[SP1] EP.36 After Acker
‘คร่อกกกก ฟี้’
“....”
ผมถอนหายใจหนัก ๆ ให้กับเสียงกรนดังกล่าวที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีท่าจะเบาลง หลังคนข้าง ๆ ผมนอนหลับไป มือหนา ๆ สองข้างและขาหนัก ๆ อีกข้างพาดผมเอาไว้ด้วยความรัก(?) เหมือนจะชินแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ชินอะไรมากเท่าไหร่ ตาผมจับจ้องไปที่ขนคิ้วหนา ๆ ทั้งสองข้างของเขา
ผมอมยิ้มกับตัวเอง อดไม่ได้ที่จะยกมือมาลูบหัวเขาเล่น ปลดปลงกับเสียงกรน แล้วคิดในใจว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะลองไปหาซื้อที่อุดหูสำหรับใช้เวลาตัวเองอยากจะเข้านอน มือก็บีบแก้มตัวต้นเหตุที่ทำเอาผมนอนไม่หลับ เจ้าตัวส่ายหน้าหนีผมไปมาทั้ง ๆ ที่หลับลงไปลึกมาก ๆ แล้ว
ทรอยเป็นคนนอนกรน และผมมั่นใจว่าเรื่องนี้น่าจะไม่มีใครบอกกับเขา
เอาเป็นว่าเสียงกรนนี้สามารถทำให้ผมเป็นไมเกรนได้สบาย ๆ เรื่องนี้ผมหลับรู้ตั้งแต่ช่วงที่ไปนอนกับเขาที่ห้องแถวมหาวิทยาลัยเจ้าตัวนั่นแหละ แรก ๆ ผมก็พยายามทำความเข้าใจ และก็พยายามพลิกตัวเขาบ่อย ๆ เวลาที่เขานอนหงายก็จะจับตะแคงให้หายนอนกรน แต่หลัง ๆ มาผมเองทำงานเสร็จก็หนักมากพอแรงแล้ว พอมาเจอเสียงดัง ๆ รบกวนอีกก็เหนื่อยเหมือนกันครับ
ผมคิดว่าผมน่าจะบอกเรื่องนี้ให้เจ้าตัวรับรู้ แต่อาจจะหาสักวันใดวันหนึ่งที่มีโอกาสเหมาะ ๆ จะบอกเขาแบบไม่น่าเกลียดเกินไป ผมคิดในใจพร้อมพยายามข่มตาให้ตัวเองนอนหลับ
เกือบสองวีคแล้วหลังจากวันนั้นที่น้องมันแมสเซจให้ผมไปหาที่ห้อง หลังจากวันนั้นจบลง ผมและทรอยก็เข้าใจกันมากขึ้นในหลาย ๆ ระดับ เข้าใจแล้วว่าท่าทีแข็งกร้าวที่เห็นมาตลอดคือการแสดงออกเพื่อปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวด ยิ่งคิดแบบนั้นผมยิ่งเอ็นดูเจ้าเด็กนี้ ที่พยายามคิดถึงคนอื่นจนหลาย ๆ ครั้งก็ลืมละเลยตัวเอง
ถามว่าการเป็นแฟนกับคนที่เคยเป็น ‘แอคเค่อ’ มีความลำบากอะไรบ้างไหม?
