(2/2)
“ใช้กล่องพยาบาลในห้องฉันแล้วกัน เดี๋ยวเลือดนายเลอะโซฟาแล้วแม่จะดุเอา”
“นี่นายมีกล่องพยาบาลอยู่ในห้องนอน? ” ร่างซึ่งเล็กกว่าเลิกคิ้วเล็กน้อย มองเจ้าของบ้านผลักเปิดประตูห้องนอน
“ฉันเล่นกีฬา ไอ้พวกแผลถลอกก็ได้กลับมาบ่อย ทำแผลในห้องนอนตัวเองมันสะดวกกว่า ไม่ต้องถามนั่นถามนี่มากน่ะ ส่งแขนมา” เด็กหนุ่มผมดำกลอกตาเล็กน้อย พลางยื่นแขนข้างที่บาดเจ็บส่งให้แต่โดยดี
“เพราะไม่อยากให้แม่รู้? ” มือใหญ่ที่ถือสำลีเพื่อล้างทำความสะอาดแผลชะงักเล็กน้อย ต่อมาก็กดลงบนแผลถลอกของเจ้าของคำถามแบบไม่ได้เบานัก
“โอ๊ย ไอ้$@&@ (* เจ็บนะเฟ้ย ปล่อยเลย ฉันทำเอง!! ” คนเจ็บพยายามดึงแขนกลับ ทว่าเพราะแรงจับอีกฝ่ายมากไปถึงพยายามสะบัดแล้วก็ขยับไม่ได้
“นิ่งๆ น่า” วินเซนต์ไมได้ขอโทษหรือยอมปล่อย ทว่าน้ำหนักมือที่ถือสำลีกลับเบาลงอย่างเห็นได้ชัด “ใครจะไปรู้ว่านายมันบอบบาง นิดๆ หน่อยๆ ก็แหกปากซะ”
“ฉันไม่ได้บอบบาง นายมันถึกทนเกินไปต่างหาก” ดวงตาสีเขียวเหลือบมองคนพูด ก่อนจะระบายลมหายใจออกน้อยๆ
“นายจะไม่พูดจาหาเรื่องสักวันได้ไหม” พอล้างแผลสะอาดแล้วมือใหญ่ก็หยิบขวดยาฆ่าเชื้อออกมาถือเอาไว้ “แสบหน่อย ทนล่ะ”
และโดยไม่ตักไม่เตือน ยาสีเข้มก็ถูกหยดลงบนแผลถลอกทีละหยด ครั้งนี้แดริลไม่ได้โวยวาย แต่หลับตาแน่น เด็กหนุ่มไม่ชอบแผล ไม่ชอบเลือด และยิ่งไม่ชอบเจ็บตัว เขากัดฟันจนน้ำตาซึมน้อยๆ แรกเริ่มที่ยาโดนแผลสด ความเจ็บแสบก็กระจายไปทั่วแขน ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ทุเลาลงจนแดริลค่อยๆ ลืมตาขึ้น
วินซ์แปะผ้ากอซกับเทปให้เรียบร้อยอย่างคนที่ดูจะชินกับการทำเรื่องแบบนี้
อเมริกันฟุตบอลเป็นกีฬาที่รุนแรง ก็ไม่แปลกนักหรอกที่อีกฝ่ายจะบาดเจ็บเป็นแผลบ่อยๆ ….
