WATERCOLOR #ที่พักพิงสีน้ำ Epilogue - Watercolor [ 30/05/2021] Page.8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: WATERCOLOR #ที่พักพิงสีน้ำ Epilogue - Watercolor [ 30/05/2021] Page.8  (อ่าน 36830 ครั้ง)

ออฟไลน์ RIBBINBO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-2
Watercolor

คินยืนมองร้านของตัวเองอยู่หน้าร้าน พอเห็นสีดำสีขาวสีเทาก็ต้องกลั้นยิ้ม พอหันไปดูร้านที่อยู่ข้างๆ ก็นะ..โคตรตรงกันข้าม ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันก็ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะมีวันนี้ได้ ภาพวันที่สีน้ำทำกาแฟหกใส่เขาทั้งตัวย้อนกลับมาให้นึกถึง ครูสอนวาดรูปที่ดูเหมือนหัวหน้าห้องของเด็กๆ ซะมากกว่า ใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มทั้งเนื้อทั้งตัวเลอะไปด้วยสีน้ำ ยอมรับตามตรงตัวเขาเองไม่เคยมีสเป็คที่ชัดเจน แต่สำหรับครูสอนวาดรูปที่ชอบระบายสีน้ำก็เกินคาดคิดไปมากเหมือนกัน คินตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปด่านแรกที่เขาเจอคือคุณณัฐ ที่วันนี้กลับมาเป็นคุณครูใจดีไม่ได้ตีหน้ายักษ์เหมือนเมื่อวันก่อน

“มาหาน้ำเหรอครับ”

“ครับ ว่าจะกลับเชียงใหม่พร้อมกัน”

“ถึงเวลาแล้วเหรอครับ”

“คุณณัฐรู้?”

“ไม่รู้รายละเอียดหรอกครับ ผมแค่ประติดประต่อเรื่องเองที่จริง..ผมก็ไปที่เชียงใหม่เหมือนกันนะแต่ไม่คุ้นคุณคินเลย เราไม่ได้เจอกันเลยเหรอครับ”

“อาจจะไม่ถึงเวลาที่ได้เจอกันมั้งครับ”

“หมายถึงผมหรือสีน้ำ”

พอโดนแซวแบบนั้นภาคินเลยยกมือยอมแพ้ ขอตัวเข้าไปหาคนที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่ด้านในห้อง พอพ้นหลังภาคินไปแล้วณัฐก็หยิบรูปวาดสถานที่ที่ทั้งสองคนวาดตอนที่เขา work shop ออกมา ที่จริงเขาก็อยากรู้เรื่องราวความเป็นมาของทั้งคู่รู้สึกเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากเหมือนกัน ถ้าทำเป็นพรีเซนเทชั่นตอนแต่งงานรับรองแขกทั้งงานได้ตกตะลึงแน่ๆ

 

ในที่สุดก็ถึงเชียงใหม่..

คินเปิดประตูห้องทำงานของครูสอนวาดรูป และแน่นอนว่าภาพที่เขาเห็นก็คือ สีน้ำกำลังนั่งวาดรูปอยู่หน้ากระดาน ตามมือตามแขนเลอะไปด้วยคราบสี ลามไปถึงข้างแก้มขาวที่มีสีฟ้าจางๆ ทันทีที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขายืนอยู่หน้าประตูก็ยิ้มให้

“กลับมาแล้วเหรอครับ”

คินเดินเข้ามาหาพร้อมกับยื่นมือไปเช็ดข้างแก้มที่เลอะสีให้ ก่อนจะนั่งลงตรงหน้ากระดานวาดรูปที่ตั้งอยู่ข้างๆ เพิ่งเห็นว่ามันมีดินสอที่เหลาไว้ให้เสร็จสรรพ เหมือนเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วคินหยิบดินสอขึ้นมาแล้วค่อยๆ วาดรูปบ้างก่อนที่คินจะเริ่มเล่าบางอย่าง

“วันนั้นคือวันที่ผมโดนนาวาปฏิเสธ ตอนนั้นโคตรว่างเปล่าไม่รู้ว่าจะต้องไปไหนทำอะไร สุดท้ายผมก็เลือกที่จะกลับบ้าน”

“………”

“แต่น่าจะคิดผิด”

“………”

“ผมแค่อยากคุยกับใครสักคนในครอบครัวของผม คนแรกที่นึกถึงคือพี่ชาย วันนั้นผมไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นผมเห็นป้าของผมที่ทำงานธนาคารกับพี่เคมาที่บ้าน

“………”

“ทันทีที่เห็นหน้าผมพี่เคก็ปิดประตูห้องทำงานใส่หน้า ผมเข้าใจว่าพี่เคกำลังจะมารับช่วงต่อจากพ่อคงต้องเรียนรู้งาน เขาก็กำลังเครียด”

“………”

“ผมรออยู่หลายชั่วโมงจนในที่สุด..”

ภาคินที่สภาพร่างกายและจิตใจอ่อนล้าลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าประตูห้องทำงานของพี่ชายที่เขาจ้องมาหลายชั่วโมงเปิดออกมาพร้อมกับคุณป้าที่ดูจะไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่ ป้าญาณีคือคนที่เอาแต่ว่าเขาไม่หยุดตั้งแต่เขาเลือกที่จะเรียนทางอื่น ที่ไม่ใช่ทางด้านการเงินหรือสายบริหารที่จะนำมาใช้กับธุรกิจของครอบครัวได้ คินเองก็พยายามที่จะไม่ไปต่อล้อต่อเถียงด้วยเพราะพ่อกับแม่ก็เคยขอไว้ และธุรกิจที่อยู่มาจนถึงวันนี้ได้ก็เพราะป้าด้วย

ยอมรับเลยว่าใช้ความอดทนที่สุดในชีวิตแล้ว

 

“ฉันบอกแล้วนะเค ถ้ายังทำไม่ได้ตามที่ฉันหวังไว้..”

คินไม่รู้ว่าป้าญาณีกระซิบอะไรกับพี่เคแต่สีหน้าของพี่ชายมันดูเครียดขึ้นมาทันที เดาได้เลยว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ๆ คินยกมือไหว้ป้าตามปกติ แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็แค่พยักหน้าแล้วเดินเลยผ่านไปคล้ายไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเท่าไหร่

“พี่เค มีเรื่องอะไรหรือเปล่าป้าญาณีพูดอะไรกับพี่”

“ไม่มีเรื่องอะไร”

“เรื่องงานหรือเปล่า บอกผมได้นะ”

“บอกว่าไม่มีอะไร”

“ทำไมผมถึงยุ่งไม่ได้วะ ให้ผมไปที่ธนาคารเลยไหม”

“อย่า!”

“เฮ้ย ป้าญาณีก็ทำไม่ถูกเจ้ากี้เจ้าการเราสองคนตั้งแต่เด็ก หรือให้ผมเข้าร่วมประชุม..”

“พอสักทีภาคิน! อย่ามายุ่งเรื่องงานของพี่ ไม่ต้องไปที่ธนาคารไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น มันไม่เกี่ยวกับเรา ไม่เกี่ยวเลยสักนิด จะไปไหนก็ไป!”

ทันทีที่เคพูดจบทุกอย่างรอบตัวก็เงียบสนิท ภาคินไม่รู้ว่าเพราะวันนี้เขาอ่อนแอเกินไปหรือเปล่าถึงได้รู้สึกว่า คำพูดของพี่ชายมันทำให้เขาเลือกที่จะเงียบอยู่อย่างนั้น เรื่องราวที่เจอมาวันนี้ทั้งๆ ที่อยากจะเล่าให้พี่ชายคนเดียวฟัง คำปลอบใจ อ้อมกอดหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมันหายวับไปกับตา

“คิน..พี่”

คินไม่รู้สึกตัวเลยว่าเขาร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คินก็แค่ปาดน้ำตาออกแล้วเดินหันหลังไป ตอนนั้นคินแค่เดินไปบ้านข้างๆ ก็คือบ้านทับทิม คุณย่ากาญจนาของไอ้ทิมร้องลั่นเมื่อเห็นว่าเขาเดินเข้าบ้านด้วยน้ำตานองหน้า ทิมเองถึงกับโยนถุงขนมทิ้งแล้วเข้ามากอดเขาไว้แน่น คงเป็นครั้งแรกละมั้งที่ทุกคนเห็นเขาร้องไห้หนักขนาดนี้เรียกได้ว่าชีวิตมันพังไปหมดไม่ว่าจะเรื่องครอบครัวและความรัก สุดท้ายแก๊งลูกเพื่อนแม่ก็มาที่บ้านทิมกันครบ ตลกดีอกหักคนเดียวเพื่อนสนิทกลับกอดกันร้องไห้เป็นชั่วโมง

“พวกมึง กูจะไปเชียงใหม่นะ”

“กลับเมื่อไหร่”

หลังจากนอนคิดมาทั้งคืนในที่สุดคินก็แค่คิดว่าเขาอยากจะไปพักที่ไหนไกลๆ ให้หัวสมองมันโล่งๆ สักหน่อย ทั้งๆ ที่คินเองก็มีแพลนจะเปิดร้านของตัวเองแต่เขาก็ยังรู้สึกว่าไม่พร้อมอยู่ดี ก่อนหน้านี้เขาเองก็ตะลอนๆ ไปทั่วประเทศและคิดว่าจะพอสักทีเลยจะกลับมาทำธุรกิจแต่สงสัยคงยังไม่ใช่ตอนนี้ หลังจากที่บอกแก๊งลูกเพื่อนแม่สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มและอ้อมกอดของทุกคน และทันทีที่เขาตอบคำถามที่รามิลถามค้างไว้

“ยังไม่มีกำหนดกลับ” ทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิทก่อนที่ทุกคนจะเข้ามากอดเขาพร้อมกันจนแทบหายใจไม่ออก

“ถ้าสบายใจแล้วรีบกลับมานะ”

จะมีใครดีไปกว่าแก๊งลูกเพื่อนแม่ไม่มีอีกแล้ว

 



“ทำไมเริ่มเรื่องดราม่าขนาดนี้”

ภาคินหันไปมองสีน้ำที่ทำหน้าตาเหมือนลูกหมาถูกทิ้งก็ยิ้มออกมา พร้อมกับบอกว่ามันผ่านไปแล้วเขาไม่ได้เจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอีกแล้ว คินชะโงกหน้าไปดูรูปวาดของสีน้ำมันเป็นเพียงรูปวาดท้องฟ้าเพียงเท่านั้น

“วันแรกที่ผมไปถึงเชียงใหม่ ท้องฟ้าเป็นสีแบบนี้เลย”

“ทำไมน้ำถึงไปเชียงใหม่”

“ก็..”



เสียงร้องที่ดังลั่นสตูดิโอวาดภาพทำให้สีน้ำที่กำลังผสมสีหยุดชะงัก ก่อนที่เพื่อนสนิทอย่างอิฐวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นท่าทางเหมือนเกิดเรื่องร้ายแรงสีน้ำเลยต้องจับตัวเพื่อนให้นั่งลงสงบสติอารมณ์ก่อน

“เกิดอะไรขึ้นวะ”

“มึง น้ำสีน้ำ”

“เออ กูเองค่อยๆ เล่า”

“มึงจำได้ป่ะที่กูลงชื่อโครงการที่จะไปสอนเด็กๆ วาดรูปที่เชียงใหม่”

“โครงการของครูแก้วใช่ป่ะวะ ถ้าจำไม่ผิด”

“เออใช่คือมึงน้ำกูลงชื่อไปแล้ว แต่กูก็สมัครทุนไปเรียนต่อที่อังกฤษแล้วมันเพิ่งประกาศผลเมือกี้นี้”

“ผลคือ”

“กูได้ ไอ้เหี้ยยยย!”

“เฮ้ย! คอนแกรทว่ะแล้วนี่มึงแหกปากคือเรื่องนี้เหรอวะ กูตกใจหมด”

“เรื่องนี้ด้วยแล้วก็เรื่องโครงการของครูแก้วด้วย กูโทรไปหาครูแก้วแล้วเขาบอกว่าไม่เป็นไรแต่มึงกูเกรงใจครูเขาว่ะ เขาจัดการให้กูทุกอย่างเลยแล้วอยู่ดีๆ กูจะไปบอกว่าไปไม่ได้แล้วคือกูต้องเตรียมตัวเรื่องทุนเยอะมาก”

“เข้าเรื่องเลย”

“มึงไปแทนกูหน่อยสีน้ำ”

“เมื่อไหร่นะ”

“อาทิตย์หน้า”

“ไอ้อิฐ”

“มึง กูพยายามหาคนแล้วแบบไม่มีใครไปได้เลยว่ะ กูโทรหาณัฐแล้วมันบอกว่าให้ถามมึงก่อนมันบอกว่าร้านที่พวกมึงจะเปิดไอ้ณัฐจะอยู่ดูงานให้เองเดือนหนึ่ง แล้วมันค่อยตามมึงไป”

“นี่พวกมึงตกลงกันเสร็จสรรพแล้วสินะ”

“เหลือแค่มึงพยักหน้าสีน้ำ”

“แล้วนี่กูต้องไปที่ไหน”

อิฐยิ้มแฉ่งก่อนจะกางแผนที่ประเทศไทยขนาดย่อ พร้อมกับใบโครงการต่างๆ ของครูแก้ว รูปภาพมากมายพร้อมกับเอาพู่กันวงไว้ตรงสถานที่ให้สีน้ำเห็นชัดๆ

“หมู่บ้านเหมือนฝัน จังหวัดเชียงใหม่”

 

Watercolor

 

“นี่ผมต้องไปกราบเพื่อนคุณที่ชื่ออิฐแล้ว”

“ก็อยากจะกราบมันเหมือนกัน อยากร้อยพวงมาลัยเองด้วยซ้ำ”

“อย่างนี้แสดงว่าน้ำอยู่เชียงใหม่ก่อนผมเหรอ”

“ก็คงใช่ ว่าแต่คินไปอยู่ที่ไหนในเชียงใหม่ ทำไมอยู่ดีๆ ไปโผล่ที่นั่นได้มันไม่ได้ไปกันง่ายๆ เลยนะ”

ภาคินหันมาวาดรูปที่ค้างไว้ต่อพร้อมกับบอกสีน้ำว่า ตอนที่อยู่เชียงใหม่ไปทุกที่ที่อยากจะไปถ่ายรูปบ้างวาดรูปบ้าง วันดีคืนดีก็ไปเรียนชงกาแฟเพิ่งรู้เหมือนกันว่าคาเฟ่ที่เชียงใหม่เยอะขนาดนี้ ตอนนั้นเป็นชีวิตที่สุขสบายดีไม่ต้องคิดอะไรมากตื่นมาเดินไปเรื่อยๆ กินข้าวร้านที่ไม่เคยกิน ชิมอาหารที่ไม่เคยได้ลอง ทำนู่นทำนี่มีอะไรใหม่ๆ ให้ลองทำทุกวัน

และวันนั้น วันที่คินบังเอิญไปเจอตลาดที่ขายพวกดอกไม้ต่างๆ เดินหลงเข้าไปอยู่นาน เลยถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเหนื่อยเลยนั่งพักดื่มกาแฟ เผอิญสายตาก็เหลือบไปเห็นใครสักคนที่กำลังเลือกดอกไม้อยู่หน้าร้าน ท่าทางตั้งอกตั้งใจเลือกดอกไม้ทำให้ภาคินหยิบดินสอขึ้นมาวาดคนที่ไม่รู้จัก พอร่างดินสอไปเรื่อยๆ ก็รอให้คนนั้นเลือกดอกไม้รูปนี้ก็จะเสร็จ แต่อยู่ดีๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา

“ภาคินเพื่อนของเบนใช่ไหม ว่างไหมคะตอนนี้พอดีจะให้เข้ามาคุยเรื่องรูปถ่าย”

คินตอบตกลงก่อนจะเก็บของทั้งหมดลงกระเป๋า พอเดินออกมาหน้าร้านคนนั้นที่เลือกดอกไม้อยู่ก็เลือกเสร็จพอดี จังหวะที่เดินสวนกันภาคินก็ยิ้มออกมา ดอกลาเวนเดอร์สีม่วง..เอาไว้เขาค่อยไปวาดต่อแล้วกัน ถึงจะไม่เห็นหน้าคนที่เลือกดอกไม้ชัดๆ ก็ตามเถอะ

ทันทีที่คินมาถึงร้านคาเฟ่ที่เปิดเป็นสตูดิโอถ่ายภาพด้วย เพื่อนของเบนจามินก็ออกมาต้อนรับพร้อมกับบอกว่า ชอบรูปที่เขาถ่ายมากเลยอยากให้มาติดไว้ที่ร้าน คงเห็นจากไอจีเขาถึงได้ติดต่อเบนจามินอีกที พอตกลงกันเสร็จสรรพคินเลยขอตัวเดินไปรอบๆ ร้านก่อนจะหยุดอยู่ที่รูปถ่ายรูปหนึ่ง มันเป็นรูปคล้ายๆ หมู่บ้านที่อยู่บนดอย ทั้งๆ ที่มีรูปถ่ายเป็นร้อยๆ รูปแต่ไม่รู้ว่าทำไมคินถึงติดใจกับสถานที่ในรูปนัก

“ขอโทษนะครับ ผมอยากรู้ว่าที่นี่ในรูปคือที่ไหน”

“อ้อ หมู่บ้านเหมือนฝันค่ะเลยจากนี้ไปก็เยอะเหมือนกัน”

“หมู่บ้านเหมือนฝัน..ผมไปที่นี่ได้ไหมครับ”

“ไปเช้าเย็นกลับไม่น่าได้นะคะ มันค่อนข้างไกลมากทีเดียว จริงๆ มีที่พักข้างบนแต่จะต้องจองก่อนเขารับนักท่องเที่ยวแค่ไม่กี่คนเอง”

“เสียดายจังครับ ถ้าได้เห็นกับตาต้องสวยมากแน่ๆ”

“เดี๋ยวยุ้ยถามแฟนยุ้ยให้นะคะ พอดีเขาต้องไปติดต่อเรื่องส้มที่นั่นบ่อยๆ”

“ขอบคุณมากครับ”

ภาคินนั่งรอเพื่อนของเบนติดต่อกับแฟนอยู่ที่ร้าน รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงอยากจะไปที่หมู่บ้านเหมือนฝันนี่นัก แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก และในที่สุดคุณยุ้ยก็บอกข่าวดีว่าแฟนของคุณยุ้ยจะพาเขาไปติดต่อผู้ใหญ่บ้านของที่หมู่บ้านให้เรียบร้อยแล้ว ระยะทางที่ไปก็เรียกได้ว่าไกลจากตัวเมืองมากทีเดียว ภาคินหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายไปเรื่อยเปื่อย ถึงจะนั่งรถจนปวดเนื้อปวดตัวไปหมด แต่ทันทีที่คุณลุงคนขับตะโกนว่าถึงแล้วภาคินก็รีบเปิดกระจกแล้วชะโงกหน้าออกไปรับอากาศ อากาศบริสุทธิ์ที่ตีหน้าทำให้ภาคินหลับตาซึบซับบรรยากาศ ก่อนที่คุณทิศแฟนคุณยุ้ยพาเขาไปแนะนำตัวกับผู้ใหญ่บ้านที่ดูมีอายุพอสมควร ตอนแรกก็รัวภาษาถิ่นใส่แต่พอเห็นเขากะพริบตาปริบๆ ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นภาษากลางแทน

“เป็นเพื่อนยุ้ยกับทิศเองใช่ไหม จะดูแลอย่างดีเลยมาเป็นแขกบีไอวี”

“วีไอพีหรือเปล่าครับ”

“นั่นแหละๆ เอ้อหน้าตาหล่อเหลายังกะพระเอกละคร เป็นคนติสท์ๆ เหรอไม่ค่อยมีคนหนุ่มๆ มาที่นี่เท่าไหร่ชื่ออะไรล่ะเรา”

“ภาคินครับ เรียกคินได้เลยครับ”

“แล้วทำงานทำการอะไร”

“ผมเป็นฟรีแลนซ์ครับ”

“มันคืออาชีพอะไร”

“คือผมเป็นช่างภาพครับ ที่ถ่ายรูปให้ออกมาสวยๆ”

“อ้อ ดีๆ ถ่ายหมู่บ้านเหมือนฝันให้สวยๆ นะแต่ห้ามเอาไปทำอะไรที่ไม่ดีล่ะบอกไว้ก่อน แล้วนึกยังไงอยากจะมาที่นี่อกหักเรอะ”

“ก็….ครับทำนองนั้น”

“บ๊ะ! มาเลียแผลใจไกลเชียว เอาน่าๆ เผลอๆ จะได้พบรักใหม่ที่นี่ป่ะไปดูที่พักกัน”

ภาคินได้แต่พยักหน้าขำๆ เมื่อผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามากอดคอเขาปลอบใจ นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันเขาไม่ได้รู้สึกเกร็งอะไรกับการต้อนรับ รู้สึกสบายใจด้วยซ้ำ พอเดินมาถึงที่พักคินเองก็เอ่ยขอบคุณผู้ใหญ่บ้าน คุณลุงอธิบายว่าที่พักที่นี่สร้างไว้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวอยู่แล้วเลยสะดวกกว่าที่อื่นน้ำไฟมีพร้อม คินรับคำเมื่อคุณลุงบอกอีกว่าที่พักเขาอยู่ฝั่งขวาอย่าเดินขึ้นบันไดผิดฝั่ง

“ฝั่งซ้ายเป็นที่พักสำหรับครูแก้วและก็คนที่เขามาช่วยสอนเด็กๆ ในหมู่บ้าน”

“ครับ ครูแก้ว?”

“ครูในหมู่บ้าน ปีนี้สนุกสนานกันใหญ่เห็นตัวเลอะสีน้ำกันทุกวี่ทุกวัน เด็กๆ นี่หน้าเป็นหมีเป็นแมว เออ..วาดรูปเป็นไหมเรา”

“วาดได้แต่ไม่ถนัดสีน้ำเลยครับ ขอไม่รบกวนครูแก้วเขาดีกว่า”

“ทำตัวให้มันมีสีสันหน่อยพ่อหนุ่มอย่าอึมครึม ว่างๆ เดินไปดูได้เขาสอนกันอยู่ตรงนู้น”

คินยกมือไหว้ผู้ใหญ่บ้านที่โคตรใจดี ก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อยังมีการบอกวลีเด็ดว่าอกหักดีกว่ารักไม่เป็น! ทำเสียงจริงจังจนเขาต้องกลั้นขำสุดชีวิต ภาคินตั้งใจจะเอาของไปเก็บที่ห้องพักแต่สายตาก็เหลือบไปเห็นบอร์ดที่ติดอยู่ตรงบันไดทางขึ้น มันดูเป็นบอร์ดที่ใครเอาอะไรมาติดก็ได้ ตามใจฉันสุดๆ ส่วนมากก็เป็นรูปวาดของเด็กๆ ไม่ก็พวกใบประกาศโฆษณาต่างๆ คินยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปก่อนจะเดินขึ้นบันได พร้อมกับหมุดที่ปักรูปวาดท้องฟ้าที่ระบายสีน้ำหลุดออกมาทำให้รูปวาดนั้นปลิวแล้วตกลงบนพื้น

First day ^^

หมู่บ้านเหมือนฝัน

 

“คินหมายถึงเราอยู่คนละฝั่งแบบมีบันไดกั้นแค่นั้น”

“โคตรตลกแต่มันก็ทำให้ผมเชื่อเรื่องนี้เหมือนกันนะ”

“เรื่องอะไร”

“พรหมลิขิต อยู่ดีๆ ผมได้มาอยู่ที่นี่มาเจอคุณ…สีน้ำ”

“เราไม่ได้เจอหน้ากันสักหน่อย”

สีน้ำยื่นหน้ามาดูรูปวาดของคินบนกระดาน มันเป็นรูปคนสะพายกระเป๋าใบโตพร้อมกับยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่าย น่าจะเป็นตัวเองที่เพิ่งมาถึงหมู่บ้านเหมือนฝันวันแรก ภาคินแกล้งดันหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้กลับไปวาดรูปตามเดิม ก่อนจะค่อยๆ เล่าเรื่องที่เชียงใหม่ต่อ

วันที่สองที่อยู่ในหมู่บ้านเหมือนฝัน ภาคินไม่ได้ทำอะไรมากก็แค่เดินถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย ชาวบ้านบางคนเห็นกล้องถ่ายรูปก็มีเขินๆ กันบ้างๆ แต่พวกเด็กๆ กลับสู้กล้องวิ่งเข้ามาฉีกยิ้มกันใหญ่ คินเองขออนุญาตทุกครั้งที่จะถ่ายรูปใคร ดีที่เขาพกเครื่องปริ้นท์แบบพกพามาด้วย พอรูปที่เขาถ่ายออกมาเด็กๆ ก็ตื่นเต้นเอาไปอวดคนนู้นคนนี้ พอเห็นว่าแสงแดดเริ่มร้อนกว่าเมื่อเช้าคินเลยเดินกลับเข้าที่พัก เพิ่งเห็นว่าตรงอาหารเข้ายังมีอยู่เลยเดินเข้าไป ตรงบริเวณครัวจะมีแม่ครัวคอยทอดไข่กระทะ ปิ้งขนมปัง  ชงกาแฟให้คนที่เข้ามาพักอยู่แล้ว

“ไม่เคยเห็นหน้ามาใหม่เหรอพ่อหนุ่ม”

“ครับ เพิ่งมาถึงเมื่อวาน”

“มากับครูแก้วเหมือนกันเหรอที่เขามาวาดรูปกัน”

“ไม่ใช่ครับ ผมมาคนเดียว”

“หน้าตาไม่ผ่องใสเลย หนีรักมาล่ะสิมาๆ ป้าปิ้งขนมปังให้เลือกแยมได้เลย เอากาแฟอะไร”

ภาคินหัวเราะเบาๆ พร้อมกับบอกว่ามีแต่คนดูออกว่าเขาอกหักอยู่ เห็นทักกันหลายคนแล้วแม่ครัวพอได้ยินแบบนั้นก็เอื้อมมือมาตบไหล่เขาเบาๆ พร้อมกับปิ้งขนมปังให้เขาสองสามแผ่น ตรงหน้าเขามีถาดใส่แยมสองสามขวด เพราะคิดว่าสายขนาดนี้แล้วคงไม่มีใครกินอาหารเช้าอีกเลยจัดการแยมส้มจนหมดถาด ก่อนจะเอ่ยขอตัวกับแม่ครัวเพื่อเดินไปดูไร้ส้มที่อยู่ข้างๆ จังหวะที่จะเลี้ยวพอดีกับมีใครสักคนเดินเข้ามา คินเลยเบี่ยงตัวหลบเพราะกลัวว่ากาแฟจะหกใส่

“ขนมปิ้งสองแผ่นครับ ป้า! แยมส้มหมดแล้ว!”