ถ้าตอบตามตรงสำหรับผมมันก็มีบ้างแหละ จริง ๆ ก็ไม่บ้างหรอก เรื่องนี้มันเป็นกำแพงสำหรับผมตั้งแต่แรกเจอเลยมั้ง ไม่สิ ตั้งแต่ก่อนแรกเจอเขาตัวเป็น ๆ อีก ตั้งแต่ผมทำการรีเสิร์ชเรื่องพวกนี้จนไปเจอเรื่องของเขาผ่านปากแฟนเก่า รวมไปถึงการค่อย ๆ ตามดูพฤติกรรมที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้จักกับทรอยโดยที่เขาไม่เคยได้รู้จักผมเลยด้วยซ้ำ
ก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะมาตกหลุมรักคนแบบเขาได้
ผมยังจำวันนั้นได้เลย วันที่ผมเข้าไปที่ร้านอาหารที่เขาทำงานพิเศษ ตาผมก็สอดส่องไปทั่วร้าน ก่อนจะพบกับเจ้าเด็กเสียงหวานที่คอยบริการลูกค้าไม่ขาดสาย หนำซ้ำยังอัธยาศัยดีจนน่าหมั้นไส้ พูดก็พูดเถอะ จากลักษณะภายนอกที่แสดงออกแล้ว ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะมีแอคเค้าท์ทวิตเตอร์ไว้ลงเรื่องอย่างว่าในโลกออนไลน์
การได้พบเจอกับทรอย เปลี่ยนมุมมองที่ผมใช้มองผู้คนไปตลอดกาล
จากมองว่าคนนั้นคนนี้เป็น ‘สีอะไร’ ผมกลับเปลี่ยนไปมองทั้งหมดที่อยู่ในตัวคน ๆ หนึ่ง ทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีเท่าที่คน ๆ หนึ่งจะมีได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นหลังจากได้พบกับเขา เจ้าเด็กใส่แว่นที่ปั้นหน้าตายหลอกซะจนผมต้องงัดไม้เด็ดออกมานั่นแหละถึงได้ยอมรับคำสารภาพอย่างเสียไม่ได้
ผมไม่อยากใช้การหักหาญบังคับอะไรเขา จึงทำได้แค่เพียงสารภาพในความผิดที่ไปได้รูปลับ ๆ ของเขามา พร้อมทั้งภาวนาให้เขาเข้าใจเจตนารมณ์ของผมที่อยากจะถ่ายทอดเรื่องราวพวกนี้ให้ออกมาเป็นตัวหนังสือ อาจจะเป็นโชคดีของผมที่ได้พบเจอกับเขาในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเจอกัน
การไปหาข้อมูล ‘เฉย ๆ ’ กับกลายเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ของชีวิตอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งการรับรู้เรื่องราวที่เป็นไป การรับรู้ว่าเจ้าตัวแบกรับความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานจากความรักมากขนาดไหน ทรอยอาจจะไม่รู้ตัวก็เป็นไปได้ แต่ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ผมใจผมกับรู้สึกกับเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใคร
นั่นแหละมั้ง คือเหตุผลที่ใคร ๆ ก็บอกไว้ว่าความรักมันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
ทรอยเป็นคนอัธยาศัยดีแบบแปลก ๆ กล่าวคือ เขาเป็นคนชอบไปไหนมาไหนคนเดียว เป็นคนที่เหมือนจะใช้ชีวิตแบบสัตว์เดียว ออลอโลนในโลกของตัวเอง แต่ไอ้การไปไหนมาไหนคนเดียวของเขา คุณสามารถพบเจอกับผู้คนอันหลากหลายได้แค่คุณร่วมเดินทางไปด้วยกัน ครั้งหนึ่งเราเคยไปทานอาหารกันที่ห้างสรรพสินค้าใกล้กับมหาวิทยาลัยของเขา
ระยะทางตั้งแต่หน้าประตูห้างยันก่อนเข้าโรงภาพยนตร์ หมอนี้เจอคนรู้จักที่เข้ามาทักทายตั้งกี่คนต่อกี่คน และถึงแม้เขาจะไม่พูดอะไรมากไปกว่าการทักทายสารทุกข์สุขดิบทั่วไป แต่ผมก็มั่นใจแหละว่าบางคนก็คงเป็นคู่นอนเก่าของเขา สิ่งนี้แหละที่ทำให้ผมแอบหนักใจกับตัวเองอยู่หน่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
...ผมไว้ใจเขา แต่ผมมีสิทธิ์ที่จะหวาดระแวงอดีตของเขาใช่ไหมนะ?
ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ได้แต่ฝั่งจมูกของตัวเองไว้บนใบหน้าของเขา เจ้าตัวไม่เคยรับรู้อะไรหรอกว่าการอยู่ข้าง ๆ เขาผมต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวภายในใจเงียบ ๆ ของตัวเองเท่าไหร่ ผมรู้ ทรอยไม่ผิดหรอก เพราะตั้งแต่แรกก่อนที่เราจะมาเป็นคนข้าง ๆ กัน ก็เป็นผมเองไม่ใช่เหรอที่เดินเข้าไปถึงโลกของอีกฝ่าย
ผมต้องยอมรับมันได้สิ ผมคิดแบบนั้นนะ และหวังว่าภายในใจของผมจะยอมรับมันได้ทั้งหมดจริง ๆ โดยไม่ต้องมารู้สึกหวาดกลัวในใจเงียบ ๆ คนเดียวแบบนี้อีก
เขาคงไม่นอกใจผมหรอก...