“นายไม่ได้คบกับแคทจริงๆ หรอกใช่ไหม”
เด็กหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ยังคงก้มหน้ามองผ้าปิดแผลไม่ยอมเงยมองสบตาคนถาม
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น? ” แดริลเผลอกำมือแน่น พยายามไม่ให้มีพิรุธ
“เพราะหล่อนเป็นเลสเบี้ยน” น้ำเสียงนั้นราบเรียบคล้ายกำลังกล่าวเรื่องดินฟ้าอากาศ มือคู่ใหญ่ที่เต็มไปด้วยร่องรอยจากการเล่นกีฬาค่อยๆ เก็บยาและผ้าพันแผลลงกล่องทีละชิ้น
“.....ไม่เอาน่า ต่อให้เธอไม่เลือกนาย นายก็ไม่ควรพูดถึงแฟนฉันแบบนี้นะ” ใจของผู้ฟังหายวูบ แต่เขาก็ยังต้องแกล้งทำเป็นขึ้นเสียงใส่วินเซนต์ หากเรื่องนี้หลุดออกไปแคทต้องประสาทเสียแน่ และคนที่ต้องรับมือกับอารมณ์ประหนึ่งโรลเลอร์โคสเตอร์ของหล่อนก็คือเขา… พระเจ้าช่วยช่วงนี้แคทรอบเดือนมาด้วย
“ฉันเห็นแคทจูบกับแอชลีย์”
“...ก็แค่พวกผู้หญิงเล่นกัน หยุดเซ้าซี้เรื่องนี้ได้แล้ววินเซนต์” ดวงตาสีฟ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ยอมหันไปสบตาผู้พูด
“ไม่เอาน่า เชน พวกนายไปไหนมาไหนไม่ได้จับมือกันด้วยซ้ำ”
“นายเป็นสตอล์กเกอร์หรือไง น่าขนลุกชะมัด”
“ช่วยไม่ได้ หล่อนเป็นสาวสวย ตาฉันเลยเผลอมอตามตลอด” ฟังแล้วแดริลก็กลอกตาซ้ำอีกรอบ
“ถ้าไม่ใช่ว่านายมันไก่อ่อนจนโดนนอกใจ ก็คือพวกนายกำลังโกหก” นิ้วชี้ที่มีรอยด้านจากการเล่นกีฬาจิ้มเข้าที่อกของคนที่ผอมกว่าซ้ำๆ
แดริลไม่รู้ควรพูดอะไรเพื่อแก้ต่าง เอาล่ะ ข้อแรกมันก็ความผิดของแคทเองที่ไปจูบกับแอชลีย์ที่โรงเรียน ไม่ใช่ความผิดเขาสักหน่อย แม่นั่นจะมาลงกับเขาไม่ได้เด็ดขาด
แต่… อย่างไรซะแคทก็เป็นเพื่อนรัก… หากเพื่อนไม่ระวังหลังให้กันแล้วใครจะทำล่ะ?
“แล้วนายคิดจะทำยังไง แฉเธอแค่เพราะเธอปฏิเสธนาย? ควอเตอร์แบคประจำทีมโรงเรียนรับคำปฏิเสธของสาวไม่ได้เลยจะทำให้เธอกลายเป็นตัวตลกแทนหรือไง? ” แดริล เชน หรี่ตาลงมองพ่อนักกีฬาร่างใหญ่ที่ดูจะไม่ยี่หระกับท่าทางคล้ายแมวขู่ของเขาเท่าใดนัก…
“ในสายตานายฉันมันเป็นคนที่แย่บัดซบขนาดนั้นเลยสินะ เชน? ” วินซ์ยกยิ้มขำ ขณะเก็บผ้าพันแผลลงกล่องปฐมพยาบาล “ไม่ต้องห่วง ฉันแมนพอที่จะรับเรื่องนี้ได้ ตอนแรกที่แกล้งนายก็แค่เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมสาวที่ฮอทที่สุดในโรงเรียนถึงมาเดทไอ้แห้งแบบนาย แค่นั้นเอง”
“ฉัน-ไม่-ได้-แห้ง-เฟ้ย”
“นอกจาก GPA นายก็ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าฉันเท่าไหร่นี่? ”
แดริลรู้สึกอยากเหวี่ยงหมัดต่อยไอ้ปากหมานี่เหลือเกิน แต่เขาฉลาดเกินกว่าจะทำเช่นนั้นเพราะรู้ว่าสู้ไปก็แพ้ จึงเลือกวางตนเป็นผู้มีอารยะและใช้วาจาแก้ปัญหาแทน (จริงๆ ก็แค่สู้แรงเขาไม่ได้)
“ผู้หญิงเขาไม่ได้วัดผู้ชายดีๆ กันจากมวลกล้ามเนื้อหรอกนะ”
