องชายของตนโชคดีกว่าหลายๆคน ในบ้านที่ยังคงไม่ยอมรับเรื่องรสนิยมทางเพศที่ผิดแปลกไปจากกระแสสังคม ทั้งพ่อและแม่ของพวกเขากลับพยายามเข้าใจนทีเท่าที่คนสองคนที่เกิดมาในยุคที่การรักชอบเพศเดียวกันยังถือเป็นความผิดแปลกทางขนบธรรมเนียมจะทำได้



เพราะไม่ว่านทีจะเป็นอย่างไร น้องชายของเขาก็ยังคงเป็นสายเลือดของวิสุทธรากร



หลังลับร่างผู้เป็นมารดา นคินทร์เดินไปทางประตูที่เขารู้ว่าภวัตยังคงซ่อนอยู่ภายใน เจ้าของห้องบิดลูกบิดประตูเปิดโดยไม่คิดบอกกล่าวถึงการมาของตน นคินทร์ยิ้มเมื่อเห็นร่างของเพื่อนร่วมเตียงนอนคุดคู้อยู่ในอ่างอาบน้ำราวกับกลัวว่าจะมีคนเปิด
เข้ามาเห็น



“แม่กลับไปแล้ว”



ภวัตถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ชันตัวขึ้นนั่งในอ่างอาบน้ำขนาดสองคนอาบด้วยสีหน้าเป็นกังวลไม่หาย เสื้อผ้าที่เจ้าตัวรีบร้อนคว้าเข้ามาโดนน้ำที่ยังขังอยู่ก้นอ่างจนเปียกชื้นลู่ติดผิวกายเนียนสีน้ำผึ้ง และนคินทร์คงโกหกหากบอกว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับภาพตรงหน้า



“ถ้าอย่างนั้นผมกลับ…”



“ใครบอกให้มึงกลับ?”รอยยิ้มมุมปากที่ทำให้ใจของภวัตกระตุกทุกครั้งที่ได้เห็นอันตรธานหายไปทันทีที่ได้ยิน



เขารู้สึกว่าอารมณ์ของนคินทร์เป็นเหมือนขนมช็อกโกแลตสอดไส้ที่อีกฝ่ายชอบนำมาฝากเขา ทั้งที่ข้างนอกหน้าตาเหมือนจนแทบแยกไม่ออก แต่ทุกครั้งที่กัดเข้าไป ใส้ข้างในกลับไม่เคยเหมือนกันเลยสักครั้ง



“คุณคิน…”


เขาควรจะเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง เพราะทันทีที่คำเรียกนั้นหลุดออกจากปากของภวัต แขนแกร่งก็กระชากแขนของเขาจนตัวแทบจะลอยหวือขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำ



“คนอย่างมึง ถ้าไม่ลงโทษก็คงจะไม่หลาบจำสินะ”



ร่างโปร่งก้มหน้างุด ไม่ทักท้วงเมื่อคุณชายคนโตของบ้านแทบจะฉีกทึ้งเสื้อสีขาวตัวบางที่เจ้าตัวเป็นคนซื้อให้เขา ไม่ขัดขืนเมื่ออีกฝ่ายผลักเขาชิดผนังห้องน้ำ ใช้เข่าแยกเรียวขาเขาออกจากกันแล้วเริ่มต้นบทลงโทษที่กล่าวไว้



เขาไม่พูดอะไรถึงแม้ร่างกายจะถูกย่ำยีจนแทบไร้เรี่ยวแรงจะยืนด้วยขาของตัวเอง ภวัตเพียงแค่โอบแขนเรียวรอบคอของคอร่างสูง แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายลงโทษเขาจนกว่าจะพอใจ



เพราะของเล่นอย่างเขา ไม่มีหน้าที่อะไรมากไปกว่าการถูกอีกฝ่ายใช้เป็นของฆ่าเวลาแก้เบื่อเท่านั้น



------------

อีกสองคู่ได้ออกโรงกับเขาบ้างล้าวววววว  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 3.2: เก็บตกวันเกิด [10-06-19] คห.12-13
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 10-06-2019 21:29:01
สามคู่ สามอารมณ์เลย.  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 3.2: เก็บตกวันเกิด [10-06-19] คห.12-13
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 13-06-2019 15:41:08
Day 4.1 #นคินทร์ภีม



“คิน เช้าแล้วนะครับ…”



“ไม่ กูอยากกอดมึง มึงใจร้ายมากนะรู้มั้ยภีม ทิ้งกูให้นอนคนเดียวทั้งคืน…”


ภวัตคลยิ้มอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับร่างสูงที่ไม่ยอมปล่อยเขาจากอ้อมกอดตั้งแต่กลับมาจากงานวันเกิดของนที พวกเขาอยู่ในห้องนอนใหญ่ในคอนโดของร่างสูงที่ภวัตนอนแทนห้องของตัวเองมาตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่วันแรก ห้องนอนเล็กที่ควรจะเป็นห้องของเขาถูกใช้เป็นห้องเก็บของเพราะเจ้าของห้องไม่เคยยอมให้เขานอนห่างกายแม้แต่คืนเดียว นคินทร์ตวัดขาเกี่ยวให้สะโพกกลมขยับเข้ามาใกล้ส่วนของร่างกายที่ดุนดันราวกับจะฟ้องให้รู้ว่าภวัตนั้น ‘ใจร้าย’ แค่ไหน



“ก็ผมต้องกลับไปนอนเรือนเล็กนี่ครับ ไม่อย่างนั้นพ่อกับแม่คงสงสัยแย่”…แล้วนคินทร์ก็เก็บกำไรล่วงหน้าในห้องตัวเองไปหลายครั้งก่อนจะยอมปล่อยเขากลับแล้วด้วย



“ไม่ใช่ข้ออ้าง” คนเอาแต่ใจเอ่ยอย่างดื้อดึง จมูกโด่งฝังลงบนซอกคอเนียน ซุกไซร้ฝากรอยประทับย้ำบนรอยที่ตนทำไว้เมื่อคืนอีกครั้งราวกับกลัวว่ามันจะจางหายไป



ภวัตเอียงคอเปิดทางให้อีกฝ่ายแต่โดยดี คนอย่างนคินทร์ ต่อให้เถียงอย่างไรผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่ต่างกัน



แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบหรอกนะ…










“เงินเดือนนี้กูเข้าแล้วนะ เห็นรึยัง?” นคินทร์ในชุดสูททางการเต็มยศก้าวออกมาจากห้องแต่งตัว ภวัตพยักหน้า พับผ้าสะอาดที่ตนเก็บมาตั้งแต่เมื่อคืนแต่ยังไม่มีโอกาสได้พับวางซ้อนกันเป็นระเบียบ



“ครับ เดี๋ยววันนี้ผมจะไปจ่ายค่าคอนโดที่ธนาคาร จะให้ผมโอนเข้าบัญชีคินเท่าไหร่ดีครับ?”



“เท่าที่มึงอยากให้กูใช้นั่นแหละ” ร่างสูงไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ



รายได้ทั้งหมดของนคินทร์มาจากการทำงานในบริษัทของบิดา การลงทุนในตลาดหุ้น รวมไปถึงธุรกิจเล็กๆต่างๆที่ร่างสูงเป็นคนเริ่มเองตั้งแต่ต้น นคินทร์เป็นคนบ้างานชนิดหาตัวจับยาก และประสบการณ์ในการเรียนรู้งานจากบิดาทำให้ร่างสูงมีแต้มต่อคนอื่นอยู่มาก จึงไม่แปลกที่ภวัตจะรู้สึกเหมือนลมจะจับทุกครั้งที่ได้เห็นรายได้ในแต่ละเดือนของร่างสูง



แต่สิ่งที่แปลก คือเงินทุกบาททุกสตางค์ที่นคินทร์หามาได้ ชายหนุ่มมอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแลทั้งหมด กระทั่งค่าใช้จ่ายในการไปเรียนและไปทำงานในแต่ละวัน นคินทร์ยังให้เขาเป็นคนตัดสินใจให้และจะเอ่ยปากขอเพิ่มเมื่อรู้สึกว่าจำเป็นเท่านั้น
ภวัตยังจำเดือนแรกที่อีกฝ่ายมอบสมุดบัญชีกับบัตรให้ตนได้ ตัวเขาในตอนนั้นแทบไม่เป็นอันกินอันนอนด้วยกลัวว่าตนจะเผลอทำเงินหายไปไม่ช่องทางใดก็ช่องทางหนึ่ง แต่นคินทร์ไม่เคยถามถึงจำนวนเงินในบัญชีกับเขา ภวัตไม่รู้ว่าจะสามารถเรียกนั่นว่าเป็นความไว้ใจหรือไม่ใส่ใจกันแน่



“คืนนี้กูกลับดึกหน่อยนะ มีประชุม” นคินทร์คว้ากุญแจรถ ก้มลงขโมยหอมฟอดใหญ่จากแก้มเนียนพร้อมรอยยิ้ม แม้จะเป็นสิ่งที่ทำทุกวันแต่ภวัตยังคงใจเต้นแรงทุกครั้งที่ถูกสัมผัส



“ครับ ให้ผมรอมั้ยครับ?”



“นอนเถอะ เดี๋ยวกูมามึงก็ตื่นเองแหละ” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำนั้นไม่ช่วยให้ใบหน้าที่แดงก่ำอยู่แล้วดีขึ้น ภวัตทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก้มหน้าลงพับผ้าต่อ แต่นคินทร์ไม่ได้ถือสา เพียงแค่ขโมยหอมฟอดใหญ่ไปอีกข้างแล้วเดินออกจากห้องไป



เมื่อลับร่างเจ้าของห้องความรู้สึกโหวงในช่องท้องที่คุ้นเคยก็กลับมาอีกครั้ง ราวกับว่าตัวตนของนคินทร์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ภวัตลืมความเป็นจริงได้



ความจริงที่ว่าที่เขายังอยู่ตรงนี้เป็นเพียงเพราะนคินทร์ไม่มีวันคบกับผู้ชายอย่างเปิดเผยได้



เพราะนคินทร์รู้ดีว่าบิดาและมารดาของตนเพียงแค่ฝืนทนตัวตนของนทีอย่างไม่มีทางเลือก เพราะนทีเป็นสายเลือดที่แท้จริงของวิสุทธรากร ต่อให้น้องชายของตนชอบผู้ชาย… ทั้งเจ้าสัวและคุณนาราก็ไม่มีวันทอดทิ้งลูกในไส้ของตน



แต่นคินทร์ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขนั้น



เพราะความสัมพันธ์ของนคินทร์กับบิดามารดาไม่มีอะไรนอกจากกระดาษแผ่นบางเป็นตัวยืนยัน คุณชายใหญ่ของบ้านจึงทำทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็นครั้งแล้วครั้งเล่า



คำว่าสมบูรณ์แบบ นคินทร์ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย



และเพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่เล็กต้องพังทลาย นคินทร์จึงเลือกใช้คนที่ใกล้ตัวที่ตนวางใจอย่างภวัตเป็นเครื่องระบายแทนที่จะเสี่ยงกับคนนอกที่อาจปล่อยให้เรื่องรั่วไหลออกไปได้



ความสบายใจเล็กๆของภวัตมีเพียงเรื่องที่เขารู้ว่าตราบใดที่นคินทร์ยังคงเก็บเรื่องรสนิยมทางเพศของตัวเองเป็นความลับ เขาจะเป็นของเล่นเพียงชิ้นเดียวที่อีกฝ่ายมี สถานะที่เขาสมยอมตั้งแต่วันแรกในความสัมพันธ์ประหลาดนี้









วันนี้เป็นวันแรกที่นคินทร์ย้ายเข้ามาในคอนโดที่มารดาซื้อให้เพื่อใช้เป็นที่พักในช่วงสามเดือนที่เด็กหนุ่มจะติวเข้มเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย



ภวัตและคนงานอีกหลายคนช่วยกันยกข้าวของเครื่องใช้ขึ้นห้อง โดยมีคุณชายนคินทร์คอยช่วยราวกับว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนงาน ร่างสูงเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงใจกับทุกคน แม้กระทั่งกับภวัตที่อายุเท่ากัน



“นายไปจัดข้าวของในห้องนอนฉันก็ได้ เดี๋ยวพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าฉันลงไปช่วยคนอื่นขนเอง” นคินทร์เอ่ยกับเขาพร้อมรอยยิ้ม ภวัตรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนผ่าว นึกขอบคุณเฉดสีผิวของตัวเองที่ทำให้ความแดงของใบหน้าไม่เป็นที่สังเกตมากนัก



“แต่ผมไม่ทราบว่าคุณคินอยากให้วางอะไรตรงไหน…”



“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเชื่อใจนาย”



ร่างสูงขยิบตาให้เขา เมื่อรวมกับรอยยิ้มละลายใจนั้นทำเอาคนมองแทบยืนไม่อยู่ ภวัตรีบพยักหน้าหงึกหงักอย่างลุกลี้ลุกลน ผลุบหายเข้าไปในห้องนอนของนคินทร์ที่เต็มไปด้วยลังกระดาษวางเรียงรายเต็มไปหมด



ก็คุณคินเล่นเป็นซะแบบนี้ จะไม่ให้เขาใจเต้นทุกครั้งที่อยู่ด้วยได้ยังไงกัน



ภวัตคุกเข่าลงนั่งบนพื้นแล้วหยิบเอาหนังสือและเอกสารประกอบการเรียนต่างๆออกมาจากลัง จำแนกของทุกอย่างตามรายวิชาแล้วจัดเก็บใส่ตู้หนังสือติดผนังขนาดใหญ่สีขาวสะอาดตาที่วางข้างโต๊ะอ่านหนังสือสีดำด้าน จะว่าไปแล้วสีของเฟอนิเจอร์ต่างๆภายในห้องก็เป็นสีขาวดำเรียบหรูสไตล์โมเดิร์นเสียส่วนใหญ่



รสนิยมนี่เป็นสิ่งที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงินจริงๆ


“มา…ฉันช่วย”



เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหูทำเอาคนกำลังเหม่อสะดุ้ง โขกศีรษะเข้ากับชั้นวางหนังสือดังโป๊กใหญ่ ภวัตยกมือขึ้นกุมจุดที่กระแทกพร้อมกับร้องซี้ดออกมาด้วยความเจ็บ



เขาได้ยินเสียงคุณชายของบ้านหลุดขำพรืดออกมากับความเปิ่นของเขา แต่ก่อนที่ภวัตจะได้ทำอะไร มือใหญ่ก็วางลงทับมือของเขาบนศีรษะ ใบหน้าคมที่นับวันยิ่งดูหล่อเหลาเกินเด็กมัธยมปลายยื่นเข้ามาใกล้ ดวงตาสีรัตติกาลเป็นประกายขบขัน



“นี่จะมาอยู่ดูแลฉันหรือมาให้ฉันดูแลกันแน่…หืม?”



“ขอโทษครับ…” ภวัตเอ่ยด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด เรียกเสียงหัวเราะในลำคออีกละรอกจากนคินทร์



“มีใครบอกมั้ยว่านายมันน่าแกล้งชะมัด” ร่างสูงลุกขึ้นจากพื้น ยื่นมือให้ภวัตที่ยังนั่งอยู่จับแล้วดึงอีกฝ่ายขึ้นมาด้วยกัน “คนอื่นกลับไปหมดแล้ว เดี๋ยวจัดของเสร็จไปหาอะไรกินกันดีกว่า”



“ครับ…”



ภวัตพยักหน้ารับ ด้วยความเป็นเด็กอายุน้อยที่สุดในบรรดาคนรับใช้ เขาไม่เคยขัดคำสั่งที่ได้รับมอบหมายไม่ว่าจะจากใคร เขาคิดว่าความว่าง่ายของเขาอาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่คุณนาราเลือกให้เขามาอยู่กับคุณนคินทร์ก็เป็นได้









พวกเขาใช้ชีวิตเหมือนเพื่อนร่วมห้องมากกว่าเจ้านายและคนรับใช้ นคินทร์มักจะช่วยเขาทำความสะอาดห้อง ล้างจานชาม หรือแม้กระทั่งเป็นลูกมือเข้าครัวเวลาที่ร่างสูงอารมณ์ดี ทั้งที่พวกเขาไม่เคยใกล้ชิดกันในแง่ที่มากไปกว่าคนรู้จักที่อาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน แต่ทุกครั้งที่นคินทร์ส่งยิ้มให้ ใจเจ้ากรรมก็มักจะเต้นถี่ขึ้นทุกที



ถึงอย่างนั้น สิ่งหนึ่งทำให้ภวัตรู้สึกว่าเขาได้เข้าใกล้ตัวตนที่แท้จริงของร่างสูง คือท่าทีหงุดหงิดใจเมื่อบางสิ่งไม่เป็นไปอย่างที่หวังของร่างสูงที่มักจะทำเวลาที่อีกฝ่ายคิดว่าเขาไม่ได้สังเกต ซึ่งภวัตยอมรับว่าการได้เห็นคนอย่างนคินทร์ชักสีหน้าทำให้เขาตื่นตระหนกพอสมควร



ในครั้งแรก ภวัตคิดว่ามันเป็นเพียงจินตนาการ เป็นเพียงสิ่งที่สมองเขาสร้างขึ้นมาเพื่อให้ความรู้สึกที่มีต่อนคินทร์เจือจางลงไปบ้าง ทว่ายิ่งนานวัน พฤติกรรมประหลาดของคนที่เขาคิดว่าเป็นเทพบุตรแสนดียิ่งดูน่ากลัวขึ้นทุกที



ในวันที่เขากลับมาที่ห้องก่อนเวลาเพราะลืมกระเป๋าเงินหลังจากนคินทร์วานให้ไปซื้อของ ภวัตตระหนักได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เกิดแค่ในหัวของเขา


โครม!!เพล้ง!!!



ปึก!ปึก!โครม!!



เสียงข้าวของตกกระจายตามกันพร้อมกับเสียงของแข็งกระแทกเข้ากับฝาผนังอย่างต่อเนื่องทำให้ภวัตตัวชาด้วยความตกใจ ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวของเขาคือมีขโมยขึ้นห้อง ทว่าเสียงคำรามของนคินทร์ที่ดังไม่เป็นศัพท์ราวกับสัตว์ร้ายกำลังบาดเจ็บทำให้มือที่กำลังจะกดโทรหาตำรวจของเขาชะงัก



ภวัตรู้ว่าสิ่งที่เขาควรทำคือเปิดประตูเข้าไปในตอนนี้ เปิดเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในห้องนอนของร่างสูง แต่ความขี้ขลาดในตัวทำให้เขาเลือกที่จะคว้ากระเป๋าเงินที่ตนวางลืมไว้บนโต๊ะห้องนั่งเล่น แล้วปิดประตูห้องอย่างเงียบเชียบ



คืนนั้น ภวัตกลับมาถึงห้องช้ากว่าเวลาปกติพร้อมกับของสดมากมายในมือ เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตนจะเจอกับอะไรตอนที่เขาเปิดประตูห้องเข้าไป แต่ภาพของนคินทร์ที่นั่งอ่านหนังสือเรียนบนโซฟาตัวยาวด้วยสีหน้าสงบสุขเป็นสิ่งสุดท้ายที่ภวัตคิดว่าจะเจอ



“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ?”


นคินทร์ปิดหนังสือในมือ เงยหน้ามองเขาด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกับทุกครั้ง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความสนใจของภวัตหันเหไปจากมือทั้งสองข้างที่ถูกพันด้วยผ้าก็อซสีขาวสะอาดของอีกฝ่าย



“คุณคิน…”



“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ วันนี้เราออกไปกินข้าวข้างนอกกันดีกว่า ฉันอยากเปลี่ยนบรรยากาศ”



นคินทร์เปลี่ยนเรื่อง ลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเงินของตัวเองด้วยมือข้างหนึ่ง คว้ามือของภวัตไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เด็กหนุ่มผิวน้ำผึ้งก้มมองมือของตนที่ถูกจับไว้ ใบหน้าเรียวร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ และดูจากแววตาแพรวพราวของนคินทร์ ร่างสูงรู้ดีว่าสัมผัสของตนมีอิทธิพลกับภวัตมากเพียงใด








พวกเขามาลงเอยที่ร้านอาหารตามสั่งเล็กๆที่ตั้งอยู่ท่ามกลางร้านอาหารมีชื่อมากมายในบริเวณสถานที่เรียนพิเศษซึ่งอยู่ห่างจากคอนโดแค่ถนนคั่น ถึงจะบอกว่าเป็นร้านเล็กๆแต่นั่นก็เป็นการเทียบกับร้านอื่นๆในละแวกนั้น ภายในตัวร้านเป็นห้องกระจกมีเครื่องปรับอากาศและตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าขาวสบายตา เจ้าของร้านเป็นคุณป้าใจดีที่ต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง



“อยากกินอะไรสั่งได้เลยนะ” นคินทร์เงยหน้าขึ้นจากเมนู บอกร่างที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งไม่มีท่าทีจะเปิดเมนูของตัวเอง ภวัตส่ายหน้าอย่างเกรงใจ



“ผมกลับไปทำอะไรกินที่ห้องก็ได้ครับ…”



“พูดอะไรอย่างนั้น” นคินทร์ขมวดคิ้ว “มาถึงนี่แล้วก็กินเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”



ภวัตที่ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดใจหันไปสั่งอาหารกับบริกรเสียงเบา มื้ออาหารของพวกเขาดำเนินไปด้วยความเงียบสงบ สำหรับนคินทร์ที่หยิบเอาแท็บเล็ตของตนขึ้นมาเปิดชีทสรุปที่ตนทำไว้อ่านระหว่างทาน นั่นเป็นเรื่องที่ร่างสูงเคยชิน แต่สำหรับภวัตที่ยังคงได้ยินเสียงคำรามของคุณชายใหญ่ที่ตนรับใช้ดังก้องอยู่ในหู ความเงียบนั้นเป็นสิ่งที่น่าอึดอัดจนเขาหายใจไม่ออก



“คุณคิน…กลับไปแล้ว ผมขอทำแผลให้ได้มั้ยครับ?”



นคินทร์เงยหน้าขึ้นจากแท็บเลตในมืออย่างประหลาดใจ แต่ก็พยักหน้า หลังจากออกมาจากร้านอาหาร ภวัตเดินต่อไปยังร้านขายยาที่อยู่ไม่ไกล ไม่ได้สังเกตว่านคินทร์ยังเดินทอดน่องตามตนอยู่ห่างๆ



“เอาผ้าก๊อซแบบพันไปด้วยก็ได้นะ”



เด็กหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งที่กำลังจดจ่อกับการอ่านสรรพคุณยาแก้อักเสบสะดุ้ง นึกขอบคุณตัวเองที่ไม่ได้หันไปหาต้นเสียงซึ่งกระซิบอยู่ข้างหูตามสัญชาตญาณ เพราะช่องว่างระหว่างใบหน้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่สามารถรองรับการขยับพลาดได้แม้แต่องศาเดียว



“คุ…คุณคิน รบกวนขยับหน่อยได้มั้ยครับ…”



“ได้สิ” แต่แทนที่จะขยับออกไป นคินทร์กลับขยับเข้ามาใกล้เสียจนภวัตต้องเป็นฝ่ายถอยหนีอย่างตกใจ ก่อนจะผละออกจากคนตัวเล็กกว่าพร้อมกล่องใส่ผ้าก๊อซในมือ ยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะกับท่าทีของคนข้างกาย“เอาอะไรอีกมั้ย?”



“มะ…ไม่มีแล้วครับ”



ภวัตรีบเข็นรถเข็นหนีอีกฝ่ายโดยไม่สนใจว่ากิริยาของตนจะดูมีพิรุธในสายตาของคุณชายคนโต



ถ้าอยู่กับคุณคินนานกว่านี้ เขาคงได้หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันตั้งแต่เด็กแน่ๆ








หัวใจของภวัตแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นสภาพแผลบนมือขวาของร่างสูงหลังจากแกะผ้าพันแผลเก่าออก แผลถูกของมีคมบาดหลายตำแหน่งกระจายตัวตามผิวเนียนละเอียดบนหลังมือและฝ่ามือของนคินทร์ บางแผลยังคงมีเลือดสีแดงสดซึมออกมา เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามือของตนสั่นระริกขณะที่ใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดแผลให้คุณชายของตน



“จะไม่ถามจริงๆเหรอ?” เสียงทุ้มถาม


ภวัตส่ายหน้า ยังคงก้มหน้าจดจ่อกับบาดแผลของมือที่วางอยู่บนตักของตน เขาไม่ไว้ใจให้ตัวเองพูดอะไรออกมาในตอนนี้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่คิดเช่นนั้น มือใหญ่ข้างที่เป็นอิสระเชยคางมนขึ้นมองตัวเอง นคินทร์ขมวดคิ้วด้วยแววตาเป็นกังวล



“ร้องไห้ทำไม?” และนั่นทำให้ภวัตตระหนักได้ว่าภาพตรงหน้าเลือนรางจากของเหลวที่เอ่อท้นขึ้นมาบนขอบตาที่ร้อนผ่าว เด็กหนุ่มส่ายหน้า พยายามก้มหน้าทำแผลต่อแต่นคินทร์ปฏิเสธที่จะปล่อยมือ “ภีม ตอบฉัน นายร้องไห้ทำไม”



“ผม…เจ็บแทนคุณคินครับ” เด็กหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งตอบเสียงเบา อับอายกับอารมณ์อ่อนไหวของตัวเอง



เขาคิดว่านั่นจะเป็นจุดจบของบทสนทนา แต่นิ้วเรียวยาวยังคงไม่ยอมละจากใบหน้าเรียว ดวงตาสีรัตติกาลจดจ้องเข้ามาในดวงตาของเขา ราวกับว่านคินทร์กำลังพยายามค้นหาความหมายที่ซุกซ่อนอยู่ในคำตอบนั้น



หากเป็นเช่นนั้น ความคิดของเขาคงถูกอ่านออกอย่างง่ายดายราวกับถูกเขียนไว้บนกระดาษ เพราะไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ริมฝีปากได้รูปที่เขามักจะเผลอตัวจ้องมองอยู่บ่อยครั้งก็ทาบทับลงมาบนริมฝีปากบางของเด็กหนุ่ม



เขากำลังจูบกับคุณคิน…



นั่นเป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่ลิ้นร้อนจะฉกชิงเอาความสามารถในการคิดของเขาไปจนหมดสิ้น



ภวัตไม่รู้ว่าพวกเขาจูบกันนานแค่ไหน ในความรู้สึกของเด็กหนุ่ม จูบนั้นเหมือนยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์และสั้นเพียงชั่วพริบตาในเวลาเดียวกัน



ร่างโปร่งรู้สึกเหมือนส่วนหนึ่งของตัวเองถูกช่วงชิงไปเมื่อนคินทร์ผละออกจากตนอย่างรวดเร็ว ราวกับเพิ่งตระหนักได้ว่าตนทำอะไรลงไป ดวงตาคมเบิกกว้าง ก่อนที่ร่างสูงจะผุดลุกขึ้นจากโซฟาด้วยสีหน้าลนลานอย่างที่ภวัตไม่เคยเห็นมาก่อน



“ฉันจะไปนอน”


“แต่แผล…” แม้ในหัวจะยังคงมึนเบลอจากเหตุการณ์ก่อนหน้า แต่ภวัตยังคงเอ่ยท้วงอย่างเป็นกังวล



“เดี๋ยวฉันทำเอง นายไปพักผ่อนเถอะ”


ไม่รอให้เด็กรับใช้ของตนทักท้วง นคินทร์คว้าเอากล่องปฐมพยาบาลด้วยมือข้างที่ยังมือผ้าพันไว้แล้วสาวเท้ากลับไปยังห้องนอนของตัวเอง ทิ้งให้ภวัตที่ยังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาอย่างไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไรกับเรื่องเมื่อครู่





เมื่อกี้…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


-----------
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 4.1: นคินทร์ภีม [13-06-19] คห.15
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 13-06-2019 18:49:41
ขอบคุณค่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 4.1: นคินทร์ภีม [13-06-19] คห.15
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 16-06-2019 14:21:55

Day 4 : วัดตัว วัดใจ



“พี่ต้าครับ จริงๆผมวัดเองก็ได้นะครับ…”



หนึ่งในกิจวัตรประจำวันที่เพิ่มขึ้นหลังจากมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในห้องของผมคือการชั่งน้ำหนักและวัดสัดส่วนก่อนอาหารเย็น ซึ่งผมจะไม่ปริปากบ่นเลยถ้าหากกิจกรรมนี้ไม่ได้มีข้อบังคับให้ผมต้องถอดเสื้อผ้าเหลือแค่กางเกงบ็อกเซอร์หนึ่งตัวไว้ปกปิดอะไรๆไม่ให้อุจาดตา



พี่ต้าก้มๆเงยๆวัดรอบเอว(รอบพุง)ของผมอย่างขะมักเขม้น ความจริงจังของอีกฝ่ายช่วยลดความรู้สึกขัดเขินในใจไปได้บ้าง แต่หากจะให้พูดว่าผมไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงจะเป็นการโกหก



“ไม่ได้หรอกปราณ ถ้าพี่ไม่ได้เป็นคนวัดเองทุกครั้ง สัดส่วนจะคลาดเคลื่อนน่ะ” พี่ต้าอธิบาย แตะต้นขาของผมให้ขยับเบาๆ



“อ้าขาให้พี่นิดนึงนะ”



“มันต้องวัดทุกวันจริงๆเหรอครับ” เล่นโดนพี่ต้าจับนู่นแตะนี่ทุกวันแบบนี้ ถึงจะฟินแต่ผมก็ไม่รู้ตัวเองจะเก็บอาการไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตไปได้อีกนานแค่ไหน


“อายพี่เหรอครับปราณ” พี่ต้าที่คุกเข่าอยู่บนพื้นช้อนตาขึ้นมองผมพร้อมรอยยิ้มขำ ผมเบือนหน้าหนี ไม่ไว้ใจเสียงของตัวเองให้ทำหน้าที่ของมัน แต่ดูเหมือนว่านั่นจะทำให้พี่ต้าถือเอาความเงียบเป็นการยอมรับ เพราะอีกไม่กี่วินาทีต่อมา เสื้อยืดเข้ารูปของอีกฝ่ายก็ลงไปกองอยู่บนพื้นเป็นเพื่อนเสื้อผ้าของผม



“เฮ้ย!”



“อ่ะ พี่ถอดเป็นเพื่อน ปราณจะได้ไม่อาย” พี่ต้ายิ้มก่อนจะหันไปจดสัดส่วนของผมลงในสมุดบันทึก



ตรรกะประเภทไหนของพี่วะครับเนี่ย?!



ผมลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อกล้ามท้องแน่นปรากฏแก่สายตา ถึงจะได้เห็นมาไม่รู้กี่ครั้งหลังอาบน้ำ แต่ผมก็ยังคงทำใจให้ชินไม่ได้เสียที



“เสร็จแล้ว ปราณไปอาบน้ำก่อนเลย เดี๋ยวพี่ทำข้าวเย็นให้”



พี่ต้าลุกขึ้นจากพื้นพร้อมม้วนสายวัด ผมพยักหน้าแล้วหอบเสื้อผ้าตัวเองเข้าไปในห้องน้ำ



น้ำอุ่นๆที่ช่วยปลอบประโลมกล้ามเนื้อที่ปวดระบมจากการยกเวทของผม พี่ต้ามักจะใจเย็นกับผมเสมอในการออกกำลังกาย แต่ไม่ครั้งไหนที่เขายอมให้ผมหยุดก่อนจะครบเซ็ทแม้ว่าสภาพผมจะเหมือนหมูตกน้ำจากเหงื่อที่ทะลักออกมาจากทุกรูขุมขนแค่ไหน



ผมก้มลงมองพุงกลมๆเด้งดึ๋งของตัว บีบก้อนเนื้อเหลวๆนั้นราวกับจะดึงมันออกมาจากร่างกายได้ด้วยมือเปล่า ถึงแม้ผมจะไม่ได้อ้วนเผละจนสามารถกลิ้งแทนการเดินได้ แต่ก็ยังคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าไขมันส่วนเดินทั้งหลายแหล่นี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเอง



ผมแต่งตัวในชุดนอนสีชมพูลายลูกหมูที่ม้าซื้อให้แล้วก้าวออกมาจากห้องน้ำ



“พี่ต้า ห้องน้ำว่างแล้วครับ…”



พี่ต้ายังคงจดจ่ออยู่กับอาหารเย็นในหม้อที่ส่งกลิ่นหอมฉุยเรียกน้ำย่อยในท้องผมให้ร้องโครกครากประท้วงหาอาหาร ยังคงหันมายิ้มให้ผมอย่างอารมณ์ดีราวกับความร้อนของไอน้ำจากหม้อไม่ได้ทำให้เหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก ยังคงเปลือยท่อนบนเหมือนก่อนที่ผมจะหนีหายเข้าห้องน้ำไปก่อนหน้านี้



“พี่ต้า...ไม่ใส่เสื้อเหรอครับ...”



“ไม่เห็นต้องใส่เลย เดี๋ยวก็อาบน้ำแล้ว เสื้อจะได้ไม่เลอะด้วย” พี่ต้าตักหมูตุ๋นในหม้อใส่ถ้วยแล้วนำไปวางที่โต๊ะอาหาร ถึงแม้ช่วงเวลาไม่กี่วันที่ได้ใช้เวลาด้วยกันจะทำให้ผมได้สัมผัสกับความคิดที่...ไม่เหมือนใครของพี่ต้า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจน้อยลงทุกครั้งที่ได้ยิน



และภาพทิวทัศน์ในตอนนี้ทำให้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะบ่นอะไรมากนัก



ผมนั่งลงตรงข้ามกับพี่ต้าที่ยังคงไม่คิดจะหาอะไรมาคลุมปิดร่างกายท่อนบน หรือว่านี่จะเป็นกุศโลบายของบริษัทให้ลูกค้าจ้องกล้ามของเทรนเนอร์ตัวเองติดต่อกันเป็นเวลานานเพื่อให้มีเป้าหมายในการออกกำลัง?



เพราะผมมั่นใจว่ามันให้ผลตรงกันข้ามกับผม



“จริงสิ พี่กำลังคิดว่าวันนี้เราน่าจะเริ่มบทเรียนเรื่องไอ้เจษฎ์ได้แล้ว ไว้เดี๋ยวพี่อาบน้ำเสร็จเราไปนั่งเรียนกันที่โซฟาแล้วกันนะ”
พี่ต้าเอ่ยขึ้นขณะที่เก็บถ้วยชามบนโต๊ะไปล้าง ผมรีบลุกตามอีกฝ่ายเข้าไปในครัวทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่



“บทเรียนอะไรนะครับ?”



“เรื่องไอ้เจษฎ์ไง พี่ทำเอกสารเตรียมไว้แล้ว อันที่จริงข้อมูลพวกนี้ถ้าเป็นกรณีอื่นอาจจะหาได้ยาก แต่พี่เป็นรูมเมทมัน เพราะฉะนั้นงานนี้เลยง่ายไปเลย” พี่ต้าหันมายิ้มให้ผม “ไม่ต้องห่วงนะปราณ ต่อให้ไม่ได้ค่าจ้าง พี่ก็ช่วยปราณเต็มที่อยู่แล้ว”



ครับ...ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นเลยครับพี่



ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยใจ ได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้นที่บ่งบอกว่าพี่ต้ากำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำของผม เหมือนว่าทุกครั้งที่ผมพยายามจะไม่คิด สภาพแวดล้อมรอบกายก็รวมตัวกันกลั่นแกล้งให้จินตนาการในหัวมันเตลิดเปิดเปิงไปไกลโดยที่ผมไม่ยินยอม



Rrrrrrrrr



โชคดีที่เสียงโทรศัพท์ของผมช่วยดึงความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ชื่อไอ้พี่เจษฎ์แสดงขึ้นเด่นหราอยู่บนหน้าจอ เสียงของพี่ชายข้างบ้านเสียดแทงเข้ามาในรูหูทันทีที่ผมกดรับสาย



“ไอ้อ้วนนนนนน กูเบื่ออออออ ไอ้ต้าแม่งกลับไปนอนบ้านทุกวันเลยอ่ะ กูไปเล่นห้องมึงนะ”




“เฮ้ย! ไม่ได้พี่!” ผมรีบขัดก่อนที่ไอ้พี่เจษฎ์จะเออออเอาเองว่าตัวเองได้รับเชิญมาห้องผม



นิสัยประหลาดอย่างหนึ่งของพี่เจษฎ์คือพี่แกเป็นพวกอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้ ดังนั้นทุกสัปดาห์ที่พี่ต้ากลับไปนอนบ้าน พี่เจษฎ์ที่ทางบ้านเดินทางอยู่ตลอดมักจะมางอแงขอสิงอยู่ห้องผมไม่ก็ห้องพี่นที ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหวยมักจะไม่มาออกห้องผมเท่าไหร่ เพราะพี่นทีไม่เคยปฎิเสธอะไรไอ้พี่เจษฎ์อยู่แล้ว



ซึ่งนั่นนำมาสู่ประโยคคำถามถัดไปของผม



“แล้วพี่ทีล่ะครับ?”


“…กูไม่อยากกวนมัน เมื่อคืนมันเหนื่อยมากแล้ว”



“แค่แกะของขวัญเนี่ยนะครับเหนื่อย?” ผมเลิกคิ้วอย่างงุนงง



“ก็…เออน่า บอกว่ามันเหนื่อยก็เหนื่อยดิวะ” พี่เจษฎ์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูลนลานกว่าปกติ แต่นั่นอาจจะเป็นแค่จินตนาการของผมก็ได้ “แล้วมึงล่ะ ทำไมกูไปหาไม่ได้ ซ่อนผู้ไว้รึไงวะ?”



“ตลกละพี่ มีก็บ้าละ”



“เออ อย่าให้กูรู้นะว่าพอไอ้ต้ามาจีบชักได้ใจ มีตัวเลือกสำรองสองสามสี่....”



“พอเลยพี่เจษฎ์ แค่นี้นะผมยุ่ง” ผมรีบตัดสายก่อนที่อีกฝ่ายจะถามอะไรเกี่ยวกับพี่ต้าไปมากกว่านี้ ผมไม่ใช่คนโกหกเก่ง และพี่เจษฎ์ก็รู้จักผมดีพอที่จะจับผิดคำโกหกของผมได้อย่างไม่ยากเย็น



“ไอ้เจษฎ์โทรมาเหรอ?”



เสียงของพี่ต้าที่ดังขึ้นข้างหูทำเอาผมสะดุ้ง ไม่รู้ว่าโชคดีหรือไม่ที่สัญชาตญาณทำให้ผมเด้งตัวออกจากทิศทางของเสียง เพราะไม่อย่างนั้นจมูกโด่งๆนั้นคงได้กดลงมาบนแก้มของผมแน่ๆ



“พี่ต้า...ตกใจหมดเลยครับ...”




“ฮะๆ โทษที ปราณนี่ขี้ตกใจเหมือนกันนะเนี่ย” พี่ต้าเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ถึงแม้จะผ่านการอาบน้ำชำระร่างกายมาแล้ว คุณเทพบุตรข้างผมก็ยังคงคอนเซ็ปเสื้อผ้าน้อยชิ้นเปลือยท่อนบนอยู่เช่นเดิม



ว้อยยยย ลอนกล้ามชัดสามมิติมากแม่ ไอ้ปราณไม่โอเค



“วันหลังถ้าไอ้เจษฎ์จะมาหา บอกพี่ก็ได้นะ พี่จะได้ออกไปข้างนอก”



“ไม่เป็นไรหรอกครับ ปกติพี่ทีจะรับกรรมไปมากกว่า” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ


“เจษฎ์มาห้องปราณบ่อยมั้ย?” พี่ต้าถาม เอนพิงพนักโซฟาพร้อมกับยกแขนขึ้นวางพาดตามความยาวของพนักพิง ผมนั่งตัวตรง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เผลอเอนตัวพิงท่อนแขนที่วางพาดอยู่ด้านหลังนั้น



“ไม่นะครับ นานๆที”


“เหรอ...” คนถามพยักหน้าตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด “แล้วคนอื่นล่ะ มาบ่อยมั้ย?”



ผมไม่มั่นใจว่าคำถามของพี่ต้าสื่อถึงเพื่อนที่มาค้างห้องผมหรืออะไรที่มากกว่านั้น แต่เนื่องจากผมเลิกกับแฟนคนแรกและคนเดียวไปตั้งแต่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัยและไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะพาเพื่อนมาที่ห้อง ทำให้คนที่เคยอย่างเท้าเข้ามาในห้อง
นี้นอกจากพ่อกับแม่ก็มีแค่ไอ้พี่เจษฎ์กับไอ้เต้ที่เคยมาติวสอบมิดเทอมด้วยกันเท่านั้น



“ก็มีแค่ไอ้เต้ที่มาไม่กี่รอบ แค่นั้นแหละครับ” พี่ต้านิ่งไปเมื่อได้ยินชื่อของน้องชายคนละแม่ จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่า
ทำไมเรื่องที่พี่ต้ากับไอ้เต้เป็นพี่น้องกันไม่เคยโผล่มาในบทสนทนา



“ปราณสนิทกับเต้มากมั้ย?”



“ก็ระดับนึงนะครับ เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มอปลาย แต่ผมไม่ยักรู้ว่ามันมีพี่ชาย” ผมตอบตามความจริง ถึงแม้จะอยากรู้ แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองสนิทกับพี่ต้ามากพอที่จะละลาบละล้วงถามเรื่องในครอบครัวของอีกฝ่าย



น่าแปลกที่พี่ต้าเป็นฝ่ายเปิดปากเล่าขึ้นมาเองโดยที่ผมไม่ต้องถาม



“ช่วงที่แม่พี่ท้อง พ่อพี่เจอกับแม่ของเต้ พวกเขาแอบคบกันลับหลังแม่พี่จนมีเต้” ต้าถอนหายใจ “ตอนนั้นพี่ยังเด็ก จำเหตุการณ์อะไรไม่ได้ แต่พ่อพี่บอกว่าทั้งหมดเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ ถึงจะมีเต้ออกมาแล้วแต่พ่อก็ยังไม่ยอมหย่ากับแม่ บอกว่าจะเลิกติดต่อกับแม่ของเต้ ตอนนั้นทั้งทางผู้ใหญ่ก็ช่วยกดดัน ทั้งกลัวเสียชื่อเสียหน้า แล้วแม่พี่ก็ไม่อยากให้พี่โตมาในครอบครัวที่ไม่มีพ่อ เลยยอมอยู่ต่อ ทุกวันนี้พ่อพี่กับแม่ของเต้ไม่ได้ติดต่อกันนอกจากเรื่องค่าเลี้ยงดูส่งเสียเต้ พ่อแม่พี่ก็ยังอยู่ด้วยกัน แม่พี่กับแม่เต้ก็ให้พี่เจอเต้ตลอดเพราะยังไงเราก็เป็นพี่น้องกัน เรื่องทั้งหมดก็ประมาณนี้แหละ ไม่ได้น่าสนใจอะไรมากหรอก”



“….” ดูท่านิยามคำว่าน่าสนใจของผมกับพี่ต้าจะแตกต่างกันมาก



“เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า ปราณจะได้ไม่นอนดึก”



พี่ต้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผมที่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพยักหน้าตามแต่โดยดี พี่ต้าหยิบชีทเอกสารปึกหนาส่งให้ผม ที่หน้าปกมีเพียงชื่อนามสกุลของพีเจษฎ์เด่นหราอยู่ตรงกลาง ผมพลิกเปิดดูคร่าวๆ ก่อนจะพบว่าพี่ต้าจริงจังกับการหาข้อมูลมาก



“หนังแต่ละเรื่องที่มันชอบ พี่ลิสต์ประเด็นวิเคราะห์ที่ทำให้เราดูน่าสนใจขึ้นมาถ้าคุยกับมัน แต่ยังไงพี่ก็อยากให้ปราณดูเองแล้วหามุมมองของตัวเองด้วย เราอาจจะไม่ได้ชอบอะไรเหมือนกับคนที่เราชอบ แต่มันอยู่ที่วิธีการที่เราแสดงออกที่จะทำให้เขารู้สึกสนใจ” พี่ต้าอธิบายราวกับว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังติวเป็นเพียงวิชาชีววิทยาเบื้องต้น “พอจะมีเรื่องไหนที่ปราณชอบบ้างมั้ย?”



ผมกวาดสายตาลงมาตามหน้าสารบัญ (ใช่ครับ พี่ต้าทำสารบัญไว้ให้ผมด้วย) ก่อนจะส่ายหน้า รสนิยมของผมกับไอ้พี่เจษฎ์ในเรื่องภาพยนตร์นั้นไม่มีอะไรซ้อนทับกันเลยสักเรื่อง



“งั้นเหรอ...” พี่ต้าพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นปราณชอบหนังแนวไหนเหรอ?”



“ก็…แนวการ์ตูนอนิเมชั่นตลกๆ หรือหนังครอบครัวฟีลกู้ดจบดีๆอะไรเทือกนั้นล่ะมั้งครับ”



ผมเป็นพวกบริโภคง่าย อะไรที่คนเขาว่าซ้ำซากจำเจ หากเป็นแนวที่ผมชอบผมก็มักจะควักเงินจ่ายเข้าไปดูในโรงหรือซื้อดีวีดีมาดูทุกเรื่อง



“จริงเหรอ? พี่ก็ชอบเหมือนกันเลย” พี่ต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ “ไว้วันหลังเราไปดูด้วยกันนะ”



“แล้วที่พี่ต้าไปดูหนังแอคชั่นกับพี่เจษฎ์บ่อยๆนี่พี่ต้าไม่ได้ชอบเหรอครับ?” ผมถามอย่างงุนงง


“ไม่อ่ะ แต่ไอ้เจษฎ์มันชวนไปดูพี่ก็เลยตามใจมัน” พี่ต้าไหวไหล่



คงจะมีแต่คนอย่างพี่ต้าเท่านั้นแหละครับที่ยอมโดนคนอื่นลากไปนู่นมานี่ทั้งที่ไม่ได้อยากไปโดยไม่ปริปากบ่นแบบนี้



“แล้ว...พวกอาหารที่ชอบ ขนมที่ชอบล่ะครับ?” ไหนๆก็ไหนๆแล้ว หลอกถามข้อมูลจากเจ้าตัวมาบ้างก็คงจะไม่เสียหายอะไร



“พี่ชอบกินไข่ต้มอ่ะ แปลกมั้ย” พี่ต้าเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “ส่วนขนมก็อะไรก็ได้ที่มีกล้วยหรือมีกะทิ พี่กินได้หมด”



เลี้ยงง่ายกว่าหมาวัดก็พี่ผมนี่แหละครับ



“ปราณล่ะ?” พี่ต้ารีบถามกลับราวกับกลัวว่าจะเป็นการทำร้ายน้ำใจหากไม่ถาม



“ผมเหรอ จริงๆก็กินได้ทุกอย่างแหละครับ” ผมยิ้มเผล่ จิ้มมาที่พุงนิ่มๆของตัวเองภายใต้เสื้อนอนตัวหลวม “ถึงได้เป็นแบบนี้ไงครับ”



“พี่ว่าปราณไม่เห็นอ้วนเลย” พี่ต้าขมวดคิ้ว สีหน้าจริงจังขึ้นมา “พี่ว่าปราณน่ารักอยู่แล้ว ถึงพี่จะสนับสนุนการออกกำลังกายกับการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่พี่ไม่เคยรู้สึกว่าปราณต้องผอมลงถึงจะดูดีนะ”



แม่จ๋า ขอเครื่องกระตุ้นหัวใจด่วนๆ น้องปราณจะช็อกแล้วฮะ



“โห…พูดซะไม่เกรงใจนโยบายบริษัทเลยนะครับพี่ต้า” ผมยิ้มแห้งๆให้เทรนเนอร์ส่วนตัว แต่พี่ต้าดูจะไม่วิตกกังวลมากนัก



“คนเราน่ะ ต่อให้ใช้วิทยาศาสตร์ ใช้สถิติในการคำนวนแค่ไหน แต่สุดท้าย ถ้าเขาจะไม่ชอบเรา ต่อให้พยายามแค่ไหนเราก็ไม่มีวันได้เขามาอยู่ดี”



โอ้โห ขนาดนี้แล้วเอามีดมาแทงผมเลยเถอะครับจะได้ไม่เสียเวลา



“แต่ว่า...” พี่ต้ารีบพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าของผม “พี่อยากให้ปราณเข้าใจว่าต่อให้ไอ้เจษฎ์ไม่ได้ชอบปราณ มันก็ไม่ได้หมายความว่าปราณหน้าตาไม่ดีหรือเป็นเด็กไม่น่ารัก เพราะสำหรับพี่ ปราณน่ารักเสมอ”




เมย์เดย์! เมย์เดย์! แมนดาวน์!!!! ฮว้ากกกกกก!!!!



ผมรู้สึกหายใจไม่ทันขึ้นมา โดยเฉพาะสายตาจริงจังของพี่ต้ายิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะเป็นลมได้ในทุกวินาที




“ตะ…ต่อไปเป็นเรื่องเพลงใช่มั้ยครับ? ผมกับพี่เจษฎ์ชอบเพลงแนวเดียวกัน พวกเพลงสากลฟังง่ายๆ” ผมเปลี่ยนเรื่อง หลุบตาลงมองลิสต์ในมือเพื่อไม่ให้คนข้างๆสังเกตว่าคำพูดของตัวเองมีผลกับผมมากแค่ไหน “พี่ต้าชอบเพลงแนวไหนเหรอครับ?”



“พี่ชอบเพลงไทยนะ พี่ว่าเอ็มวีมันอินดี” ที่หางตา ผมเห็นใบหน้าขาวหล่อละมุนขยับเข้ามาใกล้ เล่นเอาผมถอยกรูดติดโซฟา
อีกด้าน



“เล่นอะไรครับเนี่ย?!”



“อ้าว ก็ปราณไม่ยอมมองพี่เลยนี่นา” พี่แกเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสซื่อ ทำเอาผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นกระต่ายตื่นตูมขึ้นมาเลยทีเดียว


“พี่รู้นะครับว่าปราณขี้อาย แต่ถ้ามองหน้าพี่ยังไม่ได้ อยู่ต่อหน้าคนที่ชอบจะลำบากเอานะครับ”



“ผม..ก็เป็นแบบนี้ของผมอยู่แล้วนี่ครับ จะให้ทำยังไง” ผมพึมพำ ก็มีแต่พี่ต้าคนเดียวเท่านั้นแหละที่ผมไม่สามารถทนรัศมีความเจิดจ้าได้



นิ้วเรียวยาวแตะลงบนคางของผมแล้วเกี่ยวดึงให้ผมหันกลับไปหาตัวเองเบาๆ ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มมีประกายสนุกสนาน



“ถ้าอย่างนั้นก็ฝึกมองหน้าพี่ไว้สิครับ”



ว่ากันว่า ถ้าจ้องตากันนานเกินแปดวินาที จะทำให้คนสองคนตกหลุมรักกันได้




ผมไม่มั่นใจว่าทฤษฎีนั้นใช้ได้กับคนที่ตกหลุมรักคนตรงหน้าไปแล้วอย่างผมได้มั้ย แต่ในตอนนี้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมดิ่งลึกลงไปกว่าเดิมในหลุมที่ผมยังคงหาทางออกไม่เจอ



“พอแล้วครับพี่ต้า ผมปวดตา” ผมแสร้งโอดครญ ซึ่งคนขี้แกล้งก็ยอมปล่อยมือจากใบหน้าของผมแต่โดยดี




“งั้นวันนี้ปราณเอาเอกสารไปอ่านทำความเข้าใจก่อนแล้วกัน แล้วพรุ่งนี้เรามาเริ่มบทเรียนเรื่องการวางตัว บทบาทสมมติ จำลองสถานการณ์กัน”




“โห ต้องจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ผมอดถามไม่ได้



“เชื่อพี่สิ พี่เทรนมา” พี่ต้าขยิบตาให้ผมพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “ถ้ามีเวลาเหลือพี่จะเทรนให้ปราณจนถึงเตียงเลยล่ะ”



“ห๊ะ!”