..ใช่ไหมนะ?
...
“ทรอยครับ พี่บอกแล้วไงว่าเวลากินเสร็จให้ล้างจานเลย ทำไมถึงทิ้งจานไว้แบบนั้น?” ผมเอ็ดเขาหลังตื่นมาแล้วจะเข้ามาหาของกินในครัว พอเห็นซิงค์ล้างจานที่มีจานวางอยู่สองสามใบก็ถอนหายใจกับความมักง่ายของอีกฝ่ายที่ทำให้ผมเอ็ดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เจ้าตัวเดินเข้าไปก็จะบอกกับผมง่าย ๆ ว่า
“เดี๋ยวค่อยล้างทีเดียวตอนเย็นก็ได้” เขาว่า ผมส่ายหน้าและชี้ไปให้เขาจัดการ ณ เวลานี้ เจ้าตัววางมือจากงานตรงหน้าและเดินมาทำตามที่ผมบอก
“พี่ไม่ชอบอยู่กับคนสกปรกนะ” ผมหลุดปาก เขาหันมามองหน้าผม ทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูดอะไร ยืนล้างจานไปเงียบ ๆ แบบนั้น เช็ดเสร็จแล้วก็เอาเข้าตู้ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งพิมพ์โครงงานของตัวเองต่อ ผมเห็นอีกฝ่ายยังอารมณ์ไม่ดีก็ไม่อยากเข้าไปกวนใจเขาในเวลานี้ เลยเลี่ยงด้วยการเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองแทน
ผมจำได้ว่าสูทที่ผมต้องใช้ในเช้าวันจันทร์นี้ มันควรแขวนไว้ที่แขวนเสื้อด้านในห้องไม่ใช่เหรอ?
หรือทรอยเอาไปไหน?
“ทรอยครับ เห็นเสื้อสูทตัวนอกของพี่ที่แขวนไว้ในห้องไหม?” ผมเดินออกไปถาม เจ้าตัวเงยหน้าออกจากโน้ตบุ๊คมองผมและส่ายหน้าเงียบ ๆ ผมถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“อยู่กันสองคน ถ้าทรอยไม่เปลี่ยนที่แล้วมันจะหายไปไหน?” ผมว่าลอย ๆ อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา เงยหน้าแล้วมองลอดผ่านแว่นตา
“ก็ทรอยบอกว่าทรอยไม่เห็น พี่หาของไม่เจอแล้วจะมาโทษเราได้ไง” เขาโต้กลับ ผมขมวดคิ้วเป็นโบว์
“ก็เราชอบย้ายของในห้องพี่ พี่ก็ต้องถาม เผื่อเราย้ายไปไหนอีก” ช่วงที่มาอยู่ด้วยกัน บางครั้งอีกฝ่ายก็ทำความสะอาดห้องให้ผม แต่กลับกลายเป็นว่าหาของบางอย่างไม่เจอไปซะงั้น หลัง ๆ มาผมเลยห้ามไว้ว่าไม่ต้องทำความสะอาดอีก แค่ไม่ทำรกก็พอใจแล้ว
“พี่แชมป์ เราไม่ใช่ปลาทองนะจะได้จำไม่ได้ถ้าขยับของพี่ ของในห้องนี้นอกจากซิงค์ล้างจานกับที่นอนแล้ว เราแทบไม่ได้แตะต้องอะไรด้วยซ้ำ” เขาว่า น้ำเสียงขึ้นนิด ๆ
“รอบที่แล้วเราก็พูดแบบนี้ แต่ปากกาพี่ก็ไปอยู่ใต้โต๊ะ”
“เราบอกแล้วว่าตรงนั้นเราไม่ได้ไปยุ่งด้วย พี่ทำตกเองหรือเปล่า?”
“เราโทษพี่เหรอ?”