เสียงตกอกตกใจเหมือนเกิดเรื่องร้ายแรงทำให้แม่ครัวรีบเดินออกมาดู พอเห็นสีหน้าจะร้องไห้ของคนตรงหน้าก็หัวเราะอย่างเอ็นดู พร้อมกับบอกว่ามีคนชอบเหมือนกันแล้ว หลังจากทุกคนที่นี่ต่างติดใจแยมเสาวรสกันทั้งนั้น แม่ครัวเอ่ยปลอบใจคนที่บ่นกระปอดกระแปดพร้อมกับยื่นนมอุ่นๆ ให้

“เดี๋ยวเย็นๆ ป้าทำนมชมพูให้กินนะ น้องสีน้ำ”


หมู่บ้านเหมือนฝันมีพื้นที่เยอะมาก คินเดินมาสองสามวันก็ยังไม่หมด คิดถูกแล้วที่มาที่นี่เขารู้สึกสบายใจทั้งๆ ที่มาอยู่แค่ไม่กี่วันเท่านั้น ทุกคนในหมู่บ้านใจดีชอบให้เขาลองทำนู่นทำนี่ตลอดเวลา ไม่เหงาเลยสักวัน เพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่ได้เปิดดูในไลน์ว่า นาวาจะส่งอะไรมาหรือเปล่า ในไอจีอัพรูปอะไรบ้างไหมเขาลืมเรื่องนี้ไปแล้ว สิ่งสุดท้ายที่เขาได้จากนาวาก็คือรูปโพราลอยด์และด้านหลังเขียนวันที่ไว้ คินก็ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร รู้แค่ว่าวันที่นาวาไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นเขาไม่ได้ไปส่งและนาวาฝากรูปนี้ไว้กับเพื่อนของเขาอีกที คิดอะไรเพลินๆ แรงสะกิดตรงแขนทำให้ภาคินหันมามองพร้อมกับเจอเด็กผู้ชายที่ยิ้มแฉ่งตรงข้างแก้มมีคราบสีน้ำเลอะอยู่

“ครับ? เรียกพี่เหรอ”

“วันนี้ครูแก้วกับพี่ๆ ทำข้าวไข่เจียวแจกทั้งหมู่บ้านเลย เห็นพี่นั่งอยู่คนเดียวเลยเอามาให้”

ภาคินเอนตัวแล้วมองไปยังกลุ่มคนที่มะรุมมะตุ้มกันอยู่แถมอาคารเรียน มีกลิ่นหอมฉุยของข้าวไข่เจียวลอยฟุ้งๆ ไปทั่ว คินเอ่ยขอบคุณเด็กน้อยก่อนจะสังเกตว่าไข่เจียวมันมีสีม่วงๆ แซมอยู่ด้วย คงเพราะเขาขมวดคิ้วทำหน้าสงสัยเด็กตรงหน้าเลยร้องอ้อซะดังลั่น

“ดอกอัญชัญครับ ไข่เจียวใส่ดอกอัญชัญ”

แปลกดีไม่เคยกิน คินพยักหน้าก่อนเจ้าเด็กน้อยจะฉีกยิ้มอีกครั้ง ตั้งท่าจะวิ่งกลับไปตรงโรงเรียนแต่เหมือนคิดอะไรได้ก็วิ่งกลับมาหาเขาอีกรอบพร้อมกับล้วงเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยัดใส่มือเขา

“พี่ดูเงียบๆ เจอเรื่องเศร้ามาเหรอพี่ ผมให้สตรอว์เบอรี่ไร่ลุงพรชัยอร่อยอย่างนี้เลย”

มันเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้จะบอกยังไง ตั้งแต่มาที่นี่มีแต่คนห่วงใยเขาตั้งแต่คุณลุงผู้ใหญ่บ้าน ป้าแม่ครัวหรือแม้แต่เด็กน้อยตรงหน้า ภาคินยิ้มออกมามันเป็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นจากใจจริงๆ มันไม่ได้ฝืนอย่างที่ทำมาตลอด คินยกมือลูบผมเด็กเบาๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งกลับไปที่โรงเรียน ส่วนคนที่เพิ่งได้ข้าวไข่เจียวดอกอัญชัญกับสตรอว์เบอรี่ก็ตักอาหารใส่ปาก ไม่นึกไม่ฝันเหมือนกันว่าข้าวไข่เจียวสีม่วงๆ กับผลไม้ลูกแดงๆ จะทำให้เขารู้สึกดีได้ขนาดนี้  เด็กผู้ชายตัวจ้อยพอวิ่งกลับมาที่โรงเรียนก็พูดเจื้อยแจ้วกับคนที่กำลังทอดไข่เจียวอัญชัญอยู่ หลังจากที่เจ้าตัวขออาสาเอาข้าวไข่เจียวดอกอัญชัญไปให้ผู้ชายที่นั่งหันหลังมองวิวอยู่ตรงเนินเขา

“เขาไม่น่ากลัวนะพี่สีน้ำ หน้าไม่ค่อยยิ้มแต่ยิ้มแล้วหล่องี้เลยเหมือนพระเอกละคร”


ที่นี่มืดเร็วและคนที่นี่ก็นอนเร็วมากด้วย ภาคินเดินกลับเข้าที่พักวันนี้ได้นั่งวาดรูปเป็นชั่วโมงๆ รู้สึกดีเป็นบ้า เขาไม่ได้จับดินสออีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่องกับนาวา มันเหมือนเขาค่อยๆ ปลอดล็อคไปทีละอย่าง จังหวะที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดก็เห็นบางอย่างที่ติดอยูตรงบอร์ดทางขึ้นที่พัก ตอนแรกนึกว่าเป็นแค่รูปภาพธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปแต่พอเข้าไปดูใกล้ๆ มันกลับไม่ใช่

โปสการ์ด?

มันเป็นโปสการ์ดรูปถ่ายทั่วๆ ไป เหมือนที่เขาเห็นในร้านของยุ้ยเพื่อนของเบน แต่ที่คินสนใจไม่ใช่รูปโปสการ์ด มันคือข้อความต่างหากที่เขากำลังจ้องอยู่

วันนี้มันดีมาก วันนี้ของคุณเป็นยังไงบ้าง : )

นอกจากข้อความบนการ์ดแล้วยังมีจุดที่เป็นสีเหลืองอยู่ตรงมุมโปสการ์ดด้วย เหมือนเป็นสีน้ำระบายไว้ คินมองซ้ายมองขวาเพื่อดูว่าเจ้าของโปสการ์ดอยู่แถวนี้หรือเปล่า แต่ดึกขนาดนี้น่าจะไม่อยู่แล้วไม่รู้อะไรดลใจให้เขายืนมองโปสการ์ดใบนั้นอยู่เป็นนาที ก่อนจะตัดสินใจดึงหมุดออกแล้วเก็บโปสการ์ดใบนั้นไว้ พอลองค้นๆ ของในกระเป๋าก็เจอกับโปสการ์ดที่ซื้อมาจากร้านของยุ้ยเลยหยิบปากกามาเขียนข้อความแล้วปักหมุดไว้บนกระดาน

 

................
........................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2021 00:12:59 โดย RIBBINBO »

ออฟไลน์ RIBBINBO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-2
Watercolor



“ยืนมองอะไรอยู่น้ำ ไม่ไปกินข้าวเหรอไงเดี๋ยวแยมส้มก็หมดอีกหรอก”

“เดี๋ยวตามไป”

มีคนตอบจริงๆ ด้วยว่ะ สีน้ำยืนมองกระดานตรงทางขึ้นห้องพักอยู่อย่างนั้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโปสการ์ดที่ติดอยู่ ตัวโปสการ์ดก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ก็เหมือนโปสการ์ดที่ขายในร้านกาแฟ หรือร้านขายของฝากในตัวเมือง แต่ไอ้ข้อความที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้มันอะไรกันวะ

*อยู่คนเดียวได้บ้างแล้ว กินข้าวไข่เจียวได้นิดหน่อย ดื่มน้ำผลไม้ได้เล็กน้อย ค่อยๆ ดีขึ้นทุกวัน : )

สีน้ำมองซ้ายมองขวาอีกรอบ ในมือก็ถือโปสการ์ดใบแรกที่มีคนตอบกลับมา ความรู้สึกในตอนแรกคืออยากรู้ว่าเป็นใครแต่พอมาคิดดูอีกทีปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ดีกว่า เหมือนย้อนเวลากลับไปสมัยก่อนที่เขียนจดหมายหาคนที่ไม่รู้จัก ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีคนเล่นด้วย สีน้ำเลยเก็บโปสการ์ดใบแรกที่มีคนเขียนกลับมาลงกระเป๋าแล้วเดินเลี้ยวไปตรงห้องครัว วันนี้ดูคนในหมู่บ้านวุ่นวายพอสมควร เห็นคนเดินไปเดินไปถือดอกไม้กันคนละดอก แต่ละคนแต่งตัวสวยป้ายหน้าด้วยแป้งขาวผ่อง จนครูแก้วต้องเฉลยให้ฟัง

“งานประจำปีหมู่บ้าน ดอกไม้ที่ถือกันเป็นธรรมเนียมที่ทำกันมาหลายปี ใครที่เอาดอกไม้ไปวางตรงต้นไม้ตรงนู้น แล้วใครที่เก็บของเราไปจะเป็นเนื้อคู่กัน”

โรแมนติกดีเหมือนกันสีน้ำเห็นผู้หญิงหลายคนถือดอกไม้ต่างชนิดกันไป ก่อนจะเดินไปวางตรงต้นไม้  จริงๆ แล้วตามธรรมเนียมไม่ได้บอกว่าเฉพาะผู้หญิงจะเป็นใครก็ได้ เลยมีผู้ชายบางคนก็ไปวางที่ต้นไม้เช่นกัน พอยืนมองอยู่นานครูแก้วก็เอนตัวมากระซิบว่าลองบ้างซิ ไหนๆ ก็มาที่นี่แล้ว

“เฮ้ย ไม่ดีมั้งครู”

“เอาน่า เผื่อได้แฟนจากที่นี่”

“เอาจริงเหรอ”

“เอาไปอวดอิฐหน่อย อยากชิ่งหนีไปอังกฤษดีนัก”

พอโดนยุเข้าหน่อยสีน้ำก็เดินไปดูดอกไม้ที่ชาวบ้านมาวางไว้ มันมีดอกไม้หลากลายชนิดไม่ว่าจะเป็น กุหลาบ ลิลลี่ เยอร์บีร่า แต่ที่สีน้ำสนใจมากที่สุดคงเป็นดอกลาเวนเดอร์สีม่วง สีน้ำหยิบดอกลาเวนเดอร์ขึ้นมาถือไว้ คุณยายที่เป็นคนเฒ่าคนแก่อวยพรขอให้เขาได้เจอเนื้อคู่เร็วๆ ครูแก้วบอกให้เขาเขียนอะไรบ่งบอกว่าดอกไม้ของเราแตกต่างจากของคนอื่น แต่จะให้เขียนข้อความซึ้งๆ ตอนนี้ก็คิดไม่ออกหรอก ในที่สุดสีน้ำก็วาดรูปจานสีน้ำกับพู่กันแล้วเอาเชือกมาผูกไว้

 

“ถูกใจอันไหนหยิบเลยพ่อหนุ่ม”

ภาคินที่กำลังถ่ายรูปผู้คนในหมู่บ้านเอาดอกไม้มาวางตรงต้นไม้อยู่ก็ส่ายหน้าไปมา เมื่อผู้ใหญ่บ้านที่อธิบายธรรมเนียมเก็บดอกไม้ของที่นี่ให้ฟัง คินได้แต่บอกว่าให้คนในหมู่บ้านจะดีกว่า แต่ผู้ใหญ่บ้านยกมือตบอกตัวเองปึกๆ พร้อมกับบอกว่าอย่าให้คนเก่ามารบกวนจิตใจเรา ต้องเริ่มใหม่! ภาคินนึกขำตั้งแต่มาอยู่นี่เขาได้คำคมจากผู้ใหญ่บ้านหลายครั้งแล้ว พอเห็นความตั้งใจของผู้ใหญ่ก็เลยต้องยอมทำตามอย่างช่วยไม่ได้ คินวนไปรอบๆ ตอนแรกก็ว่าจะหยิบๆ ดอกไม้อะไรมาก็ได้สักดอกเพราะเขาไม่ได้เชื่อเรื่องเนื้อคู่อะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็สายตาก็เหลือบไปเห็นดอกลาเวนเดอร์ ภาคินยิ้มแล้วก้มลงหยิบขึ้นมาแต่ไม่ได้สังเกตเห็นป้ายรูปจานสีที่ห้อยไว้ คงเพราะไม่ได้ผูกไว้แน่นมันเลยร่วงหล่นลงพื้น

“ดอกลาเวนเดอร์ เอ้อดีๆ พ่อหนุ่มคนที่เอามาวางต้องน่ารักมากแน่ๆ ขอให้เป็นเนื้อคู่นะ”

คินได้แต่ยิ้มกับคำอวยพรของผู้ใหญ่บ้าน ถ้าเป็นจริงตามธรรมเนียมก็ตลกดีเหมือนกันแก๊งลูกเพื่อนแม่คงต้องมาที่นี่กันทุกเดือน ภาคินเดินกลับไปที่พัก ตอนนี้ในใจเขาอยู่ที่บอร์ดตรงบันไดแล้ว ทั้งๆ บอกตัวเองว่าไม่ได้หวังว่าคนในโปสการ์ดจะคุยกับเขาทุกวันหรอกแต่ก็นะ คนเราก็ต้องอยู่ได้ด้วยความหวัง และมันก็มีจริงๆ โปสการ์ดพร้อมข้อความแปะอยู่ตรงกลางบอร์ด พอมองใกล้ๆ ก็เห็นสีม่วงเป็นวงๆ อยู่ตรงมุมโปสการ์ดเหมือนเดิม

ได้ไปวางดอกไม้ไหมคุณ

คินหัวเราะก่อนจะหยิบโปสการ์ดที่เตรียมไว้ออกมา

เป็นคนไปเก็บดอกไม้

สีน้ำยืนมองโปสการ์ดที่ตอบกลับมาแล้วเก็บลงกระเป๋าเหมือนทุกวัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนที่เขียนในโปสการ์ดก็คือคนในหมู่บ้านนั่นแหละ แต่ก็ไม่อยากจะไปค้นหาอยู่ดีว่าเป็นใคร หมู่บ้านเหมือนฝันมีส่วนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาเที่ยว และสีน้ำก็เห็นเหมือนกันว่ามีนักท่องเที่ยวเดินไปเดินมาเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ดูจากภาษาที่เขียนตอบกลับมาดูไม่น่าจะเป็นชาวบ้านที่นี่ อีกอย่างที่พักของเขาก็ไม่เห็นมีชาวบ้านขึ้นมาสักคน

“น้องสีน้ำ วันนี้อย่าลืมมาเอานมชมพูนะป้าเตรียมไว้ให้”

สีน้ำเอ่ยขอบคุณคุณป้าแม่ครัวที่ชอบชงเครื่องดื่มสุดโปรดให้เขาอยู่บ่อยๆ และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ทำงานหนัก ครูแก้วไม่ได้ให้เขาสอนเด็กๆ วาดรูป แต่ให้ไปปีนหลังคาซ่อมรอยรั่วของโรงเรียน จริงๆ ก็อยากทำตั้งนานแล้วเพราะฝนตกทีไรก็ต้องอพยพไปนั่งตรงเนินทุกที สีน้ำใส่หมวกแก๊ปพร้อมกับเอาผ้าโพกหัวแล้วหยิบเครื่องมือเตรียมตัวซ่อม เห็นไอ้พัดเพื่อนที่มาด้วยกันโบกมืออยู่อีกด้านก็อุ่นใจ อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมเหตุการ์ณซ่อมหลังคา

“พ่อหนุ่ม เสียงดังหน่อยนะวันนี้เขาซ่อมโรงเรียนกัน ฝนตกซู่ซ่าทีไรเปียกไปหมด”

ภาคินที่เดินถ่ายรูปมาเรื่อยๆ พยักหน้ารับที่จริงเขาไม่เคยเข้ามาตรงนี้มาก่อน เพราะเห็นเป็นที่ทำกิจกรรมของชาวบ้านที่นี่ กลัวว่าเขาจะวุ่นวายด้วย คินถามว่ามีอะไรให้เขาช่วยก็บออกได้เพราะเห็นตอนนี้ทุกคนก็ปีนป่ายกันอยู่บนหลังคา ผู้ใหญ่บ้านชี้เลยเข้าไปในโรงเรียนบรรดาชั้นหนังสือเก่าผุพังทำให้หนังสือบางเล่มต้องเอาออกมากองข้างนอก คินเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูสัญญาณ ยังดีที่มันยังขึ้นมาให้เห็นอยู่บ้าง คินเลยกดโทรออก

“ว่าไงลูกพี่ ตอนนี้อยู่ส่วนไหนของโลก”

“กวนตีนไม่เปลี่ยนเลยไอ้พอร์ช มีเรื่องให้ช่วยเห็นรูปที่ส่งไปให้ไหม คิดให้หน่อยทำยังไงให้ใส่หนังสือได้หมดในพื้นที่แค่นั้น”

“งานด่วนไหมพี่”

“เดี๋ยวนี้”

“โหลูกพี่คิน”

“ทำได้ถ้ากลับไป กูเลี้ยงเหล้ามึงเลยจ่ายไม่อั้น”

“งานง่ายๆ ว่ะพี่สองนาทีเสร็จรอแบบที่ผมส่งไปได้เลย ขออนุญาตทับทิมให้ผมด้วยนะถ้าจะเลี้ยงเหล้า”

“อ่อนจังวะกินเหล้าก็ต้องขอ”

“รอพี่มีแฟนแล้วจะรู้ซึ้ง”

กวนตีนที่หนึ่งแต่ก็เก่งที่หนึ่งแค่เพียงไม่นาน พอร์ชพชรก็ส่งแบบชั้นหนังสือมาในไลน์ดูจากแบบก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ คินมองแบบอยู่สองสามนาทีก่อนจะเดินไปถามหาพวกไม้กับชาวบ้าน ตอนแรกทุกคนมองเขาอย่างไม่ค่อยไว้วางใจแต่พอเห็นเขาเลื่อยไม้เป็นรูปเป็นร่างก็ตื่นเต้นกันใหญ่ แค่เพียงไม่นานชั้นหนังสือก็เสร็จเรียบร้อยแถมยังใส่หนังสือได้มากเดิมอีกต่างหาก เพราะนั่งทำอยู่นานเศษไม้ต่างๆ ติดตามตัวไปหมดเลยขอตัวไปอาบน้ำใหม่อีกรอบ และแน่นอนบรรดาเด็กๆ ที่เห็นชั้นหนังสือใหม่ก็ตาลุกวาวรีบวิ่งไปดูใกล้ เหลือแต่สีน้ำกับพัดที่ยืนมองหน้ากันอย่าง งงๆ จนชาวบ้านแถวนั้นบอกว่ามีนักท่องเที่ยวมาทำให้สีน้ำยิ้มออกมา ใครมาทำให้เก่งจังเลยวะ



“พ่อหนุ่มคนหล่อๆ คนนั้นเพิ่งกลับมาไม่ใช่รึจะออกไปไหนอีก”

“ว่าจะไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินหน่อยครับ สีสวยดี”

“อยากดื่มอะไรไหมป้าชงให้ เอานี่ไหม”

ภาคินรีบส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าป้าแม่ครัวหยิบนมชมพูขึ้นมา แอบขำเล็กน้อยเมื่อได้ยินป้าบ่นเบาๆ ว่าคนกรุงไม่ได้ชอบกินน้ำแบบนี้กันเหรอ พอเห็นเขาทำท่ากลัวน้ำสีชมพูนั่นมากคุณป้าแม่ครัวเลยถามว่าอยากกินน้ำอะไร คินนึกอยู่นานก่อนจะเหลือบไปเห็นชาที่วางอยู่ด้านหลัง

 

18.45 น.

ยังไม่หนึ่งทุ่มแต่ท้องฟ้าก็มืดมิดเหมือนสามทุ่ม เหมือนเป็นเรื่องกิจวัตรประจำวันไปแล้วที่คินต้องเดินไปที่บอร์ดตรงทางเดินขึ้นบันได และก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่ามีโปสการ์ดสีรุ้งปักหมุดไว้ตรงกลางบอร์ด

“วันนี้ทำงานเหนื่อยมากๆ โคตรเหนื่อยต้องได้กินนมชมพู! ให้หายเหนื่อย มีคนแปลกเหมือนเราป่ะอยากรู้ เวลาที่เหนื่อยๆจะต้องไอ้นมชมพูนี่ทุกครั้งเลย คุณล่ะมีเครื่องดื่มที่ชอบไหม? ”


เออ…นมชมพูมันฮิตที่นี่เหรอวะทำไมใครๆ ก็ชอบกิน
คินหยิบโปสการ์ดที่เตรียมไว้ก่อนจะเขียนบางอย่างตอบกลับไป

“ไม่ชอบเครื่องดื่มหวานๆ ทุกชนิด กาแฟใส่นมก็ไม่ชอบ ถ้ารองจากกาแฟดำที่ชอบที่สุดคือชาคาโมมายล์ร้อน แต่ชอบดื่มนมชมพูก็ไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่มีอะไรแปลกกว่านี้ไหม?”

 

watercolor

 

เคยกินเฉาก๊วยใส่น้ำอัดลมป่ะคุณ โคตรชอบเลยโดยเฉพาะน้ำเป็บซี่
ถ้าวันไหนเรามีโอกาสได้เจอกันอยากให้คุณลองนะ


เออ..หลังจากที่บอกนมชมพูว่าไม่แปลก เมนูแปลกๆ ก็มาเลยเว้ย เกือบสองอาทิตย์แล้วที่ภาคินคุยโปสการ์ดกับคนไม่รู้จัก ใครก็ไม่รู้ ชื่ออะไรก็ไม่รู้ หน้าตาเป็นแบบไหน เขาไม่รู้อะไรสักอย่าง รู้แค่เพียงว่าเขารู้สึกสบายใจมากๆ เวลาที่ได้คุยกันแบบนี้ คินเฝ้ารอโปสการ์ดทุกวัน ตอนนี้รู้สึกว่าอาการอกหักมันค่อยๆ ดีขึ้นเขาไม่ได้นั่งซึม ฟูมฟายหรืออยากจะรู้ว่าตอนนี้นาวาทำอะไรอยู่ที่ไหน หรือจะคิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า

ทุกๆ อย่างมันถูกแทนที่ด้วยข้อความบนโปสการ์ด ถ้าแก๊งลูกเพื่อนแม่รู้เรื่องทั้งหมดคงได้หัวเราะเขาตายกันไปข้าง คนที่ไม่เชื่อเรื่องเนื้อคู่ พรหมลิขิต ดันมาตกม้าตายมาตกหลุมรักคนในโปสการ์ด หน้าตาชื่อแซ่อะไรก็ไม่เคยเห็น ส่วนข้อความในโปสการ์ดที่เขาได้มันมีทั้งเรื่องสาระและไร้สาระแต่มันก็ทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้ง

แถมในโปสการ์ดยังมีจุดสีต่างๆ ให้เขาสงสัยว่ามันคืออะไร ทำไมถึงมีจุดสีบนโปสการ์ดทุกอัน แต่เขาก็ไม่ได้ถามกลับไปเพราะคิดว่ามันอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าตัว และอีกอย่างโปสการ์ดที่คินได้มานั้นล้วนแต่เป็นสีสดใส เรียกได้ว่าสีรุ้งได้เลย ตรงข้ามกับโปสการ์ดของเขาอย่างสิ้นเชิงเพราะทุกอันมันเป็นลายขาวดำทั้งหมด และข้อความเราที่คุยกันนั้น..

- วันนี้มีดาวตก! คุณอธิษฐานอะไรไหม

- ขอให้หิมะตก ล้อเล่นจริงๆ เวลาอธิษฐานเขาห้ามบอกคนอื่นไม่ใช่เหรอเดี๋ยวมันไม่จริง



-  กินข้าวไข่เจียวดอกอัญชัญทุกวัน จนตัวจะเป็นสีม่วงอยากเอาไปใส่พิซซ่าที่บ้านบ้างอยากรู้ว่ามันจะรสชาติยังไง สีม่วงสวยดี

- ไม่เบื่อข้าวไข่เจียวดอกอัญชัญ กินได้ทุกวันแต่พิซซ่าดอกอัญชัญขอไม่ลองนะ ขอผ่าน

 

 - เมื่อคืนฝันร้ายน่ากลัวมากฝันเห็นผี นอนไม่ค่อยหลับเลยคุณ

 - เมื่อวานเห็นคุณเขียนไว้ว่านอนไม่หลับ จริงๆ มีเพลงแนะนำฟังกี่ครั้งนอนหลับสนิททุกครั้ง หลับเถอะนะแก้วตาจงนอนหลับใหล จะอยู่ตรงนี้ไม่จากไปไหน..ถ้าได้เจอกันจะร้องให้ฟังนะคุณ จะร้องเพลงกล่อมให้คุณนอนฝันดี

 

 - ขอถามได้ไหมทำไมถึงมาเชียงใหม่เหรอ แล้วมาที่นี่ที่ไกลมากๆ ขอเดานะข้อแรกมาเที่ยวเฉยๆ อยากสัมผัสธรรมชาติ ส่วนข้อสองมาที่นี่เพราะอกหัก ต้องหนีมาไกลๆ เพื่อให้ธรรมชาติบำบัด ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร

 - ที่คุณถามว่ามาเชียงใหม่ทำไม เพราะส่วนมากก็มาเที่ยว ไม่ก็หนีความจริงอะไรสักอย่างเพื่อมาพักรักษาจิตใจ ใช้ธรรมชาติบำบัด เก่งเหมือนกันนะเนี่ย ไม่คิดว่าจะมาเที่ยวบ้างเหรอไงแต่ก็นะ คนเรามันหนีความจริงกันไม่พ้นทั้งนั้น ขอตอบข้อสอง..ตอนอ่านโปสการ์ดใบนี้ห้ามหัวเราะนะ ที่มาที่เชียงใหม่ก็เพราะว่า อกหัก เจ็บเหมือนจะตายเลย..

 

  - โอ๋เอ๋นะ เดี๋ยวสักวันคุณก็จะดีขึ้นความรักที่ผ่านมาก็จะเป็นแค่ความทรงจำ เดี๋ยวคุณก็จะเจอความรักครั้งใหม่ที่ทำให้คุณมีความสุข ขอให้คุณเจอเร็วๆ นะเศร้านานๆ มันไม่ดีชีวิตต้องสดใสนะคุณ

 - บางทีตอนนี้ก็อาจเจอความรักครั้งใหม่อย่างที่คุณบอกขอบคุณนะ

 

-ตอนนี้มีความสุขอยู่หรือเปล่า

-ตอนนี้โคตรมีความสุข : )



 - คุณเชื่อในเรื่องพรหมลิขิตไหม? มันจะมีจริงหรือเปล่า? เดาเลยผู้ชายติสท์ๆ  แบบคุณไม่เชื่ออะไรแบบนี้แน่ๆ  เอางี้..ถ้าเราสองคนเจอกันแบบไม่คาดจะถือว่ามันคือพรหมลิขิตก็แล้วกัน

- ทำไมถึงคิดว่าเป็นผู้ชาย? ไม่บอกหรอกนะและก็ไม่ได้เชื่อเรื่องนี้ด้วย ออกแนวเพ้อเจ้อ แต่ถ้าเราได้เจอกันในแบบไม่คาดคิด จะคิดว่าเป็นพรหมลิขิตก็ได้ แต่ขอแบบไม่คาดคิดจริงๆ

 

- ไม่ชอบของหวาน ไม่ดื่มเครื่องดื่มหวานๆ พูดจาห้วนมาก แข็งทื่อเป็นหินเดาไว้ก่อนว่าเป็นผู้ชาย เราจะรอเจอกันแบบไม่คาดคิดเหรอ ไม่อยากรู้จักกันก่อนเหรอ กลัวคุณหายไปเหมือนกันนะยิ่งดูติสท์ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณไปโผล่ที่ใต้จะทำไง คุณ..เรามาเจอกันไหม มีโปสการ์ดที่อยากให้คุณด้วยตัวเอง

- ไม่อยากหนีไปไหนแล้วตอนนี้ เหมือนเจอที่พักพิงเวลาที่เหนื่อย อยากรู้จักคุณนะอยากเจอคุณด้วย พรุ่งนี้จะรอโปสการ์ดของคุณ มีโปสการ์ดที่อยากให้คุณด้วยตัวเองเหมือนกัน



คุยกับคนแปลกหน้าในโปสการ์ดมาเดือนหนึ่งเต็มๆ โปสการ์ดสามสิบกว่าใบที่ได้มาไม่มีใครรู้เรื่องนี้สักคน ทุกวันนี้ตื่นเช้าแล้วรีบวิ่งไปที่บอร์ดตรงบันไดไอ้พัดก็มองแปลกๆ แล้วดีที่มันไม่ได้สังเกตเห็น สีน้ำเอาพู่กันจุ่มลงน้ำเมื่อวาดรูปลงบนโปสการ์ดเสร็จเรียบร้อย เขาคิดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายน่าจะกลับมาตอนเย็นๆ พอเงยหน้ามองนาฬิกาก็คิดว่าเหลืออีกตั้งนานเลยตั้งใจจะไปหาครูแก้วก่อน แต่อยู่ดีๆ พัดก็พรวดพราดเปิดประตูเข้ามาหน้าตาตื่น

“น้ำ ณัฐโทรมาบอกว่ามีเรื่องด่วน!”