“เอ้าๆ ตกใจอะไร” อีกฝ่ายหัวเราะกับสีหน้าเหรอหราของผม “พี่หมายถึงว่าจะเทรนให้ปราณรู้ว่าที่ชวนเขาเข้าห้อง แล้วก็วิธีปฏิเสธอย่างมีชั้นเชิงถ้าตอนนี้ปราณยังไม่พร้อม เป็นทักษะที่จำเป็นมากเลยนะครับรู้มั้ย”



ไม่รู้ว่าทำไมคำตอบนั้นถึงได้ไม่ทำให้ผมเหวอน้อยลงสักนิด พี่ต้าขยับลุกขึ้นจากโซฟา เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดบทเรียนนวันนี้



“ฝันดีนะครับปราณ พรุ่งนี้ไปวิ่งกัน”



แม้ร่างกายจะอยากร้องโอดครวญประท้วง แต่ผมกลับรู้สึกอุ่นวาบในอกกับรอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้




“ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับพี่ต้า”



ผมไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ปายเสียทรัพย์ไปเท่าไหร่กับคอร์สลดน้ำหนักในครั้งนี้ แต่ทุกรอยยิ้มที่ได้รับจากคนตรงหน้า ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองใช้ของขวัญวันเกิดที่พี่สาวให้ได้คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม




--------------
ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะทุกโคนนนน
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 4.2: วัดตัว วัดใจ [16-06-19] คห.17
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 16-06-2019 16:31:13
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 4.2: วัดตัว วัดใจ [16-06-19] คห.17
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 16-06-2019 23:45:18
สนุกมากค่ะลงยาวได้ใจมากเลยค่ะรออ่านตอนต้อไปนะค้ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 4.2: วัดตัว วัดใจ [16-06-19] คห.17
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 18-06-2019 00:32:58
ทำไมรู้สึกว่าพี่ต้ากำลังอ่อยน้องปราณอยู่นะเนี่ย
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 4.2: วัดตัว วัดใจ [16-06-19] คห.17
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 18-06-2019 03:20:08
อิตาพี่ต้ามันร้ายยย เลารู้ เลาดูออกกก  :interest:
แอบแต๊ะอั๋งน้องทุกวันเลยละเซ่
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 4.2: วัดตัว วัดใจ [16-06-19] คห.17
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 19-06-2019 21:08:35
Day 5.1 : เรื่องน่าสงสัย


ใครที่บอกว่าออกกำลังไปเรื่อยๆแล้วร่างกายจะเริ่มปรับตัวได้และทำให้ไม่รู้สึกปวดเมื่อยร่างกาย ผมอยากจะถามจริงๆว่าไอ้เรื่อยๆที่ว่านี่คือผมต้องรอไปจนถึงตอนไหน เพราะหลังจากห้าวันในการออกกำลังกายเช้าเย็นวันละสามสี่ชั่วโมงในเซทออกกำลังที่มีแต่จะหนักและหนักขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าไร้ความเมตตาจนผมตาพร่าและเริ่มรู้สึกว่ารอยยิ้มให้กำลังใจของพี่ต้าดูเหมือนรอยยิ้มของมัจจุราชที่กวักมือเรียกผมอยู่หน้าประตูยมโลก ผมรู้สึกว่านอกจากร่างกายผมจะยังไม่สามารถปรับตัวได้แล้ว   นุ้งไขมันที่น่าสงสารของผมยังกรีดร้องครวญครางประท้วงทุกครั้งที่ผมขยับอีกด้วย



“เชี่ย ไอ้ปราณ นี่พี่กูทำมึงหมดแรงขนาดนี้เลยเหรอวะ”



แค่จะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้กล้ามเนื้อที่มีอยู่เพียงน้อยนิดยังรู้สึกตึงเสียจนผมนิ่วหน้า ไอ้เต้หัวเราะเมื่อเห็นสภาพของผม ส่วนผมทำได้เพียงถลึงตาใส่คนข้างๆเพราะไม่มีแรงแม้แต่จะยกมือไปบ้องหัวมัน



“อะไรของมึง เกี่ยวอะไรกับพี่ต้า”




“โห พี่กูพาไปเปิดตัวงานวันเกิดลูกชายคนเดียวของท่านเจ้าสัวนิวิฐ วิสุทธรากรขนาดนั้น มึงยังจะทำเอ๋อใส่กูอีกเหรอ” ไอ้เต้เลิกคิ้วถาม



“พี่ทีเขาเป็นลูกคนเล็กนี่” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างแนบเนียน ไม่อยากต้องมานั่งอธิบายกับไอ้เต้เรื่องคอร์สลดน้ำหนักที่พี่ชายมันเป็นเทรนเนอร์ให้ผมอยู่



“โน พี่ทีเป็นลูกคนเดียว คุณนคินทร์นั่นเขาเก็บมาเลี้ยง” ไอ้เต้ตอบ “แต่เอาจริงๆ ถ้าเก็บมาเลี้ยงแล้วดีได้เท่าคุณนคินทร์นะ กูไม่มีลูกเองหรอก มึงรู้ป่ะว่าเขาเป็นนักกีฬามหาลัยด้วยนะเว้ย แต่สอบเข้าที่นี่ได้ที่หนึ่งคณะ ได้ทุนเรียนเต็มจำนวนด้วย เกรดไม่เคยร่วงจากเอเลยตั้งแต่เข้ามา”



“มึงนี่รู้เยอะนะ” ผมตั้งข้อสังเกต



“เราก็ต้องรู้จักคนใหญ่คนโตไว้ดีวะเพื่อความก้าวหน้าในชีวิต” ไอ้เต้หัวเราะ “แต่เอาจริงๆที่กูรู้เยอะเพราะเขาชอบมารับมาส่งพี่ภีมตลอดเวลาเลี้ยงสาย”



“เออ สองคนนั้นเขาเป็นอะไรกันป่ะวะ?” ผมอดสงสัยไม่ได้ พี่แกเล่นส่งสายตาอำมหิตใส่ไอ้เต้ซะขนาดนั้นวันนั้น



 “กูเคยถามนะ พี่ภีมบอกว่าคุณคินเขาแค่ชอบช่วยคนอื่นมากๆๆๆๆ ก็เท่านั้น” ไอ้ตี๋ตาหวานกลอกตากับคำตอบของพี่สายรหัส


“แต่ถ้ามึงถามอะไรเกี่ยวกับคนบ้านนั้นกับพี่ภีมอ่ะนะ เขาก็อวยไส้แหกหมดทุกคนอ่ะ บ้านเขาทำงานให้บ้านหลังนั้นทั้งครอบครัว แม่เป็นคนรับใช้ พ่อเป็นคนสวน พี่ภีมก็ช่วยพ่อแม่ทำงานในคฤหาสน์นั่นแหละ”



เสียงของอาจารย์ที่เดินเข้ามาในห้องทำให้บทสนทนาของเราจบลงแต่เพียงเท่านั้น ผมพยายามจะตั้งใจฟังนะ แต่แอร์ที่เย็นฉ่ำกับร่างกายที่เหนื่อยล้าและอ่อนเพลียจนถึงขีดสุดทำให้ผมทนฝืนเปลือกตาไม่ไหว และเข้าเฝ้าพระอินทร์ไปในที่สุด






ผมยังคงสะลึมสะลือหลังจากเลคเชอร์สามชั่วโมงจบลง หากจะบอกว่าเป็นสามชั่วโมงที่ผมแค่เข้าไปใช้แอร์ฟรีในห้องเรียนคงไม่ผิดนัก ยังดีที่ไอ้เต้ยังมีน้ำใจสะกิดปลุกผมก่อนจะสะบัดตูดหนีไป ทำให้ผมไม่ได้ตื่นมาทีเดียวตอนภารโรงจะล็อกประตู
ผมเดินสโลเสลไปทางโรงอาหารคณะด้วยความหวังที่ว่าจะพอมีร้านที่คิวสั้นพอที่ผมจะหาอะไรตกถึงท้องได้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ซื้อข้าวในโรงอาหารกินตลอดหนึ่งเดือนนี้



ต้องส่งข้อความหาพี่ต้าก่อน...



จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ต้าไม่ทำกับข้าวไว้แล้วให้ผมใส่กระเป๋ามากิน แทนที่จะเสียเวลาถ่อมาถึงที่นี่เพื่อกินข้าวกับผมทุกเที่ยง



“อ้าว ไอ้อ้วน ทำไมเดินตุ๊ปั๊ดตุ๊เป๋แบบนั้นวะ” เสียงของพี่เจษฎ์ตะโกนฝ่าฝูงชนมาถึงหูผมหลังจากที่ผมส่งข้อความระบุตำแหน่งให้พี่ต้าแล้ว ผมหันไปหาพี่ชายข้างบ้านที่วันนี้ก็ยังคงตัวติดกับพี่นทีเหมือนเดิม จะแปลกตาไปก็ตรงที่พี่นทีดูจะอ่อนเพลียกว่าปกติเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มที่สว่างไสวกว่าปกติของพี่นทีก็ช่วยให้ความอ่อนเพลียนั้นดูไม่เด่นชัดเท่าความเป็นจริง “ไม่ได้กินข้าวเช้ารึไงมึง? ป่ะ ไปกินข้าวกับพวกกูดีกว่า”



“ผมมีนัด...”



“โทษทีครับปราณ รอพี่นานมั้ย?”




พี่ต้าปรากฎตัวขึ้นข้างกายผมราวกับเสกได้ ดูท่าอีกฝ่ายคงมาถึงได้สักพักแล้วถึงได้โผล่มารวดเร็วทันใจขนาดนี้



“มาพอดีเลยไอ้ต้า ไปกินข้าวกัน ดูซิไอ้อ้วนหิวจนเดินเซแล้วเนี่ย” พี่เจษฎ์ชวน พี่ต้าเหลือบมองผมด้วยสีหน้าเป็นกังวลก่อนจะหันไปตอบพี่เจษฎ์



 “กูทำกับข้าวมาให้ปราณแล้ว แต่ไปนั่งกับพวกมึงก็ได้”



“เชี่ย ต้องเซอร์วิสกันเบอร์นี้เลยเหรอวะ” พี่เจษฎ์หัวเราะร่า หันไปหาเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ “แบบนี้เมียจ๋าต้องทำข้าวกล่องแห่งรักให้ผัวจ๋าบ้างแล้วล่ะ”




“อื้อ…”




พี่นทีพยักหน้าอย่างว่าง่ายเช่นทุกวัน ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกว่าสายตาที่เจษฎ์มองพี่นทีดูอ่อนโยนลงกว่าวันอื่นๆ ปกติพี่เจษฎ์มักจะแกล้งโอบเอวจับมือพี่นทีอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว แต่วันนี้ดูเหมือนมือของพี่เจษฎ์จะช่วยประคองพี่นทีไว้ไม่ให้ล้มพับไปเสียมากกว่า



แปลก...




พวกผมได้โต๊ะนั่งที่ใต้ต้นไม้หน้าโรงอาหารโดยมีพี่เจษฎ์อาสาไปซื้อข้าวมาให้ตัวเองและพี่นที ซึ่งเป็นอีกเรื่องประหลาดหนึ่งที่ผมสังเกตได้ เพราะปกติแล้วพี่นทีมักจะไม่ยอมให้พี่เจษฎ์ทำอะไรแบบนี้ให้ เวลาจะไปซื้อข้าวสองคนนี้ก็มักจะไปด้วยกัน แต่ดูจากท่าทีอ่อนเพลียของพี่นที พี่เจษฎ์คงกลัวเพื่อนจะล้มพับไปในโรงอาหารเสียมากกว่า



“โห ไอ้ต้า ถ้ากับข้าวมึงจะดูดีขนาดนี้แล้วปกติทำไมกูได้แดกแต่มาม่าฝีมือมึงวะ” พี่เจษฎ์ประท้วงหลังจากกลับมาพร้อมกับข้าวมันไก่สองจาน ในขณะที่ข้าวกล่องของผมนั้นเหมือนหลุดมาจากเมนูร้านอาหารญี่ปุ่น มีทั้งข้าวญี่ปุ่น ไข่หวานปลาซาบะย่าง สลัด เต้าหู้ราดซอสและซุปสาหร่าย ที่ผมมั่นใจว่าได้รับการคำนวณโภชนาการและโซเดียมมาเป็นอย่างดีแล้ว



“ก็มึงไม่ใช่ปราณ” พี่ต้าตอบสั้นๆ ก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตามีความหวัง “อร่อยมั้ยครับปราณ”



“เอ่อ...ครับ” ผมยิ้มให้พี่ต้าเล็กน้อยอย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไร



“สรุปพวกมึงตกลงปลงใจกันเรียบร้อยแล้วใช่ป่ะ?”พี่เจษฎ์ถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น



“ยัง กูจีบอยู่” พี่ต้ากระตุกยิ้มมุมปากโดยที่ไม่ละสายตาไปจากผม คนโดนจ้องอย่างผมนี่มือไม้สั่นกันเลยทีเดียวครับท่านผู้ชม



“อ้าว อะไรของมึงวะไอ้อ้วน มึงจะเล่นตัวอีกทำไมในเมื่อ..”



“เจษฎ์...เราเวียนหัวจัง” แม้มารยาของพี่นทีจะเทียบไม่ได้กับนางเอกละครหลังข่าว แต่ความสนใจทั้งหมดของพี่เจษฎ์ก็เบน
กลับไปหาเพื่อนสนิทจนหมดสิ้น ทั้งให้พี่นทีเอนพิง ทั้งหายาดม ทั้งเอากระดาษมาพัด เรียกได้ว่าลืมบทสนทนาก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น



สายตาของผมจดจ่ออยู่กับพี่ทั้งสองคน ปฎิเสธที่จะหันไปมองพี่ต้าที่หันมาทางผมด้วยสีหน้างุนงง



“เออมึง เย็นนี้ไปนั่งร้านพี่เต็งหนึ่งกัน วันนี้มีดนตรีสดด้วย ไม่ได้ไปนานละ” พี่เจษฎ์หันมาชวนพวกผมหลังจากวอแวกับพี่นทีเสร็จ ผมส่งสายตาขอบคุณให้กับคนที่ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ พี่นทียิ้มให้ผมเล็กๆเป็นเชิงรับรู้




ร้านของพี่เต็งหนึ่ง รุ่นพี่ที่พวกผมรู้จักผ่านกิจกรรมค่ายอาสาเป็นร้านอาหารบรรยากาศดีริมน้ำที่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไปไม่ไกล และในช่วงค่ำของแต่ละวันจะมีดนตรีสดจากศิลปินหน้าใหม่ที่เพิ่งเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ให้ลูกค้าได้นั่งฟังเคล้าบรรยากาศ



“เอาดิ เดี๋ยวกูไปกับปราณ” พี่ต้าตอบก่อนที่ผมจะได้มีโอกาสปฏิเสธ ผมหันไปหาเทรนเนอร์ของตัวเองอย่างสับสน พี่ต้าโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ



“พี่ว่าเป็นการฝึกที่ดีนะครับปราณ ทั้งเรื่องการควบคุมอาหารแล้วก็เรื่องการวางตัวเวลาอยู่กับเจษฎ์” เสียงทุ้มต่ำและริมฝีปากที่แทบจะแตะลงบนใบหูของผมทำให้ขนอ่อนในร่างกายลุกพรึ่บพรั่บขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย



“แหม เดี๋ยวนี้มีกระซิบกระซาบกันด้วยนะ” พี่เจษฎ์แซว พี่ต้าเพียงแค่ยิ้มรับ ส่วนผมนั้นทำได้เพียงก้มหน้าก้มตากินอาหารเที่ยงของตัวเองต่อไป ภาวนาให้ใบหน้าของตัวเองไม่ขึ้้นสีแดงจนผิดสังเกต



แต่จากสายตารู้ทันของพี่เจษฎ์และพี่นที ผมรู้ดีว่าคำขอของผมไม่เป็นจริง









“พี่ต้านี่นอกจากจะเป็นเทรนเนอร์แล้วต้องเป็นสไตลิสต์ให้ผมด้วยเหรอครับ”



ผมยิ้มขำเมื่อถูกพี่ต้าจับหมุนซ้ายหมุนขวามาเป็นรอบที่ไม่รู้เท่าไหร่ สไตลิสต์จำเป็นของผมอยู่ในชุดเสื้อยืดตัวบางแนบเนื้อที่มีเสื้อคลุมแยนยาวสีเข้มสวมทับกับกางเกงขายาวเข้ารูปสีเข้มอวดท่อนขายาวที่ได้รับการดูแลอย่างดี



ตัดภาพมาที่ผม มนุษย์กลมๆในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนที่(แน่นอนว่า)หม่าม้าซื้อให้กับกางเกงขายาวสีแดงเลือดหมูที่ผมเพิ่งสังเกตว่าตัวเองสามารถยัดขาของตัวเองเข้าไปได้อย่างง่ายดายผิดกับที่ผ่านมา



จะว่าไปแล้ว เสื้อผ้าของผมที่แต่ก่อนก็ไม่ได้คับอะไรอยู่แล้วก็เริ่มจะรู้สึกหลวมขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพียงการอุปทานหรือการออกกำลังเป็นบ้าเป็นหลังควบคู่ไปกับการคุมอาหารนั้นจะเริ่มแสดงผลลัพธ์ให้เห็นแล้ว



“ปราณน่ารักมากเลยครับ” พี่ต้ายิ้มอย่างภูมิใจหลังจากจัดทรงผมที่ปกติไม่เคยได้รับการแตะต้องนอกจากหวีลวกๆให้ดูเป็นผู้เป็นคนได้สำเร็จ



“พี่ต้ายอแบบนี้บ่อยๆเดี๋ยวผมก็เชื่อจริงๆหรอกครับ”



ผมเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ หลายวันที่ผ่านมาทำให้ผมรู้สึกกล้าที่จะพูดคุยกับพี่ต้ามากขึ้น บทเรียนพี่ต้าช่วยสอนเพื่อให้ผมเอาไปใช้กับพี่เจษฎ์ทำให้ผมรู้สึกมีความมั่นใจในการเป็นตัวของตัวเองรอบพี่ต้ามากขึ้น และผมค้นพบว่าผมชอบตัวเองที่อยู่กับพี่ต้าในตอนนี้มาก




มากจนกลัวว่าหากสามสิบวันนี้จบลง ผมจะไม่สามารถกลับไปเป็นตัวผมก่อนหน้านี้ได้อีกต่อไป




“ที่พี่พูดเพราะมันเป็นความจริงต่างหาก” พี่ต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ปัดเส้นผมที่ปรกลงมาบนใบหน้าของผมให้พ้นทาง “พี่ไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ”



“ไปกันดีกว่าครับ เดี๋ยวพวกพี่เจษฎ์จะรอ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง



มือใหญ่ชะงักที่ชื่อของพี่เจษฎ์ ก่อนที่พี่ต้าละมือจากใบหน้าของผมแล้วพยักหน้า



“อื้ม ไปกันเถอะ"









“โอ้โห ไอ้ปราณของพี่ เดี๋ยวนี้ต้องแต่งตัวเนี้ยบขนาดนี้เลยเหรอวะ”



เสียงทักของพี่เจษฎ์จากโต๊ะด้านในดังมาถึงหน้าร้าน ผมก้มหน้าหลบสายตาของคนไหนรานที่เหลือบมองด้วยความอับอาย รีบเดินตรงไปหาตัวต้นเหตุโดยไม่รอพี่ต้าที่เดินตามมาติดๆเพราะไม่อยากถูกจ้องนานกว่านี้



“เฮ้ยไอ้อ้วน นี่มึงผอมลงรึเปล่าวะ?” พี่เจษฎ์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นหน้าผมใกล้ๆ ลุกขึ้นมาจับผมหมุนซ้ายหมุนขวาสำรวจด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนใส่เสื้อนักศึกษากูก็ไม่ได้สังเกต ไอ้ต้า นี่มึงเลี้ยงน้องกูยังไงทำไมผอมเหลือแต่หัวขนาดนี้”



“ก็แย่ละพี่เจษฎ์ พอได้แล้วผมอายเขา” ผมดุไอ้พี่บ้าที่ชอบทำตัวเป็นจุดสนใจให้คนอื่นหันมองแล้วนั่งลงตรงข้ามกับพี่นที พี่ต้าเพียงแต่ยิ้มขำแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆผม



“ไม่ได้ละ แบบนี้ต้องขุนเยอะๆ พี่ครับ ขอเมนูอีกรอบหน่อยครับ”



พี่เจษฎ์นี่ก็เว่อร์ตลอด จะมีซักวันมั้ยที่ผมจะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขเวลาอยู่ด้วยกัน



แต่ก็นะ...ชีวิตส่วนตัวของผมในตอนนี้ก็ยากจะเรียกได้ว่าปกติ



“ไอ้ปราณ กินเยอะๆเลยมึง ดูซิหน้าตอบหมดแล้วน้องกู” พี่เจษฎ์แทบจะประเคนอาหารทุกอย่างที่ถูกว่าลงตรงหน้าให้ผม ผมเหลือบมองพี่ต้าอย่างขอความช่วยเหลือ ซึ่งอีกฝ่ายก็หยิบยื่นให้ด้วยการตักเอากับข้าวในจานของผมมากินเอง ซึ่ง
แน่นอนว่าการกระทำนั้นไม่สามารรอดพ้นสายตาพญาเหยี่ยวของไอ้พี่เจษฎ์ไปได้


“ไอ้ต้า มึงไปตายอดตายอยากมาจากไหนวะ อยากแดกไรก็ตักเองดิวะ มาแย่งอะไรน้องกู”



“มึงนั่นแหละตักถมจนน้องหาก้นจานไม่เจอแล้ว กูไม่ช่วยภูเขากับข้าวมึงก็ได้โค่นลงมาพอดี” พี่ต้ากลอกตาใส่เพื่อนร่วมห้อง พี่เจษฎ์เลิกคิ้ว และผมรู้ว่านั่นเป็นเพราะพี่เจษฎ์รู้ดีว่าปริมาณอาหารในจานของผมนั้นเป็นปริมาณปกติที่ผมกินเป็นประจำ



“ไอ้ต้า นี่มึงจงใจจำกัดอาหารน้องรึเปล่าวะ?”



คนสามคนที่มีส่วนรู้เห็นในคอร์สลดน้ำหนักของผมนิ่งไปเมื่อได้ยินคำถามและน้ำเสียงจริงจังของพี่เจษฎ์ พี่ต้าขมวดคิ้ว แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่ารูมเมทกำลังพูดถึงเรื่องอะไร



“อะไรของมึงเจษฎ์?”



“ก็มึงเป็นคนทำอาหารให้น้อง พาน้องไปกินข้าวทุกวัน เนี่ย แล้วเมื่อกี้เนี่ยเห็นจะจะกะตากูเลย” พี่เจษฎ์พยักเพยิดไปยังจานอาหารของผม ก่อนจะหันกลับมาหาพี่ต้าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ที่ผมไม่ได้เห็นบ่อยนัก “มึงไม่ชอบไอ้อ้วนแบบที่มันเป็นอยู่ตอนนี้รึไง?”


“กูชอบปราณ” ถึงจะรู้ว่ามันเป็นเพียงการแสดง แต่ใจผมกลับเต้นผิดจังหวะขึ้นมากับคำพูดที่เป็นธรรมชาติราวกับไม่ต้องผ่านการกลั่นกรองจากสมองของพี่ต้า “กูชอบทุกอย่างที่เขาเป็น น้องจะอยากอ้วนอยากผอมอยากทำอะไรมันก็เรื่องของน้อง กู
รู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปยุ่ง แล้วมึงก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับชีวิตปราณเหมือนกัน”



ฮว้ากกก พี่ต้าเล่นใหญ่ไปแล้วคร้าบบบบ



“ไปกันใหญ่แล้วพี่” ผมโพล่งออกมาก่อนที่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจะตึงเครียดไปมากกว่านี้ “ผมอยากลดน้ำหนักเอง ช่วงนี้เสื้อนักศึกษามันตึงๆอ่ะ เมื่อกี้ผมก็ขอให้พี่ต้าช่วยกิน พี่ต้าเขาไม่ได้บังคับขู่เข็ญอะไรผมทั้งนั้นแหละ”



“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป” สายตาของพี่เจษฎ์อ่อนลงเมื่อได้ยินดังนั้น แต่สายตาที่เหลือบมองรูมเมทยังคงไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก “อย่าให้กูรู้นะว่ามึงแกล้งน้องกู”



“โอย พอเลยพี่เจษฎ์ ผมดูแลตัวเองได้ ไปดูแลพี่ทีนู่น ผอมจนเห็นกระดูกแแล้วนั่นน่ะ” ผมรีบผลักไสพี่ชายข้างบ้านให้ไปวอแวกับเพื่อนสนิทต่อ ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีเพราะพี่เจษฎ์หันกลับไปสนใจอาหารที่ไม่มีท่าทีจะพร่องลงของพี่นทีแทน



ครืดดดด




ผมเหลือบมองโทรศัพท์ที่พี่ต้าวางไว้บนโต๊ะระหว่างพวกเรา เจ้าของโทรศัพท์ที่ยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเองดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นการสั่นสะเทือนของโทรศัพท์มือถือของตน และผมจะไม่ได้ใส่กับมันเลยหากชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอนั้นไม่ใช่ชื่อของพี่ชายของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผมในตอนนี้



‘คุณนคินทร์’




ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ต้ารู้จักกับคุณนคินทร์ แต่นั่นก็ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากเทียบกับเรื่องที่น้องชายคนละแม่ของอีกฝ่ายเป็นเพื่อนที่ผมค่อนข้างสนิทด้วยตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย



โลกเรานี่มันกลมจริงๆ




“พี่ต้า โทรศัพท์ครับ” ผมหันไปสะกิดอีกฝ่ายแล้วกระซิบข้างหูเพื่อเอาชนะเสียงเพลงที่ดังอยู่รอบกาย



“อ้อ ขอบใจนะปราณ แป็บนะเดี๋ยวกูมา”



ประโยคหลังพี่ต้าหันไปพูดกับเพื่อนทั้งสองแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกดรับสาย



ผมมองตามแผ่นหลังของพี่ต้าไป ยังคงนึกสงสัยว่าถ้าหากพี่ต้ากับพี่นคินทร์รู้จักกันจริงๆแล้วทำไมในงานวันเกิดของพี่นที ทั้งสองคนถึงได้ทำตัวเองไม่เคยรู้จักกันมาก่อน



“เอ้าๆ มองตามตาละห้อยเลย ไอ้ต้ามันไม่ไปม่อสาวที่ไหนหรอกน่า ดูมันหลงมึงซะขนาดนั้น” พี่เจษฎ์เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ผิดกับท่าทีเมื่อครู่จากหน้ามือเป็นหลังมือ



“เจษฎ์ไปแกล้งยั่วโมโหต้าแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนไล่ออกจากห้องหรอก” พี่นทีหันไปติงเพื่อนสนิท และได้รับเสียงหัวเราะของพี่เจษฎ์กลับมาเป็นสิ่งตอบแทน



“ช่างแม่ง กูมีห้องมึงกับห้องไอ้ปราณให้ซุกหัวนอน จะกลัวอะไร”



สรุปที่พูดไปทั้งหมดเมื่อกี้ พี่เจษฎ์แค่อยากแกล้งพี่ต้า?



“โอ๊ย! ทำอะไรของมึงเนี่ยไอ้อ้วน โอ๊ย!” พี่เจษฎ์ยกมือขึ้นปัดป้องเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ผมปาใส่รัวๆ ส่วนพี่นทีเพียงแต่เพียงตัวหลบวิถีกระสุนพร้อมรอยยิ้มขำ



“ผมไปห้องน้ำก่อนนะครับ” ผมลุกขึ้น อารมณ์ยังคงขุ่นมัวจากการเล่นไม่เป็นเรื่องของพี่เจษฎ์ ผมไม่รู้ว่าที่ผมกำลังโกรธอยู่นี้เป็นเพราะพี่เจษฎ์จงใจแหย่พี่ต้า หรือเพราะทุกคำพูดที่ตอบกลับไปของพี่ต้าเป็นเพียงละครฉากหนึ่งกันแน่



แต่ที่ผมรู้ ตอนนี้ผมต้องการน้ำเย็นๆมาดับความร้อนที่หัวก่อนที่ผมจะเผลอระเบิดตูมตามใส่ใครไป







“คุณคินแน่ใจแล้วเหรอครับ...”



ผมชะงักก่อนจะก้าวหลบไปแนบชิดกับผนังราวกับว่าตัวเองตัวเล็กนักหนาเมื่อได้ยินเสียงของพี่ต้าที่ยังคงคุยโทรศัพท์อยู่กับพี่นคินทร์



“ผมทราบครับ แต่ว่า...ครับ ผมขอโทษ ผมจะรีบดำเนินการให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ ครับ สวัสดีครับ”



น้ำเสียงพี่ต้าฟังดูตึงเครียดอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมไม่กล้าแม้แต่จะชะโงกหน้าออกไป กลัวว่าอีกฝ่ายจะหันมาเห็นผมตรงนี้



ผมนับหนึ่งถึงห้าสิบในใจเพื่อให้เวลาพี่ต้าเดินกลับไปที่โต๊ะก่อน แล้วค่อยเดินกลับด้วยสีหน้าที่ปกติที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ผมไม่รู้หรอกนะว่าทั้งสองคนคุยเรื่องอะไรกัน แต่ถ้าหากมันทำให้พี่ต้าที่มักจะดูมั่นใจอยู่เสมอฟังดูลนลานขนาดนั้นได้ คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ



พี่ต้านั่งอยู่ที่โต๊ะก่อนผมตามที่คาดการณ์ไว้ แต่สีหน้าของอีกฝ่ายดูเหม่อลอยผิดวิสัยทั้งที่พี่เจษฎ์กำลังพูดอยู่กับตัวเอง ทั้งพี่เจษฎ์และพี่นทีดูงุนงงกับความเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันนี้แต่ไม่มั่นใจว่าจะพูดอะไรกับคนตรงหน้า



ผมนั่งลงข้างพี่ต้า แต่คนข้างๆยังคงมีสีหน้าเหม่อลอยราวกับไม่ได้รับรู้การมาของผม ไม่รู้ว่าเป็นอารมณ์ชั่ววูบหรือความบ้าบิ่นชั่วขณะที่ทำให้ผมเอื้อมมือไปวางลงบนหลังมือที่วางอยู่บนตักของอีกฝ่ายหลวมๆ ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าต้องการให้พี่ต้ารับรู้ว่าผมเป็นห่วง



พี่ต้ามีสีหน้าแปลกใจ แต่นอกจากจะไม่ได้ชักมือออกแล้ว มือใหญ่ยังพลิกหงายขึ้นมาสอดประสานกับนิ้วของผมแล้วกุมไว้แน่น ราวกับจะขอกำลังใจให้มีแรงหันกลับไปพูดคุยกับเพื่อนได้ปกติ



รอยยิ้มของพี่ต้ายังคงไม่เลือนหายไปแม้จะว่าพวกเราจะอยู่ในรถแล้วก็ตาม ผมมองคนที่ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีผิดกับก่อนหน้านี้ลิบลับอย่างสับสน ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป



“พี่ต้าครับ ถ้าพี่ต้ามีเรื่องอะไรที่อยากระบาย พูดกับผมได้นะครับ ถึงผมจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็น่าจะกว่าเก็บไว้คนเดียว...”
พี่ต้ายิ้มให้ผม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายบางอย่างที่ผมอ่านไม่ออก ก่อนที่จะหันไปสนใจท้องถนนอีกครั้ง แต่มือหนึ่ง
ข้างกลับละจากพวงมาลัยแล้วแบมือให้ผม


“ปราณ...จับมือพี่ไว้แบบก่อนหน้านี้ได้มั้ยครับ?”



เล่นขอด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ยักษ์มารที่ไหนจะปฏิเสธลงครับ



ผมเอื้อมมือไปจับมือของพี่ต้าไว้ ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดผ่านมือของพวกเราและเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีของพี่ต้าทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงแล้วปล่อยให้ภาพจินตนาการโลดแล่นในหัว ภาพของผมกับพี่ต้าที่เดินจูงมือกันริมแม่น้ำยามค่ำคืน ภาพของมือใหญ่ของพี่ต้าที่เอื้อมมือเกาะกุมมือของผมไว้ในโรงหนังที่มืดสลัว ภาพของ...



ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่



ผมมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดข้างแก้ม และร่างสูงที่โน้มเข้ามาใกล้จนความร้อนจากร่างของอีกฝ่ายแทบจะแผ่มาถึงผม



“อือ…พี่ต้า?”



“ตื่นแล้วเหรอครับปราณ พี่กำลังจะปลุกพอดี” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู ผมพยักหน้าอย่างสะลึมสะลือแล้วเอี้ยวตัวไปปลดสายคาดเข็มขัดนิรภัย...



 …และทำให้แก้มของผมแนบชิดไปกับจมูกโด่งและริมฝีปากได้ริมของอีกฝ่ายอย่างพอดิบพอดี



“ขะ...ขอโทษครับ!!!” ผมรีบเปิดประตูออกไปจากรถ เดินจ้ำอ้าวไปยังประตูลิฟท์ที่เปิดอ้ารออย่างรู้งาน แต่ขากลมๆเยี่ยงโดราเอม่อนอย่างผมน่ะเหรอจะหนีพ้น เพราะก่อนที่ผมจะถึงลิฟท์แค่ไม่กี่ก้าว พี่ต้าก็คว้าไหล่ผมไว้เสียก่อน



“ปราณ เดี๋ยวสิ”


“ขอโทษครับพี่ต้า ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ”



ผมเบือนหน้าหนีอย่างอับอาย ไม่กล้าเสี่ยงให้พี่ต้าเห็นความสุขเล็กๆในแววตาที่ไม่ควรจะเกิดจากเหตุบังเอิญเมื่อครู่



“พี่รู้ครับว่าปราณไม่ได้ตั้งใจ” คงจะเป็นจินตนาการเล่นตลกกับผม แต่ผมรู้สึกว่าเสียงของพี่ต้าเจือไปด้วยความผิดหวัง “ปราณไม่ต้องขอโทษพี่ก็ได้”



ผมยังคงไม่กล้าหันไปมองคนที่ยังคงวางมือไว้บนไหล่ของผมอย่างหนักแน่น



“ปราณ...รังเกียจพี่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”



“มะ..ไม่ใช่นะครับ!” ผมรีบหันกลับไปเพื่ออธิบาย แต่ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างกันเพียงคืบทำให้ผมต้องตั้งสติอย่างมากเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้งในเวลาสั้นๆ



และเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้พี่ต้าเห็นใบหน้าที่แดงก่ำตัดกับสีผิวของผม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววประหลาดใจ ก่อนจะฉีกยิ้มออกมา



“ปราณ...เขินพี่เหรอครับ?”



“เรื่อง...เรื่องแบบนั้นก็ต้องเป็นกันทุกคนไม่ใช่เหรอครับ?! ผมไม่ได้ใจง่ายถึงขั้นโดนคนอื่นหอมแล้วไม่อายหรอกนะครับ” ผมโวยวายกลบเกลื่อน พี่ต้าหลุดหัวเราะออกมากับคำตอบของผม ก่อนจะยกมือยอมแพ้



“โอเคครับ ปราณไม่ใจง่าย พี่จะจำไว้”



“ขึ้นห้องกันได้แล้วครับ ดึกแล้ว” ผมเปลี่ยนเรื่อง เบือนหน้าหนีเพื่อหวังให้ใบหน้าที่ร้อนผ่าวได้มีเวลากลับคืนสู่สภาพเดิม แต่ประโยคต่อมาของพี่ต้ากลับทำให้มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้



“ไม่ใจง่ายแต่ชวนผู้ชายขึ้นห้องเหรอครับปราณ?”



“พี่ต้า!”



“ฮ่าๆๆ โอเคๆ พี่ขอโทษ” คนอายุมากกว่ารีบพูดเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นผมตวัดมองค้อนตาเขียว ก่อนจะกดปุ่มให้ประตูลิฟท์เปิดออกอีกครั้ง ผมกอดอกก้าวเข้าไปในลิฟท์หน้ามุ่ย ยังคงไม่คิดจะหายงอนคนข้างๆง่ายๆ



แม้ว่าประโยคถัดไปของอีกฝ่ายที่มาพร้อมกับรอยยิ้มละลายใจนั้นจะทำให้ใจผมเต้นระรัวจนลืมความโกรธไปชั่วขณะ



“แต่ว่าเมื่อกี้...แก้มปราณนิ่มมากเลยนะครับรู้มั้ย”




ใครก็ได้เอาผู้ชายคนนี้ไปเก็บที ไม่มีใครสอนพี่เขาเหรอครับว่าพี่จะมาพูดจาแบบนี้ในที่เปลี่ยวไม่ได้!!!



ในตอนนี้ ผมทำได้เพียงสิ่งที่ผมถนัดที่สุด



นั่นคือแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่พี่ต้าพูดเมื่อครู่ แล้วรีบเดินออกจากลิฟท์ไปด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ และเป็นโชคดีของผมพี่ต้าไม่คิดจะรั้งผมไว้อีกครั้ง


__________

ส่งนุ้งปราณกับพี่ต้ามามราตรีสวัสดิ์ อิอิ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 5.1: เรื่องน่าสงสัย [19-06-19] คห.22
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 19-06-2019 22:09:44
วั้ย นุ้งปราณโดนหอมแก้มซะแระ แล้วจะหลับลงเหรอคืนนี้  :hao3:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 5.1: เรื่องน่าสงสัย [19-06-19] คห.22
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 23-06-2019 10:15:41
Day 5.2: มึงเป็นของกูแล้วนะ



นคินทร์ถอนหายใจหลังจากตัดสายจากคฑา เด็กหนุ่มจัดเป็นเด็กที่มีไหวพริบและหน่วยก้านดีคนหนึ่งหากเทียบกับลูกชายเจ้าของธุรกิจที่อยู่ในช่วงรับไม้ต่อจากบิดาในช่วงวัยเดียวกัน คฑาเป็นคนมีความมั่นใจ ซื่อสัตย์ และรอบคอบ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มยังคงไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองขึ้นมาอยู่ในจุดที่นคินทร์กำลังยืนอยู่ทั้งที่มีอายุห่างกันเพียงแค่หนึ่งปี นั่นคือคฑาไม่มีลูกบ้าเหมือนกับเขา ไม่กล้าเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นเดิมพันเพื่อก้าวไปสู่จุดหมาย เป็นผู้ชนะในสงครามที่ยังไม่เริ่มเช่นเดียวกับเขา



ซึ่งพอมานึกๆ ดู นั่นอาจจะไม่ใช่ข้อด้อยของอีกฝ่ายเสียทีเดียว




แต่ในตอนนี้ นคินทร์ไม่สามารถยอมรับจุดอ่อนนั้นของคฑาได้ ไม่ใช่ตอนที่ชัยชนะใกล้เข้ามาจนเขาสัมผัสได้แบบนี้





มือเรียวสีน้ำผึ้งแตะลงบนไหล่ของร่างสูงเอาแผ่วเบา กลิ่นหอมของสบู่อาบน้ำกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ผสมกับกลิ่นน้ำมันทาผิวสกัดจากเปลือกไม้หอมที่แม้นคินทร์จะไม่เคยใช้เองแต่กลับหลงใหลกลิ่นหอมยั่วยวนนั้นจากร่างของภวัตทุกครั้งที่ได้กลิ่น





“กล้ามเนื้อตึงจัง ให้ผมนวดให้นะครับคุณคิน”




ร่างโปร่งในชุดคลุมอาบน้ำตัวบางบีบนวดไปตามไหล่กว้างอย่างชำนาญ นคินทร์ส่งเสียงทุ้มต่ำในลำคออย่างพึงพอใจขณะที่ร่างกายผ่อนคลายลงตามสัมผัสของผมือเรียวที่แม้จะหยาบกร้านตามประสาคนใช้แรงงาน แต่กลับทำให้ทุกสัมผัสของภวัตกระตุ้นทุกประสาทรับรู้ของนคินทร์มากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม




“ทำไมหนีกูไปอาบน้ำคนเดียวล่ะ” คนเป็นนายเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ ภวัตอมยิ้ม บีบนวดไล่ตามกล้ามเนื้อที่แข็งตึง
มาจนถึงต้นคอของคุณชายของตน





“ผมเห็นคุณคินคุยงานอยู่เลยไม่อยากรบกวนนี่ครับ”




“เอาอีกแล้ว กูบอกมึงหลายทีแล้วเรื่อง ‘คุณคิน’ เนี่ย...”





“คุณคินพูดว่าตอนอยู่บนเตียงนี่ครับ” ภวัตให้เหตุผลก่อนที่ร่างสูงจะหงุดหงิดใจไปมากกว่านี้




อาจจะฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่การเรียกนคินทร์ว่า’ คุณคิน’ สำหรับเขาเป็นสิ่งเตือนใจที่บอกให้เขาไม่ลืมสถานะของตัวเอง เพราะทุกคืนในห้องกว้างในคอนโดหรูใจกลางเมืองที่มองเห็นทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ยามค่ำคืนอย่างชัดเจน ทุกคืนในอ้อมกอดของชายหนุ่มที่ตีตราทุกตารางนิ้วของร่างกาย ทุกคืนที่อีกฝ่ายหยิบจานชามบนโต๊ะมาล้างแล้วสั่งให้เขาไปพักผ่อนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ทุกคืนที่เขาเห็นแววตาหลงใหลที่นคินทร์มอบให้เขาราวกับว่าเขาเป็นเพียงสิ่งเดียวในโลกที่อยู่ในสายตาของอีกฝ่าย มันยิ่งทำให้การย้ำเตือนตัวเองของภวัตได้ผลน้อยลงไปทุกที





“มึงนี่น้า...เอาเถอะ ถ้ามึงมีความสุขจะเรียกอะไรก็เรียกไป”




นคินทร์คว้ามือข้างหนึ่งของเขาไว้แล้วดึงเข้ามาประทับจุมพิตลงบนข้อมือด้านในของเขาเบาๆ ก่อนจะพลิกมาพรมจูบเน้นหนักที่หลังมือเนียน





“ที่บริษัทมีปัญหาเหรอครับ?” ภวัตถาม เขาไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับงานของนคินทร์ แต่หลังจากการทำร้ายร่างกายตัวเองและทำลายข้าวของเวลาที่อีกฝ่ายกำลังเครียดเริ่มแปรเปลี่ยนมาเป็นการออดอ้อนร้องขอสัมผัสจากเขา ภวัตเรียนรู้ที่จะแยกแยะว่าเวลาใดที่นคินทร์กำลังต้องการการปลอบโยน





นคินทร์ยิ้ม ดึงมือของเขาไปทาบแก้มสากที่เริ่มมีไรหนวดแซมขึ้นมาเล็กน้อย ภวัตเตือนตัวเองในใจให้โกนหนวดให้ร่างสูงพรุ่งนี้เช้า





“ไม่มีอะไรที่กูจัดการไม่ได้หรอก มึงไม่ต้องห่วง”




“วันนี้จะแช่น้ำมั้ยครับ เดี๋ยวผมสระผมให้” ภวัตเสนอ รู้ดีว่านั่นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้ร่างสูงผ่อนคลาย นคินทร์ชอบให้เขานวดศีรษะให้เวลาสระผม จนบางครั้งถึงกับหลับไปในอ่างอาบน้ำจนเขาต้องปลุกเลยก็มี




“มึงเพิ่งอาบน้ำมาไม่ใช่เหรอ?” นคินทร์เงยหน้าถามคนที่เอนตัวพิงโซฟานวดไหล่ให้เขาอยู่ “เดี๋ยวก็เปียกอีกหรอก”




“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณคิน ผมยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้า” ภวัตเอ่ยอย่างไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะนึกเสียใจขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นแววตาแพรวพราวของร่างสูงหลังจากได้ยินประโยคนั้น




“มึงยั่วกูเหรอภีม?”




“ผมทำอะไรก็ยั่วคุณคินหมดนั่นแหละครับ” ภวัตตอบอย่างเหนื่อยใจ นคินทร์หัวเราะลั่นเมื่อเห็นสีหน้าของคนรับใช้แต่ในนาม ไม่คิดจะแก้ตัวสักนิด



“มึงพูดเองนะ ภีม ระวังคืนนี้จะไม่ได้ลุกจากอ่าง”












ถึงแม้นคินทร์จะพูดแบบนั้น แต่ดูเหมือนร่างสูงจะเพลียเกินกว่าจะทำอะไรมากไปกว่าการเอนศีรษะวางบนตักให้ภวัตนวดขมับให้อย่างสบายอารมณ์ ภวัตยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าผ่อนคลายกลับคืนสู่ใบหน้าคมที่หลับตาพริ้มอยู่บนตักของเขา ก่อนจะร้องออกมาเบาๆ เมื่อนคินทร์ผละออกจากตัวเองแล้วหันมาหา




“กูนวดให้”




“อะไรนะครับคุณคิ…เหวอ!!”




ขาเรียวถูกร่างสูงดึงเข้าหาตัว นคินทร์บีบนวดไปตามท่อนขาเรียวสีน้ำผึ้งอย่างชำนาญ รอยยิ้มภูมิใจประดับบนใบหน้าเมื่อได้ยินเสียงหวานหลุดลอดออกจากลำคอของภวัตเมื่อกดถูกจุดที่เมื่อยขบจากการขยับตัวทั้งวัน




“ถูกใจล่ะสิ”




“ผมไม่ถูกใจได้ด้วยเหรอครับ...” ภวัตถามย้อน ซึ่งคำตอบที่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของนคินทร์และแรงบีบนวดจากมือใหญ่ที่กดเน้นลงบนบริเวณฝ่าเท้าอย่างไม่นึกรังเกียจ




บางครั้ง ภวัตก็รู้สึกสงสัยว่าพวกเขามาถึงจุดจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่นคินทร์คุกเข่าอยู่แทบเท้าของเขาและบีบนวดฝ่าเท้าให้เขาอย่างเอาอกเอาใจ ราวกับว่าพวกเขาอยู่ในความสัมพันธ์ฉันคนรักที่ภวัตเป็นฝ่ายถูกชะโลมด้วยความรักและความเอาใจใส่ไม่เว้นแต่ละวัน




และหากมองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ประหลาดนี้ ภวัตต้องยอมรับว่าพวกเขามาไกลมากจริงๆ











หลังจากจูบในวันนั้น ภวัตเลือกที่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา เด็กหนุ่มยังคงกล่าวทักทายคุณชายใหญ่ของบ้านในยามเช้า เดินไปเรียนพิเศษด้วยกัน และกลับมานั่งอ่านหนังสือด้วยกันที่ห้องนั่งเล่นอย่างที่ทำเป็นปกติ




แต่คนที่ดูไม่คิดจะปล่อยให้เรื่องนั้นถูกลืมกลับกลายเป็นนคินทร์ที่แม้จะไม่พูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น แต่ระยะห่างระหว่างพวกเขาที่ถูกย่นลงทุกวันเริ่มทำให้ภวัตรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง




“ภีม ตรงนี้นายจดทันมั้ย?”




“ตรงไหนเหรอครับคุณคิน?” ภวัตชะโงกดูเลขหน้าของเอกสารประกอบการเรียนที่อีกฝ่ายกำลังถืออยู่




“ตรงนี้” นคินทร์ขยับตัวเข้ามาใกล้ บนโซฟาตัวยาวที่สามารถนั่งได้สามคนสบายๆ ภวัตรู้สึกว่าพวกเขาไม่ควรแนบชิดติดกันจนแทบตกขอบโซฟาอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้




“คุณคิน…”




“อธิบายให้ฉันฟังหน่อยสิ”




มือใหญ่วางลงบนต้นขาเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นของร่างโปร่ง ส่งกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วร่าง ภวัตพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่ใบหน้าคมที่หายใจรินรดต้นคอของเขาอยู่นั้นไม่ได้ช่วยให้มันง่ายขึ้นสักนิด




“คะ…คือ… เหวอ!”





เอวบางถูกรวบรั้งขึ้นมานั่งบนตักแข็งอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ภวัตพยายามจะลุกหนีตามสัญชาตญาณ แต่แขนแข็งแรงโอบรัดเอวเขาไว้แน่นไม่ยอมให้ไปไหน




“นั่งตรงนี้แหละ จะได้มองเห็นด้วยกันทั้งคู่”




นคินทร์เกยคางกับไหล่มน ภวัตที่ไม่เห็นทางหนีทีไล่จึงทำได้เพียงนั่งอยู่ในสภาพนั้นอย่างจำยอม แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่สอบได้คะแนนเต็มทุกครั้งที่สถาบันกวดวิชามีสอบย่อยถึงได้อยากให้เขาอธิบายเรื่องง่ายๆ แบบนี้ แต่นิสัยของภวัตไม่ใช่คนชอบตั้งคำถาม




…อย่างน้อยก็จนกระทั่งมือใหญ่ที่โอบรัวเอวบางไว้สอดเข้ามาใต้เสื้อของเขาน่ะนะ




“มีใครบอกมั้ยว่าตัวนายหอมเป็นบ้า”




จมูกโด่งซุกไซร้ซอกคอเนียนอย่างหลงไหล ภวัตตัวแข็งทื่ออย่างไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร เขารู้ตัวดีว่าตัวเองคิดอย่างไรกับนคินทร์ แต่การกระทำของนคินทร? ในตอนนี้ทำให้เขาเริ่มรู้สับสนว่าสถานะของตัวเองคืออะไร




“คุณคิน…มะ…ไม่เอา…” เสียงหวานสั่นเครือด้วยความหวาดกลัว และดูเหมือนนั่นจะปลุกให้คนที่กำลังมัวเมากับเรือนกายหอมหวานตื่นจากภวังค์




“ฉัน… ขอโทษ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไร…” ร่างสูงผละออกจากเขาราวกับถูกของร้อน กุมขมับด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่ภวัตไม่เคยเห็นมาก่อน “ภีม…อย่ารังเกียจฉันได้มั้ย…”




“ผมไม่มีวันรังเกียจคุณคินหรอกครับ” ภวัตรีบเอ่ยด้วยความสัตย์จริง คนสำนึกผิดมีประกายบางอย่างในดวงตา ก่อนที่นคินทร์จะถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ




“ถ้าอย่างนั้น…นายรู้สึกดีรึเปล่า…”




ใบหน้าของภวัตร้อนผ่าวกับคำถามนั้น เขารู้สึกขอบคุณสีผิวของตัวเองที่ทำให้ความแดงของใบหน้าดูออกยากกว่าคนอื่น




“ผม…คือ…”




“ว่าไงภีม…” นคินทร์ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ “ฉันว่าคำถามมันไม่ได้ยากขนาดนั้นนะ”




“ดีครั…” เสียงขอภวัตถูกกลืนหายไปพร้อมกับริมฝีปากได้รูปที่บดเบียดลงมาราวกับรอคำตอบของเขามาแสนนาน ร่างโปร่งหลับตาพริ้มรับสัมผัส ลิ้นเรียวขยับตอบอย่างเก้ๆ กังๆ ทว่านคินทร์ดูจะไม่ถือสา ตรงกันข้าม ร่างสูงดูจะพึงพอใจกับความไม่ประสาของเขามาทีเดียว เพราะกว่าริมฝีปากได้รูปนั้นจะยอมปล่อยเขาเป็นอิสระ ภวัตรู้สึกว่ตัวเองแทบจะขาดอากาศหายใจ






จากจูบนั้น ตามมาด้วยจูบที่ภวัตไม่ทันได้ตั้งตัวอีกวันละหลายครั้ง




เริ่มจากจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผาก ข้างแก้ม และหัวไหล่มนในยามเช้าขณะที่เขากำลังทำอาหาร ไปจนถึงจูบเน้นหนักบนริมฝีปากนุ่มก่อนออกไปเรียนด้วยกัน และที่เพิ่มขึ้นมาบ่อยครั้งในช่วงนี้คือจูบราตรีสวัสดิ์ที่ภวัตรู้สึกเหมือนถูกร่างสูงสูบพลังงานออกไปจากร่างกายจนหมดทุกครั้ง




ภวัตเคยนึกอยากถาม อยากรู้ว่าสถานะของพวกเขาในตอนนี้มันเรียกว่าอะไรกันแน่




แต่ทุกครั้งที่ริมฝีปากได้รูปทาบทับลงมา ความกล้าที่เขารวบรวมมาได้เพียงน้อยนิดก็พลันสลายหายไป




“คุณคินครับ ทานอะไรซักหน่อยนะครับ” ภวัตวางจานใส่แซนด์วิชแฮมชีสง่ายๆ ที่เขารู้ว่าเป็นของโปรดของอีกฝ่ายลงตรงหน้านคินทร์ แต่คนที่กำลังจดจ่ออยู่กับตำราหลายเล่มที่กางอยู่ตรงหน้าไม่คิดจะรับรู้ถึงการมาของเขา “คุณคินครับ…”




“ขอกำลังใจหน่อยสิ แล้วฉันจะกิน”




นคินทร์เงยหน้ามองเขาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ร่างโปร่งกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเคาะริมฝีปากของตัวเองอย่างรอคอย ใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา




ภวัตโน้มตัวลงไปหาร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างละล้าละลัง ริมฝีปากนุ่มแตะลงบนริมฝีปากของนคินทร์อย่างแผ่วเบา แต่ดูเหมือนว่านั่นจะมากพอที่จะทำให้คนร้องขอพอใจ




“ค่อยมีกำลังใจหน่อย วันนี้จะโต้รุ่งล่ะนะ”




“พักผ่อนเถอะนะครับคุณคิน นี่คุณคินก็ไม่ได้นอนมาหลายวันแล้วนะครับ”




ภวัตเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล ไม่ว่าเขาจะนอนดึกหรือตื่นเช้าแค่ไหน ไฟในห้องของนคินทร์จะยังสว่างโร่อยู่เสมอ เขาไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้ายังสามารถทำตัวกระฉับกระเฉงแบบนี้ทั้งที่มีเวลางีบเพียงหยิบมือได้อย่างไร





“หืม? เป็นห่วงฉันเหรอภีม?” นคินทร์เลิกคิ้ว ภวัตกัดริมฝีปาก รู้สึกว่าคำตอบของตัวเองไม่ว่าจะเป็นตัวเลือกไหนก็ฟังดูไม่เหมาะสมทั้งนั้น




โชคดีที่นคินทร์ไม่ได้กดดันเอาคำตอบจากเขาไปมากกว่านั้น ร่างสูงหันกลับไปสนใจตำราตรงหน้าของตน หยิบแซนด์วิชที่เขาทำให้ขึ้นมากัดแล้วจมลงสู่โลกของตัวเองอีกครั้ง









โครม!! เพล้ง!!!





ภวัตสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่ได้ยินมาสักพักดังลอดออกมาจากภายในห้อง หลังจากประกาศผลสอบของสถาบันกวดวิชา นคินทร์ยังคงครองตำแหน่งที่หนึ่งของทุกวิชาไว้อย่างเหนียวแน่น แต่คะแนนรวมของร่างสูงลดลงจากรอบที่แล้วไปประมาณห้าคะแนน และนั่นทำให้เด็กหนุ่มดูเงียบๆ ไประหว่างมื้อกลางวัน หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกกันหน้าโรงเรียนเพราะภวัตต้องซื้อของเข้าห้อง เด็กหนุ่มไม่ได้เจอคุณชายของตนอีกหลังจากนั้น และเขายังไม่มั่นใจว่าตัวเองควรจะเจออีกฝ่ายในตอนนี้




หากเป็นเมื่อก่อน ภวัตคงเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าการระบายอารมณ์เล็กๆ ของนิคินทร์จะจบลง แต่ร่างโปร่งในตอนนี้ไม่อยากทิ้งคนข้างในไว้คนเดียว ไม่อยากให้นคินทร์รู้สึกโดดเดี่ยวในเวลาที่ควรจะมีคนอยู่เคียงข้าง




และนั่นทำให้ภวัตตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้อง ซึ่งไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เด็กหนุ่มยังคงไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่




“คุ… คุณคิน?!”




ร่างสูงนอนหอบหายใจอยู่บนพื้นห้อง ใบหน้าแดงก่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ในขวดที่วางเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ห้องนั่งเล่นของพวกเขาในตอนนี้เหมือนสมรภูมิรบขนาดย่อม ทั้งตำราและข้าวของตกแต่งกระจัดกระจายเต็มพื้น เศษแก้วแตกกระจายทำให้ภวัตรีบก้มลงเก็บเพื่อไม่ให้เศษคมบาดนคินทร์




“อือ…ภีม?”