“อ้อ แล้วนายเดทสาวมากี่คนแล้วล่ะเชน? ”
“.....” ก็เขาต้องช่วยแคทกับแอชลีย์ จะให้ไปควงสาวคนอื่นความก็แตกกันพอดี
คล้ายว่าสีหน้าของแดริลจะบอกความในใจออกไปจนหมดเปลือก วินซ์ถึงหลุดหัวเราะออกมา
“นายจะทำเรื่องขาดทุนแบบช่วยแคทปิดบังไปทำไมกัน? ” วินซ์
“เพื่อนมีไว้ระวังหลังให้กันไม่ใช่หรือไง” แดริล
“ไม่ใช่เพื่อนไฮสคูล” วินซ์
“งั้นชีวิตนายก็คงน่าเศร้านะ ว่าที่พรอมคิง” แดริล
“หืม… พรอมคิง? ” วินซ์เลิกคิ้ว
“ควอเตอร์แบคโรงเรียนฝีมือดี ว่าที่กัปตันทีมอนาคตไกล ตัวสูง หน้าตาดี ถามจริง? ไม่ต้องเห็นอนาคตก็เดาได้ว่าขึ้นซีเนียร์เมื่อไหร่นายจะได้เป็นพรอมคิง” คู่สนทนาต้องกลอกตาขึ้นอีกครั้ง พระเจ้าช่วย นี่ต้องให้เขาพูดออกมาจริงๆ หรือไง
“ฉันดีใจนะที่นายยอมรับว่าฉันหน้าตาดี...” นี่เอ็งได้ยินแค่ประโยคนั้นรึไง “... กว่านาย”
“ต่อยกันไหม วินเซนต์ ซัมเมอร์”
“ไม่ล่ะฉันไม่อยากอัดนายจนน่วม ฉันออมมือไม่เก่ง” ...เออ! สู้ไม่ได้
เห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของคนเจ็บแล้วควอเตอร์แบคหนุ่มก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีจนน่าโมโห
“แต่รู้อะไรไหม คุยกับนายก็สนุกดี”
จู่ๆ เขาก็รู้สึกคล้ายใจกระตุกเบาๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่มร่างสูงตรงหน้า…. จังหวะนั้นอาจเป็นครั้งแรกที่แดริลเริ่มรู้สึกตัว.. หากตอนนั้นยังไม่เข้าใจ และไม่ยอมรับ
“...นายก็ไม่แย่… เท่าที่คิด” เด็กหนุ่มผมดำพึมพำตอบ
“หายเจ็บรึยัง เรายังมีคุกกี้เนตรนารีอีกทั้งถุงที่ต้องขายให้หมดนะ” คำว่าคุกกี้เนตรนารีทำให้แดริลหลุดขำออกมาในที่สุด
“ดีขึ้นแล้ว ไปกันเถอะ” พูดจบก็ยันตัวลุกขึ้นยืนทันที ความเจ็บบริเวณแขนทุเลาลงมาก แต่บริเวณแผลกลับรู้สึกอุ่นร้อนแปลกๆ ..
เย็นวันนั้นในที่สุดพวกเขาก็ขายคุกกี้จนหมด เงินถูกส่งมอบให้สมาชิกโบสถ์ครบทุกดอลลาร์ และได้เริ่มใช้วันหยุดช่วงปิดเทอมแบบชาวบ้านเขาสักที
จู่ๆ ขวดโค้กเย็นเจี๊ยบก็ถูกโยนมาให้โดยที่ไม่ทันตั้งตัว แต่เคราะห์ดีที่มือไวเลยรับมันไว้ได้แบบท่ายังสวยอยู่ แดริลมองขวดโค้ก เลิกคิ้ว แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่โยนขวดนั่นมาให้
“แล้วเจอกันที่โรงเรียนนะ เชน”
“อืม… เจอกัน…”
วันนั้นเขาไม่ได้เปิดโค้กขวดนั้นดื่ม แต่เอามันกลับบ้าน… และมองมันอยู่พักใหญ่
สุดท้ายก็ปฏิเสธที่จะคิดเรื่องนี้ต่อและเอามันไปยัดไว้ในตู้เย็น รู้อีกทีมันก็หายไปแล้ว คาดว่าซีมัสคงเอาไปกินอย่างแน่นอน… เด็กหนุ่มตัดสินใจลืมความรู้สึกที่ตัวเองไม่เข้าใจ และเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปอย่างราบรื่นตลอดซัมเมอร์นั้น
ขึ้นเกรดสิบ…. เป็นปีที่เขาเข้าร่วมสภานักเรียนแบบเต็มตัว ...
