ตอนที่ 21 ท่านเจ้า
-เจ้า จักรพรรดิ-
ผมเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่เชื่อในปาฏิหาริย์ ไม่เชื่อเรื่องที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้และไม่เชื่อสิ่งอื่นใดนอกจากตัวของผมเอง ซึ่งโดยพื้นฐานความคิดนี้ทำให้ผมไม่เคยจินตนาการถึงโลกหลังความตายที่อาจจะมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงแค่มโนคติ ไม่มีใครเคยกลับมาบอกเล่าได้ว่าเมื่อละสังขารไปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ ทุกคนที่ยังอยู่จึงวนเวียนกับคำถามที่ไร้คำตอบที่แน่ชัด ต่างคนต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นเพียงความว่างเปล่าที่เมื่อถึงเวลาอันสมควรก็จะดับสูญไป ความคิดของผมมุ่งเน้นไปทางนั้นในขณะที่หลายๆ คนเชื่อเรื่องนรก สวรรค์หรือเส้นทางที่จะเดินกันต่อหลังจากนี้
แต่...หากไม่เคยตายสักครั้งก็คงไม่รู้
ใช่...ไม่มีใครรู้จนกว่าจะพบเจอด้วยตัวเอง
ผมยกมือขึ้นสัมผัสที่กลางอก ไล้นิ้วไปตามรอยแผลเป็นที่ยังคงสร้างความเจ็บปวด แม้จะชินชากับความรู้สึกนี้แต่ในบางครั้งก็ทุรนทุรายเมื่อมันปวดจนเกินจะรับไหว หากถามว่าผมได้รอยแผลนี้มาอย่างไร ผมก็คงให้คำตอบได้อย่างไม่ชัดเจนนักเพราะเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ปรากฏภาพที่แน่ชัดในความทรงจำ ผมจำได้แค่ว่าผมถูกยิง กระสุนนัดนั้นผ่านทะลุกลางอก สร้างบาดแผลสาหัสที่ทำให้เลือดไหลทะลักออกมา ในตอนนั้นแน่ใจแล้วว่าคงจะได้พบคำตอบสักทีว่าโลกหลังความตายเป็นอย่างไร แต่คำตอบกลับไม่มาถึง ความทรงจำในช่วงเวลานั้นหายไป ระยะเวลาอาจจะแค่ชั่วอึดใจหรือยาวนานมากกว่านั้นผมก็บอกไม่ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็ตื่นขึ้นที่ห้องนอนของตัวเองในเช้าวันรุ่งขึ้นราวกับคนที่เพิ่งผ่านฝันร้ายแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยสภาพเหงื่อโซมกาย ทว่าผมกลับรับรู้ได้ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจริงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในความฝัน รอยแดงช้ำกลางอกก็ยืนยันได้เป็นอย่างดี ถึงจะไม่มีเลือดไหลทะลักออกมาแต่ก็ปวดจนแทบทนไม่ไหว
ผมคิดว่าห้วงเวลาของผมคงเริ่มต้นขึ้นจากตรงนั้น...
ในตอนนั้นผมรับรู้ถึงความผิดปกติได้ในทันทีแม้จะก้ำกึ่งว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน ยิ่งเมื่อหันมองรอบห้องนอนก็ยิ่งแน่ใจว่าที่นี่อาจจะเป็นโลกหลังความตายที่หลายๆ คนเฝ้าหาคำตอบก็เป็นได้ เพราะผมไม่มีทางกลับมาที่นี่ สถานที่ที่เป็นทั้งความสุขและความเศร้าใจ ผมปิดตายมันเอาไว้ตั้งแต่ที่เจ้าของอีกคนไม่อยู่ ความทรงจำในที่แห่งนี้มีทั้งที่อยากจำและอยากลืม หลังจากที่ทำใจยอมรับได้แล้วผมก็ลุกขึ้นสำรวจรอบห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องยังถูกจัดวางเหมือนเดิม ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งชิ้นใดวางผิดที่ผิดทางเลยสักชิ้นเดียว ความทรงจำที่มีเพียงแค่ผมที่จำได้ก็ยังคงรายล้อมอยู่ในตอนนี้