ภาคินหยุดอยู่ที่หน้าที่พักก่อนจะหลับตาเรียกกำลังใจ ในมือมีโปสการ์ดหนึ่งใบที่เตรียมเอาไว้เขาหวังไว้ว่าทันทีที่เขาเปิดประตู จะเห็นใครสักคนยืนถือโปสการ์ดรออยู่เช่นกัน คินนับหนึ่งถึงสามก่อนจะเปิดประตูแต่ก็ต้องยืนค้างกันอยู่อย่างนั้นเมื่อเห็นว่าตรงหน้าบอร์ดว่างเปล่า ไม่มีใครยืนอยู่สักคนหรือว่ามาเร็วไป? คินเลยยืนรออยู่สักพักแต่ก็ยังไม่เห็นมีใครเดินลงมาหรือเดินเข้ามาจากหน้าประตูเลย คินถอนหายใจเมื่อคุณโปสการ์ดน่าจะไม่มาแล้วเลยตัดสินใจเดินขึ้นไปบันไดไปพร้อมกับประตูที่เปิดออก คินเลยหันไปมองแต่เห็นมีแค่ผู้ใหญ่บ้านที่เหมือนจะเพิ่งจะกลับมาจากในตัวเมือง

“ผู้ใหญ่ดื่มน้ำดื่มท่าซะก่อน เป็นไงบ้าง”

“ไปส่งคนของครูแก้วกลับกรุงเทพ เขาบอกว่าแม่ป่วยเข้าโรงพยาบาลด่วนต้องรีบกลับไปดู”

“อ้าว แล้วจะมีคนมาแทนอีกไหม ยังอยู่ไม่ครบสามเดือนเลย”

“มีๆ อีกสองสามวันญาติเขาจะมาแทนสลับกันๆ เดี๋ยวต้องลงไปรับในตัวเมือง”



สีน้ำนั่งรอไฟล์ทบินพร้อมกับนั่งมองโปสการ์ดในมือไปด้วย ในที่สุดก็ไม่ได้เจอคนในโปสการ์ด ตั้งแต่ณัฐโทรมาบอกเรื่องแม่ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหันสีน้ำก็รีบเก็บของลงกระเป๋า กวาดทุกอย่างมาหมดเพิ่งมารู้ตัวว่านัดใครไว้ก็สายไปแล้ว จะเขียนโปสการ์ดทิ้งไว้ก็ไม่ทันแล้วเช่นกัน และก็รู้ว่าคงไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านเหมือนฝันอีกเพราะเขาเองก็ทิ้งให้ณัฐดูแลร้านที่จะเปิดคนเดียวนานแล้ว คราวนี้คงต้องเป็นเขาที่ต้องจัดการทุกอย่างบ้างช่างเองก็เร่งอยู่ทุกวัน

“หวังว่าเราจะได้เจอกันในแบบที่ไม่คาดคิดนะ สักวันหนึ่ง”


คุณโปสการ์ดหายไป..

สามวันแล้วที่คินไม่เห็นโปสการ์ดติดอยู่ที่บอร์ด ทุกคนที่นี่คิดว่าเขายังไม่หายจากอาการอกหักเพราะเห็นกลับมาซึมอีกรอบ โปสการ์ดใบสุดท้ายเขาเองก็ยังไม่ได้ให้ แถมยังไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเจ้าของโปสการ์ดสีรุ้ง ไม่รู้ด้วยว่าจะต้องไปหาที่ไหน คินเงยหน้ามองปฏิทินที่ติดไว้ตรงผนัง เขาอยู่ที่นี่เกินวันเวลาที่ตั้งใจไว้ และมันถึงเวลาที่เขาต้องเดินทางไปจากที่นี่แล้ว คินสะพายกระเป๋าพร้อมกับเก็บโปสการ์ดลงกระเป๋า พอเดินมาหน้าหมู่บ้านผู้ใหญ่บ้านก็ยืนรออยู่แล้ว

“เป็นไง พ่อหนุ่มอกหัก”

“ดีขึ้นแล้วลุงเป็นเพราะที่นี่เลย ผมขอบคุณลุงมากนะแล้วผมรบกวนหรือเปล่าครับที่จะต้องลงไปส่งที่ตัวเมือง”

“ไม่รบกวนๆ ลุงต้องไปรับคนของครูแก้วคนใหม่อยู่แล้ว เออๆ ว่างๆ อกหักอีกก็มาพักที่นี่ได้ ยินดีต้อนรับ”

“งั้นผมคงอยู่สักสิบปี”

“โว๊ะ คนอะไรอกหักทั้งปีทั้งชาติหน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี่เหร่”

ภาคินหัวเราะก่อนจะยกมือไหว้ป้าแม่ครัวที่เดินออกมาส่งด้วย ตลอดทางคินได้แต่นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เขาไม่เคยคาดคิดเลยนะว่าคนอย่างภาคิน จะอกหักจนต้องหนีมาพักใจแล้วก็ตกหลุมรักแล้วก็อกหักวนเวียนอยู่อย่างนี้ภายในเวลาไม่กี่เดือน เอาเถอะตั้งแต่วันนี้เขาคงต้องปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ตอนนนี้คนในโปสการ์ดอาจจะกลับกรุงเทพเดินดูดนมชมพูอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้ใครจะไปรู้ ไม่แน่เราอาจจะได้เจอกันในแบบที่ไม่คาดคิดอย่างที่เคยเขียนไว้ในโปสการ์ด

“ถึงแล้วพ่อหนุ่มเมืองกรุง แล้วนี่ยังไงจะกลับกรุงเทพเลยเหรอ”

“ยังหรอกครับ ว่าจะเที่ยวต่อสักเดือนแล้วค่อยกลับไปทำงานหาเงิน”

“เออๆ โชคดีๆ ยินดีที่ได้พบนะถ่ายรูปสวยลุงชอบ”

คินยกมือไหว้ผู้ใหญ่บ้านก่อนจะกลั้นขำอีกครั้งเมื่อผู้ใหญ่บ้านยกมือตบอกตัวเองปักๆ พร้อมกับบอกคำคมให้ฟังว่า ต้องรักตัวเองให้มากๆ คนหล่อๆ อย่างเราเดี๋ยวก็มีคนเข้ามาจีบเป็นร้อย คินพยักหน้ารับก่อนจะสะพายกระเป๋าแล้วเดินไปอีกทาง พอหันกลับไปก็เจอผู้ชายตัวสูงที่ใส่หมวกแก๊ป แต่เห็นแค่ด้านหลังเท่านั้น

“ชื่อณัฐใช่ไหมที่มาแทนอาสีน้ำ มาๆ ขึ้นรถเลย”


 



ออฟไลน์ RIBBINBO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-2
Watercolor

ทุกอย่างเงียบสนิทเมื่อเรื่องเล่าจากเชียงใหม่จบแล้ว ทั้งสองคนนั่งนิ่งอยู่หน้ากระดานวาดรูป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนสีน้ำไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง คนที่เขาเฝ้ารอมาตลอดคือคนที่เขาเจอหน้ากันอยู่ทุกวัน ทั้งๆ ที่พอจะเดาได้บ้างแล้วแต่พอได้มาฟังด้วยตัวเองแบบนี้ เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกแบบไหน ภาคินเอื้อมมือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้ลุกขึ้นมาหาพร้อมกับรั้งให้นั่งลงบนตัก สีน้ำยกมือสัมผัสบนใบหน้าของคินเบาๆ สายตาของทั้งสองคนยังไม่ละจากกันสักวินาทีเหมือนอยากจะมองหน้ากันให้ชัดๆ

“ขอโทษครับที่วันนั้นไม่ได้ไปตามนัด”

“มันอาจจะถูกกำหนดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ให้เราเจอกันในแบบที่ไม่คาดคิดไง”

“แบบสีน้ำสาดใส่เหรอครับ”

“ไม่คาดคิดมาก่อนจริงๆ”

ภาคินแนบหน้าผากกับคนที่นั่งอยู่บนตัก เขาเคยคิดว่าเรื่องพรหมลิขิต เนื้อคู่เป็นเรื่องเพ้อเจอไร้สาระ แต่พอเกิดขึ้นกับตัวเองเขาก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก  ภาคินหลงรักคนๆ หนึ่งจากตัวอักษรจนวันนี้เจ้าของตัวอักษรได้มาอยู่ตรงหน้าและเขาก็ได้กอดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นคนในโปสการ์ดหรือครูสีน้ำก็คือคนๆ เดียวกันที่ทำให้เขาตกหลุมรัก คินแนบจูบลงบนหน้าผากขาวแล้วค้างเอาไว้ เขาอยากกอดอยากหอมให้คุ้มค่ากับการรอคอยครั้งนี้

“คินชอบผมตั้งแต่ตอนไหน”

“ไม่รู้ตัวเลย รู้แค่ว่าผมเฝ้ารอโปสการ์ดทุกวันข้อความในโปสการ์ดมันทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ แค่ได่อ่านผมก็ยิ้มได้แล้ว”

“ผมเหมือนที่คินคิดไว้ไหม”

“คิดว่าจะต้องเป็นคนที่สดใสมาก ทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้งที่ได้อ่านข้อความ จุดสีบนโปสการ์ดของน้ำคือสีตามอารมณ์ใช่ไหม และผมจำได้ว่าสีเหลืองของน้ำคือความสุข และผมเห็นสีเหลืองแทบทุกอันเลย”

“แล้วคินรู้ได้ไงว่าผมเป็นคนเดียวกันกับคนที่เขียนโปสการ์ด”

“ถ้าผมบอกว่า ตั้งแต่คำว่าเชียงใหม่จากน้ำจะเชื่อไหม มันเหมือนคำที่ติดค้างอยู่ในใจแล้วทุกอย่างที่น้ำทำ ความบังเอิญหลายอย่างมันทำให้ผมมั่นใจแต่เห็นน้ำไม่ยอมบอกผมก็เลยไม่พูด แล้วน้ำล่ะครับ”

“เซ้นส์มั้ง ไม่รู้เลยผมแค่รู้สึกว่ามันต้องใช่แน่ๆ ลุ้นอยู่ตั้งนานว่าใครจะเป็นฝ่ายบอกก่อน แต่คนฉลาดอย่างภาคินต้องไม่พูดก่อนแน่ๆ แต่ขอบอกอีกอย่างหล่อกว่าที่คิดนะเรา”

“ถามจริง หล่อขนาดนี้ไม่เคยเห็นผมที่หมู่บ้านเลยเหรอครับ”

“ไม่เคยเลย นั่นสิทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้แปลกมากจริงๆ ไปอยู่ที่ไหนมา”

“สงสัยอยากให้ผมเลอะสีน้ำมั้ง ด่าไว้เยอะ”

“สมน้ำหน้า อยาเกลียดสีน้ำดีนัก”

“ตอนนี้เลยไปไหนไม่รอดเลยเหมือนที่น้ำเคยบอก สักวันผมจะตกหลุมรักสีน้ำ”

เพราะคำพูดที่ไม่ได้ตั้งตัวทำให้สีน้ำชะงักไปพร้อมกับเงียบลง แก้มขาวๆ ตรงหน้าเริ่มแดงขึ้นมาเองจนคินหัวเราะแล้วกระชับกอดไว้แน่น สีน้ำเองก็กอดไหล่คินไว้เช่นกัน ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งสองคนก้มลงมองโปสการ์ดที่ถืออยู่ในมือ และคิดว่ามันควรจะถึงเวลาของมันสักที

ไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงหัวใจของใคร แต่มันดังจนทั้งสีน้ำต้องยกมือขึ้นมาจับไว้ โปสการ์ดทั้งสองใบยื่นให้กันและกันสีน้ำยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่ามันเป็นโปสการ์ดที่คินวาดด้วยลายเส้นดินสอด้วยตัวเอง มันเป็นรูปพระอาทิตย์ตกดินแล้วสีน้ำก็รู้ว่ามันคือรูปพระอาทิตย์ตกดินที่หมู่บ้านเหมือนฝัน สีน้ำพลิกโปสการ์ดแล้วอ่านข้อความ



- เพราะผมจะได้โปสการ์ดของคุณตอนเย็น ตอนพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วตลอด ผมเลยวาดรูปนี้ด้วยตัวเอง เพราะมันเป็นเวลาที่ผมเฝ้ารอโปสการ์ดจากคุณ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับผมชื่อคิน ภาคิน พิชญเดชา



โปสการ์ดในมือของคินคือรูปภาพพระอาทิตย์กำลังขึ้น มันถูกระบายด้วยสีน้ำสดใสและยังมีสีเหลืองที่หมายถึงความสุขแต้มไว้ตรงมุมเหมือนทุกอันที่คินเคยได้  และเมื่อพลิกโปสการ์ดข้อความที่ปรากฏให้เห็นทำให้คินต้องยิ้มออกมา หยดน้ำตาของสีน้ำหยดลงบนมือของคิน คินเลยต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เขารู้ว่าสีน้ำเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากเขา มันเป็นเรื่องเรื่องเหลือเชื่อที่สุดในชีวิตของเราสองคนแล้ว



- ผมตื่นตอนเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้นทุกครั้งเพื่อรีบไปหยิบโปสการ์ดของคุณที่จะตอบกลับมา ผมระบายสีน้ำเองเลยนะและนั่นแหละคือชื่อของผม…



อ้อมกอด

หยดน้ำตา

จูบที่เต็มไปด้วยความรัก

และข้อความสุดท้ายบนโปสการ์ด



ยินดีที่ได้รู้จักครับผมชื่อสีน้ำ ธารธารา ศิริกวิน

 

 

 

** ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมลิขิต ฉันไม่เชื่อว่ารู้ว่ารักมีจริงไหม

จนวันที่เธอมาเปลี่ยนมันไป เปลี่ยนฝันให้กลายเป็นเรื่องจริง

แล้วเธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือเปล่า ที่เราพบกันนั้นบังเอิญจริงไหม

ไม่มีใครรู้ใครเข้าใจ แค่มีเธอจับมือฉันไว้ก็พอ








To be con
*แปลงเนื้อเพลงมาจาก แอบดี ศิลปิน แสตมป์ อภิวัฒน์

** Music: เธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือเปล่า Boy Sompob

 

Ps. ยาวมากค่ะแต่ตัดจบไม่ได้จริงๆ ใช้เวลาพิมพ์ตอนนี้หนึ่งเดือนกว่าขุ่นพระขุ่นเจ้า
อีกสองตอนพี่คินจะจบแล้ว และก็จะเป็นตอนอวสานของแก๊งลูกเพื่อนแม่แล้วนะคะ ^^
อยู่ด้วยกันมานานมากจริงๆ ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่อยู่ด้วยกันมาตลอด

อาจจะมาช้าแต่สัญญาว่าจบแน่นอนค่ะทุกคน
ขอบคุณนะคะที่ยังรอกันเสมอ ^^

ในทวิตเตอร์อาจจะไม่ได้ทวิตเกี่ยวกับนิยายเท่าไหร่

 แต่เราอ่านทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ จังๆ ที่เกี่ยวกับนิยาย
เลยนะคะ เอฟวี่ติงทุกช่องทางเลยจ้า


#ที่พักพิงสีน้ำ#ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo

 

 

 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2021 00:14:40 โดย RIBBINBO »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
หวาน...นนนนนน  :กอด1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เป็นการเฉลยที่แบบโรแมนติกจัง ฮือออออ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
พรหมลิขิต  :mew1:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
เป็นตอนที่ดี ดีมากกกก ละมุมอบอุ่นหัวใจที่สุด :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
จะจบแล้ว วูบบบเลย คิดถึงทุกตัวละครเลยอะ  :mew2:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ชอบมาก

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รออออ

ออฟไลน์ littleplatong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โรแมนติกจัง ล้ำลึกมาก อ่านแล้วรู้สึกอิ่ม รอเก็บเล่มนะคะ

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
ละมุนมากจ้าาาาาา ชอบบบบบอ่ะ :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
สองหนุ่มส่งความรู้สึกดี ๆ ให้กันผ่านโปสการ์ด โรแมนติกสุด ๆ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :z13:รอนะคับ

ออฟไลน์ RIBBINBO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-2
WATERCOLOR
#ที่พักพิงสีน้ำ

คุณคิดว่าตัวเองเหมือนสีอะไร ?
ภาคิน พิชญเดชา

CH.17 – Light gray




“ผมตื่นเช้าตีห้ากว่าๆ เด็กๆ ชอบเล่นมากกว่าครับ พอให้เรียนอะไรยากๆ อย่างพวกคิดเลขก็จะเอาแต่บ่นว่าเหนื่อย พอมาถึงคลาสวาดรูประบายสีน้ำจะตื่นเต้นกันมากๆ”

“น้ำอยู่ที่โรงเรียนทุกวัน ผมก็อยู่ในหมู่บ้านทุกวันเป็นไปได้ยังไงที่เราไม่เคยเจอกันเลย”

“ก็ตอนนั้นคินอกหักไง อาจจะยังไม่มีเวลามามองเห็นคนหน้าตาดี”

“อ้อเหรอ”

พอเห็นเขาตอบน้ำเสียงกวนตีนขึ้นมาหน่อยก็โดนฟาดใส่ โดนเขากอดขนาดนี้แน่นก็ดิ้นขลุกขลัก ภาคินได้แต่กลั้นหัวเราะใจจริงสีน้ำคงอยากจะลุกขึ้นมาเตะเขาอยู่เหมือนกันแต่ก็คงจะกลัวผ้าผ่อนหลุด เพราะตอนนี้ทั้งตัวมีแค่เสื้อนอนเขาตัวเดียวส่วนกางเกงชุดเดียวกันเขาก็ใส่อยู่ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจของเราทั้งคู่ เรื่องของเราสองคนมันเกินคาดคิด เกินกว่าที่คาดฝันไว้เยอะมาก สีน้ำร้องไห้ไม่หยุดหลังจากที่ได้ฟังเรื่องโปสการ์ดที่เชียงใหม่ จนเขาเองก็น้ำตาคลอไปด้วย เรานั่งกอดกันมีจูบปลอบกันบ้าง และทุกอย่างก็เริ่มขึ้นเมื่อเขาเองไม่อยากจะปล่อยให้สีน้ำหายไปไหนอีกแล้ว และแน่นอนว่าเขาโดนฟาดรัวๆ ตอนที่กระซิบบอกบางอย่างกับคนที่นั่งอยู่บนตัก

“ไปห้องผมได้ไหมเกรงใจคุณณัฐแล้วก็….ทุกอย่างที่ต้องใช้อยู่ที่นั่น”



มันเป็นเซ็กส์ที่โคตรดี โคตรมีความสุข ภาคินไม่ได้รีบร้อนไม่ได้เอาแต่ใจฝ่ายเดียว เขาคอยดูและคอยฟังเวลาที่สีน้ำร้องขออะไร ต้องการแบบไหน มีบ้างที่อารมณ์ของเราสองคนพุ่งขึ้นสูงจนต้องบีบมือกันไว้แน่น จากนั้นก็หัวเราะ ยิ้มให้กัน แต่ก็แค่ไม่นานเพราะคินเลือกที่จะจูบมากกว่า สีน้ำเองก็ไม่ได้ละสายตาไปจากคินเลยสักวินาทีจนคินต้องคอยบอกว่ามองกันแบบนี้ก็รู้สึกเขินเหมือนกัน มันไม่ใช่เซ็กส์ครั้งแรกของเราทั้งคู่มันก็เลยไม่ได้เคอะเขินเท่าไหร่ อย่างน้อยก็รู้ว่าต้องทำแบบไหน

แต่สิ่งที่ทำให้สีน้ำรู้สึกประทับใจคือ ภาคินเอาใจใส่ทุกการกระทำไม่ว่าจะเป็นการแต้มจูบ การกอด การสอดใส่ หรือแม้แต่การขยับตัว บางทีก็อ่อนโยนจนสีน้ำต้องยกมือขึ้นมาไล้ไปตามแก้มของคินพร้อมกับบอกว่า ทำตามใจแบบที่อยากจะทำได้เลย นั่นแหละหลังจากนั้นสีน้ำเลยต้องกอดคินไว้แน่นเพราะเจ้าตัวทำตามใจจริงๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า คินโคตรเก่ง…แต่สีน้ำก็จะไม่บอกให้รู้หรอกนะเดี๋ยวจะได้ใจไป จังหวะสุดท้ายแต่รอบที่เท่าไหร่สีน้ำก็จำไม่ได้แต่อารมณ์มันตีขึ้นมาจนสีน้ำต้องหลับตาแน่นเมื่อคินเร่งจังหวะไม่หยุดแต่ก็ต้องลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงกระซิบ

“ได้เจอกันสักทีสีน้ำ”

สีน้ำยิ้มออกมาพร้อมกับกระชับมือที่ประสานกันไว้แน่น ที่จริงสีน้ำเองก็ได้ยินคำนี้ที่คินบอกมาตลอดทั้งคืนแต่ถ้าคินอยากได้ยินเขาก็จะพูดให้ฟังอีกก็ได้

“ครับ เราได้เจอกันแล้ว…คิน”

ทันทีที่ได้ยินภาคินก็ครางต่ำพร้อมกับสีน้ำที่หลับตาเมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง ภาคินทิ้งน้ำหนักตัวพร้อมกับนอนซบลงบนตัวสีน้ำ ท่าทางเหนื่อยอ่อนทำให้สีน้ำอยากจะตีให้ตาย เพราะคนที่ควรจะเหนื่อยมันเป็นเขาซะมากกว่าพอเขาบอกแบบนั้นคินก็บอกว่านี่เรียกว่าพักเดี๋ยวก็ต้องต่ออีก ถึงสีน้ำจะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดเล่นแต่ก็อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ พอเขาบอกให้ทำตามใจก็เอาแต่ใจไม่หยุด นอนเล่นกันอยู่สักพักคินก็ลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มสีน้ำเข้าห้องน้ำไปด้วยกัน ขืนนอนด้วยกันนานกว่านี้คงได้มีต่อจริงๆ ตอนแรกตั้งใจจะเข้านอนพร้อมกันแต่พอคินแต่งตัวเสร็จหันมาอีกทีสีน้ำก็หลับสนิทไปซะแล้ว

คินติดโปสการ์ดใบสุดท้ายที่เพิ่งได้มาวันนี้ลงบนบอร์ดตรงโต๊ะทำงานก่อนจะเดินกลับมาที่เตียง เสื้อนอนสีเทาตัวใหญ่มีปักชื่อตรงอกว่า Kin ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ทำให้คือบรรดาแม่ๆ ของแก๊งลูกเพื่อนแม่ ไม่ใช่พวกเขาหรอกแก่ป่านนี้จะมาปักชื่อบนเสื้อทำไมกัน ปกติคินไม่ค่อยได้ใส่ชุดนอนตัวนี้เท่าไหร่ นานๆ ทีถึงจะหยิบออกมาใส่สักครั้งแต่เขาก็เห็น รามิล เบน แล้วก็ไอ้ทิม เอาเสื้อตัวนี้ให้บรรดาแฟนๆ ใส่กัน

ตอนนั้นเขายังคิดอยู่เลยว่าติงต๊องว่ะแต่ก็นะ วันนี้มาเป็นเองซะได้พอเห็นสีน้ำใส่ก็ยอมรับว่ามันน่ารักดีอยากจะฟัดให้จมเตียง เออ..พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองก็คลั่งรักเหมือนกันนะ และก็เหมือนที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าแก๊งลูกเพื่อนแม่ติดแฟนขนาดไหน แค่ตอนนี้คินก็ไม่อยากให้สีน้ำหายไปจากสายตาแล้ว ทันทีที่เขาสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มคนที่นอนหลับอยู่ก็ขยับตัวตื่นจนคินต้องคว้าตัวมากอดไว้พร้อมกับจูบหน้าผากเบาๆ

“ฝันดีครับ”



พอคิดถึงเรืองเมื่อคืนคินก็ยิ้มออกมาทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ฝัน และตอนนี้มันเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่คินคิดว่าปกติคนทั่วไปจะตื่นสายเท่าไหร่ก็ได้ แต่เพราะส่วนมากแก๊งลูกเพื่อนแม่ชอบมีกิจกรรมที่ทำวันอาทิตย์ เขาเลยต้องตื่นเช้าตามสัญชาติญาณไปแล้ว ก็คิดว่าเช้ามากแล้วนะแต่ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นมา ก็เจอสีน้ำที่นอนตะแคงจ้องเขาตาแป๋ว และเอาแต่นอนมองเขาไม่พูดไม่จาจนคินต้องสอดมือให้อีกคนขึ้นมานอนซบบนอกแต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรสักที จนคินต้องเอ่ยถามถึงเรื่องเมื่อคืนว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

“ก็ไม่นะ อาจจะมีเมื่อยตัวนิดหน่อย”

“น้ำบอกผมได้ ถ้าไม่โอเคตรงไหนถ้าเจ็บมากน้ำต้องบอกให้ผมรู้”

“จ้าพ่อคุณ ผมรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าชายเลยนะคินดูแลดีมาก”

“เฮ้ย คนแคระเปล่า”

“หวานได้ไม่ถึงห้านาที”

หลังจากนั้นเราก็นอนคุยเรื่อยเปื่อยส่วนมากก็เป็นเรื่องที่เชียงใหม่ หลากหลายเรื่องราวทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราสองคนไม่ได้อยู่ไกลกันเลย แต่ทำไมเราถึงไม่เคยได้เจอกันก็ไม่รู้ยังกับมีกำแพงมากั้น เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ทำให้คินหยิบขึ้นมาดูมันเป็นข้อความจากเบนที่บอกว่านัดวันนี้คือสนามยิงปืน ทันทีเขาอ่านข้อความในไลน์จบก็หันมามองคนที่นอนซบอกเขาอยู่พอจ้องนานเข้า สีน้ำก็ถามว่ามีอะไร

“ที่จริงวันนี้เป็นวันกิจกรรมของแก๊งลูกเพื่อนแม่”

“ผมรู้ คินเคยบอกแล้ว”

“น้ำอยากอยู่กับผมไหม”

“หมายถึง คินจะอยู่กับผมวันนี้? แล้วไม่ไปหาแก๊งลูกเพื่อนแม่เหรอครับ”

“………………..”

