ตอนที่ 34 ครึ่งหลัง
(อ่านจบแล้วอย่าลืมอ่านช่วงพูดคุยน้าา เราจะแก้ตัวแทนคุณยะเองงง)
“หยุดทำอะไรโง่ๆ สักที” เขาคว้าแขนผมไว้ก่อนที่ผมจะเดินผ่านเขาไป
“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร” ผมแกล้งไม่รู้ ตีหน้างง ว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเรื่องที่ผมไปยุ่งกับคนของเขา “แล้วก็ปล่อยผม ผมจะกลับบ้าน” ผมบอก จะดึงแขนออกมาก็ไม่ได้เพราะอีกฝ่ายไม่เบาแรงบีบแขนผมลงเลย
“มีเรื่องโง่ๆ หลายอย่างสินะที่เธอทำ”
ใช่!
แต่ละเรื่องโง่ๆ ที่ผมทำก็เพราะเขาทั้งนั้น!
“อย่ายุ่งกับเลม่อน”
“ผมไม่จำเป็นต้องเชื่อคุณ” ผมเชิดหน้าตอบกลับไปอย่างท้าทาย “กลัวคนของคุณจะเปลี่ยนใจมาหาผมหรือไง ถ้ากลัวก็จับล่ามไว้สิ!” ทำเป็นหวงก้าง ในใจผมทั้งเดือดทั้งเจ็บ คำพูดของเขาแสดงความหึงหวง อาการบนใบหน้าและแววตาที่จ้องผมเขม็งนั้นฟ้องอย่างชัดเจนว่าโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรแล้ว
โกรธผมมากสินะที่ไปยุ่งกับคนของตัวเอง
ผมก็โกรธเหมือนกันเขาเหมือนกันที่แต่พี่เลม่อน!
“เธออยากได้อะไรพี” มืออีกข้างของเขาคว้าหมับเข้าที่เอวตอนถามผมด้วยคำถามที่เขารู้คำตอบดีอยู่แล้ว ผมรีบยกมือดันแผ่นอกกว้างเอาไว้ เมื่อเขายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกจะแตะกันอยู่แล้ว แต่นั่นก็ทำให้ลำตัวด้านล่างแนบแน่นมากยิ่งขึ้น “อยากได้ฉันอย่างนั้นเหรอ?”
และไม่รอเอาคำตอบ เจ้าของคำถามก็ใช้กำลังที่มีมากกว่าผมเพราะร่างกายที่หนากว่าดันตัวผมกลับเข้าไปในห้อง พร้อมกับปิดประตูและล็อกอย่างรวดเร็ว
“จะทำอะไร!” ถามทั้งที่พอจะคาดเดาได้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ก็จะไม่ให้ผมรู้ได้อย่างไรในเมื่อตอนที่ร่างกายช่วงล่างแนบกันอยู่นั้น ความร้อนระอุแบบไหนที่ผมสัมผัสได้จากเนื้อตัวของเขา
“ทำทุกอย่างที่เธออยากได้จากฉัน” ระหว่างที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา ผมก็ถูกเขาลากตัวมาจนถึงเตียง ก่อนจะถูกดึงลงไปนอนอยู่ใต้ร่างหนาอย่างง่ายดาย
ความคิดขัดขืนนั้นผมมีเต็มร้อย แต่ดวงตาสีราตรีที่จ้องลงมาทำให้ผมได้แต่ขบกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยู่ในอกจนแทบระเบิดออกมาเป็นถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความโหยหา
“อยากให้ฉันทำกับเธอแบบไหน?” เขายังคงป้อนคำถามที่ตั้งใจเยาะเย้ยถากถางผม
“...” ริมฝีปากของผมถูกขบจนรู้สึกเจ็บ ผมหันหนีสายตาที่กวาดมองไปทั่วใบหน้าผม กับริมฝีปากที่ยกยิ้มนิดๆ ตรงมุมปากของเขา ฝากสายตาไว้กับผนังห้อง ก่อนจะปิดเปลือกตาลงทันทีที่ปลายจมูกโด่งกดลงบนผิวแก้มเห่อร้อน
“คิดถึงฉันมากไหม”
...มากสิ! มากเสียจนสามารถนอนร้องไห้ตั้งแต่ตอนกลางคืนจนถึงตอนเช้าได้เลยนะ แต่ผมไม่ตอบความจริงที่ทำให้ตัวเองพ่ายแพ้ออกไปหรอก!