“งั้นแปลว่าพี่จะโทษเราทั้ง ๆ ที่เราบอกไปแล้ว? เรื่องเสื้อก็เหมือนกัน ทรอยเป็นแฟนพี่นะครับ ไม่ใช่เลขาพี่ ถ้าสงสัยทำไมไม่ลองถามพี่ไก่แจ้ดู” เขาว่ากลับ น้ำเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ
“ก็ของมันอยู่ในห้องที่เราอยู่กันสองคนนะ ไอ้แจ้มันจะไปรู้ได้ยังไ...” ผมบ่นยังไม่เสร็จเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไอ้คนตายยากโทรศัพท์เข้ามาพอดี ผมแอบขอบคุณมันในใจเงียบ ๆ ที่อีกฝ่ายโทรเข้ามาในช่วงเวลาที่บรรยากาศมาคุพอดี ผมเดินเลี่ยงไปที่ระเบียงก่อนจะกดรับสายโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทที่เป็นเลขาของตนเอง
“ฮัลโหล ว่าไงมึง” ผมทัก
‘มึง ชุดสูทที่ส่งซักรีดเดี๋ยวร้านจะไปส่งให้ที่คอนโดมึงช่วงเย็นนะ’ มันว่า ผมขมวดคิ้วอีกรอบ
“สูทอะไรวะ?”
‘สูทสีน้ำเงินตัวเก่งที่มึงทำกาแฟหกใส่เมื่อวันศุกร์ไง อะไรวะ สองสามวันลืมของรักของหวงไปแล้วเหรอ’ มันว่า และทำให้ผมระลึกชาติได้ ใช่แล้ว เมื่อวันศุกร์ เพราะผมนอนน้อยจากเสียงกรนของทรอยเลยทำให้เบลอ ๆ หน่อย หนักเข้าก็ทำกาแฟหกใส่เสื้อตัวเอง ผมเลยให้ไอ้แจ้เอาไปส่งร้านซักรีดให้ในวันนั้น
ชิบ...ผมเผลอโทษคนอื่นซะงั้น
“เออ ๆ มึงไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม?”
‘มี’
“อะไร?” ผมถาม อีกฝ่ายเว้นวรรคช่วงไปก่อนจะตอบ
‘ช่วงนี้ท่านประธานเรียกกูเข้าไปถามเรื่องมึงบ่อย ๆ ว่าทำไมเข้าประชุมสายบ้าง ทำไมถึงตัดสินใจอะไรบางอย่างผิดพลาดบ้าง ท่านกังวลว่ามึงไป ‘ติดสาว’ ที่ไหนรึเปล่า สบายใจได้ กูตอบไปตามตรงแล้วว่ามึงไม่ได้ไปติดสาวที่ไหน ท่านก็เบาใจลง เพราะกูไม่ได้พูดต่อว่าที่มึงติดนะ ...ไม่ใช่สาว แต่เป็นเสือ’ มันว่า แกมย้ำประโยคลงท้าย
“เออ ขอบคุณมึงด้วย”
‘ยังไงก็ระมัดระวังด้วยแหละกัน มึงก็รู้ว่าพ่อมึงเป็นคนยังไง กูไม่กวนเวลามึงแล้ว บาย’
“บายมึง” ผมตอบกลับก่อนกดวางสายโทรศัพท์
เรื่องครอบครัวของผมก็เป็นอีกเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ผมเองก็ยังคิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะจัดการยังไงต่อไปดี เพราะแบบนั้นตอนแรกผมถึงไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรออกไปมากช่วงที่คุยกับทรอยแรก ๆ แต่ไป ๆ มา ๆ พอเรื่องมันกลับกลายมาเป็นแบบนี้ ผมก็ยังคิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะบอกพวกท่านยังไงเดียว
ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนแต่เราไมได้อยู่บนโลกที่มีแต่เราสองคน
หลายครั้งแล้วผมถึงได้บอก เราคิดหลายอย่างได้ แต่เราทำตามใจตัวเองไม่ได้ทั้งหมดหรอก ผมผ่านช่วงชีวิตที่มีหลายอย่างที่อยากจะทำ มีหลายอย่างที่เป็นความต้องการของผมจริง ๆ แต่ผมกลับไม่สามารถทำมันได้ตามความต้องการเลย
ผมถึงอิจฉาเขานิด ๆ ที่อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้ใช้ทั้งชีวิต วิ่งไล่ตามความปรารถนาของตัวเองไม่ใช่ชีวิตที่สองของใคร
