วันที่ 25
“ตกลงมีอะไรจะคุยกับกูเหรอ”วันนี้ทั้งวันผมไม่เห็นไอ้เชษฐ์มันจะมีเรื่องอะไรที่ พิเศษที่จะมาคุยกับผม เห็นเมื่อวานบอกว่าให้ผมสัญญา งั้นงี้ แต่นี่จนเย็นแล้ว จนกลับมาถึงห้อง จนผมทนเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามเสียเอง
“อยากรู้เหรอ”คนพูดยิ้มเจ้าเล่ห์ อย่างมีความนัยแอบแฝง จนผมชักไม่อยากรู้เสียแล้วว่ามีอะไร เพราะทีท่าของไอ้เชษฐ์มันค่อนข้างจะต่างจากเมื่อวานเหลือเกิน เมื่อวานมันดูจะเหมือน หงอยๆ หรือซึมๆ ไปเล็กน้อยตอนที่มันบอกว่าจะขอคุยกับผม แต่วันนี้ดูมันระริกระรี้เกินไปหน่อย
“ก็ไม่ได้อยากรู้อะไรมากมายหรอก ก็แค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไป”ผมต้องตอบอย่างยั้งฟอร์มไว้บ้างจะให้บอกตรงๆ ว่าจริงๆ ก็อยากรู้มันก็จะดูว่าให้ความสนใจกับมันมากไป เดี๋ยวมันจะดูไม่งาม (เกี่ยวไรกันเนี่ย)
“ไม่มีอะไรหรอกกูก็แค่ อยากหาเรื่องอยู่กับมึงนานๆ แค่นั้นแหละ”ไอ้เชษฐ์พูดยิ้มๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ไอ้ผมฟังแล้วมันกลับมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก บอกตรงๆ ว่าผมเองก็ไม่ได้โง่ ไม่ได้บื๊อ ขนาดว่าไม่รู้หรอกนะครับว่าไอ้ที่มันทำอยู่ตอนนี้ มันเหมือนกำลังจีบผมอยู่(มันเองก็บอกมาแล้วนี่นาว่าจะจีบผม) แต่ที่ผมยังคงสงวนท่าที ทำเหมือนไม่รู้ก็เพราะว่า ผมยังไม่มั่นใจ ไม่รู้ว่าที่จริง มันกำลังทำแบบนี้เพราะนึกสนุกอะไรขึ้นมา หรือที่มันทำออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ผมยังไม่มีอะไรที่สามารถจะยืนยันได้เลย รวมไปถึงความรู้สึกของผมเองด้วยว่าตัวผมเองเนี่ยรู้สึกกับไอ้เชษฐ์มันเช่นไร
“พูดบ้าอะไรของมึง”ผมพูดเสียงดุหน่อยๆ เพื่อกลบเกลื่อนว่า ผมกำลังเขินกับคำพูดแค่นี้ของมัน
“จริงๆ ก็ไม่ได้อยากคุยเฉยๆ หรอกนะ แต่อยากทำอย่างอื่นด้วย”คราวนี้สายตาหื่นๆ ถูกส่งตรงมาที่ผม จนผมต้องขยับถอยห่างออกจากคู่สนทนา หน้าหื่น ที่ตอนนี้เหมือนเตรียมพร้อมจะตะครุบเหยื่อแล้ว
“ไอ้ทะลึ่ง”ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา เพราะดันคิดเลยไปไกลแล้ว นี่ตกลงไม่รู้ผมหรือมันกันแน่นะครับที่ทะลึ่งกว่ากัน
“ไม่ทะลึ่งสักหน่อย เค้าเรียกสัญชาตญาณที่ทุกคนพึงควรจะมี มึงเองก็ยังคิดเหมือนที่กูคิดเลยไม่ใช่เหรอ”คนพูดก้าวตามผมที่เริ่มถอยห่าง ชักรู้สึกว่าตอนนี้ผมเริ่มจะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว
“แล้วทำไมมึงต้องมาเดินต้อนให้กูชิดผนังแบบนี้ด้วย”ตอนนี้กลายเป็นว่าผมถอยหลังจนชิดกำแพงแล้ว ส่วนอีกคนก็มายืนประจันหน้าผมอยู่ห่างแค่คืบเท่านั้น
ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่ผมเพิ่งเอ่ยออกไป มีเพียงริมฝีปากร้อนที่มาสัมผัสกับริมฝีปากของผม ผมตกใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้ต่อต้านกับการกระทำของอีกฝ่าย เพราะผมดันเผลอจูบตอบอย่างลืมตัว
“นี่สำหรับที่มึงยั่วกูเรื่องไอ้การ์ด”ไอ้เชษฐ์ถอนริมฝีปากออก แต่ไม่ได้ขยับถอยห่าง ยังคงประกบตัวผมอยู่ ก่อนจะโน้มหน้ามาหาผมอีกครั้ง แล้วเริ่มไซร้ไปตามซอกคอ แล้วกัดเบาๆ ลงที่ต้นคอของผม