ดวงตาคมปรือปรอยฉ่ำไปด้วยฤทธิ์เหล้า ภวัตรีบเก็บกวาดเศษแก้วให้พ้นทางแล้วพยุงคนตัวสูงกว่าขึ้นอย่างทุลักทุเล




“ไปนอนบนเตียงนะครับคุณคิน”




เขาไม่เคยเห็นนคินทร์เมา นอกจากงานสังสรรค์ในคฤหาสน์เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเคยเห็นนคินทร์แตะต้องแอลกอฮอล์





ร่างสูงล้มตัวลงนอนเตียงตามแรงของภวัต แต่ก่อนที่คนพยุงจะได้ผละออกมา แขนแกร่งก็คว้าหมับที่ต้นแขนของเขาไว้




“ภีม…อยู่ตรงนี้ก่อนได้มั้ย…”




“ให้ผมหาผ้ามาเช็ดตัวเถอะนะครับคุณคิน จะได้สดชื่น” ภวัตขอ แต่นอกจากเจ้านายของเขาจะไม่สนใจแล้ว อีกฝ่ายยังดึงให้เขาลงมาบนเตียงแล้วพลิกกายคร่อมร่างของเขาไว้ทั้งร่าง จมูกโด่งซุกไซ้ซอกคอหอมพร้อมฮัมในลำคออย่างมีความสุข




“หอม…ทำไมตัวมึงหอมขนาดนี้…”




คำหยาบที่ไม่เคยหลุดออกมาจากปากของคุณชายผู้เพียบพร้อมควรจะทำให้เขารู้สึกกลัวมากกว่ารู้สึกร้อนวูบในอก ภวัตอยากจะเอาตัวออกไปจากสถานการณ์นี้ แต่ร่างกายกลับไม่ฟังคำสั่งของเขาเสียอย่างนั้น




“คะ…คุณคิน…มือ…”



มือใหญ่สอดเข้าไปใต้เสื้อยืดของร่างโปร่ง เลิกชายเสื้อขึ้นเผยหน้าท้องแบนราบสีน้ำผึ้งเนียนสม่ำเสมอ ภวัตกัดริมฝีปากสะกดกลั้นเสียงน่าอายที่เกิดขึ้นเพียงแค่สัมผัสเบาบางจากมือของนคินทร์




“ภีม…”




ดวงตาสีรัตติกาลฉ่ำเยิ้มภายใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ช้อนขึ้นสบตาร่างโปร่ง ภวัตเบือนหน้าหนี ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นว่าแววตาที่เต็มไปด้วยความต้องการนั้นส่งผลต่อเขามากแค่ไหน




“คุณคิน…”




“ภีม…เป็นของกูนะ”




เขาไม่ควรทำแบบนี้ ภวัตรู้ว่าเขาไม่ควรทำแบบนี้




ร่างโปร่งพยักหน้าอย่างเชื่องช้า ได้รับการตอบแทนเป็นรอบยิ้มกว้างจากใบหน้าของคนเมาที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมอมเสียเอง




ขอโทษครับคุณนารา…




ดูเหมือนผมจะไม่ได้มีความรับผิดชอบอย่างที่คุณนาราไว้ใจเสียแล้ว














ภวัตสารภาพว่าเขาเคยคิดถึงครั้งแรกของตัวเองหลายครั้ง และส่วนมากในภาพจินตนาการนั้นมักจะมีนคินทร์เป็นตัวละครรับเชิญ ส่วนหนึ่งของการเป็นวัยรุ่นคือฮอร์โมนที่พลุ่งพล่านอย่างไม่สนใจความสมัครใจของเขา และบ่อยครั้งทำให้ภวัตต้องหลบสายตาคนที่เขาแอบชื่นชมอยู่เงียบๆ เพราะกลัวว่านคินทร์จะรับรู้ถึงความคิดไม่เหมาะสมที่ก่อตัวในหัวของเขามากขึ้นทุกวัน




แต่กระทั่งในความฝัน เขายังไม่สามารถจินตนาการแต่ละสิ่งที่นคินทร์ทำเมื่อคืนได้ และภาพการกระทำของร่างสูงทำให้ใบหน้าของภวัตแดงวาบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่




เด็กหนุ่มชันตัวขึ้นนั่งบนเตียงที่ว่างเปล่า นั่งฟังเสียงสายน้ำกระทบพื้นจากห้องน้ำอย่างไม่รู้ว่าตนควรจะอยู่หรือไป แต่ก่อนที่จะได้ตัดสินใจ ร่างเปลือยเปล่าของนคินทร์ที่ถูกห่อด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กแขวนบริเวณสะโพกก็ก้าวออกมาจากห้องน้ำ เด็กหนุ่มร่างสูงยิ้มเมื่อเห็นเขา ทรุดตัวลงข้างภวัตบนเตียงกว้างพร้อมดึงให้คนบนเตียงขยับเข้ามาใกล้




“เจ็บมากมั้ย?”




“มะ…ไม่ครับ” ร่างโปร่งส่ายหน้า นอกจากจะไม่เจ็บอย่างเคยกลัวแล้ว เขายัง…รู้สึกดีจนนึกโกรธความใจง่ายของตัวเอง




“แล้วเป็นไง…มันส์ดีมั้ย?”




“คุณคิน!” ภวัตขยับหนีคนที่ยื่นหน้าเข้ามากระซิบด้วยรอยยิ้มแพรวพราว ใบหน้าของเขาแดงจนไม่สามารถแดงไปมากกว่านี้ได้




“ไม่ต้องอายหรอกน่า…มึงชอบก็ดีแล้ว…” คำเรียกที่ยังไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อคืนไม่ได้ทำให้ภวัตกลัว โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเรียกเขาด้วยแววตาอ่อนโยนและน้ำเสียงที่ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายแบบนี้ “มึงเป็นของกูแล้วนะภีม…”




“เอ๊ะ…” ภวัตเอียงคออย่างไม่เข้าใจ ดวงตาสีรัตติกาลของนคินทร์มีแววสำนึกผิด




“เรา…เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้มั้ย อย่างน้อยก็ตอนนี้…”




แค่คำพูดนั้นก็สามารถผลักภวัตเข้าสู่ความเป็นจริงของสถานการณ์ในตอนนี้ได้อย่างง่ายดาย




มึงเป็นของกูแล้วนะ….




เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้มั้ย…




“ครับ…”




ภวัตรู้สึกกลัวตัวเองขึ้นมาหลังจากคำตอบนั้นหลุดออกไป เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรตอบสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังร้องขออย่างง่ายดายขนาดนี้ โดยเฉพาะสิ่งที่ว่าคือการตกลงเป็นเพื่อนร่วมเตียงลับๆ ของนคินทร์ แต่เขาไม่เคยปฏิเสธแววตาร้องขอของอีกฝ่ายได้เสียที ภวัตได้แต่บอกตัวเองว่าเขาไม่อยากให้นคินทร์ต้องออกไปเสี่ยงกับคนภายนอกที่ร่างสูงไม่รู้จัก แม้จะรู้ว่านั่นเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น แต่เด็กหนุ่มก็ยินดีที่จะหลอกตัวเองแบบนั้นหากมันทำให้หัวใจของเขาสงบลง



__________________

 :mew1: :mew1: :mew1:
คุณคินเขาน่ารักนะเธอววววว
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 5.2: มึงเป็นของกูแล้วนะ [23-06-19] คห.24
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 23-06-2019 13:45:36
พี่ต้าก็บอกตรงๆแล้วนะ ยัยน้องเข้าข้างตัวเองสัดนิดสิลูกกก อิพิต้าจะแทะจนถึงกระดูกอยู่แล้ว ยังไม่รู้ตัว
คู่ภีมก็หวานแบบอึมครึมๆ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 5.2: มึงเป็นของกูแล้วนะ [23-06-19] คห.24
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 27-06-2019 20:53:33
Day 6: เดทจำลอง



“แฮ่ก…”



น้ำหนักตัวที่คร่อมอยู่บนตักของเขาค่อยๆหายไปหลังจากกิจกรรมเข้าจังหวะที่เจษฎาต้องยอมรับว่าเขาเริ่มเสพติดขึ้นมา เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของเพื่อนสนิทที่ค่อยๆห่างออกไป ก่อนจะปลดผ้าปิดตาของตัวเองออก ภาพแผ่นหลังของเรือนร่างขาวเนียนเปลือยเปล่าที่ก้าวเข้าไปในห้องน้ำทำให้เจษฎาเลียริมฝีปากอย่างลืมตัว นทีไม่เคยรู้ว่าเขาแอบดึงผ้าปิดตาออกด้วยความอยากรู้อยากเห็นตั้งแต่สองสามครั้งแรกที่พวกเขาทำแบบนี้ แม้ทุกครั้งจะได้เห็นแค่แผ่นหลังรางๆจากดวงตาที่ยังพร่ามัว แต่เจษฎาพบว่าตนไม่ได้รู้สึกประหลาดอะไรอย่างที่คาดไว้



เขาพบว่าตัวเองกลับรู้สึกชอบที่จะเห็นร่างโปร่งในชุดนอนสีอ่อนตัวหอมฟุ้งที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก



“ทีหลังเราว่าอ่านหนังสือก่อนค่อย…เจษฎ์! ทะ…ทำไมไม่แต่งตัว…”




เพราะเขาชอบเห็นดวงตาเบิกกว้างกับดวงหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงจัดทั้งที่เคยเห็นร่างเปลือยเขามาหลายต่อหลายครั้งของนที…
เจษฎาสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัว ฉีกยิ้มกวนบาทาให้กับเพื่อนสนิท



“แต่งทำไมวะ เดี๋ยวมึงก็ขอต่อหลังอ่านหนังสืออยู่ดี”



“ตะ…แต่…แต่ว่า…” นทีตะกุกตะกัก ไม่ใช่แค่ใบหน้าขาว แต่ทั้งร่างของเด็กหนุ่มขึ้นสีแดงระเรื่อจนคนมองหลุดขำพรืดออกมา



“เออๆ กูไม่แกล้งละ” เจษฎาจัดการกับสภาพของตัวเองก่อนที่เพื่อนจะช็อคตายด้วยความเขินอาย ทั้งที่ตอนอยู่บนตักของเขาเร่าร้อนเสียขนาดนั้น ทำไมทุกครั้งที่แต่งตัวเสร็จอีกฝ่ายถึงได้กลายร่างเป็นสาวน้อยเวอร์จิ้นเขินอายจนเขาตามไม่ทันแบบนี้นะ



นทีหยิบสมุดโน๊ตของตัวเองมาสรุปบทเรียนจากเลคเชอร์ที่ตนจดไว้ในแท็บเล็ต ถึงแม้อุปกรณ์อัจฉริยะในมือของร่างโปร่งจะทำหน้าที่ได้ดีเพียงใด แต่นทียังคงเลือกที่จะจดสรุปในสมุดของตัวเองอยู่ดี ทางฝ่ายหนุ่มวิทย์กีฬา อย่าว่าแต่จดสรุปเลย แค่มีลายมือของเขาอยู่ในชีทเรียนก็ถือว่าปาฏิหาริย์มากแล้ว



ถึงแม้พวกขาจะอยู่คนละคณะ แต่นิสัยอ่านหนังสือคนเดียวไม่ได้ของเจษฎาที่ขัดกับนิสัยการอ่านคนเดียวของรูมเมทคณะเดียวกันทำให้ร่างสูงต้องระหกระเหินมาซบอกเพื่อนสนิท แน่นอนว่านทีเปิดประตูต้อนรับเขาด้วยความยินดี ร่างโปร่งชอบใช้เวลากับเจษฎาอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร การที่มีกิจกรรมเสริมก่อนเข้าบทเรียนเพิ่มขึ้นมานั้นมีแต่จะช่วยให้ความกระตือรือร้นในการติวหนังสือด้วยกันของนทีเพิ่มขึ้น



เจษฎาก้มลงอ่านเลคเชอร์ของตัวเองบ้าง แต่สมาธิของเขากลับไม่สามารถจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือตรงหน้าได้ ไม่ว่าร่างสูงจะพยายามแค่ไหน กลิ่นสบู่อาบน้ำที่ลอยมาแต่จมูกจากร่างข้างๆก็ทำให้เขาต้องละสายตาไปจากเนื้อหาทุกที



ทั้งที่กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นเดิมของนทีที่เขาคุ้นเคยดีแท้ๆ แต่นับวันเจษฎายิ่งรู้สึกว่าปฏิกิรยาตอบสนองของเขาที่มีต่อกลิ่นหอมฟุ้งนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที



“ไอ้ที กูไม่ไหวแล้วว่ะ”



“หือ? เป็นอะไรเหรอ…เจษฎ์!”



“มึงนี่นุ่มดีจังวะ” เจษฎาซุกหน้าลงบนซอกคอขาวของร่างที่เขาดึงมานั่งบนตัก ส่งเสียงฮัมในลำคออย่างมีความสุขเมื่อได้สูดเอากลิ่นหอมๆที่ปั่นหัวเขาจนเสียสมาธิจนฉ่ำปอด “หอมชิบ เหมือนกอดตุ๊กตาที่มันใส่เม็ดๆกลิ่นหอมๆนั่นอ่ะ”



ในความเป็นจริงแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจษฎาดึงตัวเพื่อนสนิทเข้ามากอดเวลาติวหนังสือด้วยกัน แต่ทุกครั้งที่ผ่านมา ร่างสูงไม่เคยรับรู้ว่าคนที่ถูกตัวเองกอดฟัดอย่างมันเขี้ยวนั้นรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง



“เจษฎ์…” ร่างในอ้อมกอดเรียกด้วยน้ำเสียงประหม่า เจษฎาเงยหน้าจากซอกคอขาว



“หืม?”



“เราบอกชอบเจษฎ์ไปแล้วนะ ทำแบบนี้จะดีเหรอ…”



ทั้งที่คิดว่าจะถูกรังเกียจ หรืออย่างดีที่สุดก็ถูกอีกฝ่ายรักษาระยะห่างแต่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ท่าทีที่ยังคงสนิทสนมกับเขาเหมือนเดิม แถมยังไม่รังเกียจที่จะช่วยเติมเต็มความต้องการทางร่างกายของเขาทำให้นทีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน



“คิดมากจังวะ” เจษฎาบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ผลักศีรษะเพื่อนสนิทเบาๆอย่างเอ็นดู “กูบอกแล้วไง อะไรที่กูให้มึงได้ กูจะให้มึงทุกอย่าง มากกว่ากอดกูก็ทำมาแล้ว เรื่องแค่นี้กูทำให้ได้”



จมูกโด่งกดลงบนแก้มนิ่มอย่างนุ่มนวล นทีรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นตึกตักและใบหน้าที่ร้อนเห่อของตัวเองจากสัมผัสอ่อนโยนนั้น
ก็เจษฎ์เป็นซะแบบนี้ จะไม่ให้เขาหลงได้ยังไงกัน



เด็กหนุ่มปล่อยให้เพื่อนสนิทคลอเคลียระหว่างการอ่านหนังสือ แสร้งทำเป็นจดจ่อกับตัวอักษรตรงหน้าทั้งที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่สามารถรับรู้สิ่งอื่นได้นอกจากตัวตนของเจษฎาที่โอบล้อมอยู่รอบกาย



นทีรู้ว่ามันอาจจะไม่ใช่รูปแบบความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด



แต่สำหรับเขา แค่ได้อยู่ข้างๆเจษฎาต่อไปแบบนี้ อะไรที่ร่างสูงเต็มใจจะให้เขา ร่างโปร่งก็ยินดีที่จะรับไว้โดยไม่ปริปากบ่น และตักตวงความสุขนี้ไว้ให้มากพอในวันที่เขาจะไม่มีอีกฝ่ายอยู่ข้างๆอีกต่อไป








เจษฎารู้ตัวดีว่าตัวเองไม่เคยชอบผู้ชาย



ตั้งแต่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ไม่มีส่วนไหนในสมองของเขาที่สงสัยว่าตัวเองจะชอบอย่างอื่นนอกจากหน้าอกหน้าใจดูมๆและผิวกายเนียนนุ่มของหญิงสาว ทุกค่ำคืนกับน้องนางทั้งห้าในความเป็นส่วนตัวของห้องนอนอุทิศให้แก่นางเอกสาวหุ่นสะบึมในภาพยนตร์ฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์ ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าอนาคตในภายภาคหน้า ตัวเองจะตกลงปลงใจแต่งงานกับหญิงสาว มีลูกน้อยวิ่งเล่นเต็มบ้านให้พ่อแม่ช่วยเลี้ยง อย่างที่เขาถูกอบรมสั่งสอนให้เข้าใจว่าครอบครัวควรจะเป็น



เขาไม่เคยคิดว่าสิ่งนทีเป็นเป็นเรื่องผิดแผกแปลกไปจากธรรมชาติ เขาแค่มองไม่เห็นตัวเองในความสัมพันธ์กับผู้ชายก็เท่านั้น



เขาได้แต่หวังว่าวันหนึ่ง นทีจะพบคนที่สามารถให้ร่างโปร่งในสิ่งที่เจษฎาไม่สามารถให้ได้ คนที่ทำให้นทีมีความสุขทั้งทางกายและด้านความสัมพันธ์ และเมื่อวันนั้นมาถึงพวกเขาจะยังคงเป็นเพื่อนรักกันต่อไป



แต่ในวันนี้ วันที่พวกเขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มขนาดยักษ์ที่เขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใหญ่ขนาดนั้นหลังจากอ่านหนังสือจบ แขนของเขารองศีรษะได้รูปของเพื่อนสนิทที่ขยับเข้ามาใกล้ มือใหญ่แทรกไปตามเส้นผมสีน้ำตาลนุ่มมืออย่างเคยชิน เจษฎาอดคิดไม่ได้ว่าอยากจะให้ทุกอย่างเป็นอยู่แบบนี้ไปอีกนานๆ



“กูคงมาค้างกับมึงบ่อยขึ้นนะ เดี๋ยวนี้ไอ้ต้าไม่กลับห้องเลย แม่งนอนบ้านทุกวัน”



เด็กหนุ่มบ่นถึงรูมเมทที่หายหัวไปไหนได้ไม่รู้ทุกวี่ทุกวัน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าไอ้เรื่องทางบ้านที่อีกฝ่ายต้องไปจัดการมันใช้เวลานานแค่ไหน



“เขาคงมีธุระสำคัญของเขาล่ะมั้ง”




นทีที่รู้ดีถึงสาเหตุของการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของคฑาเหลือบมองโทรศัพท์ของตัวเองที่ส่งข้อความคุยกับปราณค้างไว้ก่อนเจษฎาจะมา ได้แต่หวังว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่อยู่อีกฟากของการสนทนาจะสามารถเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ได้ด้วยตัวเอง










ผมไม่โอเค ใครก็ได้ช่วยไอ้ปราณที



“อันนี้อร่อยนะครับปราณ” พี่ต้าตักผัดผักบุ้งกลิ่นหอมฉุยมาใส่จานผมพร้อมรอยยิ้ม บทเรียนในวันนี้คือการออกเดทในร้านอาหาร ซึ่งร้านอาหารที่พี่ต้าเลือกเป็นภัตราคาารอาหารไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติและความสดใสของวัตถุดิบ รวมถึงราคาอันสูงลิ่วของอาหารแต่ละจาน ทำให้เป็นที่สนใจของบรรดาเซเลบดาราและนักธุรกิจที่ติดต่อการค้ากับชาวต่างชาติที่มักจะจับจองร้านเพื่อรองรับคู้ค่าทางธุรกิจอยู่เสมอ ผมเคยเห็นผ่านตาในโซเชียลมีเดีย แต่ไม่เคยคิดจะเหยียบเข้ามาในร้านด้วยเงินค่าขนมที่สามารถซื้อของกินอย่างอื่นรอบมหาวิทยาลัยจนพุงกางแต่ซื้ออาหารจานเดียวในร้านก็หมดตัว
ผมไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ปายจ่ายไปเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ไม่มีทางครอบคลุมอาหารมื้อนี้แน่



“พี่ต้าครับ...แค่ซ้อมออกเดทต้องจริงจังขนาดนี้เลยเหรอครับ”



รอยยิ้มของพี่ต้าแข็งค้าง แต่แค่เพียงชั่วพริบตาจนผมไม่มั่นใจว่าเมื่อกี้ตาฝาดไปเองหรือไม่



“ยิ่งสถานการณ์จำลองสมจริงเท่าไหร่ ปราณก็จะยิ่งมีความมั่นใจขึ้นเวลาไปเดทจริงๆนะครับ”




“แต่ผมว่าร้านนี้มันไม่น่าจะอยู่ในงบประมาณของบริษัทนะครับพี่ต้า” ผมพยายามชี้ให้อีกฝ่ายเห็นถึงข้อบ่งพร่องทางการลงทุนของบริษัท แต่พี่ต้าเพียงแค่ยิ้มให้ผมอย่างทุกครั้ง



“อย่าลืมสิครับ ปราณเป็นน้องพี่ แค่นี้พี่เต็มใจเลี้ยงครับ”



ผมรู้ครับ ว่าบ้านพี่รวย แต่มันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องเอาเงินมาละลายไปกับการพาผมไปโน่นไปนี่ทั้งที่ไม่ได้อะไรตอบแทนมั้ยครับ?



แน่นอน...ผมไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมา



“ลองชิมดูสิครับปราณ สดมากเลย” พี่ต้าหั่นหอยเชลล์ย่างไฟราดซอสสูตรลับเฉพาะกลิ่นหอมยั่วยวนเป็นชิ้นพอดีคำแล้วยื่นส้อมมาจ่อที่ริมฝีปากของผม ผมอ้าปากงับอย่างว่าง่าย รูปรสกลิ่นเสียงที่กระแทกประสาทสัมผัสทั้งห้าอย่างพร้อมเพรียงกันทำให้ผมหลับตาพริ้มเพื่อละเลียดเก็บทุกความหอมหวานไว้ในความทรงจำ



“อือ..” ผมพยายามสะกดกลั้นเสียงครางอย่างสุขสมไว้ในลำคออย่างยากลำบาก ไม่อยากให้พี่ต้าเห็นผมเป็นพวกโรคจิต แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเห็นผมฟินกับการกินมานักต่อนักตั้งแต่รู้จักกันมา หลายครั้งที่พี่ต้านั่นแหละที่เป็นคนซื้อขนมกลิ่นหอมชวน
น้ำลายสอพวกนั้นมาให้ผม



ผมค่อยๆปรือตาขึ้นแม้จะไม่อยากให้ความสุขจบลงแต่เพียงเท่านี้ ภาพตรงหน้าของผมคือพี่ต้าที่ยกมือขึ้นปิดปากแล้วเบือนหน้าหนีมองออกไปนอกหน้าต่าง แก้มของผมเห่อร้อนอย่างอับอาย นึกโกรธตัวเองที่ทำตัวประหลาดให้พี่ต้าเห็นอีกครั้งจนได้



“ขอโทษครับ...”



“อย่าทำแบบนั้นอีกนะปราณ...” แม้จะไม่ได้ดุ แต่น้ำเสียงของพี่ต้าก็จริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่ว่าจะไปกับใคร ถ้าไม่ใช่พี่ ห้ามทำแบบนั้นอีกเด็ดขาด ปราณเข้าใจมั้ยครับ?”



“คะ…ครับ”



ผมรีบรับปากเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธมากไปกว่านี้ แม้จะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลยก็ตาม



ให้ตายเถอะ ถึงผมจะรู้ว่าไอ้กิริยาเมื่อกี้มันไม่เหมาะไม่ควร แต่มันร้ายแรงถึงขั้นห้ามออกสู่สายตาประชาชีเลยเหรอครับ?



พี่ต้าเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังรวบรวมสมาธิของตัวเองให้กลับมาอยู่ในปัจจุบัน ก่อนจะยิ้มออกมา แม้ว่าในสายตาของคน



ที่เฝ้ามองรอยยิ้มนั้นอยู่ห่างๆมานานเป็นปี ผมจะดูออกได้อย่างง่ายดายว่ารอยยิ้มนั้นดูฝืนแค่ไหน



นี่ขนาดคนที่ใจดีกับคนอื่นเป็นธรรมชาติที่สองอย่างพี่ต้ายังรับผมไม่ได้ ผมอาจจะไม่มีหวังกับใครแล้วจริงๆก็ได้



ผมเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ไม่รู้ว่าเพราะความประหม่าที่ผมกำลังรู้สึกอยู่หรืออะไรจึงทำให้แก้วน้ำแก้วนั้น
ร่วงหลุดจากมือลงสู่พื้นแตกกระจาย




“ขะ…ขอโทษครับ!”



ผมรีบก้มลงเก็บเศษแก้วอย่างตกใจ ก่อนจะถูกแรงดึงของมือใหญ่ที่รวบข้อมือผมไว้ให้ลุกกลับขึ้นมาด้วยแรงไม่เบานัก



“ให้พี่พนักงานเขาเอาไม้กวาดมาเก็บนะปราณ เดี๋ยวปาดมือ” คราวนี้ผมมั่นใจว่าพี่ต้ากำลังดุผมอยู่ ข้อมือของผมแม้จะไม่เจ็บจากการถูกดึงก็ยังคงน่าจะมีรอยแดงอยู่หากอีกฝ่ายคลายมือออก



ผมพึมพำขอโทษบริกรที่เอาไม้กวาดมาเก็บกวาดเศษแก้วให้ผม ถึงแม้จะยังรู้สึกหน้าชาจากการถูกคนที่ไม่เคยขึ้นเสียงใส่ใครอย่างพี่ต้าดุก็ตาม



“ถ้าปราณอึดอัด เรากลับเลยก็ได้นะครับ”



พี่ต้าเอ่ยขึ้นหลังจากที่บริกรเก็บของเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ผมจะไม่ได้รู้สึกอึดอัดอย่างที่พี่ต้าว่า แต่ผมก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานกว่านี้เช่นกันจึงพยักหน้าอย่างเลยตามเลย



ดวงตาของพี่ต้าฉายแววผิดหวังอย่างปิดไม่มิด แต่ร่างสูงเพียงแค่เรียกบริกรมาคิดเงินแล้วพาผมกลับคอนโดตามคำขอโดยไม่พูดอะไร ผมรู้ว่าพี่ต้ากำลังโกรธ แต่เมื่อผมไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร การเอ่ยคำขอโทษจึงดูเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และในเมื่อ
ผมคิดไม่ออกว่าควรทำอะไรนอกจากนั้น ในรถของพี่ต้าจึงมีเพียงความเงียบและเสียงเครื่องปรับอากาศในรถเป็นเพื่อนร่วมทาง



“พี่ต้าครับ…”



หลังจากกลับมาถึงห้อง ในที่สุดผมก็ทนความเงียบระหว่างพวกเราไม่ไหว พี่ต้าที่เดินนำผมเข้ามาในห้องชะงักแล้วหันกลับมา ดวงตาของอีกฝ่ายค่อยๆเคลื่อนมาอยู่ที่ผมราวกับเพิ่งสังเกตว่าผมอยู่ตรงนี้


“ครับปราณ?”



“วันนี้เราจะเรียนอะไรต่อเหรอครับ?”



“ปราณไหวเหรอครับ?” พี่ต้าถาม แววตาเป็นห่วงที่กลับมาทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย




“ครับ ผมแค่รู้สึกไม่ชินกับคนเยอะๆน่ะครับ” ผมโกหก “ผมไหว”




และนั่นทำให้เรามาจบอยู่ที่โซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นโดยมีพี่ต้าวางแขนพาดพนักพิงโซฟาด้านหลังขณะที่พวกเรานั่งดูซีรีย์ในทีวี




“พี่ต้าครับ นี่มันเป็นการฝึกยังไงเหรอครับ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ คืออย่างอื่นมันยังพอจะมีเหตุผลนะ แต่ไอ้การนั่งดูทีวีนี่มันต้องสอนกันเลยเหรอ?



“อย่าดูถูกเรื่องง่ายๆนะครับปราณ เพราะบางครั้งเรื่องง่ายๆนั่นแหละที่เรามักจะมองข้ามไป” พี่ต้าสอนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่างเช่นตอนนี้ ปราณรู้มั้ยครับว่าตัวเองกำลังทำอะไรผิด?”



“ผมต้องตีลังกาดูเหรอครับ?”



พี่ต้ายิ้มขำ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ



“ปราณนั่งตัวตรงไป”



“มันดีต่อกระดูกสันหลังนะครับ” ผมเถียง ถึงแม้จะรู้ดีว่าที่ตัวเองนั่งหลังตรงเป็นไม้กระดานนั้นเป็นเพราะไม่กล้าเอนเข้าหาแขนที่วางอยู่บนพนักพิงของโซฟา



“แต่มันไม่ดีต่อใจพี่เลยนะปราณ” พี่ต้าแสร้งถอนหายใจราวกับครูอนุบาลกำลังสอนเด็กน้อยแสนซน “ปราณคิดว่าคนเป็นแฟนกันเขาจะนั่งดูทีวีแบบนี้จริงๆเหรอ”



“แล้วมันต้องดูแบบไหนล่…!!!”



พี่ต้าโอบไหล่ผมไว้แล้วดึงให้ร่างทั้งร่างของผมเซไปซบกับอกอุ่นที่ผมไม่อยากยอมรับว่าแอบฝันถึงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ขยับให้ศีรษะของผมวางลงบนบ่าอย่างพอดิบพอดีแล้วก้มลงมาหาผมเล็กน้อยพร้อมกระซิบถาม



“เป็นไงครับ สบายขึ้นเยอะเลยใช่มั้ย”



“…” ผมพยักหน้า ไม่ไว้ใจให้ตัวเองส่งเสียงอะไรออกมา



“วันนี้พี่จะสอนเรื่องการอ่านภาษากาย” พี่ต้าอธิบาย “ความรู้สึกที่แท้จริงของมนุษย์จะถูกแสดงออกมาทางท่าทางและสีหน้ามากกว่าคำพูด เพราะฉะนั้นความสามารถในการคาดเดาความรู้สึกของคนที่ตัวเองชอบมีประโยชน์มาก”



“…” ผมยังคงพยักหน้าอย่างไม่รู้จะพูดอะไร



“ถ้าคนที่ปราณชอบโอบปราณไว้แบบนี้ เพราะอยากให้ปราณรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเวลาอยู่กับเขา” เสียงทุ้มต่ำกระซิบเมื่อพี่ต้าก้มลงมา ผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆที่รินรดอยู่ไม่ห่างจากปอยผมที่เคลื่อนลงมาปรกหน้าผากของผม “ที่เขาคุยกับปราณใกล้ๆแบบนี้ เพราะเขาอยากให้ปราณรู้ว่าเขาสนใจแค่ปราณ และอยากให้ปราณสนใจแค่เขาคนเดียว”



ต่อให้ไม่ได้อยู่ใกล้ขนาดนี้ ผมก็ไม่มีสติสัมปะชัญญะมากพอจะคิดถึงใครแล้วล่ะครับ




“แล้วถ้าคนที่ปราณชอบทำแบบนี้” ใบหน้าคมเคลื่อนต่ำลงมา ระดับของริมฝีปากได้รูปที่ผมและสาวๆกว่าค่อนมหาวิทยาลัยฝันถึงกับริมฝีปากของผมอยู่ตรงกันจนผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยปลอดภัย โดยเฉพาะหลังจากอุบัติเหตุในลานจอดรถครั้งนั้น


“ปราณรู้มั้ยครับว่าต้องทำยังไง”




“ผมเหนียวตัว ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ!”




ผมเบี่ยงตัวลุกจากโซฟาเพื่อให้พ้นจากคนที่อยู่ในระยะอันตราย พี่ต้าชะงัก ราวกับไม่ได้คิดถึงปฏิกิริยาตอบรับแบบนั้นจากผม ก่อนจะยิ้มออกมา



“ดีมาก รู้จักหาข้ออ้างปฏิเสธคนที่ไม่ได้ชอบแล้วเอาตัวเองออกจากสถานการณ์ที่อึดอัดใจ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของสัญชาตญาณกับไหวพริบ สอนกันไม่ได้ง่ายๆนะ”



ผมไม่รู้หรอกนะว่าที่ต้าไปอบรมคอร์สภาษากายนั่นมาจากที่ไหน แต่ผมคิดว่าพี่ควรไปขอเงินคืนได้แล้วนะครับ



“นี่…”จู่ๆพี่ต้าก็เอ่ยขึ้น “ปราณ...ชอบไอ้เจษฎ์ตรงไหนเหรอ?”



“เอ๊ะ ทำไมจู่ๆถึงได้ถามล่ะครับ” ผมถามอย่างงุนงง



“ข้อมูลประกอบการทำงานน่ะ” พี่ต้าให้เหตุผล ผมพยักหน้าเข้าใจ ในหัวเริ่มวางแผนการทำงานเพื่อไม่ให้หลุดชื่อออกมาระหว่างที่ละเมอเพ้อพกถึงพี่ต้าให้เจ้าตัวฟัง



“พี่เขาเป็นคนอ่อนโยน ใจดี...” พี่ต้าเลิกคิ้วสูงกับคำบรรยายนั้น แต่ผมเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็น “...ชอบช่วยเหลือคนอื่น เป็นพี่ที่ดีของน้องๆ ถ้าใครเดือดร้อนอะไร ต่อให้ไม่ใช่คนที่รู้จักกันดีก็มักจะช่วยให้คำปรึกษาเสมอ เห็นเขายิ้มแต่ละทีมีแค่คนหน้ามืด เข่าอ่อน มือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก...พี่ต้า เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”



ผมถามเมื่อเห็นพี่ต้าเอาแต่จ้องผมด้วยแววตาที่ผมอ่านไม่ออก อีกฝ่ายส่ายหน้าให้ผมพร้อมรอยยิ้มอิดโรย



“ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่มึนๆหัวน่ะ สงสัยนอนไม่พอ"



“ถ้าอย่างนั้นรีบไปพักเถอะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่สบายเอา”



ผมรีบพูด หน้าพี่ต้าตอนนี้ซีดมากจริงๆ เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมานี่ยุ่งเลย



พี่พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรออกมา ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินกลับไปที่ห้องนอนเล็ก ผมมองตามไปอย่างเป็นห่วง ไม่เคยเห็นพี่ต้าเป็นแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ







ผมก้มมองแก้วนมอุ่นๆในมืออย่างวิตกกังวล ผมไม่รู้ว่านี่เรียกว่าทำเกินไปมั้ย แต่ผมคิดว่าถ้าเราโน้มน้าวตัวเองว่าใจเราบริสุทธิ์พอ การกระทำของเราก็จะดูบริสุทธิ์ใจไม่มีนัยยะแอบแฝงด้วยเช่นกัน



ก็อก...ก็อก...



“เข้ามาได้เลยครับปราณ”



เสียงของพี่ต้าจากอีกฟากของประตูยังคงฟังดูอ่อนเพลีย ผมเปิดประตูเข้าไปอย่างเชื่องช้าแล้วชะโงกหน้าเข้าไป ห้องนอนเล็กที่ผมเคยใช้เป็นห้องเก็บของตอนนี้กลายเป็นห้องนอนจริงๆที่มีข้าวของเครื่องใช้จัดวางเป็นระเบียบดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่าห้องของผมเอง ผมรู้สึกว่าหากหม่าม้าผมมาเห็นห้องนี้ในตอนนี้ผมคงโดนสวดหูชากับความรูหนูของห้องตัวเอง
พี่ต้านั่งอยู่บนเตียง สภาพดูเตรียมตัวเข้านอนเต็มที ผมยกแก้วนมอุ่นขึ้นให้พี่ต้าเห็นพร้อมรอยยิ้มแห้งราวกับว่านั่นจะสามารถอธิบายเหตุผลของการบุกรุกยามวิกาลนี้ได้



“ดื่มนมอุ่นๆก่อนนอนนะครับ จะได้หลับสบาย”



โอเค ผมว่านั่นยิ่งทำให้ผมดูโรคจิตขึ้นกว่าเดิมเสียอีก



แต่พี่ต้าก็คือพี่ต้า ต่อให้ผมจะทำตัวพิลึกต่อหน้าเขาขนาดไหน สิ่งที่คนบนเตียงทำมีเพียงรอยยิ้มกว้าง



“ขอบคุณครับปราณ”



พี่ต้ารับแก้วนมจากมือของผม มือใหญ่กุมประคองมือผมไว้ราวกับกลัวผมจะเผลอปล่อยหลุดมือให้หกเลอะเตียง



…ซึ่งจากมือที่สั่นจนของเหลวภายในแก้วแทบจะกระฉอกออกมาของผมแล้ว ผมคิดว่านั่นไม่ใช่ความคิดที่ผิดเท่าไหร่



พี่ต้ายกแก้วนมขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแล้ววางแก้วไว้ที่โต๊ะหัวเตียง ผมมองตามลิ้นที่เลียคราบนมสีขาวที่เลอะขอบปากของตัวเองอยู่อย่างควบคุมไม่ได้ พี่ต้าหันกลับมาหาผม เลิกคิ้วอย่างงุนงงเมื่อเห็นผมยืนจ้องหน้าพี่เขาอยู่ปลายเตียงอย่างหิวโหยราวสัมภเวสีขอส่วนบุญ ผมกลืนน้ำลาย รีบเบนสายตาไปมองอย่างอื่นที่ไม่ใช่หน้าพี่ต้า ก่อนจะมาหยุดที่ท่อนแขนที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามแน่นที่ผมยังคงไม่เชื่อว่าเป็นของมนุษย์



“เอ่อ...นมยังติดปากอยู่ครับพี่ต้า”



“เหรอ? ตรงไหนเหรอ?” พี่ต้ายกมือขึ้นเช็ดขอบปากของตัวเอง ซึ่งเช็ดโดนทุกที่นอกจากตำแหน่งที่คราบขาวยังคงติดอยู่บนมุมปาก



“ตรงนี้ครับ” ผมชี้แล้วเอื้อมไปหยิบทิชชู่จากกล่องบนโต๊ะยื่นให้อีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นพี่ต้าก็ยังคงพลาดจุดจุดเดียวที่มีคราเลอะบนใบหน้าของตัวเอง “ขออนุญาตนะครับ”



ผมจับข้อมือพี่ต้าให้เคลื่อนมาตรงตำแหน่งที่ถูกต้อง แต่แทนที่จะยกทิชชู่ขึ้นเช็ดใบหน้าของตัวเอง พี่ต้ากลับจ้องมาที่ผมไม่วางตา



“ปราณ...คือพี่....”


Rrrrrr



โทรศัพท์ของพี่ต้าแผดเสียงขึ้นขัดอะไรก็ตามที่พี่เขาตั้งใจจะพูด พี่ต้ากัดริมฝีปากก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วหันมาหาผมด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย



“โทษทีนะปราณ พี่ต้องรับสายนี้”



“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่กวนพี่ต้าแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะครับ”



ผมยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วคว้าแก้วเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงแล้วปล่อยให้พี่ต้าได้มีพื้นที่ส่วนตัวในการคุยธุระของตัวเอง
ซึ่งผมจะไม่รู้สึกอยากรู้อยากเห็นอะไรเลย หากชื่อที่แสดงหราอยู่บนหน้าจอนั้นไม่ใช่ชื่อของคุณชายนคินทร์ วิสุทธรากรอีกแล้ว



----------------

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 6: เดทจำลอง [27-06-19] คห.26
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 27-06-2019 22:06:56
โถ่ พี่ต้า บอกให้จริงจังไปเลย
ตอดเล็กตอดน้อย ยัยน้องมันไม่รู้สักที
นคินทร์นี่ก็ขัดจังหวะจัง ภีมมาเอาเจ้านายเธอไปเก็บบ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 6: เดทจำลอง [27-06-19] คห.26
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 06-07-2019 11:53:53
Day 7: หวั่นไหว




“อ๊ะ...เจษฎ์..เจษฎ์...อยะ..ตรงนั้นมัน....”




เรือนร่างขาวเนียนนุ่มมือยิ่งกว่าผู้หญิงที่ขยับตามแรงกระแทกของสะโพกสอบร้องออกมา เสียงหวานครางกระเส่าข้างหูของเจษฎายิ่งทำให้อารมณ์ของเขาพุ่งทะยานสูงขึ้น เด็กหนุ่มผลักเพื่อนสนิทที่คร่อมอยู่บนตักของตนให้นอนราบลงไปบนเตียงกว้างแล้วดึงเรียวขาขาวให้พาดบนไหล่ของเขาเพื่อความสะดวกในการทำกิจกรรม




“ตรงนี้เหรอที...” เสียงทุ้มแหบพร่า เจษฎ์สาวสะโพกสอบให้ช้าลงเพื่อกระตุ้นให้คนที่บิดเร่าอยู่ใต้ร่างยอมรับออกมา ลิ้นร้อนไล้วนรอบเม็ดทิบทิมสีหวานที่ชูชันราวกับจะขอร้องให้เขาสนใจ “หรือว่าตรงนี้”



“เจษฎ์...อ๊ะ...”




ร่างโปร่งกระตุกเฮือกเมื่อร่างสูงจงใจลากผ่านจุดที่ทำให้เด็กหนุ่มจิกผ้าปูที่นอนแน่น เจษฎายิ้ม ก้มลงขโมยจูบจากริมฝีปากสีชมพูหวานฉ่ำที่บวมเจ่อจากการถูกบดขยี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ใบหน้าและเรือนร่างขาวแดงก่ำไปด้วยสีเลิอดฝาดที่สูบฉีดมากในเวลาอันสั้น เส้นผมสีดำสนิทดวงท้องฟ้ายามราตรียุ่งเหยิงอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน นทีหอบหายใจใต้ร่างของเขาได้ไม่นานนักก่อนจะถูกรวบเขาไปในอ้อมกอดและถูกช่วงชิงริมฝีปากที่ทำให้เจษฎารู้สึกเมามัวนั้นอีกครั้ง



“เจษฎ์...เจษฎ์....”




ร่างสูงยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อชื่อของเขาเป็นสิ่งเดียวที่ร่างโปร่งสามารถพูดออกมาได้เป็นคำ ศีรษะได้รูปโยกคลอนไปตามจังหวะการกระแทกกระทั้นที่มีแต่จะรุนแรงขึ้นของร่างสูง เจษฎาไม่รู้ว่าคนเราสามารถมีความสุขจนตายได้หรือไม่ แต่เขาคิดว่าตอนนี้ตัวเองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแล้ว







เฮือก!




ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากเตียงด้วยสภาพเหงื่อโทรมกาย เขายังอยู่บนเตียงของนทีเช่นเดียวกันในฝันเมื่อครู่ แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปคือเจ้าของเตียงซึ่งหายไปจากเตียงเป็นที่เรียบร้อย จากเสียงน้ำกระทบกับพื้นที่ดังแว่วมา นทีคงกำลังอาบน้ำอยู่เหมือนทุกเช้าก่อนที่เขาจะตื่นนอน




ซึ่งภาพของเพื่อนสนิทในห้องอาบน้ำตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับความปวดตุบที่ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เพิ่งทำเลอะเทอะเหมือนเด็กชายวัยแรกรุ่นก่อนหน้านี้เลยสักนิด




“อ้าวเจษฎ์ ตื่นเร็วจัง เราว่าจะมาปลุกอยู่พอดี” นทีในชุดคลุมอาบน้ำที่เพิ่งก้าวออกมาจากห้องน้ำเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ เพราะปกติแล้วเจษฎาไม่เคยตื่นเอ่ยในตอนเช้าเลยสักครั้ง




“เออ ปวดฉี่ว่ะ” ร่างสูงอ้าง รีบลุกจากเตียงผ่านเพื่อนสนิทไปด้วยกลัวว่านทีจะสังเกตเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น




นทีหันมองตามแผ่นหลังกว้างงุนงง ก่อนจะไหวไหล่แล้วหันไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตัวเองเพื่อหาชุดนักศึกษา




“เชี่ยยยย อะไรของกูวะเนี่ย”




เจษฎาร้องออกมาอย่างโมโหตัวเองภายในห้องอาบน้ำ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะฝันอะไรแบบนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความฝันดันฟีดเจอริ่งเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อของเขาโดยไม่สอบถามความสมัครใจของเจษฎาเลยสักนิด




เขาได้แต่บอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงปฏิกิริยาทางร่างกาย เมื่อเขากับนทีมีอะไรกันบ่อยเข้า ร่างกายของเขาก็ย่อมต้องมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดาว่าภาพที่อยู่เบื้องหน้าผ้าผูกตาของเข้าในทุกๆ ครั้งนั้นเป็นอย่างไร




แต่เขามั่นใจว่ากิจกรรมบนเตียงของพวกเขาทั้งคู่ไม่เคยใกล้เคียงกับอะไรก็ตามที่เจษฎาเพิ่งเห็นในฝันของตน




เด็กหนุ่มปิดฝักบัวแล้วเช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูลวกๆ ก่อนจะนำผ้าขนหนูมาผูกเอวแล้วเปิดประตูออกไป ก่อนจะกุมผ้าของตัวเองไว้แทบไม่ทันเมื่อเห็นภาพตรงหน้า




“อาบเสร็จแล้วเหรอเจษฎ์ แป๊บนะ เราหาเสื้อไม่เจออ่ะ” นทีที่อยู่ในกางเกงนักศึกษาเพียงตัวเดียวหันมาบอกเพื่อนสนิทก่อนจะหันกลับไปแหวกหาชุดนักศึกษาของตนจากเสื้อผ้าที่ถูกแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบ เจษฎากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อเห็นแผ่นหลังขาวเนียนเช่นเดียวกับที่เขาลูบไล้ในความฝันที่ไม่มีร่องรอยใดนอกจากรอยช้ำรูปฝ่ามือจากการที่สะโพกทั้งสองข้างถูกเค้นคลึงในกิจกรรมเมื่อคืนของพวกเขา




เจษฎาไม่ค่อยมีหัวทางด้านศิลปะมากนัก แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่านั่นเป็นผลงานชิ้นเอกของตัวเอง




“อ๊ะ เจอละ” ร่างโปร่งยิ้มอย่างโล่งใจแล้วใส่เสื้อนักศึกษาอย่างคล่องแคล่ว เจษฎาเลิกที่จะเมินเฉยต่อความรู้สึกเสียดายของตัวเองเมื่อถูกพรากเอาวิวทิวทัศน์ดีๆ ไป “กลางวันเรามีทำงานกลุ่มอ่ะ คงไม่ได้เจอกัน มื้อเย็นเจษฎ์ยังอยากไปร้านที่บอกอยู่มั้ย?”




“เอ่อ...เอาดิ เดี๋ยวกูไปรับมึงที่คณะ”




เจษฎาที่มัวแต่อาลัยอาวรณ์แผ่นหลังขาวเนียนรีบพยักหน้าเพื่อไม่ให้มีพิรุธ แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ได้ผลเมื่อนทีเลิกคิ้วมองเขาอย่างงงุนงง แต่โชคดีของเขาที่ร่างโปร่งไม่ได้ถามอะไรต่อ



“งั้นเจอกันเย็นนี้นะ”














เจษฎาเช็คลมหายใจและฟันของตัวเองในกระจกมองหลังเป็นรอบที่ล้าน จัดทรงผมที่เซ็ทมาอย่างดีและขยับคอเสื้อนักศึกษาของตัวเองแล้วหันไปมองขวดโคโลญจ์ที่นทีซื้อมาฝากจากต่างประเทศซึ่งวางอยู่ในคอนโซลหน้ารถอย่างชั่งใจว่าควรจะฉีดเพิ่มหรือไม่



ก็อก…ก็อก…




เสียงเคาะกระจกเบาๆ ดังขึ้นจากอีกฝั่งของรถ เจษฎารีบปิดคอนโซลรถแล้วปลดล็อคประตูรถให้เพื่อนสนิทเปิดประตูเข้ามานั่ง




“โห วันนี้แต่งตัวซะเนี้ยบเชียว นัดสาวที่ไหนต่อเหรอ?”




“เนี้ยบอะไร กูหล่อแบบนี้ของกูทุกวัน” เจษฎาตอบปัด “คาดเข็มขัดเลยเร็วๆ กูหิว”




นทีดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดตามคำสั่ง เจษฎาถอนเบรกมือ ตีไฟเลี้ยวแล้วดึงตัวรถกลับสู่ท้องถนน นึกขัดใจที่เพื่อนสนิทคิดว่าเขาจะมีนัดกับใครทั้งที่ตัวเองเป็นคนชวนเขามากินข้าวแท้ๆ




ร้านอาหารที่พวกเขามากันในวันนี้เป็นหนึ่งในร้านดังที่ได้รับการรีวิวจากหลายเพจที่เจษฎาติดตามมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ตั้งแต่ขับรถได้และมีรถเป็นของตัวเอง ร่างสูงก็แท็กทีมกับนทีและปราณตระเวนชิมร้านอาหารดังไม่ว่าจะใกล้ไกลแค่ไหน แต่ระยะหลังมานี้ไอ้น้องรักของเขามักจะปฏิเสธทุกครั้ง ทำให้เหลือเพียงแค่เขากับนที




ปกติแล้วเจษฎาไม่ค่อยยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอกหรือราคาของร้านอาหาร หากขึ้นชื่อว่าอร่อยแล้วร่างสูงถือคติว่าตัวเองต้องได้ลองสักครั้ง แต่การเป็นเพื่อนกับนทีทำให้เด็กหนุ่มลังเลที่จะไปร้านข้างทางกับคุณชายรองของตระกูลมหาเศรษฐี เขารู้ว่านทีไม่ออยากได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากคนอื่น แต่เรื่องบางเรื่องเจษฎาก็ไม่สามาถห้ามตัวเองไม่ให้เลือกปฏิบัติได้




เขาจึงมักจะเลือกร้านอาหารบรรยากาศดีที่เหมาะสมกับฐานะของนทีทุกครั้งที่เพื่อนสนิทติดมาด้วย และเก็บร้านอาหารข้างทางรีวิวล้านดาวไว้ไปกับปราณหรือคฑาแทน




“เมื่อไหร่เจษฎ์จะเปิดเพจรีวิวร้านอาหารซะทีล่ะ นี่เราว่าพวกเรากินจะครบทุกร้านในประเทศอยู่แล้วนะ” นทีถามเพื่อนสนิท เอื้อมมาตักสตูว์เนื้อจากจานของเจษฎาใส่จานตัวเองแล้วดันจานพาสต้าเห็ดทรัฟเฟิลของตัวเองให้ร่างสูงชิม ในช่วงแรกที่พวกเขารู้จักกัน นทีดูจะตื่นตกใจกับวัฒนธรรมการแชร์อาหารของเขากับปราณพอสมควรแม้จะพยายามทำตัวเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่นานวันเข้า นทีเสียเองที่เป็นฝ่ายโน้มตัวมากัดขนมในมือของเจษฎาโดยไม่ขออนุญาตแล้วช้อนตามองเขาพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น ซึ่งภาพที่เขาไม่เคยคิดอะไรในตอนนั้นกลับทำให้ร่างสูงสำลักอากาศขึ้นมากระทันหัน





“แค่กๆ ๆ”





“โอเครึเปล่า?” นทียื่นแก้วน้ำให้เพื่อนสนิท เจษฎายกน้ำขึ้นดื่มอีกใหญ่แล้วยกมือเป็นเชิงว่าตัวเองไม่เป็นอะไร




“กูไม่เปิดเพจหรอก ขี้เกียจเขียนรีวิว” เจษฎาตอบคำถามหลังจากอาการสำลักหยุดลง หวังว่าบทสนทนานั้นจะช่วยเบนความสนใจของตนไปจากภาพของนทีในหัวเมื่อครู่




“เราช่วยได้นะ” นทียิ้มกว้าง “ยังไงเราก็ไปกินด้วยกันตลอดอยู่แล้ว”




เจษฎายกน้ำขึ้นดื่มอีกครั้งเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดของตน ก่อนจะเกือบสำลักน้ำออกมาอีกรอบเมื่อหญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้ามาในร้าน




เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนเดียวที่จ้องหญิงสาวในชุดเดรสรัดรูปสีชมพูเข้มที่มีความยาวไม่ถึงครึ่งของต้นขา แต่ความสั้นนั้นเทียบไม่ได้เลยกับคอเสื้อที่คว้านลึกจนไม่เหลืออะไรให้คนมองจินตนาการ นทีหันไปมองตามเพื่อนสนิทอย่างงุนงง และนั่นทำให้เจษฎารีบเบือนหน้าหนีจากหญิงสาวอย่างตื่นตระหนก




“เฮ้ย กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ”



“ขอโทษ? เรื่องอะไรเหรอเจษฎ์” นทีหันกลับมาถามอย่างไม่เข้าใจ




“ก็ที่กูมอง…” เจษฎาขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด “มึงบอกชอบกูแล้วแต่กูยังมองคนอื่นต่อหน้ามึง มึงไม่โกรธเลยเหรอวะ?”




ขนาดเขายังโมโหตัวเองเลย




“นึกว่าเรื่องอะไร” นทียิ้มขำ แววตาของร่างโปร่งอ่อนโยนจนเจษฎารู้สึกว่าแก้มของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมา “ไม่เป็นไรหรอกเจษฎ์ เราชินแล้ว แค่ที่เจษฎ์ให้เราตอนนี้ก็มากเกินกว่าที่เราจะกล้าขอแล้ว”




เจษฎาไม่รู้ว่าทำไม แต่คำว่า ‘เราชินแล้ว’ ของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่




“แล้วมึงอ่ะ ไม่มองคนอื่นบ้างเหรอ?” ร่างสูงรีบเปลี่ยนประเด็น รู้สึกว่าหัวข้อสนทนานั้นอยู่ในพื้นที่อันตรายจนเกินความสบายใจของตน “มึงชอบผู้ชายหน้าตาแบบไหน? มีเสป็กป่ะ?”




เรื่องรสนิยมทางเพศของเพื่อนสนิทเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยพูดคุยกัน แม้เจษฎาจะไม่เคยรังเกียจนที แต่เขาก็ไม่เคยนึกอยากรู้เช่นกันว่าเพื่อนของเขาชอบผู้ชายแบบไหน สำหรับเขา นทีกับเรื่องบนเตียงไม่ใช่สิ่งที่เขานึกถึงพร้อมกัน




อย่างน้อยก็จนถึงก่อนหน้าวันเกิดของร่างโปร่งน่ะนะ



ใจหนึ่งเจษฎาแอบคิดว่านทีจะชี้มาที่เขาแล้วพูดว่า ‘แบบเจษฎ์นั่นแหละ’ พร้อมรอยยิ้มเอียงอาย แต่เมื่ออีกฝ่ายหันไปมองรอบๆ ร้านราวกับจะหาตัวอย่างผู้ชายในฝันของตนให้เขาดู ร่างสูงรู้สึกเหมือนถูกต่อยเขาที่ท้องขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ



“ประมาณคนนั้นมั้ง”



นทีพยักเพยิดไปยังโต๊ะที่อยู่อีกฟากของร้านอาหาร เจษฎามองตามสายตาของเพื่อนสนิทไปยังร่างสูงในชุดสูทสั่งตัดสีน้ำเงินเข้ม ชายชาวต่างชาติที่น่าจะอยู่ในวัยสามสิบปียกแก้วไวน์ขึ้นจิบ เส้นผมสีบลอนด์สั้นจัดเป็นทรงเรียบร้อยและดวงตาสีมรกตสามารถสังเกตได้จากตรงที่เจษฎานั่งอยู่




เรียกได้ว่าคนตรงหน้าเป็นคำนิยามของคำว่า ‘ขั้วตรงข้าม’ ของเจษฎาอย่างสิ้นเชิง



“เดี๋ยวนะ มึงลดสเป็คจากนั่นมานี่ได้ไงวะ?” เจษฎาชี้มาที่ตัวเองอย่างไม่เข้าใจ




“สเป็คกับคนที่ชอบมันไม่เหมือนกันซักหน่อย” นทีอมยิ้ม “เราชอบเจษฎ์เพราะเรารู้จักเจษฎ์ ถ้าเราแค่เดินสวนเจษฎ์กับผู้ชายคนนั้นตามถนน เราก็คงตามไปขอเบอร์ผู้ชายคนนั้น”



เจษฎาไม่เคยโดนรุมกระทืบ แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าความรู้สึกคงไม่ต่างจากที่เขากำลังรู้สึกในตอนนี้มากนัก




โดยเฉพาะในระหว่างที่เขากำลังคุยกับนทีอยู่นั้น ไอ้ฝรั่งขี้นกนั่นกลับเหลือบมองมาทางนทีเป็นระยะพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่เชื้อเชิญกำปั้นเขาเสียเหลือเกิน




“กลับกันเถอะ พรุ่งนี้มึงเรียนเช้านี่” เจษฎาเอ่ยด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ยกมือขึ้นเรียกพนักงานให้มาคิดเงิน พวกเขามักจะจ่ายแยกกัน แม้ว่านทีมักจะดึงดันที่จะเลี้ยงเขาอยู่บ่อยครั้งก็ตาม



พวกเขาเดินมาถึงหน้าประตูร้านเมื่อเจษฎาตบไปตามกระเป๋ากางเกงแล้วหันไปหาคนข้างๆ




“แป็บนะ กูลืมโทรศัพท์” นทีพยักหน้า ร่างสูงรีบเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ตนวางไว้บนโต๊ะแล้วหันกลับไปหาเพื่อนสนิทที่ยืนรออยู่หน้าร้าน



ก่อนจะเห็นว่าชายชาวต่างชาติในชุดสูทใช้โอกาสที่เขาเผลอเข้ามาพูดคุยอะไรบางอย่างกับนทีที่หันไปตอบกลับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มที่เจษฎาไม่เคยเห็นมาก่อน




รอยยิ้มยั่วเย้าและแววตาแพรวพราวที่เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะรู้วิธีทำ




“ไอ้ที! ไปกันได้แล้ว!”