อืม...โลกหลังความตายก็คงจะเป็นนรกแห่งความทรมานอย่างที่คนส่วนใหญ่พูดเอาไว้
ผมใช้เวลาทั้งสัปดาห์อยู่ในห้องนั้น ห้องที่เป็นดั่งเครื่องทรมานแต่กลับมีชีวิตชีวาเหมือนครั้งหนึ่งที่ผมเคยอยู่กับเขา ไม่เคยรับรู้ถึงความผิดปกติของห้วงเวลา เพราะผมเอาแต่ให้ความสนใจกับภาพถ่าย ไดอารี่และของแทนใจที่เขาเคยให้ไว้ จนเมื่อเสียงกริ่งประตูห้องดังขึ้นติดๆ กันอยู่สามครั้ง บ่งบอกว่ามีผู้มาเยือน
“ท่านเจ้าครับ เจอตัวคุณชายแล้วนะครับ ผมได้ที่อยู่มาแล้ว” ลุงชันคนสนิทคือคนที่ปรากฏตัวอยู่หน้าประตูและนั่นทำให้คำถามผุดขึ้นในใจของผม
หรือมันจะเป็นแค่ความฝัน เรื่องที่ผมถูกยิงอาจจะไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นรอยแผลเป็นนี้มาจากไหน
“ไม่สบายหรือเปล่าครับท่านเจ้า”
“เปล่า ผมไม่เป็นไร เมื่อกี้ลุงพูดว่าไงนะครับ”
“เจอคุณชายแล้วครับ”
ไม่ใช่เพราะเพิ่งเจอ แต่เพิ่งได้รับอนุญาตให้เจอต่างหาก
“แม่ยอมให้ลุงบอกที่อยู่น้องดินแล้วเหรอ”
บทสนทนานี้คล้ายกับเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ผมจำสีหน้าลำบากใจของลุงชันได้ จำประโยคที่ลุงจะพูดขึ้นต่อจากนี้ได้เช่นกัน
“ครับ นายหญิงท่านยอมแล้ว ท่านบอกว่าเพื่อความสุขของท่านเจ้า ท่านจะไม่ขัดขวาง”
เป็นมุขตลก ผมทราบดี อย่างแม่น่ะหรือจะเห็นแก่ความสุขของผมในเรื่องนี้
“แม่มีแผนอะไร ลุงบอกผมได้มั้ย”
“ขอโทษครับท่านเจ้า”
ผมเข้าใจดีถึงคำขอโทษของลุงชัน การทำตามคำสั่งของแม่อย่างเคร่งครัดก็เป็นเหมือนการต่อชีวิตให้ครอบครัวที่สำคัญของลุง
“ครับ ไม่ต้องบอกผมหรอก ยังไงชีวิตของจี้กับป้าพรต้องมาก่อน ที่จริงผมไม่ควรทำให้ใครต้องเดือดร้อนเลย”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ ทุกคนเต็มใจทำเพื่อท่าน อีกอย่างนายหญิงก็จะให้น้องจี้กลับมาแล้ว คราวนี้นายหญิงใจอ่อนจริงๆ นะครับ ท่านเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ไปหาคุณชายเถอะครับ คงไม่เป็นไรแล้ว”
“แต่ป้าพรยังอยู่กับแม่ ป้าไม่ได้กลับมาด้วยใช่มั้ย”
คำตอบของลุงชันคือความเงียบ ลบคำว่าไม่เป็นไรที่เคยพูดไปจนหมดสิ้น ผมรู้ดีทีเดียวว่าไม่มีสิ่งใดง่าย หากแม่ของผมยังคงไม่เห็นด้วยกับความรักที่ผมมีต่อคนสำคัญคนนั้น คนที่เขาลืมเลือนผมไปแล้ว แต่ผมก็ยังหวังว่าเขาจะจำผมได้
หวังจริงๆ ว่าผมจะได้น้องดินของผมกลับคืนมา
ความปรารถนานี้รุนแรงอยู่ทุกขณะที่หายใจ ก่อเกิดเป็นความเจ็บปวดที่รอยแผลเป็นเมื่อนึกถึง มันเจ็บจนผมหายใจแทบไม่ออก แน่ใจว่าอาจจะตายในอีกไม่วินาทีใดก็วินาทีหนึ่งแต่แล้วความเจ็บปวดก็ทุเลาลง อันตรธานหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผมหอบหายใจในขณะที่นอนแผ่อยู่กลางห้องหลังจากตัวบิดงอด้วยความทรมาน
ผิดปกติ