พอผมย้อนกลับเข้าไปในห้อง เจ้าตัวดีก็กำลังเก็บของลงกระเป๋า
“จะกลับแล้วเหรอครับ” ผมถามเสียงหงอย เขาถอนหายใจและเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม
“ถ้าอยู่ต่อแล้วทะเลาะกันอีก ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า ไว้พี่ใจเย็นลงกว่านี้แล้วค่อยมาพูดกัน” เขาว่า เก็บของลงกระเป๋าสะพายไม่สนใจอะไรผมอีก ผมพยักหน้าหงึก ๆ เป็นเชิงเข้าใจกึ่งขอโทษ ปกติแล้วเขาจะอยู่ถึงวันอาทิตย์แล้วค่อยกลับ ช่วงแรก ๆ เราสลับกันคนละวีคให้ต่างฝ่ายต่างเดินทางมาหา แต่พักหลัง ๆ งานผมยุ่งจนเขาจะเป็นฝ่ายมารอผมกลับมาห้องมากกว่า จนบ่อย ๆ เข้า ผมเลยยกคียการ์ดสำรองให้เขาสำหรับใช้เข้าออกคอนโดนี้เลย
ที่นี้ก็เหมือนบ้านที่เราสองคนอาศัยอยู่ จากห้องที่ไม่ค่อยมีอะไรของผม ห้องที่ไว้ใช้สำหรับหลับนอนแต่ไม่ได้ใช้งานในส่วนอื่น ๆ ก็เริ่มมีข้าวของของเขา มีร่องรอยประสบการณ์และการใช้งานร่วมกันระหว่างเราสองคน
“อาทิตย์หน้าพี่ไปหานะ” ผมบอก เขาพยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ ระหว่างที่กำลังเก็บของเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เจ้าตัวมองเบอร์แล้วกดตัดสายทิ้ง ผมขมวดคิ้วแล้วเอยปากถามต่อ
“ใครโทรมาเหรอ?” ผมถาม
“เพื่อนนะ” เขาว่า พร้อมยักไหล่เป็นเชิงไม่สนใจ
“แล้วทำไมไม่กดรับสาย”
“ก็พี่อยู่ด้วย” เขาตอบกลับ น้ำเสียงเริ่มนิ่งขึ้นอีกนิด
“ทำไมพี่อยู่ด้วยแล้วรับสายไม่ได้?” ผมถามต่อด้วยความไม่เข้าใจ
“นี้ถามคือไม่ได้ประชดเรา ถูกไหม?” เขาว่าเสียงเบา ๆ ถอนหายใจออกมา
“อ้าว พี่แค่อยากรู้ว่าเพื่อนคนไหน ใครโทรมาแล้วทำไมถึงไม่รับสายเขาเฉย ๆ ทำไมมันกลายเป็นประชดเราไปได้ละครับ” ผมให้เหตุผล เจ้าตัวตวัดสายตามอง ก่อนจะก้มหน้าลงไปพิมพ์มือถือตอบกลับอะไรอีกสองสามอย่าง น่าแปลก ตอนคุยกับผมละทำหน้าบูด แต่พอพิมพ์โทรศัพท์กลับมีรอยยิ้มซะแบบนั้น
“ผมกลับก่อนนะ” ทรอยว่าหลังเก็บของเสร็จ
“เดี๋ยวพี่ไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ทรอยกลับเองได้” เขาพูดตัดบทแล้วเตรียมจะเดินออกจากห้องไป
“ปกติพี่ก็เป็นคนไปส่ง” ผมว่าเสียงเบา ๆ รอบนี้ทรอยถึงกับกุมหัว วางกระเป๋า แล้วเดินมาทางผม
“โอเค ผมว่าเราต้องคุยกันแล้ว พี่เป็นอะไร?” เขานั่งรถบนเตียงแล้วถาม ส่วนผมเงียบ ไม่มีคำตอบอะไรให้เพราะตอบไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร ผมทั้งไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ แล้วก็ไม่ชอบที่ตัวเองดูไม่มีเหตุผลนิด ๆ แบบนี้ด้วย แต่มันก็...
“ถ้าพี่ไม่มีเหตุผลอะไรงั้นเรากลับก่อนแล้วกันนะ” เขากอดอก ว่าอีกครั้งแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้องไป ผมเดินออกไปส่งที่หน้าประตู ก่อนจะยืนมองเขากดลิฟต์ลงไปชั้นด้านล่าง
...เมื่อกี้ที่โทรศัพท์เข้ามา นั่นเป็นเพื่อนเขาจริง ๆ ใช่ไหมนะ?
