WATERCOLOR
#ที่พักพิงสีน้ำ
คุณคิดว่าตัวเองเหมือนสีอะไร ?
ภาคิน พิชญเดชา
CH.8
-Pink-
สีน้ำเคยคิดดว่าญาติที่สนิทกันมากอย่างณัฐแปลกๆ
แต่ก็ไม่เคยเคยคิดว่ามันจะแปลกประหลาดขนาดนี้
“ณัฐ นั่งมองหน้าเรามาสิบนาทีแล้ว”
“สีน้ำ”
“เรียกชื่อเล่นเต็มยศซะด้วย”
“ตอนที่มึงอยู่ที่เชียงใหม่…”
ปลายพู่กันที่กำลังแต้มสีอยู่หยุดชะงักไปนิดเดียว แต่ณัฐที่จ้องจับผิดอยู่แล้วเลยเห็นว่าญาติตัวเองมีอาการผิดปกติไปจากเดิม เลยคิดว่าเขามาถูกทางแล้ว เลยรีบลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ คนที่กำลังวาดรูปอยู่ก่อนจะหยิบพู่กันมาถือไว้
“เชียงใหม่มันทำไม”
“ตอนนั้นมึงไปก่อนกูเดือนหนึ่ง กูตามไปทีหลัง”
“แล้ว..มันทำไมวะ”
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
“หมายถึง?”
“มีคนมาจีบบ้างไหมหรือมีใครเข้ามาหา ”
“จะมีได้ไงวะ ถ้ามีณัฐเองก็ต้องเห็น”
“ก็จริงของมึง”
“แล้วมาถามอะไรแปลกๆ ”
“เคยเล่าเรื่องตอนที่อยู่เชียงใหม่ให้คุณคินฟังไหม”
“เคยบอกแค่ว่า ก่อนหน้านี้ไปทำงานที่เชียงใหม่เฉยๆ แต่ไม่ได้เล่าอะไรเลยอยู่ดีๆ จะไปเล่าให้เขาฟังทำไม”
“น้ำ..เคยเจอคุณภาคินมาก่อนหรือเปล่า”
ทันที่ที่เขาเอ่ยถามไอ้คนที่กำลังผสมสีอยู่ก็เทน้ำพรวดพราดใส่จานสีจนเลอะเทอะไปหมด ณัฐหัวเราะเบาๆ เออ..จะทำอะไรก็ดูพิรุธไปหมดเลยเว้ย หรือว่าเป็นเพราะเขาถามเรื่องคุณคินถึงได้เขินขนาดนี้ ไหนๆ ก็แสดงอาการขนาดนี้แล้วยังไงก็ขอถามต่อเลยแล้วกัน
“ถามว่าอะไรนะ”
“ถามว่ามึงเคยเจอคุณคินมาก่อนหรือเปล่า”
“หน้าร้านไงเอาสีน้ำไปสาดใส่เขา”
“ไม่ดิ กูหมายถึงก่อนหน้านั้น”
“……………………………………….”
“ไม่ตอบแสดงว่าเคยเจอ”
“พยายามนึกอยู่แต่ว่านึกไม่ออกเลยว่าเคยเจอที่ไหน”
“จริงป่ะ”
“จริง”
“แล้วเชียงใหม่”
“วนกลับมาเชียงใหม่อีกแล้วนะ มันทำไมนัก”
ณัฐยกมือยอมแพ้พร้อมกับบอกว่าไม่มีอะไรแค่ถามเฉยๆ เผื่ออาจจะรู้จักกันมาก่อน ตอนพูดนี่ก็จับผิดญาติตัวเองไปด้วย แต่ไม่เห็นจะมีอาการหลุกหลิกอะไรก็ยังวาดรูปตามปกติ พอจ้องมากก็โดนด่าอีกณัฐเลยหยิบรูปวาดที่ workshop แล้วยื่นให้
“เป็นไงได้เต็มสิบป่ะวาดแบบสุดฝีมือ”
“ทำไมความทรงจำมึงถึงเป็นที่นี่วะน้ำ ที่พักที่เชียงใหม่?”