“ทำไมไม่ตอบล่ะ หรือว่าไม่เคยคิดถึงฉันเลย”
...ไม่เคยไม่คิดถึงเลยต่างหาก แต่ก็ตอบกลับไปไม่ได้
“อยากให้ฉันปล่อยไหม”
...เอาความจริงก็คือไม่
“ไม่ตอบ แสดงว่าอยากให้ฉันกอดเธอไว้ทั้งคืน”
...อยากให้คนคนนี้กอดผมไปตลอดทั้งชีวิตมากกว่าแค่คืนนี้คืนเดียว เพราะผมเป็นคนโลภมาก อยากได้เขาเป็นของผมคนเดียว ไม่อยากแบ่งเขาให้ใคร แต่จะให้ใช้เขาร่วมกับคนอีกหลายคน และต้องกลายเป็นแบบที่เมื่อชั่วโมงก่อนเคยพูดใส่หน้าพี่เลม่อนเอาไว้ หัวใจผมคงถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน
พอเขาถามหรือพูดอะไร ผมก็เอาแต่เงียบอยู่ใต้ร่างของเขา หรือเขาอาจจะคิดว่าความเงียบของผมคือคำยินยอมให้เขาทำอะไรก็ได้ตามที่เขาสรุปเมื่อกี้ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดต่อ แต่ใช้มือดึงใบหน้าผมให้กลับไปหาเขา
ถึงแม้ดวงตาของผมจะซ่อนอยู่หลังเปลือกตาอย่างมิดชิด แต่ก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพียงแค่วินาทีเดียวริมฝีปากหนาของเขาก็กัดกินริมฝีปากผมอย่างอ้อยอิ่ง กระตุ้นความรู้สึกมากมายให้ถาโถม โดยเฉพาะจุดที่ไวต่อสัมผัสที่โดนเสียดสีไปพร้อมกัน
“ยังเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงทุ้มต่ำดังคลอชิดริมฝีปาก ก่อนเรียวลิ้นชื้นจะแทรกตัวเข้ามาภายในโพรงปากอย่างง่ายดาย เป็นผมเองที่เต็มใจ ไม่ต่างจากคนใจง่าย
ยามที่เรียวลิ้นของผมสัมผัสเกี่ยวพันกับลิ้นร้อนของเขานั้น ผมอยากให้เวลาหยุดอยู่แค่นี้ หยุดอยู่แค่ว่าเขาจูบผมอย่างอ่อนโยน เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง มันเหมือนกับว่าเขาก็คิดถึงผมเหมือนกัน เขายังต้องการผม และผมเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับความรู้สึกรักจากเขา
ยิ่งผมหวังแบบนั้น ผมก็ยิ่งเต็มไปด้วยความปรารถนา กล้าที่จะเปลี่ยนจูบอ่อนโยนของเขาให้กลายเป็นความร้อนแรงแสนเร่าร้อน เกี่ยวกระหวัดเปลี่ยนลิ้นเข้าหากันด้วยความรู้สึกอยากกลืนกินจนไม่เหลือให้ใครได้มันไป แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวผมก็ไม่ยอม
ผมบุกรุก และเป็นผู้นำ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงทำแบบนี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมทำได้และดูเหมือนอีกฝ่ายก็พอใจมากทีเดียว แต่ก็เอ่ยประชดออกมาตอนที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่ผละออกจากกันเพื่อเต็มอากาศเข้าไปในปอด
“เก่งขึ้นเยอะเลยนะ” เสียงเขาติดจะหอบ แต่ผมหอบหนักยิ่งกว่า เพราะเราจูบกันนานมาก นานมากจริงๆ จนรู้สึกได้เลยว่าปากของตัวเองบวมเป่งไปแล้ว
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง” ผมประชด เพราะคิดว่าคำถามของเขาก็เป็นคำประชดผมเหมือนกัน