พอเห็นอีกฝ่ายเงียบสีน้ำก็ยิ้มให้แล้วลุกขึ้นมานั่งมองหน้าคนที่กระเถิบตัวมานั่งพิงหัวเตียง หน้าตาเคร่งเครียดเหมือนคำถามที่เขาถามเป็นคำถามที่ยากมาก เขารู้ว่าคินก็ติดเพื่อนและแก๊งลูกเพื่อนแม่ก็สำคัญสำหรับคินมาก ถ้าเป็นคนอื่นสีน้ำก็ไม่รู้ว่าจะเข้าใจตรงนี้มากแค่ไหน แต่สำหรับสีน้ำที่รู้จักทั้งคินและแก๊งลูกเพื่อนแม่มานานในระดับหนึ่งเขารู้ว่าความสัมพันธ์ของแก๊งนี้มันยิ่งกว่าเพื่อนรักซะอีก

“ผมโอเคถ้าคินจะต้องไปหาแก๊งลูกเพื่อนแม่ ผมไม่ได้หายไปไหนซะหน่อยร้านเราก็อยู่ข้างๆ กัน คินกลับมาก็เจอผมแล้ว ถ้าเราคบกันอาจจะต้องมีปรับกันบ้าง แต่ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรที่ทำให้คินไม่สบายใจหรือไม่มีความสุข”

“…………………….”

“คินมีแก๊งลูกเพื่อนแม่ มีอะไรที่อยากทำโดยที่ไม่มีผม ออกไปถ่ายรูปดื่มกาแฟคินทำได้หมดเลย ผมก็ออกไปวาดรูปข้างนอก ไปเดินซื้อดอกไม้ ขนม คนเดียวผมก็ทำได้ เพียงแค่เราคุยกันให้เข้าใจ”

“สีน้ำ ตอนนี้ผมเหมือนเด็กแปดขวบเลย”

“อย่ากังวลเลยภาคิน ผมรักคุณขนาดนี้แล้ว”

“ตายแน่ ไปไหนไม่รอดแล้วคราวนี้”

“ดี ได้ข่าวว่าภาคิน เมมเบอร์แก๊งลูกเพื่อนแม่เนื้อหอมมากเพราะว่าโสดอยู่คนเดียวในแก๊ง”

“ข่าวมั่วแล้ว”

“หล่อนักเหรอเรา”

“มองหน้าผมสิครับ คุณสีน้ำ”

หลงตัวเองไม่เคยเปลี่ยนแถมยังยื่นหน้ามาหอมแก้มแรงๆ จนแก้มขาวของสีน้ำบุ๋มลงไป คนโดนหอมเลยต้องไล่ให้อีกคนไปอาบน้ำอาบท่าเพราะมัวแต่ลีลาเบนจามินถึงกับโทรมาตามรอบที่สอง เพราะกลัวว่าคินจะหลับต่อ คินลุกออกจากเตียงไปคุยโทรศัพท์ก่อนจะกลับมานั่งลงบนเตียง

“วันนี้ ไม้คีตาแล้วก็พอร์ชก็ไปด้วย”

“ครับ”

“ผมไม่ได้บังคับน้ำนะ ถ้าน้ำยังไม่โอเคที่จะเจอแก๊งลูกเพื่อนแม่”

“แต่หน้าตาคินอยากให้ไปนะ”

“โห..นี่ก็พยายามเก๊กหน้าแล้ว”

“ผมไปได้ ไม่เห็นแปลกเลยถ้าเราต้องไปเจอเพื่อนของแฟนตัวเอง”

“เนี่ย มันน่ารักขนาดนี้อาบน้ำกันดีกว่าเดี๋ยวไอ้ทิมโทรมาด่า กลัว”

สีน้ำหัวเราะลั่นก่อนจะบอกว่าเดี๋ยวกลับไปอาบน้ำที่ร้านยังไงเสื้อผ้าก็อยู่ที่นั่น แน่นอนว่าภาคินทำหน้างอ เหมือนแผนอาบน้ำพร้อมแฟนล่มสลายไปต่อหน้า สีน้ำเลยต้องบอกว่าขอขัดใจซะบ้างเมื่อคืนเอาแต่ใจไปเยอะแล้ว แต่ก่อนจะออกจากห้องคินก็จัดการมอร์นิ่งคิส จนสีน้ำต้องทุบอกให้คินเบาลงหน่อยเพราะแทบจะหมดลมหายใจ และแน่นอนว่าไอ้เบนโทรมาตามรอบที่สามหลังจากที่เขาส่งรูปตัวเองยิ้มเข้าไปในกรุ๊ปไลน์

TIM: บ้าแต่เช้า

KIN: ติดแฟนผิดตรงไหนพวกมึงก็เป็น!


 

Watercolor



“นี่มึงจะร้องไห้กับเลิฟสตอรี่ของเพื่อนทุกคนเลยหรือไงเบน”

มันเป็นอย่างที่รามิลบอกตอนนี้ภาพตรงหน้าสีน้ำมันตลกอย่างบอกไม่ถูก ภาคินมาขออนุญาตเล่าเรื่องเชียงใหม่ให้แก๊งลูกเพื่อนแม่ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าเสียหายอะไรและทันทีที่เล่าจบคนที่ปล่อยน้ำตารินไหลพร้อมกับปล่อยโฮคือเบนจามิน โดยมีคีตาคอยลูบหลังปลอบอยู่ข้างๆ แถมคีตายังได้ไอเดียในการแต่งเพลงอีกต่างหากบอกว่าเพลงใหม่มาแน่ๆ เดือนนี้ แต่ที่เขาต้องกลั้นยิ้มก็คือรูปลักษณ์เบนจามินที่ดูเหมือนพวกมาเฟียโหดๆ มันช่างขัดกับที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ซะเหลือเกิน นั่นแหละเขาถึงอดที่จะหัวเราะไม่ได้

“สตอรี่ของผมกับทับทิม คุณพี่เบนก็ร้องเหรอครับ”

“ร้องอะไรล่ะ! ของมึงมีอะไรที่น่าประทับใจเอ่ยน้องพอร์ช ทำเพื่อนกูร้องไห้ไม่พอทำอาหารก็ไม่ได้เรื่อง ครัวกูเกือบไหม้”

“ผมแอบเห็นน้ำตาคลอนะตอนผมสวมแหวนให้ทิม”

“กูน้ำตาคลอเพราะแหวนมึงเม็ดทับทิมมันเล็กไป ทับทิมที่กูเลี้ยงมาตั้งแต่สามขวบมันควรจะได้ใหญ่กว่านี้”

“เงินเดือนสถาปนิกจะไปสู้ทายาทKTD ได้อย่างไรกัน ผมต๊อกต๋อยจะตาย”

“กล้าพูด บ้านมึงแพงกว่าคอนโดกูล้านเท่าแน่จริงยกบ้านให้ไอ้ทิมสิ กูจะได้ซึ้งกับเลิฟสตอรี่ของมึง”

“ให้แล้วทิมไม่เอา ทิมบอกอยากได้ผมมากกว่า”

“มั่นหน้าเหลือเกิน”

เบนทำหน้าหมั่นไส้เมื่อพอร์ชพาดแขนไปตรงเก้าอี้ที่ทิมนั่งอยู่ข้างๆ แถมไอ้เพื่อนตัวดียังนั่งหัวเราะคิกคักกับคำพูดของพอร์ชมีการกระเถิบตัวเข้าหาเมื่อเห็นหลายๆ คนรอบๆ ตัว มองมาที่พอร์ช เข้าใจได้ว่าพอร์ชเองก็ถือว่าดังพอตัวในแวดวงไฮโซถึงจะไม่ค่อยออกงานให้เห็นเท่าไหร่ แต่ที่ดังกว่าก็คือ นพจินดาแห่งวงการจิวเวลลี่จากที่ดังอยู่แล้วก็ดังขึ้นไปอีก หลังจากเปิดตัวว่าคบกับพอร์ชอยู่ แต่ทิมก็คือทิม สนใจที่ไหนไม่แคร์อะไรเลยด้วยซ้ำ ส่วนไอ้พอร์ชรายนั้นรักไอ้ทิมแทบจะถวายชีวิตให้เรื่องนอกใจอะไรแบบนี้ไม่ต้องห่วงเลย

“วันนี้ต้องฉลองกันแล้ว ภาคิน พิชญเดชาไม่โสดอีกต่อไป”

“รามิลมึงเลี้ยงเลย”

“กูตลอดนั่นแหละ หัวหน้าแก๊งมันมีค่าแค่นี้”

“ขอถามคุณน้ำได้ไหม ชอบคินตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ”

“เบนหมายถึง ภาคินที่อยู่ข้างร้านใช่ไหม”

“ครับ ตอนแรกที่เจอกันนึกว่าจะญาติดีกันไม่ได้แล้ว ทั้งกาแฟและสีน้ำเลอะตัวกันขนาดนั้น”

“ก็…เป็นคนแปลกๆ ละมั้ง”

“น่ะ กูว่าแล้วคินมึงมันแปลก”

“มึงปกติเหรอเบน ประหลาดกว่ากูอีก”

“ที่จริงคินเหมือนคนไม่สนใจอะไรเฉยไปหมดทุกอย่าง แต่พอรู้จักคินเป็นคนที่ใจดีมากๆ เขาไม่ค่อยพูดแต่การกระทำเขาเต็มร้อย ขออะไรเขาก็ช่วยไม่เคยปฏิเสธเลย ตอนนั้นมันอาจจะเป็นแค่ความประทับใจแต่พอนานเข้า..”

“………………”

“ก็คิดว่าตกหลุมรักไปแล้ว”

เสียงโห่แซวของแก๊งลูกเพื่อนแม่ดังลั่นจนคินต้องปาขนมที่วางอยู่บนโต๊ะใส่ เพราะตอนนี้นั่งกันอยู่ที่สนามยิงปืนไม่ใช่สถานที่ส่วนตัว สีน้ำเริ่มตัวลีบลงเรื่อยๆ เพราะเริ่มรู้สึกเขินเหมือนกันที่จะต้องมาเล่าอะไรแบบนี้แต่ก็ยอมรับว่ามันทำให้เขาสนิทกับแก๊งลูกเพื่อนแม่มากขึ้น และทุกคนก็เอาแต่บอกว่าถ้าไม่สะดวกใจก็ไม่ต้องเล่าก็ได้

“แล้วบรรดาอาหารเช้านี่พี่น้ำซื้อให้คินทุกวันเลยเหรอครับ”

“ตอนแรกแค่จะซื้อให้เพราะอยากผูกมิตรนะ ไหนๆ ก็อยู่ร้านข้างกันรู้จักกันไว้ดีกว่า”

“แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นจีบคินด้วยอาหารเช้าแทน”

“เฮ้ย ก็ไม่รู้ว่าจีบหรือเปล่าก็..”

เพราะสีน้ำลังเลเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดดีหรือเปล่าทุกคนในโต๊ะเลยต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษ แถมยังเงียบสนิทเหมือนเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ ขนาดภาคินเองก็ยังลุ้นไปด้วยว่าสีน้ำจะตอบว่าอะไร พอเห็นหน้าทุกคนคนที่โดนจ้องสีน้ำก็ต้องกลั้นหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือมาปิดหูคินไว้แต่คิดว่ายังไงคินก็น่าจะได้ยินอยู่ดี

“ก็พอชอบแล้วก็อยากให้คนที่ชอบกินอาหารอร่อยๆ ทุกวัน เห็นกินแต่กาแฟดำตลอดเลย”

เสียงโห่แซวดังขึ้นอีกครั้งและแน่นอนว่าครั้งนี้ดังกว่าเดิม ภาคินจับมือของสีน้ำที่ปิดหูเขาอยู่แล้วมาวางไว้บนตักตอนแรกก็เก๊กกลั้นยิ้มอยู่ แต่พอสีน้ำหันมาแกล้งยิ้มใส่พร้อมกับบอกว่าพูดจริงไม่ได้โกหกคินก็ต้องยกมือยอมแพ้

“ไม่ไหวแล้วว่ะ มึงเลิกถามน้ำเรื่องกูได้แล้ว”

“ไอ้คินตายห่าแน่นอน เจอแบบนี้เข้าไปกูตื่นเต้นจังไม่เห็นไอ้คินเวอร์ชั่นนี้มานาน เก่งกล้าสามารถทุกเรื่องยกเว้นเรื่องความรักใจพี่คินเหลวเปลวเป็นน้ำเปล่า คุณน้ำครับเอาอีก”

“พอแล้ว!”

“ก็ชอบ..”

“นี่ก็แกล้งผมไม่เลิก สนุกใหญ่”

“นานๆ คินจะเสียอาการบ้างนี่ทุกทีเห็นเก่งตลอด”

พอได้ยินแบบนั้นภาคินก็ค่อยๆ เอียงตัวเอาแก้มไปวางแหมะบนไหล่ของสีน้ำ ท่าทางเหมือนหมีตัวใหญ่แต่ทำท่าทางเหมือนลูกหมาทำให้เบนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แกล้งทำท่าขนลุกเพราะไม่เห็นคินในเวอร์ชั่นนี้มานาน แต่ก็เอาเถอะเขาไม่ได้อายุน้อยๆ กันแล้ว ดีไม่ว่าดีไอ้คินขอแต่งงานแซงหน้าเพื่อนทุกคนไปอีก พอเบนนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็หันมาสะกิดทิมอีกที ทิมเองเลยพยักหน้าตอบ

“เออ คินไม่กลับบ้านบ้างเหรอไง คุณนายญาดาถามถึงมึงทุกวันเลยนะ”

“อาทิตย์นี้ว่าจะเข้าไปมีกินข้าวกับญาติ”

“แล้วมึงโอเคเหรอวะ”

“กูไม่อยากหนีอีกแล้วว่ะ ยังไงก็ต้องเจออยู่ดีพ่อกับแม่บอกกูว่ามีเรื่องจะคุยด้วยดูเครียดๆ”

“มึงรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้พี่เคทำงานหนักมาก กูเจอเขาทีไรเหมือนซอมบี้เข้าไปทุกวันไหนบอกว่าเขาจะแต่งงาน ไม่เห็นเตรียมงานอะไรเลยมึง”

“อยากจัดการเรื่องนี้ด้วยว่ะ มันค้างคามาหลายปีแล้ว”

“ผมไปซ้อมยิงปืนกับต้นไม้ได้นะคิน คุยกันไปก่อนได้”

สัมผัสตรงแขนทำให้ภาคินหันมามอง เพราะเห็นเป็นเรื่องครอบครัวเผื่อว่าแก๊งลูกเพื่อนแม่ต้องการความเป็นส่วนตัวสีน้ำเลยจะลุกไปยิงปืน แต่พอเห็นคินเงียบไปสีน้ำเลยลองเรียกชื่อคินอีกครั้งจนภาคินต้องจับมือสีน้ำไว้แน่น แก๊งลูกเพื่อนแม่รู้ดีว่าเวลาแบบนี้คินต้องการอะไร เพียงแต่ทั้งสามคนเลือกที่จะเงียบแล้วรอดูเหตุการณ์ตรงหน้าแทน

“น้ำ ไปเจอครอบครัวผมไหม”

“…………….”

“ผมอยากให้น้ำไปด้วย อยากให้อยู่กับผม ผมต้องใช้ความอดทนมากเลยเวลากับเจอกับป้าญาณี”

“…………….”

“อยากให้น้ำได้เจอพ่อกับแม่ผมด้วย”

“…………….”

“ในฐานะแฟนของภาคิน”

ทุกอย่างเงียบสนิทและสีน้ำก็เอาแต่มองหน้าคินอยู่อย่างนั้น สำหรับคินเองมันไม่ได้เร็วไปเลยเวลาที่เชียงใหม่ เวลาที่เราเจอกันที่นี่ ทุกอย่างมันนานพอที่เขาจะมั่นใจกับคนตรงหน้าแล้ว คินอยากให้รู้ว่าเขาจริงจังกับความรักครั้งนี้และจะไม่หนีไปไหนอีกแล้ว แต่คินก็เข้าใจถ้าสีน้ำจะยังไม่พร้อม สำหรับความรักแบบเราที่เป็นผู้ชายทั้งคู่…แต่อยู่ดีๆ สีน้ำก็ยิ้มออกมาพร้อมกับกระชับมือที่จับไว้แน่น

“ผมอยากไป ว่าแต่ต้องบู๊ไหมแบบต้องลงไม้ลงมือเผื่อเขาแกล้งคินจะได้สู้”

ไม่ใช่แค่คินที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะแก๊งลูกเพื่อนแม่ต่างก็ทำแบบเดียวกันจนสีน้ำหัวเราะ พร้อมกับบอกว่าเหมือนเห็นแฝดสี่ คินเอ่ยขอบคุณก่อนจะขอตัวพาสีน้ำไปยิงปืน เพราะอยากให้ทั้งคู่ใช้เวลากันสองคนถึงจะเป็นวันของแก๊งลูกเพื่อนแม่แต่ทุกคนเข้าใจดีว่า ทั้งภาคินและสีน้ำต่างก็รอเวลานี้มานานแค่ไหน ต้นไม้พาคีตากับพอร์ชกลับมานั่งที่โต๊ะเมื่อเห็นว่า คินกับสีน้ำช่วยกันสอนยิงปืนแบบนั้นมันน่ารักดี

“พี่คินเวลามีความรักโคตรโรแมนติกเลย เหมือนมีสีหลายๆ สีอยู่รอบตัวปกติมีแต่สีเทาๆ ดำๆ”

พอคีตาพูดแบบนั้นทุกคนเลยหันไปมองทั้งคู่ และทุกคนก็เห็นด้วยว่ามันเป็นอย่างที่คีตาบอก คินยังคงอยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์สีเข้ม และคุณสีน้ำก็อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ดลายทางสีน้ำเงินกางเกงสีขาวห้าส่วนรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ ดูเด็กกว่าไอ้คินอีก ขนาดยืนคู่กันสีสันของเสื้อผ้าโคตรแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนยิ้มออกมาคือเสียงหัวเราะและการหยอกล้อของทั้งสองคน เพราะสีน้ำไม่เคยยิงปืนมาก่อนเลยดูตื่นเต้นมากๆ คินเลยต้องช่วยสอนตั้งแต่เริ่มต้น แล้วพอยิงได้ถึงคะแนนจะได้ไม่เยอะเท่าไหร่เพราะเป็นครั้งแรก แต่สีน้ำก็ดีใจจนต้องกระโดดกอดแขนคินไว้แน่นคินเองถึงจะขำปนเอ็นดู แต่ก็ลูบหลังพร้อมกับบอกว่าเก่งแล้ว แต่เพราะรู้สึกว่ามีสายตาที่มองอยู่คินเลยเงยหน้าขึ้นมาจากไหล่ของสีน้ำ และทันทีที่เห็นสายตาของแก๊งลูกเพื่อนแม่ที่มองอยู่คินก็ยิ้มให้

มันเป็นรอยยิ้มของภาคินที่ทุกคนในแก๊งลูกเพื่อนแม่ชอบมากที่สุด

ทับทิมมองคินกับสีน้ำอยู่อย่างนั้นในที่สุดลูกกระจ๊อกก็ได้เจอคนที่รักสักที เพราะสนิทกันมาตั้งแต่สามขวบและบ้านอยู่ติดกัน มันเลยทำให้ทิมรู้สึกดีใจกับเพื่อนมากจริงๆ สัมผัสตรงข้างแก้มทำให้ทิมหันไปมองพอร์ชที่กำลังลูบแก้มเขาอยู่ เพราะนานๆ ทีพอร์ชจะได้เห็นทับทิม นพจินดาในมุมแบบนี้เลยรั้งทิมให้เข้ามาซบตรงอก มือใหญ่วางลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลนั่นเบาๆ พอร์ชเองรู้ว่าทับทิมแก๊งลูกเพื่อนแม่มากแค่ไหน

“ลูกกระจ๊อกของทับทิมมีคนดูแลแล้วเนอะ”



เบนกับรามิลก็ไม่ต่างกัน เบนจามินที่ปกติจะร่าเริงเกินร้อย แต่วันนี้ก็ซาบซึ้งกับความรักของคินกับสีน้ำจนแทบอยากจะร้องไห้อีกรอบ คีตาเห็นแบบนั้นเลยลุกขึ้นเดินมาข้างหลังแล้วโน้มตัวมากอดคนตัวโตสูงร้อยแปดสิบ แต่ตอนนี้ทำท่าทางเหมือนเด็กประถมเตรียมพร้อมจะน้ำตาร่วงได้ตลอด มีการบอกโอ๋ๆ ไม่ร้องนะพี่เบน ตอนแรกจะซึ้งอยู่หรอกแต่เบนก็อดที่จะขำกับการปลอบของคีตาไม่ได้

“ไม้รู้ไหม ตั้งแต่เด็กภาคินคือคนที่แก้ปัญหาให้แก๊งลูกเพื่อนแม่มาตลอดเลย”

“……..”

“ตั้งแต่ทำการบ้านตอนประถม มีเรื่องตอนมอต้น เรียนต่อตอนมอปลาย สอบเข้ามหา’ลัย หรือแม้แต่ปัญหาตอนทำงาน”

“………..”

“มิลเคยถามนะว่าเก่งขนาดนี้ทำไมมึงถึงไม่เป็นหัวหน้าแก๊งให้มันรู้แล้วรอดไปเลย รู้ไหมว่าคินมันตอบว่าไง”

“………..”

“มันบอกว่า มันเป็นไม่ได้หรอกมันช่วยเพื่อนได้ทุกเรื่อง แต่รามิล เตชนะหิรัญคือคนที่เสียสละและคิดถึง มัน เบน และทิมก่อนตัวเองเสมอ”

“………..”

“คินมันบอกว่า ทุกครั้งที่มีขนมสามชิ้น ของเล่นสามอัน มิลจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ มันบอกว่ามันรู้ทุกครั้งเลยเวลาที่ต้องจับฉลาก มิลจะกำกระดาษคำว่าไม่ได้ไว้ในมือเพื่อให้มัน เบน และทิมได้ ดูมัน..ฉลาดตั้งแต่เด็กจริงๆ อุตส่าห์กำไว้อย่างดีแล้วแท้ๆ”

“………..”

“และมันนั่นแหละที่บอกอีกว่า รามิล เตชนะหิรัญเป็นหัวหน้าแก๊งลูกเพื่อนแม่ที่ดีที่สุดในโลกแล้ว”

ต้นไม้ไม่ได้เอ่ยตอบรามิลเพียงแค่ยื่นมือไปประสานนิ้วกันไว้ ต้นไม้รู้ดีรามิล เฝ้ามองความเป็นไปของแก๊งลูกเพื่อนแม่มาตลอดตั้งแต่ เบนจามิน ทับทิม และภาคิน ถึงแม้มิลจะบอกอยู่เสมอว่า ภาคินเก่งจะตาย ฉลาดทุกเรื่อง แต่ลึกๆ แล้วรามิลก็ยังห่วงภาคินอยู่ดี ต้นไม้มองไปยังคินและสีน้ำที่ยังอยู่ยิงปืนกันอยู่ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ไม้เองไม่ได้เห็นจากภาคินบ่อยนักปรากฏให้เห็น ต้นไม้หันมามองหัวหน้าแก๊งลูกเพื่อนแม่ก่อนจะยกมือของรามิลขึ้นมาแนบแก้มตัวเอง

“ตอนนี้ก็สบายใจได้แล้วคุณหัวหน้าแก๊ง”

 




..................
.................................................



ออฟไลน์ RIBBINBO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-2
watercolor


ถ้าถามว่าตื่นเต้นไหม สีน้ำก็จะบอกว่าตื่นเต้นมาก เกิดมายังไม่เคยคบใครจริงจังถึงขนาดต้องไปเจอญาติเขาทั้งตระกูลขนาดนี้ สีน้ำยืนสงบสติอยู่หน้ากระจกสำรวจหน้าผมเครื่องแต่งกายว่าโอเคแล้ว ก่อนจะหันไปมองโปสการ์ดทีเชียงใหม่อีกครั้งเหมือนให้กำลังใจตัวเองก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง ก่อนจะเจอภาคินแน่อนนว่าต้องเจอญาติตัวเองก่อน เหมือนณัฐจะรู้ทันเตรียมตัวเอ่ยปากแซวเขาตั้งแต่ก้าวเท้าลงบันได

พอเห็นสายตาเขาณัฐก็เปลี่ยนมาเป็นทำเสียงฮิ้วๆ แทน ก่อนจะออกจากร้านณัฐเองก็บอกว่า พ่อแม่เขาก็อยากเจอภาคินเหมือนกันไอ้ณัฐบอกไปโม้ไว้เยอะว่าหล่ออย่างนู้น ดีอย่างนี้ ที่จริงสีน้ำก็ตั้งใจจะพาคินไปหาอยู่แล้ว แต่เพราะครอบครัวเขาไม่ได้ซีเรียสเรื่องความรักของเขา แต่สำหรับภาคินที่นามสกุลเป็นที่รู้จักครอบครัวก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน

“วันนี้คุณคินหล่อมากเลยนะเนี่ย”

ทันทีที่เปิดประตูคนที่ยืนรออยู่หน้าร้านก็เงยหน้ามายิ้มให้ และพอได้ยินที่เขาทักก็เก๊กท่าพระเอกซะจนสีน้ำทำหน้าหมั่นไส้ แต่เป็นอย่างที่สีน้ำบอกจริงๆ วันนี้ภาคินใส่เสื้อเชิ้ดกางเกงก็เป็นแบบทางการไม่ใช่ยีนส์อย่างทุกวันแต่สียังคงคุมโทนอยู่เหมือนเดิม ตลกเหมือนกันกินข้าวที่บ้านตัวเองแท้ๆ แต่งตัวเหมือนไปกินที่โรงแรมหรูห้าดาว

“ปกติไม่แต่งแบบนี้หรอก”

“แสดงว่าวันนี้พิเศษ”

“แน่นอน พาแฟนเข้าบ้านครั้งแรก”

“คนที่ตื่นเต้นและหัวใจจะวายตายก่อนคือคนนี้ต่างหาก”

“ไม่ต้องกลัวนะผมจะอยู่กับน้ำ”

“ไปกินข้าวไม่ใช่ไปรบ”

เพราะไม่อยากให้เครียดภาคินเลยแกล้งหยอกให้สีน้ำสบายใจ ตอนแรกก็คิดว่าแค่ตื่นเต้นแต่พอเห็นประตูรั้วสีน้ำก็ชักจะกลัวๆ ขึ้นมาจริงๆ เลยเอาแต่นั่งถูมือไปมาในรถจนไม่รู้ตัวขนาดภาคินเดินมาเปิดประตูให้ สีน้ำถึงได้รู้สึกตัวนี่คงจะเหม่อจริงๆ ปกติก็เปิดประตูเองลุกออกมาเดินไปเดินมาแล้ว ภาคินรั้งให้สีน้ำมายืนพิงรถไว้ก่อนจะถามซ้ำอีกครั้งว่าโอเคนะ ถ้าไม่พร้อมค่อยวันอื่นก็ได้แต่สีน้ำก็ยืนยันว่าโอเคมาถึงขนาดนี้แล้ว ภาคินเลยยิ้มให้ก่อนจะจูบลงบนหน้าผากขาวตรงหน้า

เสียงกระแอมที่ดังขึ้นตรงกำแพงบ้านทำให้ทั้งคู่ต้องผละออกจากกัน แน่นอนว่าเพื่อนข้างบ้านต้องมาให้กำลังใจ ทับทิม นพจินดาโผล่หน้ากลมๆ พร้อมกับผมจุก คุยกันไปสักพักทับทิมก็ยกมือขึ้นมาแปะกับมือสีน้ำพร้อมกับบอกว่า เอาพลังไป! ท่าทางเหมือนเด็กๆ แต่สีน้ำก็ยังเล่นด้วยมีการกำหมัดให้สู้ๆ พร้อมกันอีกต่างหาก เออ..เข้ากันได้ดีจริงๆ