“นอนสบายดีออก”
“กูรู้จักมึงดีแค่นอนสบายมึงไม่เอามาวาดรูปแบบนี้หรอก”
“วันนี้เป็นอะไรถามแปลกๆ เชียงใหม่เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดสำหรับเราก็เลยวาด…แค่นั้น”
“ไม่หลุดเลยเว้ย โอเคไว้จะมาเสือกใหม่”
“นี่จะมาหลอกถามอะไรอีกเออ..แล้วไหนรูปของคุณคินวันนั้นเขาวาดรูปอะไร ยังไม่เห็นเลย”
“ไม่ให้ดู”
“อ้าวไรวะ”
“กูเป็นคนจัดworkshop ต้องให้คะแนนก่อน”
“คุณคินวาดรูปลายเส้นดินสอต้องให้คะแนนด้วยเหรอไง รายนั้นไม่รู้ว่าจะยอมระบายสีน้ำตอนไหน”
“อีกไม่นานหรอกมั้ง อนาคตแฟนก็ชื่อสีน้ำก็ต้องมีสักวัน”
“วันนี้เป็นไรป่ะเนี่ยถามจริง แซวเยอะกว่าทุกวัน”
ณัฐส่ายหน้าก่อนจะก้มลงมองรูปวาดของคุณคิน ใจจริงเขาก็อยากจะถามสิ่งที่เขาคาใจให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่กล้าที่จะถามตรงๆ ไม่รู้สิแค่รู้สึกว่าบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องของคนสองคนมากกว่า ถ้ามันถึงเวลาทั้งสองคนก็คงรู้กันเอง แต่..สำหรับเขาที่รู้จักกับสีน้ำมาตั้งแต่เกิด เห็นหน้าตาน่าเอ็นดูแบบนี้แต่จริงๆ เจ้าแผนการณ์เยอะแยะไปหมด
บางที…สีน้ำกำลังคิดอะไรอยู่ก็ได้
ใครจะไปรู้
“กูสมมุตินะถ้ารูปหัวข้อพรหมลิขิตกับความทรงจำของมึงกับคุณคินเป็นรูปเดียวกัน..”
“รูปเดียวกัน? บ้า จะเป็นรูปเดียวกันได้ไงวะต่างคนต่างวาด”
“กูสมมุติเฉยๆ ”
“ก็..”
สีน้ำจุ่มสีที่อยู่ในถาดก่อนจะแต้มลงไปบนกระดาษที่อยู่ตรงหน้า รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าทำให้ณัฐต้องยิ้มตาม รูปภาพของของสีน้ำบอกอารมณ์คนวาดได้อยู่เสมอ ดูแค่นี้ก็รู้ว่าคนวาดกำลังมีความสุข สีเหลือง สีชมพู เต็มไปหมด สีน้ำวางพู่กันแล้วหันมายิ้มให้
“ถ้าสมมุติว่ามันเป็นรูปเดียวกันแสดงว่าเราเจอเขาแล้ว” watercolor
วันนี้สีน้ำไปซื้ออาหารเช้าสายกว่าทุกวัน เพราะว่าวันนี้ตั้งใจจะไปซื้อหมูปิ้งเจ้าดังที่อยู่อีกซอย ชื่อเสียงที่โด่งดังก็เลยต้องต่อคิวรอนานแต่ก็คุ้มค่าแล้วเพราะสีน้ำแทบจะเหมามาทั้งร้าน ทันทีที่จอดจักรยานก็ต้องหยุดมองคนที่กำลังเดินวนไปวนมาอยู่หน้าร้านของภาคิน และแน่นอนว่าเป็นคนที่เขารู้จักอยู่แล้ว
“คุณเค..”
เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เคหยุดเดิน ก่อนจะเห็นคนผมสีน้ำตาลแดงยิ้มให้ ครูสอนวาดรูป ? น่าจะใช่ละมั้งเคยได้ยินทิมเคยพูดถึงตอนมาที่บ้านอยู่เหมือนกัน พวกรายละเอียดเขาก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ คิดว่าน่าจะเป็นคนที่เปิดร้านอยู่ข้างๆ คิน เขามาที่นี่ทีไรก็เจอตลอด
“ผมเจอคุณที่นี่ แล้วก็เจอกันที่บ้านรุ่งอรุณใช่ไหมครับ”
“จะว่าไปผมยังไม่เคยได้แนะนำตัวเลย ผมชื่อสีน้ำนะครับร้านผมอยู่ข้างๆ คิน”
“เป็นครูสอนวาดรูปเหรอครับผมเคยได้ยินแก๊งลูกเพื่อนแม่พูดถึงคุณอยู่เหมือนกัน”
“ครับ ผมสอนวาดรูป”
“คินก็ชอบวาดรูป”
“แต่ไม่ชอบวาดสีน้ำ มันน่าทุบจริงๆ”
เคหลุดขำเพราะหน้าของคนที่ชื่อสีน้ำทำหน้าเหมือนโกรธแค้นคินมานานหลายปี ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกานี่ก็ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องไปประชุมแล้ว กับข้าวมากมายในมือก็ยังไม่ได้เอาให้คินสักที นี่ก็ยืนอยู่หน้าร้านนานมากแล้ว เคเงยหน้ามองสีน้ำที่ยืนยิ้มอยู่แล้วยื่นถุงผ้าในมือให้
“แม่บอกว่าเดี๋ยวนี้คินทำงานหนักมากไม่ค่อยได้กลับบ้านเลยทำอาหารของโปรดคินมาให้คือ..ผมฝากคุณน้ำให้แล้วกัน”
“เขียนอะไรให้คินหน่อยไหมครับ”
“ผมว่าไม่ดีกว่า”
“ถ้าไม่เขียนวาดรูปก็ได้นะครับ”
“วาดรูปนี่ผมไม่ถนัดจริงๆ”
“ผมวาดให้ได้นะ”
“เดี๋ยวครับคุณ…น้ำ”
เคพยายามจะเรียกคนที่วิ่งหายเข้าไปในร้านของตัวเอง แล้วกลับมาพร้อมกับกระดาษและปากกาพู่กันสีน้ำหลายสี ตอนแรกเคตั้งใจจะปฏิเสธเพราะเขาเองก็ไม่กล้าจะเขียนข้อความอะไรให้น้องชายตัวเอง แต่พอเห็นความตั้งใจของครูสอนวาดรูปก็เลยใจอ่อน
“รูปอะไรดีครับ”
“เด็กผู้ชายใส่ชุดเทควันโดก็ได้ครับ แค่รูปเดียว”
สีน้ำพยักหน้าก่อนจะเริ่มระบายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เคมองตาไม่กะพริบเพราะไม่คิดเลยว่ามันจะวาดกันได้ง่ายๆ ขนาดนี้ ยิ่งเป็นสีน้ำนี่เขาว่ามันก็ยากอยู่นะ แต่แค่เพียงไม่นานรูปเด็กผู้ชายใส่ชุดเทควันโดก็เสร็จเรียบร้อยเจ้าตัวบอกอาจจะไม่ค่อยสวยเพราะรีบวาด แต่เขาก็ยังยืนยันว่านี่ก็สวยมากแล้ว
“รูปเด็กใส่ชุดเทควันโดนี่เป็นความลับของของคุณเคกับคินเหรอครับ”
“ที่จริง…มันเป็นความลับของผมคนเดียว”
สีน้ำพยักหน้าแล้วยื่นรูปวาดให้คุณเคแปะลงบนกล่องพลาสติกก่อนที่จะขอตัวไปทำงาน เป็นพี่น้องที่ฟอร์มจัดกันทั้งคู่แต่เอาเถอะแค่นี้ก็คงดีขึ้นมากแล้ว สีน้ำเปิดประตูเข้าไปในร้านและแน่นอนว่าเจ้าของร้านกำลังทำหน้าตาเครียดอยู่หน้าคอมตัวเดิม
“อาหารเช้ามาช้ามากผมหิวแล้ว”
“วันนี้มีให้เลือก”
สีน้ำชูถุงผ้าที่ใส่กล่องอาหารอยู่ขึ้นมา ส่วนอีกข้างก็คือถุงหมูปิ้ง ทันทีที่เห็นรูปวาดที่แปะอยู่บนกล่องใส่อาหารคินก็รู้แล้วว่าใครที่เป็นคนเอามาให้ สีน้ำยังบอกอีกว่าแม่เขาเป็นคนฝากมาให้เพราะเห็นว่าเขาไม่ได้กลับบ้านเลยช่วงนี้ คินได้แต่ส่ายหน้าไปมา