ผมรับรู้ได้จากสัญชาตญาณ แม้ในโลกนี้จะไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนไปเลยจากที่ตาเห็น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะเป็นปกติเหมือนเช่นที่เป็นมา อย่างน้อยก็รอยแผลเป็นที่สร้างความเจ็บปวดให้ผมนี่แหละที่เป็นความผิดปกติหนึ่งอย่างที่สังเกตเห็นได้ง่าย แต่ผมก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นหรือฟันธงไปอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ในเมื่อลุงชันที่น่าจะยังคงมีชีวิตอยู่มาอยู่ในโลกนี้ด้วย ถ้าหากเป็นโลกหลังความตายของผมจริงๆ ที่แห่งนี้ต้องมีผมอยู่เพียงลำพัง
หลังจากเกิดข้อสงสัยเหล่านั้นผมก็เฝ้าหาคำตอบ ผมเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นมีที่มาที่ไป มีเหตุที่ส่งผลให้มันเกิดขึ้น แล้วผมก็พบคำตอบหลังจากนั้นไม่นาน -- ที่แห่งนี้ไม่ใช่โลกหลังความตายแต่เป็นห้วงเวลาที่เกิดขึ้นก่อนวันเกิดอายุ 23 ปีของผม เป็นเวลาสองปีสองเดือนกับอีกเจ็ดวันนับตั้งแต่วันแรกที่ผมตื่นขึ้นในห้องนี้ ผมแน่ใจก็เมื่อความทรงจำก่อนวันเกิดของผมกลับมาในหนึ่งเดือนให้หลังและพบว่าโลกที่ผมอยู่นี้มีเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ของมันอย่างชัดเจน
เงื่อนไขของมันคือเวลาและกฎเกณฑ์ของมันคือการไม่เปลี่ยนแปลง
ในทุกวันความผิดปกติจะเกิดขึ้นหนึ่งเรื่อง ที่เห็นชัดเจนรองจากรอยแผลเป็นที่ปวดเป็นพักๆ ก็คือวันเวลา วันเวลาที่ไม่เคลื่อนขยับ เวลาที่นาฬิกาข้อมือของผมหยุดเดินที่เวลาห้าโมงสิบเจ็ดนาที ในขณะที่วันที่ก็ไม่เคลื่อนเปลี่ยนแม้สักวัน มันหยุดอยู่ที่วันที่ 17 กรกฎาคม แต่ผมกลับรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าในแต่ละวันนั้นคือวันเดือนปีอะไร ภาพเหตุการณ์ในแต่ละวันก็ทำให้รู้สึกเหมือนเกิดเดจาวู รับรู้ว่าเคยเกิดขึ้น รับรู้ผลลัพธ์ แม้เส้นทางที่เกิดจะแตกต่างแต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยน สุดท้ายแล้วการกระทำหนึ่งที่ส่งผลต่ออีกการกระทำหนึ่งก็ยังคงอยู่ ผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ เพราะต่อให้หลีกเลี่ยงจะไม่ให้เกิดอย่างไรก็จะได้ผลลัพธ์เท่าเดิม อย่างเช่นหากวันนี้ผมรู้อยู่แล้วว่าจะโดนมีดบาด ผมจึงหลีกเลี่ยงที่จะใช้มีด ทว่าสุดท้ายก็เกิดรอยบาดจากสิ่งอื่นอยู่ดี
ผมใช้เวลาอยู่พอสมควรที่จะทำใจยอมรับกับตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง มันยากที่จะเชื่อและก็ยากที่จะคิดหาคำตอบให้กับเรื่องนี้ ผมเอาแต่ตั้งคำถามกับตัวเองเพราะคงไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้ ทุกคนในห้วงเวลานี้ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติเหมือนกับผม พวกเขาดำเนินชีวิตเหมือนเช่นทุกวันที่เคยเป็นมา
ผมหมกตัวอยู่ในห้องเกือบสองเดือนเพราะไม่มีกะจิตกะใจคิดทำอย่างอื่น ความรู้สึกว่าหากได้ตายไปจริงๆ คงจะดีกว่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของผมไม่หยุดหย่อน ความปรารถนาที่อยากเจอคนสำคัญคนนั้นมอดไหม้เมื่อจำได้ว่าความทรงจำก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไร ผมปล่อยเวลาให้เลยผ่าน วันแล้ววันเล่าที่ทำได้แค่ดูรูปถ่ายและหวนคิดถึงภาพความสุขที่เคยเกิดขึ้นในห้องนี้ จนเมื่อมีข้อความถูกส่งเข้ามา