“ผมมาเร็วหน่อย อยากให้น้ำได้เจอกับพ่อแล้วก็คุณนายญาดาก่อน”

บ้านพิชญเดชาหรูหราตามบ้านคนรวย แปลกดีเหมือนกันห้องของภาคินที่นี่โคตรจะแตกต่างจากที่ร้าน เฟอร์นิเจอร์สีทองระยิบระยับไปหมด คินเดินตามหาแม่ตัวเองหลังจากที่พ่อบอกว่าแม่อยู่ข้างบนบ้าน พ่อเขาหลังจากเกษียณก็ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อยงานอดิเรกคือการเล่นหุ้น ที่เหลือก็เดินเล่นตัดหญ้าเลี้ยงนก ตอนที่พาสีน้ำมาสวัสดีพ่อก็แค่รับไหว้พร้อมกับถามว่าชอบนกไหม ภาคินหัวเราะเบาๆ แน่ล่ะว่าสีน้ำโดนพ่อเขาแกล้งแน่ๆ สีน้ำได้แต่บอกว่าดูเฉยๆ ได้แต่ไม่กล้าจับ แล้วพ่อก็เงียบก่อนจะหัวเราะชอบใจเมื่อสีน้ำตอบกลับมาอีกครั้ง

“ผมวาดรูประบายสีน้ำนกได้นะครับ ลงสีให้เหมือนเปี๊ยบเลย”

“เออดี คินชอบวาดแต่ดินสอเจ้าเมฆาลูกพ่อไม่มีสีสันเอาซะเลย”

ในที่สุดคินก็เจอแม่สักที คุณนายญาดานั่งดูรูปอยู่ในห้องของพี่เค พอได้ยินเสียงฝีเท้าแม่เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองแล้วยิ้มให้ก่อนจะกวักมือเรียกให้เขาเข้าไปหาทั้งคู่ สีน้ำนั่งลงตรงพื้นก่อนจะยกมือไหว้ คุณนายญาดาแกล้งแซวลูกชายว่าพาแฟนมาเปิดตัวแต่งตัวซะหล่อ ทุกทีมากินข้าวบ้านเสื้อยืดกางเกงบอลด้วยซ้ำ

“คุณนายมาทำอะไรในนี้”

“มาช่วยตาเคเคลียร์ของหน่อย จะแต่งงานอยู่แล้วแต่ไม่ค่อยมีเวลาเลย”

“งานหนักเหรอครับ”

“งานธนาคารก็หนักอยู่แล้วแต่นี่…เออคินไว้หลังกินข้าวเสร็จพ่อกับแม่มีเรื่องจะคุยด้วยนะ”

“เรื่องพี่เค? งานแต่ง? หรือเรื่องอื่น”

“เดี๋ยวก็รู้”

“โหคุณนาย บอกแบบนี้ใครจะกินข้าวลง”

“เฮ้ย เรื่องดี”

“หลอกป่ะเนี่ย คุณนายอย่าทำแบบนี้กับลูกชายคนเล็ก”

“แม่ไปดูกับข้าวดีกว่า อยู่กับสีน้ำไปก่อนไว้ดึกๆ มาคุยกันนะคะวันนี้ค้างที่นี่ได้ไม่ต้องรีบกลับ”

“แม่ หนีเลยนะ”

สีน้ำกลั้นขำกับท่าทางของคุณนายญาดา ที่ก่อนไปยังโบกมือลาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเรียกอีกต่างหาก พ่อกับแม่ของภาคินใจดีกว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก อัลบั้มรูปตรงหน้าคือรูปสมัยเด็กของสองพี่น้องเคคิน สีน้ำเปิดดูทีละรูปแล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อตอนเด็กๆ นี่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ แต่งตัวเหมือนกันอีกต่างหาก ภาคินชะโงกหน้ามาดูก่อนจะบอกว่าเมื่อก่อนตอนเด็กไม่ค่อยหล่อ พี่เคหล่อกว่ายิ่งเล่นกีฬาได้สาวก็กรี๊ดเต็มไปหมด สีน้ำเหลือบมองภาคินที่พูดไปยิ้มไปเดาได้เลยว่าตอนเด็กต้องสนิทกับพี่ชายมากแน่ๆ

ภาคินยกนาฬิกาขึ้นมาดูก่อนจะบอกว่าให้ลงไปข้างล่างได้แล้ว คินเลยหยิบอัลบั้มรูปไปเก็บที่ชั้นตามเดิมจังหวะที่กำลังวางอัลบั้มรูป อยู่ดีๆ ก็มีกล่องสีเทาอ่อนร่วงลงมาพร้อมกับของในกล่องที่กระจายเต็มพื้น ภาคินยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเมื่อเห็นว่าในกล่องคือบรรรดาเหรียญที่พี่ชายเขาเคยแข่งเทควันโด 

นอกจากบรรดาเหรียญแล้วยังมีรูปถ่ายเกี่ยวกับการแข่งเต็มไปหมด รวมทั้งรูปคู่ของเขากับพี่เคที่เคยถ่ายด้วยกันตอนที่พี่เคได้เหรียญทอง แผ่นกระดาษที่ตกอยู่ตรงปลายเท้าทำให้คินหยิบขึ้นมา ทันทีที่อ่านจนถึงประโยคสุดท้าย คินก็กำกระดาษในมือไว้แน่น

อาชีพในฝัน : นักเทควันโดทีมชาติ



มันไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียว ทุกใบพี่เคเขียนไว้เหมือนกันหมด
โดยเฉพาะใบที่เขากำลังอ่านอยู่ตอนนี้



สิ่งที่อยากเป็น : ผมอยากเป็นนักเทควันโดทีมชาติที่ไปแข่งทั่วโลก  ครอบครัวของเราทำธุรกิจธนาคาร ป้าญาณีบอกว่าสักวันผมกับน้องต้องมาทำงานตรงนี้แทนพ่อ แต่ภาคินน้องชายผมไม่ชอบตัวเลขเลยคินชอบวาดรูป คินวาดรูปสวยมากไม่รู้ว่าคินอยากเรียนอะไรอาจจะสถาปัตย์ไม่ก็พวกคณะศิลป์ ไม่เป็นไร…การเงินก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่หรอกผมจะทำงานแทนพ่อเอง คินจะได้วาดรูป



คำตอบของเด็กในวัยสิบห้าสิบหกปีมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยคินเข้าใจมันทั้งหมด สายคาดเอวสีดำที่เขาถือไว้ตอนนี้มันเก่าจนแทบจะขาด บรรดาเหรียญทองก็สีลอกจนแทบมองไม่เห็น พี่เคไม่ได้อยากเป็นนายธนาคาร และคินก็ไม่รู้มาก่อนว่าพี่เคต้องเสียสละมากขนาดนี้ อยู่ดีๆ ภาคินก็นึกถึงคำพูดของสีน้ำ



“ผมไม่รู้เรื่องครอบครัวของคุณหรอกแต่ผมเชื่อว่าทุกคนมีสองด้านนะ ด้านที่คุณคินเห็นกับด้านที่คุณคินไม่เคยเห็น”




ในขณะที่เขาเรียนอะไรก็ได้ที่อยากเรียน อยากทำอะไรที่อยากทำ ไปไหนก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ แต่พี่เคต้องยอมทิ้งความฝันของตัวเองเพื่อมาทำงานในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ต้องการเลยสักนิด เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆ อยู่ดีๆ หยดน้ำตาเขาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ สีน้ำเลยเดินเข้ามาหาพร้อมกับกอดไว้แน่น

“น้ำเคยบอกใช่ไหมว่าพี่เคเหมือนสีเทา”

“ครับ ครั้งแรกที่เจอรู้สึกถึงสีนี้เลย”

“ผมไม่อยากให้พี่เคเป็นสีเทาแล้ว สีน้ำ”

“เจอครั้งล่าสุดคุณเคเป็นสีเทาอ่อนแล้วนะ”

“เปลี่ยนสีได้ไหม ไม่อยากให้พี่เคเป็นสีเทาเลย”

“อาจจะเปลี่ยนสีไม่ได้แต่เป็นสีเทาแบบที่มีความสุขได้นะ ภาคินก็ลองทำดู”

มันเป็นบทสนทนาที่ใครมาฟังก็คงขมวดคิ้ว แต่สำหรับภาคินเขาเข้าใจที่สีน้ำต้องการจะสื่อ คนที่เอาแต่หนีพี่ชายตัวเองมาตลอดหลายปีตอนนี้มันคงถึงเวลาสักทีที่เขาจะเลิกหนีได้แล้ว เสียงเคาะประตูพร้อมกับแม่บ้านที่บอกว่าอาหารพร้อมแล้วทำให้ทั้งสองต้องผละออกจากกัน พอมองหน้าก็หัวเราะออกมาทั้งคู่เพราะอยู่ดีๆ ก็มาร้องไห้งอแง คินหลับตาก่อนจะแบมือให้สีน้ำจับก่อนจะเดินลงไปที่ห้องทานข้าว



watercolor



โคตรเหมือนละครหลังข่าว ตอนนี้สีน้ำนั่งตัวเกร็งไปหมดบรรดาญาติๆ ของภาคินเอาแต่มองหน้าเขาคล้ายจะถามว่าใคร แต่ภาคินก็ยังไม่มีทีท่าจะพูดอะไรสีน้ำเลยนั่งเงียบไปด้วยแต่เดาเลยคนอย่างภาคิน มีแผนอยู่ในหัวอยู่แล้วแน่ๆ แค่เพียงไม่นานคนที่มาถึงคนสุดท้ายก็คือพี่เคที่ดูเหนื่อยล้าก็รีบเข้ามานั่ง ลูกชายคนโตของพิชญเดชาดูชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งข้างๆ เขาคือภาคิน ปกติรวมญาติกันทีไรไม่เคยได้นั่งใกล้กันสักที แต่ยังไม่ทันได้เริ่มกินคนที่เริ่มบทสนทนาก็คือป้าญาณีที่กอดอกอยู่ตรงข้าม

“ไปพบลูกค้าเป็นยังไงบ้างตาเค”

“เขาขอคิดดูก่อนครับ”

“คิด? นี่ครั้งที่สองแล้วใช่ไหมที่เราไปคุย”

“ครับ”

“แล้วเกิดอะไรขึ้น! รู้ใช่ไหมว่าการที่เขาบอกแบบนี้แสดงว่าเขามีตัวเลือกที่ดีกว่า ทำไมทำงานแย่ขนาดนี้ เคป้าบอกเราหลายครั้งแล้วนะ”

“ป้าณีครับ”

“ทำงานไม่ได้เรื่อง ไหนใครบอกเก่งนักเก่งหนาจบเมืองนอกเมืองนาแทนที่จะทำให้ธุรกิจเจริญขึ้น ป้าผิดหวังกับเรามากนะ”

“มาผิดหวังอะไรกับลูกผม” / “หยุดว่าพี่ชายผมสักที”

เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกันทำให้ทุกคนในโต๊ะเงียบสนิทโดยเฉพาะป้าญาณีที่ดูจะตกใจ เคเองก็เงยหน้าขึ้นมามองคินที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อกี้เขาว่าเขาได้ยินไม่ผิด คินเรียกเขาว่าพี่ชาย ..คำที่เขาไม่ได้ยินมานานมากแล้ว แถมพ่อเขาก็ยังวางช้อนแล้วยกขึ้นมากอดอกจ้องป้าญาณีไม่เลิก

“เท่าที่ผมรู้งานนี้มันเป็นของลูกชายคุณป้าไม่ใช่เหรอครับ พี่แคน นครินทร์คนเก่ง”

“แกจะไปรู้เรื่องอะไรตาคิน งานการธนาคารไม่เกี่ยวกับแกเลยสักนิดเคยมาแยแสด้วยเหรอไงไปวาดรูปถ่ายรูปของแกไปสิ”

“ก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอกแต่ทนไม่ได้แล้วว่ะ”

“คิน..”

“นั่งอยู่เฉยๆ เลยพี่เคเดี๋ยวน้องชายอย่างผมจัดการเอง”

ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรภาคินก็หยิบซองกระดาษสีน้ำตาลออกมาพร้อมกับเทรูปของญาติตัวเองที่ชื่อ แคน กระจายเต็มโต๊ะ บรรดาญาติๆ ต่างหยิบขึ้นมาดูก่อนจะยกมือขึ้นมาทาบอก เมื่อรูปที่เห็นคือแคนหลานชายที่เขารู้จักกันดีกำลังเล่นคาสิโนอยู่ที่ต่างประเทศ และมันไม่ใช่แค่ที่เดียวมันหลายที่จนนับไม่ถ้วน นอกจากคาสิโนแล้วยังมีบ่อนในประเทศด้วย

“ทุกโปรเจกต์ที่เป็นของพี่แคนลูกคุณป้า ทำไมพี่เคถึงต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด คนที่บอกว่ามีงานที่ตางประเทศแต่เข้าคาสิโนแทบทุกวันนี่มันหมายความว่ายังไง”

“…………..”

“ไม่เคยเข้าประชุม ไม่เคยมาทำงาน แต่ได้เงินเดือน โบนัส เงินปันผล มันยุติธรรมสำหรับพี่ชายผมงั้นเหรอครับ”

“…………..”

“ป้ารู้ไหมว่าพี่ชายผมต้องเสียสละมากแค่ไหน ป้าณีเคยรู้อะไรบ้าง!”

“ตาเค! ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้ภาคินมายุ่งกับธุรกิจธนาคาร ไม่งั้นฉันจะสั่งให้มาทำงานด้วยกันไม่ต้องวาดรูปไร้สาระอะไรนั่นอีก ฉันเตือนแล้วนะเค อยากให้ฉันบังคับคินมาทำงานที่ธนาคารมากใช่ไหม”

“อย่ามายุ่งกับน้องชายผม! ผมยอมทุกอย่างแล้ว ยอมทำงานให้พี่แคนตามที่ป้าบอก กันคินออกจจากธุรกิจธนาคารบ้าๆ นี่ ป้าให้สัญญากับผมแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับคินอีก”

“เค!”

“เพราะผมกลัวว่าป้าณีจะใช้วิธีสกปรกกับคินผมถึงยอมขนาดนี้ คินคือน้องชายของผมนะครับ”

“ก็ดู..”

“อย่ายุ่งกับภาคิน จะให้ผมเอารายละเอียดที่พี่แคนเอาเงินไปเล่นที่คาสิโนออกมาให้ดูไหมครับ แค่โกหกว่าไปทำงานที่ต่างประเทศแล้วไปหมดตัวที่นู่นก็แย่พอแล้วมั้ง”

“สรุป นี่พวกเธอตามสืบเรื่องลูกชายฉันกันทั้งสองคนเลยใช่ไหม!”

“ผมทนไม่ไหวแล้ว ที่จริงผมน่ะโง่เองแทนที่จะปกป้องคินแบบที่พี่ชายควรจะทำแต่กลับเอาแต่ผลักไสให้ออกไป ป้ารู้ไหมผมไม่เคยมีความสุขเลยที่คินกับผมไม่ได้คุยกันเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ เพราะป้าเอาแต่ขู่ผมว่าจะบีบบังคับให้คินมาทำงานธนาคารให้ได้”

“……….”

“เลิกยุ่งกับเราสองพี่น้องได้ไหม ยังไงป้าก็เป็นญาติผมคนหนึ่งแต่ถ้าป้าไม่อยากจะนับเราเป็นหลานผมก็ไม่ว่าอะไร ผมกับคินก็ไม่ได้อยากมีญาติแบบป้าเหมือนกัน”

“มันจะมากไปแล้วนะ!”

ทั้งโต๊ะเงียบกริบ ญาติบางคนถึงกับยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาเมื่อเห็นว่าหลานชายอย่างเค คุณากรที่เห็นทำงานงกๆ จะรู้สึกแบบนี้ และยิ่งรู้เรื่องลูกชายของป้าญาณีทุกคนก็เริ่มไม่ไว้ใจกลัวว่าปล่อยไว้แบบนี้อาจจะเกิดการยักยอกเงินบริษัทได้ ตอนนี้ป้าญาณีเองก็เริ่มสติแตก เสียงกระแทกช้อนที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองที่หัวโต๊ะ พ่อของเคหันมายิ้มให้ลูกชายทั้งสองคนก่อนจะบอกบางอย่างที่ทำให้ทุกคนบนโต๊ะพากันตกใจ

“อยากลาออกไหมเค พ่ออาจจะถามช้าไปขอโทษด้วย ทั้งๆ ที่พ่อกับแม่ควรจะปกป้องลูกมากกว่านี้ แต่ถ้าลูกอยากไปทำอย่างอื่นพ่อกับแม่ก็เข้าใจ ไปได้เลยนะ”

“ไม่ได้!”

“พี่นั่นแหละที่ไม่ได้ บอกไว้ก่อนว่าพรุ่งนี้พี่โดนสอบสวนหนักแน่ลูกชายพี่น่ะ ไม่ใช่แค่ภาคินที่ตามสืบเรื่องนี้ กลับบ้านไปเตรียมตัวตอบคำถามบอร์ดบริหารดีกว่ามั้ง แล้วก็อย่าคิดหนี..มีคนจับตาดูอยู่”

ป้าญาณีดูไม่มีทางสู้และตอนนี้ก็อายกับการกระทำของลูกชายตัวเองมากเหมือนกัน สุดท้ายน้าดาวคือคนที่ทนไม่ไหวเลยตัดการให้ทุกอย่างเพราะตัวเองก็เป็นอีกคนที่รู้เรื่องนี้ เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นถึงความสามารถของน้าดาวเพราะทุกทีเจ้าตัวไม่แสดงอาการอะไรเวลาโดนป้าญาณีต่อว่า คงเพราะอดทนมานานเหมือนกันเลยระเบิดทุกอย่างออกมา ป้าญาณีถึงกับหนีกลับไปตั้งหลัก

แน่นอนว่าไม่มีใครแตะอาหารตรงหน้า บรรดาญาติๆ ที่เหลือได้แต่ถอนหายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้ว่าที่ป้าญาณีเอาแต่เข้มงวดกับเค เพราะว่าอยากปิดบังเรื่องที่ลูกตัวเองติดการพนันทั้งในประเทศและนอกประเทศ เร่งให้เคทำงานแล้วใส่ชื่อลูกตัวเองลงไปในโปรเจกต์ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน ตอนนี้คงไม่มีใครอยากจะกินอาหารสักเท่าไหร่ และคินเองก็ยังไม่รู้จะเริ่มยังไงกับพี่ชายตัวเอง ทั้งๆ ที่ป้าญาณีก็ลุกออกไปแล้ว คินก้มลงมองมือของสีน้ำที่วางมือลงบนหน้าตักก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้

“ทุกคนครับ ที่จริงวันนี้ผมอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักคนๆ หนึ่ง”

“………..”

“ไม่รู้ว่ามันเหมาะที่จะพูดตอนนี้หรือเปล่า แต่ผมตั้งใจจริงๆ อย่างน้อยในอนาคตเขาก็จะมาเป็นครอบครัวเดียวกับผม”

“………”

“นี่สีน้ำ แฟนผมครับ”

สีน้ำยกมือขึ้นมาไหว้ทุกคนแต่ทุกอย่างตรงหน้าก็เงียบกริบจนสีน้ำเริ่มใจไม่ดี บรรดาญาติที่เป็นผู้ใหญ่หันมามองหน้ากันแต่คินก็เบาใจ เมื่อเห็นว่าคนที่เด็กกว่าเขาหรือหลานในวัยมัธยมยกนิ้วโป้งขึ้นมาพร้อมกับบอกว่า วันนี้โคตรเท่! คินยิ้มขำและพอเห็นสีน้ำเอาแต่กำกางเกงเขาแน่นคล้ายกับไม่มั่นใจเลยต้องสอดมือเข้าไปจับไว้แทน

“คิน นี่เราชอบ..”

“ครับ ผมชอบผู้ชายผมเป็นเกย์ น้าดาวเข้าใจถูกต้องแล้วครับ”

“น้ารู้ น้าแค่จะถามว่านี่เราชอบวาดรูปจนได้แฟนชื่อสีน้ำเลยเหรอเนี่ย”

“ผมไม่ชอบวาดสีน้ำครับ แต่เขาเอาสีน้ำมาสาดใส่ผม”

“เฮ้ย! ภาคิน”

ท่าทางลืมตัวของสีน้ำทำให้ทุกคนที่มองอยู่หลุดยิ้ม คินยังบอกว่าอยากให้ญาติทุกคนรับรู้ว่าแฟนเขาคือใคร ไม่ได้หวังว่าใครจะรับได้ทั้งหมดยังไงเรื่องแบบนี้เขาก็เข้าใจ คินยอมรับว่าเขาไม่ค่อยได้คุยกับบรรดาญาติตัวเองสักเท่าไหร่ มีที่อายุเท่าๆ กันก็พอทักทายกันบ้าง อยู่ดีๆ เค้กน่าจะเด็กกว่าเขาสักห้าหกปีก็ตะโกนขึนว่านี่มันเป็นยุคไหน จะคบใคร เพศไหน ก็ไม่ต้องแคร์ ก่อนจะประกาศดังลั่นว่า ใครมีปัญหาให้มาเคลียร์ได้เลย บรรดาญาติผู้ใหญ่เลยพากันหัวเราะกับท่าทางนักเลงนั่น

“โตๆ กันแล้วป้าๆ น้าๆ ก็ไม่เข้าไปยุ่งหรอกแต่เราน่ะภาคิน มาให้เจอหน้าบ่อยๆ แวะมาที่ธนาคารบ้างไม่ต้องไปทำงานก็ได้ ยังไงเราก็พิชญเดชาคนหนึ่ง”

“จะดีเหรอน้าดาว”

“ทำไมล่ะ มากับแก๊งลูกเพื่อนแม่เราก็ได้ เมื่อก่อนจะยังมากินข้าวกันได้ทั้งแก๊ง ตาเบนจามินโตอาตี๋ของน้าตัวโตเท่าไหนแล้วนะไม่เจอกันนาน”

“ไว้บอกแก๊งลูกเพื่อนแม่ให้นะครับ”

“ส่วนเค..ถ้าอยากลาออกน้าก็เข้าใจ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมทำงานที่นี่ต่อได้ยังไงผมก็อยู่กับมันจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว”

“มีสิ่งที่อยากทำไหม”

“มีครับ แต่ผมทำไปพร้อมกับงานธนาคารได้ มันอาจจะเคยเป็นความฝันแต่ตอนนี้มันเป็นแค่งานอดิเรกผมก็พอใจแล้วครับ”

“ลาพักร้อนใช้ซะมั่ง ลางานไปเตรียมงานแต่งได้แล้วเจ้าสาวน้อยใจแย่ น้ำฟ้าน่ารักนะเจอที่ธนาคารก็ยิ้มหวานให้”

“ครับ ว่าจะคุยเรื่องนี้อยู่เหมือนกันยังไม่ได้เริ่มอะไรสักทีกลัวเขาหนีไปแต่งกับคนอื่น”

“ภาคิน”

“ครับ”

“ฉลาดไม่เปลี่ยนเลยนะ รู้เลยว่าวางแผนมานานเอกสารของตาแคนเราเป็นคนส่งให้น้าใช่ไหม รายละเอียดวันเวลาเป๊ะขนาดนั้น”

“ผมทนเห็นพี่ชายผมโดนเอาเปรียบไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วครับ ผมก็รักพี่ชายผมเหมือนกัน”

“โตขึ้นเยอะเลยนะแล้วก็ดูสดใสขึ้นด้วย เมื่อก่อนเจอกันทีไรดูอึมครึมตลอด”

“สดใสขึ้นเพราะคนนี้ครับ”

“โอ๊ย หลงแฟนเหลือเกินนะเรา สีน้ำ”

“ครับ”

ทั้งโต๊ะเงียบลงเมื่ออยู่ดีๆ น้าดาวก็ดูเป็นงานเป็นการแถมยังเรียกสีน้ำด้วยน้ำเสียงที่ดูน่ากลัวอีกต่างหาก สีน้ำยิ้มให้พร้อมกับกระชับมือของภาคินไว้แน่น ก่อนที่น้าดาวจะยิ้มออกมาพร้อมกับบอกว่าแกล้งเล่นเห็นนั่งซะตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ เสียงโวยวายดังลั่นโต๊ะตามด้วยบรรดาเด็กๆ ที่ทำท่ามอบมงให้น้าดาว พร้อมกับบอกว่ารู้แล้วว่าใครที่จะมาทำตำแหน่งนี้แทนป้าญาณี

ภาคินมองภาพวุ่นวายตรงหน้าก่อนที่จะชะงักไปเพราะสัมผัสตรงกลุ่มผม พี่เคยังคงมองบรรดาญาติปรบมือชอบใจแต่มือก็คอยลูบผมเขาเหมือนตอนเด็กๆ สุดท้ายน้าดาวก็ต้องบอกให้ทุกคนมานั่งกับที่ก่อนจะบอกว่าต่อไปนี้ก็ให้เริ่มกันใหม่ พร้อมกับหันมายิ้มให้สีน้ำที่ยิ้มตอบ

“พิชญเดชายินดีที่ได้รู้จักนะ สีน้ำ”



เป็นการกินข้าวบ้านแฟนที่แปลกใหม่มากมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย อย่างตอนนี้บรรดาญาติๆ ของพิชญเดชากำลังสั่งข้าวไข่เจียวกับแม่บ้าน เพราะไม่อยากจะแตะต้องอาหารที่คุณป้าญาณีเป็นคนสั่ง คนเริ่มเรื่องนี้คือคุณเคที่บอกว่าไม่ได้กลับมากินข้าวบ้านมานานแล้วติดประชุมตลอด เลยสั่งข้าวไข่เจียวหมูสับ พอคุณเคเริ่มก็ภาคินก็ยกมือตามว่าขอไข่เจียวดอกอัญชัญแต่ป้านิ่มก็สวนกลับมาว่า จะไปเก็บดอกอัญชัญมาจากไหนเลยเปลี่ยนเป็นไข่เจียวแหนมแทน แล้วหลังจากนั้นก็ต่อกันเป็นทอดๆ ครบทั้งครอบครัว ตรงหน้าสีน้ำตอนนี้ก็มีข้าวไข่เจียวใส่หอมแดงหอมฉุยวางอยู่

“ฝีมือป้านิ่มไม่เคยตก แค่ข้าวไข่เจียวก็ชนะเลิศ”

“เออ คินวันก่อนป้าสั่งรูปจากร้านเราด้วยนะคิน เอามาติดที่ห้องทำงานสวยเช้ง”

“ไม่บอกผมเองล่ะครับ จะได้เอามาให้”

“ของซื้อของขาย ขืนบอกเราก็ให้ฟรีๆ อีก”

“เปล่า ถ้าเป็นของป้าก้อยผมจะได้บวกเพิ่ม”

“ตาคินนี่เจ้าเล่ห์ตั้งแต่เด็กยันโต แล้วอีกอย่างเปิดร้านบ้างย่ะ ฉันบอกลูกค้าไปกี่คนกี่คนเขาก็บอกร้านเจ๊งไปแล้วหรือเปล่า เห็นปิดประตูตลอด โมโหเลยมาว่าร้านของหลานฉันเจ๊ง”