เอาแม่มาอ้าง
“คินอยากกินตับทอดกระเทียม แกงส้มชะอม แล้วก็ปลาสลิดทอดใช่ไหมเห็นเคมาบอกว่า ได้ยินทิมบ่นๆ เดี๋ยวนี้คินงานยุ่งอยากกินข้าวฝีมือแม่ ”เขาจำได้ว่าไม่เคยไปบอกอะไรไอ้ทิมทั้งนั้นแหละ และอาหารทั้งหมดนี่มันอาหารจานโปรดตอนเขาเด็กๆ และแน่นอนว่ามีแค่คนเดียวที่รู้ว่าเขาชอบอะไรก็โตมาพร้อมกัน คินดึงรูปวาดเด็กผู้ชายในชุดเทควันโดที่แปะอยู่ขึ้นมาดูใกล้ๆ พร้อมกับเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ พอเห็นเขามองก็ยิ้มแฉ่ง
“ผมอยากให้น้ำได้กินอาหารฝีมือแม่ผม คุณนายญาดาทำอาหารอร่อยมาก”
“แล้วหมูปิ้งผม”
“จริงๆ พี่เคน่าจะไม่ได้กินหมูปิ้งมานานแล้ว…”
สีน้ำอมยิ้มพร้อมกับบ่นเบาๆ ฟอร์มจัดกันทั้งคู่ก่อนจะยื่นถุงหมูปิ้งให้อีกฝ่าย แต่ภาคินก็ส่ายหน้าดันถุงหมูปิ้งให้ออกห่าง ยึกๆ ยือๆ กันอยู่นานจนในที่สุดภาคินก็ยอมแพ้หยิบถุงหมูปิ้งแล้วเดินออกไปหน้าร้าน ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่เคจะยังอยู่หรือเปล่า แต่เขาก็คิดถูกจริงๆ ท้ายรถเบนซ์ยังคงจอดอยู่ นี่ก็ว่าสายมากแล้วนะ คินลังเลอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเคาะกระจกรถแล้วยื่นถุงหมูปิ้งให้
“แลกกัน”
คำพูดสั้นๆ แต่มันก็นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เราได้คุยกันต่อหน้าตรงๆ แบบนี้ เคเหลือบมองไปยังร้านของคินที่เปิดประตูทิ้งไว้ ก็เห็นใบหน้าของครูสอนวาดรูปโผล่มาพร้อมกับโบกมือให้เขาอีก ยิ่งตอนที่คินหันกลับไปทำท่าไล่ให้กลับเข้าไปในร้านนี่มันก็น่ารักดี พอเห็นว่าสายแล้วคินก็เลยกลับไปที่ร้านท่าทางเก้ๆ กังไม่รู้จะพูดอะไรดีมันทำให้เคต้องยิ้มอีกครั้ง
“ตลกทั้งคู่”
เคก้มลงมองหมูปิ้งในมือแล้วหันไปมองทั้งคู่ที่เดินกอดคอกันเข้าไปในร้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าภาคินน้องชายของเขาสดใสขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ถ้ามันเป็นเพราะคุณสีน้ำเขาก็ไม่แปลกใจเลย ขนาดเขาที่เจอกันไม่กี่ครั้งยังรู้สึกถึงพลังบวกได้จากคนๆ นี้ อย่างน้อยคุณสีน้ำก็ทำให้เขาได้กลับมาคุยกับน้องชายอีกครั้ง
“โหมดน้องชายคินก็น่ารักเหมือนกันเนอะ”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“น่ารักแล้ว”
“ไม่เห็นน่ารัก ไม่ได้ยินใครชมว่าผมน่ารักมานานตั้งแต่ห้าขวบ”
“เขินเหรอ”
สีน้ำยกมือขึ้นมาหยิกแก้มคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ภาคินไม่ได้โวยวายอะไรได้แต่ปล่อยให้สีน้ำวอแวกับแก้มเขาอยู่อย่างนั้น คินยอมรับเหมือนกันว่าถ้าไม่มีสีน้ำเขาคงไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาพี่เคก่อน ถึงแม้เราจะพูดกันอยู่แค่สองคำก็เถอะก็ถือว่าดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาตอนนี้ และทันทีที่อีกฝ่ายปล่อยมือจากแก้มเขาภาคินก็ก้มลงไปหาพร้อมกับหอมแก้มสีน้ำเต็มฟอด
“เฮ้ย!”