ข้อความจากเพื่อนคนสนิทที่เป็นความสบายใจของผม
Gee : ท่านจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกนานแค่ไหนท่านเจ้า
Gee : จะนอนแผ่อยู่กลางห้องไปอีกนานแค่ไหน เวลามันไม่คอยท่านหรอกนะ
ผมแน่ใจในทันทีว่านี่อาจจะไม่ใช่จี้ที่ผมรู้จัก แน่ใจโดยไม่ต้องตั้งคำถามใดๆ ขึ้นมาเลย
Jao : อยู่ตรงไหน
Gee : ข้างๆ ท่าน
Jao : นานแค่ไหนแล้ว
Gee : ตลอดเวลานั่นแหละ
ความเศร้าเกิดขึ้นในใจแทบทันที ต่อให้ไม่ถามก็รู้ได้ว่าจี้ที่พูดคุยกับผมในตอนนี้อาจจะไม่มีตัวตนหรืออาจจะมีตัวตนอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่ที่แห่งนี้ ผมรับความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดจึงไม่ได้แปลกใจหากจะมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นอีก แต่ก็ยังอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้เพราะบางเรื่องต่อให้เข้าใจก็ยากที่จะรับไหว
Gee : อย่าทำหน้าเศร้าเลยท่านเจ้า
Gee : ท่านควรจะมีความสุขได้แล้วนะ
Jao : จะหาความสุขมาจากไหนจี้ ในเมื่อคนที่เป็นความสุขของกูเขาหายไปแล้ว
Gee : เพราะแบบนี้ท่านถึงอยากกลับมาไม่ใช่เหรอ
Gee : ท่านปรารถนาให้เขาจดจำท่านได้ ปรารถนาให้เขาเลือกท่าน
Gee : ทั้งที่รู้ดีว่าความรักของท่านเป็นไปไม่ได้ แต่ท่านก็ยังปรารถนา
Jao : แต่กูรู้ว่ามันไม่ได้แล้ว กูทำอะไรไม่ได้เลย ความสุขของกูเขาไปเป็นความสุขของคนอื่นแล้ว
ความทรงจำนี้ทำให้ผมทรมาน กลางอกของผมเจ็บปวดขึ้นอีกครั้งแต่มันไม่ได้ทุรนทุรายเหมือนก่อนหน้า ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นความเจ็บที่ไม่ก่อให้เกิดความสุข กลับนำพาเอาความรู้สึกแย่เข้ามาในจิตใจ
Gee : ณ ที่แห่งนี้ ท่านทำได้
Gee : ห้วงเวลานี้เป็นของท่าน ความปรารถนาจะเป็นจริงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่าน
Gee : ที่แห่งนี้ท่านเป็นเจ้าของ แต่ถึงแม้จะเป็นเจ้าของ ท่านก็คงรู้เงื่อนไขและกฎเกณฑ์ของมันดี
Jao : ก็พอรู้และก็รู้ว่าทำอะไรไม่ได้ไงจี้ กูเคยลองแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน กูจะกลับมาทำไมถ้าต้องกลับมาทรมานเหมือนเดิม
Gee : บางอย่างไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นั่นเพราะเหตุไม่เปลี่ยน หากท่านเปลี่ยนเหตุ ผลที่ตามมาก็จะเปลี่ยนตาม ผลลัพธ์น่ะขึ้นอยู่กับการเลือกกระทำ เพราะฉะนั้นในห้วงเวลานี้ท่านต้องหาเหตุแห่งความทุกข์ของท่านให้เจอ
Jao : แล้วถ้าหาไม่เจอล่ะจี้
Gee : ท่านจะติดอยู่ในห้วงเวลานี้ จะทรมานอยู่ที่นี่ ไปไหนไม่ได้ แม้แต่ความตายก็ไม่ใช่อิสระของท่าน
Jao : แล้วมึงจะอยู่กับกูมั้ย
Gee :
ต่อให้ไม่ได้ตอบอย่างชัดเจนแต่นั่นก็เป็นคำยืนยันแล้ว จี้น่ะเป็นแบบนี้เสมอ เป็นเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างและเสียสละเพื่อความสุขของผมมาโดยตลอด
Jao : ไม่อยากให้มึงติดอยู่ที่นี่กับกูหรอกจี้ อยากให้มึงเป็นอิสระสักที