ผมถอนหายใจ เดินไปจะเปิดตู้หาอะไรทานรองท้องก่อนแล้วค่อยสั่งข้าวจากร้านในคอนโดขึ้นมาส่ง ไอ้ที่จะหาอะไรกินตั้งแต่ตื่นนอนก็ลืมไปเลยเพราะทะเลาะกัน พอเปิดเข้าไปก็เจอข้าวจานหนึ่งที่มีพลาสสิกใสห่อหุ้มเอาไว้ บนจานแปะโน้ตด้วยลายมือห่วย ๆ ว่า ‘กดเวฟเบอร์สองก่อนทานนะครับ’
ผมยกจานเข้าไมโครเวฟ กดเบอร์สองตามที่เขาบอกก่อนจะนั่งเงียบ ๆ คนเดียว
เพิ่งนึกออกเหมือนกันว่าเมื่อวานผมเปรย ๆ เขาไว้ว่าอยากทานข้าวผัดกุ้ง
พอทานเสร็จ ผมจะเดินเอาจานไปล้าง ก็ถึงได้เพิ่งเห็นว่าสก็อตไบท์ที่อยู่ในซิงค์ล้างจาน มันเหลือขนาดแค่นิดเดียวแล้ว ผมตั้งใจว่าจะซื้อของใหม่เข้าห้องอยู่ แต่ก็ลืมไปเลยเพราะมัวแต่ทำงาน แล้วก็เพิ่งนึกได้อีกว่าจริง ๆ แล้วตอนเย็นนี้ผมบอกกับเขาว่าเราจะไปซื้อของเขาบ้านกันที่ห้างสรรพสินค้าแถวนี้
ผมยังไม่ได้ขอโทษน้องในความประสาทรับประทานเมื่อกี้นี้ด้วยซ้ำ พอคิดแบบนั้นแล้วผมวางข้าวของทุกอย่างลงในซิงค์ เปิดน้ำแช่ไว้ลวก ๆ ก่อนจะเช็ดมือ หยิบกระเป๋าสตางค์และกุญแจรถออกมา ก่อนจะโทรศัพท์หาอีกฝ่าย
“ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีหลังอีกฝ่ายรับสาย
‘ครับ หาอะไรไม่เจออีกล่ะ? ถ้าเป็นถุงเท้าพี่ เราตากไว้ให้แล้วตรงระเบียง นอกนั้นก็น่าจะอยู่ตรงมุมห้องพี่ละเพราะเราไม่ได้ไปยุ่งอะไร แล้วก็เมื่อเช้าเราออกไปซื้อกุ้งสดมา ทำอะไรทานง่าย ๆ แบบกุ้งชุบแป้งทอดแล้วกันนะ เราซื้อแป้งสาลีมาเผื่อไว้ให้แล้ว รีบทำก่อนจะลืมแล้วปล่อยของเน่าคาตู้อีก ส่วน...’
“ไม่ใช่ครับ” ผมตัดบทอีกฝ่ายหลังจากฝั่งมาประมาณเกือบห้าวินาที
‘...’
“พี่ลืมขอโทษเราครับ”
‘ขอโทษเรื่องอะไรครับ?’
“พี่ขอโทษที่ทำตัวประสาทใส่เราเมื่อกี้ คือเมื่อคืนพี่นอนน้อยแล้วมันเพลีย ๆ เพราะ...”
‘เสียงกรนของเรา?’ ปลายสายต่อเสียงที่ขาดห้วงลงของผม
“ครับ” ผมตอบรับคำอย่างแผ่วเบา รอดูว่าอีกฝ่ายจะว่าอะไรต่อ
‘เราว่ากำลังจะบอกพี่อยู่พอดีเลย ช่วงนี้เราอาจจะไม่ได้มานอนกับพี่แล้วนะ’ เขาว่าตอบกลับมา ผมอ้าปากเหวอเหมือนเพิ่งโดนเขาบอกเลิก
“เราอยู่ไหนครับตอนนี้?” ผมถามต่อ กดปุ่มลิฟต์แบบไม่กลัวมันหัก
‘ป้ายรถเมล์หน้าคอนโดครับ ทำไมเหรอ?’