“ไม่ดีหรอกพี” เขาส่ายหน้าช้าๆ ขณะที่มือจับชายเสื้อยืดดึงออกจากตัวผม โดยมีผมที่ให้ความร่วมมืออีกตามเคย ด้วยการไม่ขัดขืนได้ ได้แต่นอนมองหน้าเขาด้วยความร้อนของใบหน้าตัวเอง ความร้อนจัดที่ลุกลามไปจนทั่วร่างกาย
ทำไมผมไม่ขัดขืน
อย่าถามเลย ผมไม่มีคำตอบ มีแต่ร่างกายที่ยินยอมไปอย่างง่ายดาย มันเป็นไปตามความรู้สึกโหยหา นานเท่าไรแล้วที่ร่างกายผมไม่ถูกสัมผัสแสนอ่อนโยนของเขาโอบกอดเอาไว้
ไม่ใช่แค่เสื้อยืดที่ห่อหุ้มร่างกายส่วนบนพ้นออกจากตัว กางเกงที่ปกป้องร่างกายส่วนล่างไว้ก็ถูกดึงออกจากขาในเวลาไล่เลี่ยกัน ตอนนี้ตัวผมไม่เหลืออะไรเลยนอกจากผิวเนื้อที่ขึ้นสีระเรื่อ ทอดเรือนร่างที่แปลกไปจากเมื่อเก้าปีก่อนให้สายตาคมกริบโลมเลีย
ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมกำลังถูกสายตาสีราตรีที่เป็นประกายแวววาวจ้องโลมเลียให้รู้สึกถูกความปรารถนาเผาผลาญ ราวกับว่าเจ้าของมันกำลังเห็นของถูกใจ สายตาแบบนี้ก็ไม่ต่างจากเมื่อเก้าปีก่อนเลย เขาก็ใช้สายตาแบบนี้มองผม
“คุณบอกว่าไม่ชอบรูปร่างของผม” คำพูดของคนที่ใช้สายตาโลมเลียร่างกายผมไปด้วย และแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองไปด้วยนั้น ย้อนกลับเข้ามาในหัวของผม คืนนั้นที่บันไดของชั้นใต้ดินตรงมุมลับตาคน
เขาพูดว่า
‘รูปร่างแบบนี้ ไม่มีตรงไหนที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากสัมผัส’
“...แต่ก็มองตาไม่กะพริบเลยนะครับ” ไม่รู้เอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ก็นั่นแหละ ผมมั่นใจว่าเป็นอย่างที่ตัวเองพูดใส่หน้าพูดจริงๆ
“เมื่อไร?” คิ้วเข้มเลิกสูงเป็นเชิงปฏิเสธ เสื้อเชิ้ตพ้นจากลำตัวกำยำและร่วงลงไปกองพื้นข้างเตียงรวมกับเสื้อผ้าทุกชิ้นของผม
“วันที่ผมเอาน้ำส้มสาดหน้าคุณไง” ผมตอบอย่างหมั่นไส้ท่าทีแสนสบายของเขา พลางโน้มตัวลงมาหาผมอีกครั้ง อีกนิดเดียวปลายจมูกของเขาก็จะชนกับปลายจมูกของผม
“อ้อ... วันที่เธอจูบกับเมียคนอื่นงั้นเหรอ?” ยิ้มของเขาอยู่ใกล้เสียจนอยากจะผลักตัวเขาออกไป ทว่าสองมือของผมก็ทำได้แค่วางทาบไปบนแผ่นอกกว้าง ความอุ่นซ่านอยู่ภายใต้ฝ่ามือ
...ตัวเขาก็ร้อน ไม่ต่างจากผมเลย
“ตั้งแต่เมื่อไรพี ที่เธอชอบไปยุ่งกับเมียของคนอื่น” เขาถาม ริมฝีปากกลับไม่ได้อยู่ตรงหน้าผมเสียแล้ว มันเคลื่อนตัวลงไปอยู่แถวซอกคอเป็นที่เรียบร้อย เขาทั้งจูบ ทั้งดูด และกัด ถึงจะทำอย่างนั้นปากก็ยังเอ่ยคำพูดออกมาได้เรื่อยๆ “เธอรู้บ้างไหมพี ว่าฉันต้องเปลืองคำขอโทษมากแค่ไหน ต้องขอให้พวกนั้นไม่เอาเธอถึงตาย โทษฐานที่ไปยุ่งกับของรักของหวงของคนอื่น คราวหน้าจะทำอะไรให้คิดบ้าง”