“อันนี้เป็นดอกเบี้ย เรื่องพี่จ๋าย”ไอ้เชษฐ์เปลี่ยนมามองหน้าผม แต่ผมไม่ได้ว่าอะไรมันออกไป เพราะตอนนี้กำลังประคองสติตัวเองไม่ให้ เผลอไผลไปกับไอ้เชษฐ์มากกว่านี้ เมื่อไม่เห็นผมพูดอะไรต่อ ไอ้เชษฐ์ก็ดูผิดหวังนิดหน่อย
“ไม่ถามเหรอว่าทำไมกูมีแค่ดอกเบี้ยในเรื่องพี่จ๋าย ไม่อยากรู้เหรอว่ากูจะคิดต้นกับมึงยังไง”ใบหน้าของอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง พร้อมกับตั้งคำถาม ลมหายใจอุ่นๆ ของเราทั้งคู่พ่นรดกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมพยายามคิดจะถอยห่างออก แต่มันก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น ก็ตอนนี้ผมหลังชนฝาแล้วนิ จะให้ถอยไปไหนได้อีก ไอ้ครั้นจะผลักไสไอ้คนตรงหน้า ก็เกรงว่าแรงผมจะสู้ไม่ไหว เพราะตอนนี้เรี่ยวแรงมันเหมือนเหือดหาย แค่จะประคองสติไม่ให้เผลอไผลไปนี่ก็จะแย่อยู่แล้ว ผมไม่อยากถลำไปมากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าทุกอย่างมันยังคงเป็นแค่เกม ผมกับไอ้เชษฐ์ก็ไม่ควรทำอะไรให้เกินเลยเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมาอีก ตอนนี้ แค่จูบมันยังพอทำใจให้ยอมรับได้ว่าไม่มีอะไร แต่ถ้ามากกว่านี้ มันคงไม่ดีแน่
“ไม่อยากรู้ และกูก็คงไม่มีทั้งต้นทั้งดอกให้มึงอีกแล้ว”ผมพยายามทำเสียงให้นิ่งที่สุดเพราะคำพูดที่ผมบอกไป มันเหมือนกำลังย้อนกลับมาทิ่มแทงใจผมเอง ใช่แล้วผมคงไม่อาจปฏิเสธได้หรอกว่าผมเริ่มมีความรู้สึกดีๆ กับไอ้เชษฐ์มากกว่าเดิม แต่มันก็แค่เพียงเล็กน้อย ถ้าผมจบมันเสียตอนนี้ ผมจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดมากมายในวันข้างหน้า หากผมดันเผลอใจไปมากกว่านี้
“มึงต้องให้กูทำยังไงเหรอตี๊ฟ”น้ำเสียงที่อ่อนโยนและแฝงไว้ด้วยความหม่นหมอง ตอบกลับมายังผมคนพูดเหมือนกำลังเหนื่อยใจเต็มทีกับคู่สนทนาอย่างผม อย่าว่าแต่ไอ้เชษฐ์เลยที่เหนื่อยใจ ไอ้ผมเองก็เริ่มจะเหนื่อยกับเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน ผมว่าระหว่างผมกับไอ้เชษฐ์มันมีเรื่องราวที่เข้ามาเปลี่ยนความสัมพันธ์อย่างเพื่อนให้เป็นอะไรที่คลุมเครือ และมันก็จะดูกระทันหันเกินไป ที่อยู่ๆ เราสองคนย้ายมาอยู่ด้วยกันยังไม่ถึงเดือน แต่ดันเกิดความสัมพันธ์ทางกายกันขึ้น ทั้งที่ตอนแรกเราต่างตั้งแง่ให้กันและกัน
“ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย เราก็แค่ต่างคนต่างเป็นเหมือนเดิม”ผมพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย ผมเองกำลังสับสนพอควร ว่าผมจะเอายังไงต่อไปดี
“เหมือนเดิมของมึง กับเหมือนเดิมของกูมันอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้นี่นา”สองแขนของคนพูดสอดโอบรัดกอดผมกระชับเข้าหา แม้จะรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกกับสัมผัสที่ได้รับ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของไอ้เชษฐ์เท่าไหร่ มันหมายความว่ายังไงกันกับไอ้ที่ว่าเหมือนเดิมของเราจะไม่เหมือนกัน คำว่าเหมือนเดิมของผมก็คือเราก็ต่างกลับไปคงความรู้สึกระหว่างเพื่อนเหมือนเดิมที่เคยรู้สึกมา