พวกนักกีฬาเริ่มหมั่นไส้เขาน้อยลง นับตั้งแต่เหตุการณ์ช่วงปิดเทอมวินซ์ก็เลิกหาเรื่องอย่างถาวร เดินผ่านกันที่โถงทางเดินก็ทักทายกันบ้างตามมารยาท… ทว่าแดริลมักพบว่าสายตาของตนจะมองตามแผ่นหลังกว้างของควอเตอร์แบคคนดังไปเสมอ
เขาพยายามไม่คิดมาก… ก็หมอนั่นเด่นขนาดนั้นจะดึงความสนใจนักก็ไม่แปลกละมั้ง…
ช่วงนี้เห็นว่าวินซ์ไปคบกับแอมเบอร์ รุ่นพี่พวกเขาหนึ่งปี เป็นรองกัปตันทีมเชียร์ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายเท่าไหร่ ส่วนตัวเขาเองก็ยุ่งกับงานสภานักเรียนจนไม่ได้สนใจเรื่องราวซุบซิบต่างๆ นัก
ราวๆ ช่วงก่อนงานเต้นรำฤดูหนาวไม่เท่าไหร่ที่เขาได้คุยกับวินซ์อย่างจริงจังอีกครั้ง นั่นเป็นระหว่างที่แดริลกำลังหอบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานเต้นรำไปติดตามบอร์ดต่างๆ ทั่วโรงเรียน
ขณะที่กำลังจะเลี้ยวไปติดที่มุมหนึ่งของโรงยิม ก็ได้ยินเสียงตบเพี๊ยะดังจนอดเผือกไม่ได้...
แดริลยังไม่ทันได้ชะโงกมอง เด็กสาวคนหนึ่งก็วิ่งตัดหน้าเขาไป หากจำไม่ผิดนั่นคือแอมเบอร์ รองกัปตันทีมเชียร์นี่?
พอหันไปมองอีกทางก็เห็นวินเซนต์ผู้เดินลูบแก้มตนเองตามมาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับเท่าใดนัก เหมือนบนแก้มนั่นจะมีรอยข่วนจากเล็บด้วย...
“...นายเองหรอกเหรอ” วินซ์
“ฉันมาติดโปสเตอร์…” แดริล
“...อืม” วินซ์
“.....”
“เฮ้… ฉันมีปลาสเตอร์” แดริล
“....”
วินเซนต์ถอนหายใจ ทิ้งตัวลงบนที่นั่งแถวอัฒจันทร์คนดู เมื่อลดมือลงแล้วก็เผยให้เห็นรอยแดงห้านิ้วพร้อมรอยข่วนที่เรียกเลือดซิบๆ
“ติดให้ที ฉันมองไม่เห็น”
“...”
เด็กหนุ่มวางโปสเตอร์ลงพลางล้วงหยิบปลาสเตอร์ออกมาจากกระเป๋าสตางค์ แกะห่อกระดาษและค่อยๆ ติดมันทับแผลเลือดซึม
ขณะนั้นวินซ์หลับตาลง ขนตายาวแนบกับแก้มที่ออกสีแทนหน่อยๆ จากการเล่นกีฬากลางแจ้ง โครงหน้าของเขาดูล่ำสันขึ้นกว่าเดิม กล้ามเนื้อบนร่างกายทำให้ร่างสูงไม่ดูเก้งก้างเท่าปีที่แล้ว เขารู้อยู่แล้ว่าวินเซนต์หน้าตาดี แต่พอมองใกล้ๆ แบบนี้ก็ยิ่งอดคิดไม่ได้
… แดริลรู้สึกว่าตนเองใจเต้นผิดจังหวะอย่างไม่มีสาเหตุ
“เสร็จหรือยัง? ” คำถามนั่นทำให้เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์และรีบชักมือออก
“เรียบร้อย”
ควอเตอร์แบคหนุ่มลืมตาขึ้น รอยยิ้มยียวนที่ปกติจะประดับบนใบหน้าไม่ปรากฏให้เห็น
“โปสเตอร์เหลืออีกเยอะไหม? ”
“หืม… ก็ไม่เยอะนัก อีกประมาณสิบกว่าแผ่น”
“ฉันช่วย”
ไม่พูดเปล่า ยังคว้าปึกโปสเตอร์ที่เหลือไปถือโดยไม่ถามความสมัครใจอีกต่างหาก ครั้นจะอ้าปากบอกว่าไม่ต้องเจ้าเด็กม.ปลายตัวยักษ์ก็เดินลิ่วไปเสียแล้ว
“ต้องติดที่ไหนอีกล่ะเนี่ย? ”
“จริงๆ นายไม่ต้--.”