“ใครใช้คุณล่ะ...อื้ออ” ผมเถียงกลับ ไม่ทันไรก็ถูกลงโทษด้วยจูบหนักหน่วงที่ทำให้ความรู้สึกภายในพุ่งทะยาน สองมือของเขาบีบเคล้นไปตามร่างกายเปลือยเปล่าของผม ไล่ลงไปจนถึงจุดอ่อนไหวที่แข็งขืนจนปวดหนึบ สิ่งที่อยู่ภายในอัดแน่นรอเวลาไหลทะลัก ทั้งที่แค่เริ่มต้น ร่างกายของผมกลับตอบสนองสัมผัสของเขาได้รวดเร็วเหลือเกิน
สัมผัสที่คุ้นเคยกับอุ้งมือร้อนจัด... ที่ผมไม่เคยปฏิเสธได้เลย และไม่ปฏิเสธได้เลยว่าผมโหยหาสิ่งเหล่านี้จากเขาด้วยเช่นกัน
“พี...จำสัมผัสของฉันได้ไหม”
...ไม่เคยลืม ผมตอบคำถามของเขาโดยไร้เสียงพูด
“อ๊า...คุณ...ยะ...อืออ...” มือของเขาที่รูดดึงอย่างเป็นจังหวะทำผมหลุดเสียงครางอย่างห้ามไม่อยู่ แผ่นหลังกับบั้นท้ายแทบไม่ติดเตียง ทุกอย่างที่อยู่ในสายตาเริ่มพร่ามัว ขวาโพลนและแตกสลายอยู่ในกำมือของเขา
แผ่นหลังของผมกลับลงมาสัมผัสกับผ้าปูเตียงอีกครั้ง เสียงหอบหายใจของผมดังแรงฟ้องความสุขสมที่ถูกปลดปล่อยออกมา พอความขาวโพลนจางลง การมองเห็นเริ่มชัดเจนขึ้น เป็นไปได้ผมก็อยากตาบอดชั่วคราว เพื่อจะได้ไม่ต้องมองเห็นรอยยิ้มของคนที่เหยียดกายตรงอยู่ตรงหน้า เขายิ้มจนตาพราวระยับ บ่งบอกว่าทั้งถูกใจ พอใจ และเย้าแหย่ความอ่อนด้อยของผม ที่แค่ใช้มือปลุกเร้า ผมก็สุขสมได้ในเวลาอันน้อยนิด
“เสียดาย” เขาเอ่ยออกมา
“...?” ผมมองตามสายตาของอีกฝ่าย จนไปเจอสิ่งที่อยู่ในอุ้งมือ ไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าคืออะไร... ก็ความอ่อนด้อยของตัวผมเองไง ที่เขาใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ทำให้มันทะลักทลายออกมา แถมยังเยอะมากด้วยเพราะเป็นเดือนแล้วมั้งที่ผมไม่ได้นอนกับใคร ไม่ได้ช่วยตัวเองด้วย เพราะชีวิตช่วงที่ผ่านมาผมก็มีแต่ความทุกข์ใจจากการกระทำของคนร่วมเตียงในตอนนี้ ซ้ำยังต้องเร่งสะสางงานก่อนกลับไปอเมริกา... และตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถาวร
ไม่เข้าใจในคราวแรกว่าคุณยะพูดคำว่า ‘เสียดาย’ ออกมาทำไม เขาเสียดายอะไร มาเข้าใจก็ตอนที่ขาสองข้างถูกจับแยกจากกันและร่างร้อนผ่าวของอีกฝ่ายแทรกกายเข้ามาอยู่ตรงกลาง มือข้างที่สะดวกที่สุดเอื้อมขึ้นมาดึงหมอนใบใหญ่ที่วางอยู่ข้างศีรษะผมลงไป ใช้มันรองสะโพกผมให้สูงขึ้น
“เสียดายที่ไม่ได้ชิม” ยิ้มร้ายกาจกับดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ มันทำให้ผมแทบลืมหายใจ ลืมแม้กระทั่งจะต่อต้าน หน้าของผมร้อนจัดจนคิดว่าอีกนิดคงได้มอดไหม้
“หน้าไม่อาย...” ผมดับกองไฟบนผิวหน้าด้วยคำด่า ที่คิดว่าตวาดไปสุดเสียงแล้ว กลับพบว่าเบาเหลือเกิน ยังกับว่าไม่หลุดออกมาจากลำคอเสียด้วยซ้ำ
เขาแค่ยกยิ้มที่มุมปาก ส่วนผมก็ได้แต่ทอดกายอ่อนล้าหลังการปลดปล่อยและมองดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง
...อย่า