“ถ้ากูจะบอกว่า...”ยังไม่ทันที่ไอ้เชษฐ์จะพูดจบประโยคเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เราสองคนสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเสียงมันค่อนข้างดังพอควร ซึ่งไม่ใช่ของผม แต่เป็นของไอ้เชษฐ์ มันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเหมือนไม่อยากจะรับ ผมไม่ได้มองหน้าจอว่าใครโทรมา แต่ก็บอกออกไปว่าให้มันรับโทรศัพท์ก่อน
ไอ้เชษฐ์กดรับอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่นัก ส่วนผมไม่ได้อยากเป็นคนเสียมารยาทฟังมันคุยโทรศัพท์หรอกนะครับ แต่ไอ้คนที่กำลังจะคุยโทรศัพท์มันไม่ยอมปล่อยให้ผมออกจากการติดเป็นเฟอร์นิเจอร์ฝาผนังนี่สิ
“แหม๋ว มีอะไรหรือเปล่า”ชื่อคู่สนทนาในโทรศัพท์เรียกความสนใจผมได้ค่อนข้างมากทีเดียว แม้จะไม่อยากฟังเรื่องที่ไอ้เชษฐ์กำลังจะคุย แต่ยังไงเสีย ผมก็ได้ยินอยู่ดี ชื่อของแหม๋ว ที่ผมเกือบลืมไปแล้ว ว่าผมเองเหมือนเป็นต้นเหตุให้แหม๋วกับไอ้เชษฐ์ เลิกกัน ผมไม่แน่ใจว่าเค้ายังติดต่อกันอยู่อีกหรือเปล่า แต่จะว่าไปผมกับไอ้เชษฐ์ก็อยู่ด้วยกันแทบจะ 24 ชั่วโมง ผมก็ไม่เคยได้ยินว่ามันยังติดต่อกับแหม๋วอยู่ แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอกครับ เพราะตอนนี้วันนี้เค้ากำลังคุยกันอยู่ แล้วเค้าทั้งคู่ที่เคยคบหากันมา คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกแม้มันจะบอกว่ามันกำลังจีบผมอยู่ก็เหอะ เพราะอาจจะแค่พูดไปเล่นๆ อย่างนั้นเอง และ ตอนนี้แหม๋วอาจจะหายโกรธไอ้เชษฐ์แล้ว ซึ่งอาจจะกลับมาคืนดีกันอีก สมองผมคิดไปไกล จนเหมือนจะไม่รับรู้บทสนทนาที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
“ตอนนี้เลยหรอ...ได้ๆ แหม๋วใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวเราไป”ผมได้ยินประโยคสุดท้ายที่ไอ้เชษฐ์พูดก่อนจะวางสายพอดิบพอดี เราสองคนจ้องมองหน้ากันและกัน เหมือนต่างฝ่ายต่างกำลังมองให้ลึกลงไปภายในใจของอีกฝ่าย ผมเองกำลังคิดว่าเวลาของเกมระหว่างผมกับไอ้เชษฐ์อาจจะสิ้นสุดเร็วขึ้นก็เป็นได้ เพราะถ้าเกิดไอ้เชษฐ์ยอมทำตามที่แหม๋วของร้องในตอนแรกที่ให้เลือกระหว่าเกมนี้ กับตัวแหม๋ว ในตอนนั้นมันอาจจะมีทิฐิ อยู่แต่ตอนนี้ทั้งสองอาจจะอยากปรับความเข้าใจกันแล้วก็ได้
“คือแหม๋ว...เค้า...เอ่อ”ไอ้เชษฐ์กลายเป็นคนติดอ่าง แต่ผมรู้ว่ามันกำลังทำใจลำบากที่จะบอกกับผมว่าต้องออกไปหาแหม๋ว ทั้งที่จริงผมก็ได้ยินอยู่แล้วจากที่มันคุยโทรศัพท์ไม่เห็นจำเป็นที่มันจะต้องมาอ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้ อีกอย่างมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลำบากใจเลยแม้แต่น้อย เพราะผมไม่มีสิทธิ์ไปว่าอะไรมันอยู่แล้ว
“จะไปก็รีบไปสิ เดี๋ยวเค้ารอนาน”ผมบอกออกไปเสียงราบเรียบ ไม่แสดงอาการหรืออารมณ์ใดๆ