ร่างสูงเอ่ยด้วยเสียงไม่เบานัก ดึงให้เพื่อนที่คุยกับชายในฝันของตัวเองเบาๆ ให้เดินไปกับตน แต่เขายังคงเห็นเต็มสองตาว่าร่างโปร่งรับนามบัตรของชายแปลกหน้ามาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่อีกฝ่ายไม่เคยมอบให้เจษฎา




เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรหงุดหงิด แต่ตอนนี้หากนทีไม่ยอมเดินมากับเขา ร่างสูงคิดว่าตัวเองคงได้กระโจนใส่ใครสักคน และมีความเป็นไปได้สูงว่าคนคนนั้นจะเป็นชายหนุ่มผมบลอนด์ที่ยังคงมองตามแผ่นหลังของร่างโปร่งอย่างไม่วางตานั้น












“เขาคุยอะไรกับมึง?”



เจษฎาถามเมื่อพวกเขาเข้ามานั่งในรถของร่างสูง พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเก็บซ่อนความไม่พอใจจากน้ำเสียง ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของเขาที่นทียังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองนามบัตรในมือ



“เขาแค่มาขอเบอร์น่ะ ไม่มีอะไรหรอก” นทีตอบราวกับนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งสำหรับคุณชายรองทายาทมหาเศรษฐีหน้าตาเหมือนหลุดออกมาจากวงบอยแบนด์แดนกิมจิอย่างนที นั่นไม่ใช่เรื่องที่ไกลจากความเป็นจริงเท่าไหร่นัก



“ไหนมึงบอกว่าชอบแบบนั้นไง ไม่ลองให้โอกาสเขาหน่อยเหรอ?”




เจษฎาพยายามทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีด้วยการถาม เขาไม่อยากให้นทีรู้สึกว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการที่อีกฝ่ายจะสานสัมพันธ์กับใคร ในเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่เจษฎาต้องการตั้งแต่ต้น ใครสักคนที่จะช่วยดูแลอีกฝ่ายในพื้นที่ที่เจษฎาไม่สามารถก้าวเข้าไปได้




เขาแค่ไม่มั่นใจว่านั่นยังคงเป็นสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้หรือไม่ก็เท่านั้น




“ไม่อ่ะ ก็เราชอบเจษฎ์อยู่นี่นา” นทีเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ เก็บนามบัตรใบดังกล่าวลงในกระเป๋าเงินของตัวเอง “ถึงจะdaddyสุดๆ เลยก็เถอะ”




เจษฎาเลือกที่จะทำเป็นหูทวนลมกับประโยคสุดท้าย ก่อนจะออกรถโดยไม่สนใจเสียงร้องเบาๆ ของเพื่อนที่ยังไม่ทันตั้งตัว










-----------------


 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
เป็นไงล่ะเจษฎ์ นทีเขาชอบแบบ Daddy นะ55555
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 7:หวั่นไหว [06-07-19] คห.28
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 07-07-2019 11:36:16
ไม่รู้ใครจะแพ้ใจตัวเองก่อนกัน สามคู่ นายเอกชอบพระเอกก่อนหมดเลย
แต่เหมือนคินก็ชอบภีมนะ ต้าก็ดูเข้าหาปราณ แต่ยังอยากทดสอบมากกว่าเปิดตัว

คู่เจษฎ์ทีคือแหวกแนวสุดแล้วค่ะ จะให้นทีไปชอบใครได้อีก
ในเมื่อเค้ามีคนที่รักเต็มหัวใจแล้ว เจษฎ์ก็น่าโดนทุบมาก

ต้าจะทำเคืองปราณ ทำงอนน้อง ไม่ได้นะคะ เข้าหาแบบเนียนเอง
ปราณจะงง จะเด๋อบ้าง ก็ไม่แปลกหรอก แถมยังพากันเข้าใจไปโน่นอีก

ภีมน่าสงสารสุดแล้วค่ะ คินดูอารมณ์ไม่มั่นคงและไม่รู้ผลจะออกทางไหน
คือจะพยายามเลี้ยงตัวเองให้ได้ จะได้ดูแลภีมได้ เปิดตัวได้
หรือจะเป็นลูกชายคนโตไปแบบนี้ แบบเพอร์เฟค
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 7:หวั่นไหว [06-07-19] คห.28
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 12-07-2019 22:36:30
Day 8: อ่านหนังสือ




“ปราณอยากให้พี่ทำอะไรกับปราณดีครับวันนี้”



“อะ...อะไรนะครับ?” ผมหันขวับไปหาคนที่ยืนทำกับข้าวอยู่ในครัว ไม่มั่นใจว่าได้ยินอีกฝ่ายถูกต้องหรือไม่



“เรื่องบทเรียนไงครับ” พี่ต้าหันมายิ้มให้ผม “ปราณอยากให้พี่สอนอะไรเหรอครับ?”




ผมว่าการอยู่กับพี่ต้ามากเกินไปทำให้สมองของผมเริ่มเปลี่ยนคำพูดของพี่เขาไปในทางที่ตัวเองต้องการจะได้ยินขึ้นเรื่อยๆยังไงก็ไม่รู้แฮะ




“วันนี้เราแค่ไปฟิตเนสกันเฉยๆได้มั้ยครับ พี่ต้าใกล้สอบแล้วนี่ครับ เดี๋ยวจะอ่านหนังสือไม่ทันเอา” ผมเอาเรื่องสอบกลางภาคมาอ้าง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าหัวใจผมแค่เหนื่อยเกินกว่าจะรับการกระทำสองแง่สามง่ามของอีกฝ่ายได้มากกว่านี้



“เอาอย่างนั้นก็ได้นะ” พี่ต้าวางจานข้าวหมูย่างและสลัดถ้วยใหญ่ลงบนโต๊ะ “แต่ปราณไม่ต้องห่วงเรื่องพี่หรอกนะ พี่จัดการตัวเองได้ แต่ปราณก็ใกล้จะสอบเหมือนพี่แล้วใช่มั้ย? เราพักอ่านหนังสือสอบกันสักระยะก็ได้”



ผมยิ้มให้อีกฝ่ายแทนคำขอบคุณ ถึงแม้ผมจะไม่ได้มีปัญหาเรื่องอ่านไม่ทัน แต่การได้พักจากบทเรียนที่ทำให้ใจผมไม่สงบสุขไปสักระยะก็ดูจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย



“แล้วพี่ต้าอ่านถึงไหนแล้วเหรอครับ?” ผมชวนคุย ช่วยจัดโต๊ะอาหารเมื่อเห็นว่าพ่อครัวชั่วคราวของผมใกล้ทำอาหารเสร็จแล้ว พี่ต้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และนั่นเรียกความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี



“ไม่ถึงไหนเลย ปีสองชีทเรียนมีแต่ภาษาอังกฤษ พี่ก็โง่อังกฤษด้วย กว่าจะอ่านจบก็นานกว่าชาวบ้านเขา”



“เอ๊ะ...แต่พี่ต้า..” ผมขมวดคิ้ว พยายามทบทวนความทรงจำว่าพี่ต้าจบมัธยมปลายที่ไหน “ผมเห็นไอ้เต้อยู่นานาชาติกับพวกผม ผมเลยเข้าใจว่าพี่ต้าก็อยู่นานาชาติเหมือนกัน...”



“เปล่า มีแค่ไอ้เต้แหละที่อยู่นานาชาติ” พี่ต้าตอบ “แต่ก็ดีแล้วล่ะ พี่โง่อังกฤษขนาดนี้ อยู่ไปก็จะเรียนไม่จบเอา”




“ถ้า…ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ ให้ผมช่วยแปลก็ได้นะครับ” ถึงอย่างไรผมก็เรียนสายนี้อยู่แล้ว



ดวงตาของคนตรงหน้าเป็นประกายวาววับกับข้อเสนอ ผมได้รับรางวัลของการทำดีเป็นรอยยิ้มกว้างสว่างสดใสจนผมแสบตาจากความเจิดจ้านั่น



“ขอบคุณนะครับปราณ มีใครเคยบอกมั้ยว่าปราณน่ารักมากเลย”



“ก็มีแต่พี่ต้านี่แหละครับที่บอกผมเช้าเย็น” ผมยิ้มขำ รินนำเปล่าลงในแก้วทั้งสองใบ ก่อนจะเกือบทำเหยือกน้ำหลุดมือเมื่อคนที่ไม่รู้เข้ามาใกล้ผมตอนไหนวางคางลงบนไหล่ของผม กระซิบเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผมรู้สึกอ่อนยวบไปทั้งร่าง
“แล้วพี่ก็จะบอกปราณไปเรื่อยๆแบบนี้จนกว่าปราณจะเชื่อพี่”



เล่นแบบนี้ไม่แฟร์เลยซักนิด!




“พี่ต้า หนักครับ” ผมพึมพำ เบือนหน้าหนีคนที่ชอบยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
อีก




“โทษทีๆ” อีกฝ่ายรีบผละออกไปเมื่อได้ยินดังนั้น แม้จะรู้สึกเสียดายความอบอุ่นของร่างข้างๆ แต่ผมคิดว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้



บางทีผมก็สงสัยนะ ว่าพี่ต้าใจดีขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที









“ปราณๆ ตรงนี้แปลว่าอะไรเหรอ?”



พี่ต้ายื่นชีทของตัวเองให้ผมดูส่วนที่ไฮไลท์ไว้ ผมไม่รู้ว่าพวกเรามาลงเอยกันที่การอ่านหนังสือเตรียมสอบบนเตียงของผมทั้งคู่ได้อย่างไร แต่ภาพที่เหมือนกับหลุดออกมาจากห้วงความฝันนี้ทำให้ผมรู้สึกอายกับความคิดอกุศลของตัวเองต่อจากนี้จนแทบอยากจะเอาหน้าซุกหมอนแล้วไม่โผล่กลับขึ้นมา



“อันนี้ใช่มั้ยครับ? เป็นเรื่องพลังงานที่ได้จากคาร์โบไฮเดรต...” เสียงของผมถูกลืนหายลงไปในลำคอเมื่อพี่ต้ายื่นหน้าเข้ามาดูชีทด้วยกันกับผม ถึงแม้ผมจะเริ่มเคยชินกับความชื่นชอบสกินชิพของพี่เขาแล้ว แต่บางทีก็ยังอดไม่ได้ที่จะชะงักกับความไร้พื้นที่ส่วนตัวของคนข้างๆ



“ปราณนี่เก่งจังเนอะ พี่ต้องทำยังไงถึงจะเก่งเหมือนปราณเนี่ย” พี่ต้าชมผมด้วยน้ำเสียงจริงใจ ผมก้มหน้าเกาศีรษะแก้เก้อพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเขินอาย



“ไม่หรอกครับ พี่ต้าก็เก่งตั้งหลายเรื่อง”



“แล้วเรื่องของปราณ...ปราณว่าพี่เก่งมั้ยครับ?” ผมหันไปมองหน้าพี่ต้าอย่างประหลาดใจ คนพูดยิ้มก่อนจะขยายความ “ในฐานะเทรนเนอร์ ปราณคิดว่าพี่รู้เรื่องปราณดีพอรึยังครับ?”



“โห พี่ต้ารู้มากกว่าที่ผมรู้จักตัวเองอีกมั้งครับ” ผมตอบกลั้วหัวเราะ “ถ้ารู้มากกว่านี้พี่ต้าก็รู้แล้วว่าตอนนี้ผมใส่กางเกงในสีอะไร”



“ชมพู” พี่ต้าตอบหน้าตาย เล่นเอาผมสะดุ้งรีบหันไปมองด้านหลังว่ามีขอบกางเกงชั้นในของตัวเองโผล่ออกมาหรือไม่ “ก็ข้าวของของปราณมีอยู่สีเดียวนี่นา ตอนหาชุดให้ปราณใส่พี่เห็นทั้งลิ้นชักมีแต่สีชมพู ปราณชอบสีชมพูขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”



โอ๊ย ม๊านะม๊า หมดกันความแมนของไอ้ปราณ



“หม่าม๊าผมชอบครับ ผมไม่ค่อยอยากขัดใจท่าน”




“เหรอ…” พี่ต้าลากเสียง เอียงคอมองผมด้วยแววตาใคร่รู้ “แล้วปราณชอบสีอะไรล่ะ?”




“ก็ไม่มีสีที่ชอบเป็นพิเศษหรอกครับ เป็นแนวสีพาสเทลซะส่วนใหญ่” ผมชอบสีที่มันสบายตา ดูแล้วมันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก



“พี่ก็ชอบนะ ดูแล้วมันสบายตาดี” พี่ต้าเอ่ยสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาอีกครั้ง รสนิยมที่คล้ายคลึงกันในแทบทุกด้านของพวกเราทำให้ผมกับพี่ต้าไม่เคยหมดเรื่องที่จะพูดคุยกัน และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าพวกเราเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้



อย่างเช่นมือของอีกฝ่ายที่ผมเพิ่งสังเกตว่ากำลังวางอยู่บนต้นขาของผมเป็นต้น



“เอ่อ…แอร์เย็นจังนะครับ…” ผมโน้มตัวไปหยิบผ้าห่มที่วางอยู่ปลายเตียง ทำให้มือของพี่ต้าหล่นลงไปจากตักของผมตามแรงโน้มถ่วง




“นั่นสิ พี่ก็หนาวเหมือนกัน” พี่ต้าพยักหน้าเห็นด้วย แย่งผ้าห่มไปจากมือผมแล้วคลี่ออกตวัดคลุมรอบตัวพวกเราทั้งคู่ กลายเป็นว่าขอบเขตของผ้าผืนนุ่มบังคับให้ผมกับพี่ต้าต้องขยับเข้ามาใกล้กันกว่าที่เป็นอยู่ “ไงครับ? อุ่นขึ้นมั้ย?”




ผมทำได้เพียงพยักหน้าหงึกหงักแล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อ ซ่อนใบหน้าที่ขึ้นสีเรื่อใต้เงามืดของผ้าห่มผืนหนา



“นี่ก็…เป็นบทเรียนของพี่ต้าด้วยรึเปล่าครับ?”




พี่ต้าชะงักไปกับคำถาม ผมไม่เห็นสีหน้าของพี่ต้าเนื่องจากยังคงจดจ่ออยู่กับหน้ากระดาษ แต่เสียงของคนข้างๆฟังดูแปลกไปจากเดิม



“นั่นสินะ…บทเรียนที่ดีที่สุด คือบทเรียนที่เราไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเรียนอยู่นี่แหละ ปราณว่ามั้ย?”



ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้สึกว่าพี่ต้ากำลังพูดกับตัวเอง มากกว่ากำลังพูดอยู่กับผม



Rrrrrr




ผมหยิบโทรศัพท์มาดูเหมือนได้ยินเสียงเรียกเข้า ชื่อของพี่เจษฎ์ที่เด่นหราอยู่บนหน้าจอทำให้ผมหันไปหาพี่ต้าด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย



“ขอโทษนะครับ เดี๋ยวผมมา”



“ไม่ต้องรีบ พี่รอปราณอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหนหรอกครับ” พี่ต้ายิ้มให้ผมด้วยแววตาเศร้าๆที่ผมไม่มั่นใจว่าเกิดจากอะไร
ผมเดินออกมานอกระเบียงแล้วกดรับสาย ไอ้พี่เจษฎ์โทรมาทำไมดึกดื่นป่านนี้



“ครับ?”




“อ้ายปราณณณ~ น้องร้ากกกของเพ่” น่าน เสียงเมาเหมือนหมามาเลยครับ “นอนด้วยยยย”




“หา? ไม่ได้ พี่เจษฎ์ วันนี้ผมไม่สะดวก” ปกติพี่เจษฎ์ก็ขอมาค้างห้องผมบ้าง แต่ปกติพี่แกจะโทรมาก่อนล่วงหน้าอย่างน้อยก็วันนึง



“ไรว้าาาา ซุกผู้ไว้อ่อออ” พี่เจษฎ์แซวเสียงยานคาง “กูนอนห้องเล็กก้อด้ายยย อุดหู~”



“พี่อยู่ไหนครับเนี่ย?” ผมถาม เมาขนาดนี้จะขับรถมาที่ห้องผมได้ยังไง



“ร้านเฮียเต็งงง”



“พี่ทีอยู่ไหนครับ? อยู่ด้วยกันรึเปล่า?” แม้ผมจะคิดว่าหากพี่นทีอยู่ด้วย อีกฝ่ายคงไม่โทรมาขอค้างห้องผมแบบนี้ แต่มันก็ยังแปลกอยู่ดีที่พี่นทีจะไม่อยู่กับเพื่อนสนิท



มาคิดๆดูแล้ว พี่เจษฎ์ก็มักจะมาค้างห้องผมหรือห้องตัวเองเวลารู้ว่าจะเมาเหมือนหมาแบบนี้ คงเกรงใจคุณชายอย่างพี่นทีที่จะต้องมาดูแลล่ะมั้ง



“ม่ายยย กูอยู่โคนเดียวววว”



“รออยู่ที่นั่นนะครับ เดี๋ยวผมโทรให้พี่ต้าไปรับ อย่าไปไหนนะครับ” ผมกำชับเสียงหนักแน่น กลัวว่าคนเมาจะอุตริขับรถออกมาจริงๆ



“เออ! กูม่ายปายหนายหรอก เอื้อก!” พี่เจษฎ์สะอึก “กูม่ายมีที่ปายอ่าาา”



เชี่ย พี่กูเมาจนพูดไม่เป็นคำแล้ว ซัดไปกี่ขวดวะเนี่ย



“พี่ต้าครับ! พี่เจษฎ์เมาอยู่ร้านพี่เต็งหนึ่งอ่ะ เมาเป็นหมาเลยพี่ ผมว่าเราต้องไปรับแล้วล่ะครับ” ผมรีบกลับไปหาพี่ต้าทันทีที่ตัดสาย คนบนเตียงขมวดคิ้ว ก่อนจะรีบตวัดผ้าห่มลุกขึ้นจากเตียง



“แล้วทีล่ะ?”



“ไม่ได้อยู่ด้วยกันครับ พี่เจษฎ์อยู่คนเดียว”



“โอเค งั้นเดี๋ยวเอามันกลับหอพี่” พี่ต้าคว้ากุญแจรถกับกุญแจห้องที่วางอยู่ในห้องนั่งเล่น ผมปิดแอร์ปิดไฟแล้วคว้าคีย์การ์ดของตัวเองพร้อมกระเป๋าเงิน ได้แต่หวังว่าพี่เจษฎ์จะมีสติพอที่จะไม่ทำอะไรโง่ๆอย่างการขับรถออกมาในสภาพแบบนั้น
พวกเรามาถึงร้านไม่กี่นาทีหลังจากนั้น สภาพของร้านแทบไม่มีลูกค้าเหลืออยู่และพนักงานกำลังเริ่มเก็บโต๊ะเตรียมปิดร้าน มีเพียงร่างร่างหนึ่งที่ฟุบอยู่กับโต๊ะในมุมอับของร้านที่ไม่ค่อยมีใครอยากนั่ง



“เฮ้ย พี่เจษฎ์ ทำไมสภาพเป็นแบบนี้เนี่ย”ผมพยายามปลุกอีกฝ่าย ส่วนพี่ต้าแยกตัวไปเคลียร์บิลค่าเหล้า พี่เจษฎ์สะลึมสะลือตื่น เงยหน้ามองผมด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้มจากฤทธิ์เหล้าที่กินเข้าไป



”อ้ายอ้วนนนน คิดถึงงงง” คนเมากอดพุงผมไว้แน่น ถูไถใบหน้าไปมาเตรียมใช้พุงนุ่มนิ่มของผมแทนหมอน กว่าจะแกะออกได้แทบต้องใช้คีมง้างออก



“ไม่ต้องมาเรียกเลย ลุกเร็ว เดี๋ยวผมพากลับหอ”



“งือออ กูเหงาาาา”



“เดี๋ยวคืนนี้กูนอนหอ กลับกันได้แล้ว ปราณเขาง่วงแล้วเนี่ย” พี่ต้าที่กลับมาสมทบเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ คว้าแขนของรูมเมทมาพาดคอตัวเองแล้วดึงให้ไอ้พี่เจษฎ์ลุกขึ้น ผมช่วยประคองร่างที่โซเซไปมาไปที่รถของพี่ต้าอย่างยากลำบาก




“เออ! ร้ากกานข้าวปาย” พี่เจษฎ์โวยวาย ผมกับพี่ต้าช่วยกันยัดพี่แกเข้าไปในเบาะหลังของรถ ผมเข้าไปนั่งประกบด้วยกลัวคนเมาจะทำอะไรพิเรนทร์เช่นการเปิดประตูพรวดออกไปขณะที่รถกำลังวิ่ง “กูมันหมาาาา หมาหัวเน่าาาา”



เอาเข้าไป พรุ่งนี้ตอนพี่มันแฮงค์จนคลานมาเรียนผมจะหัวเราะสมน้ำหน้าให้










กว่าจะฉุดกระชากลากถูไอ้พี่เจษฎ์ขึ้นไปบนหอได้เล่นเอาผมเหงื่อท่วม พี่ต้ากับผมแทบจะโยนคนเมาลงไปกองบนเตียง เทรนเนอร์ผู้หวังดีของผมบอกให้ผมรออยู่ข้างเตียงของพี่เจษฎ์แล้วเดินหายไปในห้องน้ำ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูผืนเล็ก พี่ต้ายื่นทุกอย่างให้ผม ขยิบตาพร้อมรอยยิ้มหยอกล้อ



“ได้โอกาสแล้วนะปราณ พี่ไปรอข้างนอกนะ”



เฮ้ย! เดี๋ยวสิครับ! นี่พี่ต้าดูละครมากไปรึเปล่า?




พี่ต้าวาร์ปหายไปจากห้องก่อนผมจะได้ทักท้วงอะไร ผมก้มมองกะละมังในมือแล้วถอนหายใจออกมา ไม่อยากจะพูดเลยว่าผมเคยเช็ดตัวให้ไอ้พี่เจษฎ์ตอนเมาเยี่ยงหมาคลานสี่ขากลับเข้าบ้านมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ...และนอกจากความรำคาญใจแล้วไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยสักครั้ง



“งึม…อ้วนเหรอ...” พี่เจษฎ์สะลึมสะลือถามเมื่อผมเริ่มถอดเสื้อนักศึกษาของอีกฝ่ายออก




“จะใครซะอีกล่ะครับ วันๆสร้างแต่ความเดือดร้อนให้น้องจริงๆ” ผมบ่นไปเอาผ้าขนหนูขัดหน้าพี่มันไป ขัดแรงๆมันจะได้สร่างไวๆ




“โอ๊ย เชี่ย พอๆๆ” คนที่นอนแผ่หลาบนเตียงร้องโอดโอย จับมือผมไว้ก่อนที่ผมจะขัดชั้นผิวหนังหนาๆหลุดติดมือมาด้วย “มือหนักแบบนี้ไอ้ต้าไม่ช้ำตายเหรอ”



“ก็ถ้าเป็นพี่ต้าผมก็ไม่มือหนักแบบนี้อ่ะครับ” ผมตอบหน้าตาย พี่เจษฎ์เบ้หน้า แม้จะสร่างเมาขึ้นมาบ้างแต่เห็นได้ชัดว่าฤทธิ์เหล้าในกระแสเลือดยังคงมีมากเกินความจำเป็น



“เออ…ใช่สิ กูมันไม่ใช่เสป็คใครเลยนี่ กูไม่ได้เป็นหนุ่มตี๋บอยแบนด์ ก็ไม่ได้เป็นแด๊ดดี้ฝรั่ง เหอะ ไมวะ ของไทยมันไม่ดีตรงไหนถึงได้อยากแดกของนอกกันนัก แม่งงงง”



สภาพแบบนี้คงไปโดนสาวที่ไหนหักอกมาล่ะสิท่า




“รสนิยมมันบังคับกันได้ที่ไหนล่ะครับพี่เจษฎ์” แม้จะรู้ว่าพูดกับคนเมาไปก็เท่านั้นแต่ผมก็อดตอบไม่ได้ พี่เจษฎ์ออกจะหล่อ มี
แต่สาวๆวนเวียนมาขายขนมจีบซ้ายขวาขนาดนี้ ไปแพ้แด๊ดดี้ฝรั่งที่ไหนมา




“เออ เขานิยมของนอกนี่ เมดอินไทยแลนด์อย่างกูถ้าไม่รู้จักเขาก็คงไม่พูดกับกูด้วยซ้ำ”




คนเมาพึมพำด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ เสียงของพี่เจษฎ์เบาลงเรื่อยๆจนกระทั่งมีเพียงลมหายใจสม่ำเสมอที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายหลับไปดื้อๆทั้งอย่างนั้น ผมวางกะละมังไว้บนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างเหนื่อยหน่ายใจแล้วเปิดประตูออกไปหาพี่ต้า





คนที่ผมกำลังตามหานั่งคุดคู้อยู่ข้างประตูห้อง โอบแขนรอบเข่าของตัวเองที่ถูกดึงเข้ามาชิดอก ใบหน้าคมก้มชิดเข่าจนผมไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายหลับอยู่หรือไม่ เลยลองเอื้อมมือไปแตะไหล่อีกฝ่ายเบาๆ




“พี่ต้าครับ...”



“เสร็จแล้วเหรอปราณ?” พี่ต้าเงยหน้าขึ้นถามผมด้วยน้ำเสียงแหบพร่า สงสัยคงจะแแอบงีบอยู่จริงๆ นี่ก็ดึกมากแล้วด้วย




“ครับ พี่เจษฎ์หลับไปแล้ว เท่าที่ฟังคงโดนสาวหักอกมา” ผมไหวไหล่ “เรากลับกันดีกว่าครับ พี่ต้าจะได้พักผ่อน”



“ไม่ต้องห่วงพี่หรอกปราณ ถ้าคืนนี้ปราณอยากอยู่ดูแลเจษฎ์ พรุ่งนี้พี่ค่อยกลับมารับก็ได้” พี่ต้าเสนอ ทั้งที่สภาพของตัวเองก็
ดูอิดโรยไม่ได้ต่างจากเพื่อนมากนัก ผมย่อตัวลงข้างๆคนที่ผมแอบชอบมานับปี นึกสงสัยว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้เป็นคนดี
ที่คิดถึงทุกคนก่อนตัวเองเสมอได้ขนาดนี้



“แต่คืนนี้ผมอยากดูแลพี่ต้ามากกว่าครับ เรากลับกันดีกว่า พี่ต้าจะได้พักผ่อนสักที”



ผมแตะหลังมือลงบนหน้าผากรุมๆของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง กลับไปคงต้องกินยาแก้ไข้กันไว้




พี่ต้าไม่พูดอะไร แค่นั่งจ้องผมตาโตอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน จนผมเริ่มกลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นอะไรร้ายแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา




“พี่ต้า? ไหวมั้ยครับ”




“ไหว…พี่ไหว” รอยยิ้มอ่อนโยนเป็นเอกลักษณ์ต่อยๆกลับคืนสู่ริมฝีปากของอีกฝ่าย “มีปราณอยู่ตรงนี้ พี่ไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”



“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันดีกว่านะครับ”




ผมลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้คนที่นั่งอยู่บนพื้นใช้พยุงตัว พี่ต้าเอื้อมมือมาจับมือของผมเพื่อลุกขึ้น ทว่าเรี่ยวแรงมหาศาลของคนเล่นกีฬาเป็นประจำทำให้ผมเป็นฝ่ายถูกดึงกลับลงไป



“ขะ…ขอโทษครับ!” โชคดีที่ผมยันตัวเองไว้ได้ก่อนที่จะล้มทับพี่ต้าซี่โครงหักไส้แตก ใบหน้าคมที่อยู่ห่างจากผมเพียงลมหายใจคั่นซึ่งในตอนนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ผมเริ่มคุ้นชินส่ายหน้ายิ้มๆ แววตาที่มองตรงมาทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะ




“ถ้าเป็นปราณ พี่ยินดีเสมอครับ”



ยินดีเป็นเบาะให้ผมทับรึไงครับ?




ผมสรุปได้ว่าคุณพี่ของผมน่าจะเครื่องช็อตไปเรียบร้อยแล้วในวันนี้ หลังจากลุกขึ้นยืนกันได้ในที่สุด พวกผมจึงกลับไปที่รถที่พี่ต้าจอดไว้ในลานจอดรถของหอพัก หากจะให้พูดตามตรง ผมไม่สนใจนักว่าพี่เจษฎ์จะเป็นอย่างไรในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ตอนนี้ ผมอยากพาคนข้างๆกลับไปนอนพักสักงีบก่อนที่ไข้หวัดอะไรก็ตามที่อีกฝ่ายเป็นจะทำให้คนข้างๆผมนี้ทำตัวประหลาดกว่าเดิม


------------------

 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 8: อ่านหนังสือ [12-07-19] คห.30
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 13-07-2019 00:41:56
เมื่อไหร่จะเข้าใจกันละคู่นี้
พอกันทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 8: อ่านหนังสือ [12-07-19] คห.30
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 14-07-2019 02:08:14
ลุ้นสุดๆ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 8: อ่านหนังสือ [12-07-19] คห.30
เริ่มหัวข้อโดย: KYLM_s ที่ 01-08-2019 01:14:14
พี่ต้านางชอบน้องแน่ๆแล้วแหละ แต่คือพี่บอกน้องไปเล้ยย แอบหยอดปราณนางไม่รู้ตัวหรอกก รอวันเค้าคบกันชั้นว่ามันต้องน่ารักก ส่วนทางพี่เจษฎ์ชอบเค้าก็บอกเค้าได้แล้วเนี่ยมาเมาอยู่คนเดียวทีเค้าไม่รู้เด้ออ ส่วนคู่ภีมรออ่านต่อเลยค่าา
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 8: อ่านหนังสือ [12-07-19] คห.30
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 19-08-2019 19:49:55
Day 9: แฟนเก่า

ผมอ้าปากหาวหวอดเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากแต่งตัวเสร็จ เมื่อเช้าพี่ต้าพาไปวิ่งเหยาะๆรอบสวนสาธารณะแค่สองสามรอบแล้วพาผมกลับมาที่ห้อง ซึ่งผมค้นพบว่าถ้าเทียบกับสองสามวันแรกแล้ว ระยะทางที่วิ่งไปนั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยหอบเลยสักนิด



แต่เพราะเรื่องวุ่นวายเมื่อคืน ทำให้ผมยังคงง่วงเหงาหาวนอนอยู่อย่างนี้ทั้งๆที่ออกกำลังกายและอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่ต้ายังคงอยู่ในห้องครัวเช่นทุกวัน ผมเปิดโทรทัศน์แล้วหันไปชงกาแฟ เริ่มเคยชินกับกาแฟดำร้อนไม่ใส่น้ำตาลที่พี่ต้าบังคับให้ผมดื่มแทนกาแฟใส่นมและน้ำตาลสองก้อนของผมมากขึ้น



“…มาถึงข่าวใหญ่ในวงการธุรกิจกันบ้างนะคะ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่หลายรายของบริษัท W Media ต่างพากันเทขายหุ้นที่ถืออยู่ในมือ คาดเกิดเหตุทุจริตภายในบริษัท ซึ่งบริษัท W Media นี้เป็นบริษัทในเครือวิสุทธ..”



พี่ต้าหยิบรีโมทมากดเปลี่ยนไปช่องภาพยนตร์ ถึงแม้ผมจะไม่ได้ตั้งใจจะดูข่าว แต่การกระทำนั้นก็ยังคงเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายผิดปกติสำหรับคนอย่างพี่ต้าอยู่มาก



“ข่าวเวลานี้มีแต่เรื่องไร้สาระ ปราณอย่าดูเลย” พี่ต้าหันมาอธิบายยิ้มๆ



แม้จะรู้สึกว่ามันประหลาด แต่ผมแค่พยักหน้าให้อีกฝ่ายแล้วก้มหน้าลงกินอาหารเช้าเงียบๆ




บริษัท W media เป็นบริษัทสถานีวิทยุโทรทัศน์และสื่อขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่แม้จะไม่ใช่ธุรกิจหลัก แต่ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจ
ของตระกูลวิสุทธรากร ท่าทีของพี่ต้าเมื่อครู่ประกอบกับโทรศัพท์จากลูกชายคนโตของตระกูลที่ดังบ่อยขึ้นเรื่อยๆทำให้ผมอดรู้สึกตะหงิดในใจขึ้นมาไม่ได้ มันเหมือนกับมีเรื่องบางอย่างกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า แต่ผมแค่ไม่เข้าใจว่าจะเอาชิ้นส่วนทั้งหมดมาต่อให้เป็นแผ่นเดียวกันได้อย่างไร



“จริงสิ เสาร์หน้าปราณว่างมั้ย?”



ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่จู่ๆก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะพยักหน้า



“ว่างครับ พี่ต้ามีอะไรรึเปล่าครับ?”



“พี่ลงวิ่งมาราธอนการกุศลกับไอ้เจษฎ์น่ะ” พี่ต้ายกมือขึ้นเกาหลังคอพร้อมรอยยิ้มเจื่อน เหมือนไม่รู้ว่าจะพาบทสนทนาไปทางไหน “คือ...ยังไงถ้าปราณสนใจ...”



“ครับ! ผมไปดูแน่ๆ เดี๋ยวผมชวนพี่นทีไปด้วย”



คิดว่าผมจะพลาดโอกาสได้เห็นพี่ต้าเหงื่อโทรมกายเสื้อผ้าลู่ติดแนบชิดตามเรือนร่างสมส่วนที่ทำให้คนมองน้ำลายหกถึงจะได้เห็นเขาแทบจะแก้ผ้าเดินทุกวันน่ะเหรอครับ? ฝันไปเถอะ



เดี๋ยวติดรถพี่นทีไปดูดีกว่า รายนั้นน่ะไม่เคยพลาดซักการแข่งของพี่เจษฎ์ เรียกได้ว่ายิ่งกว่าคุณแม่ๆที่ไปออกันเตรียมถ่ายรูปลูกเวลาแข่งกีฬา แม่พี่เจษฏ์เลิกพยายามจะทำตัวว่างมาดูด้วยซ้ำเพราะรู้ว่าถึงยังไงพี่นทีก็ถ่ายการแข่งขันเก็บไว้ตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ดี



“พี่รู้ว่าปราณไม่พลาดหรอก” แววตาของพี่ต้าอ่อนลงเล็กน้อย ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่สีหน้าของอีกฝ่ายดูหงอยลงอย่างบอกไม่ถูก “ปราณไม่เคยพลาดทุกกิจกรรมของไอ้เจษฎ​์เลยนี่นา”



นั่นมันเพราะพี่ต้าก็ลงกิจกรรมด้วยทุกอันต่างหากล่ะครับ



ผมไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้กับความเข้าใจผิดของคนตรงหน้า พี่ต้ากัดริมฝีปาก ขมวดคิ้วมุ่นจนคิ้วเข้มๆแทบจะกลายเป็นเส้นตรง ก่อนที่ผมจะได้ถามว่าเป็นอะไร คนตรงหน้าก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน



“...ยังไง...”



“ครับ?”



“ถึงยังไงไอ้เจษฎ์ก็มีนทีคอยเชียร์อยู่แล้ว ขอแค่วันนั้น...ปราณช่วยเชียร์พี่แทนไอ้เจษฎ์ได้มั้ยครับ?”



ผมค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองต้องได้ยินอะไรสักอย่างในประโยคนั้นผิด แต่สีหน้าประหม่าและรอคอยคำตอบของพี่ต้าทำให้เป็นเรื่องยากที่จะคิดเช่นนั้น



“แล้ว...บรรดาแฟนคลับของพี่ต้าล่ะครับ” ผมเบี่ยงประเด็น “พี่ต้าน่าจะมีคนรอเชียร์เยอะแยะเต็มไปหมดอยู่แล้วนะครับ”


“พี่แค่...อยากให้ปราณอยู่ตรงนั้น” พี่ต้าตอบเสียงแผ่ว ผมเห็นพี่ต้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจอยู่เสมอดูเศร้าๆแบบนี้แล้วก็ไม่นึกอยากจะขัดใจ เลยพยักหน้ารับปาก แม้ว่าทุกครั้งที่ผ่านมา พี่ต้าจะเป็นเพียงคนเดียวที่ผมเชียร์อยู่ในใจก็ตาม



“ได้สิครับ”




พี่ต้ายิ้ม




รอยยิ้มกว้างที่ทำให้ผมรู้สึกมือไม้อ่อนขึ้นมาแค่ได้มอง รอยยิ้มที่ควรขึ้นทะเบียนเป็นอาวุธชีวภาพและไม่สมควรถูกนำออกมาใช้พร่ำเพรื่อ รอยยิ้มที่มีพลังทำลายล้างสูงจนผมต้องคว้าขอบโตีะไว้ไม่ให้ตัวเองไหลยวบลงไปกองกับพื้นเหมือนเป็นของเหลวชนิดหนึ่ง



แม่เจ้าโว้ย!!! ทำไมมนุษย์หนึ่งคนถึงสามารถมีรอยยิ้มแบบนี้ได้ครับ?! มันไม่ยุติธรรมกับคนอื่นๆบนโลกเลยสักนิด!




“ขอบคุณครับปราณ รับรองพี่จะชนะไอ้เจษฎ์ให้ดู”



เดี๋ยวๆๆพี่ นี่มันมาราธอนการกุศลไม่ใช่เหรอครับ?



ผมได้แต่ยิ้มแห้งให้กับคนที่ประกาศด้วยสีหน้ามุ่งมั่น อยากจะบอกพี่ต้าเหลือเกินว่าผมไม่ได้คาดหวังอะไรนอกจากการไปส่องกล้ามพี่แกเลยสักนิด



“จริงสิ วันนี้พี่ว่าจะพาปราณไปดูหนัง ปราณมีเรื่องที่อยากดูมั้ยครับ?”



“ทำไมจู่ๆถึงอยากไปดูหนังล่ะครับ?” ผมถาม จริงอยู่ที่ภาคต่อของหนังโปรดของผมเพิ่งเข้าโรงไปเมื่อวาน แต่ผมไม่คิดว่าพี่ต้าจะรู้เรื่องนี้



“บทเรียนต่อไปไง” เห็นมั้ย ก็แค่เรื่องงานเท่านั้นแหละ




“มีเรื่องที่ผมอยากดูอยู่พอดี แต่ไม่รู้ว่าพี่ต้าจะชอบมั้ย…”




“ถ้าปราณอยากดู พี่ก็ชอบหมดนั่นแหละครับ” พี่ต้ายิ้ม



ผมยังคงยืนยัน ว่ารอยยิ้มของผู้ชายคนนี้เป็นอาวุธที่น่ากลัวที่สุดในโลก









“จริงๆพี่ต้าแค่หาเรื่องอยากมาเที่ยวใช่มั้ยครับ”




ผมอดถามไม่ได้ ก็ใครให้อีกฝ่ายดูระริกระรี้จนน่าหมั่นไส้ขนาดนี้ล่ะ แถมวันนี้ยังอัพเดทความเสื้อคู่ไปอีกระดับด้วยการขุดเอาเสื้อยืดสีชมพูอ่อนสกรีนคำว่า ‘No one’ ออกมาใส่ แต่ที่พีคไปยิ่งกว่านั้น คือการที่เสื้อยืดสีชมพูของผมดันมีลายสกรีนสิขาวเป็นฟ้อนท์เดียวกันที่เขียนว่า ‘but you’ อยู่ด้วย ทำไมผมถึงจำไม่เห็นได้เลยว่าหม่าม๊าซื้อเสื้อผ้าแบบนี้มา



ผมทักเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านแล้ว แต่พี่ต้าเพียงแค่หันมามองผมด้วยสีหน้าซื่อๆ




‘งั้นเหรอ พี่ไม่ได้สังเกต ไม่เป็นไรหรอก ปราณใส่แล้วน่ารักดีออก’ ร่างสูงยิ้ม ‘เรารีบไปกันเถอะเดี๋ยวไม่ทันรอบหนัง’
เพราะเหตุนั้นพวกผมจึงออกมาเดินเตรดเตร่อยู่ในห้างสรรพสินค้าในชุดเสื้อคู่สีชมพูหวานที่ทำให้คนเหลียวหลังกลับมามองเป็นแถว พี่ต้ายิ่งสาดน้ำมันใส่กองไฟด้วยการจูงมือผมอย่างสบายใจราวกับเป็นสิ่งที่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน



“โธ่ ปราณ ทำไมมองพี่เป็นคนแบบนั้นล่ะครับ” พี่ต้าแสร้งทำเสียงน้อยอกน้อยใจ “แบบนี้ต้องติวเข้มแล้วล่ะสิ”



“ติวเข้…!” ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาใกล้จนผมไม่ทันตั้งตัวผงะไปอย่างตกใจ พี่ต้าหัวเราะเบาๆในลำคอเมื่อเห็นว่าแกล้งผมได้สำเร็จ



“ใช่ พี่จะติวให้เข้มเลยล่ะ ว่าจะอ่อยผู้ชายในโรงหนัง เขาทำกันยังไง”



ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนผมก็ยังคงทำใจให้ชินกับการเห็นพี่ต้าพูดคำว่า ‘อ่อยผู้ชาย’ ได้อย่างไม่กระดากปากไม่ได้เสียที



“อยากกินป๊อบคอร์นมั้ย?” พี่ต้าหันมาถามเมื่อพวกเราเดินมาถึงหน้าโรงภาพยนตร์


“เอ๊ะ? ได้เหรอครับ?” ผมถามอยากแปลกใจ



“กล่องเล็กนะ แบ่งพี่กินด้วย” พี่ต้ากำชับ


แหน่ะ ที่แท้ก็อยากกินเองล่ะสิ



ผมกอดกล่องป็อบคอร์นเดินตามพี่ต้าไปยังที่นั่งที่พี่ต้าจองไว้ก่อนหน้า ซึ่งเป็นที่นั่งโซฟาชั้นบนสุด พี่ต้ายังคงจัดหนักจัดเต็มในแต่ละบทเรียนจนผมล่ะกลัวเขาล้มละลายหลังจบคอร์สลดน้ำหนักนี่จริงๆ



“หนาวมั้ยครับปราณ” พี่ต้าถามหลังจากใช้ผ้าห่มคลุมขาผมไว้ ผมส่ายหน้า แม้จะแอบหนาวอยู่ แต่ไม่ใช่อะไรที่ผมทนไม่ได้
ทว่าพี่ต้ากลับส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ



“บอกว่าหนาวสิ” ท่อนแขนแข็งแรงโอบรอบไหล่ของผม เสียงทุ้มกระซิบต่ำข้างหู “ว่าไงครับปราณ เริ่มหนาวรึยัง?”



“หนะ…หนาวครับ” ผมพึมพำตอบแต่โดยดี ได้รางวัลเป็นอ้อมกอดอุ่นที่กระชับแน่นขึ้น และศีรษะที่เอนซบลงมาบนไหล่ แม้จะไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงมา แต่ความใกล้ชิดและกลิ่นแชมพูหอมๆที่ลอยมาแตะจมูกก็มากพอที่จะทำให้ผมใจสั่น



เริ่มบทเรียนแล้วสินะ…



พี่ต้าเอื้อมมือมาหยิบป็อปคอร์นที่อยู่ในกล่องบนตักของผม แม้จะไม่ได้พูดอะไรระหว่าที่หนังฉาย แต่ตัวตนของอีกฝ่ายหนักแน่นข้างกายชนิดที่ผมไม่สามารถเมินเฉยได้แม้จะพยายามแค่ไหนก็ตาม



ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือไม่ แต่ช่วงหนึ่งในระหว่างที่หนังฉาย ผมรู้สึกว่าศีรษะที่เเนพิงผมอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมองผม ปลายจมูกโด่งเป็นสันปัดผ่านผิวบางบริเวณซอกคอที่ทำให้ขนอ่อนของผมลุกชันขึ้นมาทั่วร่างพร้อมกัน



“หนาวเหรอครับ?” พี่ต้ากระซิบถามอีกครั้งมือใหญ่ลูบไปตามท่อนแขนที่มีตุ่มขนขึ้นอย่างชัดเจนของผมหวังช่วยถ่ายโอนความอบอุ่น หารู้ไม่ว่านั้นยิ่งทำให้จิตใจผมเตลิดเปิดเปิงไปกว่าเดิม



ผมส่ายหน้า ก่อนจะหยุดชะงักครึ่งทางแล้วเปลี่ยนเป็นพยักหน้าแทน



พี่ต้าที่เห็นว่าผมเริ่มเข้าใจบทเรียนมากขึ้นแล้วขยับยิ้ม หันไปสนใจหนังต่อทั้งที่มืออุ่นยังคงลูบแขนของผมอยู่อย่างนั้น







“สนุกดีนะ”




พี่ต้าเอ่ยขึ้นหลังจากพวกเราออกมาจากโรงแล้ว




“นั่นสิครับ ผมไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าจะสนุกขนาดนี้” ผมไม่ได้คาดหวังอะไรสูงจากภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ถูกทำขึ้นโดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กน้อยวัยเลขหลักเดียวอยู่แล้ว แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำเอาผมยิ้มแก้มปริและน้ำตาซึมเคล้ากันไปตลอดเรื่อง “ผมชอบฉากที่พ่อแม่ลูกเจอกันมากเลย พี่ต้าชอบฉากไหนเหรอครับ?”



“พี่เหรอ?” พี่ต้านิ่งคิด ก่อนจะยิ้มอย่างขบขัน “พี่ชอบฉากที่ใครบางคนร้องไห้ตอนเห็นพ่อแม่ลูกเจอกัน...อุ๊บ”



ผมควักข้าวโพดคั่วหนึ่งกำมือยัดใส่ปากคนพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ ใครจะไปรู้ว่าพี่ต้าหันมามองผมตอนนั้นกันเล่า?!



“โอ๋…พี่ล้อเล่นน่า พี่ว่ามาดูหนังแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ผ่อนคลายหัว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเครียดๆดี” คนข้างผมเอ่ยขึ้นหลังจากกลืนป็อปคอร์นลงไปหมด



“มีแต่พี่ต้าเท่านั้นแหละครับที่คิดเหมือนผม ขนาดหม่าม๊ายังไม่ยอมมาดูหนังกับผมแล้วเลย บอกว่ามันเด็กไป” ผมถอน
หายใจ ผิดด้วยเหรอที่คนเราจะชอบอะไรสนุกสนานแบบเด็กๆบ้าง ผมเพิ่งอายุสิบแปด จะให้รีบโตไปไหนกัน



“ถ้าอย่างนั้น ต่อไปนี้พี่จะมาดูกับปราณทุกเรื่องเลย ดีมั้ยครับ?” พี่ต้าถามพร้อมรอยยิ้มอวดลักยิ้มบุ๋ม การให้ความหวังเรี่ยราดที่ผมควรจะคุ้นชินได้แล้วยังคงทำให้ผมใจไม่สงบเช่นเคย



“สัญญากับคนอื่นมั่วซั่วแบบนี้ ระวังมีแฟนขึ้นมาจริงๆแล้วจะโดนโกรธเอานะครับ” ผมเตือนด้วยความหวังดี แววตาของพี่ตาหม่นลงวูบหนึี่ง ก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็วจนผมไม่มั่นใจว่ามันเป็นเพียงการเล่นตลกของแสงหรือไม่



“พี่ว่าคนที่่น่าจะหนีไปมีแฟนก่อนจนทิ้งพี่ให้มาดูหนังการ์ตูนแบบนี้คนเดียวน่าจะเป็นปราณมากกว่านะ”



“มั่นใจในฝีมือของตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ผมอดเหน็บไม่ได้ ถึงไอ้พี่เจษฐ์จะไม่ได้เป็นดอกฟ้าดอกสวรรค์ที่คนต่างหมายปอง แต่ก็ให้เครดิตพี่มันหน่อยเถอะครับ เห็นความมั่นใจผิดๆของเทรนเนอร์ตัวเองแบบนี้แล้วผมสงสารพี่ชายข้างบ้านของตัวเองขึ้นมาถนัดใจ



“แน่นอน ปราณของพี่น่ารักขนาดนี้ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมีคนขโมยไปจากพี่แน่ๆ” เสียงของพี่ต้าหงอยลงจนผมอยากจะเข้าไปลูบหัวลูบหาง ฮือออ เอ็นดูว้อยยยย



“ผมนับวันรอแล้วครับ” ผมเอ่ยทีเล่นทีจริง พอสนิทกันมากขึ้น ผมก็เริ่มกล้าที่จะล้อเล่นกับอีกฝ่ายมากขึ้น



แต่ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นคำพูดที่ผิด เพราะรอยยิ้มที่พี่ต้าส่งมาให้ผมนั้นมันดูแข็งค้างอย่างน่าประหลาด



“ปราณ...นั่นปราณใช่มั้ย?”



แต่ก่อนที่ผมจะได้ถามอะไร เสียงที่ผมไม่ได้ยินมาเกือบสามปีเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ และนั่นทำให้ผมรีบหันกลับไปทันที



“อาร์ม!” ผมยิ้มกว้าง เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นคนที่ผมคิดไว้จริงๆ



เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมยิ้มกว้างไม่แพ้กัน หน้าตาซื่อๆบ้านๆของมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ถึงแม้ว่าความสูงที่เคยไล่เลี่ยกับผมจะแซงหน้ากันไปอย่างข้ามหน้าข้ามตาก็ตาม ผ่านมาสามปีที่มันไปเรียนต่อที่เยอรมนีตามบ้านที่ย้ายรกรากไปอยู่ที่นั่น ผมไม่คิดเลยว่าจะได้เจอมันอีก



“ไอ้อ้วนนน กูคิดถึงมึงที่สุดเลยรู้มั้ย?”


ไอ้อาร์มดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดแน่น นอกจากส่วนสูงแล้ว แขนขาที่เคยผอมเก้งก้างของมันก็ดูจะมีกล้ามเนื้อให้ยึดเกาะขึ้นมาบ้าง แม้ใจไม่ได้เจริญหูเจริญตาอย่างคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องของผมตอนนี้ก็ตาม



“ปราณ นี่ใครเหรอครับ?”



คนเจริญหูเจริญตาที่ว่าเอ่ยขึ้น ผมที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามัวแต่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับอาร์มอยู่กลางห้างอย่างไม่แคร์สายตาประชาชีผละออกจากมันเล็กน้อย แม้ว่าแฟนของอาร์มจะยังคล้องอยู่ที่เอวของผมไม่ปล่อยก็ตาม



“ขอโทษครับ ผมลืมแนะนำไปเลย นี่อาร์ม เพื่อนผม”



“โห เกลียดสถานะว่ะ เพื่อนเพิ่นอะไร” ไอ้อาร์มผลักหัวผมเบาๆอย่างไม่พอใจ ผมกลอกตาอย่างเหนื่อยใจกับความปัญญาอ่อนของมัน



“แล้วคำว่า’แฟนเก่า’นี่มึงชอบมากงั้นสิ?”



“ชอบดิ กูดูเป็นคนพิเศษ แค่เพื่อนใครก็เป็นได้ป่ะวะ” ไอ้อาร์มยืดอกอย่างภูมิใจจนผมอดยิ้มขำกับคำพูดของมันไม่ได้
ครับ...ไอ้บ้าที่ยืนอยู่ข้างๆผมนี้คือแฟนคนแรกและคนเดียวในชีวิตผม พวกเราเริิ่มจากการเป็นเพื่อนร่วมชั้น นั่งเรียนติดกัน จับ
คู่กับทำงานในห้องมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น จนกระทั่งเริ่มคบกันหลังจากที่พวกเราเริ่มรู้ว่าตัวเองไม่ได้สนใจเพศตรงข้ามอย่างคนอื่นเขาในช่วงที่กำลังจะเรียนจบมัธยมต้น



มันเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นจากมิตรภาพ เป็นสิ่งที่พวกผมในตอนนั้นยังคงไม่มั่นใจว่าที่เราคบกันในตอนนั้น เป็นเพราะพวกเราบังเอิญเป็นเด็กผู้ชายสองคนที่ชอบผู้ชายเหมือนกัน หรือเพราะเรารู้สึกดีๆต่อกันจริงๆ



แต่หลังจากคบกันมาครึ่งปี พวกผมก็ค้นพบความจริงที่ว่า การเป็นเพื่อนที่รักกันนั้นแตกต่างจากการเป็นคนรักกันอย่างสิ้นเชิง และพวกผมก็ชอบสถานะที่พวกผมเป็นอยู่ก่อนนั้นมาก



พวกเราตัดสินใจที่จะกลับไปเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม้ว่าหลังจากนั้นครอบครัวของอาร์มจะต้องย้ายไปที่ประเทศเยอรมนี ผมจำได้ว่าพวกเราร้องไห้เ็นเต่าเผาที่สนามบิน สัญญาเสียดิบดีว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป แต่ด้วยระยะทางและความเหลื่อมล้ำของเวลา รวมไปถึงภาระความรับผิดชอบในการเรียนที่เพิ่มขึ้นของทั้งสองฝ่าย ทำให้ข้อความส่งหากันเริ่มสั้นลง แม้จะไม่ได้คุยกันทุกวัน แต่ผมยังคงส่งข้อความไปสุขสันต์วันเกิดมันบ้าง ส่วนมันก็มาไลค์โพสต์ของผมบ้าง ถึงไม่สนิทแต่ก็ยังคงเป็น
คนที่มีความสุขที่ได้เจอ



ไม่คิดเลยว่ามันจะกลับมาไทยแล้ว



“กลับมาไม่บอกนะมึง” ผมบ่นอุบ



“ก็กูจะเซอร์ไพร์สมึงไง นี่กูอุตส่าห์บากหน้าไปถามอาเจ้มึงมาเลยนะว่าคอนโดมึงอยู่ไหน ว่าจะโผล่ไปจ๊ะเอ๋หน้าห้องซะหน่อย” อาร์มหัวเราะร่า



ผมว่าถ้ามันมาจริงๆ คนที่น่าจะได้เจอกับเซอร์ไพร์สในห้องผมน่าจะเป็นมันมากกว่า



“พอเลย ใครจะให้มึงเข้าห้อง ห้องกูมีมาตรฐาน” ผมแขวะ  แต่ดูเหมือนไอ้อาร์มจะเข้าใจความหมายของผมผิดไป เพราะมันหันไปมองพี่ต้าพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่ยังคงยิ้มมุมปากอย่างเป็นมิตร ผิดกับพี่ต้ากอดอกมองมันตาขวางจนแวบแรกผมยังตกใจ



“มาตรฐานสูงจริงว่ะ สวัสดีครับพี่” ไอ้อาร์มยื่นมือให้พี่ต้าจับ แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ปรายตามองนิ่ง



“ตลกละ จะคิดอะไรดูเหง้าหน้ากูด้วย” ผมบ้องหัวไอ้คนขี้มโนไปหนึ่งดอก “นี่พี่ต้า พี่ที่มหาลัย รูมเมทพี่เจษฐ์”



“อ๋อ….” ไอ้อาร์มลากเสียงยาวจนหน้าหมั่นไส้ ตายังคงมองสลับไปมาระหว่างพวกผมสองคน และนั่นทำให้ผมนึกได้ถึงเสื้อคู่เจ้าปัญหาของพวกเราขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้ชี้แจง ไอ้อาร์มก็เปลี่ยนเรื่องคุยไปแล้ว



“กูขอเบอร์มึงหน่อยดิ กูเปลี่ยนเบอร์ใหม่อ่ะ ไว้วันหลังไปกินข้าวกัน”



นิสัยง่ายๆไม่ค่อยติดใจอะไรกับใครเขาของมันเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมชอบ ผมหยิบโทรศัพท์ให้มันไปจัดการโดยไม่นึกหวง ไอ้อาร์มพิมพ์รหัสผ่านอย่างคล่องแคล่วเพระารู้ว่าถึงยังไงผมก็ไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านโทรศัพท์ของตัวเองอยู่แล้ว




“อ่ะ เจอกันมึง”



“เออๆ เจอกัน” ผมโบกมือให้มันพร้อมรอยยิ้ม นึกดีใจที่ได้เพื่อนอีกคนกลับมาอยู่ใกล้ตัว



“ปราณ...ชอบแบบนั้นเหรอ?”