คำที่ควรจะหลุดออกมาจากริมฝีปาก ตอนที่นิ้วชุ่มลาวาสีขาวข้นแทรกตัวจากปากทางเข้าสู่ความคับแน่นภายใน มิหนำซ้ำยังไม่กล้าให้ความเจ็บปวดหลุดรอดออกมาจากลำคอ เพราะไม่อยากให้การกระทำที่พยายามจะนุ่มนวลที่สุดของเขาสะดุดลง แม้ผมจะเจ็บมากก็ตาม ก็น้ำรักของผม มันไม่ได้มีคุณภาพเทียบเท่ากับเนื้อเจลที่เป็นสารหล่อลื่นซะหน่อย
ในส่วนที่ลึกที่สุด ที่มันซื่อตรงที่สุดนั้น หวังไว้สูงมากว่าหากผมกับเขากลับมามีอะไรกันอีกครั้ง ความผูกพันที่เคยมีร่วมกันเหมือนอย่างในภาพวาดสีน้ำมันจากปลายพู่กันของศิลปินคนดังจะหวนกลับคืนมาได้ ผมหวังว่าร่างกายและช่องทางที่รองรับตัวตนของเขาเอาไว้ จะทำให้เขาหลงใหลและไม่ยอมปล่อยมือจากผม
“เจ็บเหรอ?” คำถามของเขาดึงผมออกมาความคิดที่เต็มไปด้วยความหวัง เพิ่งรู้ตัวว่ามือทั้งสองกำผ้าปูเตียงไว้แน่นทีเดียว
ผมรีบส่ายหน้า ก่อนจะหลบสายตาที่มองมาอย่างหยอกเย้าในความต้องการที่ปิดไม่มิดของผม
...ผมต้องการเขา ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างจากเขา ทั้งการกระทำและความรัก
“ถ้าไม่เจ็บ” เขาพูดปนรอยขำ “ฉันจะเพิ่มทีเดียวสามนิ้วเลยนะ”
เขาแกล้งผม และยังคงแกล้งอย่างต่อเนื่อง เวลาแบบนี้ที่ทั้งเขาและผมต่างเหลือแค่ตัวเปล่าๆ ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นปกปิดร่างกาย เขาก็ยังมีอารมณ์สรรหาคำพูดมาทำให้ผมรู้สึกอับอาย
“หรือว่าแค่สามนิ้วมันไม่พอ ต้องมากกว่านี้หรือเปล่า” เขาไม่ได้แค่พูดแต่ทำไปพร้อมกัน จากที่มีแค่นิ้วเดียวที่แทรกตัวผ่านเข้ามาและทำให้ร่างกายผมเหมือนถูกจับแยกออกจากกัน ไม่ทันให้ผมได้ผ่อนความเจ็บปวดลง อีกสองนิ้วก็แทรกตัวเข้ามาแย่งพื้นที่คับแคบไปเสียแล้ว
“อึก...” เจ็บก็ยังต้องกัดฟันทน โทษใครไม่ได้เลย นอกจากตัวเองที่ต้องการสิ่งที่จะได้หลังผ่านความเจ็บปวดนี้ไป... ไม่ว่าใครก็ต้องการถูกคนที่เรารักโอบกอด ผมก็ด้วยเหมือนกัน
“ไหวหรือเปล่า” เป็นคำถามที่เอาไว้ใช้ให้ผมอับอายและท้าทายอยู่ในคราวเดียวกัน “ไม่ไหว ฉันจะได้หยุดทำ ไม่อยากรังแกเด็ก” ซึ่งก็ได้ผลเสียด้วย
“ก็ทำไปสิ!” ผมโพล่งออกไปอย่างเหลืออด ความร้อนบนผิวแก้มละลายไปกับคำพูดที่ชอบยั่วแหย่ให้ผมสิ้นความอดทน ก่อนสำทับลงไปอีกว่า “อย่าพูดมาก!! จะทำก็ทำไป ทำเสร็จเมื่อไร ผมจะได้กลับเสียที” เป็นคำพูดที่ไม่ตรงกับความต้องการในหัวใจเลย
“อยากไปก็ไปสิ ใครดึงขาเธอไว้ล่ะพี” เขาสวนกลับคำพูดของผมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนิ้วที่ถอนออกมาและทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า
ความรู้สึกตอนนี้เหมือนว่าตัวเองถูกโยนทิ้ง ไม่ต่างจากของไร้ค่า ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว ใบหน้าที่ระบายด้วยสีแดงก่ำเมื่อครู่คงเหลือทิ้งไว้แค่สีซีดจาง ไม่ต้องมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ผมก็เดาสีบนใบหน้าของตัวและริ้วรอยความสิ้นหวังที่ระบายอยู่บนนั้นได้อย่างชัดเจน