Jao : กูจะหาให้เจอนะ ความสุขของกูน่ะ กูจะตามกลับมาเอง
Gee : หวังว่าท่านจะเจอกับความสุขและสมปรารถนา
Jao : แต่คงไม่มีอะไรง่ายหรอกใช่ไหม ถ้าเงื่อนไขของที่แห่งนี้คือเวลา กูก็คงมีเวลาจำกัดเหมือนกัน
Gee : ใช่ ท่านมีเวลาจำกัด
Jao : ถ้าตามที่กูเข้าใจ กูต้องทำให้ได้ก่อนวันเกิดของกูใช่ไหม กูมีเวลาสองปี สองเดือนกับอีกเจ็ดวันหรือเปล่า ถ้านับจากวันที่ตื่นขึ้นมาในที่แห่งนี้
Gee : ไม่ใช่
Gee : แค่สองปี
Gee : ตราบใดที่ยังไม่เป็นไปตามที่ท่านปรารถนา ท่านมีเวลาแค่สองปีเท่านั้น อย่าให้เกินกว่านี้
Jao : ทำไม
Gee : เพราะห้วงเวลาของท่านจะหมดลง เวลาจะเริ่มเดินต่อไปจนถึงวันนั้น
Jao : กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
Gee : ท่านต้องไม่เจอกับเหตุที่ชักนำให้เกิดเรื่องในวันนั้นท่านเจ้า เพราะห้วงเวลาของท่านจะถูกหยุดลงแล้วพาท่านไปถึงวันที่ท่านต้องตาย ท่านคงจำได้ว่าหลังจากสองปีที่ท่านพยายามในคราวนั้น ท่านเจอกับใคร
Jao : จันทร์เจ้า
Gee : ใช่ นั่นเป็นเหตุเพียงอย่างเดียวที่ไม่ได้อยู่ในห้วงเวลาของท่านเพราะเป็นเหตุที่ชักนำให้ท่านมาอยู่ตรงนี้ ท่านเปลี่ยนเหตุนี้ไม่ได้ นั่นแหละคือกฎเกณฑ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
Gee : ท่านต้องให้สัญญาว่าจะกลับมาก่อนที่จะครบสองปี กลับมาในที่ที่ท่านตื่นขึ้นมาครั้งแรกเพื่อทำความปรารถนาของท่านให้เป็นจริงไม่ว่าจะต้องหมุนวนสักกี่ครั้งก็ตาม
Jao : กี่ครั้งก็ได้เหรอจี้
Gee : กี่ครั้งก็ได้ ถ้าท่านทำตามสัญญา แต่ในแต่ละครั้งมันก็มีสิ่งที่ท่านต้องจ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนกับเวลา
Jao : ก็ไม่คิดว่ามันจะง่ายนักหรอก แล้วอะไรที่กูต้องจ่ายเพื่อแลกเปลี่ยน
Gee : ท่านหาคำตอบเอาเองดีกว่าท่านเจ้า บอกไปตอนนี้ท่านก็คงไม่เข้าใจ
ในตอนนั้นผมเก็บงำความสงสัยไว้โดยไม่ตั้งคำถามเซ้าซี้ บางอย่างที่ผมต้องจ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนกับเวลาคงไม่ใช่เงินทองของมีค่า แต่คงเป็นบางอย่างที่ผมสามารถจ่ายได้ ผมคิดแค่เท่านั้น
หลังจากที่คุยกับจี้ ในวันรุ่งขึ้นผมก็ไปพบกับคนสำคัญของผมอีกครั้งตามที่อยู่ที่ลุงชันให้ไว้และเหมือนครั้งแรกที่เหตุการณ์นี้เริ่มต้น เขาไม่รู้จักผม น้องดินของผมจำผมไม่ได้อีกเช่นเคยและผมพบว่ามันยากมากจริงๆ ที่จะทำตัวเหมือนคนที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก มันยากเพราะผมคือคนที่มีความทรงจำร่วมกับเขา ในขณะที่เขาเห็นผมเป็นเพียงคนแปลกหน้า ผมอดทนต่อความเจ็บปวดได้เพียงไม่นานก็ต้องยอมรับว่าผมไม่มีทางทำให้ความปรารถนาของตัวเองเป็นจริงได้
ในครั้งแรกนั้นจบไม่สวยเลยสักนิด ผมจำได้ดีทีเดียวว่าเขาไม่ชายตามองผมเลย ธราคนที่ผมเจอนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้วและเขาก็รักคู่หมั้นของเขามาก เขามั่นคง ไม่ไขว้เขว แม้ผมจะหน้าด้านและพยายามเป็นมือที่สามก็ไม่ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ของผมกับเขาก้าวหน้า เขาเกลียดผมมากเสียด้วยซ้ำที่เข้าไปทำให้เขาและคู่หมั้นผิดใจกัน แม่ดาวเภสัชฯ คนสวยคนนั้นร้องไห้น้ำตานองหน้าทุกทีที่ผมต่อว่าเธอว่าหน้าไม่อายที่มาแย่งแฟนของผม ทั้งที่ในตอนนั้นผมถูกมองว่าเป็นผู้แอบอ้างมากกว่าจะได้เป็นตัวจริง
ตลกดีเหมือนกัน...มันเหมือนเทปที่กรอซ้ำ เนื้อหาเหมือนเดิมแต่ความเจ็บปวดของผมเพิ่มมากขึ้น มันมากกว่าครั้งเดิมหนึ่งเท่าตัว ผมจึงต้องยอมรับความพ่ายแพ้และกลับไปเริ่มใหม่ กลับไปหมุนวนเวลาที่ได้ทำผิดพลาดเพื่อให้ความปรารถนาของผมเข้าใกล้ความจริงอีกครั้ง แต่การหมุนวนในครั้งแรกไม่ได้ทำให้ผมรู้เลยสักนิดว่าผมต้องจ่ายสิ่งใดเพื่อแลกเปลี่ยนกับเวลา ผมกลับเข้าสู่วังวนเดิมแต่ครั้งนี้ธราไม่ได้มีคู่หมั้น เขาเป็นหนุ่มเพลย์บอยที่รักสนุก ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า หลับนอนกับพวกเธอคนแล้วคนเล่า โดยที่ผมทำได้แค่มองอยู่ห่างๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็มีคนที่อยู่เคียงข้าง ดาวเภสัชฯ คนสวยคนเดิมที่เป็นแฟนตัวจริงของเขา และผมพบว่าในครั้งนี้ยากกว่าครั้งก่อนเพราะเขาตั้งท่ารังเกียจผมตั้งแต่แรกเห็น แม้จะจำผมไม่ได้ แต่ความรู้สึกเกลียดนั้นฝังอยู่ในใจของเขา ครั้งที่สองจึงเป็นอีกครั้งที่ผมซมซานกลับมายังจุดเริ่มต้น และในครั้งที่สามผมก็เริ่มรู้ตัวว่าสิ่งใดคือสิ่งแลกเปลี่ยน
ความทรงจำของผมเพิ่มมากขึ้นทุกครั้ง ความเจ็บปวดก็เพิ่มมากขึ้นตาม เพราะตัวผมไม่ได้ถูกรีเซ็ตไปพร้อมเวลา สิ่งที่ยังคงค้างนั้นสร้างความทรมานให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะที่คนในห้วงเวลากลับไม่เหลือความทรงจำเดิม พวกเขาเริ่มต้นด้วยความทรงจำใหม่ มีชีวิตราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นใครในความสัมพันธ์ที่เคยได้สร้างความทรงจำร่วมกันต่างก็ลืมเลือนผมกันทุกคน มีแค่ความรู้สึกเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ยังคงติดค้างอยู่กับพวกเขา แต่ยกเว้นธรา คนสำคัญของผม ทุกครั้งที่ถูกรีเซ็ตสิ่งที่ยังคงเดิมสำหรับเขาก็คือความรู้สึกเกลียดที่มีต่อผม ไม่ว่าจะเริ่มต้นสักกี่ครั้ง ความปรารถนาของผมก็ไม่เคยเข้าใกล้ความจริง
ในจำนวนการรีเซ็ตทั้งหมดเก้าสิบเก้าครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่เขาเลือกผมแม้สักครั้งเดียว ผมไม่เคยมีตัวตนอยู่ในความทรงจำ ไม่มีสิทธิ์แม้จะได้อยู่ในสายตา ธราที่แตกต่างกันในแต่ละครั้งต่างก็เลือกที่จะหันหลังให้ผม
Gee : ท่านเจ้า ยอมรับความจริงได้หรือยังท่าน
จี้มักจะถามคำถามนี้กับผมเมื่อเวลาหมุนย้อนกลับ แต่ผมตอบปฏิเสธทุกครั้ง ความปรารถนาของผมยังไม่เปลี่ยน ผมจึงไม่สามารถยอมรับได้ จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง การที่ไม่ใช่คนที่ถูกรักก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากเหลือเกิน
Jao : กูยังไหวน่า มันไม่เจ็บไปมากกว่านี้แล้วล่ะจี้
Gee : รู้ แต่พอเถอะนะท่าน ยอมรับได้แล้ว อย่าทรมานไปมากกว่านี้เลย
Gee : ท่านไม่ได้ยิ้มมานานเท่าไรแล้วนะท่านเจ้า