พี่ต้าถามขึ้นหลังจากไอ้อาร์มเดินหายไปแล้ว ดูท่าความเป็นเทรนเนอร์จะทำให้อีกฝ่ายเริ่มเก็บข้อมูล แต่ผมยังคงติดใจเล็กๆกับหางเสียงห้วนสั้นไม่คุ้นหูนั้น



“ครับ” ไม่มมีประโยชน์อะไรจะปฏิเสธ ถ้าผมไม่ชอบแบบนั้นก็คงไม่ได้คบกันตั้งแต่แรก “ผมชอบคนที่อยู่ด้วยแล้วสบาายใจ”




“เหมือนไอ้เจษฐ์” พี่ต้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผมที่ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายหุบยิ้มนานขนาดนี้เริ่มชักจะรู้สึกหวั่นใจ



“พี่ต้า...เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”




“เปล่า..” พี่ต้าส่ายหน้า รอยยิ้มเล็กๆเริ่มกลับมาแต่งแต้มมุมปากอีกครั้ง “แค่เก็บข้อมูลน่ะ”




ผมพยักหน้าแม้จะรู้สึกว่าคนตรงหน้ามีอะไรที่ไม่ยอมพูดออกมา แต่มันไม่ใช่กงการอะไรของผมที่จะไปเซ้าซี้



พี่ต้าคว้ามือผมไปอีกครั้ง คราวนี้ผมรู้สึกว่ามือที่จับมือผมนั้นกุมแน่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แววตาที่มองมาที่ผมมุ่งมั่นกับบางสิ่งที่ผมไม่รู้ว่าคืออะไร





“กลับห้องเรากันดีกว่านะครับ ปราณ”

หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 9: แฟนเก่า [19-08-19] คห.32
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-08-2019 21:19:40
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 9: แฟนเก่า [19-08-19] คห.32
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-08-2019 00:13:37
พี่ต้าหึง   :hao4:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 9: แฟนเก่า [19-08-19] คห.32
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 20-08-2019 00:14:18
หึงแรง
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 9: แฟนเก่า [19-08-19] คห.32
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-08-2019 10:12:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 9: แฟนเก่า [19-08-19] คห.32
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 24-08-2019 14:15:21
Day 10: คำว่าเรา

ภวัตกำลังปัดฝุ่นโต๊ะทำงานของนคินทร์เมื่อซองเอกสารสีน้ำตาลที่วางอยู่ชั้นบนสุดของกองหนังสือหล่นร่วงลงบนพื้น ร่างโปร่งรีบทรุดตัวลงเก็บมันขึ้นมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อเห็นว่าภายในซองนั้นนอกจากเอกสารปึกหนา จะมีรูปถ่ายของเด็กหนุ่มร่างอวบคนหนึ่งที่เขาจำได้ว่าเป็นแขกของคุณนทีที่มาร่วมงานวันเกิดของคุณชายรองของบ้านด้วย
รูปถ่ายที่ว่าไม่ได้มีใบเดียว แต่เป็นรูปแอบถ่ายของเด็กหนุ่มในอิริยาบถต่างๆในสถานที่ที่แตกต่างกัน ดูก็รู้ว่าเป็นฝีของนักสืบฝีมือดี เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักแม้ว่าจะดูมีน้ำมีนวลไปสักหน่อย แต่รูปหลังๆที่สัดส่วนของอีกฝ่ายเริ่มดูกระชับขึ้นบ้างทำให้ภวัตเริ่มเห็นแนวโน้มของเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง


‘ปราณ ศิรโชติ’



ทำไมคุณคินถึงได้มีของแบบนี้อยู่บนโต๊ะทำงาน?


“ทำอะไรอยู่?” เสียงทักของเจ้าของห้องทำให้คนที่กำลังเหม่อลอยสะดุ้งอย่างตกใจ มือเรียวปล่อยให้ซองเอกสารร่วงหลุดมือไปอีกครั้ง



“ขะ..ขอโทษครับคุณคิน”



นคินทร์ในชุดนักศึกษาส่ายหน้าอย่างไม่ถือสา ก้าวเข้ามาช่วยภวัตเก็บเอกสารที่ร่วงกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ดวงตาคมสะดุดกับรูปถ่ายของปราณ ถามคนข้างๆพร้อมรอยยิ้มมุมปาก



“จะไม่ถามกูหน่อยเหรอ?”



“เด็กคนนี้...ใครกันเหรอครับ?” ภวัตถามด้วยน้ำเสียงที่เก็บซ่อนอารมณ์ไว้อย่างมิดชิด นคินทร์ยิ้ม ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงขบขัน



“หลักประกันความมั่นคง”



“เอ๊ะ?” สีหน้างุนงงที่ตามมากับคำตอบนั้นของภวัตทำให้คุณชายใหญ่ของบ้านหลุดขำออกมา ริมฝีปากได้รูปกดจูบหนักๆลงบนริมฝีปากเรียวที่เผยออ้าอย่างสับสนอย่างมันเขี้ยวแล้วถามด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี



“ทำไม? หึงเหรอ?”



ภวัตเบือนหน้าหนี พยายามควบคุมแววตาของตัวเองไม่ให้แสดงออก แต่ก็รู้ดีว่านคินทร์่อ่านเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ร่างสูงหัวเราะอย่างชอบใจ ช้อนคางเรียวให้หันกลับมารับจุมพิตดูดดื่มเป็นรางวัลอีกครั้ง ภวัตหลับตาพริ้มเผยอปาากรับลิ้นร้อนดุดันอย่างเคยชิน แม้จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายมีความสุขอะไรหนักหนาก็ตาม



“ดี…” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากถอนริมฝีปาก แม้ว่าภวัตจะยังคงรู้สึกถึงสัมผัสที่ปัดผ่านริมฝีปากของคนทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับพูดก็ตาม “กูชอบ เวลามึงหึงแล้วน่ารักดี”



“….” ภวัตถอนหายใจอย่างจนด้วยคำพูด ทำไมคุณคินถึงได้มีรสนิยมชอบอะไรแปลกๆแบบนี้อยู่เรื่อยเลยนะ?



“หึงได้ กูไม่ว่า แต่มึงรู้ใช่มั้ย...” นิ้วหัวแม่มือของอีกฝ่ายไล้เบาๆไปตามริมฝีปากที่ยังคงเคลือบด้วยของเหลวสีใส แล้วประทับริมฝีปากตามลงไปเบาๆ “ว่ากูมีมึงแค่คนเดียว”



ใช่ เขารู้



เขารู้ว่านคินทร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเขา ทุกย่างก้าวของชายหนุ่มมีเพียงผู้คนที่จ้องคอยจะแทงข้างหลัง ฉุดลากนคินทร์ให้เปื้อนดินโคลนด้วยเหตุผลเพียงรสนิยมทางเพศที่ไม่เหมือนคนหมู่มาก ต่อให้อยาก นคินทร์ก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะมีใครนอกจากเขา



ภวัตสงสารคุณคินจนเจ็บไปหมดทั้งหัวใจ แต่ส่วนลึกที่เห็นแก่ตัวยังคงอยากจะเก็บคุณชายใหญ่ของตนไว้คนเดียวให้นานกว่านี้อีกสักนิด



“คิดอะไรอยู่” นคินทร์ถามขึ้นเมื่อเห็นคนรับใช้แต่ในนามจ้องหน้าตนนิ่งอยู่นานสองนาน เมื่อเห็นภวัตส่ายหน้าเบาๆจึงดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาจากพื้นพร้อมกับตัวเอง “ป่ะ ไปซื้อของกัน”


“เอ๊ะ?” ภวัตเอียงคออย่างประหลาดใจกับคำชวน ปกติเวลาเย็นๆหลังเลิกเรียนที่ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทแบบนี้ นคินทรืมักจะใช้เวลาไปกับการนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา โดยมีเขาเป็นทั้งหมอนรองศีรษะและคนอ่านหนังสือนิยายกำลังภายในที่อีกฝ่ายชื่นชอบให้ฟัง น้อยครั้งที่จะอยากออกไปข้างนอก ไม่ต้องพูดถึงการซื้อของเข้าบ้าน เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของภวัตแต่แรกอยู่แล้ว



“คุณคินจะออกไปซื้ออะไรเหรอครับ?”


“เสื้อผ้า” นคินทร์ตอบ ภวัตพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถึงแม้ความเรียบร้อยภายในห้องเขาจะเป็นคนดูแลทั้งหมด แต่นคินทร์มักจะเลือกซื้อเสื้อผ้าเองอยู่เป็นประจำ ภาพลักษณ์ที่ดีมักจะต้องแลกด้วยการลงทุน ชายหนุ่มสอนเขาไว้อย่างนั้น



“คุณคินจะทานอะไรรองท้องก่อนมั้ยครับ?“


“ทานมึงได้มั้ยครับ?” นคินทร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ดึงอีกฝ่ายเข้ามาซบอกกว้าง มือใหญ่ที่วางอยู่บนเอวบางเคลื่อนลงมาบีบสะโพกกลมกลึงภายใต้กางเกงขายาวอย่างเต็มไม้เต็มมือ



“คุณคิน…” ภวัตช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างเว้าวอน อยากให้คนใจร้ายเห็นใจสะโพกที่ยังช้ำระบมจากการเป็น ‘ของว่างยามเช้า’ ก่อนไปเรียนให้ร่างสูง แต่ดูจากดวงตาสีรัตติกาลที่เข้มขึ้น ผลที่ได้น่าจะตรงกันข้ามเสียมากกว่า



“อย่าเรียกกูเสียงหวานแบบนั้นดิวะถ้าไม่อยากโดน” นคินทร์เตือนด้วยน้ำเสียงข่มอารมณ์ แม้จะอยากขย้ำคนในอ้อมกอดแค่ไหน แต่เขารู้ว่าหากทำลงไปจริงๆ คงไม่ได้ออกไปไหนกันพอดี



พวกเขามาถึงห้างสรรพสินค้าก่อนพระอาทิตย์ตกดินไม่นาน แน่นอนว่านคินทร์เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อเชิ้ตผ้านิ่มสีเลือดหมูที่ภวัตรู้สึกชอบเป็นการส่วนตัว เลยเวลาเรียนมาแล้วหากมีคนมาเห็นคุณชายนคินทร์ยังอยู่ในชุดนักศึกษาคงจะดูไม่งามเท่าไหร่นัก
ส่วนภวัตที่เป็นผู้ติดตามก็เปลี่ยนมาเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่นคินทร์เคยซื้อให้ ต่อให้เขาไม่มีชื่อเสียงต้องรักษาแต่เขายังคงมีสถานะเป็นคนรับใช้ของนคินทร์ จะให้แต่งเสื้อย้วยกางเกงยืดเดินตามก็จะทำให้รัศมีของอีกฝ่ายหมองจนเกินไปสักหน่อย



“ภีม เดินไหวมั้ย?” เมื่ออยู่ข้างนอก คุณชายนคินทร์ผู้อ่อนโยนที่ผู้คนต่างชินตาจึงกลับมาอีกครั้ง “ถ้ายังปวดตัวอยู่นายจะนั่ง
พักรอก็ได้นะ”



แม้ประโยคนั้นจะดูใสซื่อไร้พิษภัย แต่สำหรับคนที่รู้ความนัยของมันดีกวาดตามองรอบกายอย่างหวาดระแวง ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อไม่มีใครให้ความสนใจของพวกเขา



“ผมไม่เป็นไรครับคุณคิน”



พวกเขาเดินไปตามร้านรวงต่างๆโดยที่ภวัตเว้นระยะห่างจากร่างสูงหนึ่งช่วงแขนตามมารยาท นคินทร์เดินดูของไปเรื่อยๆ หยิบเสื้อผ้าที่ตนต้องการลองยื่นให้ภวัตถือไว้จนพอใจ ก่อนจะเดินนำร่างโปร่งไปยังห้องลองชุดซึ่งเปิดประตูอ้าไว้ทุกห้อง


ก่อนที่ภวัตจะได้หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้รอ เสียงของนคินทร์ก็ดังขึ้นจากภายในห้องลองชุด


“ภีม เข้ามาช่วยฉันหน่อย”



“ครับคุณคิน” แม้จะสงสัยว่านคินทร์มีเรื่องอะไรให้ตนช่วย แต่ร่างโปร่งก็ลุกไปยังห้องลองชุดที่นคินทร์แง้มประตูให้ “มี
อะไร…!”



ท่อนแขนแกร่งดึงเขาเข้าไปในห้องลองชุดแล้วล็อคประตูปิดไล่หลังอย่างรวดเร็ว ร่างของภวัตถูกดันชิดกระจกห้องลองชุดโดยมีร่างสูงใหญ่คร่อมไว้ ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มกว้าง


“กูเลือกชุดมาให้ ลองให้กูดูหน่อย” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู


“คุณคินครับ ถ้าใครเข้ามา…”


“เชื่อกูสิ” ร่างสูงเอ่ยขัด “ไม่มีใครเข้ามาหรอก”



ถึงอีกฝ่ายจะพูดแบบนั้นแต่ภวัตยังคงไม่คลายกังวล คิ้วเรียวยังคงขมวดมุ่นเมื่อร่างโปร่งเริ่มถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกทีละชิ้น แสงไฟสีส้มนวลตาส่องกระทบผิวสีน้ำผึ้งซึ่งแม้จะดูออกยากแต่หากเพ่งมองดีๆจะเห็นรอยรักสีกุหลาบที่นคินทร์ฝากไว้ใต้ร่มผ้า ภวัตลองเสื้อผ้าแต่ละตัวให้คุณชายใหญ่ของตนดู และค้นพบว่าเสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่นคินทร์หยิบมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นของที่อีกฝ่ายเลือกมาให้ตน


ดูจากแววตาพึงพอใจของคนที่กอดอกเอนพิงผนังมองเขาไม่วางตาในห้องลองชุดแคบๆนั้น ภวัตคิดว่าตัวเองน่าจะกลับบ้านไปพร้อมกับเสื้อผ้าทุกตัวในห้องนี้



“ชุดนี้เป็นไง?”


นคินทร์ถอดเสื้อของตัวเองออกแล้วหยิบเสื้อยืดสีดำเรียบๆตัวหนึ่งมาสวม ด้วยเนื้อผ้ายืดพอดีตัวทำให้เสื้อตัวนี้รับกับสัดส่วนของชายหนุ่มโดยไม่ได้รัดแน่นจนเกินไป แม้จะเป็นรูปแบบการแต่งตัวที่ดูแปลกตา แต่ต้องยอมรับว่านคินทร์ดูดีมากจริงๆ


“…ดีครับ” ร่างโปร่งพยักหน้าตอบอย่างจริงใจ


“แค่ดีเองเหรอ?” คุณชายใหญ่แสร้งทำเสียงน้อยใจ ภวัตทำสีหน้าลำบากใจ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยากให้เขาตอบว่าอย่างไร
ขายาวๆเพียงแค่ก้าวเดียวก็ย่นระยะห่างระหว่างพวกเขาจนแทบไม่เหลือ นคินทร์จับข้อมือบางให้มือเรียวของภวัตวางทาบบนหน้าท้องที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามผ่านเสื้อสีดำแนบเนื้อของตัวเอง


“แบบนี้ล่ะ ยังแค่ดีอยู่มั้ย?”


“คุณคิน…ชะล่าใจเกินไปแล้วนะครับ” ภวัตเบือนหน้าหนีเพื่อซ่อนแววตาหวั่นไหว บิดมือของตัวเองออกจากการเกาะกุม “ถ้าคุณคินเริ่มประมาทแบบนี้ จะถูกจับได้เอานะครับ”



ทั้งที่สามปีที่ผ่านมานคินทร์ไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้เลยแท้ๆ ทำไมช่วงนี้ เกราะป้องกันที่ร่างสูงสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากถึงได้ถดถอยลงไปจนน่าตกใจแบบนี้ล่ะ?


“ปล่อยให้กูเป็นห่วงเรื่องนั้นคนเดียวเถอะน่า”



นคินทร์ว่าก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะทาบทับลงมาบนริมฝีปากของเขาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน ภวัตหลับตาพริ้ม ยังคงตักตวงความสุขจากรสจูบหวานล้ำอย่างโหยหาราวกับเป็นครั้งสุดท้ายเช่นทุกครั้ง






อย่างที่เขาคิด นคินทร์ซื้อชุดทั้งหมดนั่นให้เขาจริงๆ


ภวัตถือถุงเสื้อผ้าเดินตามนคินทร์ออกมาจากร้าน ถึงแม้ว่าคุณชายใหญ่จะอยากช่วยอีกฝ่ายถือแค่ไหน แต่รู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมในสถานะของพวกเขา



“กลับกันเถอะ” นคินทร์หันมาบอกคนข้างหลัง ภวัตเอียงคออย่างงุนงง


“ไม่ทานอะไรก่อนเหรอครับคุณคิน”
ร่างสูงส่ายหน้า


“นายทำให้สะดวกกว่า”


‘ฉันอยากกลับไปกินข้าวกับนายมากกว่า’ ความนัยของประโยคที่แฝงมาทำให้ภวัตยิ้มออกในที่สุด เพราะคนบ้านวิสุทธรากรย่อมไม่มีทางร่วมโต๊ะอาหารกับคนรับใช้ มีเพียงในห้องของพวกเขาที่คนทั้งคู่จะได้ทานอาหารด้วยกันจริงๆ


“อ้าว พี่คิน บังเอิญจังเลยครับ”


เสียงของคุณชายรองของบ้านทำให้ท่าทีสนิทสนมให้ระดับใดก็ตามของภวัตและนคินทร์หายไปในทันที ร่างสูงหันไปหาน้องชายที่โบกมือให้เขาพร้อมรอยยิ้ม ข้างกายมีเจษฎาที่ยกมือไหว้พี่ชายของเพื่อนสนิทอย่างนอบน้อม


“ที เจษฎ์ มาทำอะไรกันที่นี่?” นคินทร์ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“พาเจษฎ์มาซื้อรองเท้าฟุตบอลน่ะครับ” นทีตอบยิ้มๆ เหลือบมองเพื่อนตัวสูงที่เกาหลังคอด้วยสีหน้าเก้อๆ “ใช้จนพังอีกแล้ว”


“ไม่ได้ใช้พังบ่อยขนาดนั้นซักหน่อย…” เจษฎาพึมพำตอบไม่เต็มเสียง


“เราเพิ่งมาซื้อกันเดือนที่แล้วเองนะเจษฎ์” นทีเอ่ยเสียงจนใจ แต่รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้ถือสาที่ต้องมากับเพื่อนสนิท


“ได้ข่าวว่าเป็นดาวรุ่งทีมมหาลัยเลยนี่เรา” นคินทร์เอ่ยชมพร้อมรอยยิ้มที่ละม้ายคล้ายคลึงกับน้องชาย “ว่างๆไปเล่นกับพี่บ้างสิ ทีมพี่กำลังขาดคน”


“ครับ!”


เจษฎาที่ดูประหม่าเมื่อครู่พยักหน้ารับคำชวนอย่างกระตือรือร้น ภวัตเข้าใจเด็กหนุ่มดี สองพี่น้องตระกูลวิสุทธวรากรเป็นคนประเภทที่ใครก็อยากได้รับการยอมรับจากคนทั้งคู่ โดยเฉพาะนคินทร์ที่อยู่สูงเสียดฟ้า จนไม่ว่าใครก็อดเงยหน้ามองด้วยความชื่นชมไม่ได้


“จริงสิ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไปกินข้าวกันนะครับพี่คิน” นทีเอ่ยขึ้นเสียงใส เกาะแขนพี่ชายบุญธรรมของตนอย่างออดอ้อน
“ไม่ให้ปฏิเสธนะครับ”


แววตาของนคินทร์อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อก้มมองน้องชายของตัวเอง นทีคือแก้วตาดวงใจของทุกคนในบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าคนในบ้านนั้นย่อมรวมถึงพี่ชายที่ทั้งรักทั้งหลงน้องชายของตัวเองอย่างกับอะไรดี ถึงโตแล้วจะยอมปล่อยๆคุณนทีไปบ้าง แต่สมัยเด็กๆภวัตจำได้ว่าคุณนคินทร์ไปไหนจะต้องกระเตงคุณนทีไว้ที่เอวเหมือนลูกหมีโคอาล่าจนเป็นภาพชินตาของ
บรรดาคนรับใช้


“เอาสิ”


ดวงตาสีรัตติกาลเหลือบกลับมามองภวัตเล็กน้อยอย่างเป็นกังวล นทีที่เพิ่งสังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่หลังพี่ชายของตนยิ้มทักทายภวัต แล้วเอาถุงข้าวของจากในมือของเจษฎามายื่นให้ร่างโปร่ง


“พี่ภีม รบกวนฝากนี่ไปเก็บที่รถพี่คินหน่อยนะครับ แล้วก็…” ธนบัตรสีม่วงใบหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า “หาอะไรทานรอนะครับ เดี๋ยวจะหิว”



นี่คือสิ่งที่ภวัตคุ้นเคยดีในฐานะคนรับใช้ของบ้าน เวลาที่ตามคุณนารา ท่านเจ้าสัว หรือคุณชายทั้งสองของบ้านออกมาข้างนอก พวกเขามักจะปลีกตัวออกมาหาอะไรทานรอระหว่างที่เจ้านายอยู่ในร้านอาหาร ซึ่งบ้านวิสุทธวรากรก็ไม่เคยต้องให้คนรับใช้ควักเงินจ่ายเองในห้างสรรพสินค้าที่ราคาอาหารสูงลิ่วจนน่าปวดใจ การกระทำของนทีนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ค่อนไปทางความใจกว้างของคุณหนูตระกูลร่ำรวยเช่นนี้



“ขอบคุณครับคุณชา…คุณนที” ภวัตรีบแก้ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบให้เรียกว่าคุณชายรองนอกบ้าน ร่างโปร่งโค้งศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงลาแล้วหอบข้าวของไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ไกล



เขาวางข้าวของทั้งของนคินทร์และนทีลงในกระโปรงท้ายรถของร่างสูง มือเรียวที่ยังคงจับอยู่บนฝากระโปรงรถกำแน่นจนเห็นข้อนิ้วสีขาว



เขารู้…ว่าสิ่งที่นทีทำนั้นเป็นเรื่องปกติ


เขารู้…ว่าในสถานะของตัวเองนั้น สิ่งที่นคินทร์ปฏิบัติกับเขาต่างหากที่เรียกว่ามากเกินกว่าคนรับใช้คนหนึ่งจะรับไว้


เขารู้…ว่าการคาดหวังมากเกินไปกว่าสิ่งที่ได้รับจะทำให้เป็นเขาเองที่ทุกข์ทรมาน


ภวัตปิดฝากระโปรงรถลงแล้วเดินไปเปิดประตูหน้าของรถคันโปรดของร่างสูง ก้าวเข้าไปในที่นั่งข้างคนขับซึ่งเป็นที่ประจำของเขา ปิดประตูรถอย่างเบามือ แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมา






“พี่คิน เป็นอะไรรึเปล่าครับ? พี่ดูเหม่อๆไปนะ” นทีถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล มือเรียวเอื้อมไปกุมมือของพี่ชายที่วางอยู่บนโต๊ะไว้หลวมๆ



พวกเขาสนิทกันมาก ต่อให้ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่พวกเขายังคงรักกันไม่ต่างจากพี่น้องคู่อื่นๆ ดีไม่ดีจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ



เพราะต้องการชดเชยความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ไม่มีอยู่จริง นคินทร์กับนทีจึงไม่เคยอายที่จะบอกรักกันและกันมาตั้งแต่จำความได้ นคินทร์มักจะอุ้มน้องน้อยมานั่งตัก อ่านหนังสือนิทานให้ฟัง ทั้งกอดทั้งหอมน้องทุกทุกวันจนคนมองกลัวแก้มกลมนุ่มนิ่มของคุณชายรองจะช้ำไปเสียก่อน ถึงทุกวันนี้ นทีจะไม่ได้ออดอ้อนขอนั่งตักพี่ชายเหมือนเด็กๆแล้ว แต่พวกเขายังคงรักกันแน่นแฟ้นอยู่เช่นเดิม



นคินทร์ส่ายหน้า ยิ้มกลบเกลื่อนให้น้องชายของตนสบายใจ แม้ว่าในใจจะร้อนรนอยากตามคนที่เดินเอาของไปเก็บที่รถไปแค่ไหนก็ตาม



“เดี๋ยวนี้ยังจับมือพี่ได้อยู่เหรอ? แฟนไม่หวงเหรอ?” ร่างสูงพยักเพยิดไปทางเจษฎาที่นั่งอยู่ข้างน้องชาย



“มะ…ไม่ใช่แฟนซักหน่อย” นทีแก้ตัวเสียงตะกุกตะกัก นคินทร์เลิกคิ้ว เหลือบมองเจษฎาที่ควรจะเป็นคนรีบลุกลี้ลุกลนแก้ตัวแต่กลับไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม “จริงสิครับ ผมได้ยินแม่คุยกับเพื่อนว่าจะพาลูกสาวมาให้พี่คินดูตัวอีกแล้ว”


นคินทร์ลอบถอนหายใจ แม้ว่าหน้ากากภายนอกของตนนั้นจะยังคงยิ้มให้น้องชายแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ


“ถ้าเป็นคนที่คุณแม่เห็นว่าเหมาะสม คบหาไว้เป็นเพื่อนก็คงไม่เสียหาย”



“ถ้าพี่คินยังไม่มีคนที่ชอบ ลองคบดูก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนี่ครับ” นทีถามเสียงซื่อ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างเป็นกังวล “ผมน่ะ ไม่อยากให้พี่คินอยู่คนเดียวแบบนี้เลย”


“พี่ไม่ได้อยู่คนเดียวซักหน่อย” นคินทร์ยิ้ม “พี่มีทีอยู่ทั้งคนนี่นา”



นทียิ้มรับ แม้ว่าแววตาของเด็กหนุ่มจะยังคงไม่คลายความกังวล


“ว่าแต่พี่ เราเถอะ เมื่อไหร่จะพาแฟนมากราบพ่อกับแม่” นคินทร์เปลี่ยนหัวข้อสนทนา บ้านของเขาทั้งบ้านรับรู้ถึงความรู้สึกที่นทีมีต่อเจษฎาดี แม้ว่าพวกเขาจะรู้เช่นกันว่าความรักข้างเดียวของน้องชายในครั้งนี้น่าจะล้มเหลวไม่เป็นท่าจากการที่เจษฎาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าชอบผู้หญิง แต่มารดาของเขานั้นพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแสดงออกถึงความสนับสนุน ส่วนบิดาของพวกเขาเพียงแค่มองดูอยู่ห่างๆ แม้จะไม่ได้คิดก้าวก่าย แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจ ซึ่งนั่นก็มากเกินกว่าที่นคินทร์จะหวังได้แล้ว



น้องชายของเขารีบส่ายหน้าพรืดอย่างร้อนรน



“ยังไม่มีซักหน่อย”



นคินทร์ลอบมองเจษฎาที่ก้มหน้าก้มตามองจานของตัวเองแล้วก็อดช่วยน้องไม่ได้



“แล้วมีใครมาจีบบ้างรึยัง ระวังเถอะ เดี๋ยวคุณแม่จะหาผู้ชายมาให้นายดูตัวด้วยอีกคน”



เขาสังเกตว่ามือของเจษฎาที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว



น่าสนใจ...


“โธ่ พี่คิน ทีดูแลตัวเองได้น่า” นทีบ่นอุบ “แค่นี้ก็ปฏิเสธไม่ทันแล้ว”



หากตะเกียบที่เจษฎากำอยู่นั้นไม่ได้ทำมาจากโลหะ มันคงจะหักสองท่อนคามือเด็กหนุ่มไปแล้ว


“เสน่ห์แรงเหมือนเดิมเลยนะน้องพี่” นคินทร์ขยี้ผมน้องชายเบาๆอย่างเอ็นดู


“พี่คิน...” แววตาของนทีดูหมองลงเล็กน้อย “ไม่เหงาจริงๆใช่มั้ยครับ”


“เรื่องแบบนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนอะไรเลยนี่” นคินทร์สอนน้องด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ถ้าเราเจอคนที่ใช่ เราก็รู้เองนั่นแหละ”


ชายหนุ่มเกือบจะหลุดขำออกมาเมื่อเห็นน้องชายเหลือบมองเจษฎาที่ยังคงก้มหน้านิ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
นทีรู้ว่าเมื่อวันนั้นมาถึง นคินทร์จะพาคนที่ใช่คนนั้นมาแนะนำให้เขารู้จักเอง



ก็พี่คินน่ะ...ไม่เคยมีความลับกับเขาเลยนี่นา








ภวัตกำลังนั่งสัปหงกอยู่ในโซนนั่งพักของห้างเมื่อมือใหญ่แตะลงบนไหล่ของเขาเบาๆ ร่างโปร่งรีบยืดตัวขึ้นตรงแล้วหันไปมอง หวังจะได้เห็นคนที่กำลังรออยู่


ก่อนจะคอตกอย่างผิดหวังเมื่อเห็นว่าเป็นแค่เพื่อนในคณะของเขาเท่านั้น



“อะไรของมึง หลับจนน้ำลายยืดหมดแล้ว มานั่งรอใครวะเนี่ย” เต็งหนึ่งถามเสียงกลั้วหัวเราะ


ถึงแม้นคินทร์จะไม่เคยห้ามเขาให้คบค้าสมาคมกับใคร แต่ภวัตยังคงถือว่าหน้าที่หลักของเขาในการมาเรียนมหาวิทยาลัยคือการดูแลรับใช้คุณคินให้ดีที่สุด การสร้างมิตรภาพในห้องเรียนจึงไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความสนใจของเขาเท่าไหร่นัก


จะมีก็แต่คนว่างๆอย่างไอ้เต็งหนึ่งนี่แหละที่ไม่มีอะไรทำมากพอจะมาตามตื๊อขอเป็นเพื่อนกับเขาตั้งแต่เข้าปีหนึ่ง ภวัตที่ไม่อยากปฏิเสธให้เสียน้ำใจจึงพยักหน้ารับไปส่งๆ คิดไปว่าหลังจากนี้คนอัธยาศัยดีอย่างมันคงมีเพื่อนเยอะจนลืมเขาไปเอง
 ใครจะคิดว่าสามปีมาแล้ว ไอ้เต็งหนึ่งก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเขาไม่ไปไหน


“ฮั่นแน่ รอจนหลับแบบนี้ คอยผัวชัวร์เลยมึงอ่ะ”


“ไอ้เต็ง! กูบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเรียกคุณคินแบบนั้น! ถ้าใครเข้าใจผิดขึ้นมามึงจะว่าไง” ภวัตด่าเพื่อนด้วยน้ำเสียงกระชากอย่างไม่สบอารมณ์ที่เขาไม่มีวันให้นคินทร์ได้ยิน เต็งหนึ่งยิ้มเผล่ บีบนวดไหล่ของเพื่อนอย่างเอาอกเอาใจ นิสัยชอบล้อเล่นของอีกฝ่ายทำให้ถูกคนไม่ดุใครอย่างภวัตด่าไปหลายครั้งแล้ว


“อ่า โทดๆ กูลืมไปว่าแตะไม่ได้”


“อย่าลืมบ่อยก็แล้วกัน” ภวัตเอ่ยเสียงเย็น


“ขอโทษนะ ฉันมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า?”


เสียงของคนในหัวข้อสนทนาที่ดังขึ้นทำให้ภวัตนิ่งค้างไป ก่อนจะรีบปรับสีหน้าของตนให้กลับมาเป็นปกติ


“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณคิน”


“สวัสดีครับคุณคิน” เต็งหนึ่งทักอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม แม้ว่าเพื่อนของภวัตจะไม่มีเหตุอะไรให้ต้องเรียกนคินทร์แบบนั้น แต่การเรียกอย่างหยอกล้อตามเพื่อนในวันวานทำให้เต็งหนึ่งคุ้นชินไปเสียแล้ว


“ขอโทษทีนะเต็งหนึ่ง พอดีพวกเรามีธุระต่อ คงต้องขอตัวก่อน” นคินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ “ไปกันเถอะภีม”
“ครับคุณคิน”


ภวัตเอื้อมมือไปหยิบถุงกระดาษในมือของนคินทร์มาถือไว้อย่างรู้งาน เดินตามโดยทิ้งระยะห่างจากอีกฝ่ายไว้เช่นเดียวกับที่ทำในขามา


“ขอโทษนะครับคุณคิน” ภวัตเอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในรถของร่างสูงแล้ว นคินทร์ที่กำลังสตาร์ทรถเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ผมปล่อยให้เต็งหนึ่งจับ...”


นคินทร์ขี้หวงขนาดไหน ของเล่นอย่างเขามีหรือจะไม่รู้


ทว่านคินทร์เพียงส่ายหน้า


“กูเชื่อใจมึง” ชายหนุ่มว่า รถยนต์คันหรูค่อยๆออกตัวจากลานจอดรถ “ถึงกูจะไม่ชอบที่มันแตะต้องมึง แต่กูเชื่อใจมึง”


ภวัตไม่คิดว่านคินทร์จะเข้าใจว่าความเชื่อใจของตนมีความหมายกับเขามากแค่ไหน ร่างโปร่งก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มและสีหน้าเปี่ยมสุขของตัวเองให้พ้นจากสายตาของอีกฝ่าย ก่อนจะนึกได้ว่าถุงกระดาษขนาดเล็กที่เขาถือให้อีกฝ่ายนั้นยังคงอยู่ในมือ


“เปิดดูสิ” นคินทร์ว่า ภวัตหยิบกล่องกระดาษสีขาวดำประทับสัญลักษณ์ของแบรนด์เครื่องประดับชื่อดังออกมาเปิดออก ดวงตาของร่างโปร่งเบิกกว้างเมื่อเห็นต่างหูเพชรน้ำงามคู่หนึ่งนอนนิ่งอยู่ในนั้น


“คุณคิน...”


“ชอบมั้ย?” น้ำเสียงของชายหนุ่มราวกับเด็กเล็กๆที่รอคำชมจากผู้ปกครอง


“ของแพงๆแบบนี้....”


“ไม่ต้องห่วง เงินทุกบาททุกสตางค์ที่กูหามาได้ กูให้มึงหมดจริงๆ” นคินทร์รีบเอ่ยขึ้น “คู่นี้กูเก็บเงินจากเงินเดือนที่มึงให้กูมาซื้อ ไม่ได้เอามาจากเงินเก็บของเราแน่นอน”


คำว่า ‘เงินเก็บของเรา’ ของอีกฝ่ายมีค่ามากกว่าต่างหูที่อยู่ในมือของภวัตจนประมาณค่าไม่ได้ ร่างโปร่งหยิบต่างหูขึ้นมาใส่ทีละข้าง รู้ตัวว่ารอยยิ้มของตนนั้นกว้างจนแก้มแทบปริ


“ชอบมั้ย?” นคินทร์ถามย้ำ คราวนี้ภวัตได้ยินความประหม่าอยู่ในน้ำเสียงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน


“ชอบครับ ผมชอบมากเลย” ภวัตตอบเสียงใส ร่างสูงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกกับคำตอบนั้น มือใหญ่ข้างหนึ่งละจากพวงมาลัยมากุมมือที่วางอยู่บนตักของเขาไว้หลวมๆ ภวัตพลิกหงายฝ่ามือ สอดประสานมือของพวกเขาทั้งคู่ไว้ด้วยกันตลอดระยะทางไปจนถึงคอนโดของร่างสูง


---------
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 10: คำว่าเรา [24-08-19] คห.36
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 25-08-2019 01:40:55
ฉันรักเขา
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 10: คำว่าเรา [24-08-19] คห.36
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 26-08-2019 00:31:44
คุณคินน่ารักมากกกกกกกกก :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 10: คำว่าเรา [24-08-19] คห.36
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-08-2019 20:31:24
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 10: คำว่าเรา [24-08-19] คห.36
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 31-08-2019 15:58:41
Day 11: พรุ่งนี้เอาใหม่




“โห…จะใส่ไม่ได้แล้วอ่ะ”



ปกติคำพูดนั้นจะมาพร้อมกับขอบกางเกงที่รัดตึงจนแน่นปริ บ่งบอกถึงเวลาที่ผมจะต้องไปช้อปปิ้งตะลุยหาเสื้อผ้าใหม่ที่สามารถยัดร่างกลมๆของตัวเองเข้าไปได้ แต่ในครั้งนี้ ผมได้แต่กุมขอบกางเกงที่ย้วยยานจนกางเกงตัวนั้นจะร่นลงไปกองกับพื้นอย่างจนใจ เอียงตัวมองหน้าท้องที่แม้จะไม่ได้แบนราบแต่กลับไม่ค่อยเห็นก้อนเนื้อกลมๆอย่างที่เคยมีเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่เสื้อผ้าของตัวเองจะหลวมจนต้องคิดหาซื้อเสื้อผ้าที่ไซส์เล็กลงแบบนี้



“นั่นสินะครับ ไว้วันหลังเราไปซื้อเสื้อผ้ากันนะ”



แขนของพี่ต้าโอบรอบเอวทำให้ผมยืนตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะลอบถอนหายใจเมื่อเห็นสายวัดในมือของอีกฝ่ายที่ตีวัดรอบเอวผมอย่างชำนาญ



“ปกติมันจะลดเร็วขนาดนี้เลยเหรอครับพี่ต้า” ผมอดถามอย่างเป็นกังวลไม่ได้



“อื้อ บางคนถ้าบวมน้ำบวมเกลือ ก็จะรู้สึกว่าน้ำหนักลดเร็วในช่วงแรกๆ จริงๆก็แค่อาการบวมตามร่างกายลดลง ไม่ต้องตกใจ” พี่ต้าอธิบาย คุกเข่าลงวัดต้นขาของผมทั้งสองข้าง “เก่งมากเลยครับปราณ”



“มีพี่ต้าช่วยนี่ครับ” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างขอบคุณ ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีวันที่รู้สึกว่าร่างกายเป็นของตัวเองอีกครั้งแบบนี้



“อย่าหักโหมมากนะ” พี่ต้าเงยหน้าขึ้นมองผมอย่างเป็นกังวล “อะไรที่เร็วไปก็ไม่ดีนะครับปราณ พี่อยากให้ปราณทำเพื่อตัวเองนะครับ”



“ครับ” ผมพยักหน้ารับ “พี่ต้าอยากให้ผมทำอะไรก็บอกมาเลย ผมเชื่อพี่ต้าทุกอย่างอยู่แล้ว”



“ถ้าอย่างนั้น ซิทอัพให้พี่เพิ่มซักห้าสิบนะครับ”



พี่ต้ายิ้มหวาน แต่สิ่งที่พูดออกมานั้นช่างโหดร้ายจนผมอยากร้องไห้ออกมา






“ฮือ ไม่ไหวแล้ว”



ผมงอแง ถึงแม้ว่าจะทำทุกอย่างบรรลุตามเซ็ทออกกำลังกายที่พี่ต้าจัดไว้ในวันนี้เรียบร้อยแล้วก็ตาม



“เสร็จแล้วครับปราณ ยืดตัวก่อนจะได้ไม่ปวด” พี่ต้าช่วยดัดแขนดัดขาให้ผมที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นอย่างอ่อนเพลีย ส่วนตัวผมที่แทบจะไหลไปมาบนพื้นเป็นเยลลี่ก็ช่วยขยับตามเท่าที่ทำได้ “เย็นนี้อยากทานอะไรครับคนเก่ง”



“อ๊ะ ผมลืมบอกไป” ผมรีบเด้งตัวขึ้นจากพื้น พนมมือขอโทษขอโพยอีกฝ่ายอย่างสำนึกผิด “พอดีไอ้อาร์มมันชวนไปกินข้าวด้วยเย็นนี้น่ะครับ ผมรับปากมันไปแล้ว แต่พี่ต้าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะเลือกอาหารดีๆ ไม่กินเยอะแน่นอน”



“…” สีหน้าของพี่ต้ามืดครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด ให้ตายเถอะ เรื่องแบบนี้ทำไมผมถึงลืมบอกเขาไปได้นะ



“ขอโทษนะครับ คราวหลังผมจะรีบบอก” ผมรีบสัญญา



“ยังมีคราวหลังอีกเหรอ…” อีกฝ่ายพึมพำไม่ได้ศัพท์  แต่พอผมถาม พี่ต้าเพียงแค่ส่ายหน้า “เปล่าครับ ไม่มีอะไร ไปกับเพื่อนเถอะ”



“จริงๆแล้ว…ผมมีเรื่องอยากรบกวนน่ะครับ” ผมเกาแก้มอายๆ ไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายมากไปรึเปล่า “พี่ต้าช่วยผมเลือกชุดหน่อยได้มั้ยครับ ผมอยากดูดีกับเขาบ้าง…”



ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แฟนเก่า ต่อให้ไม่อยากรีเทิร์นผมก็ยังอยากจะให้ไอ้อาร์มเห็นว่าผมดูดีขึ้นจากแต่ก่อนมาก เรียกได้ว่าเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ก็คงไม่ผิด



“…ได้สิ” พี่ต้าหันมาตอบผมพร้อมรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายดูแข็งกว่าปกติเล็กน้อย


คงยังโกรธที่ผมลืมบอกว่าจะออกไปข้างนอกสินะ



หลังจากนั้นผมจึงเอาเสื้อผ้าที่เลือกไว้ออกมาลองให้พี่ต้าดู ถึงแต่ก่อนการแต่งตัวของผมจะไม่ได้จัดอยู่ในประเภทที่ดูไม่ได้ แต่ผมก็ยังคงเชื่อเซ้นส์ของพี่ต้ามากกว่าของตัวเอง ก็คุณชายท่านเล่นจับผมแต่งตัวเป็นตุ๊กตากระดาษทุกวันเลยนี่นา



“ไม่เหมาะ”


“ไม่ดี”


“ไม่เอา”


แต่วันนี้ดูเหมือนไม่ว่าผมจะเลือกชุดไหนก็ดูจะขัดหูขัดตาที่ต้าไปเสียหมด สุดท้ายแล้วผมจจึงมาลงเอยที่เสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีดำ ดูแล้วไม่ต่างจากชุดนักศึกษาที่ผมใส่เป็นประจำเท่าไหร่



“พี่ต้าแน่ใจเหรอครับ?” ผมอดถามไม่ได้



“ปราณไม่เชื่อใจพี่เหรอ?” คำถามนั้นมาพร้อมกับสีหน้าน้อยอกน้อยใจที่ทำให้ผมต้องรีบส่ายหน้าพรืด


“ไม่ให้เชื่อพี่ต้าแล้วจะให้ผมเชื่อใครล่ะครับ”


“ไม่รู้สิ พี่ว่าอาร์มเขาก็คงแนะนำได้ล่ะมั้ง เรื่องเสื้อผ้าเนี่ย” อีกฝ่ายพึมพำ ก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์ของตัวเอง



“โธ่ อย่างไอ้อาร์มแค่ใส่เสื้อกับกางเกงให้ไปทางเดียวกันยังทำไม่ได้เลยครับ" ผมยิ้มขำ “สมัยที่คบกันผมยังต้องช่วยมันเลือกเสื้อผ้าเวลาจะไปเที่ยวกันเลย”



“พี่ขอตัวก่อนนะ พอดีมีธุระ” พี่ต้าตัดบทด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ผมพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างงงๆ ไม่รู้ว่าวันนี้พี่ต้าเป็นอะไร ทำไมถึงได้ดูผีเข้าผีออกขนาดนี้



ไอ้อาร์มมารับผมที่หน้าคอนโดหลังจากนั้นไม่นาน ยังคงคอนเซ็ปท์เสื้อผ้าไม่เข้าคู่ของตัวเองอย่างเหนียวแน่น เจ้าตัวยิ้มร่า ก้าวออกมาจากรถแล้วดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด ผมกอดตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนคนตรงหน้า
ก็ยังทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจได้เสมอ



“ป่ะ กูหิวละ” ไอ้อาร์มว่า


“เออ ไปร้านเดิมป่ะ ที่มึงชอบกินก่อนไปเยอรมันอ่ะ”



“ยังอยู่อีกเหรอวะ?”



“อยู่ๆ กูเพิ่งไปกับพี่เจษฎ์มา”



ผมกับไอ้อาร์มตกลงหาที่กินกันขณะเดินไปที่รถ ไม่ได้เห็นสายตาของใครบางคนที่มองตามพวกเราไปจากระเบียงของห้องจนลับสายตา







”กินเข้าไปเยอะๆหน่อยสิอ้วน มึงแดกแค่นี้เจ้าของร้านร้องไห้แล้ว”



ไอ้อาร์มบ่น ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ถึงจะไม่ได้สนใจเรื่องการลดน้ำหนักกระเพาะของผมที่ถูกฝึกมาจนเริ่มชินก็เริ่มรู้สึกว่าไม่สามารถรองรับอาหารได้เท่ากับปกติแล้ว ต่อให้ไอ้อาร์มพยายามยัดของกินใส่จานกองพะเนินเทินทึก ผมก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถยัดมันลงท้องได้อยู่ดี



“มึง กูอิ่ม”



“หะ? แค่นี้อ่ะนะอิ่ม? นี่มึงไปตัดกระเพาะมาใช่ป่ะ?” ไอ้อาร์มถามอย่างไม่อยากเชื่อ นี่แต่ก่อนผมเป็นคนกินหนักขนาดนั้นเลย
เหรอ?



“ก็กูอิ่มนี่นา” ผมยังคงยืนกราน ยัดเข้าไปมากกว่านี้ได้มีขย้อนกลับออกมาแน่



“เอ้าๆ อิ่มก็อิ่ม” คนตรงหน้าผมถอนหายใจ ขยี้หัวผมแรงๆอย่างหมั่นไส้ “เหอะ กูจะจำไว้ เดี๋ยวนี้มีลดน้ำหนักเพื่อผู้ชาย ทีกูชวนไปวิ่งนั่งร้องไห้อยู่หน้าร้านลูกชิ้น”



“ลดเพื่อผู้ชายอะไรวะ กูก็แค่อึดอัดป่ะ ชุดมันคับ” ผมเถียงด้วยความจริงเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ไอ้อาร์มนี่สิดูจะไม่เชื่อซะเต็มร้อย
“อย่ามา คุณพี่ต้ามึงอ่ะ ตัวติดกันขนาดนั้นมึงเห็นกูโง่มากว่างั้น?”



“…” ผมถอนหายใจ เมื่อมาคิดดูดีๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ผมปิดบังมัน “พี่ต้าเขาเป็นเทรนเนอร์กู เจ๊ปายซื้อคอร์สให้เป็นของขวัญวันเกิด”



ไอ้อาร์มอ้าปากค้างเป็นรูปตัวโอ ก่อนจะลากเสียง’อ๋ออออ’ อย่างเข้าอกเข้าใจจนน่าหมั่นไส้



“มิน่าล่ะ กูก็ว่าอยู่ว่าทำไมคนอย่างนั้นถึงมาอยู่กับมึง”



“ทำไม? อยู่กับกูมันทำไม?” ผมขมวดคิ้ว แม้จะรู้ว่ามันเป็นความคิดของคนส่วนใหญ่เวลาเป็นผมอยู่กับพี่ต้า แต่ก็ยังอดรู้สึกไม่พอใจไม่ได้



“อย่าเข้าใจผิดนะอ้วน กูไม่ได้ว่ามึง” ไอ้อาร์มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใจเย็น “แต่คนแบบนั้นอยู่คนละโลกกับคนอย่างพวกเรา มึงเป็นคนดี มึงเป็นคนน่ารัก แต่คนอย่างพี่เขาหาคนดีคนน่ารักเหมือนมึง แต่หน้าตาดีกว่ามึง หุ่นดีกว่ามึง เหมาะสมกับเขามากกว่ามงได้ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน กูไม่อยากให้มึงเจ็บกับความหวังลมๆแล้งๆ”



“กูรู้น่า มึงคิดว่ากูเป็นเด็กเมื่อวานซืนรึไง” ผมกลอกตาใส่อีกฝ่าย แม้ว่าในความเป็นจริงนั้น ความคิดที่อีกฝ่ายว่าค่อยๆเริ่มถูกลืมเลือนไปหลังจากใช้ชีวิตอยู่กับพี่ต้ามา



เขากับผม...มองยังไงก็ไม่เหมาะสมกันจริงๆนั่นแหละ









ผมกลับมาถึงห้องด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ไม่เคยคาดหวัง แต่ทำไมพอรู้ว่าไม่มีหวังถึงได้เจ็บไปหมดขนาดนี้ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ



“ปราณ กลับมาแล้วเหรอ? พี่ซื้อหนังที่ปราณบอกว่าอยากดูมาด้วยล่ะ ปราณดูกับพี่...”


“พี่ต้า ขอโทษนะครับ วันนี้ด้วยเพลียมากจริงๆ” ผมเอ่ยตัดบทคนที่กระวีกระวาดเข้ามาหาผมตั้งแต่ยังเปิดประตูไม่ถึงครึ่งบ้าน ตัวตนแสนสว่างไสวของอีกฝ่ายตอนนี้แยงตาจนผมปวดหัวไปหมด



“อ๋อ…งั้นปราณพักผ่อนเถอะ พี่ไม่กวนปราณดีกว่า”


เสียงของพี่ต้าอ่อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ตัวผมในตอนนี้เพียงแค่อยากจะล้มตัวลงนอนบนเตียงของตัวเอง หนีไปจากโลหแห่งความเป็นจริงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ยังดี



ผมเดินผ่านพี่ต้าเข้าไปในห้องนอน แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าชุดที่พี่ต้าใส่อยู่นั้นไม่ใช่ชุดที่อีกฝ่ายใส่ก่อนผมออกไป แต่เขาคงแค่อาบน้ำเปลี่ยนชุดหลังออกกำลังกายเสร็จ ถึงแม้ว่าชุดที่พี่ต้าใส่จะดูดีเกินกว่าจะเป็นชุดที่ใส่อยู่บ้านก็ตาม



แต่พี่ต้าใส่ชุดอะไรก็ดูดีเกินกว่าจะเป็นชุดที่ใส่อยู่บ้านอยู่แล้วน่ะนะ







ทางด้านของคฑา ร่างสูงได้แต่มองตามร่างของคนที่ตัวเองลงทุนอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่คิดว่าดูดีที่สุดเพื่อรออีกฝ่ายกลับมาไปตาละห้อย ก้มลงมองแผ่นดีวีดีในมือแล้วถอนหายใจ ตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่ห้องของตัวเอง



ภายในห้อง บนเตียงของคฑามีช่อดอกไม้ที่เขาหุนหันออกไปซื้อด้วยความร้อนรน กลัวว่าหากไม่รีบทำอะไรซักอย่าง ไอ้เด็กอาร์มนั่นจะทำคะแนนทิ้งห้างเขาไปจนตัวเองไม่สามารถไล่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายมีภาษีมากกว่าเขาด้วยการเคยก้าวไปอยู่ในจุดที่คฑายังไม่สามารถเอื้อมไขว่คว้าถึง



ร่างสูงทิ้งช่อดอกไม้ช่อใหญ่ลงในถึงขยะ ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก ดวงตาที่ใครต่างก็บอกว่าเหมือนมีมนต์สะกดให้คนมองหลงใหลแต่กลับใช้ไม่ได้กับคนที่เขาต้องการเหม่อมองเพดนอย่างใจลอย พึมพำออกมาราวกับจะให้กำลังใจตัวเอง



“พรุ่งนี้ค่อยเอาใหม่แล้วกันนะไอ้ต้า”




เสียงหอบหายใจถี่กระชั้นของคนที่พยายามสะกดกลั้นเสียงครางตั้งแต่การเริ่มกิจกรรมของพวกเขาเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาทำให้เจษฎานึกหงุดหงิด เขารู้ว่านทีกำลังทำเพื่อเขา เพราะอีกฝ่ายกลัวว่าเขาจะหมดอารมณ์ขึ้นมาหากได้ยินเสียงของตน แต่ในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่เขาอยากได้ยินไปมากกว่าเสียงของนทีที่ร้องเรียกชื่อเขาสลับกับเสียงครางแว่วหวานตอบรับสะโพกสอบที่ขยับสาวจังหวะร้อนแรง



เด็กหนุ่มร่างสูงกัดฟันกรอด สับสนกับความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นทุกครั้งที่อยู่ใกล้กับคนในอ้อมกอด


ทันใดนั้นผ้าผืนนิ่มที่คาดปิดดวงตาของเจษฎารู้สึกเหมือนโซ่ตรวนที่เด็กหนุ่มนึกอยากดึงกระชากมันออกไปแต่ทำไม่ได้
แต่สิ่งที่เขาทำได้ คือการละมือจากสะโพกมนที่ไม่ต้องสงสัยว่าตอนนี้คงมีรอยประทับสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือของเขาติดผิว
กายขาวเนียน แล้วกอบกุมเอาส่วนอ่อนไหวที่ไม่มีใครให้ความสนใจไว้ในมือ



“เจษฎ์!…อี่ก…”


นทีเผลอร้องออกมาอย่างตกใจกับการกระทำของเพื่อนสนิท ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองไว้แน่นเมื่อมือใหญ่ขยับประสานจัวหวะเข้ากับสะโพกสอบที่จงใจกระแทกย้ำให้คนตัวบางจิกผ้าปูเตียงแน่นเพื่อระบาย เสียงของนทีนั้นทำให้เลือดลมของคนฟังสูบฉีดพล่านไปทั่วร่าง



“ที…ร้องออกมา…” เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูของเพื่อนสนิท ขบเม้มใบหูของนทีอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ “กูอยากได้ยินเสียงมึง…”



ทีแรก นทียังดื้อจะไม่ยอมท่าเดียว ทว่าจังหวะที่เร่งเร้าราวกับจะกลั่นแกล้งให้เขายอมจำนนทำให้เสียงหวานดังลอดออกมาจากริมฝีปากที่ปิดสนิทในที่สุด



“อ๊ะ…อะ…อ๊า!!”