“เฮ้ยไร”
“ไว้ใจไม่ได้เลย”
“ผมเนี่ยไว้ใจได้สุดๆ แล้วในแก๊งลูกเพื่อนแม่”
“ผมชอบทิมสุดในแก๊งนะ”
“หยุดความคิดนั้นเดี๋ยวนี้”
“น่ารักออก”
“คุณสีน้ำครับ ถ้าคุณรู้ว่าตั้งแต่สามขวบผมโดนมันโขกสับอะไรบ้าง แล้วคุณจะสงสารผม”
“ก็คินเป็นลูกกระจ๊อก”
“เออ คนเราอยู่ทีมผมสิครับโดนทิมแกล้งนี่ไม่ช่วยนะ”
“ผมต้องโดนทิมแกล้งด้วยเหรอเนี่ย”
“แต่งเข้าแก๊งลูกเพื่อนแม่ก็โดนทิมแกล้งมาแล้วทั้งนั้น ต้นไม้คีตาไอ้พอร์ชโดนมาแล้วทั้งนั้น”
“...................................................”
“เอ๊า เขินไม่ต้องกลัวทิมเล่นเบาๆ ”
“คินพูดเองเออเองอยู่คนเดียว”
“เวลาเรียกคินรู้สึกดีขึ้นเยอะ เรียกคุณอยู่ได้ตั้งนาน เออน้ำ คีตาฝากมาบอกด้วยว่าถ้ามี workshop ขอมาแจมด้วยอีก ครั้งที่แล้วได้แรงบันดาลใจไปแต่งเพลงเยอะเลย”
“วาดรูปเนี่ยนะ”
“คีตาเอาทุกอย่างบนโลกมาแต่งเพลงได้หมด ไอ้เบนทำข้าวไข่เจียวยังเอามาแต่งเพลงได้เลย”
“เก่งจัง เรื่องดนตรีผมไม่ได้เลย”
คินยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นและหน้าจอก็แสดงชื่อเบนจามินขึ้นมาพอดี ทันทีที่กดรับเสียงไอ้เบนก็ดังลั่นออกมาจนคินต้องเอาโทรศัพท์ให้ห่างจากหู ท่าทางจะเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรไอ้เบนพูดซะแทบหายใจไม่ทัน
“สรุปว่าครูสอนวาดรูปที่มึงดีลไว้เกิดป่วยกะทันหัน และวันนี้เป็นวันที่ต้องถ่ายเอ็มวีก็เลยอยากจะให้สีน้ำไปช่วยหน่อย นี่กูเข้าใจถูกใช่ไหม”
พอได้ยินชื่อสีน้ำก็ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง คินพยักหน้าก่อนจะกดวางโทรศัพท์จากเบน ท่าทางรอฟังเขาพูดตาแป๋วมันก็ดูน่ารักดี พอเขาแกล้งเล่นตัวไม่ยอมบอกก็โดนทุบเข้าให้วันนี้มีแต่คนใจร้อนจริงๆ เลยเว้ย คินก้มหน้ามาใกล้ๆ ก่อนจะบอก
“ครูสีน้ำรับงานนอกเวลาไหมครับ”
watercolor
ถึงแม้ว่าปกติแล้วสีน้ำเองก็ฟังเพลงดูรายการทีวีอยู่บ่อยๆ คอนเสิร์ตก็มีไปบ้างแต่ก็ไม่เคยนึกว่าวันหนึ่งจะได้มายืนอยู่ในบริษัทที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาตั้งแต่เด็กอย่าง KTD และท่าทางเขาคงจะแสดงออกมากเกินไปคนข้างๆ ถึงได้อมยิ้มขำไม่เลิกสักที
“ชอบนักร้องคนไหนถ่ายรูปคู่ได้นะบอกไอ้เบนได้เลย”
“คินไม่ตื่นเต้นเหรอ”
“ผม ทิมและรามิลเล่นซ่อนแอบที่ KTD มาตั้งแต่หกขวบไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นแล้ว”