เสียงหัวเราะของภาคินทำให้สีน้ำหันไปมอง เขาไม่รู้หรอกนะว่าทุกครั้งที่คินกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับญาติๆ จะมีความรู้สึกแบบไหนแต่ครั้งนี้น่าจะแตกต่างออกไป เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ บนโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่มันก็คงจะดีกว่าทุกครั้ง และสิ่งที่ทำให้สีน้ำชื่นใจที่สุดก็คือ  พี่เคค่อยๆ แบ่งข้าวไข่เจียวหมูสับในจานตัวเองแล้วแบ่งให้คินที่เอ่ยขอบใจเบาๆ ท่าทางเกร็งๆ ของทั้งคู่ทำให้คนบนโต๊ะอาหารต้องแอบยิ้ม

กว่าทุกคนจะแยกย้ายก็ดึกมาแล้ว ทั้งโต๊ะอาหารเลยเหลือเฉพาะ พ่อ แม่ พี่ชายและภาคิน นั่งเงียบกันอยู่นานจนพ่อเป็นฝ่ายเริ่มก่อน พ่อและแม่ของคินเอ่ยขอโทษลูกทั้งสองคนที่ไม่เคยปกป้องอย่างเต็มที่ ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าเคต้องเจออะไร แล้วก็ขอโทษคินเหมือนกันที่ปล่อยให้ป้าญาณีเอาแต่ว่า เพราะคิดมาตลอดว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นทั้งสองคนจะลำบาก สรุปแล้วเรื่องที่พ่อแม่จะคุยด้วยหลังกินข้าวก็คือเรื่องนี้แต่ภาคินก็เป็นฝ่ายเปิดเรื่องซะก่อน

“ตอนนี้พ่อกับแม่โอเคหมดนะถ้าเคจะไม่ทำงานที่ธนาคารต่อ ไปทำบริษัทอื่นหรืออยากทำธุรกิจเองแบบคินก็ได้”

“ผมทำงานที่ธนาคารต่อได้ ผมเรียนรู้งานทางด้านนี้มาเยอะแล้วไว้ถ้ามีอะไรที่อยากทำผมจะค่อยๆ เริ่ม พ่อกับแม่ไม่ต้องกังวลหรอกครับ”

“ไม่อยากเป็นนักเทควันโดทีมชาติแล้วเหรอไง”

เคเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าคินรู้เรื่องนี้ได้ยังไง แต่สุดท้ายเคก็ส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่ามันเป็นความฝันในวัยเด็ก และก็มันคงย้อนกลับมาไม่ได้แล้ว ยังไงทางที่ดีที่สุดก็ควรอยู่กับปัจจุบันจะดีกว่า ภาคินยอมรับว่าเขาเคยยกให้พี่เคเป็นไอดอล และความรู้สึกนั้นก็หายไปเมื่อพี่เคกับเขาต้องห่างกัน จนกระทั่งวันนี้พี่ชายคนเดียวต้องทำห่างเหินกับเขา ต้องทนให้ใครคนหนึ่งเจ้ากี้เจ้าการชีวิต เพียงเพราะไม่อยากให้ทำเข้ามาทำงานธนาคารที่โคตรไม่ชอบ แล้วก็เท่ที่หนึ่งตอนที่ทิ้งความฝันในวัยเด็กเพื่อรับผิดชอบงานที่ต้องทำ

“ไว้ว่างๆ กลับมาแข่งกันไหม”

“สายเหลืองจะมาท้าสายดำเหรอ”

“นัดมาเลยเดี๋ยวได้รู้”

ภาคินยกหมัดตั้งท่าเหมือนจะสู้จริงๆ เคแค่ส่ายหน้าไปมาก่อนจะบอกขนาดยกมือตั้งท่าเริ่มยังผิดเลย แน่นอนว่าภาคินแกล้งทำเป็นปล่อยหมัดใส่พี่ชาย ที่แกล้งทำเป็นหลบไปมาเสียงหัวเราะของทั้งคู่ทำให้คนเป็นแม่ปล่อยโฮออกมา จนทุกคนรวมถึงแม่บ้านต่างตกอกตกใจกันใหญ่ แต่เจ้าตัวก็แค่ปาดน้ำตาแล้วบอกว่า นึกว่าชาตินี้พี่น้องทั้งสองคนจะกลับมาดีกันไม่ได้แล้ว พี่น้องเคคินเลยต้องกลับมากอดคอให้แม่ได้ชื่นใจอีกครั้ง

“แล้วตามสืบเรื่องพี่แคนมานานหรือยัง”

“นานแล้วพี่เค ที่จริงก็สงสัยมานานตอนแรกเห็นใช้เงินโคตรเก่ง ทั้งซื้อรถแพงๆ คอนโดอีก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่ขนาดนี้ งานรวมญาติก็ไม่เคยมา ป้าญาณีเอาแต่บอกประชุมต่างประเทศประชุมอะไรนักหนา”

“เรื่องนี้พี่ก็สงสัย ทุกโปรเจกต์มีชื่อพี่แคนทุกงานแต่ไม่เคยเห็นเข้าประชุม”

“ป้าญาณีหลอกให้พี่เคทำงานแทนพี่แคน บางงานไม่ใส่ชื่อพี่ด้วยซ้ำใส่แค่ชื่อลูกตัวเองยอมได้ที่ไหน”

“เก่งเหมือนเดิมนะเรา พี่เพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้เอง”

“เอ๊า..ใช้เงินของตระกูลเราไปเล่นพนัน มันก็ควรจะต้องเจอกันสักตั้งผมยังไม่เคยได้ใช้สักบาท”

“เกือบดีแล้ว”

“เฮ้ย ล้อเล่นรวยด้วยตัวเองได้ไม่ง้อหรอกนะ”

“งั้นหุ้นก็ไม่ต้องเอา”

“มีแฟนต้องดูแลอย่าทำแบบนี้ หลอดสีน้ำหลอดละสามพันนะนายธนาคารรู้ยัง”

พอถูกพาดพิงสีน้ำก็ฟาดใส่พร้อมกับบอกว่าเวอร์ตลอด เคหันมายิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณสีน้ำที่เจอกันวันนั้นที่ผับ พอพูดเรื่องนี้คินก็ขมวดคิ้วจนสีน้ำต้องบอกว่าเดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลัง และมันก็เป็นอย่างที่สีน้ำคิดมาตลอดคุณเคพยายามให้คินออกห่างจากงานธนาคาร แต่ก็ยังห่วงน้องชายคนนี้คอยดูคอยตามอยู่ตลอด คินเองถึงจะบอกว่าต่างคนต่างอยู่ แต่ก็ให้คนไปสืบทุกเรื่อง เพราะกลัวว่าพี่ชายจะโดนเอาเปรียบ รู้แม้กระทั่งว่าพี่ชายต้องไปพบแพทย์เรื่องที่นอนไม่ค่อยหลับเพราะเครียดเรื่องาน สีน้ำยังเคยแอบเห็นว่าคินสั่งสินค้าต่างๆ ที่ทำให้นอนหลับแล้วแอบส่งไปให้พี่ชาย

“สีน้ำครับ”

“ครับ”

“ตอนนี้สีของผมยังเป็นสีเทาอยู่หรือเปล่า”

“ครับแต่เป็นสีเทาอ่อน แล้วก็เป็นสีเทาอ่อนที่เท่มากๆ”

“ขอบคุณสำหรับคำพูดวันนั้นนะครับ ถึงคุณจะเมาเล็กน้อยแต่มันทำให้ผมคิดได้จริงๆ”


“ถ้าจะกันให้คินออกห่าง ถ้าจะทำเป็นใจร้ายก็ขอให้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ใช่ครึ่งๆ กลางๆ แต่ถ้าจริงๆ แล้วไม่ได้คิดแบบนั้น ถ้าจะปกป้องก็ปกป้องให้ถึงที่สุด อาจจะเท่กว่าก็ได้นะ”



เคยกนิ้วโป้งขึ้นมาพร้อมกับบอกว่าขอบคุณ สีน้ำเองก็ยิ้มรับไม่น่าเชื่อเลยว่าตอนเมาเขาก็พูดอะไรที่มันมีประโยชน์ได้เหมือนกัน และแน่นอนว่าคนที่นั่งอยู่ตรงกลางของทั้งสองคนอย่างคินต้องรีบแทรกตัว พลางถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องท่าทางไม่ยอมเหมือนเด็กอนุบาลทำให้ทั้งสีน้ำและเคหัวเราะ

“ค่อยสมกับเป็นน้องชายคนเล็กหน่อย”

“วันนี้ดูอายุน้อยกว่าผมด้วย ทุกทีคินชอบทำตัวโตกว่าอายุตลอด”

“เมื่อก่อนร้องเก่งจะตาย โดนทิมแกล้งก็วิ่งร้องไห้จ้ากลับบ้านแล้ว”

“อยากเห็นเลย ภาคินตอนเด็กต้องน่ารักมากแน่ๆ”

“พอทั้งคู่เลย! สนิทกันตั้งแต่ตอนไหน เจอกันที่ไหนอะไรยังไงแล้วใครเมาขอรายละเอียดหน่อย สีน้ำเล่ามา”

เคกับสีน้ำต้องแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินที่คินโวยวาย และคนที่ปล่อยโฮอีกรอบก็ยังเป็นแม่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นภาพพี่น้องสุขสันต์แบบนี้อีกครั้ง


...............
...................................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-04-2021 16:21:44 โดย RIBBINBO »

ออฟไลน์ RIBBINBO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-2
Watercolor

 

“ผมสงสัยมากว่าทำไมคินถึงมีชุดนอนที่ปักชื่อตัวเองเยอะขนาดนี้”

“บรรดาแม่ๆ ของแก๊งลูกเพื่อนแม่ชอบให้เราสี่คนใส่ชุดเหมือนกันตั้งแต่เด็กยันโต มีเป็นสิบยี่สิบชุดเลยมั้ง”

“น่ารัก เหมือนฝาแฝดสี่คนเลย”

“ถ้าน้ำได้เห็นรูปแก๊งลูกเพื่อนแม่ตอนเด็ก น้ำจะต้องชอบ”

สีน้ำก้มลงมองชุดนอนสีขาวที่มีชื่อภาคินปักไว้พอเห็นแบบนี้ก็รู้สึกว่าเหมือนตัวเองอยู่โรงเรียนประจำ ภาคินกวักมือให้สีน้ำเดินมาหาพอเดินมาถึงโซฟาหน้าทีวีคินก็รั้งให้อีกคนนั่งลงบนตักพร้อมกับกอดไว้แน่น สีน้ำรู้ว่าวันนี้คินมีความสุขมากแค่ไหน ไหนจะเรื่องครอบบครัว ไหนจะเรื่องพี่ชาย ทุกอย่างเหมือนถูกปลดล็อคหมดแล้ว

“ที่จริงผมกลัวเหมือนกันนะที่น้ำต้องมารู้เรื่องของป้าญาณี มันไม่ใช่เรื่องดีเลย”

“ผมสัญญาผมจะไม่เอาไปบอกใครที่ไหน ยังไงมันเป็นเรื่องของครอบครัวคินไว้ใจผมได้”

“ขอบคุณน้ำที่เขียนโปสการ์ดใบนั้น”

“ขอบคุณที่คินตอบกลับเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะมีคนบ้าจี้เล่นด้วย”

“ไว้ถ้ามีเวลาเรากลับไปที่หมู่บ้านเหมือนฝันกันไหม”

“เอาสิ ผู้ใหญ่บ้านตกใจแน่เลย”

“ว่าจะไปกราบสักครั้งให้คำคมชีวิตผมไว้เยอะมาก”

สีน้ำตลกกับท่าทางของคินที่ทำท่าเหมือนผู้ใหญ่บ้าน มีการตบอกปั๊กๆ ภาคินก้มลงไปหอมแก้มขาวตรงหน้าแล้วค้างไว้ท่านั้น จนสีน้ำต้องตีลงบนไหล่กว้างนั่นเบาๆ พอโดนตีก็ย้ายไปอีกข้างทำสลับไปมาจนคนบนตักหัวเราะจนเหนื่อไปหมด ภาคินรู้ซึ้งถึงคำว่า ติดแฟน ของแก๊งลูกเพื่อนแม่ก็วันนี้ ที่ผ่านมาเห็นทุกคนในแก๊งมีอาการเดียวกันหมด แต่ก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองก็เป็นแบบพวกมัน เผลอๆ อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ อยู่ดีๆ ความคิดบางอย่างก็แว๊บขึ้นมาในหัว

อยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลา



คิดอะไรเพลินๆ คนบนตักก็เริ่มจะง่วงคงเพราะตื่นเช้าไหนจะตื่นเต้นที่ต้องมาเจอครอบครัวเขาอีก คินเลยให้สีน้ำนอนลงบนโซฟาจัดแจงเอาหมอนมาให้หนุนตัก ตอนแรกก็ยังนอนมองหน้าเขาอยู่พอผ่านไปสักพักก็หลับสนิท คินเลยเปิดทีวีพร้อมกับเล่นผมคนที่นอนอยู่บนตักไปด้วย เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นพร้อมกับแก๊งลูกเพื่อนแม่โผล่หน้าเข้ามา คินยกมือขึ้นมาท่าทางบอกว่าอย่าเสียงดัง

“คุณน้ำสู้กับป้ามึงจนเหนื่อยสินะ”

“กูต่างหากที่สู้ นึกว่าป้าณีจะเอาจานข้าวปาใส่หัวกูแล้ว”

“กูรู้เรื่องหมดละ แม่มึงเล่าเรื่องแบบละเอียดยิบปล่อยโฮรอบที่ห้าที่เห็นมึงกับพี่เคกลับมาสนิทกันเหมือนเดิม”

“เออ เป็นวันที่กูโคตรสบายใจแล้วพวกมึงมาทำไมกันดึกดื่น”

“เพื่อนรักเพื่อนตายกูต่อสู้กับวายร้ายกูต้องมาให้กำลังใจ ไอ้ทิมเรียกพวกกูมาเป็นกำลังเสริมเผื่อคุณสีน้ำกับมึงโดนรังแก”

“กูซึ้งใจมากเบนน้ำตาจะไหล”

“หนอยแน่ะมีแฟนแล้วเล่นตัวเหรอมันน่าถีบนัก แล้วไม่เอาคุณน้ำไปนอนดีๆ เมื่อยแย่”

“เขาอยากนอนกอดกู”

“มึงอยากอดเขากูรู้ ต้องให้บรรยายไหมว่านิสัยติดแฟนของแก๊งลูกเพื่อนแม่มันขนาดไหน”

“เออ ทำไมก็มีให้กอดแล้วจะทำไม แล้วมึงไม่กลับบ้านไปกอดคีตาเหรอไง”

“คีตากลับเชียงรายกูจะกอดน้องทับทิมวันนี้ ขนเสื้อผ้ามาพร้อม”

“ไอ้เบนไล่ไอ้พอร์ชกลับคฤหาสน์ร้อยล้านของมัน ไอ้พอร์ชส่งสายตาอาฆาตใส่ไอ้เบนไม่หยุด”

“โธ่ รามิลเพื่อนรักพรุ่งนี้กูก็ส่งทับทิมคืนสู่อ้อมกอดมันแล้วไหม เรื่องเยอะมากไอ้พอร์ชทำหน้าตาเหมือนจะขาดใจตายสมน้ำหน้า”

“แกล้งมันไม่หยุดสงสารไอ้พอร์ชจริงๆ”

“แล้วมึงล่ะคิน ตอนนี้สรุปเป็นแฟนกันแบบทางการแล้ว”

“เออ”

“ไม่มีนิทรรศการแบบไอ้มิล แต่งเพลงแบบกู สวมแหวนแบบทิมเหรอวะ”

“พวกมึงมันเวอร์”

“ไม่ได้ดิ แก๊งเรามันโอเวอร์มาตั้งแต่เกิดต้องเล่นใหญ่ให้สุด”

“แก่แล้วเล่นอะไรใหญ่โตรู้กันสองคนพอ”

“ไม่สนุกเลย ไอ้ภาคินกูอุตส่าห์ตื่นเต้นมึงมีแฟนทั้งทีกูอยากปิดซอยเลี้ยง”

“เออ เสาร์หน้าพวกมึงว่างหรือเปล่าพี่เตเขาจัดงาน เชิญกูไปพูดเรื่องวาดรูปลายเส้นกับภาพถ่ายขาวดำ ไปให้กำลังใจกูหน่อยพูดบนเวทีครั้งแรก”

ภาคินยื่นใบจัดงานให้ทั้งสามคนดู รามิล เบนและทิมพยักหน้าพร้อมกับบอกว่าสำหรับเมมเบอร์แก๊งลูกเพื่อนแม่เขาไปได้อยู่แล้ว อยู่ดีๆ ทั้งสามคนก็เงียบพร้อมกันแล้วหันไปมองหน้าคินที่ก้มลงมองคนที่นอนหลับอยู่บนตัก มือคินก็ยกขึ้นมาลูบผมคนบนตักเบาๆ แต่คินรู้สึกว่ามีสายตากำลังจ้องอยู่เลยเงยหน้าขึ้นมามอง และแน่นอนว่าแก๊งลูกเพื่อนแม่กำลังจ้องเขาเหมือนจับผิด

“อะไรของพวกมึง”

“นี่มึงไปพูดเฉยๆ ใช่ไหมงานนี้”

“ทำไม”

“กูว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ มึงถึงบอกให้พวกกูไป”

“ก็บอกว่าตื่นเต้นกูพูดบนเวทีครั้งแรก”

“เราคบกันมาตั้งแต่สามขวบนะ แค่มองตากูก็รู้แล้วว่ามึงจะทำอะไร”

“กูจะทำอะไร”

“เออ ไอ้คนฉลาดต้อนขนาดนี้ยังไม่บอกเจอกันที่งาน กูจะไม่กะพริบตาเลยคอยดูมันต้องมีอะไรแน่ๆ”

“คิดมากเกินไปแล้วพวกมึง”

“มึงนั่นแหละคิน ฉลาดเจ้าเล่ห์อย่างมึงพวกกูดูออก”

ภาคินส่ายหน้าไปมาก่อนจะยกมือที่จับผมสีน้ำค้างไว้เมื่อคนบนตักขยับตัว ท่าทางจะง่วงจริงๆ ขนาดเขาคุยกันขนาดนี้สีน้ำก็ยังไม่ตื่น แต่จะว่าไปนอนแบบนี้ก็อาจจะไม่สบายตัว ภาคินเลยจัดการอุ้มคนที่นอนหลับให้มานอนบนเตียงดีๆ ห่มผ้าให้เรียบร้อยพร้อมกับจูบหน้าผากอีกหนึ่งครั้งแต่ก็ยังนอนมองคนที่หลับตาสนิทอยู่แบบนั้นไม่ได้ลุกไปไหน

“เหมือนกูเคยเจอเหตุการณ์นี้มาแล้วตอนไอ้มิลกับต้นไม้ ไม้หลับแบบนี้ มึงกอดไม้แบบนี้ จูบแบบนี้ สายตาที่มองไม้ก็แบบนี้”

“ไม่เห็นแปลกเบน แก๊งเรามันก็เป็นแบบนี้กันหมดขนาดไอ้ทิมตอนนอนยังกอดพอร์ชแน่นติดเป็นตังเม”

"นอนกอดแฟนผิดตรงไหนไม่ทราบ หรือมึงมีปัญหาเบนจามิน"

"ใครจะไปมีปัญหากับมึงทับทิม นอนกอดแฟนก็น่ารักดีไม่หนาวอบอุ่น"

"กวนตีน ขอให้คีตากลับเชียงรายสามเดือน"

"อันนี้นี่แหละปัญหาสามวันกูก็แทบขาดใจ"

“จะว่าไป...พวกเราสี่คนก็โตกันหมดแล้วเนอะ”

ภาคินยังคงนั่งมองสีน้ำที่หลับสนิทอยู่บนเตียง มือก็ลูบผมไปแถมยังไม่ยอมหยุดยิ้มอีกต่างหากทุกการกระทำอยู่ในสายตาของแก๊งลูกเพื่อนแม่ที่ยืนมองอยู่ท่าทางอ่อนโยนของภาคิน รามิลคว้าเอาเบนและทับทิมมากอดคอซ้ายขวาก่อนจะบอกบางอย่างที่ทำให้เบนและทิมต้องยิ้มออกมา

“ในฐานะหัวหน้าแก๊งลูกเพื่อนแม่กูยินดีกับพวกมึงทุกคนที่ได้เจอความรักที่ดีๆ กูดีใจด้วยจริงๆ”





 
To be con

ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของแก๊งลูกเพื่อนแม่แล้วนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอด ^^

ในทวิตเตอร์อาจจะไม่ได้ทวิตเกี่ยวกับนิยายเท่าไหร่

 แต่เราอ่านทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ จังๆ ที่เกี่ยวกับนิยาย
เลยนะคะ เอฟวี่ติงทุกช่องทางเลยจ้า


#ที่พักพิงสีน้ำ#ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
อบอุ่น..อ่อนหวาน..นนนนนน   :กอด1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เคลียยย

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
พอใกล้จะจบก็ใจหาย แต่อบอุ่น หวานมากๆ รักแกงค์นี้ทุกคนเลย :m1:

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
หวานไปกับความรักของคินกับสีน้ำ  อบอุ่นไปกับคินและครอบครัว

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
พอใกล้จะจบก็ใจหวิวๆ ไม่อยากให้จบเลย :hao5:

รอลุ้นว่าคินจะเซอร์ไพรส์อะไร :hao3:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ชั้นน่ะรักแก๊งลูกเพื่อนแม่ :hao5:

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
รีบๆมาต่อนะครับ รักนิยายชุดนี้มาก  :-[ :-[

ออฟไลน์ RIBBINBO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-2

WATERCOLOR

#ที่พักพิงสีน้ำ


คุณคิดว่าตัวเองเหมือนสีอะไร?

ภาคิน พิชญเดชา

Epilogue

- Watercolor-



 

 

“หล่อไปหรือเปล่า”

เสียงที่ดังขึ้นทำให้คนที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกต้องหันมามอง สีน้ำอยู่ในชุดนอนที่ปักชื่อเขานั่งหัวฟูอยู่บนเตียง พอเห็นภาพแบบนี้แล้วก็ตลกดี ไม่นึกไม่ฝันเหมือนกันว่าจะมีวันนี้ จากคนที่เอากาแฟสีน้ำสาดใส่กันในวันนั้นแต่ตอนนี้มานั่งยิ้มหวานอยู่บนเตียงเขาได้ ภาคินเไม่ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่แต่กลับเลือกที่จะเดินเข้ามาหาสีน้ำแทน สัมผัสตรงหน้าผากทำให้สีน้ำหลับตาลง

“ไปเป็นวิทยากรจริงหรือเปล่าเนี่ย แต่งตัวหล่อขนาดนี้”

“แฟนหล่อขนาดนี้ควรภูมิใจครับ”

“มาค้งมาครับ”

“จะไลฟ์ในอินสตาแกรม แล้วก็มีพวกนิตยสารไฮโซ รายการทีวีด้วยไอ้มิลบอกจะได้เป็นการโปรโมทร้านคินไปในตัวแล้วก็..”

“ก็?”

“ไม่มีไร”

“มีแน่”

“ไม่มี”

“มี”

“คุณธารธารา”

“คุณภาคิน”

“ยอมแพ้ทำอะไรรู้ทันตลอด มีพลังวิเศษใช่ไหม”

“ไม่เนียนเองมากกว่า ตอนนี้ดังแล้วนะคินผู้จัดละครวิ่งไล่ตามจับตัวกันให้วุ่น”

“บอกแล้วว่าไม่สนใจวงการบันเทิง แต่บางครั้งคอนเนคชั่นก็สำคัญในวงการธุรกิจ”

“เข้าใจครับ”

“น้ำเข้าใจแต่คนอื่นไม่เข้าใจ”

“คนอื่นคือ?”

“คนอื่นเข้าใจว่าผมโสด”

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นครูสอนวาดรูปก็หัวเราะออกมา เพราะหลังจากที่ความสัมพันธ์กับครอบครัวกลับมาดีกันแล้ว พิชญเดชาก็ร่วมมือร่วมใจกันช่วยสนับสนุนกิจการของภาคิน อยู่ดีๆ ร้านของคินที่เปิดปีละสามวันก็ต้องเปลี่ยนแผนมาเปิดแทบทุกวัน มีปิดบ้างบางวันเวลาที่คินต้องรับงานข้างนอก นอกจากร้านจะดังแล้วเจ้าของร้านก็ดังด้วยเช่นกัน

ปกติแวดวงไฮโซไม่ได้สนใจลูกชายคนเล็กของพิชญเดชาเท่าไหร่เพราะชอบทำตัวลึกลับหาตัวจับยาก แต่เพราะตอนนี้ฝีมือการวาดรูป ถ่ายภาพ บวกกับหน้าตาของภาคินที่หล่ออยู่แล้ว กลายเป็นว่าผู้คนต่างพากันสนอกสนใจพิชญเดชาคนเล็กขึ้นมาซะดื้อๆ แถมพิชญเดชาคนโตใกล้จะเข้างานงานวิวาห์อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เรื่องหัวใจก็คงไม่ตื่นเต้นเท่ากับภาคินที่ทุกคนยังคิดว่าโสดอยู่

“อยากเปิดตัวเหรอ”

“อยากบอกทุกคนเลยแฟนอยู่ร้านข้างกันครับ”

“ผมไม่ได้ห้ามอะไรนะแต่เข้าใจว่าเพราะนามสกุลคินเป็นที่สนใจ”

“ผิดเลยที่เกิดมาหล่อและรวยมาก”

“คนเรา”

“เอาเป็นว่าถ้าผมทำอะไรน้ำจะไม่โกรธผมนะ”

“แสดงว่าจะทำ”

“ช่วยทำเป็นไม่รู้สักเรื่องเถอะ ถ้าวันไหนผมขอแต่งงานน้ำจะมารู้ทันผมไม่ได้”

“เดินมาขอตรงๆ ก็แต่ง ตามใจคินเถอะผมโอเคทุกอย่างอยู่แล้ว”

“ครูสอนวาดรูปแสนดีที่หนึ่งอยากอวดแก๊งลูกเพื่อนแม่”

“เมื่อไหร่จะมาเรียนระบายสีน้ำล่ะครับ”

“รีบแต่งตัวไปทำงานดีกว่าค่ะ เดี๋ยวพี่เตด่าเอา”

พูดเรื่องระบายสีน้ำทีไรต้องโดนแกล้งคะขาจนสีน้ำต้องฟาดใส่สักที แต่ก็ยังช่วยติดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่อีกฝ่ายยังติดไม่เสร็จให้เรียบร้อย พอแต่งตัวเสร็จคินก็เดินลงไปข้างล่าง แน่นอนว่าวันนี้ร้านปิดเพราะเจ้าของร้านมีงานข้างนอก ภาคินยืนชงกาแฟของตัวเอง ก่อนจะหยิบเอานมสดมาอุ่นให้สีน้ำ อ้อมกอดที่กอดรัดจากด้านหลังทำให้คินต้องหันไปยิ้มให้ ครูสอนวาดรูปล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยพอได้กลิ่นนมอุ่นๆ ก็ยิ้มแฉ่ง ทุกอย่างระหว่างเราสองคนยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน แก้วกาแฟของภาคินยังคงเป็นแก้วสีขาว และแก้วนมของสีน้ำเป็นแก้วสีเหลืองที่มีหน้าสไมล์ลี่ เสียงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆ ไปเป็นเรื่องปกติก่อนที่ภาคินจะบอกว่าถึงเวลาต้องไปแล้ว

“น้ำเลิกสอนกี่โมงนะ”

“มีคลาสเช้าคลาสเดียวน่าจะเสร็จประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง”

“เสร็จแล้วตรงดิ่งมาหาผมเลยนะ”

“ตื่นเต้นจริงๆ สินะเด็กชายภาคิน”

“ผมกลัวพูดไม่รู้เรื่อง”

“ไหน..มาให้กำลังใจหน่อยซิ”

สีน้ำที่ยืนกอดอกพิงประตูอยู่หน้าร้านต้องเรียกให้คนที่เปิดประตูหน้าร้านออกไปแล้วเดินกลับมาหา สีน้ำรับคนที่ตัวโตเหมือนหมีเข้ามากอดไว้แน่น ภาคินก็ซุกซบตรงลาดไหล่เหมือนขอกำลังใจ ไม่มีคำพูดอะไรเป็นพิเศษมีเพียงแค่สัมผัสเบาๆ เท่านั้น กอดกันอยู่นานสีน้ำก็ต้องบอกว่าเดี๋ยวสายคินเลยต้องผละออก มือใหญ่ยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มสีน้ำเบาๆ ตามด้วยการหอมแก้มที่สีน้ำต้องหัวเราะเพราะอีกฝ่ายเล่นหอมแรงไม่มียั้งไว้ เสียงเรียกเบาๆ ที่หน้าประตูทำให้ทั้งสองคนต้องผละออกมา ขอเดาว่าเป็นลูกค้าของร้านภาคินที่ยืนทำหน้าช็อคกันอยู่หน้าร้าน

“คือขอโทษด้วยครับ วันนี้ร้านปิดพรุ่งนี้จะกลับมาเปิดเหมือนเดิมครับ”

ทุกคนที่ยืนหน้าร้านพยักหน้ารับแต่ก็ไม่วายหน้าแดงๆ เมื่อหันมามองคนที่ยังยืนอยู่หน้าประตู คินเลยหันไปมองตามแน่นอนว่าสีน้ำยังอยู่ในชุดนอนที่ปักชื่อเขาตัวบะเร่อบะร่า แถมเมื่อกี้ก็คงจะเห็นที่เขาหอมแก้มไปเต็มๆ สีน้ำเองก็น่าจะทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่ยิ้มเขินๆ ก่อนจะขอตัวเข้าร้านคินไป

“พวกข่าวซุบซิบแวดวงไฮโซบอกว่า คุณภาคินเจ้าของร้านโสด”

“ผมว่าข่าวมั่ว”

“ก็น่าจะมั่วค่ะเห็นเต็มตาขนาดนี้ จะมาซื้อโปสการ์ดแต่มาเห็นฉากหวานแหวว แฟนน่ารักดีนะคะ”

“ถ้าสนใจวาดรูปเชิญร้านข้างๆ ได้เลยครับครับแฟนผมสอนวาดรูปอยู่”

“ดีค่ะ ไม่ซื้อโปสการ์ดแล้วไปวาดรูปดีกว่า”

“อ้าวเฮ้ย..”