“งั้นกูไปนะ แต่บอกไว้ก่อนว่า ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดแน่ๆ ไว้กลับมาเราคุยกันต่อนะ เมื่อกี้ยังคุยกันไม่จบเลย”สำหรับมันอาจจะยังไม่จบ แต่ผมว่าผมจบแล้วนะ ผมจะพยายามไม่คิดอะไรมากมายอีกแล้ว ก็แค่ทำใจยอมรับความจริงว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกัน ผมมองหลังไอ้เชษฐ์ที่หายไปพร้อมกับประตูที่ปิดลง จะว่าไปเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่นี่นา เป็นมาตั้งแต่รู้จักกัน จนถึงตอนนี้เราก็ไม่ได้เป็นไปมากกว่านั้น เพียงแค่มีอะไรที่ผิดพลาดไปบ้างเท่านั้นเอง จากนี้ไปผมหวังว่ามันจะกลับไปเป็นในแบบที่มันควรจะเป็นเสียที
แม้จะพยายามคิดเช่นนั้น แต่ผมกลับทรุดลงนั่งกับพื้นตรงที่เดิม ยังไม่ได้ขยับไปไหน ทำไมผมเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมานะ เหมือนถูกทิ้งยังไงไม่รู้ ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยสิ ให้ตายเถอะ คงเพราะผมเป็นคนขี้เหงาเกินไปหรือเปล่า คงต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ การที่ผมต้องมีเพื่อนเป็นโขยงเหมือนทุกวันนี้ก็เพื่อชดเชยส่วนนี้แหละครับ ผมไม่ชอบการต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ผมเลยกลายเป็นเหมือนคนติดเพื่อน และการที่เมื่อก่อนผมเปลี่ยนแฟนบ่อย ก็อาจมาจากเหตุนี้ด้วยเช่นกันแหละมั้ง การที่พอเลิกกับใครสักคน เราต้องหาคนใหม่มาทดแทน มันก็เพื่อให้เติมเต็มอะไรที่หายไปนั่นเอง
แต่พอเลิกกับมาบ ผมก็มีไอ้เชษฐ์ที่เหมือนมาเติมเต็มในส่วนนั้น แม้จะไม่ใช่ในฐานะแฟน แต่การที่มีคนอยู่ด้วยมีคนไปไหนมาไหนด้วยทุกวันแทบจะ 24 ชั่วโมง มันก็ช่วยให้คนอารมณ์เหงาๆ อย่างผมไม่หว้าเหว่ได้ดีทีเดียว แล้วถ้าเกมระหว่างผมกับไอ้เชษฐ์จบลง ผมจะเป็นยังไงต่อไปกันนะ ต้องกลับไปสู่วัฏจักรเดิมหรือเปล่า กับการมีแฟน คนแล้วคนเล่า แต่ไม่มีใครที่จะมาเคียงข้างตลอดไป
และนี่เองแหละครับที่ทำให้ผมกลายเป็นคนขี้เหงา การที่ผมมีความชอบในเพศเดียวกันมันทำให้ผมคิดเสมอว่า ตัวเองไม่มีคู่แท้ ทำให้มันก่อเกิดเป็นความเหงาเรื้อรังสำหรับผม แต่การจะกลับไปสู่วัฏจักรเดิม ผมก็เหนื่อยเต็มทีแล้ว หรือผมจะย้ายกลับไปอยู่บ้าน ไม่ต้องออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ อีกไม่นานเรียนจบยังไงก็ต้องทำงานกับที่บ้าน ย้ายกลับไปอยู่บ้านอยู่ดี อย่างน้อยที่บ้านผมก็ยังมี พ่อแม่ แล้วก็คุณพี่ชาย พอทำงานแล้วผมอาจจะไม่มีเวลาเหงาเลยก็เป็นได้ เพราะเห็นพอทำงานทีตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อตเหมือนกัน หากผมเอาแต่ทำงานมันก็น่าจะช่วยให้ลืมๆ ปมในใจกับการที่จะไม่มีคู่ของผมไปได้บ้างแหละน่า แม้คนส่วนใหญ่ ใครๆ เค้าก็มีคู่กันทั้งนั้น แต่ก็ยังมีคนที่ไม่มีคู่อยู่บ้างแหละน่า แล้วมันจะแปลกอะไรที่ผมจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
“เฮ้อ...”ผมถอนหายใจกับตัวเองอย่างปลงๆ
คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำๆ ให้ตัวเอง นี่ผมมานั่งทำอะไรกันนะ ตกลงว่าชีวิตนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้เจอคู่แท้จริงๆ เสียละมั้ง แล้วผมหวังอะไรอยู่เหรอ หวังว่าจะเจอใครคนนั้น หรือหวังว่าคนๆ นั้นจะเป็นคนใกล้ตัวผมเอง
แวะมาอัพต่อ
ส่งท้ายปี
อาจจะมาอัพอีกทีหลังปีใหม่เลยนะครับ
ขอตัวไปเที่ยวก่อน อิอิ
Happy New Year 2015