สีน้ำกระเถิบตัวเข้าหาคินเมื่อเดินมาถึงสถานที่ๆ นัดกันไว้ พอเจอสถานที่จริงแบบนี้ก็เริ่มกลัวขึ้นมาเหมือนกัน พอเห็นคีตาที่นั่งดีดกีตาร์อยู่เงยหน้าขึ้นมาโบกมือให้เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยอย่างน้อยก็มีคนรู้จักนอกจากภาคิน เบนจามินยังคงโอเวอร์ไม่เปลี่ยนตั้งแต่เดินเข้ามาก็ยังกอดคินแน่นทำท่าทางซึ้งใจจนคินต้องบอกว่าพอก่อน รักษาภาพลักษณ์ผู้บริหารไว้บ้าง
“คุณน้ำแค่ดูว่าท่าทางการจับพู่กัน การวาดรูป ผสมสีอะไรแบบนี้ของนางเอกถูกต้องหรือเปล่าก็พอครับ ถ้ามันผิดหรือมีตรงไหนไม่โอเคคุณน้ำท้วงได้เลยนะ ”
“เนื้อหามันเป็นยังไงเหรอครับ”
“มีผู้หญิงกับผู้ชายเป็นคนรักกันครับ ทั้งสองคนเป็นจิตรกรวันหนึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ผู้ชายสูญเสียการมองเห็นทำให้ไม่สามารถวาดรูปได้อีก ”
“ดราม่าเหมือนกันนะเนี่ย”
“ถามคนแต่งได้เลยครับ ตอนผมฟังครั้งแรกน้ำตาไหลเป็นกะละมัง”
เบนจามินหันหน้าไปทางคนที่กำลังนั่งดีดกีตาร์อยู่อีกด้าน สีน้ำหัวเราะออกมาเมื่อสิ่งที่คุณเบนบอกมันตรงกับสิ่งที่เขาคิดไว้พอดี ว่าแล้วว่าเพลงนี้คีตาต้องเป็นคนแต่ง ตอนแรกก็ไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไหร่ปลอบใจตัวเองมาตลอดทาง มันก็เหมือนกับการสอนวาดรูปนั่นแหละ แต่พอมีฉากมีกล้องมีไฟมีทีมงานสีน้ำก็เริ่มเกร็งๆ ขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
“เรามี workshop กันมาแล้วครับแต่วันนี้ถ่ายจริงก็เลยอยากให้มีผู้เชี่ยวชาญหน่อย เผื่อมีอะไรผิดพลาด”
“ผมยินดีช่วยนะครับ ไม่ได้ลำบากอะไร”
“มีอะไรไม่เข้าท่าด่าไอ้คินได้เลยครับ”
“อ้าว ไอ้เบนวันนี้กูมีผู้มีพระคุณกับมึงนะ”
“ตอนนี้มึงไร้ประโยชน์ละคิน ไปยืนนู่นมุมตึก ไม่ก็กลับไปเปิดร้านมึงเลยคนบ้าอะไรเปิดร้านเดือนละสามวัน”
“ทำไม ใครจะทำไมกูจะเปิดร้านปีละวันก็ได้ รวย”
“ขอให้คุณนายญาดาตัดมึงออกจากกองมรดก”
“กูน่ะลูกรักเขาคุณนายไม่มีทางให้กูตกระกำลำบากหรอกไอ้ตี๋”
ท่าทางเถียงกันไม่จบไม่สิ้น ทำให้สีน้ำต้องยิ้มอย่างเอ็นดูขนาดทีมงานที่รอทำงานอยู่อดที่จะหัวเราะไม่ได้ มันก็ดูน่ารักดีที่ผู้ชายสูงร้อยแปดสิบกว่าๆ มายืนเถียงกันเหมือนเด็กๆ พอเถียงกันจนหนำใจก็เดินแยกย้ายกันไปทำงาน ช่วงแรกก็ยังไม่มีอะไรมาก สีน้ำแค่จัดท่าทางให้นักแสดงเล็กน้อย แต่ถึงฉากสำคัญเป็นฉากที่ผู้ชายสูญเสียดวงตาแล้วนั่งนิ่งๆ อยู่ที่กระดานวาดรูป ผู้หญิงจะยืนอยู่ด้านหลังคอยจับมือแล้ววาดรูปไปพร้อมๆ กัน
สีน้ำเข้าไปบอกวิธีผสมสีคร่าวๆ พร้อมกับทำท่าทางวาดรูประบายสีน้ำให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่พอถ่ายจริงๆ ผู้กำกับก็บอกว่าไม่ได้ อารมณ์ไม่ได้ ไม่ผ่านฉากนี้ไปสักที สีน้ำได้แต่ยืนเงียบๆ เพราะเขาเองก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องการแสดงอะไรแบบนี้เลย แต่ฉากแบบนี้มันน่าจะยากสำหรับคนที่ไม่ได้ถนัดเรื่องการวาดรูปอยู่เหมือนกัน
“มี่เข้าไม่ถึงอารมณ์เลยค่ะ ครูน้ำทำให้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยได้ไหมคะมาลองเล่นบทมี่หน่อย”
นางเอกของเรื่องไม่รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธเลยลากสีน้ำให้มาอยู่ตรงหน้ากระดานวาดรูป ก่อนที่มี่จะบอกบทให้ฟังสีน้ำพยักหน้าแล้วจับพู่กันให้พระเอกของเรื่องถือไว้ แต่จังหวะสีน้ำกำลังจะจับมือพระเอกเอ็มวี เสียงกระแอมก็ดังขึ้นทุกสายตาเลยหันไปมองหน้าภาคิน เบนจามินก้มหน้าหัวเราะเบาๆ ก่อนที่พระเอกของเรื่องจะลุกขึ้นแล้วเดินมาหาผู้กำกับ
“ผมขอเป็นฝ่ายดูก่อนได้ไหมครับ อยากรู้ว่าต้องแสดงอารมณ์ท่าทางแบบนั้น”
“แล้วใครจะมาเล่นแทนเรา”
อยู่ดีๆ เบนจามินก็ผลักภาคินออกมาพร้อมกับบอกมีคนแสดงแทนแล้ว ถึงจะ งงๆ เล็กน้อยแต่คินก็ไม่ได้โวยวายอะไร พอเดินมาถึงตรงที่สีน้ำยืนอยู่ก็เริ่มเกร็งๆ ขึ้นมาเหมือนกัน เห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ สีน้ำเลยถามย้ำอีกครั้งว่าแน่ใจเหรอไง ก็นะมาถึงตอนนี้ก็ไม่น่าจะปฏิเสธได้แล้ว ป่ะวะ
“คนที่ไม่ชอบระบายสีน้ำแต่ต้องมาระบายสีน้ำ”
“น้ำต่างหากที่เป็นคนที่ระบายไม่ใช่ผม”
“นั่งเลยครับเด็กชายภาคิน”
เสียงผู้กำกับบอกแค่ว่าตามบทที่เล่นเป็นยังไง แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดลงลึกเพราะอยากให้ทั้งคู่ทำตัวตามสบาย เพราะตามบทฝ่ายชายต้องสูญเสียดวงตา เบนเลยเอาผ้ามาผูกตาให้คิน ทันทีที่ผู้กำกับสั่งเริ่มสีน้ำก็ค่อยๆ จับมือคินจุ่มสีน้ำที่ผสมไว้ในจานสีก่อนจะระบายสีลงบนกระดาษสีขาวตรงหน้า เพราะไม่ถนัดกับการลงน้ำหนักมือ บวกกับสายตาที่มองไม่เห็นทำให้ทุกอย่างมันดูขัดๆ ไปหมด สีน้ำเองก็รู้สึกได้ เลยหยุดพู่กันที่กำลังลงสีแล้วก้มลงไปกระซิบเบาๆ