“เรียกชื่อกูสิที กูอยากได้ยินมึงเรียกชื่อกู…”



เจษฎาเรียกร้อง กายเสียงหวานนั้นราวกับคนโลภไม่รู้จักพอ



เขาไม่เคยทำแบบนี้กับนที อาจเป็นเพราะความกลัวหรือความไม่สนิทใจในตอนแรกที่ทำให้เขาละเลยการใช้มือช่วยร่างโปร่งให้ถึงฝั่ง ซึ่งในตอนแรกเจษฎาก็รู้สึกประหลาดเล็กน้อยอย่างที่คาดไว้ แต่ความรู้สึกที่ว่านั้นกลับถูกแทนที่อย่างรวดเร็วด้วยความภาคภูมิใจที่ทำให้นทีสะท้านเฮือก เสียงหวานเร่าร้องเรียกชื่อเขาซ้ำไปมาราวกับแผ่นเสียงตกร่องใต้ร่างหนาได้สำเร็จ ช่องทางอ่อนนุ่มก็ตอบแทนการดูแลของเจษฎาด้วยการโอบรัดตัวตนของเด็กหนุ่มจนเขารู้สึกว่าตัวเองจะไม่สามารถแยกจากนทีได้อีกตลอดชีวิต และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือเจษฎาไม่ได้รู้สึกเสียใจกับความคิดนั้นสักนิด



เขี้ยวคมงับลงบนหัวไหล่มนก่อนลิ้นร้อนจะแลบเลียปลอบประโลมรอยนั้นอย่างลุ่มหลง แม้ไม่ได้เรียกเลือดแต่ก็รู้ดีว่ารอยประทับบนเรือนร่างขาวจะคงอยู่ต่อไปอีกอย่างน้อยก็หนึ่งวันเต็มๆ แค่ความคิดนั้นก็มากพอที่จะทำให้สะโพกสอบเร่งเร้าเสียจนร่างข้างใต้โยกคลอนไปตามแรง


“อ๊ะ…อ๊า!!!”



ร่างสองกระตุกเกร็งพร้อมกัน ความอ่อนนุ่มที่ตอดรัดจนแทบขาดใจทำให้ภาพรอบกายของเจษฎาขาวโพลนไปชั่วขณะ ร่างสูงรวบคนตัวเล็กกว่าเข้ามาในอ้อมกอดแน่น ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายอยู่ห่างจากตัวเองแม้สักวินาที



จมูกโด่งซุกไซร้ซอกคอขาวอย่างลุ่มหลง ร่างสูงขมวดคิ้วเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่เขาจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเคยฉีด กลิ่นหวานๆที่แม้จะไม่ฉุนแสบจมูกแต่ก็ยังพอแยกออกว่าเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ทำขึ้นเพื่อหญิงสาวโดยเฉพาะ เขารู้ว่านทีไม่ชอบกลิ่นพวกนี้ ดังนั้นคำอธิบายที่พอจะนึกได้สำหรับนิสัยของเพื่อนสนิท คงจะเป็นการที่อีกฝ่ายอยากให้เขาสามารถจินตนาการว่าตัวเองกำลังมีอะไรกับผู้หญิงได้สะดวกขึ้น



เจษฎากัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด ความคิดที่ว่าคนในอ้อมกอดต้องการให้เขาคิดถึงคนอื่นในระหว่างที่กำลังกอดอีกฝ่ายบนเตียงทำให้เขานึกอยากจะกระชากผ้าปิดตาบ้าๆนี่ออกแล้วพิสูจน์ให้คนตรงหน้ารู้ว่าสมองของเขาไม่สามารถคิดอะไรได้มากไปกว่าเรื่องของนที



ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่าย และไม่สามารถอธิบายกระบวนความคิดของตัวเองได้ แต่ในตอนนี้อารมณ์ของเจษฎาอยู่นอกเหนือเหตุผลทั้งปวง



“ที…กูขออีกรอบนะ”



“เอ๊ะ…ทำไม…” เสียงหวานฟังดูสับสน เจษฎาไม่เคยเป็นฝ่ายขอเขาตรงๆแบบนี้



“กูขออีกรอบ…” เจษฎาเอ่ยย้ำ สะโพกสอบขยับเร้าจุดไวสัมผัสภายในเบาๆเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายเริ่มมีอารมณ์ร่วมขึ้นมาอีกครั้ง



เขาอาจจะไม่ได้ช่ำชองที่สุด แต่เจษฎามั่นใจว่าเขารู้ทุกซอกทุกมุมของเรือนร่างของเพื่อนสนิทมากที่สุด และจากร่างเล็กกว่าที่สั่นระริกกับฝ่ามือใหญ่ที่ปัดป่ายไปทั่ว ความั่นใจนั้นยิ่งได้รับการเต็มเติมจนเขายังหมั่นไส้ตัวเอง



และไม่นานนัก เสียงหวานที่เขาได้ยินเท่าไหร่ก็ยังคงไม่รู้จักพอก็ดังสะท้อนไปทั่วห้องพักกว้างในคอนโดของร่างโปร่งอีกครั้ง เจษฎากอดรัดร่างบอบบาง แนบชิดแผงอกแกร่งกับแผ่นหลังเนียนเพื่อให้กลิ่นของตัวเองกลบกลิ่นหวานเลี่ยนที่เขาไม่คุ้นเคยจากอีกฝ่ายให้หมด



เขายังไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อนทีในตอนนี้เรียกว่าอะไร แต่สิ่งที่เขามั่นใจ คือเขาจะไม่พอใจจนกว่ากลิ่นของเขาจะจับจองทุกตารางนิ้วบนร่างกายของอีกฝ่ายในเช้าวันต่อมา


---------
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 11: พรุ่งนี้เอาใหม่ [30-08-19] คห.43
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 31-08-2019 23:48:17
เอาอีกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 11: พรุ่งนี้เอาใหม่ [30-08-19] คห.43
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 01-09-2019 23:52:33
กลับมาอ่านต่อแล้วว
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 11: พรุ่งนี้เอาใหม่ [30-08-19] คห.43
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 02-09-2019 07:29:30
 :pig4:  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 11: พรุ่งนี้เอาใหม่ [30-08-19] คห.43
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 04-09-2019 19:14:40
อะไร ยังไง จะทำอะไร ก็รีบทำ
ต้ายังไงล่ะ ชอบน้อง เลยมาเป็นเทรนเนอร์ให้
แต่อยู่ใกล้กันแบบนี้ ต้องคืบหน้าบ้างนะ
อย่ามาทำหงอย บางทีปราณก็ซื่อ ก็งง

ปราณดูอาการพี่ออก แต่ปราณก็ไม่เข้าใจ
และไม่เข้าข้างตัวเอง

เอิ่ม อาร์มคะ มาวันเดียว ทำปราณเฟลหนักมาก
พี่ก็เตรียมแต่งหล่อให้น้องมอง ที่ไหนได้ พี่ก็มาเฟลไปอีก
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 11: พรุ่งนี้เอาใหม่ [30-08-19] คห.43
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 07-09-2019 15:15:34
 :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 11: พรุ่งนี้เอาใหม่ [30-08-19] คห.43
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 08-09-2019 12:51:59
Day 12: สับสน

ศึกเมื่อคืนอาจจะหนักหน่วงไปสักหน่อยสำหรับนที เพราะเมื่อเจษฎาลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับความมืดมิดอันคุ้นเคย ลมหายใจอุ่นที่รินรดแผ่นอกกว้างและร่างที่ขดตัวกลมซุกเข้าหาไออุ่นจากเขาทำให้ร่างสูงระบายยิ้มออกมา เจษฎายกมือขึ้นปลดผ้า
คาดตาของตนออก กระพริบตาปรับแสงให้โฟกัสกับภาพตรงหน้า



นทียังคงหลับตาพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อน แผ่นอกแบนราบที่ยังเหลือร่องรอยสีกุหลาบกระจายประหรายสะท้อนขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ ริมฝีปากเรียวแดงก่ำจากการถูกบดขยี้อย่างไร้ความปราณีในคืนก่อนหน้า แก้มเนียนใสขึ้นสีเลือดฝาดระเรื่อน่าฟัด ร่องรอยที่เจษฎาฝากไว้ยังคงกระจายแต่งแต้มผิวกายขาว



ร่างสูงก้มลงขโมยจุมพิตไปจากริมฝีปากนิ่มอย่างอดใจไม่ไหว เมื่อเห็นว่านทียังคงหลับสนิทยิ่งได้ใจ พรมจูบไปทั่วใบหน้าขาวเนียนอย่างหลุ่มหลง จนกระทั่งคนที่นอนหลับอยู่เริ่มขยับตัว



ดวงตาสีน้ำตาลซึ่งซ่อนอยู่ใต้แพขนตางอนหนาปรือขึ้นทีละน้อย ก่อนจะเบิกกว้างพร้อมกับร่างโปร่งที่ผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ




“ขะ…ขอโทษนะ เราเผลอหลับไป…”



“ขอโทษทำไม นี่เตียงมึง”



เจษฎายิ้มขำกับสีหน้าลุกลี้ลุกลนของเพื่อนสนิท เอื้อมมือไปหมายจะปัดเส้นผมชื้นเหงื่อออกจากหน้าผากใส แต่ต้องชะงัก
กึกเมื่อนทีขยับหลบด้วยสีหน้ากังวลใจ แถมยังดึงผ้าห่มผืนหนามาห่อร่างของตัวเองไว้จนกลายเป็นก้อนกลมๆน่ารักน่าเอ็นดูหนึ่งก้อน แต่คนที่โดนบดบังทัศนียภาพรู้สึกอยากจะกระตุกผ้าห่มออกจากร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์



“เรา…เราไปอาบน้ำก่อนนะ”



“เดี๋ยว” เจษฎาคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ก่อนที่นทีจะหนีหน้าเขาได้ “น้ำหอมนี่น่ะ เลิกใช้ได้แล้ว ไม่เหมาะกับมึงซักนิด”



“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราซื้อขวดใหม่…” นทีหน้าเสีย



“ไม่ต้อง กลิ่นเดิมของมึงก็ดีอยู่แล้ว” ร่างสูงขัดเสียงห้วน



“…อื้อ…”




นทีรับคำด้วยสีหน้าสลดลง ไม่รู้ทำไม แต่เจษฎารู้สึกว่าทุกการกระทำและทุกคำพูดของตนดูจะทำร้ายอีกฝ่ายไปเสียหมด
ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้งหลังจากที่อีกฝ่ายก้าวเข้าไปในห้องน้ำ เหม่อมองเพดานด้วยความรู้สึกสับสนที่ตีกันอยู่ในหัว
โทรศัพท์ของนทีสั่นครืดๆบนตู้หัวเตียงของร่างโปร่ง เจษฎาขมวดคิ้ว หยิบโทรศัพท์ของเพื่อนสนิทมาดูชื่อที่แสดงบนหน้าจอ คิ้วเข้มยิ่งผูกเป็นปมเมื่อเห็นชื่อที่ตนไม่คุ้นเคย แต่ใบหน้าของไอ้ฝรั่งขี้นกนั่นเขาคุ้นเคยดี



“ไอ้ที คนชื่อชาลส์โทรมา” ร่างสูงตะโกนบอกคนในห้องน้ำ รู้สึกได้ว่าความไม่พอใจของตนถูกส่งผ่านไปทางน้ำเสียงอย่างชัดเจน



“อื้อ ปล่อยไปเลย ไม่ต้องรับหรอก” คนในห้องน้ำร้องกลับมา



“…” เจษฎาทำตามอย่างว่าง่าย กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างพึงพอใจที่เห็นว่านทีไม่มีทาาทีจะรีบร้อนมารับโทรศัพท์ ทั้งที่เวลาเป็นเขาโทรหา ต่อให้ทำอะไรอยู่ นทีก็จะรับสายราวกับรอเขาโทรมาอยู่เสมอ



เหอะ ของนอกจะมาสู้ของโอทอปได้ไง จับต้องง่ายใช้จ่ายสะดวก



สักพักโทรศัพท์ของนทีก็สั่นขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงเดาะลิ้นอย่างรำคาญใจ แต่ชื่อและรูปภาพที่แสดงอยู่บนหน้าจอนั้นกลับเป็นชายหนุ่มคนละคน คราวนี้เป็นหนุ่มแขกตาน้ำข้าวหน้าตาคมคายจมูกยิ่งกว่าสันเขื่อน เจษฎากัดฟันกรอด ก่อนจะตะโกนอีกครั้ง



“ไอ้ที! ฟารุคโทรมา!”



“อื้อ ไม่ต้องรับ” คนในห้องน้ำร้องออกมาอีกครั้ง ไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกคุกรุ่นของนข้างนอก แทบจะในทันทีที่ชายปริศนาคนที่สองวายสายไป เสียงเรียกเข้าจากชายคนที่สามก็ดังขึ้นแทบจะในทันที คราวนี้เจษฎาจำหน้าของคนปลายสายได้จากปก
อัลบั้มที่เขาเป็นคนซื้อแต่ไม่ได้ให้นทีอย่างชัดเจน



“ไอ้ที!”



“อื้อ...มาแล้ว” ร่างโปร่งนวยนาดออกมาจากห้องน้ำในผ้าขนหนูหนึ่งผืน หยิบโทรศัพท์ออกมากดรับสายแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า



“Hello? Yeah, it’s 10 AM here, but feel free to call whenever you want. I’m usually up anyway.(ฮัลโหล? ใช่ ตอนนี้ประมาณสิบโมงที่นี่ แต่จริงๆนายโทรมาตอนไหนก็ได้นะ ปกติฉันตื่นอยู่ตลอดอ่ะ)” เสียงหวานพูดคุยกับนักร้องดังปลายสายอย่างสนิทสนม ความสนิทสนมที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายสงวนไว้้ให้กับคนใกล้ชิดเพียงไม่กี่คนเช่นเขา “You know I love all your songs. Thanks for the present, by the way.(นายก็รู้ว่าฉันชอบทุกเพลงของนาย อ้อ ขอบใจสำหรับของขวัญนะ)”



ทั้งสองคุยกันเรื่องสัพเพเหระขณะที่นทีแต่งตัว แม้เนื้อหาจะไม่ได้บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มีอะไรน่าสงสัย แต่นั่น
กลับยิ่งทำให้เจษฎาสงสัยมากขึ้นไปอีก



แค่เพื่อนทำไมต้องโทรมาคุยกันข้ามทวีปแบบนี้ แถวนั้นไม่มีเพื่อนรึไงวะ?



ร่างสูงที่เริ่มทนไม่ไหวลุกขึ้นจากเตียง ยังคงไร้อาภรณ์สักชิ้นคลุมกาย มือใหญ่คว้าโทรศัพท์ที่นทีหนีบไว้กับไหล่แล้วแนบข้างหูให้เพื่อนสนิทคุยสะดวก จงใจขยับกายแนบชิดคนที่กำลังแต่งตัวอยู่ นทีสะดุ้งกับสัมผัสของผิวกายเปลือยเปล่าจากด้านหลัง เสียงหวานสั่นขึ้นเล็กน้อยอย่างมีพิรุธ เจษฎาขยับยิ้มมุมปาก พึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้



“รีบวางได้แล้ว กูหิว” เสียงทุ้มกระซิบแนบชิดใบหูขาวน่ากัด น้ำเสียงแหบพร่าที่เจษฎาจงใจให้อีกฝ่ายนึกคิดไปถึงความหมายแฝงในคำพูดของตนทำให้นทีกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ร่างโปร่งพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติทว่าไม่เป็นผล เจษฎาได้ยินเสียงปลายสายแว่วถามว่าเขาโทรมากวนเวลาของนทีกับคนพิเศษหรือไม่



“No, he’s just a friend. (เปล่า แค่เพื่อนน่ะ)” นทีรีบตอบ คำว่าเพื่อนทั้งที่เป็นสถานะของพวกเขามาตั้งแต่ต้นยามนี้กลับแสลงหูจนเจษฎาไม่อยากได้ยิน “I have to go. (ฉันต้องไปแล้ว)”



กว่าจะยอมวาง...



เจษฎาคิดอย่างไม่พอใจ



เขาไม่เคยสังเกตว่านทีมีชายหนุ่มติดพันมากมายขนาดนี้ แถมแต่ละคนตัวใหญ่ไซส์ฝรั่งตามสเป็กของเพื่อนของเขาเป๊ะๆอย่างที่เจษฎาเทียบไม่ติด ยิ่งคิดมันยิ่งทำให้ร่างสูงนึกอยากจะฝากกลิ่นของตนให้ติดบนเรือนร่างที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำหอมราคาแพงในตอนนี้



“เจษฎ์...ขยับออกไปหน่อย” นทีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลำบากใจกับความใกล้ชิดในตอนนี้ “หิวไม่ใช่เหรอ? เราแต่งตัวเสร็จแล้วเดี๋ยวไปหาอะไรกิน...”



“เปล่า กูไม่ได้หิวข้าว...” ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังทำให้ตอนนี้นั้นก้าวข้ามข้อตกลงไร้เสียงที่พวกเขาเคยทำไว้ แต่ในหัวของเจษฎามีเพียงความคิดที่จะแสดงอาณาเขตของตนไม่ให้ตัวผู้ตัวอื่นยุ่มย่ามเข้ามาหาเพื่อนสนิท ร่างเปลือยเปล่าแนบชิดกับร่างที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนบางพันรอบเอว ความเป็นชายที่เรียกร้องแสดงความต้องการนาบสนิทไประหว่างก้อนเนื้อกลมกลึงทั้งสองราวกับถูกสร้างมาเพื่อกันและกัน “กูหิวมึง”



“จริงสินะ ตอนเช้า จะรู้สึกก็ไม่แปลก...” ร่างโปร่งพึมพำ คนฟังส่งเสียงในลำคออย่างหงุดหงิดใจ แต่ก่อนที่จะได้แก้ไขความเข้าใจผิด ภาพตรงหน้าของเขาก็มืดลงจากผ้าผืนหนึ่งที่ถูกผูกคาดดวงตาของเขาไว้อย่างชำนาญ



“ไอ้ที...” นิ้วเรียวแตะลงบนริมฝีปากของเขา บ่งบอกว่าในตอนนี้ เป็นตอนที่เจษฎาต้องนึกภาพสาวในฝันขึ้นมาได้แล้ว
แต่ในหัวเขามีเพียงภาพของคนตรงหน้าที่ทรุดกายลงบนพื้น มือเรียวกำรอบความใหญ่โตที่พองขยายขึ้นมาเพียงแค่นึกภาพร่างเปลือยเปล่าของนที ก่อนที่ริมฝีปากนุ่มจะครอบลงมาทีละน้อยอย่างใจเย็น



“เชี่ย...ไอ้ที....” เจษฎาหลุดครางเสียงต่ำออกมาอย่างพึงพอใจ มือใหญ่ขยุ้มกลุ่มผมนุ่มมือ สาวสะโพกเร่งจังหวะให้คนที่ชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อของตนหลุดออกมาจากริมฝีปากของเพื่อน แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน แต่นทียังคงอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ว่าาร่างสูงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่เรียกชื่อเขาออกมา



ไม่ได้รู้เลยว่าเป็นความจงใจของเจษฎาล้วนๆ



“ที…ปากมึงโคตรนุ่ม...โคตรอุ่น...อึ่ก...รู้สึกดีชะมัด” มือเรียวของนทีที่เกาะต้นขาแกร่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิกแน่น ลิ้นเรียวเล็กตวัดไล้หวังรีดเอาคำชมเชยออกมาจากปากของอีกฝ่ายให้มากที่สุด




“ที…อึ่ก...สุดยอด…” สะโพกสอบขยับสวน เร่งเร้าให้เจ้าของโพรงปากอุ่นเริ่มเร่งจังหวะให้ทันคนที่เป็นฝ่ายคุมเกมส์ เจษฎากัดฟันกรอด หากเป็นปกติเขาคงจะเอ่ยเตือน คงจะดึงให้ร่างที่คุกเข่าอยู่บนพื้นผละออกไป แต่ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือการได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของนที ให้ร่องรอยของเขาหลงเหลืออยู่บนร่างโปร่งให้มากที่สุด



“แค่ก…”



…และเสียงไอค่อกแค่กอย่างน่ารักน่าเอ็นดูที่มีสาเหตุมาจากเขายิ่งทำให้ความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกฝ่ายในตัวของเจษฎามีมากขึ้นไปอีก



“ที…กูเปิดตานะ”



“ดะ…เดี๋ยว…แค่ก…”




ร่างสูงไม่ฟังเสียงห้ามของคนที่ยังไอไม่หยุด ยกมือขึ้นแกะผ้าผูกตาของตนออก





ภาพของนทีที่ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นไอค่อกแค่กหน้าแดงก่ำ หยาดน้ำคลอหน่วยตาใสอย่างน่ากลั่นแกล้งเป็นที่สุดปรากฏแก่สายตา เจษฎาย่อกายลงตรงหน้าของเพื่อนสนิท นทีในตอนนี้แตกต่างจากนทีที่เขาคุ้นเคย และใกล้เคียงกับนทีที่เขาจินตนาการถึงถี่ขึ้นเรื่อยๆในชั่วโมงเปลี่ยวเหงา




นิ้วหัวแม่มือของเจษฎาปาดคราบหลักฐานความเป็นเจ้าของของตนจากมุมปากของเพื่อนสนิทเบาๆ ดวงตาสีเข้มถูกเสน่ห์ที่เขาไม่เคยมองเห็นตรึงไว้กับที่ ดวงตาของนทีช้อนขึ้นสบกับตาของเขา แววตาเหม่อลอยราวกับยังตกอยู่ในห้วงภวังค์ ก่อนที่ริมฝีปากนุ่มหยุ่นจะเผยออ้า ครอบครองนิ้วของเขาเข้าไปในโพรงปากอุ่นแล้วดูดดุนเบาๆด้วยสีหน้าที่คนไร้วาทศิลป์อย่างเจษฎาสามารถบรรยายได้เพียงว่า ‘โคตรอีโรติก’



หากเจษฎายังไม่รู้ตัวว่าหลงอีกฝ่ายจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วในตอนนี้ เขาคงไม่มีทางรู้ตลอดชีวิต



“ระ…เราขอโทษ…”




สีหน้าตกตะลึงของร่างสูงทำให้นทีหลุดออกจากห้วงความคิดของตัวเองในที่สุด ร่างโปร่งผละจากเขาอย่างร้อนรน รีบลุกจากพื้นแล้วคว้าเสื้อผ้าในตู้ลวกๆก่อนจะรีบพุ่งกลับไปยังห้องน้ำราวกับว่ามันเป็นสถานที่ปลอดภัยเพียงหนึ่งเดียวของตน
เจษฎาก้มมองมือของตัวเอง แล้วเงยหน้ามองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
จะเปลี่ยนมาชอบผู้ชายทั้งที ทำไมคนที่เขาชอบถึงได้เป็นดอกฟ้าที่มีแต่หมานั่งเครื่องบินรุมจีบขนาดนี้ด้วยวะ





มีสิ่งหนึ่งที่เจษฎาตระหนักเกี่ยวกับดอกฟ้าของเขา




นทีไม่ได้แค่เนื้อหอมในหมู่แดดดี้เงินหนาตาน้ำข้าว นทีเนื้อหอมในหมู่ตัวผู้ทุกสปีชี่ย์ และถึงแม้ภาพของคนที่มาขอเบอร์ร่างโปร่งจะไม่ใช่สิ่งแปลกตา แต่ในตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตว่ามีบุคคลากรส่วนหนึ่ง แม้จะมีเพียงแค่หยิบมือแต่ก็มากเกินพอ ที่ได้รับช่องทางติดต่อไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรหรือไอดีโซเชียลมีเดียของร่างโปร่งติดไม้ติดมือกลับไป



“ไหนมึงบอกว่าไม่สนใจ?” น้ำเสียงของเขาไม่คิดซ่อนโทสะที่คุกรุ่น แต่เพื่อนสนิทที่เพิ่งให้เบอร์โทรกับเดือนมหาวิทยาลัยปีสี่ไปพร้อมรอยยิ้มหวานไม่ได้เอะใจอะไรสักนิด



“ก็ไม่ได้สนใจ…” นทีแลบลิ้นอย่างซุกซน “เก็บไว้คุยเล่นแก้เบื่อ”



“มึงคุยกับกูก็ได้นี่” เจษฎากล่าวอย่างดื้อดึง



“ไม่เหมือนกันซักหน่อย” ดอกฟ้าของเขาตอบยิ้มๆ “บางทีมันก็รู้สึกดีนะที่มีคนมองว่าเราน่ารักบ้าง”



“กูก็มองว่ามึงน่ารัก” ร่างสูงเถียงเสียงแข็ง แต่คนฟังเพียงแต่ส่ายหน้ายิ้มๆ อธิบายด้วยน้ำเสียงที่ใช้กับเด็กน้อยไม่รู้ความ



“เชื่อสิว่าเจษฎ์ไม่ได้มองเราด้วยสายตาแบบที่คนพวกนี้มองหรอก”



นทีไม่ได้รู้เลยว่ากำลังเข้าใจผิด


ปัญหามันอยู่ตรงที่เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาแบบเดียวกันไม่ผิดเพี้ยนต่างหาก








เจษฎาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิดใจตลอดเวลาที่นั่งกินข้าวในโรงอาหารกับเพื่อนสนิท นึกอยากจะลากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมานั่งบนตักของตัวเองแล้วกอดไว้ไม่ให้ใครเข้ามายุ่ง ร่างสูงยังคงหงุดหงิดใจหลังจากส่งนทีขึ้นตึกเรียนไปแล้ว และอารมณ์ยังคงไม่หายขุ่นมัวตอนที่เขาโทรเรียกไอ้ต้าออกมาที่ห้องสมุดคณะที่เขาใช้เป็นมุมหลับนอนประจำของตัวเอง



“เป็นอะไรมึง ทำหน้าอย่างกับโดนเหยียบหางมา” คฑาที่นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามทัก เจษฎามองเพื่อนตาขวางอย่างไม่สบ
อารมณ์



“สัด กูคน ไม่ใช่กระต่าย”



“หมามั้ยล่ะมึง” คฑาย้อนเสียงกลั้วหัวเราะ แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่เล่นด้วยจึงยอมเข้าโหมดจริงจังตามเจษฎาที่ไม่ได้ทำให้เห็นบ่อยนัก “แล้วมึงมีอะไร เรียกกูมาทำไม?”



“ต้า…กูถามมึงจริงๆนะ” เจษฎาจ้องหน้ารูมเมทของตัวเองด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง “มึงว่า...คนอย่างกูจะชอบผู้ชายได้ป่ะวะ?”



“ทำไมจู่ๆถึง...”



คฑามีสีหน้าสับสนกับคำถามนั้น ที่เจษฎาเลือกที่จะปรึกษาอีกฝ่าย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขารู้ว่าไอ้ต้าชอบปราณ ถึงในตอนแรกจะเป็นแค่ความเอ็นดูตามประสาคนชอบเทคแคร์ดูแลคนอื่น แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่แววตาที่เพื่อนของเขามองน้องชายข้างบ้านดูแปลกไป รู้ตัวอีกที เขาก็กลายเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้คนท่ามากทั้งสองซะเอง แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่างานของตัวเองจะดูไร้ความคืบหน้าสิ้นดีก็ตาม



“กู…กูไม่เคยรู้สึกกับใครเหมือนที่รู้สึกกับมันมาก่อน” เจษฎาถอนหายใจ แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่เขาคิดว่าคฑาน่าจะรู้ว่าเขากำลังหมายถึงใคร “ทั้งที่อยู่ใกล้กันขนาดนี้กูไม่เคยคิดจะหันไปมอง แต่พอมองแล้ว...กูหยุดไม่ได้ กูหยุดคิดถึงมันไม่ได้ทั้งที่กูไม่เคยชอบผู้ชาย แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะชอบผู้ชาย แต่พอเป็นมัน...เรื่องผู้หญิงผู้ชายอะไรนั่นแม่งโดนโยนหายไปเลยว่ะ”



“….ตั้งแต่เมื่อไหร่?” หากเขาไม่ได้คิดไปเอง เจษฎาคิดว่าเสียงของคฑาฟังคล้ายกับอีกฝ่ายกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ไว้อย่างสุดความสามารถ



“เอาจริงๆก็คงตั้งแต่วันเกิดมันอ่ะ กูคงแค่ยังไม่รู้ตัว” เจษฎายกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างหงุดหงิดใจ “เชี่ย...ต้า กูไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน กูจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว แค่คิดว่ามันยิ้มให้ใครนอกจากกูกูก็หายใจไม่ออกแล้ว กูต้องทำไงวะ”



“สรุปคือมึงก็ยังไม่รู้ว่ามึงชอบผู้ชายมั้ย?” คฑาถามทวนเสียงเรียบ



“กูรู้ว่ากูไม่ได้รังเกียจ...ต้า กูสับสนว่ะ”



“เขาไม่ใช่เครื่องทดลองความสับสนของมึง” สายตาของรูมเมทของเขาเย็นเยียบจนเจษฎารู้สึกหนาวยะเยือก เขาไม่เคยเห็นสายตาแบบนี้ของอีกฝ่ายมาก่อน “ถ้ามึงอยากจะเริ่มจีบเขา กูก็ไม่มีสิทธิ์จะห้ามมึง แต่มึงอย่าลืมว่ามีคนอีกมากที่ชอบเขามาก่อนมึง คนที่ไม่ได้สับสน คนที่รู้ตัวดีว่าตัวเองต้องการอะไร แล้วก็พร้อมจะให้ทุกอย่างกับเขามากกว่าที่มึงจะยอมให้”
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าไอ้ต้าจะเป็นห่วงความรู้สึกของไอ้ทีขนาดนี้




แต่เจษฎายังคงมั่นใจในแต้มต่อของตัวเอง ต่อให้มีคนมากมายที่อยากเข้าหาไอ้ที คนที่มีพร้อมกว่าเขาในทุกๆด้าน แต่คนพวกนั้นยังคงไม่มีสิ่งหนึ่งที่เจษฎาถือไว้ในมือ




นั่นคือหัวใจของดอกฟ้าของเขา



“กูรู้จักมันมากี่ปีต้า ภาษีกูเหนือกว่าพวกมันเยอะ อีกอย่าง...กูรู้ว่ามันชอบกู ขอแค่กูเคลียร์ความรู้สึกของตัวเองได้ กูเชื่อว่ามันไม่มีทางเลือกคนอื่นนอกจากกู”




คฑาเบิกตากว้างกับคำพูดของรูมเมท ถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ



“มึงรู้ได้ยังไง?”



“กูรู้ก็แล้วกัน” เจษฎาไหวไหล่ ไม่นึกอยากเล่าย้อนอดีตในคืนแรกของตนกับนทีให้อีกฝ่ายฟังมากนัก




“ยังไงมึงก็อ้างว่าเขาชอบแล้วทำแบบนั้นไม่ได้ มันไม่ยุติธรรมกับคนอื่น” คฑายังคงเถียง คนฟังขมวดคิ้ว อะไรของมันวะ?




“มันชอบกู กูชอบมัน ทำไมกูต้องปล่อยให้หมาที่ไหนคาบไปแดกวะ”




“ก็หมาพวกนั้นมันพยายามมากกว่ามึงไง?! หมาพวกนั้นพยายามแทบตายเพราะอยากให้เขามีความสุข แล้วมึงเป็นใคร? เห็นว่าเขาชอบก็ไม่คิดจะทำอะไร แค่กระดิกนิ้วเขาก็วิ่งมาหา มึงว่ามันยุติธรรมกับเขาเหรอที่ต้องมาตกหลุมคนอย่างมึง?!”
เหมือนจะมีเหตุผล แต่เจษฎายังคงสับสนว่าไอ้หล่อตรงหน้ามาของขึ้นอะไรใส่เขา



“เออ! จีบก็จีบดิวะ! ถ้าทำให้มันมั่นใจว่ากูดีพอสมกับที่มันชอบได้ จะได้ไม่มีใครมาว่ากูอีก!” คนพูดดูเหมือนจะลืมความลังเลในตอนแรกไปจนหมดสิ้น คฑามองเขาตาขวาง ก่อนจะลุกขึ้นทิ้งท้ายด้วยสีหน้าบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์อย่างหาดูได้ยากยิ่ง



“ทำอะไรก็ทำ”



แม้จะงงกับท่าทีเหมือนไปแดกรังแตนของเพื่อน แต่ในตอนนี้เจษฎามีเรื่องสำคัญกว่าที่จะต้องคิด ร่างสูงหยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกเบอร์โทรด่วนที่ตนเมมไว้ตั้งแต่ปลายสายได้โทรศัพท์เครื่องแรกมา



“ไอ้อ้วน กูมีเรื่องให้ช่วย”




เขาเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้อีกฝ่ายมาตั้งนาน คราวนี้ถึงตาไอ้ปราณช่วยเขาจีบดอกฟ้าของเขาบ้างแล้ว

หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 12: สับสน [8-09-19] คห.49
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 08-09-2019 13:47:53
ถึงผมจะเชียรเจษฏา แต่ว่าต่อให้มั่นมากเกินไปมันก็ไม่ได้นะครับ บางครั้ง การจะเห็นค่าของความสัมพันธ์ มันไม่ใช่การเอาเปรียบมุมมองความสัมพันธ์ด้านเดียว (เห็นว่าอีกฝ่ายชอบ เลยจะเล่นตัวยังไงก็ได้) แต่มันคือการปรับตัวเพื่อให้เข้าใจในมุมมองของอีกฝ่าย เพื่อที่จะทำให้เราเห็นค่าของ partner คนนั้นได้อย่างลึกซึ้ง มีมิติ และเข้าใจคนๆนั้นกว่าคนทั่วๆไปที่จะมาจีบ (อย่างเคสนที คำถามคือทำไมสเปกของนทีถึงเป็นคนแดดดี้ รูปร่างสูงใหญ่ละครับ? เซ็กซ์มันก็แค่เซ็กซ์ แต่ว่านทีอยากได้คนปกป้องรึเปล่า อยากได้คนที่พร้อมจะดูแลแล้วสร้าง aura of protection ด้วยความใจดี เข้าใจ อบอุ่นแต่เข้มแข็ง ให้กับตัวเองรึเปล่า คำถามคือเจษฏามีตรงนี้ไหมล่ะครับ? ถ้าไม่มีก็ต้องฝึก ออกกำลังกายมาขึ้น build รูปร่างให้ดีขึ้นเพื่อให้เราเข้าใกล้สิ่งที่เขาต้องการ การชอบสักพักมันก็เลิกได้ ถ้าเจอคนอื่นที่เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจริงๆน่ะครับ)
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 12: สับสน [8-09-19] คห.49
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 09-09-2019 11:48:36
 :hao5:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 12: สับสน [8-09-19] คห.49
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 10-09-2019 05:55:34
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 12: สับสน [8-09-19] คห.49
เริ่มหัวข้อโดย: Maple ที่ 26-09-2019 05:27:27
เอ้าพี่ต้าา​ ราศีคนนกตกใส่แล้วพี่​เย็นไว้นะพี่เขาไม่ได้ชอบก๊านนน

มาอัพเร้ววว
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 12: สับสน [8-09-19] คห.49
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 09-10-2019 22:12:47
Day 13: จีบได้มั้ย

“พี่ต้าครับ วันนี้พี่ต้ากลับห้องไปก่อนเลยก็ได้นะครับ พอดีผมมีธุระนิดหน่อย”


ผมรีบโทรบอกพี่ต้าหลังจากวางสายจากพี่เจษฎ์ด้วยกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยกับครั้งของไอ้อาร์ม “พอดีพี่เจษฎ์เขามีธุระให้ผมไปด้วย แต่ผมจะกลับมาให้ทันฟิตเนสตอนเย็นนะครับ”



จู่ๆไอ้พี่เจษฎ์ก็โทรมาบอกผมว่ามีเรื่องด่วนให้ช่วย เดี๋ยวมันมารับหน้าคณะหลังเลิกเรียน ซึ่งถึงแม้ผมจะอยากปฏิเสธ แต่คนอย่างไอ้พี่เจษฎ์สะกดคำว่าไม่เป็นกับใครเขาที่ไหน



แถมในครั้งนี้พี่มันยังทำเสียงจะเป็นจะตายจนผมอดเป็นห่วงไม่ได้ คนที่ไม่ค่อยเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเวลาแตกตื่นขึ้นมาคนรอบข้างก็ตกใจอยู่นะครับ



“ครับปราณ ไม่ต้องรีบนะ พี่เข้าใจ” เสียงทุ้มตอบกลับมาจากปลายสาย ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าพี่ต้าเขาเข้าใจอะไร ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไอ้พี่เจษฎ์ต้องเรียกผมไปหา



ไอ้พี่เจษฎ์โบกมือให้ผมหยอยๆจากรถของตัวเองที่จอดอยู่หน้าคณะ ไร้วี่แววของพี่นทีที่นัวติดกับอีกฝ่ายแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง ขนาดคนไม่ฉลาดอย่างผมยังรู้เลยว่าเรื่องที่ทำให้พี่มันร้อนรนแบบนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของพี่นทีเป็นแน่



ไปทำอะไรให้พี่ทีโมโหเข้าล่ะสิ








“กูชอบไอ้ทีว่ะ”



ผมนึกขอบคุณพี่เจษฏ์ที่เลือกจะพูดขึ้นมาหลังจาดผมดื่มน้ำหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้พ่นพรวดออกมาเต็มหน้ารถพี่แกแล้ว


“อะ….อะไรนะครับ?”



“กูบอกว่ากูชอบไอ้ที อย่าให้พูดบ่อยได้มั้ยวะ พี่มึงเขินนะ” พี่เจษฎ์โวยวายใส่ผม แม้ว่าตาจะยังคงจดจ้องอยู่กับถนนเบื้องหน้าก็ตาม



“เชี่ย พี่เจษฎ์ จริงป่ะเนี่ย?!”



“กูจะโกหกหาพี่มึงเหรอ"



“ลามปามอ่ะ” ผมตีแขนไอ้พี่เจษฎ์ไปหนึ่งทีเป็นการทวงความยุติธรรมให้เจ้ปาย “แล้วนี่ไปเบิกเนตรเป็นธรรมเอาตอนไหนล่ะครับ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะมีท่าทีอะไรเลย”



หากให้ผมมองสองคนนั้นแล้วเดาว่าใครชอบใคร ผมคงเอาหัวเป็นประกันว่าพี่นทีเป็นฝ่ายแอบชอบเพื่อนสนิทของตัวเองแน่นอน ส่วนไอ้พี่เจษฎ์นั้น วันๆม่อสาวเป็นงานอดิเรก ให้ผมนึกถึงว่าอิพี่เจษฎ์แอบชอบพี่นทีที่ตามใจตัวเองไปซะทุกอย่างแถมยังดูไม่เล่นตัว ไม่ท้าทายความสามารถสักนิดแบบนั้น ผมมองไม่ออกจริงๆ



“มึง…เคยรู้สึกแบบนี้กับไอ้ต้าป่ะวะ แค่มอง...แค่เห็นแค่เสี้ยวหน้าก็เจ็บในอกไปหมด แค่เห็นมันยิ้มให้ใครที่ไม่ใช่กูก็อยากหาเรื่องกระทืบคนไปทั่ว ยิ่งเห็นว่าคนที่มาสนใจมันแม่งดีกว่ากูจนกูเทียบไม่ติดกูยิ่งโมโห ปราณ...กูไม่เคยรู้สึกเหมือนหมาวัดขนาดนี้มาก่อนเลยว่ะ”


“หมาวัดมันยังมีโอกาสกว่าพี่เลย อย่างน้อยพี่ทีก็ขี้ใจอ่อน ชอบให้คนใช้คลุกข้าวไปให้หมาจรจัดกิน แต่ผมว่าพี่ไม่น่าเอ็นดู
ขนาดที่คนใช้พี่ทีจะคลุกข้าวให้ว่ะ”



“นี่กูคิดถูกใช่มั้ยที่มาปรึกษามึง” พี่เจษฎ์กลอกตาอย่างเหนื่อยใจ  “เรื่องของเรื่องคือ...กูรู้ว่าไอ้ทีชอบกู มันบอกกูตอนวันเกิด”



“….หะ?”


“กูบอกว่า...”


“พอๆๆ ผมได้ยินตั้งแต่่รอบแรกแล้ว” ผมรีบยกมือเบรก “แล้วพี่มาเครียดทำไมเนี่ย ใจตรงกันแบบนี้ก็บอกพี่เขาไปก็จบนี่ครับ”



“กูไม่อยากให้เขารู้สึกว่ากูไม่พยายาม กูไม่อยากให้เขาคิดว่ากูเห็นเขาเป็นของตาย...”


“นานๆทีจะเห็นมีสมองกับเขาบ้างนะครับเนี่ย” ผมพยักหน้าอย่างพึงพอใจ พี่เจษฎ์เหลือบมองผมแล้วหันไปสนใจถนนตรงหน้าต่อ



“แล้ว...กูต้องทำยังไง?”



“ผมว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีใครช่วยพี่ได้หรอกครับ” นอกจากพี่จะจ้างบริษัทติวเข้มที่ส่งเทรนเนอร์ส่วนตัวมาวางกลยุทธิ์พิชิตใจเป้าหมายอย่างที่เจ้ปายซื้อคอร์สให้ผมน่ะนะ “อาจจะเป็นคำแนะนำที่ไม่ช่วยอะไร แต่ผมว่าใช้ใจทำให้เต็มที่ พี่ทีไม่มีทางไม่รับรู้หรอกครับ”



“มึงนี่มันไร้ประโยชน์จังวะ” มือใหญ่ผลักหัวผมเบาๆอย่างหมั่นไส้ แต่ผมยังคงเห็นรอยยิ้มจางบนมุมปากของอีกฝ่าย
ทำไมเรื่องของคนอื่นผมถึงได้รู้สึกว่ามันง่ายนักนะ








หลังจากโดนพี่เจษฎ์ลากไปเลี้ยงขนมขอบคุณอย่างไม่เต็มใจ ผมกลับมาถึงห้องหลังเวลาออกกำลังกายไปพอสมควร ถึงแม้จะโทรมาบอกพี่ต้าไว้ก่อนแล้ว แต่ผมยังคงรู้สึกผิดที่ช่วงนี้ต้องผิดนัดกับพี่ต้าบ่อยๆ



หวังว่าจะไม่โดนโกรธหรอกนะ



ผมแตะคีย์การ์ดเปิดประตูห้องเข้าไป คาดหวังว่าจะได้พบพี่ต้าในชุดออกกำลังรอให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปฟิตเนสด้วยกันอย่างทุกวัน



ผมเจอพี่ต้า...


แต่สิิ่งที่ผมไม่เห็นใจลานสายตาคือเสื้อออกกำลังของพี่



แผงอกล่ำๆที่มีแต่จะชวนน้ำลายสอขึ้นทุกวันเป็นจดโฟกัสแรกของสายตา ผมยืนค้างอยู่หน้าห้องอย่างไม่มั่นใจว่าตัวเองโผล่มาในเวลาที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ พี่ต้าที่กำลังกรอกน้ำใส่กระติกเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูแล้วยิ้มให้ผม



“กลับมาแล้วเหรอครับปราณ ไปกับไอ้เจษฎ์สนุกมั้ย?”


“ก็…ปกติครับ” ผมตอบอ้อมแอ้มอย่างขอไปที ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่อยากพูดควมลับของพี่เจษฎ์ออกไป อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะสติผมยังกลับมาไม่เต็มร้อยตราบใดที่สายตายังไม่สามารถละจากแผงอกตรงหน้าได้ “พี่ต้า เสื้อล่ะครับ...”



“ยังซักไม่แห้งเลยปราณ สงสัยคงต้องลงไปแบบนี้” พี่ต้าไหวไหล่ “ไม่เป็นไรหรอก เวลานี้ไม่มีคน ไม่มีใครเห็นหรอก”
ผมไงครับ เฮลโลวววว ผมเห็นชัดแจ่มแจ้งแบบฟูลเอชดีไปถึงไฝเส้นผ่านศูนย์กลางสองมิลลิเมตรใต้หัวนมซ้ายที่หกนาฬิกาเลยครับ



“คะ…ครับ ผมไปเปลี่ยนชุดนะครับ”


ผมต้องการจุดพักสายตาจากภาพตรงหน้าอย่างรวดเร็วที่สุด ยิ่งเห็นทุกวันแทนที่ภูมิต้านทานจะยิ่งสูง ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองจะเส้นเลือดเปราะกำเดาพุ่งง่ายขึ้นไปทุกวัน



ผมเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกายแล้วค่อยๆแง้มเปิดประตูออกมา หายใจเข้าออกเตรียมตัวอยู่หลายครั้งเมื่อเห็นแวบๆว่าพี่ต้าตั้งใจจะลงไปทั้งอย่างนั้นๆจริงอย่างที่ว่า ก่อนจะก้าวออกไปพร้อมรอยยิ้ม



“ไปกันเถอะครับ”


“อื้ม” พี่ต้ายิ้มตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน ผิดกับกล้ามเนื้อตึงแน่นเป็นลูกคลื่นบนหน้าท้องที่ไม่อ่อนโยนกับจิตใจผมเลยสักนิด “พี่ว่าปราณคงชินที่เราทำกันอยู่ทุกวันแล้ว วันนี้พี่จะรุนแรงกับปราณแล้วนะ”


ว้อท?!



เมื่อกี้ผมเผลอล้มหัวฟาดพื้นหรือเลือดกำเดาไหลเข้าภาวะช็อคไปแล้วรึเปล่า ทำไมบทพูดพี่เขาถึงได้ดูติดเรทสิบแปดบวกแบบนั้นกัน



“อะ…อะไรนะครับ?”


“พี่บอกว่า ก่อนหน้านี้พี่เตรียมร่างกายปราณดีมากแล้ว” อีกฝ่ายย่างสามขุมเข้ามาหาผมพร้อมกับกระติกน้ำลายลูกหมูสีชมพูหวานในมือ แม้จะอยากถอยกรูดชิดติดผนังแต่ขาเจ้ากรรมกลับก้าวไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น พี่ต้ายิ้ม แม้ว่าบางอย่างในรอยยิ้มนั้นจะให้ความรู้สึกแปลกไปจากปกติอยู่มาก “วันนี้ถ้าเสร็จแล้วอาจจะขาสั่นยืนไม่อยู่ก็ไม่ต้องตกใจนะ พี่เป็นคนทำ พี่จะรับผิดชอบปราณเอง รับรองว่าเสร็จทุกท่าแล้วพี่จะส่งถึงเตียงแน่นอน”



ฮือออ ผมร้องเรียนพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพนักงานกับใครได้บ้างอ่ะ


 






ปกติแล้วเจษฎาเป็นคนที่เรียกได้ว่าโสโครกพอสมควร ร่างสูงมักจะล้มตัวลงนอนกลิ้งบนเตียงหลังจากซ้อมหรือแข่งฟุตบอลเสร็จโดยไม่คิดจะอาบน้ำ ที่หอพักของเขา ไอ้ต้าคนสะอาดเพียงแค่ปรายตามองอย่างรังเกียจแต่ก็ไม่เคยบ่นว่าอะไรเพราะมันเป็นเตียงของเขา



แต่สิ่งที่เจษฎาคิดว่าแปลกมาโดยตลอดคือการที่คุณหนูรักสะอาดอย่างนทีก็ไม่เคยว่าอะไรเขาเช่นกัน เป็นเจษฎาเสียอีกที่ล้างตัวมาจากสนามและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยด้วยเกรงใจผ้าปูที่นอนแพงๆนั้น



แต่ในวันนี้ ร่างสูงเลือกที่จะตรงไปยังห้องอาบน้ำเป็นที่แรก สร้างความประหลาดใจใฟ้กับนทีที่เดินตามมาเป็นอย่างมาก
ร่างโปร่งถอดเนคไทค์และเข็มขัดของตนออก ทรุดตัวลงบนเตียงแล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา แม้จะได้รับ
โทรศัพท์เป็นของขวัญหลายเครื่องในแทบทุกเทศกาล แต่นทีไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนมือถือบ่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อมูลในเครื่องที่สำหรับเขาแล้วประเมินค่าเป็นเงินไม่ได้



ทั้งประวัติแชททั้งหมดที่เจษฎาเคยส่งให้เขา ทั้งรูปถ่ายและคลิปวีดีโอต่างๆที่เขาถ่ายเจ้าตัวไว้มากมายจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนได้โดยง่าย



อย่างเช่นวันนี้ รูปถ่ายทั้งภาพนิ่งและวิดีโอของอีกฝ่ายโลดแล่นในสนามหญ้ากว้างของมหาวิทยาลัยหากดูผ่านๆก็น่าจะเกินร้อยรูปแล้ว นทียิ้มอย่างพึงพอใจในความคมชัด ตำแหน่งที่เขานั่งเป็นพื้นที่ที่ถูกจัดไว้ให้ครอบครัวของนักกีฬาและผู้
เกี่ยวข้อง กำลังใจของนักแข่งในนัดนี้ประกอบไปด้วยคนรักของนักกีฬาเป็นส่วนใหญ่ นทีถูกห้อมล้อมด้วยบรรดาหญิงสาวที่กรีดร้องเรียกชื่อคนรักในสนามได้แต่นั่งยิ้มเจื่อนๆและยกกล้องถ่ายรูปไปตามประสา อยากจะสั่งป้ายไฟ ทีมแปรอักษร และ
เครื่องบินไอน้ำมาเขียนข้อความเชียร์เพื่อนสนิทแต่รู้ว่านั่นไม่ใช่สิทธิที่เพื่อนคนหนึ่งจะสามารถทำได้



แม้ว่าเพื่อนอย่างเขาจะขย่มกายบนตักแกร่งของศูนย์หน้าร่างสูงที่มีกองเชียร์ส่วนตัวเกือบค่อนสนามเป็นสาวน้อยเฟรชชี่มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็ตาม



ไม่ใช่ว่านทีไม่หึงหวง แต่เขาทำใจรับความเป็นจริงมานานแล้ว



เจษฎาเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ในวันหนึ่งข้างหน้าความใจดีของอีกฝ่ายก็ต้องจบลง และข้างกายของร่างสูงจะต้องมีหญิงสาวแสนดีที่เพียบพร้อมคล้องแขนไว้พร้อมกับลูกน้อยในอ้อมกอด เป็นครอบครัวสุขสันต์ที่นทีรู้ตัวว่าไม่สามารถมอบให้อีกฝ่ายได้



ในวันนั้น หากอีกฝ่ายยังยอมให้เขาอยู่ในชีวิต นทีจะยังคงอยู่ตรงนี้ เป็นรอยยิ้ม เป็นที่พักใจ ไม่ว่าหัวใจของเขาจะแหลกสลายเพียงใดก็ตาม



“ดูอะไรอยู่?”



“รูปเจษฎ์น่ะ แข่งวันนี้เจษฎ์เท่มากๆเลยนะ” นทีอวดรูปถ่ายของคนที่หันมาโบกมือให้เขาพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างพอดิบพอดีอย่างภาคภูมิใจ ร่างสูงที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นสบู่อาบน้ำนั่งลงบนเตียงกว้างแล้วรับรูปถ่ายนั้นมาพิจารณา



แม้กลิ่นสบู่บนตัวร่างสูงจะหอมแค่ไหน นทียังอดเสียดายกลิ่นเหงื่อผสมไอดินที่ติดตัวเจษฎามาจากสนามไม่ได้ จะหาว่าเขาบ้าก็เอาเถอะ แต่กลิ่นของเจษฎาเปรียบเสมือนฟีโรโมนที่ทำให้เขามัวเมาจนแทบสิ้นสติทุกครั้งที่ได้กลิ่น



มาคิดๆดูก็อาจจะดีแล้วก็ได้ที่อีกฝ่ายรีบอาบน้ำ



คุณชายรองแห่งบ้านวิสุทธรากรไม่ได้รู้เลยว่าที่เพื่อนสนิทของตนอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณจนผิวกายแทบถลอกปอกเปิกเป็นเพราะเจษฎาอยากให้อีกฝ่ายมองตนดีขึ้นอีกสักนิด



อยากให้นทีชอบเขามากขึ้นอีกสักนิดก่อนที่เขาจะเริ่มทำตามสิ่งที่ตนวางแผนไว้



“เก่งจังวะที มึงถ่ายมุมไหนกูก็หล่อ”


“นั่นเพราะทีหล่ออยู่แล้วต่างหาก” นทีแย้ง เจษฎาหัวเราะเสียงต่ำรับคำชม


“หล่อแล้วชอบมั้ย”


“อื้อ” คนที่ไม่เคยปิดบังความรู้สึกหลังจากได้บอกความในใจตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง



“เล่นหน่อยนะ”


ร่างสูงกล่าวถึงโทรศัพท์ในมือซึ่งทำหน้าที่เป็นที่บรรจุเกมส์ให้กับเจษฎาอยู่แล้ว นทีจึงพยักหน้าอย่างไม่ได้คิดอะไร คนตัวสูงกว่าทิ้งตัวลงบนตักนิ่ม ไถโทรศัพท์ของเพื่อนสนิทเงียบๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายสางผมที่ยังคงเปียกชื้นเล็กน้อยให้อย่างเบามือ



“เบอร์ผู้ชายเยอะจังวะเครื่องมึงอ่ะ” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของเจษฎาทำให้นทียิ้มออก ถึงแม้เขาจะรู้ว่าที่อีกฝ่ายแสดงอาการแบบนี้เป็นเพราะไม่อยากให้เขาไปยุ่งเกี่ยวกับคนไม่ดี แต่เขายังคงอยากเข้าข้างตัวเองว่าส่วนหนึ่งของเจษฎาอาจจะกำลังหึง
หวงเขาอยู่บ้าง…



“ไม่เยอะหรอก คัดออกไปเยอะแล้ว” คุณชายรองของบ้านวิสุทธธรากรตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ได้มาก็ไม่โทรหรอก เสียเวลา”



“เวลาอะไรวะ?”