ผมปิดเปลือกตาลงช้าๆ อยากเอาตัวลุกออกจากเตียง ใส่เสื้อผ้า และออกไปจากห้องให้เร็วที่สุด กลับไปร้องไห้ให้กับความไร้ค่าของตัวเอง แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตาม ที่ทำได้ในเวลานี้คือกลั้นก้อนสะอื้นไม่ให้หลุดออกมาฟ้องความไร้ค่าของตัวเองเท่านั้น
ห้ามเสียงของความเจ็บปวดได้ แต่กลับห้ามความอุ่นร้อนที่ไหลออกมาจากเปลือกตาที่ปิดสนิทได้เลย
“ฮึก...” สุดท้ายก็ห้ามไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งน้ำตา ทั้งเสียงสะอื้น
“ขี้แย” คำที่มาพร้อมกับร่างกายแข็งแกร่งที่โน้มลงมา ก่อนริมฝีปากหนามอบความหวานที่ทำให้สายน้ำตาหยุดไหลได้ในทันที
ผมเผยอริมฝีปากรับเรียวลิ้นของอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ สองมือที่เคยจิกทึ้งผ้าปูที่นอนยกขึ้นมาโอบกอดแผ่นหลังหนาเอาไว้ ราวกับจะเหนี่ยวรั้งไม่ให้เจ้าของมันทอดทิ้งผมไปอีกครั้ง ไม่ใช่แค่จูบดูดดื่มที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ มือของเขาก็ร้อนแรงไม่ต่างกันเลย
สองมือร้อนๆ ปลุกเร้าร่างกายของผมอย่างช่ำชอง น้ำหนักมือที่ลงไปในแต่ละหนชวนให้แผ่นหลังกับบั้นท้ายไม่ติดกับที่นอนได้เสมอ
“อยากให้ฉันทำอะไรเธอ” เมื่อริมฝีปากผละออกจากกันก็มีคำถามตามมาทันที ลูกตาสีดำหวานฉ่ำที่ผมมองสบนั้น ราวกับว่ารู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังตอบคำถามนั้นออกไป
“อยากให้กอด”
“ตอนนี้ก็กอด”
“ไม่ใช่!” ผมเผลอตวาด แต่ก็รีบปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง เพราะกลัวจะทำให้เขาโมโห แล้วหยุดทุกสิ่งทุกอย่างลง “ไม่ใช่กอดแบบนี้”
“แล้วกอดแบบไหน” ตาเป็นประกายระยิบระยับ ฟ้องว่ากำลังถูกอกถูกใจที่ได้ต้อนผมให้จนมุมต่อความต้องการของตัวเอง
“ใส่เข้ามา” ผมหลับตากลั้นใจพูด ความร้อนบนใบหน้าทะลุดาวอังคารไปแล้วมั้ง
“น้องพีคนดี...อยากให้ฉันใส่อะไรเข้าไป” เสียงทุ้มหยอกเย้า ริมฝีปากแวะเวียนอยู่แต่กับผิวแก้มร้อนจัดของผม พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ย้ายไปกอบกุมส่วนอ่อนไหวที่เริ่มปวดหนึบ แล้วก็บีบเค้นหนักบ้าง เบาบ้าง สลับกับรูดดึงปลุกอารมณ์ให้ปั่นป่วน ให้สิ่งที่อัดแน่นอยู่ในนั้นทะลักออกมาอีกครั้ง
“อืออ..คุณยะ...อย่าแกล้ง”
“ฉันไม่ได้แกล้ง”
บอกว่าไม่แกล้งแต่กลับหยุดมือ ทิ้งขว้างอารมณ์ของผมอย่างไม่ไยดี ความทรมานที่ไต่สูงขึ้นกลายเป็นน้ำตาที่ไหลออกมา
“ฮึก...คุณยะ...” พอผมจะดับความทรมานด้วยมือของตัวเอง อีกฝ่ายก็รวบมือผมไว้ด้วยมือข้างเดียว มัดอิสรภาพของมันไว้บนหน้าท้องที่เกร็งแน่นของผม “...ฮึก...ปล่อยผม...ผมไม่ไหวแล้ว...อา...”