สีน้ำที่ยืนพิงประตูอยู่ในร้านยังแอบขำกับบทสนทนาของภาคินกับลูกค้า แต่ก็ดีใจที่เห็นว่าคินดูจะผ่อนคลายมากกว่าเดิมเห็นตื่นเต้นมาตั้งแต่เมื่อคืน ไม่รู้ว่านอนหลับบ้างหรือเปล่า จะว่าไปนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าคินจะทำอะไร เห็นคุยกับแก๊งลูกเพื่อนแม่นานอยู่เหมือนกัน ต้นไม้ยังไลน์มาบอกเลยว่าวางแผนทำอะไรแผลงๆ แน่ๆ ถ้าสุมหัวกันขนาดนี้ ตลกที่สุดก็ตอนที่คีตากับพอร์ชบอกว่าให้เขาแกล้งทำท่าทางตกใจตอนที่มีอะไรเกิดขึ้น เอาจริงๆ สีน้ำก็เดาไม่ออกเลยว่าภาคินจะทำอะไรแต่ก็เอาเถอะ แต่แก๊งลูกเพื่อนแม่นี่ก็น่ารักจริงๆ สามสิบกว่ากันแล้วแต่ก็เล่นกันเหมือนเด็กสามสี่ขวบ

 

Watercolor

 

คนเยอะกว่าที่คิด

ตอนแรกภาคินก็จะไม่ตื่นเต้นกับงานนี้แล้วนะ แต่พอเอาเข้าจริงก็รู้สึกสั่นๆ อยู่เหมือนกัน พี่เตเข้ามาแซวทำเสียงกิ๊วๆ เมื่อเห็นว่าวันนี้แต่งตัวหล่อกว่าทุกวัน ผมเผ้าก็ดูเป็นทรงไม่ใช่ปล่อยให้ปปรกหน้าปรกตา แต่พี่แกก็ยังตบไหล่พร้อมกับบอกว่าถึงเขาจะแต่งแบบไหนแต่มันก็ยังคงความเป็นตัวเขาอยู่ดี เออ คินชอบตรงนี้ คินยกนาฬิกาขึ้นมาดูเมื่อเห็นว่ายังมีเวลาเหลือเฟือเลยไปเดินเล่นรอบๆ งาน

ที่จริงพ่อแม่และพี่เคก็บอกว่าจะแวะมางานนี้ด้วย ทั้งๆ ที่คินก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไรแค่แก๊งลูกเพื่อนแม่มาก็พอแล้ว แต่ก็สู้ความตั้งใจอันแรงกล้าของครอบครัว พิชญเดชาไม่ได้ก็เลยไม่อยากขัด แถมพี่เคยังย้ำอีกว่าตอนเขาเต้นบนเวทีงานโรงเรียนอนุบาลยังขนไปหมดทั้งครอบครัวเลย ก็เข้าใจได้แต่นั่นตอนสี่ขวบนี่สามสิบกว่าแล้ว..

งานพี่เตก็เรียกได้ว่างานรวมตัวบรรดาแวดวงไฮโซอยู่พอสมควร เห็นมีผู้ใหญ่หลายคนที่จำเขาได้เลยเข้ามาทัก นอกนั้นก็มีบูทงานศิลปะต่างๆ มาตั้งอยู่ด้วย คินเดินเข้าไปดูกระถางต้นไม้ที่เพ้นท์ลายเอาไว้แล้วยิ้มออกมา เขากำลังนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่สีน้ำไปช่วยต้นไม้ขายต้นกระบองเพร คนอะไรวาดรูปได้ตลอดเวลา คิดอะไรเพลินๆ เสียงเรียกชื่อจากด้านหลังทำให้คินต้องหันไปมอง

“เรียกผมหรือเปล่าครับ”

“ค่ะ พะแพงเอง”

“พะแพง?”

“พี่คินจำแพงไม่ได้หรอกค่ะ เราเคยเจอกันไม่กี่ครั้งแต่ว่าแพงเคยไปร้านพี่คินด้วยนะคะ แพงซื้อรูปมาตั้งที่โต๊ะทำงานด้วย”

“อ้อ ขอบคุณครับสรุปแล้วเราเคยรู้จักกันไหมครับ”

“แม่แพงรู้จักแม่พี่คินค่ะ อาทิตย์ที่แล้วบ้านแพงยังได้การ์ดแต่งงานจากพี่เคเลยยินดีกับพี่เคด้วยนะคะ”

“ขอบคุณครับ ขอโทษ..คือผมไม่ค่อยรู้จักเพื่อนของแม่เท่าไหร่นอกจากแก๊งลูกเพื่อนแม่ ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่มาอุดหนุนผลงานของผม”

“ว่าแต่มางานนี้คนเดียวเหรอคะ ข่าวซุบซิบเรื่องจริงเหรอนี่”

“ข่าวซุบซิบ?”

“เขาบอกว่าพี่คิน ภาคิน พิชญเดชา ลูกคนชายคนเล็ก โสดสนิท โสดอยู่คนเดียวในแก๊งลูกเพื่อนแม่ด้วย เพื่อนแพงที่เป็นแฟนคลับแก๊งลูกเพื่อนแม่ยืนยันว่าจริงค่ะ”

“ผมได้ยินเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจชีวิตผมขนาดนี้”

“แก๊งลูกเพื่อแม่ดังจะตาย แต่ทุกคนรู้ว่ามีแฟนไปหมดแล้วเหลือพี่คินนี่แหละค่ะที่ทุกคนรอจับจอง”

“ผมดูเหมือนคนโสดเหรอครับ”

“ไม่โสดเหรอคะ!”

“ผมแค่สงสัยว่าทำไมทุกคนถึงคิดว่าผมโสด ทุกทีผมไม่ค่อยได้สนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่แต่ตอนนี้ก็เริ่มคิดว่าควรจะทำอะไรให้ชัดเจนสักที”

“แสดงว่าไม่โสด”

“รอดูดีกว่าครับ”

“ที่จริงแม่แพงให้ลองมาคุยๆ กับพี่คินค่ะแต่พี่คินไม่ใช่สเป็คแพง แต่ว่าแพงพูดมากและก็ขี้เกียจทะเลาะกับแม่ พี่คินคิดซะว่ามีน้องสาวสวยๆ มาคุยด้วยก็พอนะคะ”

“โอเคครับน้องแพง ขอบคุณนะครับไว้มาที่ร้านอีกนะ”

“ค่ะ แพงเป็นแฟนคลับพี่ทิมแห่งแก๊งลูกเพื่อนแม่นะคะฝากบอกว่าแพงรักพี่เขา มีเขาเป็นไอดอลในการใช้ชีวิต”

ทันทีที่ได้ยินคินถึงกับยกมือขึ้นมากุมขมับ ทำไมทุกคนรอบตัวที่เขาเจอถึงเป็นแฟนคลับไอ้ทิมกันหมดวันๆ ไม่เห็นมันทำอะไรนอกจากวางแผนแกล้งคน แต่ยอมรับว่าเซ้นส์เขามันบอกตั้งแต่แรกแล้ว ว่าผู้หญิงที่เขาคุยด้วยไม่ได้ทีท่าทีจะจีบเขาตั้งแต่แรก แต่เรื่องที่ติดใจคือเรื่องที่เขาโสด? สงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกันเขาว่าเขาติดแฟนเป็นตังเมขนาดนี้ ทำไมทุกคนถึงคิดว่าเขาโสดกัน ทุกทีคินไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่ใครจะพูดยังไง เขียนข่าวแบบไหนเพราะยังไงเขาก็ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงอยู่แล้ว แต่พอนึกถึงคำพูดของพอร์ชตอนที่มันจับมือโชว์แหวนให้บรรดานักข่าวดู ตอนนี้ก็เริ่มคิดเหมือนมันบ้างแล้ว

 

“ลูกพี่คิน บางทีมันก็รำคาญถามอะไรเยอะแยะ อีกอย่างเป็นการประกาศไปในตัวเลยว่าทับทิมเป็นของผม คนที่จะเข้ามาจีบจะได้เลิกคิด พี่ก็รู้คนจ้องจะเต๊าะแฟนผมครึ่งประเทศ”

 

จะว่าไปแบบที่ไอ้พอร์ชพูดก็น่าสนใจ และแน่นอนว่าคนอย่างภาคิน พิชญเดชาคนที่มีแผนอยู่ในหัวสามพันแปดร้อยแผนจะเปิดตัวแฟนแบบธรรมดาๆ ไม่ได้ เสียชื่อมันสมองของแก๊งลูกเพื่อนแม่หมด

 
watercolor

 

“พร้อมหรือยัง ภาคิน”

เตเดินเข้ามาตรงห้องพักด้านหลัง ยกมือทักทายรุ่นน้องที่รู้จักตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ตอนนี้โตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อ งานวันนี้เตตั้งใจจะเชิญคินมาเป็นวิทยากรตั้งนานแล้วแต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวอยากทำหรือเปล่า เพราะปกติคินโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง และไม่ค่อยเห็นออกสื่อเท่าไหร่

“ตื่นเต้นนิดหน่อยพี่ เออพี่เต..ผมขอเพิ่มอะไรนิดหน่อยได้ไหม”

“หมายถึงกิจกรรมบนเวที?”

“ใช่ครับ แค่อยากลองวาดรูปจริงๆ ให้ทุกคนได้เห็น”

“เอาเลยคิน พี่บอกแล้วยกเวทีให้มึงตามสบาย กูไม่ได้อยากให้งานมันซีเรียสมากอยากให้ทุกคนที่มาได้ฟังเหมือนมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันมากกว่า”

“แต่มีกล้องและนักข่าวด้วยนะพี่”

“ผลพลอยได้ว่ะ บังเอิญแม่อยากอวด”

คินแกล้งทำหน้าเบ้ใส่ก่อนที่พี่เตจะบอกว่าอยากทำอะไรก็ทำ เต้นบนเวทียังได้เลยอย่าไปเครียดพอได้ยินแบบนี้คินก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย เขาไม่ได้ทำอะไรเวอร์วังแบบมีลูกโป่ง มีพลุอะไรแบบนั้นหรอกเขาก็แค่อยากทำอะไรที่เป็นตัวเองก็แค่นั้น เสียงเรียกของทีมงานเมื่อถึงเวลา คินเลยต้องลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อม

เอาวะ

​เสียงพิธีกรแนะนำตัวคนที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังเวที ด้วยเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ดูแปลกตากว่าทุกวันทำให้คนที่นั่งอยู่ด้านล่างส่งเสียงกันใหญ่ แน่นอนว่ามีแก๊งลูกเพื่อนแม่ ต้นไม้ คีตาและพอร์ชที่อยู่ดีๆ วันนี้พร้อมใจกันว่างกันโดยมิได้นัดหมาย หรือมันนัดหมายกันก็ไม่รู้ และคนสำคัญนอกจากครอบครัวแล้วยังมี ครูสอนวาดรูปสีน้ำที่พอเห็นเขาก็ยิ้มแป้นใส่พร้อมกับบอกว่าสู้ๆ

การพูดคุยบนเวทีค่อนข้างเป็นกันเอง ดีที่พี่เตขึ้นมาร่วมด้วย คินค่อยๆ เล่าเรื่องที่เขาชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มค้นพบว่าเขาชอบที่จะวาดรูปด้วยลายเส้นดินสอ เคยลองวาดรูปด้วยสีอย่างอื่นก็รู้สึกไม่ถนัดเท่าไหร่ นอกนั้นก็เริ่มถ่ายรูปจนมันพัฒนามาเป็นธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพ

“วาดภาพลายเส้นดินสอมานานแล้วคุณคินเคยอยากลองวาดเป็นสีบ้างไหมครับ”

“ถ้าคนรอบตัวจะรู้ดีครับว่าผมไม่ถนัดวาดอะไรที่เป็นสีเลย ประโยคที่ได้ยินกันบ่อยๆ ก็คือผมเกลียดสีน้ำ”

“แสดงว่าไม่ชอบจริงๆ”

“ไม่เชิงไม่ชอบ ยังไงดี..เรียกว่าไม่ค่อยถนัดมากกว่าเคยลองแล้วมันไม่ค่อยดีก็เลยไม่เอาเลย”

“เขาบอกว่าเกลียดอะไรจะได้แบบนั้น”

ประโยคจากพิธีกรทำให้บรรดาคนที่นั่งอยู่ด้านล่างเวทีพากันหัวราะ แล้วหันมามองคนที่ยกดอกไม้ขึ้นมาปิดหน้า คินเองก็ยังอดที่จะหัวเราะไม่ได้พร้อมกับตอบพิธีกรไปว่า ก็คงจะจริงครับ คนทั่วไปคงจะคิดว่าคินแค่ตอบรับไปอย่างนั้น แต่คนที่รู้เรื่องอยู่แล้วได้แต่กลั้นหัวเราะ

“คุณคินไปทั่วประเทศขนาดนี้ มีจังหวัดไหนที่ประทับใจเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

“ทุกจังหวัดผมก็ประทับใจหมด แต่มีจังหวัดหนึ่งที่ผมอยากขอบคุณตัวเองที่ตอนนั้นเลือกไปที่นั่น ขอบคุณจังหวัดเชียงใหม่ครับ”

“เกริ่นมาซะขนาดนี้แสดงว่า..”

“อกหักครับก็เลยหนีไปพักใจ”

“เอาแล้ว เอาแล้ว! พูดเรื่องวาดรูปมากันเยอะแล้ว ตอนนี้เชื่อได้เลยว่ามีคนสนใจเรื่องหัวใจของคุณคินพอสมควร ไม่ทราบว่าตอนนี้สถานะเป็นยังไงบ้างเอ่ย ได้ยินข่าวมาเยอะแล้วพี่ชายของบ้านพิชญเดชาก็สละโสดไปแล้ว คนเล็กว่ายังไงเอ่ย”

“ก่อนจะตอบคำถามเรื่องนี้ ผมขอสาธิตการวาดรูปของผมให้ทุกคนดูก่อนได้ไหมครับ”

“โอ๊ะ! เตรียมมาเหรอครับ”

“เตรียมมาครับ แต่ผมขอความร่วมมือจากคนที่อยู่ด้านล่างเวทีด้วยนะครับ”

พอภาคินบอกแบบนั้นก็มีสตาฟออกมาเตรียมสถานที่ กระดานวาดรูปถูกยกออกมาตั้งคินลุกขึ้นไปกระซิบบางอย่างกับพี่เต แค่เพียงสักพักพี่เตก็เดินลงมาข้างล่างเวทีก่อนจะตรงดิ่งมาที่สีน้ำ พร้อมกับบอกว่าขอเชิญร่วมกิจกรรมบนเวที คนที่นั่งถือช่อดอกไม้อยู่ถามซ้ำอีกพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง คล้ายจะถามซ้ำอีกครั้งว่าใช่แน่เหรอ เตยิ้มขำก่อนจะพยักหน้าบรรดาแก๊งลูกเพื่อนแม่ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่รอยยิ้มนั่นแค่เห็นก็รู้แล้วว่าเพื่อนตัวเองบนเวทีต้องมีแผนแน่ๆ ขนาดต้นไม้ยังต้องกลั้นยิ้ม ส่วนคีตากับพอร์ช ยกมือขึ้นแปะกันเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างลูกพี่ภาคินต้องทำอะไรสักอย่างในวันนี้

“นั่งตรงนี้เลยครับ”

พี่เตจัดเก้าอี้ให้เรียบร้อย แต่สีน้ำก็ยังคง งง ๆ กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเลยเดินไปหาภาคินที่กำลังเตรียมอุปกรณ์อยู่ เพราะวันนี้คินใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวเลยตั้งใจจะพับแขนเสื้อแต่ไม่ถนัด สีน้ำก็เลยเอื้อมมือไปพับแขนเสื้อให้เรียบร้อย คินก้มศีรษะลงมาให้สีน้ำจัดผมเพราะผมที่เซ็ทไว้มันเริ่มจะหลุดมาปรกหน้าปรกตา การดูแลเอาใจใส่โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัวทำให้คนที่อยู่ข้างล่างเวทีพากันอมยิ้ม

“คินจะวาดผมเหรอ”

“ไปนั่ง ไปนั่ง”

“ทำอะไรแปลกๆ แน่”

“สีน้ำ..โอเคไหมถ้าผมจะบอกทุกคนว่าเราเป็นอะไรกัน”

“ทุกทีคินก็ไม่ได้คิดมากเรื่องนี้นี่”

“ถามก่อนเผื่อน้ำไม่โอเค”

“ผมโอเคนะ อย่าคิดมากเลยไม่ต้องกลัวผมโกรธด้วยแต่ไม่บอกเหรอว่าคินจะทำอะไร”

“สยบข่าวลือ”

คินตอบแค่นั้นแถมครูสอนวาดรูปทำหน้างงมากว่าเดิม แต่ก็ยอมไปนั่งบนเก้าอี้ที่ทีมงานเตรียมไว้ให้ คินค่อยๆ ลากดินสอให้มันเป็นรูปเป็นร่าง คนที่นั่งเป็นแบบได้แต่นั่งนิ่งตัวเกร็งเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายวาดไปถึงไหน จากคนที่เคยสอนคนอื่นวาดรูปแต่อยู่ดีๆ วันนี้ต้องมานั่งเป็นแบบให้ใครสักคนวาดก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน ภาคินเหลือบมองคนที่นั่งเป็นท่อนไม้ก็หัวเราะแล้วเดินเข้ามาหา

“ตื่นเต้นเหรอน้ำปล่อยตัวสบายๆ หน่อย”

“ลองมานั่งเฉยๆ ท่ามกลางคนเป็นร้อยดูมั่ง”

“ถ้าเขินมากๆ ก็มองมาที่ผมคนเดียว”

“อย่ามาจีบ”

“ไอ้มิลบอกมาถึงเป็นแฟนกันแล้วก็ต้องจีบกันทุกวัน”

สีน้ำยกมือฟาดคนตรงหน้า พร้อมกับกระซิบให้กลับไปนั่งวาดรูปเร็วๆ ถึงคินจะเจ็บตัวแต่ก็รู้สึกว่าสีน้ำดูผ่อนคลายขึ้นมาก คินเลยแกล้งทำหน้าตาตลกๆ เวลาที่วาดรูปไปด้วย คนที่นั่งเป็นแบบเลยต้องกลั้นหัวเราะแต่พอนึกขึ้นได้ว่ามีคนที่อยู่ด้านล่างเวทีมองอยู่เยอะก็กลับมาเก๊กหน้าขรึมตามเดิม จนคินต้องเป็นฝ่ายที่หัวเราะซะเอกกลับท่าทางตลกๆ นั่น

“คือผมขอขัดจังหวะนิดนึงได้ไหมครับคุณคิน”

“ถามได้ครับ”

“ในช่วงแรกคุณคินบอกว่าไม่ค่อยถนัดวาดรูปคนเท่าไหร่ ทำไมวันนี้ถึงสาธิตการวาดรูปคนให้ดูครับ”

“พิเศษมั้งครับ”

“หมายถึงวันนี้พิเศษหรือว่าคนที่มาเป็นแบบพิเศษ..”

“ที่จริงที่ผมวาดรูปวันนี้มีหัวข้อนะครับ แต่ผมขอบอกตอนที่วาดเสร็จแล้วดีกว่า”

แค่เพียงไม่นานรูปที่ภาคินวาดก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ทุกคนที่ดูอยู่ด้านล่างต่างยอมรับว่าฝีมือการวาดรูปของคินไม่ธรรมดาเลย นี่ขนาดใช้เวลาไม่นาน ในที่สุดคินก็วางดินสอพร้อมกับขยับมือไปมา เสียงพิธีกรเข้ามาพูดคุยก่อนที่คินจะเข้าไปแตะข้อศอกให้สีน้ำลุกออกจากเก้าอี้เพื่อมาดูรูปที่เขาวาด สีน้ำส่งเสียงว๊าวเบาๆ เมื่อรูปที่คินไว้มันสวยมากจริงๆ

“ขอโทษด้วยครับงานมันอาจจะไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ แต่ผมตั้งใจวาดนะครับ”

“แล้วตกลงงานที่วาดวันนี้หัวข้อคืออะไรเอ่ย เชื่อว่าคนที่มาร่วมงานและคนที่ดูอยู่ทางไลฟ์ตอนนี้ก็คงอยากรู้กันแล้ว”

ภาคินยิ้มเขินๆ ก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนไปเป็นภาคินคนเจ้าเล่ห์ แก๊งลูกเพื่อนแม่ที่เห็นสายตาแบบนั้นก็หันมามองหน้ากันพร้อมกับบอกเบาๆ ว่าเอาแล้ว เบนจามินเตรียมยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายฉากเด็ดไว้ รามิลหันไปมองรอบๆ ตัวเพิ่งเห็นว่ามีกล้องจากนักข่าว รายการบันเทิงต่างๆ รวมทั้งแขกผู้ร่วมงานที่เป็นบรรดาคุณหญิงคุณนายไฮโซ ทิมเลยกดเข้าไปดูจำนวนคนที่เข้ามาดูไลฟ์ตอนนี้ก่อนจะเอียงหน้ามากระซิบกับรามิล

“เพื่อนมึงเล่นใหญ่ดีนะ ออกสื่อทุกช่องทาง”

“เคยเบาเหรอแก๊งลูกเพื่อนแม่เรา”

“ตอนไอ้เบนก็ทำแบบนี้ป่ะวะ”

“ตอนไอ้เบนมันบอกแบบอ้อมๆ ไม่ได้เปิดตัวคีตาตรงๆ แต่เชื่อเลยไอ้คินมันไม่อ้อมแน่มาขนาดนี้แล้ว”

ตอนนี้ทุกคนที่งานดูจะลุ้นกับหัวข้อวาดรูปของภาคิน รวมทั้งตัวสีน้ำเองที่หันมาจ้องคินตาแป๋ว เจ้าของรูปวาดแตะเอวให้สีน้ำเดินมาข้างหน้าเวที พิธีกรเลยถามซ้ำอีกครั้งจนคนในงานต่างเงียบเพื่อรอฟังคำตอบจากภาคิน

“หัวข้อที่ผมวาดวันนี้ก็คือ”

“………..”

“แฟนครับ”

“แฟน?”

“ครับ ผมวาดรูปแฟนตัวเอง”

คนที่ช็อคกับคำตอบไม่ใช่แค่พิธีกรบนเวทีและแขกที่มาร่วมงาน แต่รวมทั้งคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งๆ ที่พอเดาได้ว่าคินมีแผนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะบอกตรงๆ แบบนี้เลย ท่าทางเหมือนสติหลุดออกจากร่างทำให้คินต้องกลั้นยิ้มแล้วคว้าเอาสีน้ำให้มายืนใกล้ๆ แค่เพียงไม่นานเสียงโห่แซวก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกดชัตเตอร์ไม่หยุด

“มีคำอธิบายรูปภาพนี้เพิ่มเติมไหมครับ”

“งานลายเส้นมันอาจจะต้องใช้เวลางานนี้มันอาจจะรีบไปหน่อย เดี๋ยวผมจะกลับไปลงรายละเอียดให้ชัดกว่านี้ติดตามได้ที่อินสตาแกรมของร้านผมได้เลย จะได้เห็นเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบ”

“ขอประโยคสุดท้ายแบบเด็ดๆ หน่อยครับ เดี๋ยวจะหมดเวลาแล้ว”

“ผมภาคิน พิชญเดชาไม่โสดนะครับมีเจ้าของแล้ว”

สีน้ำได้แต่หันหน้าหลบก่อนจะทุบหลังคนที่ประกาศตัวโจ่งแจ้ง แต่น่าจะทุบดังไปหน่อยคินเลยจับมือสีน้ำมากุมไว้เพราะกลัวว่าเขินแล้วจะลงไม้ลงมืออีก เสียงปรบมือชอบอกชอบใจดังลั่น ขนาดพี่เตยังยกนิ้วโป้งให้เพราะภาคินทำให้บรรยากาศในงานดูผ่อนคลายมากกว่าเดิม ตอนแรกเขากลัวว่าแขกที่มาร่วมงานดูเบื่อๆ แต่พอภาคินขึ้นมาบนเวทีก็เริ่มสนุกสนานมากขึ้น เขาไม่ได้ซีเรียสเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรแบบนี้อยู่แล้ว เขารู้จักคินมานานเราสนิทกันจนแทบจะเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่ก็นะเปิดตัวได้สมกับเป็นแก๊งลูกเพื่อนแม่ดี

แน่นอนว่าช่อดอกไม้จากร้าน SECRET GARDEN ยังคงเป็นช่อดอกไม้ที่สวยที่สุด คินเอ่ยขอบคุณต้นไม้ที่วันนี้มางานแถมยังจัดช่อดอกไม้มาให้ พอแก๊งลูกเพื่อนแม่ร่วมตัวกันก็ดูเป็นที่สนใจของบรรดาแขกที่มาร่วมงาน คินให้สีน้ำถือช่อดอกไม้เพราะดูเจ้าตัวจะชอบมาก พอร์ชกับคีตาเดินกลับมาหลังจากที่ทั้งคู่ไปห้องน้ำ พออยู่กันครบแบบนี้ทุกคนในงานก็พร้อมใจกันหันมามอง

“ไหนบอกมึงมาพูดเรื่องวาดรูปลายเส้นเฉยๆ ไงคินเปิดตัวแฟนเฉย”

“นึกว่าพวกมึงจะรู้กันอยู่แล้ว”

“เดาไว้แล้วแค่ไม่นึกว่าจะวาดรูปโชว์คนทั้งงานแบบนี้ วาดรูปแฟนครับ ว๊าวเลยว๊าว!”