“ยังไงเราก็กลับบ้านทางเดียวกันอยู่แล้ว วันนี้ฉันกลับกับนายแล้วกัน”
“เดี๋ย--”
“เร็วสิ จะได้กลับไวๆ ”
โว้ย ฟังที่คนอื่นพูดบ้างสิวะไอ้นี่
หลังจากแปะโปสเตอร์ทั่วโรงยิมแล้วแดริลก็โดนลากกลับบ้านทันที เขาเดินไปทางจักรยานของตนเอง แล้วก็พบว่าจักรยานที่ว่าโดนหิ้วโดยไอ้คนบ้าพลังที่เดินตามมาข้างหลัง
“นายจะทำอะไรน่ะนั่น…”
“ฉันขับรถ*มา เดี๋ยวไปส่ง”
(*หมายเหตุ ที่อเมริกาสามารถขอใบขับขี่แบบ restricted permit ได้ตั้งแต่อายุ14-17)
… เขาก็พอรู้อยู่หรอกว่าบ้านหมอนี่ฐานะดี แต่ไม่คิดว่าจะขนาดถอยรถหรูป้ายแดงให้ลูกชายแค่เพราะชนะแมทช์อเมริกันฟุตบอล….
แล้วจักรยานแบบพับได้ของแดริล เชน ก็ลงเอยไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่หลังรถหรูคันที่ว่า พอมองความแตกต่างนั่นแล้วก็ชวนให้รู้สึกหดหู่ใจแปลกๆ
“มองอะไรน่ะ ขึ้นรถได้แล้ว”
เอาแต่ใจชะมัด
เห็นว่าป่วยการที่จะประท้วงก็เลยขึ้นไปนั่งอย่างปลงตก
รถถูกสตาร์ท… แต่ยังไม่เคลื่อนตัวออกจากลานจอดเสียที… วินเซนต์เหม่อมองอะไรบางอย่าง สักพักใหญ่เด็กหนุ่มร่างสูงก็เอ่ยปากออกมาด้วยเสียงเบา
“แอมเบอร์เลิกกับฉันแล้ว” อืม… มันก็… ชัดเจนอยู่อะนะ “นายจะไม่ถามรึไงว่าทำไม”
“อยากให้ถามไหมล่ะ? ” แรกเริ่มเขาไม่อยากล้ำเส้น จึงไม่ได้พูดอะไร แต่เหมือนวินเซนต์จะกำลังหาใครสักคนมาระบายเรื่องนี้.. และบังเอิญแดริลก็ดันเป็นไอ้ทึ่มที่ไปอยู่ตรงนั้นแบบผิดที่ผิดเวลาพอดี
“ฉันไปนอนกับเชียร์ลีดเดอร์อีกคนที่งานปาร์ตี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว… แล้วเธอมารู้เข้า”
...ตามแบบฉบับพวกคาร์แรคเตอร์นักกีฬาในซีรียส์เด็กไฮสคูลเป๊ะ…
แดริลไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจ เขาก็แค่นั่งรับฟังด้วยท่าทางเหมือนมันเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ ในจังหวะนั้นรถคันสีแดงแสนแสบตาก็เริ่มเคลื่อนออกจากที่จอดรถ
“เพื่อนในทีมฉันบอกว่าเจ๋งไปเลย” วินซ์
“ก็เหมือนว่านายจะคั่วเชียร์ลีดเดอร์มาครึ่งทีมแล้วนี่นะ” แดริล
“ไม่ใช่ เกินครึ่งแล้วต่างหาก” วินซ์
“.......” แดริล
“ส่วนที่แย่ที่สุดคือ ฉันไม่รู้สึกผิดสักนิด” วินซ์
เชื่อมันเลย…
“นายรู้ว่ามันผิด? ” แดริล
“รู้… แต่ไม่รู้สึกผิด… รู้สึกแย่มากกว่าที่ฉันไม่รู้สึกผิด” วินซ์
แล้วนายมาบอกเรื่องนี้กับฉันทำไมกันเนี่ย…
“พ่อฉันเคยนอกใจแม่… ครอบครัวเราเกือบพัง ตอนนั้นฉันโกรธเขามาก” เจ้าของรถกล่าวต่อด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม ทำให้บรรยากาศน่าหนักใจยิ่งเพิ่มความอึดอัดเข้าไปอีก
แดริลแสร้งทำเป็นดูวิวนอกหน้าต่างเงียบๆ เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ปลอบใจคงไม่ดี จะซ้ำเติมก็ไม่ดีเหมือนกัน…
“แต่พอฉันทำเอง ฉันกลับไม่รู้สึกอะไรเลย”
“... นายอาจจะแค่ยังจริงจังกับความสัมพันธ์ไม่พอ หรือเธออาจจะยังไม่ใช่คนที่ใช่” เด็กหนุ่มเอ่ยปากออกมาในที่สุดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์โมโหหรือผิดหวัง พยายามจะไม่ไปตัดสินหรือกล่าวโทษ เพราะอย่างไรวะนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะสอด...