ความรู้สึกทรมานกำลังวิ่งพล่านหาทางออก
“บอกฉันมาก่อน” ริมฝีปากของเขาประทับลงมาบนหน้าผากที่ชื้นเหงื่อจากความทรมานที่หาทางออกไม่เจอ “...ว่าเธอรักใคร”
“รักคุณยะ” ผมตอบออกมาอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ไม่ใช่เอาใจเขา หรือหวังให้เขาปลดปล่อยผมออกจากความทรมานที่คับแน่นอยู่ภายในแก่นกายที่เหยียดตรง แต่มันเป็นคำตอบเดียวที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผม “น้องพีรักคุณยะ...คนเดียว”
มีแค่เขาคนเดียวที่เป็นคำตอบของคำถามนี้ ผมไม่เคยรักใครนอกจากเขา เคยรักยังไงก็ยังรักเหมือนเดิม เวลาเกือบสิบปีไม่เคยทำให้ผมหยุดรักคนคนนี้ได้เลย
“คนดี” เสียงทุ้มนุ่มนวล “ฉันก็เหมือนกัน”
เหมือนกัน!
คำคำนี้ทำเอาดวงตาที่พร่ามัวด้วยความทรมานเบิกกว้าง ผมเห็นความรักในดวงตาสีราตรีลึกล้ำ แต่เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วินาที ก่อนภาพนั้นจะขยายใหญ่จนมองไม่เห็นอะไร นอกจากสัมผัสร้อนแรงที่กวาดต้อนอยู่ภายในอุ้งปากตัวเอง ผมตอบรับเรียวลิ้นที่เข้ามาพัวพันอย่างร้อนแรงไม่ต่างจากอีกฝ่าย รู้สึกว่าใส่ทั้งความรักความหลงใหลไปในรสชาติหวานล้ำนี้ด้วย
ส่วนล่างก็ได้รับการปรนเปรออย่างที่สุดด้วยมืออุ่นร้อนแสนชำนาญ ที่ดึงรั้งให้ผมทะยานขึ้นสูง ร่างกายร้อนผ่าวจวนเจียนปริแตกในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
“ผม...อ๊ะ...รักคุณ...ยะ...” ในสติที่พร่าเลือนเพราะความเร่าร้อนในกายที่ไต่สูง สิ่งที่หลุดออกมานอกริมฝีปากคงมีแค่เสียงครางพร่าสั่นตามแรงอารมณ์ที่โหมไหม้ ก็มีแค่คำของหัวใจที่ร่ำร้องเรื่อยมา
“ฉันรู้” เสียงทุ้มขานรับ ริมฝีปากของเขาวนเวียนอยู่ผิวแก้มและริมฝีปาก ขณะที่มืออุ่นร้อนเร่งเร้าด้วยความเร็วและแรงจนกระทั่งถึงจุดที่ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป
“คุณยะ...อ๊ะ...อ่า...” ร่างกายเกร็งแน่นก่อนจะปลดปล่อยลาวาสีขาวขุ่นออกมา ผมเหนื่อยไม่ต่างจากวิ่งมาหลายสิบกิโลเมตร ทิ้งร่างแนบไปกับเตียงนอนอย่างไรเรี่ยวแรง คิดว่าผ่านช่วงทรมานแสนสุขสมไปแล้ว ผมคงได้พักให้ลมหายใจกลับมาเป็นปกติเสียก่อน แต่ก็คิดผิด เมื่อร่างกายหนายกตัวจากไป ต่อมาสะโพกผมก็ถูกยกขึ้น รับรู้ถึงปลายนิ้วแข็งแกร่งที่ชุ่มน้ำรักของตัวเองแทรกตัวเข้ามาภายในช่องทางคับแคบทีละนิ้ว ทว่าช่วงเวลาที่เพิ่มเข้ามานั้นห่างกันแค่ไม่กี่วินาที
“อึก!...คุณยะ...ผมเจ็บ...” ทั้งเจ็บทั้งจุก น้ำตาพานจะไหล คล้ายได้ยินเสียงปากทางรักฉีกขาดอีกด้วย อีกฝ่ายก็คล้ายจะอ่านความคิดผมออก ถึงได้เอ่ยบอกออกมาว่า
“ฉันไม่ทำให้เธอมีแผลหรอก” เสียงนั้นทุ้มหวานปนไปกับอารมณ์ร้อนแรงของร่างกายกำยำ ตัวผมปลดปล่อยไปแล้วสองครั้ง ส่วนความแข็งแกร่งและร้อนระอุของเขายังคงอัดแน่นอยู่อย่างนั้นและยังไม่ได้รับการปลดปล่อย
“อะ...อ่า...” ผมกัดฟันทน จิกเล็บลงบนเตียงนอน รับรู้ถึงนิ้วแข็งๆ ที่หมุนวนอยู่ภายในช่องทางด้านหลัง จากนั้นความเจ็บปวดก็เริ่มจางลง จนเปลี่ยนเป็นความรู้สึกใหม่ที่ฉุดให้ส่วนกึ่งกลางตัวกลับมาอึดอัดอีกครั้ง
“คนดี” จุมพิตเบาๆ บนหน้าผากชื้นเหงื่อ แล้วผละออกไป ก่อนนิ้วทั้งหมดจะถูกถอนออกแล้วแทนที่ความว่างเปล่าทั้งหมดด้วยตัวตนแข็งกร้าวและร้อนระอุด้วยสิ่งอัดแน่นอยู่ภายในที่เสียบแทงเข้ามาอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าทั้งหมดที่เขามีด้วย
“อ๊ะ!!...อืออ...” น้ำตาผมร่วงทันทีที่ถูกบุกรุกรวดเดียวจนมิด ร่างกายร่วงหล่นสิ้นเรี่ยวแรงเพราะความเจ็บที่โถมเข้ามา ทำเอาลมหายใจขาดหาย คล้ายจะตายเสียให้ได้
“สั่งสอน” เขาโน้มตัวลงมาหา “อย่าเอาของของฉันไปให้ใครชื่นชม... ตรงนี้เป็นของฉันคนเดียว” ท้ายประโยคเขาลงเสียงกร้าว และย้ำว่า ‘ตรงนี้’ คือตรงไหน ด้วยการถอนตัวตนแข็งกร้าวออกมาจากช่องทางคับแคบ ก่อนจะกระแทกกลับเข้าไปอย่างแรงจนตัวผมพุ่งไปข้างบน สองมือของผมยกขึ้นกอดแผ่นหลังกว้างโดยอัตโนมัติ จิกเล็บลงบนผิวกายร้อนจัดนั้น
“อ๊ะ...” เจ็บจุกจนร้องไม่ออก น้ำตาไหลเป็นทางยาวจากหางตา
“เธอเป็นของฉัน” เขาย้ำลงมาอีก การกระทำเบื้องล่างไม่ต่างจากบทลงโทษ ทว่าน้ำตาที่ไหลเพราะความเจ็บปวดที่ถูกเสียบแทงเข้ามานั้นกลับได้รับการเอาอกเอาใจจากริมฝีปากที่จูบซับอย่างอ่อนโยน “...เป็นของฉันได้แค่คนเดียว”
“แล้ว...อึก...คุณยะ...อ๊า...ล่ะ...อ่า...เป็นของ...น้องพีคนเดียว...ได้ไหม...” ตัวตนร้อนระอุที่เคลื่อนไหวเป็นจังหวะหนักหน่วงทำให้เอ่ยแต่ละคำออกมาได้อย่างยากลำบาก ซ้ำยังถูกปล่อยออกมาพร้อมกับเสียงครางที่เกิดจากเจ็บจุกและสุขสมอีกด้วย
“แน่นอนพี”
.
.
.
อ่านต่อด้านล่าง