“ระบายสีน้ำครั้งนี้เป็นยังไงบ้างครับ”
“มองไม่เห็น”
“เอาความรู้สึก แบบใช้ใจ”
“โห…น้ำเน่าเหมือนกันนะเรา”
“ตั้งใจทำงานเลย ห้ามวอกแวกเขินจะตายอยู่แล้วคนมองเต็มไปหมด”
“รู้สึกแปลกๆ ผมไม่ค่อยจับพู่กันเท่าไหร่”
พอคินบอกแบบนั้นสีน้ำเลยเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่จับมือคินจุ่มสีอีกครั้งแล้ววาดลงบนกระดาษตรงหน้า เพราะมัวแต่กังวลว่ารูปมันจะออกมาไม่ดีท่าทางมันก็ยังไม่ได้ พอมองไปที่ผู้กำกับก็ส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่าที่ต้องการไม่ใช้แบบนี้ สีน้ำเลยก้มลงมากระซิบอีกครั้ง
“ตอนนี้ผมวาดแม่น้ำ”
“ผมรู้สึกว่าน้ำวาดวงกลมนะ แม่น้ำจริงเหรออย่ามาหลอก”
“จินตนาการไง เอารูปอะไรดี”
“ดอกไม้”
“นี่ ดอกทิวลิป”
“เว่อร์ วาดสามเหลี่ยมจะเป็นดอกทิวลิปได้ไง ตอนนี้คุณใช้สีอะไรอยู่”
“สีเขียว”
“งั้นวาดต้นหญ้า”
“เสร็จแล้ว”
“ป้ายๆ สองทีเป็นต้นหญ้าได้ไงวะ”
“หาเรื่องเหรอภาคิน”
“มีสีแดงไหม เอาแอปเปิ้ล”
“วาดแล้ว”
“แอ๊บเปิ้ลอะไรลากเป็นเส้นตรง”
“ระบายสีน้ำสนุกแล้วล่ะสิ ชอบสีน้ำยัง”
“ก็…ชอบมากขึ้นเรื่อยๆ”“………………………………….”
“เขินใช่ไหมผมรู้”
“มองไม่เห็นคินจะรู้ได้ยังไง”
“บีบมือผมแน่นซะขนาดนี้”
เหมือนทั้งสองคนลืมไปแล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่ ท่าทางของทั้งคู่มันค่อยๆ ผ่อนคลายไม่ได้เกร็งเหมือนตอนแรก สีน้ำที่นั่งซ้อนหลังคินอยู่กระเถิบตัวเข้าหาคินจนแนบชิดกับแผ่นหลังกว้าง ภาคินที่ปิดตาด้วยผ้าอยู่เริ่มรู้สึกสนุกกับการวาดระบายสีน้ำตรงหน้า โดยที่มือใหญ่ยังคงถูกครูสีน้ำจับเอาไว้แน่น
สีหน้าของคินจากตอนแรกที่ดูไม่ค่อยพอใจแต่ตอนนี้กลับมีรอยยิ้มขึ้นมา สีน้ำหลากสีถูกป้ายลงบนกระดาษสีขาวตรงหน้า มันไม่ได้เป็นรูปวาดอย่างที่สีน้ำบอกหรอก มันเป็นแค่สีน้ำหลายๆสีป้ายไปป้ายมาก็เท่านั้นไม่ได้รูปวาดสวยงามเลยด้วยซ้ำ แต่มันก็ทำให้คนที่มองไม่เห็นรู้สึกมีความสุขไปกับการระบายสีน้ำได้
เสียงดีดนิ้วดังขึ้นพร้อมกับผู้กำกับหันมามองนักแสดงสองคน
ที่ยืนอมยิ้มกันอยู่ข้างหลังมอนิเตอร์
“แบบนี้แหละใช่เลย ขอแบบนี้อารมณ์นี้รอยยิ้มแบบนี้ เป๊ะมาก!โคตรเป๊ะ! เบน..เบนจามินกูไม่กล้าสั่งคัทเลยว่ะ ไปบอกให้หน่อยเขาเขินกันทั้งกองแล้ว พอก่อนน่ารักกันจังเว้ย”.......................
....................................................