“หรือฉันอาจเป็นเหมือนเขา” รถคันนั้นเร่งความเร็วขึ้นจนคนนั่งข้างๆ รู้สึกได้
“นั่นมันก็ขึ้นกับสิ่งที่นายเลือกนี่…”
“....”
“ฉันว่า… บางทีมันก็เป็นแค่เรื่องของจังหวะกับความรู้สึก สักวันนายอาจจะเจอคนที่ทำให้นายรู้สึกอยากจะจริงจังด้วย แค่มันยังไม่ใช่วันนี้”
นิ่งเงียบไปพักใหญ่ จากบรรยากาศน่าอึดอัดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องน่าซาบซึ้ง… จนกระทั่ง….
“นายมันโคตรน้ำเน่าเลยว่ะ” จบประโยค รถคันนั้นก็จอดเทียบทางเท้า ฝั่งตรงข้ามที่เห็นคือบ้านหลังเดิมของเขาเอง
แดริลชำเลืองมองไอ้คนปากเสียด้วยหางตา ชูนิ้วกลางใส่ ก่อนจะกล่าวทิ้งท้าย
“... ไปตายซะ วินเซนต์ ซัมเมอร์ส”
เด็กหนุ่มได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะไล่หลัง แต่เขาไม่สนใจ ลงจากรถแล้วก็กระแทกประตูปิดและเริ่มจ้ำเท้าข้ามถนนตรงไปทางบ้านตัวเองทันที ทั้งรู้สึกหัวร้อนและโมโหว่าไม่น่าไปปลอบใจมันเลย จนเขาไม่ทันระวังมองรอบตัวให้ดี….
เสียงต่อมาที่ได้ยินคือเสียงตะโกนของวินซ์ ตามด้วยเสียงแตรดัง
“แดริล ระวัง!!! ”
รถคันใหญ่ที่พุ่งมาชนจนเขากระเด็นลงไปกองกับพื้น หัวเข่ากระแทกกับพื้นคอนกรีตอย่างแรงจนอดส่งเสียงร้องไม่ได้ เคราะห์ดีที่เจ้าของรถเหยียบเบรกชะลอความเร็วก่อนมาถึงตัวเขาจึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
ความเจ็บปวดแล่นจากเข่าลงไปทั่วขา เขาจำได้แค่ว่ามือดึงแขนเสื้อของวินซ์แน่นขณะถูกอุ้มเข้าโรงพยาบาล… นับเป็นความน่าอับอายอย่างหนึ่งในชีวิตที่ต้องถูกคู่อริอุ้มท่าเจ้าหญิงไปส่งเข้าห้องฉุกเฉิน...
ให้ตายเหอะ น่าขายหน้าชะมัดเลย!!
--------------------------------
เพิ่งลองลงในเล้าครั้งแรก ได้ไล่อ่านกฎแล้วแต่ไม่แน่ใจว่าครบหรือเปล่าค่ะ หากมีอะไรทำผิดขั้นตอนรบกวนช่วยตักเตือนด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