“เปิดตัวธรรมดาก็ไม่ใช่แก๊งลูกเพื่อนแม่ป่ะวะ”

“พี่คินเวอร์มาก”

“โห เจ้าหนูคีตาคนที่แต่งเพลงให้เอ็งแล้วให้นักร้องมาร้องเพลงให้ไม่เวอร์เลยเนอะ”

“ผมเบาไปเลย อยากให้ทิมเปิดตัวผมใหม่”

“พวกมึงนะพอร์ช จับมือโชว์แหวนขนาดนั้นก็ไม่เบาเท่าไหร่”

“สีน้ำยังเขินอยู่เลย”

ต้นไม้ทักคนที่เอาแต่ยืนถือช่อดอกไม้เงียบๆ แต่หน้านี่แดงไปถึงใบหู ตอนนี้ดูน่าจะยังคงช็อคไม่เลิก คินหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วก็ต้องหัวเราะออกมานานๆ ทีเลยนะถึงจะได้เห็นสีน้ำเสียอาการแบบนี้

“กว่าจะเลิกเขินแขนเสื้อกูน่าจะขาดก่อนกำซะแน่นขนาดนี้”

คินยกแขนเสื้อขึ้นมาให้ทุกคนเห็นว่าตอนนี้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ขยำแขนเสื้อเขาจนยับยู่ยี่ไปหมดแล้ว พอโดนทักเจ้าตัวก็เลยรีบปล่อย แต่คินก็ไวกว่ารีบคว้ามือสีน้ำมาจับไว้แทน ยืนคุยกันอยู่ดีๆ ก็มีช่างภาพจากนิตยสารชื่อดังเดินเข้ามาขอถ่ายรูปภาคิน สีน้ำเลยผละออกไปยืนรอข้างๆ กับแก๊งลูกเพื่อนแม่

ช่างภาพยังคงถ่ายรูปคินไปสองสามรูปก่อนจะบอกคินว่าคงคอนเซปต์มินิมอลเหมือนเดิม เสื้อผ้าอะไรไม่เคยเปลี่ยนไปจากเดิม คินยกมือขอเวลานอกเพราะแม่โทรเข้ามาพอดีเลยเรียกสีน้ำให้คุยแทน ช่างภาพลองกล้องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจุดโฟกัสมาหยุดที่คินและสีน้ำ

เขาไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่ชัดแต่ที่ภาคินพูดบนเวทีก็คงจะเป็นอย่างที่เจ้าตัวว่า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรช่างภาพเลือกที่จะมองทั้งคู่ผ่านกล้องอยู่อย่างนั้น ภาพตรงหน้าคือภาพที่ภาคินกอดอกมองคนสีน้ำคุยโทรศัพท์ สายตาดูก็รู้ว่าเอ็นดูอีกฝ่ายมากแค่ไหน มีบ้างที่หลุดยิ้มตอนที่สีน้ำกระตุกแขนเสื้อคินรัวๆ เหมือนหาตัวช่วย

“ขอถ่ายรูปคู่ได้ไหมครับ ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

สีน้ำดูจะตกใจเมื่อได้ยินแต่คินก็บอกว่าแล้วแต่ได้เลย แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ตอบตกลง ช่างภาพอมยิ้มเมื่อเห็นว่าสีน้ำทำตัวไม่ค่อยถูกแต่ก็เข้าใจได้ เลยให้เวลาทั้งคู่ปรับท่าทางนิดหน่อย เป็นครั้งแรกที่ช่างภาพเห็นถึงความแตกต่างของทั้งคู่ คนข้างๆ ภาคินอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตลายทางสีชมพูอ่อน กางเกงห้าส่วนสีขาวและรอยยิ้มที่ยิ้มให้กับกล้อง มันดูสดใสจนเขาเองยังยิ้มตาม ช่างภาพเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยขอบคุณทั้งสองคน จังหวะที่กำลังเดินไปทางอื่นก็ตัดสินใจหันกลับมาบอกบางอย่าง ที่ทำให้ภาคินยิ้มรับกับประโยคนั้นก่อนจะประสานมือกับสีน้ำให้แน่นขึ้น

“พวกคุณทั้งสองคนเหมาะสมกันมากครับ”


..............
.................................................


ออฟไลน์ RIBBINBO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-2
Watercolor


“คินว่า ผู้ใหญ่บ้านจะจำเราสองคนได้ไหม”

“อาจจะจำได้ว่าคนที่อกหักแล้วหนีมาพักใจที่นี่”

สีน้ำแกล้งทำหน้าเบ้ก่อนจะรับประเป๋ามาถือไว้เอง ในที่สุดเราสองคนก็กลับมาที่หมู่บ้านเหมือนฝัน หลังจากที่พยายามเคลียร์งานกันอยู่หลายอาทิตย์ ภาคินมองไปรอบๆ ทุกอย่างที่นี่ยังคงเหมือนเดิม ยังเป็นที่ๆ ที่ทำให้รู้สึกสบาย รู้สึกผ่อนคลาย เหมือนครั้งแรกที่เขามา เสียงดังเป็นเอกลักษณ์อยู่ตรงหน้าที่พักทำให้ทั้งคู่เดินเข้าไปหา ผู้ใหญ่บ้านคนเดิมกำลังยืนคุยกับชาวบ้านและแน่นอนว่าคำคมเด็ดๆ หลายประโยค ยังคงมีให้ทุกคนเสมอ

“แขกสองคนที่จองไว้มาถึงแล้วครับ ผู้ใหญ่”

“เออๆ ไหนๆ ไปทักทายสักหน่อย”

ผู้ใหญ่บ้านค่อยๆ หมุนตัวมาเจอทั้งสองคนที่ยืนรออยู่แล้ว ต่างคนต่างเงียบแล้วมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นเพราะกลัวว่าจะจำกันไม่ได้แล้วจะหน้าแตกเอา คินกับสีน้ำยกมือไหว้ผู้ใหญ่บ้านที่รับไหว้ตอบก่อนที่จะถามเรื่องสารทุกข์สุขดิบทั่วๆ ไป ภาคินกับสีน้ำไม่ได้โกรธที่ผู้ใหญ่บ้านจำเขาทั้งสองคนไม่ได้ ผู้คนมากหน้าหลายตาผ่านมาก็ผ่านไปจะให้จำหมดทุกคนก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ทั้งสองคนหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายก่อนจะเดินนำหน้าไปยังที่พัก แต่อยู่ดีๆ ก็ต้องหยุดเดินเมื่อได้ที่ผู้ใหญ่บ้านทักขึ้นมา

“กลับมาสอนเด็กๆ ระบายสีน้ำเหรอแล้วเราล่ะพ่อหนุ่มอกหักมาอีกแล้วเรอะ เฮ้อ..คนเราหน้าตาหล่อเหลาแต่อาภัพรัก”

ทันทีที่ได้ยินภาคินและสีน้ำต่างก็เข้ามากอดแขนผู้ใหญ่บ้านคนละข้าง เสียงหัวเราะดังลั่นเมื่อผู้ใหญ่บอกว่าแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ไปงั้นถึงจะแก่แล้วแต่ก็ยังความจำดี พอถามถึงห้องพักก็บอกไว้ว่าจองไว้หนึ่งห้อง ตอนแรกนึกว่าจะเต็มซะแล้ว

“แล้วรู้จักกันเหรอพ่อนุ่มสองคนทำไมมาด้วยกันได้”

“ก็..ครับ”

“แล้วพ่อแม่สบายดีแล้วใช่ไหมครั้งที่แล้วเห็นรีบกลับก่อน”

“สบายดีแล้วครับผู้ใหญ่”

“แล้วเราล่ะไง อกหักอีกไหมคราวนี้”

สีน้ำกลั้นยิ้มก่อนจะชี้ไปข้างบนคล้ายจะบอกว่าขอขึ้นไปก่อน คินเลยพยักหน้าแล้วยืนคุยกับผู้ใหญ่บ้านต่อ พอเขาส่ายหน้าตอบคำถามที่ผู้ใหญ่บ้านถามค้างไว้ แน่นอนว่าเจ้าแห่งคำคมถึงกับตบไหล่เขาดังป๊าบพร้อมกับบอกว่ามันต้องแบบนี้! พอผู้ใหญ่ถามว่าเป็นสาวที่ไหนคินก็ส่ายหน้าอีกครั้งก่อนจะมองขึ้นไปชั้นบน เมื่อสีน้ำชะโงกหน้ามาโบกมืออีกรอบ รอยยิ้มของภาคินทำให้ผู้ใหญ่บ้านมองสลับไปสลับมาระหว่างทั้งคู่ก่อนจะตบไหล่ภาคินรัวๆ

“บ๊ะ! บอกแล้วว่าต้องพบรักที่หมู่บ้านเหมือนฝันนี่”

“อยากขอบคุณตัวเองเหมือนกันครับที่มา ไม่งั้นคงไม่ได้เจอ”

“ดีๆ รักกันไว้ รักกันไว้”

ภาคินเลยทำเป็นตบอกตัวเองเหมือนที่ผู้ใหญ่บ้านชอบทำ พอทำพร้อมกันก็หัวเราะออกมาทั้งคู่ เสียงเรียกหน้าประตูทำให้คินต้องขอตัวเพราะท่าทางผู้ใหญ่บ้านน่าจะงานยุ่ง จังหวะที่คินกำลังเดินขึ้นบันไดผู้ใหญ่บ้านก็ตะโกนเรียกเขาอีกครั้ง

“เออ พ่อหนุ่มเมืองกรุงมาครั้งนี้ดูสดใสกว่าครั้งก่อนเยอะเลยนะ มีความรักแล้วมันดีจริงๆ คนหนุ่มๆ สมัยนี้”

ประโยคท้ายๆ เหมือนพูดกับตัวเองซะมากกว่า คินแค่ยิ้มรับพร้อมกับตบอกตัวเองอีกรอบ หลังจากที่เก็บชองเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งสองคนก็เลือกที่จะเดินเล่นในหมู่บ้าน มีชาวบ้านหลายคนที่จำทั้งสองคนได้โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่สีน้ำเคยสอน วิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลังกันใหญ่ ข้าวไข่เจียวดอกอัญชัญพร้อมกับสตรอว์เบอร์รีไร่ลุงพรชัยคืออาหารกลางวันสำหรับวันนี้ ภาคินและสีน้ำนั่งลงตรงเนินเขาก่อนที่สีน้ำจะเล่าเรื่องตอนที่อยู่ที่นี่ให้ภาคินฟัง

“ไม่นึกว่าจะมีวันนี้วันที่เราได้นั่งกินข้าวไข่เจียวอัญชันด้วยกัน”

“ครั้งที่แล้วผมนั่งกินคนเดียว ซึมมากด้วย”

“คนหล่ออกหักแบบที่ผู้ใหญ่บ้านว่า”

หลากหลายเรื่องราวที่ได้คุยกันจะว่าไปมันก็เหลือเชื่อทั้งๆ ที่บางครั้งเราไม่ได้เราสองคนไม่ได้อยู่ห่างกันเลยสักนิด พอคินบอกไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมลิขิตใดๆ แต่พอมันเกิดกับตัวเองก็เริ่มไม่แน่ใจเหมือนกัน สีน้ำเบ้หน้าใส่พร้อมบอกว่าไม่โรแมนติกเลยก่อนจะยกแก้วนมชมพูขึ้นมาชนแก้วกาแฟดำ คุณป้าแม่ครัวที่บ้านพักชงให้กับมือแถมยังจำเขาทั้งสองคนได้อีกต่างหาก

เพราะอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วคินเลยชวนกลับที่พัก แต่อยู่ดีๆ สีน้ำก็ขอตัวไปทักบรรดาคุณครูที่โรงเรียนก่อน ถึงจะงงๆ เพราะเมื่อกี้สีน้ำก็ไปหาทีนึงแล้วแต่คินก็พยักหน้า แต่กว่าจะเดินมาถึงที่พักคินก็แวะถ่ายรูปเรื่อยๆ กว่าจะถึงที่พักฟ้าก็มืดพอดี จังหวะที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดสายตาก็เหลือบไปเห็นโปสการ์ดที่ปักไว้ตรงกลางบอร์ด



-พรุ่งนี้ไปวาดรูปด้วยกันไหม-



ลายมือที่คุ้นเคยแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นของใคร คินหยิบโปสการ์ดแล้วเดินขึ้นมาที่ห้องพัก พอเห็นเจ้าของโปสการ์ดแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้คินก็เลยต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องด้วย แต่ก็แอบเห็นว่าสีน้ำเอาแต่จ้องเขาไม่หยุดคล้ายจะถามว่าเห็นโปสการ์ดที่ติดไว้หรือเปล่า และแน่นอนภาคินคนฉลาดที่สุดในแก๊งลูกเพื่อนแม่ทำตัวเนียนได้สมกับฉายา สุดท้ายสีน้ำก็เลิกสนใจแล้วล้มตัวลงนอน เป็นคืนแรกของเราที่หมู่บ้านเหมือนฝันเลยนอนคุยเล่นกันอยู่สักพัก ก่อนที่จะหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เสียงเพลงที่ดังขึ้นทำให้สีน้ำรีบลุกขึ้นมานั่งบนเตียง แต่ก็รู้สึกงงๆ อยู่เหมือนกันเพราะไม่ได้ตั้งปลุกไว้ แถมไอ้คนที่นอนกอดกันทั้งคืนก็ไม่อยู่ในห้องแล้วด้วย พอจัดการอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแต่ยังไม่เห็นภาคินอยู่ดี อยู่ดีๆ สีน้ำก็นึกขึ้นได้เลยคว้ากระเป๋าแล้วรีบวิ่งลงไปตรงบอร์ดหน้าบันได และมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด



- ตอบรับคำชวนมาวาดรูปด้วยกันนะครับ-



โปสการ์ดที่เป็นลายเส้นดินสอบ่งบอกสไตล์เฉพาะตัวจะมีใครคนไหนได้อีก สีน้ำหยิบโปสการ์ดแล้วเดินไปที่ระเบียงที่พักอีกด้าน ทันทีที่เดินมาถึงภาพตรงหน้าก็ต้องทำให้หยุดอยู่กับที่ ภาคินในชุดกางเกงยีนส์เสื้อยืดสีขาวกำลังเตรียมกระดานวาดรูปพร้อมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ มีทั้งดินสอและสีน้ำ ยืนมองอยู่นานก็ไม่เห็นว่าภาคินจะรู้สึกตัวสักที สีน้ำเลยตัดสินใจเดินเข้าไปหาพร้อมกับสวมกอดจากด้านหลัง

“นึกว่าคินจะไม่เห็นโปสการ์ดซะแล้ว”

“จะมีใครมาติดโปสการ์ดกลางบอร์ดเหมือนคุณอีกล่ะครับ”

“แล้วคินเอาอุปกรณ์มาจากไหน”

“ไปยืมมาจากที่โรงเรียน เดี๋ยวนี้มีพวกอุปกรณ์การเรียนใหม่ๆ เยอะขึ้นมากเลยนะ”

สีน้ำพยักหน้าก่อนจะผละออกมานั่งตรงหน้ากระดานวาดรูป คินเลยนั่งลงข้างๆ แก้วกาแฟดำและถาดสีน้ำที่วางอยู่ทำให้ครูสอนวาดรูปหลุดยิ้มเพราะนึกถึงวันแรกที่เจอกัน พอแห็นเขาจ้องอยู่อย่างนั้นภาคินก็ยื่นหน้าเข้ามาหาพลางถามว่าเขายิ้มทำไม สีน้ำเลยต้องบอกว่านึกถึงวันแรกที่เจอกันเฉยๆ

“เราเคยไม่ชอบกันขนาดนั้นได้ไง”

“คุณสาดสีน้ำใส่ผมทั้งตัวใครจะไปชอบลง หน้าก็มอมแมมเหมือนเด็กประถม”

“เด็กประถมอะไรผมเป็นครูสอนวาดรูป”

“หัวหน้าแก๊งเด็กประถม มีหนวดแมวด้วยผมจำได้”

“น่ารักล่ะสิ”

“ไม่แพ้บอกไว้เลย แบ๊วๆ อะไรแบบนั้นไม่ใช่แนว”

“จริงเหรอ”

“ผมภาคิน บอกเลยว่าแข็งแกร่งที่สุดในแก๊งลูกเพื่อนแม่แล้ว”

สีน้ำตอบรับว่าอ้อยาวๆ ก่อนจะค่อยๆ เขยิบตัวเข้าไปใกล้ๆ คินแล้วซบหน้าลงตรงอกกว้าง คินไม่ได้ขยับตัวไปไหนแค่มองดูว่าสีน้ำจะมาไม้ไหน อยู่ดีๆ เจ้าตัวที่ซบอกอยู่ก็ช้อนตาขึ้นมามอง

“ไม่น่ารักเหรอคะ”



โห..



“รู้เลยใครสอนมา”

“ทับทิม นพจินดาไอดอลของพี่สีน้ำ”

“พอสนิทกันก็ถ่ายทอดวิชาให้เลยนะ เข้าใจความรู้สึกไอ้เบนแล้วว่าทำไมคีตาถึงอัพเลเวลเร็วขนาดนั้น”

“ตอบก่อนไม่น่ารักเหรอคะ”

พอเห็นคินทำท่าทางเฉยๆ สีน้ำเลยเบ้หน้า แล้วทำท่าจะผละออกแต่คินก็คว้าแขนเอาไว้พร้อมกับก้มลงไปหอมแก้มแรงๆ จนสีน้ำร้องอื้อ..จังหวะที่กำลังจะยกมือฟาดใส่ภาคินก็จับมือของสีน้ำไว้ทันก่อนจะก้มลงมาบอกบางอย่างใกล้ๆ

“น่ารักค่ะ”

แน่นอนว่าคนเขินดันเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ทับทิม ภาคินยังบอกอีกว่าอยู่กับไอ้ทิมมาตั้งแต่สามขวบ แผนนี้ใช้ไม่ได้ผลหรอก เขาโดนไอ้ทิมเอาหน้าตาน่ารักทำท่าทางน่ารักมาหลอกใช้เขาตั้งแต่อนุบาล เขารู้ทันหมด สีน้ำอยากจะบ้าตายภาคินคนฉลาดเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ เดี๋ยวต้องไปคิดแผนกับทับทิมและคีตาใหม่ แต่พอมานั่งคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำไปก็หัวเราะออกมา

“ตลกว่ะไม่น่าทำเลย”

“เมื่อกี้ยังคะขา”

“ไม่เล่นแล้ว”

“เอาผมอยู่หมัดขนาดนี้ไม่ต้องไปตามไอ้ทิมมันหรอก ปล่อยให้มันแกล้งไอ้พอร์ชคนเดียวก็พอ”

“อยู่ดีๆ ผมก็ชนะเฉยเลย”

“มัวแต่เล่นยังไม่ได้วาดรูปกันสักที”

ภาคินหยิบดินสอแล้วชี้ไปที่กระดาน สีน้ำเลยกลับไปสนใจกระดานวาดรูปตามเดิมวิวตรงระเบียงของที่พักเป็นมุมที่เห็นพระอาทิตย์กำลังขึ้น ต้นไม้ที่มีสีเขียวขจี ภูเขารายล้อมรอบด้าน สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้สีน้ำยิ้มออกมาก่อนจะค่อยๆ แต้มสีลงบนกระดาษวาดรูปตรงหน้า เพราะมัวแต่ใช้สมาธิกับการวาดรูปสีน้ำเลยไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้ภาคินกำลังนั่งมองอยู่

“น้ำเคยบอกว่าเรายังไม่เคยนั่งวาดรูปด้วยกันจริงๆ จังๆ เลยใช่ไหม”

“ตอนนั้น..ที่ผมเห็นคินกับนาวานั่งวาดรูปด้วยกันผมยอมรับว่าน้อยใจ เราสองคนชอบไม่เหมือนกันคินไม่ชอบสีน้ำผมกลัวว่าคินจะอึดอัด”

“วันนี้เรานั่งวาดรูปด้วยกันแล้วนะ”

“คินไม่เบื่อใช่ไหม”

“อยู่กับแฟนจะเบื่อได้ไงไหน..วาดรูปอะไร”

ภาคินชะโงกหน้าไปดูรูปวาดที่สีน้ำวาด เขาเชื่อในฝีมือของสีน้ำอยู่แล้วรูปภาพตรงหน้าถึงจะยังไม่เสร็จดีแต่ก็สวยมากแล้วสีน้ำชี้พู่กันไปตรงพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นสีแดงอมส้มมันดูสวย สีน้ำเลยยื่นพู่กันให้คินลองระบายดูบ้างคินรับพู่กันนั้นมาก่อนจะค่อยๆ ระบายสีลงไป ท่าทางของภาคินไม่ได้ดูฝืนหรือไม่ชอบเหมือนครั้งก่อนๆ

“ถึงจะหลงตัวเองแต่จ้องกันขนาดนี้ผมก็เขินเป็นเหมือนกันนะ”

“คินยิ้มด้วย ครั้งแรกที่คินระบายสีน้ำจำได้ไหมที่บ้านรุ่งอรุณ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้”

“ตอนนั้นผมไม่ชอบจริงๆ แล้วก็ไม่คิดจะเปิดใจด้วย”

“ตอนนี้ชอบแล้ว?”

“ชอบระบายอย่างเดียวไม่ชอบผสมสี”

เออ คำตอบก็สมเป็นภาคินดี ตอนนี้ก็ยังระบายสีไม่หยุดพอสีหมดมีการเอาพู่กันเคาะจานสีให้เขาผสมสีเพิ่มให้ด้วย ท่าทางสบายเกินสีน้ำเลยอยากจะฟาดใส่ พอระบายสีน้ำจนพอใจคินก็ยื่นดินสอให้อีกฝ่ายลองบ้าง สีน้ำก็รับมาถือไว้เฉยๆ จะว่าไปเขาก็ไม่เคยลองวาดลายเส้นดินสอเหมือนกัน คินลากเก้าอี้ให้สีน้ำเขยิบเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะบอกว่าต้องทำแบบไหนบ้าง ท่าทางตั้งอกตั้งใจของแฟนตัวเองมันดูน่ารักจนคินต้องก้มลงมาจูบขมับเบาๆ แน่นอนว่าคนที่กำลังตั้งใจแรเงาอยู่ยกมือดันหน้าภาคินให้ถอยออกไป

“สีน้ำ”

“ครับ”

“น้ำเคยคิดไหมว่าตัวเองเหมือนสีอะไร”

“ไม่รู้เลย หลายสีมั้งแบบสีรุ้งหลายๆ สีรวมกัน รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปทุกวินาทีสีก็คงจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนกัน”

“น้ำเคยบอกว่าผมเป็นคนแรกที่ไม่รู้ว่าเหมือนสีอะไร”

“นายคนไม่มีสี ผมเคยเรียกคินแบบนี้”

“แล้วตอนนี้ผมก็ยังไม่มีสีเหรอครับ”

สีน้ำวางดินสอในมือลงแล้วหันหน้ามามองภาคินเต็มๆ ตา จะว่าไปก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักเขาก็ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเหมือนสีอะไร ขนาดตอนนี้สีน้ำก็ยังให้คำตอบไม่ได้อยู่ดี แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ตรงไหนเลยสีน้ำยกมือวางลงบนแก้มของคินเบาๆ

“ไม่มีสีแบบนี้ก็พิเศษดี แล้วคินล่ะอยากเป็นสีอะไร”

รูปวาดสองรูปเสร็จเป็นที่เรียบร้อย รูปวาดพระอาทิตย์กำลังขึ้นโผล่พ้นขอบฟ้าของสีน้ำเป็นรูปวาดที่มีสีสันสดใส พระอาทิตย์สีแดงอมส้มที่เราสองคนช่วยกันระบายมันออกมาสวยงามอย่างที่ตั้งใจไว้ และรูปวาดลายเส้นดินสอของภาคินก็เช่นกันแสงและเงาที่ช่วยกันทำให้รูปนี้สวยกว่าที่คิดไว้ ไม่มีคำพูดอะไรอีกคินรั้งให้สีน้ำเอนตัวมาซบลงตรงอกพร้อมกับดูรูปไปพร้อมกัน เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันเป็นสิ่งที่โคตรวิเศษ

โปสการ์ดที่เขียนให้กันในวันที่เรายังไม่รู้จักกัน
หรือจะเป็นกาแฟดำและถาดสีน้ำในวันนั้นที่ทำให้เราได้เจอกันครั้งแรก


และในตอนนี้มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ในอ้อมกอดของภาคินมีครูสอนวาดรูปหน้าแมวซบอยู่ไม่ห่าง รูปวาดตรงหน้าก็เป็นสิ่งที่คินเองก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเหมือนกัน ใครจะไปคิดว่าคนที่มีความชอบต่างกันขนาดนี้จะอยู่ด้วยกันได้ ในวันนั้นที่อกหักปัญหาชีวิตที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดเกือบทำให้ภาคินแทบจะไม่มีที่ให้ไปหรือพักใจแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็ได้เจอกับที่พักพิงสุดท้าย โปสการ์ดที่มีข้อความสั้นๆ ในวันนั้นหรือจะเป็นอาหารเช้าที่ได้รับในทุกๆ วัน ทุกอย่างมันคือความรักและความสบายใจที่ภาคินอยากเรียกว่ามันบ้าน และสัญญาว่าจะไม่หนีไปไหนอีกแล้ว

“สีน้ำ ผมว่าที่จริงแล้วผมเหมือนทุกสี”

“ทุกสีเลยเหรอ”

ผมจะเป็นสีเหลืองที่หมายถึงความสุข
ผมจะเป็นสีฟ้าที่หมายถึงความสดใส
ผมจะเป็นสีเขียวที่หมายถึงความสดชื่น
ผมจะเป็นสีชมพูที่หมายถึงความรัก
ผมจะเป็นสีส้ม สีแดง สีเทา สีดำ สีขาว สีรุ้ง

ภาคินยิ้มให้คนที่เงยหน้าขึ้นมามองก่อนที่คินจะก้มลงไปจูบหน้าผากขาวตรงหน้า สีน้ำหลับตาลงเมื่อคินไม่ยอมผละออกไปไหนยังคงค้างจูบไว้อย่างนั้น รูปวาดสีน้ำและรูปวาดลายเส้นที่วางอยู่คู่กัน โปสการ์ดสองใบที่หนีบไว้ตรงกระดาน กาแฟดำ นมร้อน ถาดสีน้ำ ดินสอ อ้อมกอด จูบที่อบอุ่น

“ทุกสีที่สีน้ำต้องการ”

และผมจะเป็นภาคิน พิชญเดชาของคุณคนเดียว


...........
..................................

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด