น้องมันบ้า หาเรื่องฟันพี่
บทที่ 3
คำท้าทายจากพี่เมฆทำให้ของขึ้น
คนอย่างไอ้มะตูมไม่ชอบความคลุมเครือครับ
การให้โอกาสพี่เมฆด้วยการเคลียร์ปัญหาให้จบอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ดังนั้นผมจึงฝืนตื่นนอนตั้งแต่เช้าแล้วแว้นไป
หลับรอที่ใต้หอของพี่เมฆ ผมรอจนกระทั่งมองเห็นเป้าหมายเดินออกจากหอตรงไปที่รถยนต์ของเขา
“พี่เมฆ”
ผมบุกเข้าไปที่ประตูด้านข้างคนขับทันทีที่พี่เมฆก้าวเข้าไปนั่งแล้ว ผมรีบเชิญตัวเองเข้าไปนั่งข้างพี่เมฆโดยที่เจ้าของรถยัง
ตั้งตัวไม่ทัน ผมมั่นหน้าพอที่จะทำไม่รู้ไม่ชี้ใส่พี่เมฆที่มองผมตาเขียว
“ลงไป”
“คุยกันก่อนดิพี่”
“กูจะรีบไปเรียน วันนี้กูยังอารมณ์ดีพอที่จะไม่ถีบมึงร่วงรถไอ้มะตูม เพราะฉะนั้นมึงลงไปซะ”
“พี่รีบก็ขับรถไปดิ ผมอาศัยไปด้วยน้ำมันรถพี่ก็ไม่ได้เผาผลาญเพิ่มสักเท่าไหร่หรอก ยังไม่รีบไปอีก มีเรียนคาบเช้าไม่ใช่เหรอ”
ไอ้เรื่องหน้าด้านไว้ใจไอ้มะตูมเหอะ
พี่เมฆมองผมตาขุ่น แต่เพราะนี่ใกล้จะถึงเวลาเรียนคาบแรกแล้วก็เลยจำใจขับรถออกจากหอโดยมีผมติดรถมาด้วย
“พี่เมฆ”
“หุบปาก”
“ถามจริงเหอะ ถ้าไม่นับเรื่องที่ผมเป็นเพื่อนไอ้ว่านซึ่งมันเป็นแฟนพี่ริวที่พี่ไม่ชอบหน้า แล้วก็เรื่องที่ผมกวนตีนพี่บ้างในบาง
ครั้งเนี่ย ทำไมพี่ถึงเกลียดขี้หน้าผมนักวะ”
พี่เมฆอึ้งไปเหมือนกันเมื่อเจอคำถามของผม แม้ว่าสายตาของเขาจะยังจ้องไปยังถนนข้างหน้า
“ผมทำอะไรผิดวะพี่เมฆ ถึงแม้ว่าจะมาเข้าชมรมเพราะกะหลีสาว แต่พอสาวหนีไปที่อื่นผมก็ยังอยู่ต่อนะครับพี่ แถมยังตั้งใจ
ฝึกไอ้ที่พี่สอนทุกอย่างอะ เหรียญทองแดงกีฬามหาลัยไม่ใช่ได้มาเพราะฟลุคนะพี่”
สีหน้าครุ่นคิดของพี่เมฆทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาบ้าง บางทีคำพูดของผมอาจจะไปสะกิดต่อมโพสเทสแกรนด์ของพี่เมฆก็ได้
(หือ โพสเทสแกรนด์คือต่อมลูกหมากเหรอ ต่ายห่ะ นึกว่าต่อมใต้สมองมาตั้งนานแล้วกู)
“กูบอกให้มึงหุบปากไอ้มะตูม”
เสียงเหี้ยมชัดถ้อยชัดคำ พี่เมฆกัดฟันกรามจนเห็นชัดอยู่ตรงแนวคาง ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ทำใจดีสู้เสือ
ตายเป็นตายโว้ย มะตูมสู้ๆ
“แล้วไอ้เรื่องวันนั้นน่ะมันเป็นเพราะเหล้าหรือเปล่าครับ ใช่ว่าผมจงใจจะกดพี่สักหน่อย ผมก็เมาพี่ก็เมา แล้วพี่น่ะเมาแล้วโคตร
เรื้อนมากอดผมอีกต่างหาก เรียกผมว่าสังข์ทองนู่นนี่นั่น โหพี่ จู๋ผมน่ะของจริงไม่ใช่ปลัดขิกถูกจู่โจมมากๆมันก็ลุกทำงานนะครับ แต่จะว่า
จริงๆแล้วเราก็ฟินด้วยกันแบบวินๆทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ พี่น่าจะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ...”
“ไอ้เหี้ยมะตูม!”
พี่เมฆหันขวับมาทันที ตาแม่งดุอย่างกับเสือจนผมสะดุ้งงับปากตัวเองแทบไม่ทัน
“พี่เมฆ มองถนนสิ...”
“ถ้ามึงพูดอีกคำเดียว กูจะฆ่ามึง”
“เหวอ พี่เมฆ ระวังมอไซค์!”
โครมมม!!
ไม่ทันแล้วครับท่านผู้ชม
เพราะมัวแต่หันหน้ามาด่าผมพี่เมฆไม่ทันได้มองรถมอเตอร์ไซค์ที่เลี้ยวซ้ายตีโค้งกว้างออกมาจากซอย และเพราะความตกใจ
พี่เมฆเลยหักพวงมาลัยหลบ ผลคือไม่ได้ชนไอ้มอเตอร์ไซค์คันที่ว่าแต่รถกลับพุ่งไปชนเกาะกลางถนนแทน ไอ้คนขี่มอเตอร์ไซค์บิดรถ
หนีไปแล้วตอนที่ผมโงหัวขึ้นมา ดีที่ว่าคาดเข็มขัดนิรภัยหัวเลยไม่ไปชนกับกระจก
“โอ๊ย!”
“พี่เมฆ!”
เสียงครางเบาๆของคนที่นั่งข้างๆเรียกสติของผมกลับคืนมาได้ ผมหันไปมองพี่เมฆอย่างตกใจ พี่เมฆกัดฟันครางอ๋อยๆเมื่อ
หน้าผากกระแทกคอนโซลรถและแขนขวากระแทกกับประตูรถที่ยุบเข้ามา
“เป็นไงบ้างพี่”
คราวนี้ผมนึกเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆเมื่อเห็นเลือดที่ขมับของใบหน้าหล่อๆ พี่เมฆใช้มือซ้ายประคองแขนขวาตัวเองด้วยความ
เจ็บปวด
“อย่ามายุ่งกับกูอีก ไอ้ตัวซวย”
เจ็บขนาดนี้พี่เมฆยังหยิ่งในศักดิ์ศรีจนผมโมโหตวาดใส่เขาบ้าง
“พี่โยนศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ทิ้งไปก่อนเหอะน่า เจ็บจะตายห่าอยู่แล้ว ย้ายที่นั่งเดี๋ยวนี้ ผมจะขับรถพาพี่ไปโรงพยาบาล”
ผมพาพี่เมฆมาถึงห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในอีกสิบนาทีต่อมา ดีที่ว่ารถของพี่เมฆไม่ได้เป็นอะไรมาก
นอกจากประตูฝั่งคนขับบุบเล็กน้อย พอมาถึงพวกพี่ๆพยาบาลห้องฉุกเฉินก็รีบพาพี่เมฆเข้าไปทันที ส่วนผมก็ต้องติดต่อเรื่องเอกสารให้พี่
เมฆ ระหว่างนั้นผมก็รีบโทรไปหาพี่พลเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าเกิดอะไรขึ้น พี่พลตกใจมากรีบมาที่โรงพยาบาลทันที
“ไอ้เมฆเป็นไงมั่ง”
พี่พลถามเมื่อเขามาถึงและเจอกับผมที่นั่งรอพี่เมฆอยู่ด้านนอกห้องฉุกเฉิน ผมส่ายหน้ากับพี่พลแทนคำตอบ รู้สึก
กระวนกระวายและเป็นห่วงพี่เมฆอย่างไม่น่าเชื่อ
เราทั้งคู่ผุดลุกขึ้นยืนเมื่อพี่เมฆถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยรถเข็นนั่ง ดวงตาของพี่เมฆดูอิดโรย ที่ขมับมีผ้าก็อซปิดอยู่
และแขนขวาของเขามีเฝือกสีขาวหุ้มอยู่
“ญาติคุณเมฆ กุลพงศ์ค่ะ”
พี่พยาบาลที่เดินตามมาประกาศเรียก ผมรีบก้าวเข้าไปแสดงตัว
“ผมครับ ผมเป็นเอ่อ..ญาติ”
พี่พยาบาลส่งประวัติการรักษาของพี่เมฆให้ผมพร้อมกับอธิบายให้ฟัง
“หัวแตกเย็บสามเข็ม อย่าให้แผลเปียกน้ำนะครบเจ็ดวันมาตัดไหม ส่วนแขนส่งไปพบหมอกระดูกแล้วจ้ะ กระดูกไม่ได้หักแต่มี
รอยร้าวนิดเดียว คุณหมออยากให้พักแขนไว้ก่อนก็เลยใส่เฝือกให้กระดูกติดสักเดือนนึง ระหว่างนี้คอยดูอาการของคนไข้ด้วย ถ้าปลาย
นิ้วซีดบวมหรือว่าปวดมากก็พามาโรงพยาบาลนะ นี่ใบสั่งยาไปเบิกที่ห้องยาก่อนกลับ พี่เพิ่งจะฉีดยาแก้ปวดให้ พาเขาไปนอนพักก่อน
เถอะ”
พี่พยาบาลพูดจบก็เดินจากไป พี่พลมองพี่เมฆอย่างเห็นใจและเป็นห่วง
“ไงล่ะมึง ซวยชิบหาย ไปทำบุญอาบน้ำมนต์ล้างซวยบ้างนะ”
พี่พลพูดขึ้นมาเกริ่นนำให้พี่เมฆมองผมด้วยความโมโห
“ไม่ต้องอาบน้ำมนต์เหี้ยไรหรอก แค่มึงถีบไอ้เด็กเวรนี่ไปจากชีวิตกูก็พอแล้ว”
คราวนี้ผมหัวหดจริงๆครับ ได้แต่ส่งยิ้มแหยสู้ตาดุของพี่เมฆ พี่พลถอนหายใจแล้วเอ่ยถามเพื่อนสนิท
“แขนมึงใส่เฝือกแบบนี้จะอยู่หอคนเดียวไหวเหรอ กลับไปอยู่บ้านมึงก่อนไหม”
“กูไม่กลับ” พี่เมฆปฏิเสธทันควัน
“กูจะอยู่หอ”
“แต่มึงกำลังเจ็บ หัวมึงแตก แขนมึงก็หัก”
“แค่กระดูกร้าวไม่ใช่ใกล้ตายสักหน่อย”
“แล้วมึงจะอยู่ได้ไงคนเดียว ไหนจะขี้จะเยี่ยวจะแดกโน่นนี่นั่นอีกล่ะไอ้เมฆ”
ผมมองพี่พลกับพี่เมฆยืนเถียงกันอยู่พักหนึ่ง ดูท่าทางพี่เมฆจะรั้นไม่ยอมกลับไปบ้านด้วยสาเหตุอะไรผมก็ไม่รู้หรอก แต่
อะไรบางอย่างแวบเข้ามาในหัว
“ผมจะไปอยู่กับพี่เมฆเอง”
.....
เงียบ...
ทำไมต้องมองหาผมพร้อมกันแบบนี้ล่ะฮะ ไม่เข้าใจเลย ผมมันเด็กไร้เดียงสา
ผมตีหน้าเหรอหราขณะที่พี่พลค่อยๆเบะปากยิ้มออกมา พี่พลยกมือตีไหล่ผมแปะๆ
“เออ ทำไมกูมองข้ามมึงไปได้นะไอ้มะตูม”
“เลิกเสือกเรื่องของกูเสียทีได้ไหม”
พี่เมฆกัดฟันขู่กรอด เขาไม่กล้าเสียงดังมากเพราะคงอายคนที่เดินผ่านไปมาในโรงพยาบาล ผมยักไหล่อย่างไม่แยแสคำด่า
ของเขา
“อย่าตีค่าน้ำใจของผมเป็นคำว่าเสือกสิครับพี่ พี่จะหาใครที่เสียสละตัวเองไปดูแลพี่อย่างผมได้ล่ะ”
“ใช่ ไอ้เมฆ มึงก็อย่าทิฐิมานะให้มันมาก แวร์แวร์อิสแวร์แวร์ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มึงกับไอ้มะตูมก็ตกร่องปล่องชิ้นกันไปแล้วนี่”
กระทืบเท้าห้ามปากพี่พลไม่ทัน พี่เมฆเบิกตากว้างเมื่อได้ยินพี่พลพูด หน้าขาวเปลี่ยนสีแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
“มึงรู้เรื่องนี้ได้ไงไอ้พล”
สะดุ้งเฮือกกันทั้งพี่ทั้งน้องสิครับ พี่พลยกมือเกาหัวยิ้มแหยยกมือเขกหัวผมแก้เขิน
“ก็ไอ้มะตูมมันกลุ้มใจไง มันเลยมาปรึกษากูว่าจะทำไงให้มึงหายโกรธ น่า มึงก็อย่าคิดมาก ให้ไอ้มะตูมมันไปอยู่เป็นเพื่อนที่
หอก็ดีแล้ว หรือว่ามึงอยากจะกลับไปอยู่บ้าน”
พี่พลตัดบทเป็นคำตอบสุดท้ายก่อนจะบอกให้ผมไปเบิกยาให้พี่เมฆ ส่วนพี่พลก็เข็นรถเข็นของพี่เมฆไปที่รถยนต์ ไม่รู้ว่า
ระหว่างนั้นพี่พลพูดอะไรกับพี่เมฆ แต่เมื่อผมหิ้วถุงยากลับมาถึงรถพี่เมฆที่นั่งเหยียดขาอยู่ด้านหลังก็หลับตานิ่งและไม่ได้ว่าอะไรอีกเมื่อ
พี่พลขับรถไปส่งที่หอพัก
ในที่สุดผมก็หอบข้าวของมาอยู่ที่หอพักเลิศหรูอลังการดาวล้านดวงของพี่เมฆ
โทรศัพท์ไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ไอ้ว่านฟัง มันด่าจนผมหงอยว่าผมเป็นต้นเหตุให้พี่เมฆบาดเจ็บ ไอ้เพื่อนบังเกิดเกล้าย้ำนัก
ย้ำหนาว่าไปอยู่กับพี่เมฆก็ต้องดูแลพี่เมฆให้ดี อะไรวะ นี่เพื่อนผมกำลังแปรพักตร์ไปอยู่ข้างพี่เมฆหรือไง
นั่งรถกลับมาพร้อมพี่พล ผมก็แว้นมอเตอร์ไซค์กลับไปหอพักในมอแล้วยัดเสื้อผ้าและหนังสือใส่เป้ก่อนจะแว้นกลับมา
ระหว่างนี้พี่พลรับหน้าที่อยู่เป็นเพื่อนพี่เมฆจนกระทั่งผมไปถึง เมื่อเปิดประตูเข้าห้องก็เห็นเพื่อนสนิทสองคนคุยกันด้วยสีหน้าเครียด
“แขนเดาะใส่เฝือกไปอีกเป็นเดือนแบบนี้ แล้วไอ้เรื่องแข่งชิงแชมป์ประเทศไทยทำไง”
พี่พลมองพี่เมฆอย่างเห็นใจ
“มึงซ้อมไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้ถอดเฝือกทันแต่มันกระชั้นชิดเกินไปที่จะลงแข่ง”
“แม่งเอ๊ย!”
พี่เมฆสบถอย่างหงุดหงิด ใบหน้าหล่อเครียดจัดจนคิ้วแทบจะชนกันอยู่แล้ว
“แต่ก็สมัครจนได้โควตาลงแข่งแล้วนะ ถ้ามึงจะสละสิทธิ์โควตาก็น่าเสียดาย”
พี่พลที่มีตำแหน่งรองประธานชมรมเองก็เครียดไม่แพ้กันกับเรื่องการแข่งขันเทควันโดที่จะจัดในอีกสองเดือนข้างหน้า
“กูอุตส่าห์อยากจะได้เหรียญอีกสักเหรียญก่อนเรียนจบ ชีวิตกูนี่มันจะเหี้ยอะไรขนาดนี้วะ”
“มีอยู่อีกทางที่จะรักษาโควตาไว้”
พี่พลเสนอความเห็น
“หาใครมาแข่งแทนมึง”
พี่เมฆนิ่งคิด ใบหน้าหล่อเหลาที่มีผ้าก็อซแปะหัวเงยหน้ากรอกตาไปมาก่อนจะสบตากับพี่พลเหมือนรู้กัน
“กูไม่ยอม”
“มันเป็นคนเดียวนะไอ้เมฆที่ลุ้นขึ้นที่สุด”
ใครวะ?
อยากรู้ว่าพูดถึงใครที่ทั้งคู่จะให้แข่งแทนพี่เมฆ
“แต่ว่า...”
“แยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องส่วนรวมหน่อย มันถึงคราวจำเป็นแล้วนะ”
พี่เมฆอึ้งกับคำพูดเตือนสติของพี่พล เขาก้มหน้าเม้มปากแน่นจนทั้งห้องเงียบงัน และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งพี่เมฆก็
ถอนหายใจยาวยืดเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง อยู่ๆเขาก็หันขวับมามองหน้าผม
“ไอ้เหี้ยมะตูม”
มะตูมเฉยๆนะ ตอนพ่อตั้งชื่อให้ไม่เห็นบอกว่ามีเหี้ยเลย
“เพราะมึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้กูเป็นแบบนี้ มึงต้องรับผิดชอบ”
เปิดมีดดดดด
เหมือนกูยืนลุ้นอยู่ที่ศาลไคฟงเลยวุ้ย
“มึงต้องทำน้ำหนักขึ้นแล้วมาแข่งแทนกู”
มีต่ออีกนิด...