“เวลาอยู่กับเจษฎ์ไง” นทีตอบเสียงซื่อ



คนฟังเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนสนิทที่ไร้วี่แววของการล้อเล่น ก่อนจะเลื่อนกลับขึ้นมาหยุดที่ชื่อของตัวเองซึ่งถูกปักเป็นรายชื่อโทรด่วนที่สี่ต่อจากบิดามารดาและพี่ชายของอีกฝ่าย



…แล้วกดลบเบอร์โทรของตัวเองออกจากเครื่องของอีกฝ่าย



“เจษฎ์! ทำอะไรน่ะ?!” ร่างโปร่งเบิกตากว้างอย่างตกใจ พยายามแย่งโทรศัพท์คืนมาจากเจษฎาทว่าสายไปเสียแล้ว นทีจ้องโทรศัพท์ในมือที่ไร้ซึ่งรายชื่อของเพื่อนสนิทในนั้น ของเหลวอุ่นเอ่อคลอหน่วยตาใสอย่างไม่เข้าใจว่าตนไปทำสิ่งใดให้อีกฝ่ายโกรธขนาดนั้น เจษฎาที่เริ่มเห็นท่าไม่ดีผุดลุกจากตักนิ่มแล้วรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาให้คนที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อเห็น กดลบเบอร์ของนทีออกจากรายชื่อเช่นกัน



“เจษฎ์…ฮึก…ทำไม…”



หยาดน้ำใสไหลรินลงมาตามพวงแก้มขาว สีหน้าราวกับโลกทั้งใบกำลังแตกสลายของเจ้าตัวทำให้เจษฎานึกอยากจะเขกกระโหลกตัวเองแรงๆที่ไม่ได้คิดวางแผนให้รอบคอบกว่านี้



เจษฎาหยิบโทรศัพท์ของตัวให้คนขอบตาแดงก่ำที่มองมาที่เขาด้วยแววตาเหมือนคนใจสลายก่อนที่อีกฝ่ายจะร้องไห้ออกมาจริงๆ



“ขอเบอร์หน่อยได้มั้ย?”



“อะ…อะไรนะ?”



“ขอเบอร์” ร่างสูงวางโทรศัพท์ลงบนมือเรียวด้วยท่าทีประหม่า “ได้มั้ย?”



นทีที่ยังคงไม่เข้าใจว่าเพื่อนเล่นอะไรกดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงในเครื่องของอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย เจษฎาก้มลงมอง
ตัวเลขสิบหลักบนหน้าจอมือถือ ก่อนจะกดโทรออกแล้วยื่นโทรศัพท์ของนทีกลับไปให้เจ้าตัว นทีกดรับสายทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากเจษฎา ยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


“ฮัลโหล?”



“สวัสดีครับ นี่เบอร์นทีใช่มั้ยครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกหน้าร้อนๆ



“เจษฎ์ เล่นอะไร...”


“นี่เบอร์นทีใช่มั้ยครับ?” เจษฎาถามย้ำ


“อื้อ...”


“นี่เจษฎานะ เราเคยเจอกันที่งานปฐมนิเทศน์ตอนขึ้นมอปลาย จำได้มั้ย”



“อื้อ” จำได้สิ...เรื่องของเจษฎา มีอะไรที่เขาจำไม่ได้กัน


“ขอโทษนะ ฉันอาจจะโทรมาช้าไปหน่อย” คราวนี้เจษฎาเป็นฝ่ายกระดากอายบ้าง ร่างสูงเกาศีรษะของตัวเองพร้อมรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าภายในจิตใจว้าวุ่นเพียงใด “แต่ฉันขอถามอะไรนายหน่อยได้มั้ย?”


“อื้อ...” ถ้าเป็นเจษฎ์ จะถามอะไรก็ได้อยู่แล้ว...


“นาย…มีแฟนรึยัง?”



“เอ๊ะ...”


“ว่าไงครับ?”


“มะ…ไม่มีหรอก” จะไปมีได้ยังไง ในเมื่อทุกค่ำคืนมีเพียงคนตรงหน้าที่ตักตวงเอาพลังชีวิตไปจากเขาอย่างเอาแต่ใจขึ้นทุกวันจนนทีเริ่มสับสนแล้วว่าใครเป็นฝ่ายช่วยใครกันแน่


คนใจร้ายที่ทำเขาเหนื่อยสายตัวแทบขาดทุกคืน ยังจะกล้ามาถามเขาอีกเหรอว่ามีใครอยู่รึเปล่า


“ถ้าอย่างนั้น...” เจษฏากัดริมฝีปาก ก่อนจะเอ่ยถามออกไปตรงๆ “จีบได้มั้ย?”



คำถามนั้นราวกับหยุดห้วงเวลารอบกายร่างโปร่งไว้ รู้สึกเหมือนนาฬิกาทุกเรือนบนโลกหยุดเดินพร้อมๆกัน มีเพียงเสียงหัวใจของเขาที่เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งกับคำถามของคนตรงหน้า



“เจษฎ์...เล่นอะไร เราไม่ตลกด้วยนะ” นทีเอ่ยเสียงสั่นเครือ



เขาไม่เข้าใจ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขารู้สึกอย่างไร ทำไมเจษฎาถึงกล้าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น



“กูไม่ได้เล่น” มือใหญ่คว้ามือของเขาไปกุมไว้ เจษฎาจ้องลึกเขาไปในดวงตาคู่สวยไหวระริกนั้นอย่างหนักแน่น “กูรู้ว่ากูไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่กูก็รู้เหหมือนกันว่ากูชอบมึง ต่อให้มึงจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง อะมีบา พารามีเซียม กูก็ชอบมึง กูไม่เอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น มึงก็รู้”



“เจษฎ์แค่สับสน...”


“สับสนเชี่ยอะไรจะเอากับมึงได้ทุกวัน?! มึงคิดว่าที่กูขอเบิ้ลรอบสองรอบสามทุกวันนี่กูสับสนมึงกับดาวมหาลัยรึไง?!” เจษฎากุมขมับอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงอย่างเหนื่อยใจ “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่มึงบอกให้กูนึกภาพผู้หญิงตอนที่ทำกับมึง ในหัวกูแม่งมีแต่ภาพมึงจนกูจะกลายเป็นบ้า อยากได้ยินเสียงมึงครางชื่อกูดังๆ อยากจะดึงไอ้ผ้าบ้าๆนั่นออก อยากเห็นสีหน้าของมึงตอนที่มึงขย่มลงมา...”



“พอแล้ว! เรา...เราเชื่อแล้ว” คนหน้าบางกระทันหันรีบปรามเพื่อนสนิท คนอะไรไม่อายฟ้าอายดินสักนิด



เจษฎาตาเป็นประกายอย่างมีความหวังเมื่อได้ยินดังนั้น ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้เจ้าของห้อง รอคอยคำตอบจากปากของเพื่อนสนิทที่ยังคงมีสีหน้าเคลือบแคลงใจอยู่บ้าง



 “แล้ว...ตกลงกูจีบมึงได้มั้ย?”



“เจษฎ์ก็รู้ว่าเรารู้สึกยังไง ไม่เห็นจะต้องจีบเราเลย” คุณชายรองของบ้านเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ เจษฎาเกาศีรษะ เอาจริงๆเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจกระบวนความคิดที่พาเขามาถึงจุดนี้นัก แต่เขาอยากที่จะให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาก็มีดีไม่แพ้กับคู่แช่งตคนอื่นๆของตัวเอง แค่อาจจะมีเงินในบัญชีน้อยกว่าคนพวกนั้นไปซักหลายพันล้านก็เท่านั้น



“มึงไม่อยากให้กูจีบเหรอ”



“โ่ธ่เจษฎ์...เราเพ้อเรื่องนั้นมาตั้งแต่อายุสิบหก ทำไมเราถึงจะไม่อยาก” นทีถอนหายใจ “เราแค่คิดว่ามันเสียเวลาเจษฎ์เปล่าๆ”



“กูอยากจีบมึง” ร่างสูงยังคงยืนยันเสียงหนักแน่น “ต่อให้รู้ว่ายังไงมึงก็ยอม แล้วไง? ไม่ได้หมายความว่ากูจะทิ้งๆขว้างๆทำเหมือนมึงเป็นของตายได้ป่ะ”



“เจษฎ์…” นทีอมยิ้มกับความดื้อดึงนั้น “รู้ใช่มั้ยว่าแต่ละคนที่มาจีบเรา ประวัติเขาเป็นยังไงกันบ้าง”



“….”



“ทั้งคุณชายตระกูลใหญ่ นักธุรกิจหมื่นล้าน เจ้าของบ่อน้ำมัน ดารานักร้องก็มี” ร่างโปร่งไล่นิ้วนับอย่างไม่หวาดไม่ไหว “เจษฎ์จะสู้จริงเหรอ?”



“เออ กูมันหมาวัด!” เจษฎาตัดพ้อคนที่ยิ้มขำกับท่าทีของเขาอย่างฟัดน่าเอ็นดูจนถึงเช้าเป็นที่สุด “แต่หมาวัดอย่างกูจะเด็ดดอกฟ้าก่อนหมาบนเครื่องบิน มึงคอยดูเลยนะไอ้ดอกฟ้า!”



“อื้อ...” เสียงหวานเจือไปด้วยความขบขันแม้นทีจะรู้ว่าตัวเองไม่มีทางสนใจบรรดา ‘หมาบนเครื่องบิน’ที่อีกฝ่ายว่า แต่การได้เห็นไฟศึกของเจษฎาลุกโชนเพราะตัวเองก็ทำให้หัวใจของเขาสูบฉีดดีไม่น้อย “รอมาตั้งหลายปี รออีกแป๊บก็ได้”



เจษฎาพยักหน้าอย่างพึงพอใจกับคำตอบที่ได้รับ


“ว่าแต่...” ร่างโปร่งเอียงคอ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ “แล้วเรื่อง...นั้น....ล่ะ”



ดวงตาสีเข้มของเจษฎาไล่ตามสายตาของนทีไปจนเห็นผ้าคาดตาสีดำที่คุ้นเคยบนหัวเตียง



แม้จะอยากลั่นขาเตียงสั่งลาสักยกสิบยก แต่เจษฎารู้ว่าปณิธานแน่วแน่ของตนคงพังทลายไม่เหลือชิ้นดีหากได้ลิ้มรสความ
หอมหวานนั้นในตอนนี้



“พักไปก่อน จีบติดแล้วค่อยว่ากัน”



ชั่วขณะหนึ่งนทีมีสีหน้าเหมือนกับจะงอแงออกมากับคำตอบนั้น แต่คุณชายร่างโปร่งเพียงแต่พยักหน้ารับ



ทว่าก่อนที่เจษฎาจะได้ลุกจากเตียง ดอกฟ้าของเขากลับตวัดขาคร่อมตักแข็งไว้อย่างชำนิชำนาญ กอดคอเจษฎาไว้กันตกแล้วยิ้มให้ร่างสูงด้วยรอยยิ้มดีใจที่เจษฎาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นมันเจิดจ้าขนาดนี้คือเมื่อไหร่



“ชอบนะ...ชอบเชษฎ์มากๆเลยนะ” เสียงหวานไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ แต่เจษฎายังคงได้ยินทุกคำไม่มีตกหล่น “จีบเราให้ติดไวๆนะ”



“ระดับนี้แล้ว สามวันก็ติดแล้วป่ะ” เจษฎาหยอก รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นโดยไม่รู้ตัวอย่างเอ็นดูเจ้าตัวน่ารักบนตัก “แล้ว
ก็...ชอบนะครับ ชอบทีมากๆเหมือนกัน”



“งื้อ...ใจร้าย ยิ้มแบบนี้เดี๋ยวก็say yes ตอนนี้ซะหรอก” คนโดนดาเมจระยะประชิดไม่แพ้กันซุกหน้ากับไหล่กว้างเพื่อลดความรุนแรงของการปะทะ



“หึหึ บอกแล้วว่าหมาวัดมันเสน่ห์แรง”



เจษฎาหัวเราะ ซุกหน้าลงบนกลุ่มผมนิ่มหอมแชมพูอ่อนๆที่เริ่มจะเสพติดจนถอนตัวไม่ขึ้น สูดกลิ่นหอมๆนั้นเข้าไปจนเต็มปอดทั้งที่อยากทำมากกว่านี้อีกหลายกระบวนท่า



เอาล่ะ มาดูกันว่าเขาจะจีบดอกฟ้าติดก่อนที่เจ้าดอกฟ้ากลิ่นหอมอบอวลดอกนี้จะมนไม่ไหวโน้มตัวลงมางาบเขาลงท้องหรือไม่


----------------

หายไปนานเบยยยย ซอรี่ฮับ ฮืออออ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 13: จีบได้มั้ย [9-10-19] คห.54
เริ่มหัวข้อโดย: Maple ที่ 09-10-2019 22:52:15
ฮืออออ​ อัพแล้วน้ำตาจะไหลล​ กดดูทุกวันเลยยยย​ ดีงามมม​ยิ้มมมม​ แหม​เจษ จังหวะจะง่ายก็ง่ายจังนะเรา​ไวเชียว​  น้องต้าพี่จะเป็นไวต่อคะ​เนี่ยนน วงวารคู่นี้
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 13: จีบได้มั้ย [9-10-19] คห.54
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 12-10-2019 22:02:23
สนุกมากๆ ครับ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 13: จีบได้มั้ย [9-10-19] คห.54
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 14-10-2019 15:23:53
 :mew6:หายนานไปนิดนะ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 13: จีบได้มั้ย [9-10-19] คห.54
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-10-2019 13:45:06
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 13: จีบได้มั้ย [9-10-19] คห.54
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 15-10-2019 22:00:10
คู่นั้นยังไม่ไงกันเลย รอลุ้นเด้อ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 13: จีบได้มั้ย [9-10-19] คห.54
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-10-2019 22:55:14
เคลียร์ไปคู่ล่ะ เหลืออีกคู่จะลงเอยกันได้เมื่อไหร่น้อ.  :hao4:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 13: จีบได้มั้ย [9-10-19] คห.54
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 16-10-2019 22:24:27
Day 14: มาราธอน

วันนี้เป็นวันเสาร์



หากจะพูดให้เจาะจงลงไปมากกว่านี้ วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ผมให้สัญญากับพี่ต้าไว้ว่าจะไปดูวิ่งมาราธอนการกุศลทีททั้งพี่ต้าและเป็นเจษฎ์ลงชื่อเข้าร่วม



“แดดร้อนเหมือนกันนะเนี่ย สองคนนั้นจะเป็นอะไรรึเปล่านะ”



พี่นทีบ่นอุบทันทีที่ก้าวลงมาจากรถซึ่งจอดไม่ไกลจากเส้นชัยเท่าไหร่นัก อุณหภูมิที่ร้อนระอุบวกกับแสงแดดจ้าทำให้ผมเริ่มเป็นห่วงว่าคุณชายรองของบ้านวิสุทธรากรจะเป็นลมล้มพับไปก่อนหรือไม่ แต่หากเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา รู้เลยว่าพี่นทีจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่



พวกผมช่วยกันหยิบข้าวของที่เตรียมไว้สำหรับผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคน เหล่ากองเชียร์ที่มารวมตัวกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งสองฟากฝั่งของเส้นชัยทำให้ผมถอนหายใจอย่างรู้สึกเสียดาย แบบนี้คงมองไม่เห็นพี่ต้าวิ่งเข้าเส้นชัยแน่ๆ



“เอ้า ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะปราณ” พี่นทียิ้มขำ วันนี้พี่รหัสของผมอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตตัวบางสีฟ้าอ่อนที่ผมจำได้ว่าไอ้พี่
เจษฎ์ลากผมไปช่วยเลือกในวันเกิดปีก่อนของอีกฝ่าย ปลดกระดุมเม็ดบนสุดเผยสร้อยคอเชือกถักสีดำที่หาได้ตามท้องตลาดคล้องแหวนรุ่นของโรงเรียนมัธยมปลายที่ผมกะได้จากสายตาว่าไม่ใช่ไซส์ของพี่ทีแน่นอน มองจากสถานีอวกาศก็รู้ว่าจงใจให้คนตั้งคำถาม



“พี่ทีไม่เห็นเคยบอกผมเรื่องพี่เจษฎ์เลยอ่ะ” ผมตัดพ้ออย่างน้อยใจ “ผมอุตส่าห์บอกพี่ทุกอย่างเลยนะ…”



“พี่ไม่อยากให้เรื่องของพี่ทำให้ปราณลำบากใจ…” พี่นทีตอบพร้อมรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงวงตาคู่สวย “ขนาดแอบชอบเขาพี่ยัง
ลำบากใจเลย…”



“พี่เจษฎ์นี่โชคดีชะมัดที่มีคนอย่างพี่ทีมาชอบ” ผมยังคงไม่เข้าใจว่าคนที่เห็นถึงกมลสันดานของไอ้พี่เจษฎ์ชนิดที่หากสาวน้อยสาวใหญ่ที่คลั่งไคล้พี่มันนักหนาได้เห็นเพียงเศษเสี้ยวคงวิ่งเตลิดทำไมถึงยังยืนกรานจะชอบไอ้พี่เจษฎ์ได้



“พี่ต่างหากที่โชคดี ที่เขายอมให้พี่ชอบเขา…”



มือเรียวเล่นกับแหวนที่คล้องอยู่บนคออย่างเพลินมือ สร้อยเส้นนั้นพี่เจษฎ์มักจะถอดให้พี่ทีเก็บไว้เวลาลงแข่งหรือเล่นกีฬาที่อาจจะหลุดหายได้ แต่ผมไม่เคยเห็นพี่ทีเอาออกมาใส่แบบนี้มาก่อน



“คนเยอะแบบนี้คงไปข้างหน้าไม่ได้แล้วล่ะครับ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย รู้ว่าหากพี่นทีสบายใจที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังเมื่อไหร่ เขาก็คงจะพูดเอง



คุณชายร่างโปร่งเหลือบมองผมราวกับจะถามว่า ‘รู้มั้ยว่านี่ใคร?’



และตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าท่ามกลางผู้คนที่มาจับจ้องพื้นที่รอนักวิ่งเข้าเส้นชัยนั้น มีชายในชุดสูทสีดำสนิทท้าแสงยูวียืนล้อมร่มสนามตัวใหญ่ที่มีทั้งเก้าอี้สองตัวและขาตั้งกล้องวางอยู่



พี่ภีมในชุดเสื้อคอปกกางเกงขายาวดูเรียบร้อยสะอาดตาโค้งกายให้พวกผมทั้งสองพร้อมรอยยิ้ม หนึ่งในชายชุดดำเข้ามาช่วยถือกระเป๋าผ้าในมือของผมกับพี่นที ส่วนอีกคนยื่นถาดเหล็กใส่เครื่องดื่มเย็นๆที่ผมเดาว่าคงเป็นน้ำผลไม้รวมสกัดเย็นที่พี่นทีชอบ



“คุณพ่อพี่เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ของงานน่ะ” พี่นทีหันมาอธิบายพร้อมรอยยิ้ม ส่วนผมที่ได้ใบบุญใบกุศลหล่นทับเพียงแต่พยักหน้าหงึกหงักตาม



ตลอดเวลาที่พวกผมนั่งรอ พี่ภีมยืนตัวตรงเอามือไพล่หลังไม่ต่างจากชายในชุดสูททั้งหลาย แม้จะได้อยู่ในร่มกับพวกเขาหลังจากพี่นทีออกปากให้อีกฝ่ายเข้ามาก็ตาม



“เกิดพี่คินรู้ว่าผมให้คนของพี่คินยืนตากแดดคงจะไม่พอใจน่าดู” พี่นทีกล่าว พี่ภีมมีสีหน้าอึดอัดใจเพียงวูบเดียว ก่อนจะยิ้มให้กับพี่นทีอย่างขอบคุณ



พวกผมได้ยินเสียงร้องเฮดังเป็นระลอกมาแต่ไกล คิดว่าคงจะมีนักวิ่งกลุ่มแรกใหล้ถึงเส้นชัยแล้ว ทั้งผมและพี่นทีชะเง้อมองอย่างตื่นเต้น ที่หางตา ผมสังเกตว่าพี่ภีมก็ชะเง้อมองด้วยสีหน้าลุ้นระทึกไม่ต่างกัน



“กรี๊ดดดดด!!!คุณคินนนนนน!!”



เจ้าของชื่อที่วิ่งนำคนอื่นๆอยู่ไกลโขยกมือขึ้นโบกให้กับแฟนคลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เหงื่อกาฬไหลโทรมกายจนเสื้อกล้ามสีเข้มเปียกลู่ซิกแพ็คส์ที่ไม่ว่าจะด้วยปาฏิหาริย์อะไรก็ตามเป็นลอนกล้ามที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ผมเคยเห็น



เจิดจ้าเหลือเกินพ่อคุณเอ๋ย



“น้ำลายหกแล้ว” พี่นทีติงผมเบาๆอย่างหยอกล้อ “คอยดูพี่จะฟ้องต้า”



“โธ่ พี่ทีครับ พี่ทีโทษผมได้เหรอครับ” ผมชี้ไปที่ความเจิดจ้านั้นอย่างคาดโทษ “พี่ทีกล้ามองตาผมแล้วบอกว่าพี่ไม่เห็นอะไรเลยเหรอ?”



“ก็นะ ยอมรับว่าเด็ดจริง” พี่ทีหัวเราะเบาๆ ท่าทีที่ผ่อนคลายลงของคุณชายที่ต้องวางตัวดีอยู่เสมอทำให้ผมยิ้มออก



แม้ว่าจะแอบตงิดใจกับพี่ภีมที่จู่ๆก็มือไม้อ่อนเกือบทำผ้าขนหนูในมือร่วงขึ้นมาก็ตาม



พี่คินวิ่งมาถึงเส้นชัยเป็นคนแรกตามที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ ทีมรักษาความปลอดภัยของคุณชายคนโตแห่งบ้านวิสุทธรากรรวมถึงพี่ภีมที่คว้าเอาผ้าขนหนูและน้ำที่เตรียมไปก้าวออกไปหาร่างสูง ส่งผ้าให้พี่คินซับเหงื่อแล้วเปิดขวดน้ำส่งให้นักกีฬายกดื่ม ขณะที่ชายในชุดสูทอีกคนกางร่มให้



“พี่ทีไม่ได้แสดงความยินดีหน่อยเหรอครับ?” ผมหันไปถามพี่นทีที่ลุกไปจัดมุมกล้องที่ถูกตั้งไว้รอ พี่นทีแนบใบหน้ากับกล้อง ส่งเสียงหึในลำคอเป็นเชิงปฏิเสธ



“ไม่ล่ะ เดี๋ยวเจษฎ์ก็มา”


แบบนี้ก็ได้เหรอครับ?



จริงอย่างที่ว่า ไม่นานนัก ร่างของคนที่พี่นทีรออยู่ก็วิ่งมาให้เห็นรำไร ข้างกันนั้นมีพี่ต้าที่วิ่งตีคู่กันมาติดๆเรียกเสียงกรี้ดจากกองเชียร์และชัตเตอร์ของสาวๆได้หลายระลอก ผมชักไม่มั่นใจแล้วว่านี่คือมาราธอนการกุศลรึงานเดินพรมแดง



“ไปกันเถอะ” พี่นทีผละออกจากกล้องหลังจากได้ภาพของพี่เจษฎ์ไม่ต่ำกว่าสิบรูปสมใจอยาก ผมคว้าผ้าขนหนูและขวดน้ำที่เตรียมไว้ให้พี่ต้า แล้วลุกตามพี่ทีไปที่เส้นชัย พี่เจษฎ์เฉือนชนะพี่ต้าไปเพียงไม่กี่ก้าว แทบจะโผเข้าหาพี่ทีที่ยืนรออยู่ด้วยรอยยิ้มกว้าง ยื่นหน้าหลับตาพริ้มให้อีกฝ่ายช่วยซับเหงื่อให้ด้วยสัหน้าน่าหมั่นไส้อย่างสุดซึ้ง พี่ทียิ้มขำ ใช้ผ้าขนหนูผืนนิ่มซับไปตามหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างเบามือ



“เหนื่อยมั้ย?”



“ไม่เหนื่อย เห็นหน้ามึงแล้วไม่เหนื่อยเลย” พี่เจษฎ์หยอดเสียงหวาน ผมกลอกตาอย่างหมั่นไส้กับคู่ที่กระหนุงกระหนิงออดอ้อนกันอย่างไม่แคร์สื่อแล้วเดินไปหาคนที่ผมตั้งใจมาเชียร์



พี่ต้าก้มหน้าหอบหายใจ มือยังคงจับอยู่ที่เข่าของตัวเอง ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาเสียทีจนผมเริ่มเป็นกังวล


“พี่ต้า…โอเคมั้ยครับ”



”อืม…” ทั้งที่พูดแบบนั้น แต่อีกฝ่าบกลับไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา ผมกำลังจะเข้าไปพยุงเมื่อคนที่ยังคงก้มหน้านิ่งเอ่ยขึ้น


“ขอโทษนะ…ทั้งที่ปราณอุตส่าห์ยอมมาดูพี่แท้ๆ พี่ยังชนะไอ้เจษฎ์ไม่ได้เลย”



“แค่วิ่งมาราธอน ไม่ได้แข่งเอาแพ้ชนะซักหน่อยครับ” ผมปลอบ ไม่คิดเลยว่าคนอย่างพี่ต้าก็มีมุมอยากเอาชนะกับเขาเหมือน
กัน



พี่ต้าเงยหน้าขึ้นมองผมในที่สุด ก่อนจะเหลือบมองพี่เจษฎ์ที่กำลังออดอ้อนขอให้พี่ทีดูแลอย่างไม่เกรงใจฟ้าดิน สีหน้าของอีกฝ่ายเหมือนกับชิ้นส่วนในหัวเริ่มประกอบกันเป็นรูปเป็นร่างในที่สุด ก่อนที่พี่ต้าจะหันมามองผมด้วยแววตาสมเพชเวทนา


อ่า…ลืมไปเลยว่าในความคิดของพี่ต้า ผมกำลังหลงพี่เจษฎ์หัวปักหัวปำอยู่นี่นะ



“พี่รู้ว่าผ้าผืนนี้ปราณไม่ได้เตรียมมาให้พี่” พี่ต้าเอื้อมมือมาหยิบผ้าขนหนูในมือของผมด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “แต่ถ้าคนที่ปราณเตรียมมาให้เขาไม่อยากใช้มัน พี่ขอได้มั้ยครับ”



ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมคิดว่าพี่ต้าไม่น่าจะพูดถึงแค่ผ้าขนหนู



“ผมเตรียมมันมาให้พี่ต้านั่นแหละครับ” ผมตอบ “ก็พี่ต้าบอกเองนี่ครับ ว่าอยากให้ผมมาเชียร์”



“นั่นสินะ...พี่ขอปราณไว้จริงๆนั่นแหละ” พี่ต้าหัวเราะ เสียงหัวเราะที่เจือไปด้วยความขมขื่นอย่างปิดไม่มิด



ผมอยากจะพูดให้ได้เต็มปากว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่แววตาของอีกฝ่ายสื่อ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมแค่ไม่กล้าที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง ก็เท่านั้น



“ไม่ต้องเสียใจไปนะครับพี่ต้า” ผมพยายามยิ้มปลอบอีกฝ่าย “ยังไงวันนี้พี่ต้าก็ชนะใจสาวๆไปมากกว่าไอ้พี่เจษฎ์ตั้งเยอะ”
ผมไม่ได้โกหก ป้ายไฟที่รอเชียรืพี่ต้าอยู่นั้นมีมากกว่าพี่เจษฎ์อยู่มากทีเดียว



“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ?” พี่ต้ามองผมด้วยแวววตาเศร้าหมอง “ในเมื่อคนที่พี่อยากได้หัวใจแต่แรก ไอ้เจษฎ์มัน
ได้ไปตั้งนานแล้ว”



ผมอยากจะหลบสายตาที่สื่อความหมายย่างชัดเจนไม่แพ้คำพูดของอีกฝ่าย แต่ร่างของผมในตอนนี้ราวกับถูกคนตรงหน้าสาปให้เป็นหิน ได้แต่นิ่งอึ้งมองคนพูดอย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไร



“ไอ้ปราณ ไอ้ต้า ไปกินข้าวกัน พี่คินเลี้ยง”



โชคดีของผมที่พี่เจษฎ์เลือกจังหวะนั้นในการโผล่มาล็อคคอผมไว้จากข้างหลังอย่างที่ชอบทำประจำ พยักเพยิดไปยังพี่ชายของพี่นทีที่หันมายิ้มให้กับพวกผม ข้างกายยังคงมีพี่ภีมยืนนิ่งรอรับคำสั่งอยู่ไม่ห่าง



ผมเหลือบมองพี่ต้าที่ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แม้ว่าแววตาแข็งกร้าวที่มุ่งเป้าไปยังพี่คินนั้นจะชัดเจนจนผมนึกประหลาดใจ



ตกลงว่าสองคนนั้นเขามีเรื่องอะไรกันอยู่กันแน่








“เมื่อกี้พี่คินเท่มากเลยครับ ที่เส้นชัยมีแต่สาวๆมารอเชียร์พี่กันเต็มเลย”



พี่นทีเอ่ยชมพี่ชายตัวเองไม่ขาดปากตั้งแต่พวกเราก้าวเท้าเข้ามาในภัตราคารหรูที่ตามปกติแล้วคงจะไม่ยอมเปิดประตูรับนักวิ่งมาราธอนที่เหงื่อยังโทรมกายให้ชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นชื้นเหงื่อเข้ามาในร้าน



แน่นอนว่านักวิ่งเหงื่อท่วมที่ว่านั้นมีแค่พี่ต้ากับพี่เจษฎ์เท่านั้น คุณชายใหญ่ของบ้านวิสุทธรากรเขาพื้นที่เปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเอง หลังจากพี่ภีมพาพี่นคินทร์ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแค่ไม่กี่นาที ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาและกางเกงแสลคสีดำที่ก้าวออกมานั้นดูราวกับเพิ่งออกมาจากห้องประชุมแอร์เย็นฉ่ำอย่างไรอย่างนั้น



หลังจากดูแลความเรียบร้อยให้เจ้านายของตัวเองเสร็จ พี่ภีมก็ขอตัวไปช่วยกลุ่มชายชุดดำเก็บข้าวของกลับไป พี่นทีอธิบายให้ผมฟังตอนที่พวกเราติดรถพี่คินมาว่าตามปกติแล้วคนรับใช้จะไม่รวมโต๊ะอาหารกับเจ้านายถึงแม้จะสนิทกันเพียงใด



“ขอบใจนะ ตอนแรกที่เห็นทีบอกว่าจะมาเชียร์พี่ดีใจมากเลยนะ” พี่นคินทร์ตอบยิ้มๆ “แต่พี่สังหรณ์ใจว่ากล้องทีคงไม่มีรูปพี่
อยู่เลยล่ะมั้ง”



“คุณแม่จ้างช่างภาพมืออาชีพตามเก็บภาพพี่คินตั้งแต่จุดสตาร์ท ผมว่าคงมีภาพมากเกินพอแล้วล่ะครับ” พี่นทีตอบเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานั้น



“พี่ก็อยากอยู่ในสายตาทีบ้างนี่นา” พี่คินทำสีหน้าเจ็บปวดใจทีเล่นทีจริง เหลือบมองพี่เจษฎ์ที่นั่งตัวเกร็งมาตั้งแต่เมื่อครู่ คนถูกมองสะดุ้งโหยงคล้ายมีชะนักติดหลัง



“แล้วเราสองคนตกลงยังไงกัน ที่เส้นชัยพี่เห็นนะ”



“ยังไม่ใช่แฟนครับ” พี่นทีตอบ หันไปหาคนในหัวข้อสนทนาที่ดูจะเป็นผู้เป็นคนผิดหูผิดตาขึ้นมาทุกครั้งที่พบกับครอบครัวของพี่นที “เขาขอจีบผมก่อน”



“จีบ?” พี่คินทวนคำอย่างไม่เข้าใจ เลิกคิ้วมองน้องชายสลับกับพี่เจษฎ์ไปมาอย่างงุนงง “นี่เขารู้ใช่มั้ย…”



“รู้ครับ” พี่นทีพยักหน้ารับ “ผมบอกชอบเขาไปแล้ว”



ผมรู้สึกถึงสายตาเป็นห่วงของพี่ต้าที่นั่งข้างๆ มือใหญ่วางลงบนต้นขาของผมนิ่งราวกับจะปลอบประโลม แม้ว่านั่นจะให้ผลที่ต่างไปจากที่พี่ต้าคิดมากก็ตาม



ผมขยับไขว้ขาเพื่อผละออกจากความอบอุ่นของมือใหญ่อย่างนิ่มนวลเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ



ถึงผมจะใจง่ายเมื่อเป็นเรื่องของพี่ต้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะยอมให้ลูบคลำก่อนที่จะได้เคลียร์เรื่องที่เส้นชัยให้รู้เรื่องนะครับ



“แล้วเรื่องจีบนี่เล่นอะไรกันอยู่ คุณแม่เขาลุ้นจนตัวโก่งแล้วนะรู้มั้ย?” พี่นคนิทร์ติง แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
คนที่ก้มหน้างุดหูเหอแดงก่ำกลับกลายเป็นไอ้พี่เจษฐ์ที่เริ่มทำตัวไม่ถูก พี่นทีไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมากับข้อมูลดังกล่าว



“พี่คิน เชื่อใจน้องสิครับ…” มือเรียวเอื้อมมากุมมือของพี่ชายบุญธรรมบนโต๊ะ เอียงคอทำสีหน้าออดอ้อนราวลูกแมวน้อยที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหากไปทำกับคนอื่นที่ไม่ใช่พี่นคินทร์คงโดนอุ้มหายไปหลังร้านแล้ว “น้องรู้ว่าน้องทำอะไรอยู่…”



“…เอาเถอะ พี่เชื่อว่าทีดูแลตัวเองได้” พี่นคินทร์ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ ลูบศีรษะน้องชายด้วยความเอ็นดูอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะหันไปหาพี่เจษฎ์ที่ตัวหดเหลือสองนิ้วทันทีที่พบว่าตัวเองถูกล็อคเป้าหมาย “ห้ามทำน้องพี่เสียใจนะครับ พี่ดุมากนะ”


พี่นทีหัวเราะออกมากับคำพูดของพี่ชาย แต่ผมกลับรู้สึกว่านั่นไม่ใช่คำขู่เลื่อนลอย และจากสีหน้าซีดเผือดของพี่เจษฎ์ ความหมายในดวงตาของพี่นคินทร์คงถูกส่งไปถึงว่าที่แฟนน้องชายอย่างครบถ้วน



“น้องปราณนี่เป็นน้องรหัสของทีใช่มั้ย?” จู่ๆพี่คินก็หันมาถามผม คงจะไม่อยากทิ้งให้ผมอยู่นอกวงสนทนา



“ครับ” ผมพยักหน้าเกร็งๆ ถึงแม้พี่นคินทร์จะไม่ได้เป็นอย่างอื่นนอกจากสุภาพบุรุษทุกครั้งที่ผมเห็น แต่ท่าทีที่พี่ต้ามีต่ออีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่นัก



“เห็นว่าชอบอ่านนิยายแฟนตาซีเหรอ?” พี่คินถามต่อ “พี่มีนิยายอยู่ที่ห้องเต็มเลย ถ้ามีเรื่องไหนอยากอ่านก็บอกนทีได้นะ ถ้าพี่มีจะให้คนส่งมาให้ หรือจะไปเลือกที่ห้องพี่ก็ได้นะ พี่อยู่คอนโดไม่ไกลจากมหาลัยเท่าไหร่”



“พี่คินชอบอ่านหนังสือมากเลยนะ” พี่นทีอวดพี่ชายพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ในห้องมีหนังสือเยอะกว่าห้องสมุดคณะอีก ว่างๆปราณก็ลองไปยืมที่ห้องพี่คินดูสิ…”



จังหวะนั้นเองที่พี่ต้าเท้าแขนกับโต๊ะส่งผลให้แก้วน้ำที่วางอยู่เอียงล้ม ของเหลวในนั้นกระฉอกใส่เสื้อราคาแพงของพี่คินอย่างพอดิบพอดีราวกับจับวาง



“ขอโทษครับ เดี๋ยวผมเช็ดให้”น้ำเสียงของพี่ต้าไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเสียใจ ดึงให้พี่คินลุกขึ้นด้วยแรงที่แทบจะเรียก
ได้ว่าเป็นการกระชาก “ไปที่ห้องน้ำดีกว่านะครับ”



พี่นทีลุกขึ้นเพื่อตามไปช่วยแต่ถูกพี่ชายยกมือห้ามไว้พร้อมรอยยิ้มประจำตัวก่อนจะเดินตามแรงดึงกลายๆนั้นไปอย่างไร้ปากเสียง



ถ้าหากผมไม่ได้มั่นใจว่าสองคนนี้กำลังมีเรื่องผิดใจกันในตอนแรก ผมก็มั่นใจแล้วในตอนนี้



และดูจากสีหน้าเป็นกังวลที่หาดูได้ยากของพี่เจษฎ์ อีกฝ่ายก็คงคิดไม่ต่างกัน



“ต้าเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมดูแปลกๆจัง” คนที่ดูจะไม่ได้เอะใจกับท่าทีของพี่ชายตัวเอง แต่กลับสังเกตเห็นสีหน้าของพี่ต้าเสียอย่างนั้นกลับเป็นพี่นที ผมกับพี่เจษฎ์ลอบมองหน้ากันแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา



แปลก…แปลกมากจริงๆนั่นแหละ








“คิดจะทำอะไรกันแน่”



คฑาเอ่ยขึ้นทันทีที่ล็อคประตูห้องน้ำลง นคินทร์ล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยสีหน้าสนุกสนานที่คฑานึกอยากจะซัดมันออกไปจะใบหน้าหล่อเหลาด้วยหมัดลุ่นๆ



“พี่ก็แค่อยากรู้จักเพื่อนๆของน้องชาย พี่ทำอะไรผิดเหรอครับ?”



“เลิกใส่หน้ากากซักที ในนี้มีแค่คุณกับผม คุณกลัวใครจะมาเห็นกัน”คฑาขัดอย่างไม่สบอารมณ์
เขาเห็นแววตาที่นคินทร์ใช้มองปราณ



ต่อให้โง่แค่ไหนเขาก็ดูออกว่าความพึงพอใจในแววตาของอสรพิษตัวนี้ไม่มีทางเป็นเรื่องดีสำหรับเขา



“ผมทำทุกอย่างตามที่คุณสั่ง งานทุกอย่างเสร็จลุล่วงตามแผนที่คุณวางไว้ แล้วคุณจะเอาอะไรกับผมอีก”



“เรื่องแบบนี้มันไม่ได้อยู่ที่นายจะทำตามคำสั่งฉันมั้ย…” รอยยิ้มจอมปลอมถูกแทนที่ด้วยแววตาเย็นเยียบและสรรพนามที่เปลี่ยนไป “มันอยู่ที่นายรู้มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้านายคิดตุกติกขึ้นมาต่างหาก”



“ผมไม่โง่ขนาดนั้น”



คฑาเอ่ยตามความเป็นจริง การตั้งตัวเป็นศัตรูกับทายาทแห่งวิสุทธรากรไม่ใช่จุดจบที่ใครต้องการเผชิญ นคินทร์ยกยิ้มอย่างพึงพอใจกับคำตอบนั้น



“ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น ปราณเขาเป็นเด็กดีมากนะ อนาคตสดใส คงน่าเสียดายแย่ ถ้าจะเกิดอะไรที่ทำให้เขาต้องเสียอนาคต…”



คฑากัดฟันกรอดจนกรามขึ้นเป็นสัน มือใหญ่กำแน่นข้างกายจนเห็นเป็นเส้นเลือดปูดโปน ทว่านคินทร์กลับมองภาพนั้นด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว



“นายน่าจะรู้ตัวตั้งแต่มาขอความช่วยเหลือจากฉันแล้ว ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบง่ายๆ” ร่างสูงกว่าไหวไหล่ จุดยิ้มมุมปากมองอีกฝ่ายอย่างขบขัน “ในฐานะคนกันเอง ฉันจะสอนอะไรดีๆให้ก็แล้วกัน”



ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนไหล่ของคฑาอย่างไม่เยานัก เสียงทุ้มของนคินทร์กระซิบคำสอนนั้นข้างหูรุ่นน้องของตน



“ถ้าอยากปกป้องของสำคัญของนายไว้ ก็แข็งแกร่งให้ได้มากกว่านี้”



แข็งแกร่ง…จนกระทั่งสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาล้มลงได้ มีเพียงคนสำคัญที่อยากปกป้องคนนั้น



นคินทร์ตบบ่าของคนที่ยังยืนนิ่งหนักๆอีกสองสามครั้ง ก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวออกจากห้องน้ำของภัตราคารไปโดยไม่สนใจปฎิกิริยาของอีกฝ่ายที่มีต่อความหวังดีของตน



-----------
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 14: มาราธอน [16-10-19] คห.61
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 17-10-2019 11:25:00
งื้อออ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 14: มาราธอน [16-10-19] คห.61
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 19-10-2019 09:04:16
พี่เต้มีลับลมคมในอะไรอ่ะ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 14: มาราธอน [16-10-19] คห.61อัพต่อ2020นะคะ
เริ่มหัวข้อโดย: Maple ที่ 02-01-2020 02:02:04
ปีใหม่แล้ว​ พี่จะไม่กลับมาอัพจริงๆหรอจ่ะะ​ อัพเถอะจ่ะะ​ ชอบมากก​อยากอ่านต่อออ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 14: มาราธอน [16-10-19] คห.61อัพต่อ2020นะคะ
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 10-01-2020 19:41:50
Day 15: แผน

ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ต้าในรถของอีกฝ่ายตลอดทางกลับบ้าน ถึงแม้ผมอยากจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาแค่ไหน แต่การเปิดประเด็นอ่อนไหวในพื้นที่จำกัดที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงดูจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก แต่ผมไม่คิดจะรอให้สิ่งที่ค้างคาใจมาตั้งแต่เริ่มโปรแกรมคอร์สลดน้ำหนักประหลาดนี่ยืดเยื้อไปมากกว่านี้  ทันทีพวกเรากลับมาถึงห้อง ผมรีบเอาร่างกลมๆของตัวเองมาขวางประตูห้องนอนเล็กก่อนที่พี่ต้าจะได้ใช้มันเป็นหลุมหลบภัย

“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะครับ”

“เรื่องที่พี่พูดที่สนาม…ปราณลืมๆมันไปเถอะนะครับ พี่ขอโทษที่ทำให้ปราณอึดอัดใจ ถือซะว่าพี่ไม่ได้พูดก็แล้วกัน” พี่ต้ารีบตัดบทสนทนาด้วยรอยยิ้มประจำตัวที่เคยทำให้ผมใจเต้นรัวทุกครั้งที่เห็น แต่ความเจ็บปวดที่ฉายชัดในแววตาของอีกฝ่ายนั้นบดบังมันไปจนหมดสิ้น ร่างสูงพยายามที่จะเดินหลบเข้าไปในครัว แต่ผมคว้าต้นแขนแกร่งไว้แน่น ไม่ยอมให้พี่ต้าเดินออกไปจากบทสนทนานี้โดยง่าย

“จะให้ผมลืมเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมทำไม่ได้หรอกนะครับ”

“สงสารพี่เถอะนะปราณ…” อีกฝ่ายไม่ยอมหันกลับมามองผม แต่น้ำเสียงสั่นเครือยังคงชัดเจนในห้องที่เงียบสงัด “พี่รู้ว่าพี่ไม่มีหวัง ปราณปล่อยพี่ไว้แบบนี้เถอะ พี่สัญญาว่าพี่จะตัดใจ…”

“ง่ายๆแบบนี้เลยเหรอครับ?” สิ่งที่พี่ต้าพูดทำให้ผมปล่อยมือจากอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ “พี่ต้าจะตัดใจ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะตอบว่าอะไรเนี่ยนะครับ?”

“เพราะพี่รู้ไงว่าคำตอบของปราณคืออะไร” นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินโทสะในน้ำเสียงของอีกฝ่าย “พี่ผิดมากเหรอที่ไม่อยากได้ยินมัน พี่ผิดมากเหรอที่อยากยึดติดกับความหวังลมๆแล้งๆนี่ต่อทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าปราณชอบใคร”

“พี่รู้จริงๆเหรอครับว่าผมจะตอบว่าอะไร” ผมย่างสามขุมเข้าไปหาคนที่ยังคงปฏิเสธที่จะหันมามอง

“ทำไมพี่จะไม่รู้…”

“พี่ต้ารู้จริงๆใช่มั้ยครับ”

“พี่รู้ตัว…อื้อ!”

ผมกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายเข้ามากระแทกริมฝีปากเพื่อหยุดคำพูดไร้สาระนั้นอย่างโมโห ที่บอกว่ากระแทกคือกระแทกจริงๆครับ ผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในปากเมื่อลิ้นสากฉกเข้าในปากมาราวกับว่าผมเป็นฝ่ายถูกกระทำเสียเอง หลังของผมกระแทกกับผนังห้องพร้อมกับลิ้นร้อนที่เกี่ยวกระหวัดพัวพันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

ผมเคยเพ้อฝันถึงจูบแรกของผมกับพี่ต้าอยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่ผมคิดว่ามันจะเลือดตกยางออกขนาดนี้ พี่ต้าตรึงร่างของผมไว้กับผนังห้อง แทรกกายคั่นระหว่างขาของผมแล้วจับปลายคางของผมให้เงยขึ้นเพื่อรับจูบแสนเอาแต่ใจของตัวเอง เสียงของลิ้นร้อนที่เกี่ยวกระหวัดชื้นแฉะน่าอายสลับกับเสียงหายใจหอบกระชั้นของพวกเราดังตัความเงียบในห้องนอนของผม พี่ต้าคำรามในลำคอ ขบเม้มริมฝีปากของผมราวขนมเยลลี่ขบเคี้ยวที่เจ้าตัวชอบพกติดตัวเวลาอยู่ที่ค่ายอาสา....

…ก่อนจะรีบผละออกมาราวกับถูกของร้อนเมื่อผมร้องประท้วงออกมาเบาๆเพราะเริ่มขาดอากาศหายใจ

“พี่…พี่ขอโทษ...”

“ไว้ค่อยขอโทษทีเดียวแล้วกันนะครับ”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองได้ลูกบ้านี้มาจากที่ไหน รู้ตัวอีกที ตัวเองก็เป็นฝ่ายกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายลงมาเป็นครั้งที่สอง


ครั้งนี้พี่ต้าดูเหมือนจะเตรียมพร้อมดีขึ้นอีกนิด เพราะนอกจากความรู้สึกของลิ้นร้อนที่แทรกเข้ามาอย่างไม่จำเป็นต้องขออนุญาตแล้ว ผมไม่รู้สึกถึงสภาพแวดล้อมอื่นอีก


ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย เหมือนกับว่าจูบของพี่ต้ากับช่วงชิงลมหายใจของผมจนสติแทบจะหลุดลอยหายใจ ผมต้องเกาะไหล่พี่ต้าไว้แน่นเพื่อพยุงร่างของตัวเองไม่ให้ทรุดลงไปกองกับพื้น และการกระทำนั้นเองที่เหมือนจะดึงสติของคนที่ดูดดุนขบเม้มไปตามริมฝีปากของผมให้กลับเข้าร่างในที่สุด พี่ต้าผละออกไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ก่อนที่คำขอโทษจะหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายให้ผมหงุดหงิดอีก ผมจึงชิงเอ่ยตัดหน้าอีกฝ่าย



“เรื่องที่สนาม ถ้าพี่ต้าไม่ได้พูดเล่น...ผมอยากให้พี่ต้ารู้นะครับว่าคำตอบของผมคือผมตกลง”



“อะ…อะไรนะ?” พี่ต้าจ้องหน้าผมอย่างไม่ไว้วางใจ ราวกับจะรอให้ผมหัวเราะออกมาแล้วบอกว่าเรื่องที่ผมพูดออกไเมื่อครู่เป็น


แค่เรื่องล้อเล่น



แน่นอน...สิ่งที่พี่ต้าได้รับมีเพียงเสียงลมหายใจของพวกเราภายในห้องที่เงียบสนิท



“จริง....จริงเหรอปราณ?! ปราณไม่ได้พูดเล่นนะ ปราณไม่ได้ล้อพี่เล่นใช่มั้ย?!”


รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ถูกเขย่าไปมาจนเริ่มเห็นภาพซ้อน สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงพยักหน้ายืนยัน รอยยิ้มกว้างและประกายวาววับใน
แววตาของอีกฝ่ายช่วยให้ความเขินอายใดๆก็ตามที่ผมกำลังรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย



“โอ๊ย พี่ต้า พอแล้วครับ ผมเวียนหัว”



“ขอโทษๆ พี่...พี่ตื่นเต้นไปหน่อย” พี่ต้ารีบปล่อยผมทันที แต่นั่นยิ่งทำให้ผมที่โดนเขย่าไปมาเซไปครู่หนึ่ง “ปราณ…ไม่ได้แค่พูดรักษาน้ำใจพี่ใช่มั้ย…”



“พี่ต้า...” ผมลูบหน้าตัวเองอย่างอ่อนเพลีย “บ้านพี่มีกระจกมั้ยครับ?”



แก้มของพี่ต้ามีริ้วสีแดงพาดผ่าน แต่คิ้วเข้มยังคงขมวดคิ้วอย่างสับสน



“แล้ว…ไอ้เจษฎ์ล่ะ?”



“พี่เจษฎ์เขามีคนที่ทำให้เขามีความสุขแล้ว ผมจะเอาตัวเองเข้าไปทำไม” ผมคิดหาคำอธิบายที่ง่ายที่สุดในสถานการณ์นี้ ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเมื่อพี่ต้าฉีกยิ้มกว้างออกมาเมื่อได้ยินดังนั้น



“ขอบคุณนะครับปราณ! พี่สัญญาว่าปราณจะไม่เสียใจเลยที่เลือกพี่!”



ผมถูกรั้งเข้าไปในอ้อมกอดที่รัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก แต่ท่าทีดีอกดีใจราวกับเด็กน้อยได้ของเล่นนั้นทำให้ผมไม่มีใจจะบอกให้อีกฝ่ายปล่อย



และรอยยิ้มบนหน้าของผมเองที่ไม่น่าจะจางหายไปโดยง่ายนั้นยิ่งทำให้พี่ต้ากอดรัดผมแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม



“ปราณ ทำไงดี พี่ดีใจดีจนหายใจไม่ทันแล้ว” เสียงของพี่ต้าพึมพำอู้อี้จากการซุกหน้ากับไหล่ของผม เสียงลมหายใจที่เร็วขึ้นจนผิดวิสัยของอีกฝ่ายบ่งบอกว่านั่นไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรยเกินจริง ผมหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ลูบเบาๆไปตามแผ่นหลังกว้างเหมือนเวลาที่พี่ต้าช่วยให้ผมหายใจหลังออกกำลังกายเสร็จใหม่ๆ



“หายใจเข้านับสามครับพี่ต้า เอ้า ฮึบ 1…2…3…”



“ปราณเก่งจังครับ…” เสียงของพี่ต้าฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย ทั้งยังเจือไปด้วยแววขบขันอย่างไม่ปิดบัง



“ครูสอนมาดีครับ” ผมอมยิ้ม รู้สึกเหมือนยกภูเขาลูกโตออกไปจากอกในที่สุด พวกเราผละออกจากกันในที่สุด ขอบตาของพี่ตาแดงก่ำ แต่รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าทำให้ผมมองผ่านมันไปอย่างง่ายดาย



“เอาล่ะ เรื่องนี้เคลียร์ได้แล้ว แล้วเรื่องของพี่กับพี่คินมันยังไงกันแน่ครับ”



รอยยิ้มที่ว่านั้นหายไปทันทีที่ผมเปิดประเด็นขึ้นมา แม้จะรู้สึกเสียดาย แต่ผมไมสามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้นานกว่านี้




“พี่แสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ” พี่ต้าหน้าเจื่อน


“ก็เล่นจ้องพี่คินอย่างกับจะเขมือบหัวเขาขนาดนั้น ไม่สังเกตก็แปลกแล้วครับ” ผมกอดอก จริงอยู่ที่ผมอาจจะสังเกตพี่ต้ามากกว่าคนทั่วไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพี่ต้าจะควบคุมการแสดงออกของตัวเองได้อย่างที่คิด “อีกอย่าง ผมได้ยินพี่คุยโทรศัพท์กับเขาที่ร้านพี่เต็งหนึ่ง ผมไม่เคยเห็นพี่ทำหน้าเครียดแบบนั้นมาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ”



“พี่…ทำข้อตกลงบางอย่างกับเขา ตอนนั้นพี่เดือดร้อนมาก ต้องพึ่งใบบุญคุณนคินทร์ในหลายๆเรื่อง สิ่งที่เขาขอให้พี่ช่วยทำ เอาจริงๆก็ดูไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ ยิ่งพี่เข้าใกล้ข้อตกลงที่ทำไว้กับเขาเท่าไหร่ เขายิ่งกดดันให้พี่เร่งมือขึ้น เหมือนกับว่ากำลังแข่งกับเวลาอยู่อย่างนั้นล่ะ” พี่ต้าสั่นศีรษะ “ผู้ชายคนนั้นไม่เคยไว้ใจใคร อะไรที่น้อยกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบคือ
การทรยศในสายตาของเขา พี่ไม่เข้าใจว่าคนแบบนั้นโตขึ้นมาได้ยังไงโดยที่ไม่ได้เป็นบ้าไปซะก่อน”



“ทำไมพี่ต้าถึงไม่บอกพี่ทีล่ะครับ พี่ทีเป็นเพื่อนสนิทพี่เจษฎ์ แถมพี่คินก็ดูออกจะรักพี่ทีขนาดนั้น ผมว่า…”





“ไม่มีใครเชื่อพี่หรอก” พี่ต้ายิ้มขื่น “เพราะคนอย่างคุณชายนคินทร์ วิสุทธรากร ไม่มีทางทำเรื่องไม่ดี มดสักตัวยังไม่เคยฆ่า นทีเทิดทูนพี่ชายอย่างกับอะไร พี่พูดไปเขาก็ไม่มีทางเชื่อพี่ ผู้ชายคนนั้นรู้เรื่องนี้ดี ถึงไม่คิดว่าพี่จะกล้าเอาเรื่องนี้ไปบอกนที”
“แล้วทำไมพี่ต้าถึงได้ตกลงรับข้อเสนอของเขาตั้งแต่แรกล่ะครับ”



พี่ต้าเป็นคนฉลาด ผมไม่คิดว่าพี่ต้าจะตกหลุมพรางอะไรง่ายๆแบบนี้



“เพราะเรื่องที่พี่ต้องการ มีแต่เขาที่ช่วยพี่ได้ แล้วเขาก็ทำข้อตกลงในส่วนของเขาเสร็จแล้วด้วย” พี่ต้าถอนหายใจ “ไม่ต้องห่วงนะครับปราณ หลังจากพี่ทำงานที่เขาสั่งจบ เขาจะไม่มาตามรังควาญพี่อีก พี่จะไม่ยอมให้เขาทำอะไรปราณแน่”



“ผมดูแลตัวเองได้ครับพี่ต้า”…อีกอย่าง ไม่ใช่ตัวผมหรอกนะที่ผมเป็นห่วงในตอนนี้ “ผม…ถามได้มั้ยครับ ว่าเขาต้องการอะไรจากพี่”




พี่ต้าพยักหน้า ไม่ว่าผมจะคาดกวังคำตอบแบบไหนจากอีกฝ่าย สิ่งที่พี่ต้าตอบกลับมาไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของผมแม้แต่น้อย



“เขาต้องการให้พี่ใช้ชื่อซื้อหุ้นทุกตัวของบริษัทใหญ่เครือวิสุทธรากรที่พ่อของเขาไม่ได้ถือ แล้วโอนให้เป็นชื่อของเขาทั้งหมด”







นคินทร์ขยับยิ้มเมื่อเห็นหุ้นของวิสุทธรากรส่วนที่ตระกูลวงศ์พยัคฆ์เป็นผู้ถือถูกโอนมาให้เขาอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น ร่างสูงที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนหนึ่งพันรอบสะโพกสอบหลังจากก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำหันไปมองร่างของคนรับใช้ที่หั่นผักอยู่ในครัวด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่ขายาวๆนั้นจะก้าวเข้าไปในครัวโดยไม่สนใจประตูตู้เสื้อผ้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล



“เอ หรือว่าจะย่างเนื้อเพิ่มดี…อ๊ะ! คุณคินครับ…”



ภวัตที่ง่วนอยู่กับการตัดสินใจเมนูอาหารเย็นในวันนี้สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อวงแขนแข็งแรงของเจ้าของห้องรวบกอดเขาไว้จากด้านหลัง นคินทร์ซุกหน้าลงกับซอกคอเนียนสีน้ำผึ้ง ดูดเม้มสลับไล้เลียผิวกายบางลงมาถึงลาดไหล่นวลเนียนจนมือเรียวที่ยังถือมีดหั่นผักต้องรีบวางมันลงด้วยกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นในครัว



“กูตัวหอมยัง”



เสียงทุ้มกระซิบพร่าชิดริมหู ทว่าก่อนที่ภวัตจะได้ตอบคำถาม ลิ้นร้อนที่สอดเข้ามาในหูอย่างหยอกเย้าจนเขาต้องย่นคอหนีอย่างวาบหวามก็ทำให้สติของคนโดนแกล้งแตกกระเจิง นคินทร์งับที่ต่างหูเงินที่ตนเป็นคนซื้อให้แล้วดึงเบาๆให้อีกฝ่ายหลุดเสียงน่าอายออกมาเป็นของตอบแทน



“หะ…หอม หอมแล้วครับ อ๊ะ…คุณคิน…”



“มึงก็หอม…” ไม่ว่าเปล่า จมูกโด่งซุกไซร้ตามซอกคอเนียนอย่างลุ่มหลง “หอมไปหมดทั้งตัว”



“จะหอมได้ยังไง…อื้อ…ครับ ผม…อะ…ยังไม่ได้อาบน้ำเลย” ภวัตจิกมือลงบนเคาเตอร์ครัวเพื่อห้ามตัวเองไม่ให้เผลอคว้าข้อมือหนาที่สอดผ่านใต้เสื้อเลื้อยขึ้นมาถึงเม็ดทับทิมหวานอย่างชำนาญทางไว้ ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านเพียงแค่นิ้วเรียวยาวสะกิดเขี่ยตุ่มไตสีหวานเป็นการทักทาย



“อาบไม่อาบมึงก็หอม…”ลิ้นสากตวัดเลียข้างแก้มขึ้นสีเรื่อด้วยแววตากระหายอยาก “ทั้งหอมทั้งหวาน มึงจงใจยั่วกูใช่มั้ยภีม”



“ยะ…ยั่วอะไรครับ อ๊ะ!”



ฝ่ามือหนาคลึงขยำบั้นท้ายกลมกลึงภายใต้กางเกงขาสั้นของภวัตอย่างมันเขี้ยว



“ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ จงใจยั่วกูก็บอกมา”




“เสื้อผ้าพวกนี้ก็คุณคินซื้อมาไม่ใช่เหรอครั…อือ…”



ริมฝีปากที่เผยออ้าเตรียมเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองถูกประกบปิดในทันทีที่เขาเปิดโอกาส ลิ้นร้อนกวาดต้อนให้เรียวลิ้นเล็กเกี่ยวกระหวัดพัวพันอย่างไม่อิดออด มือใหญ่ที่วางบนสะโพกมนเมื่อครู่เคลื่อนขึ้นมาเชยคางมนเพื่อปรับองศาหวานล้ำ



“ภีม…วันนี้มึงรอกูอยู่ที่เส้นชัยรึเปล่า” เสียงทุ้มถามหลังจากที่ถอนริมฝีปากออก นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเช็ดของเหลวสีใสบนริมฝีปาก
นิ่มออกอย่างเบามือ



“พูดอะไรอย่างนั้นครับ” ภวัตเกลียดหัวใจของตัวเองที่เต้นระรัวกับการกระทำเพียงเล็กน้อยของอีกฝ่าย “ผมก็ต้องรอคุณคิดนอยู่แล้ว”


“มึงต้องรอกูนะภีม” ดวงตาสีเข้มฉายแววบางอย่างที่ภวัตไม่เข้าใจ เหมือนกับอีกฝ่ายกำลัง...ขอร้องเขา? “ที่เส้นชัย ทุกครั้ง มึงต้องรอกูอยู่ตรงนั้น ห้ามไปไหน มึงเข้าใจมั้ย”



“ครับ” ร่างโปร่งรับคำอย่างง่ายดาย ไม่เข้าใจว่าทำไมร่างสูงต้องย้ำหนักแน่นถึงเพียงนี้ ในเมื่อเขาต้องคอยอยู่ดูแลอีกฝ่ายในทุกการแข่งขันอยู่แล้ว



สีหน้าของนคินทร์ดูผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินดังนั้น อ้อมแขนที่ตระกองกอกกระชับแน่นพร้อมกับจมูกโด่งที่คลอเคลียปลายจมูกของภวัตเบาๆ ความอ่อนโยนที่เขาไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักทำให้ภวัตทำตัวไม่ถูก



“เอ่อ...คุณคินอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ”



“อยากทานมึงครับ”




อา...เขาต้องขุดหลุมฝังตัวเองอีกกี่รอบถึงจะจำกันนะ



“ผมหมายถึงอาหารเย็...คุณคิน!มีดครับ!” คนที่เกือบจะถูกดันให้เอนราบไปกับเคาท์เตอร์ครัวรีบร้องเตือนอย่างตกใจ รีบคว้ามีดใกล้มือลงไปวางในอ่างล้างจานเพื่อความปลอดภัย “มะ...ไม่ได้นะครับ ตรงนี้อันตราย”



นคินทร์หรี่ตาลงอย่างไม่พอใจที่ถูกขัดใจ แต่เมื่อเห็นบรรดาของมีคมใกล้ตัวพวกเขาจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะช้อนตัวภวัตขึ้นอุ้มไปวางลงบนเคาท์เตอร์กลางครัวที่ไม่มีสิ่งใดวางอยู่ให้เกะกะสายตาแทน



“...หรือจะลงไปทำบนพื้นก็ได้นะ เดี๋ยวกูช่วยถู”


“…ครับ คุณคินเชิญตามสบายเลยครับ” ภวัตที่นอนแผ่หลาบนเคาท์เตอร์ควรัวยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างจนใจ เรียวขายาวแยกออกให้ร่างสูงใหญ่แทรกกายเข้ามาได้ถนัด



“หึๆ มึงพูดเองนะ”



“ตะ...แต่พรุ่งนี้คุณคินต้องขับรถกลับไปทานอาหารกลางวัลกับคุณนาราที่บ้านใหญ่นะครับ ผมว่าอย่างหักโหมเกินไปจะดีกว่า...”
“มึงห่วงตัวเองเถอะน่า” ความพยายามที่จะลดภาระงานของตนถูกโยนออกไปนอกหน้าต่างอย่างง่ายดาย ร่างสูงเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อคิดถึงตารางเวลาของตนในวันรุ่งขึ้น “ยุ่งยากชะมัด ถ้ามึงไม่บ่นคิดถึงแม่นะ หยุดยาวแบบบนี้จ้างให้กูก็ไม่กลับ อยู่กับมึงดีกว่าเยอะ”



ภวัตพยายามอย่างยิ่งที่จะซ่อนรอยยิ้มขัดเขินของตัวเองไว้ แต่ไม่เป็นผล นคินทร์ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ กระชากกางเกงขาสสั้นตัวบางให้ลอยหวือไปพาดอยู่บนตู้ด้านหลัง



“เพราะฉะนั้น มึงต้องทบต้นทบดอกให้กู เข้าใจมั้ย?”



สุดท้ายแล้ว มื้อเย็นของคนทั้งคู่ก็หนีไม่พ้นพิซซ่าที่สั่งมาส่งหน้าคอนโดโดยที่คุณชายนคินทร์เป็นผู้ลงไปรับด้วยตัวเอง เพราะคนรับใช้ในนามของเขาที่ขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่บนเตียงกว้างอย่างอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะคลานลงมาจากเตียง

--------------



ขอสารภาพค่ะว่าที่หยุดอัพไปส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสตอบรับของเรื่องนี้ไม่เท่าเรื่องอื่นๆที่ผ่านมา เลยหันไปโฟกัสกับเรื่องอื่นๆก่อน แต่เรื่องนี้จะกลับมาอัพนะคะ อาจจะไม่สม่ำเสมอมาก แต่หลังจื่อหลิงน้อยจบน่าจะอัพถี่ขึ้นแน่นนอนค่ะ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 15: แผน [10-1-20] คห.65อัพต่อ2020
เริ่มหัวข้อโดย: Maple ที่ 10-01-2020 23:14:33
กรี้ดด​อัพแล้ววว​  คือโคตรดีใจ​ เฝ้าเรื่องนี้มาก​ กดดูบ่อยมาก​ นึกว่าโดนเทแล้ว​ เรื่องเงียบจริงจัง​ ขอบคุณ​มากๆที่กลับมาค่ะ
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 15: แผน [10-1-20] คห.65อัพต่อ2020
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 10-01-2020 23:40:59
นึกว่าจะไม่มาต่อแล้ว เราชอบเรื่องนี้มากนะครับ มันน่ารักมากกกกกก และตัวละครก็มีมิติดีด้วย

อย่าหยุดแต่งนะครับ พลีสสสสสสสสสสสส
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 15: แผน [10-1-20] คห.65อัพต่อ2020
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 11-01-2020 23:56:06
โอ้โหววววววววววว ลุ้นมากกกกกกก นี่ลุ้นคู่พี่ต้ากับปราณสุดๆๆๆๆ คือคนน้องก็ไม่บอกความจริงว่าชอบใคร คนพี่ก็คิดเองไปไกลเว่อร์ตัดพ้อเก่งงงง พอพี่ต้ารู้ว่าน้องชอบใคร ชั้นก็แฮปปี้ :katai2-1: // คู่เจษฎ์กับนทีคือแบบ ที่สุดของความฟินนนนน คู่นี้คือน่ารักมากๆๆๆๆๆๆ  :-[ // ส่วนคู่คุณคินกับภีมนั้นนนนน ฮาร์คคอมากแม่ หนุบหนับๆตลอดๆ คุณคินฮอตและรักเมียมาก ให้ตังเมียหมด ประทับใจ :heaven
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 15: แผน [10-1-20] คห.65อัพต่อ2020
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 14-01-2020 11:05:52
Day 16: กลับบ้านใหญ่

นคินทร์เหลือบมองร่างที่นอนหลับคอพับไปกับเบาะรถข้างกายของตนเป็นระยะ เสี้ยวหน้าคมคายจุดยิ้มมุมปากอย่างเอ็นดูคนที่เหนื่อนจากการ ‘ปรนนิบัติรับใช้’ คุณชายใหญ่ของบ้านเสียจนหมดแรง มือใหญ่เอื้อมหามือเรียวที่วางนิ่งอยู่บนตักของชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้ง นิ้วเรียวยาวสอดประสานากับมือที่แม้จะเริ่มสากจากงานบ้านงานสวนที่อีกฝ่ายช่วยบิดามารดาทำแต่เล็กกลับมมิได้ทำให้เขาอยากจะกุมมันน้อยลงแต่อย่างใด

“อือ...คุณคิน...”

“นอนต่อเถอะ ถึงแล้วกูจะปลุก” เจ้าของชื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ภวัตที่สะลึมสะลืออยู่เมื่อได้ยินดังนั้นจึงปรือปิดเลือกตากลับลงไปแต่โดยดี ว่าง่ายเสียจนเขาอยากจะรังแกให้อีกฝ่ายสะอึกสะอื้นอย่างสุขสมใต้ร่างของอีกสักสิบรอบ


เพราะอย่างนี้ไงเขาถึงไม่อยากก้าวเท้าออกมาจากห้องของตัวเอง


นคินทร์เลี้ยวรถเข้ามาในคฤหาสน์ของเจ้าสัวนิวิฐก่อนเที่ยงวันเพียงไม่กี่นาที ภวัตที่นอนหลับอยู่เมื่อรู้สึกถึงยานพาหนะที่ชะลอ
ตัวจึงลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างง่วงงุน พยายามจะยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเองให้ตื่นเต็มตาทว่ามือของเขากลับถูกอะไรบางอย่างพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา



บางอย่างที่ว่าคือมือของนคินทร์ที่ยังคงไม่ยอมปล่อยแม้ว่าเขาจะออกแรงดึงเพียงใด



“คุณคิน ปล่อยเถอะครับ ถ้าใครมาเห็นเข้า...” ภวัตเริ่มแตกตื่น หากใครในบ้านให้มาเห็นเข้า คุณคินจะเดือดร้อนเอาได้


“รถติดฟิล์มมืดขนาดนี้ ต่อให้มึงกับกูทำมากกว่านี้...” ใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มหยอกเย้า “...ถ้ารถไม่โยกก็ไม่มีใครสังเกตหรอกน่า”



“คุณคินครับ!” ภวัตไม่เคยดูออกสักทีว่าคุณชายใหญ่ของบ้านกำลังพูดจริงหรือล้อเล่นอยู่กันแน่



“มึงนี่นะ จะแกล้งง่ายไปไหน” นคินทร์ถอยกลับออกมาพร้อมเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ปลดสายคาดเข็ดขัดของตัวเองออกพร้อมดับเครื่องยนต์ ภวัตรีบเปิดประตูลงจากรถ กุลีกุจอวิ่งอ้อมมาเปิดประตูให้ร่างสูง



ดวงตาของทุกคนจ้องมาที่นคินทร์ทันทีที่ร่างสูงก้าวเข้ามาในบ้านใหญ่ ทั้งท่วงท่าก้าวย่างดูองอาจ สีหน้าแววตาอ่อนโยนไม่ถือตัวทว่ายังคงสงวนท่าทีเช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้านายของบ้านคนอื่นๆที่ภวัตไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักเริ่มทำให้ก้อนในอกของเขาเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่


“อ้าว คิน มาพอดีเลยลูก แม่กำลังจะให้คนจัดสำรับอยู่พอดี”



ภายในห้องรับแขก มีร่างของนายหญิงของบ้านในชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนสีโปรดของเจ้าตัวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นคินทร์ยกมือไหว้มารดาของตน ก่อนที่คิ้วคมจะเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักในชุดกระโปรงพลิ้วสีขาวอ่อนหวานที่นั่งอยู่ข้างคุณนาราบนโซฟาตัวยาว



“สวัสดีครับคุณแม่ สวัสดีครับคุณปัทมา”


“แหม คุณปัทมาอะไรกัน เรียกน้องเขาซะห่างเหินเชียว เรียกน้องปัทม์สิจ๊ะคิน” คุณนารารีบแก้ เจตนาของหญิงสูงวัยชัดเจนจนคนตาบอดยังดูออกอย่างง่ายดาย “น้องปัทม์ จำพี่เขาได้มั้ยลูก ที่เจอกันในงานเลี้ยงบ่อยๆสมัยเด็กไงจ๊ะ”



“จำได้ค่ะคุณน้า” ปัทมาตอบพร้อมรอยยิ้ม ทว่าไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น



“คิน อยู่คุยเป็นเพื่อนน้องแทนแม่ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะไปดูในห้องอาหารซักหน่อย” คุณนารารีบลุกขึ้นเพื่อให้คนทั้งสองได้สนทนาทำความรู้จัก หันมาเห็นภวัตที่ด้านหลังของนคินทร์จึงเอ่ยขึ้น



“ภีม ไปหาพ่อกับแม่เราซะสิ ยายอิ่มบ่นคิดถึงเราจะแย่แล้ว”



“ขอบคุณครับคุณนารา”


ภวัตยกมือไหว้ลานายหญิงของบ้านแทบจะในทันทีที่ได้ยินคำอนุญาต แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่านคินทร์ไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่เขาก็ไม่อยากทนอยู่เห็นภาพบาดตาบาดใจ ถึงจะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากเขายังอยากยืนข้างกายของนคินทร์ต่อไป
ที่หางตา เขาเป็นนคินทร์พูดคุยกับหญิงสาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบกายของตน



ได้เวลากลับไปอยู่ในที่ของเขาแล้ว








ภวัตโยนกรรไกรตัดหญ้าลงบนพื้นแล้วทรุดตัวลงนั่งบนสนามหญ้ากว้าง ใช้มือเปล่าถอนต้นวัชพืชออกทีละต้นอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังจากที่เขาทักทายมารดาในครัว ร่างโปร่งจึงเดินออกมามองหาบิดาของตนที่ทำงานเป็นคนสวนในคฤหาสน์หลังนี้ เมื่อภวัตเห็นชายวับกลางคนผิวคล้ำแดดนั่งถอนวัชพืชท่ามกลางแสงแดดจ้ายามเที่ยงวันจึงรีบออกปากไล่พ่อให้ไปนั่งพักในร่มเงา แล้วรับหน้าที่นั้นต่อเสียเอง



เขาตัองการทำอะไรซักอย่างไม่ให้ตัวเองมีเวลาไปฟุ้งซ่านกับเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุม



”มึงนี่นะ ซนไปทั่วจริงๆ รออยู่ในครัวเย็นๆไม่ได้ใช่มั้ย”



เสียงทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมกับร่มเงาบดบังแสงแดดที่สาดส่องลงมาทำให้ภวัตชะงัก ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นพบต้นเหตุของความฟุ้งซ่านทั้งมวลในชีวิตของเขากำลังยืนกางร่มคันใหญ่เพื่อบดบังร่างของพวกเขาทั้งคู่จากแสงอาทิตย์ ภวัตรีบหันซ้ายแลขวาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก



“คุณคิน? แล้วคุณปัทมาล่ะครับ?”


“กลับไปแล้ว กูคุยกับเขาถูกคอ คิดว่าน่าจะเหมาะกับไอ้แชมป์ เลยให้มันมารับน้องเขาไปเที่ยวซักหน่อย” คนที่ถูกมารดาหลอก
มาดูตัวยิ้มกริ่ม “มึงหาชุดงานแต่งไว้ให้กูเลย ไม่เกินท้ายปีแน่”



“ผมว่าคุณคินควรจะไปเปิดบริษัทหาคู่ดีกว่านะครับ” ภวัตกล่าวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ มีอย่างที่ไหนถูกแม่ส่งไปดูตัวทีไรกลับได้ภรรยาไปฝากเพื่อนเสียทุกที “แล้ว…ออกมาแบบนี้จะดีเหรอครับคุณคิน ถ้าใครมาเห็นเข้า…”



“มึงนี่คิดมากจังวะ คนอื่นเขาอยู่ในบ้านกันหมด ไม่มีใครมาเห็นหรอก” นคินทร์ไหวไหล่ ย่อลงนั่งยองข้างๆเขาแล้วดึงวัชพืชออกทีละต้น ภวัตลอบมองอย่างแตกตื่นด้วยกลัวว่ามือใหญ่ที่ไม่ชำนาญจะถูกเศษหญ้าบาดเสียก่อน“ต่อให้มีแล้วไง มึงกับกูก็ตัวติดกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร กูแค่มาคุยกับเพื่อนกู ผิดตรงไหน”



“ผมว่าคุณคินระวังตัวน้อยลงมากนะครับ” ภวัตตักเตือนอย่างหวั่นใจ แต่ดูคนฟังจะไม่ได้สะทกสะท้านเท่าไหร่นัก



“ภีม…”มือใหญ่ละจากวัชพืชมาเกาะกุมมือของเขาไว้หลวมๆ “กูไม่มีทางทำร้ายมึง เชื่อใจกูสิ”



“ตายแล้ว คุณคิน มาทำอะไรตรงนี้คะ”


เสียงของมารดาของภวัตทำให้เขาสะบัดมือออกจากการเกาะกุมอย่างไม่ทันคิด วูบหนึ่งร่างโปร่งรู้สึกเหมือนเห็นแววตาเจ็บปวดของอีกฝ่ายก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อแม่ของเขาเดินตรงมาทางนี้



“ผมเห็นภีมนั่งถอนหญ้าอยู่คนเดียวก็กลัวจะเหงาเลยมานั่งเป็นเพื่อนน่ะครับ” นคินทร์ตอบเสียงกลั้วหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ภวัตปัดมือของตัวเองกับขากางเกงแล้วลุกขึ้นตามผู้เป็นนาย “จะว่าไปแล้ว คนอื่นๆไปไหนกันหมดล่ะครับ”


ทั้งที่กล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แววตำหนิติเนียนยังคงเจือในน้ำเสียงอย่างไม่ปิดบัง ป้าอิ่มยิ่มเจื่อน ก่อนจะตอบตามความเป็นจริง


“คนสวนหนุ่มๆมันก็โดดบ้างสายบ้างตามประสานั่นแหละจ้ะ ตาแช่มแกทนไม่ไหวเลยมาทำเอง พอเจ้าภีมมาเห็นเลยไล่พ่อเขา

ไปพักแล้วมานั่งทำเองนี่ล่ะจ้ะ”



“อย่างนั้นเหรอครับ” สีหน้าของนคินทร์ยังคงเปื้อนรอยยิ้ม กระนั้นความคุกรุ่นที่อยู่ภายใต้ยังคงแผ่ออกมาจนสองแม่ลูกรู้สึกได้


“ถ้าอย่างนั้น ผมจะคุยกับคุณแม่เรื่องคนงานให้นะครับ ลุงแช่มแกอายุมากแล้ว อุตส่าห์จ้างคนมาช่วยทั้งทียังเป็นแบบนี้ คงปล่อยไว้ไม่ได้”



“มะ…ไม่ต้องลำบากคุณคินหรอกค่ะ” ป้าอิ่มกล่าวอย่างเกรงใจ



“ไม่ลำบากหรอกครับ คนทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิด” นคินทร์กล่าว “อีกอย่าง ลุงแช่มกับป้าอิ่มก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของผม ถ้าใครมาเอาเปรียบคนใกล้ตัวผม ปมก็ไม่ยอมเหมือนกันครับ”



ภวัตไม่รู้ว่าทำไม แต่ประโยคนั้นของนคินทร์ทำให้เขารู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา



“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณคินเป็นธุระให้ด้วยนะคะ” ป้าอิ่มเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “แต่ป้าว่าคุณคินไปพักผ่อนเย็นๆในบ้านดีกว่านะคะ แดดแรงแบบนี้เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปจะแย่เอา เจ้าภีม มาช่วยแม่ในครัวมา”


“ครับแม่” ภวัตตอบรับอย่างว่าง่าย เหลือบมองเสี้ยวหน้าของผู้เป็นนายก่อนจะเดินตามมารดาเข้าไปในตัวบ้าน







กว่าเขาจะล้างจานชามในบ้านเสร็จก็ล่วงเลยไปบ่ายคล้อยจนเกือบเย็น ภวัตยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของตัวเองลวกๆ นึกอยากจะแอบหนีกลับห้องไปล้างเนื้อล้างตัวด้วยกลัวว่านคินทร์จะเหม็นกลิ่นเหงื่อไคล ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้อีกฝ่ายไม่ได้นอนห้องเดียวกับตน ซึ่งหากไม่นับวันเกิดของคุณนทีที่สุดท้ายแล้วเขาก็นอนค้างที่ห้องของอีกฝ่ายแล้วแอบย่องกลับตอนรุ่งสาง ภ
วัตก็ไม่คิดว่าตัวเองเคยเข้านอนโดยไม่มีร่างของนคินทร์อยู่เคียงข้าง



 “ภีม มานี่ซิลูก”



ภวัตโผล่หน้าออกมาจากครัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกของมารดา ดวงเนตรเรียวเบิกกว้างอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นนายหญิงของบ้านนั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยสีหน้าเป็นกังวล



ชั่ววูบหนึ่งเขาคิดว่าเรื่องของเขากับนคินทร์ถูกอีกฝ่ายจับได้เสียแล้ว คำโกหกเพื่อช่วยคุณชายใหญ่ของบ้านติดอยู่ที่ริมฝีปาก
เมื่อคุณนาราถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ


“ภีม พอจะรู้มั้ยจ๊ะว่าคินเขาคบใครอยู่รึเปล่า?”


“อะ…อะไรนะครับคุณนารา”


มือไม้ของภวัตอ่อนเปลี้นยทันทีที่ได้ยินคำถาม เคราะห์ดีที่เขาไม่ได้ถืออะไรไว้ในมือ



“ก็คินน่ะ แม่หาใครมาให้แต่ละคนก็จับคู่ให้เพื่อนตัวเองซะหมด นี่เพื่อนจะลูกสองอยู่แล้ว คินยังไม่เคยพาใครมาที่บ้านด้วยซ้ำ”

คุณนาราถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เขาได้พาใครกลับมาที่ห้องบ้างมั้ย หรือมีคนที่คบด้วยอยู่ที่มหาวิทยาลัยรึเปล่า”


“ไม่มีครับคุณนารา” แม้จะรู้สึกผิด แต่ภวัตยังคงพยายามปลอบใจตัวเองว่าสิ่งที่เขากล่าวนั้นไม่ใช่คำโกหก


นอกจากเขา นคินทร์ไม่เคยพาใครขึ้นมาที่ห้อง


“แปลกจริง“ คุณนาราพึมพำอย่างไม่เข้าใจ ภวัตที่เห็นท่าไม่ค่อยดีนักจึงรีบเอ่ยเสริมอย่างร้อนรน



“คุณคินเรียนหนัก ทำกิจกรรมแทบทุกวัน แล้วก็มีงานที่บริษัท ผมว่าคุณเขาคงแค่ไม่อยากสนใจเรื่องอื่นในตอนนี้มากกว่าน่ะครับ”



“จริงด้วยสินะ เห็นทีไรคินก็ดูเหนื่อยดูเพลียอยู่ตลอดเลย” คุณนาราพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ภีม ฉันฝากคินด้วยแล้วกันนะ อย่าให้เขาหักโหมนัก เด็กคนนั้นชอบทำอะไรเกินตัวอยู่เรื่อย”



“ครับ คุณนารา” ภวัตรับคำอย่างหนักแน่น ร่างโปร่งตั้งท่าจะขอตัวกลับไปทำงานต่อเมื่อมารดาของเขาเอ่ยขึ้น



“เอ้อ ภีม ไหนๆก็ไหนๆแล้วเอายานวดขึ้นไปนวดขาให้คุณเขาหน่อยสิ เห็นบ่นปวดเมื่อยเนื้อตัวมาตั้งแต่บ่ายแล้ว”



“คะ…ครับแม่…” ภวัตแทบสำลักอากาศ ภาวนาให้สีผิวเข้มๆของตัวเองอำพรางสีเลือดฝาดบนแก้มเมื่อนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ถูกคุณ
คินสั่งให้นวดให้ เรียกได้ว่าคุณชายใหญ่ให้เขาทั้งนวดทั้งนาบเสียจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเดินไม่ตรงไปเป็นวัน


“เอาชาสมุนไพรขึ้นไปด้วย ด้วยซักหน่อยจะได้มีกำลัง” ไม่ว่าเปล่า มารดาของเขายังยกเอาถาดที่บรรจุกาน้ำชากับถ้วยชาใบเล็กออกมาให้พร้อมกับยานวดเสียด้วย ภวัตยิ้มแห้ง รับถาดกระเบื้องจากมารดามาแต่โดยดี







ร่างโปร่งก้าวขึ้นไปยังห้องที่ตนคุ้นเคยดี ประคองถาดใบโตไว้ด้วยหนึ่งมือและยกมืออีกข้างขึ้นเคาะประตูตามมารยาท ก่อนจะผลักประตูเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต


“คุณคิน…เอ๊ะ…”



ร่างโปร่งร้องออกมาอย่างประหลาดใจเมื่อไม่เห็นร่างของเจ้าของห้อง ภวัตวางถาดไว้บนโต๊ะไม้ข้างเตียง กำลังจะก้าวไปทางห้องน้ำของร่างสูงเมื่อถูกวงแขนแข็งแรงดึงเข้ามาในอ้อมกอดอย่างด้านหลังพร้อมกับจมูกโด่งที่ขโมยหอมฟอดใหญ่ไปจากแก้มนิ่ม



“เหงื่อท่วมเลยมึง โดนใช้งานหนักมากเหรอ”


ตัวคำถามนั้นเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใย แต่ความหื่นกระหายในน้ำเสียงแหบพร่านั้นชัดเจนจนไม่อาจมองข้าม



“คุณคิน อย่าเข้าใกล้ผมเลยครับ ตอนนี้ตัวผมมีแต่เหงื่อ…” ภวัตพยายามดันร่างสูงออกทั้งที่รู้ว่าไม่เป็นผล ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือก
เมื่อริมฝีปากได้รูปดูดดุนติ่งหูเย็นที่วันนี้ปราศจากต่างหู มีเพียงก้านพลาสติกใสเสียบไว้เท่านั้น มือใหญ่สอดใต้เสื้อแล้วลูบไล้ไปตามหน้าท้องแบนราบ เคลื่อนขึ้นมาสะกิดเขี่ยตุ่มไตที่ชูชันรับสัมผัสอย่างคุ้นชินอย่างเพลินมือ



“มึงเจาะตรงนี้ด้วยดีมั้ย” เสียงพร่าถามอย่างกระตือรือร้น ซุกไซ้หลังคอของเขาจนภวัตเผลอหลุดเสียน่าอายออกมาเป็นระยะ
ร่างโปร่งกัดริมฝีปาก แน่นอนว่าเขาไม่อยากทำ แค่เจาะหูภวัตก็ไม่เคยคิดอยากจะทำอยู่แล้ว



“เอาสิครับ” แต่ในเมื่อคุณคินดูตื่นเต้นถึงเพียงนี้กับร่างกายของเขาทั้งที่อีกฝ่ายครอบครองมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็จะยอมแลกกับความเจ็บปวดเพียงชั่วครู่นั้น



“ไว้กูจะติดต่อร้านที่เขาเจาะหูให้มึง” นคินทร์กดจูบหนักๆ บนขมับของเขาแล้วผละออกมาพร้อมรอยยิ้ม “มา มานอนนี่”


“นอน? คุณคินจะทำอะไรครับ อ๊ะ…”



เขาถูกดันให้นอนราบลงไปกับเตียงแล้วจับพลิกคว่ำ ยังไม่ทันจะได้ทักท้วงเรื่องคราบเหงื่อไคลบนร่างกายเสื้อผ้าของเขาก็ถูกลอกคราบออกไปอย่างชำนิชำนาญ



“คุณคิน ให้ผมอาบน้ำก่อนเถอะนะครับ” ภวัตแทบจะอ้อนวอนขอความเห็นใจ แต่ร่างสูงกลับกดร่างของเขาไว้ไม่ให้ขยับลุกขึ้นมา



“เสร็จแล้วค่อยอาบที่เดียวก็ได้” ของเหลวหนืดข้นถูกบีบลงบนแผ่นหลังนวลเนียนสีน้ำผึ้งภายใต้อุณหภูมิเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศ ภวัตขมวดคิ้วกับเนื้อสัมผัสที่ไม่เหมือนสารหล่อลื่นที่ร่างสูงใช้เป็นปกติ อีกทั้งความรู้สึกอุ่นๆกับกลิ่นยาจางๆยิ่งทำให้เขาไม่คุ้นเคย



ถึงอย่างนั้นร่างเพรียวยังคงหมอบราบลงไปกับเตียง ยกสะโพกกลมกลึงให้คนข้างหลังด้วยความเคยชิน เรียกเสียงหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่จากคุณชายใหญ่ของบ้าน



“นี่มึงอยากขนาดนั้นเลยเหรอวะภีม”


“เอ๊ะ…แต่ว่า…” คนถูกกล่าวหาหันกลับไปหาอีกฝ่ายอย่างสับสน นคินทร์อมยิ้ม ในมือยังคงถือหลอดยานวดที่ภวัตเป็นคนนำเข้ามา ดวงหน้าเนียนสีน้ำผึ้งซับสีเรื่อด้วยความอับอาย



“นอนลงไปดีๆ กูก็อยาก แต่มือกูเปื้อนยาแล้ว ทำตอนนี้เดี๋ยวจะแสบ” เสียงทุ้มแฝงแววหยอกเย้า ภวัตซุกหน้าลงกับหมอนอย่างอับอาย ไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป


ทันทีที่มือใหญ่บีบนวดตามหัวไหล่เปลือยเปล่าแผ่นหลังที่แข็งเกร็งก็เริ่มผ่อนคลายลง ภวัตผ่อนลมหายใจออกมาอย่างมีความสุข นึกสงสัยว่าเจ้าของมือที่บีบนวดไปตามเส้นที่ตึงรั้งของตนนั้นไปร่ำเรียนวิชานวดนี้มาจากที่ใดกัน



“เสร็จแล้วมึงก็กินชาด้วยนะ จะได้ช่วยบำรุงด้วย” คนที่กดนวดสะโพกมนอยู่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ภวัตที่แทบจะเคลิ้มหลับไปกับสัมผัสนั้นส่งเสียงตอบรับในลำคออย่างผ่อนคลาย “ภีม คืนนี้มึงนอนนี่ไม่ได้เหรอ…”


“ไม่ได้หรอกครับ…งืม…เดี๋ยวแม่สงสัย…” คนที่กำลังเคลิ้มงึมงำเสียงยานคาง หลับตาพริ้มอย่างสุขสมจากบริการของผู้เป็นนาย



“กว่าจะเจอกันอีกทีก็เช้า คืนนี้กูปีนหน้าต่างเข้าห้องมึงได้มั้ยเนี่ย”เสียงทุ้มบ่นอุบเรียกรอยยิ้มจำคนฟังได้เป็นอย่างดี



หลังจากถูกบีบนวดจนแทบจะกลายเป็นของไหลจมลงไปกับเตียง ภวัตก็ถูกดึงขึ้นมานั่งพิงอกของคุณชายใหญ่ของบ้านที่ดึงมือของเขามาบีบนวดเช่นเดียวกับส่วนอื่นของร่างกาย นคินทร์ยกมือเรียวที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงขึ้นบรรจงจุมพิตทีละข้อนิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล


“ภีม มือมึงหยาบกว่าแต่ก่อนเยอะเลยนะ”


เพียงเท่านั้นภวัตที่กำลังเคลิ้มรีบผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง ดึงมือออกจากการเกาะกะมของร่างสูงอย่างตกใจ เรียกแววตาตำหนิจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี



“ขะ…ขอโทษครับ”



“กูไม่ได้โกรธ” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่น้ำเสียงและแววตาคุกรุ่นทำให้ภวัตรู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายยากจะเชื่อได้ลง “ถ้าจะโกรธ ก็เพราะมึงดึงมือออกไปมากกว่า”



“เอ๊ะ…มือ?” ร่างสูงดึงมือเรียวกลับเข้ามาในการเกาะกุม



“ห้ามปล่อยมือกู” เสียงของนคินทร์หนักแน่นและจริงจัง “มึงห้ามปล่อยมือกูแบบวันนี้อีก กูไม่ชอบ”



“แต่ว่า…” คำโต้แย้งถูกกลืนลงไปในลำคอเมื่อแววตารวดร้าวที่เขาไม่เข้าใจกลับมาอีกครั้ง ภวัตพยักหน้า “ครับ คุณคิน”
สีหน้าของนคินทร์ผ่อนคลายลงแทบจะในทันทีที่ได้ยินคำตอบรับจากปากของภวัต


“มือน่ะ ถ้าปล่อยไว้ไม่ดูแลแบบนี้ มันจะแตก เป็นแผลเลือดออก เสี่ยงติดเชื้อง่าย มึงเรียนสายสุขภาพไม่รู้รึไง”



“…” ภวัตทำได้เพียงยิ้มเจื่อน เรื่องบางเรื่องต่อให้รู้ ถ้าไม่ใส่ใจจะดูแลตัวเอง รู้ไปก็เหมือนไม่รู้



นคินทร์โน้มไปเปิดลิ้นชักหัวเตียงเพื่อหยิบแฮนด์ครีมราคาแพงที่เจ้าตัวชอบพกไว้ในที่ต่างๆหลายหลอดมาบีบลงบนมือแล้วบีบนวดมือเรียวของคนบนตักต่อ



“นอนซะ ถ้าถึงเวลาลงไปแล้วกูจะปลุก”



แม้จะไม่ค่อยเชื่อใจคำสัญญาของนคินทร์นักเปลือกตาที่หนักอึ้งของภวัตก็ทำให้ร่างโปร่งพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วหลับตาลง ปล่อยให้คุณชายใหญ่ของบ้านปรนนิบัติพัดวีตัวเองไม่ต่างจากคนรับใช้ส่วนตัว



อา…เขานี่เริ่มจะนิสัยเสียแล้วจริงๆสินะ



“ภีม พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมขึ้นไปเอาเสื้อผ้าคุณคินนะ ทิ้งไว้บ้านใหญ่นี่แหละเดี๋ยวแม่ซักรีดเก็บไว้ให้”



“ครับแม่”



ภวัตรับปากมารดาก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันเข้าห้องนอน เรือนคนรับใช้เดิมทีไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ แม้จะไม่ได้เบียดเสียดกันแต่ภวัตยังคงนอนห้องเดียวกับพ่อแม่ของตัวเองมาโดยตลอด จนกระทั่งช่วงขึ้นมัธยมที่คุณนาราเห็นว่าเขาโตเกินกว่าจะนอน
รวมกับพ่อแม่แล้วจึงต่อเติมห้องให้เขาเป็นสัดส่วนพอให้ภวัตได้มีพื้นที่ส่วนตัว ความเมตตาของนายหญิงของบ้านยิ่งทำให้
ครอบครัวของเขารับใช้ตระกูลวิสุทธรากรอย่างยอมตายถวายหัว



ร่างโปร่งที่อาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้านอนแล้วก้าวเขามาในห้องของตนที่ในปีนี้เพิ่งได้นอนแค่วันสองวัน แอบนึกประหลาดใจอยู่พอสมควรที่นคินทร์ยินยอมให้เขากลับมานอนห้องตัวเองจริงๆ


เขาเหลือบมองเตียงของตัวเองก่อนจะก้าวไปเปิดโคมไฟแล้วนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบหนังสือนิยายที่อ่านค้างไว้มาอ่าน
ด้วยรู้ว่าวันนี้ตัวเองคงนอนไม่หลับง่ายๆ



ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแอบอู้หลับไปในห้องของคุณนคินทร์ แต่ภวัตคิดว่าเหตุผลหลักๆน่าจะเป็นเพราะเขาไม่ชินกับการนอนคนเดียวเสียมากกว่า



ร่างโปร่งจมลงสู่โลกของนวนิยายแฟนตาซีที่เนื้อหากำลังเข้มข้น เพราะคุณนคินทร์ชอบนิยายแนวนี้มาก ถึงแม้เจ้าตัวจะอ่านแต่นิยายคลาสสิคต่างประเทศต่อหน้าคนอื่น เขาจึงอยากรู้ว่าสิ่งที่คุณคินชื่นชอบนั่นมีเนื้อหาแบบไหน



 “…อื้อ! อื้อๆ!!!”


มือใหญ่ครอบปิดปากของเขาไว้ก่อนที่ภวัตจะได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ ถึงอย่างนั้นภวัตยังคงไม่ได้คิดจะดิ้นหนี เพราะมือใหญ่นี้เขาคุ้นเคยดีว่าเป็นของใคร


“อะไรวะ ไม่ขัดขืนกูหน่อยเหรอ”


นคินทร์ปล่อยมือจากปากของภวัตพร้อมถามด้วยน้ำเสียงยียวน คนถูกถามถอนหายใจ


“คุณคิน มาทำอะไรครับ”


“ก็กูบอกแล้วไงว่าจะปีนหน้าต่างห้องมานอนกอดมึง” ร่างสูงกอดอกตอบด้วยน้ำเสียงเป็นเหตุเป็นผล ราวกับนั่นเป็นสิ่งที่ภวัตควรจะรู้อยู่แล้ว “ดึกแล้ว ทำไมยังไม่นอน”


“ผม…นอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ” ภวัตตอบไปตามความเป้นจริง



“หึ คิดถึงกูก็บอก” นคินทร์รั้งร่างโปร่งเข้ามาในอ้อมกอด ซุกหน้าลงหอมกลุ่มผมนิ่มอย่างพึงพอใจ “นอนกัน”



“คุณคิน ผนังมันบางนะครับ” เจ้าของห้องรีบออกตัวอย่างแตกตื่น อีกอย่าง พ่อกับแม่เขานอนอยู่ข้างห้อง เรื่องบัดสีบัดเถลิงแบบนี้ภวัตทำใจไม่ได้จริงๆ


“ลามกขึ้นทุกวันนะมึงเนี่ย”



 นคินทร์หัวเราะ ส่ายหน้ายิ้มๆ ปิดโคมไฟแล้วดึงให้อีกฝ่ายตามเขามาที่เตียงภายใต้แสงจันทร์สลัวจากหน้าต่าง



ภวัตที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดเซล้มลงไปบนเตียงเดี่ยวขนาดเล็กของตนพร้อมๆกับร่างสูงที่ยังไม่ยอมปล่อยเขาไปไหน นคินทร์ตวัดขาโอบรอบเอวบาง รั้งร่างของอีกฝ่ายเข้ามาแนบชิดเสียจนแทบไม่มีพื้นที่หายใจ



“คุณคิน…”



“ขอกูกอดมึงไว้แบบนี้ก็พอ” เสียงทุ้มดังขึ้นในความมืด ลมหายจะอุ่นระข้างแก้มเนียนเบาๆเป็นจังหวะ “เดี๋ยวกูค่อยปีนออกไปก่อนเช้า ตอนนี้กูอยากกอดมึง ไม่มีมึงข้างๆแล้วกูนอนไม่หลับ…”



ภวัตตัดสินใจที่จะไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดตอบกลับไป เพียงแต่ซุกกายเข้าซบกับแผงอกแกร่ง ฟังเสียงหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอของนคินทร์แล้วหลับตาลง



แย่แล้ว…


ชาตินี้ เขาคงหนีไปจากอ้อมกอดนี้ไม่ได้แล้วจริงๆ

-----------------

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 16: กลับบ้านใหญ่ [14-1-20] คห.69
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 14-01-2020 11:43:55
คุณคินน่ารัก น่ารักมากๆๆๆๆ โอ้ยยยย คนหลงเมียยยย :hao7:
หัวข้อ: Re: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 16: กลับบ้านใหญ่ [14-1-20] คห.69
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 15-01-2020 10:52:18
ผมคิดว่าที่กระแสตอบรับเรื่องนี้ไม่ดีเท่ากับเรื่องอื่นๆ สำหรับผม ผมคิดว่าอาจจะเพราะคาแรกเตอร์หลายตัวมันมีความซ้ำอยู่เยอะไปนิดหนึ่งครับ

ถ้าจำได้ จักรวาลนึงที่คุณลิตเติลพิกเขียนไว้แล้วมีจำนวนตัวละครมาก และแต่ละตัวมีจุดเด่นที่น่าสนใจ รวมถึงมีมิติที่ดี นั่นคือจักรวาลของ You Stranger, How to fall in love with your boss, Sugar Daddy ซึ่งผมเคยชมไว้ในเรื่อง You Stranger ว่าการเขียนแบบนี้ทำได้ยาก แต่คุณลิตเติลพิกออกมาได้ดีครับ แม้ว่าพล็อตของหลายๆเรื่องอาจไม่ตรงจริตผมบ้าง แต่สำหรับเรื่องความแน่นในมิติคาแรกเตอร์และการบรรยาย ก็ถือว่าทำได้ดี...เรียกว่าจะดีมากก็คงได้

แต่ปัญหาคือ พอกลับมาถึงเรื่อง New You สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ จะเห็นว่าเรามีจำนวนคาแรกเตอร์เยอะเหมือนกับจักรวาลของเรื่องเก่า แต่เราเอาสามคู่มารวมกันหมดในเรื่องเดียวกัน ดังนั้นมันจะทำให้การแบ่งบทสำคัญมากเป็นพิเศษ ผมเข้าใจว่าตอนนี้เรามีพล็อตเรื่องกลางที่เป็น Major Plot ขนาดใหญ่อยู่ แล้วทั้งสามคู่ก็จะมีโทนเรื่องเฉพาะตัวของคู่ตัวเอง เปรียบเสมือนกลุ่มก้อนสามก้อนที่จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆโดยมีพล็อตเรื่องใหญ่นี้ยึดโยงและขับเคลื่อนพล็อตให้เนื้อเรื่องคืบหน้า

ซึ่งการกระทำแบบนี้ถือว่าดีนะครับ มันเป็นแกรนด์สเกลของเนื้อเรื่องเลย ทำออกมาได้ดี แต่ต้องระวังเรื่องของโทนเรื่องในแต่ละคู่ไม่ให้ไปขัดกันเองมากนัก ผมคิดว่าการทำเนื้อเรื่องแบบนี้ การเน้น interactive ระหว่างตัวละครโดยที่ใช้ base experience ที่ไม่เหมือนกัน จะเป็นจุดขายที่ทำให้คนอ่านสนใจและติดตามนะครับ เช่น ฉากที่ผมชอบมากฉากนึงคือฉากเจษฏ์บ่นเรื่องที่ชอบนทีให้ต้าฟัง แล้วต้ามองเหมือนเปรียบเทียบตัวเองกับปราณ ทำให้เขาเริ่มมองเห็นว่าสิ่งที่เจษฏาพูดมันไม่แฟร์ ฉากตรงนี้แค่ไม่กี่ประโยค แต่มันทำให้เรารู้สึกถึงพื้นตัวละครที่แตกต่างกันเห็นชัด และน่าสนใจติดตามต่อครับ อีกอย่างนึงคือต้องเขียนยาวพอสมควรครับ เขียนกระชับไม่ได้ เพราะจะทำให้คนอ่านขาดดีเทลสำคัญในแต่ละคู่ ซึ่งนอกจากดีเทลที่จะอธิบายเคมีความสัมพันธ์ระหว่างกันของคู่ตัวเองแล้ว ยังมีดีเทลที่จะมีผลส่งต่อไปยังพล็อตหลักเพื่อทำการเดินเนื้อเรื่องไปด้วย ถ้าขาดดีเทลใดดีเทลหนึ่งไป คนอ่านก็จะรู้สึกเบื่อ

และที่สำคัญ ซึ่งส่วนตัวผมคาดเดาว่าสิ่งที่ทำให้กระแสตอบรับไม่ดีเท่ากับเรื่องอื่นๆ อาจจะเพราะเราเหมือนเห็นการผลิตซ้ำของคาแรกเตอร์ครับ

การผลิตซ้ำของคาแรกเตอร์ในที่นี้ คือดูเหมือนการรียูสคาแรกเตอร์ในเรื่องเก่าๆมาใช้ ทำให้ตัวละครหลายๆตัวอาจจะมีนิสัยเหมือนตัวละครเรื่องเก่า แค่เปลี่ยนพื้นฐานตัวละครใหม่เท่านั้น เช่น คู่ของนที-เจษฏา ก็ให้อารมณ์ของคาแรกเตอร์เหมือน เมฆ-หมอก หรือคู่ของนคินทร์-ภวัต ก็คาแรกเตอร์คล้ายกับนิโคลัสกับเงา คู่ที่ดูจะใหม่ที่สุดและมีมิติน่าสนใจที่สุดก็คือ ต้า-ปราณ เนี่ยแหละครับ

ดังนั้นพอสังเกตว่าคาแรกเตอร์มันผลิตซ้ำ คนก็จะเริ่มเบื่อ เพราเหมือนเคยอ่านมาแล้ว แค่เปลี่ยนชื่อกับพื้นตัวละครใหม่เท่านั้น วิธีการพิสูจน์ว่าตัวละครนี้ไม่เหมือนกับตัวละครเก่า คือเราต้องมีการฉีกคาแรกเตอร์เดิมออกด้วยการกระทำบางอย่างที่ไม่มีในคาแรกเตอร์เดิม และสอดคล้องกับพื้นฐานตัวละครใหม่ในเรื่องนี้ครับ เพราะไม่งั้นมันก็จะดูเหมือนซ้ำซากไปหน่อย

ถ้าสังเกต งานเก่าของคุณลิตเติลพิก เราจะไม่เคยเห็นพระเอกที่ดูเป็นมนุษย์ผู้ชายปกติมาก่อนเลย ปกติในที่นี้หมายความว่าไม่ได้เพอร์เฟ็คต์ ไม่ได้เหนือกว่าคนอื่นมากมาย ยังมีความเป็นคนธรรมดา แพ้ได้ น้อยใจได้ ซึ่งนิสัยเหล่านี้เราเห็นจากต้าครับ ขณะที่ปราณก็เป็นน้องลูกหมูตัวน้อยๆน่ารักที่พออยู่กับต้าก็ให้อารมณ์เขินๆด้วยกันทั้งคู่ ผมชอบโมเมนต์ของสองคนนี้นะ ดูน่ารักดี ดูเรียลและถือว่าเป็นคาแรกเตอร์ที่ค่อนข้างใหม่ในงานคุณลิตเติลพิก

ทีนี้มาว่ากันที่วิเคราะห์เนื้อเรื่อง ส่วนตัวผมว่าผมไม่ค่อยชอบนคินทร์เท่าไหร่ครับ เค้าให้อารมณ์ตัวร้ายมากเกินไป ดูมีความโรคจิตอยู่ในตัวนิดๆ ซึ่งผมไม่แปลกใจนะ เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมเนื่องจากครอบครัวไม่มีลูกชาย แล้วปรากฏว่ามีลูกชายขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ ทำให้ต้องพยายามที่จะทำตัวให้เพอร์เฟ็คต์เพื่อที่จะมีคุณค่าภายในสายตาของครอบครัว มันก็ไม่แปลกที่จะมีปมความโรคจิตนิดๆอยู่ในตัว แต่ที่ผมไม่ค่อยชอบ คือการกระทำบางอย่างที่ดูจะ ungrateful ต่อหลายๆคนเนี่ยล่ะล่ะ นคินทร์ดูเป็นคนที่ไม่กล้ายอมรับความจริงบางอย่างเนื่องจากเป็นคนที่แพ้ไม่ลง

การให้ต้าไปไล่ซื้อหุ้นนอกเหนือจากส่วนของพ่อตัวเอง โดยใช้ชื่อตัวเอง แต่ใช้เงินของพ่อ ดูก็รู้ว่านคินทร์พยายามสร้าง ‘หลักประกัน’ ในอาณาจักรของพ่อตัวเอง เพราะนคินทร์มองตัวเองว่าไม่ได้มีค่าอะไรในตระกูล ถ้าเทียบกับนที (ซึ่งในความจริงก็คงจริง ด้วยนิสัยแบบนี้ จะให้ไว้ใจก็คงยาก ผมคิดว่าพ่อแม่ของนทีต้องสังเกตเห็นความพยายามที่จะ perfectionist ของนคินทร์ หรือไม่ก็สังเกตเห็น dark spirit ในตัวนคินทร์ อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบๆปี) จุดนี้มันมีความเสี่ยงต่อตระกูลนิดนึงตรงที่ หากจำนวนหุ้นที่มีมากกว่าพ่อตัวเอง มันจะทำให้อำนาจการบริหารถูกโอนง่ายไปเป็นของนคินทร์ แล้วเข้าถือสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท มันอันตรายตรงที่นคินทร์อาจจะพลิกกระดานของครอบครัวตัวเองเนี่ยแหละครับ ขณะที่นทียังคงทำเหมือนไม่รู้อะไร เป็นคุณชายงดงามที่ใช้เงินไปวันๆเนี่ย มันก็ดูมีความเสี่ยงที่ตระกูลนี้อาจล่มจมได้

ถ้าเกิดการกระทำอย่างนั้นขึ้นมา ถ้าเรียกในภาษาทางบัญชีถือว่าเป็นการยักยอกทรัพย์โดยมีเจตนายึดครองสินทรัพย์หรือธุรกิจครับ ถ้าสืบทราบจากพยานได้ว่าเจตนาที่ทำเป็นไปด้วยความไม่สุจริต ก็มีความผิดทางอาญา แต่ถ้ากระทำเพื่อซื้อคืนหุ้นในแง่เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารของผู้ถือหุ้นใหญ่ มันก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่สิ่งที่สำคัญคือมันแปลว่านคินทร์ไม่ได้รู้สึกเชื่อใจในสายสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นมาในครอบครัวเลยเป็นระยะเวลาสิบกว่าปี ตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ ‘ขาด’ อย่างน่าเห็นใจ การที่พ่อแม่ของนทีมีนทีขึ้นมาแล้วดูแลรักเอาใจใส่ มันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่คุณต้องไปแย่งชิงมาเพื่อมั่นใจว่าคุณจะได้เสวยสุข แต่ในฐานะของคนที่เป็นพี่(แม้จะไม่แท้) คุณควรจะสนับสนุนให้เขาได้เติบโตอย่างมีวิสัยทัศน์ เป็นคนที่สมควรจะเป็น และเสียสละเพื่อเขามากกว่า เพราะว่าพ่อแม่ของนทีก็ไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายกับคุณ ตรงกันข้าม เขาสนับสนุนคุณในหลายๆเรื่องด้วยซ้ำ ดังนั้น คุณไม่ได้ขาดอะไรด้วยซ้ำ แต่ถ้าการกระทำนั้นมันเป็นสิ่งที่ ungrateful แสดงว่ามันาจากแรงผลักดันภายในจิตใจของคุณเองที่บิดเบี้ยวน่ะครับ