“รอพี่อยู่ตรงนั้นแปปนึง” ผมว่า พร้อมรีบแทรกตัวเข้าไปในลิฟต์ ผมอยู่ชั้นยี่สิบกว่า ๆ ใช้เวลาเกือบครึ่งนาทีกว่าจะลงมาถึงข้างล่าง ก่อนจะรีบออกไปหาน้องมักที่นั่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์คนเดียว
“พี่ขอโทษครับ” ผมบอกกับเขาอีกครั้ง
“พี่จะรีบวิ่งมาทำไมเนี้ย เหงื่อออกเต็มไปหมดแล้วเห็นไหม เดี๋ยวผืนก็ขึ้นอีกรอบหรอก” เขาเอ็ดผม พร้อมควักผ้าเช็ดหน้ายื่นมาให้ อย่างว่าแหละ ทรอยไม่ใช่เด็กโรแมนติก ไอ้เรื่องจะซับเหงื่อให้ผมก็คือลืมไปได้เลย
“ก็พี่กลัวเรากลับไปก่อน” ผมบอกไป เจ้าตัวทำเสียงหึเบา ๆ ก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง
“อย่าเพิ่งกลับเลยนะครับ ค้างเถอะนะ เดี๋ยวเย็นพรุ่งนี้ค่อยกลับก็ได้ครับ” ผมง้อเขากลาย ๆ เขาถึงได้หันหน้ามาพูดตอบกลับด้วย
“เราไม่ได้งอนพี่นะ แต่พรุ่งนี้เรามีธุระต้องไปทำจริง ๆ ” เขาบอก
“ก็ไม่เป็นไรครับ แค่คืนนี้นอนด้วยกันต่อก็แล้วกันนะ” ผมง้อเขา เจ้าตัวทำท่าคิดไปแปปนึงก่อนจะพยักหน้าตอบกลับ
“งั้นกลับห้องเรากันครับ” ผมบอก จงใจเน้นน้ำเสียงตรงคำว่า ‘ห้องเรา’ อย่างมีนัยสำคัญ เขาเผลอยิ้มออกมานิดหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าประชด
“ไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว ไปห้างฯ ซื้อของเขาห้องกันก่อนแล้วกันนะครับ จะได้ซื้อที่อุดหูด้วย” เขาบอก เน้นประโยคท้าย
“โถ่ ไหนบอกไม่งอนพี่แล้วไง” ผมเอ็ดเบา ๆ
“ไม่ได้งอน นี่เราพูดจริงจังนะ เพราะเราไม่เคยได้ยินเสียงตัวเองกรน ที่เราบอกว่าเราอาจจะไม่ได้มานอนแล้วช่วงนี้ก็เหมือนกัน เรามีสอบ เที่ยวไป ๆ มา ๆ แล้วเราจะได้อ่านหนังสือตอนไหน? ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เป็นอย่างช่วงแรก ๆ ที่เราโทรศัพท์หากันเอาก็ได้ครับ ที่เรามาหาเนี้ยเพราะเรารู้ว่าพี่ยุ่ง...” เขาร่ายยาว
“ครับ”
“...และเราก็คิดถึงพี่ด้วย ถึงได้มาหา”
พูดจบเจ้าตัวก็หน้าแดงไป ผมยิ้มออกมาอย่างยินดี คุณไม่รู้หรอกว่าทรอยนะปากแข็งขนาดไหน ไอ้ท่าทางนุ่มนิ่มที่เห็นวันนั้น หลังจากผ่านพ้นเรื่องราวนั้นไปผมแทบไม่ได้เห็นด้านนั้นของเขาอีกเลย เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองขาดความโรแมนติกมากขนาดไหน และเพราะแบบนั้นแหละที่พอเวลามันมีสักทีผมถึงได้ยินดีขนาดนี้
“เดี๋ยวพี่ไปหาก็ได้” ผมว่า เจ้าตัวส่ายหน้า
“ถ้าทำแบบนั้นผมก็ไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี” เขาตอบ ก็อาจจะจริงก็ได้ เพราะเวลาผมไปหออีกฝ่าย ก็จะเป็นผมเองเนี้ยแหละที่ทำตัวเป็นของเหลว เข้าไปเกะกะวุ่นวายกับเขา
“แต่พี่อยากอยู่กับเรานิหน่า” ผมว่าเสียงเบาหวิว
“ก็อยู่ด้วยแล้วนี้ไงครับ” เขาตอบ จับมือผมไว้เบา ๆ ข้างหนึ่ง ผมยิ้มรับและจับมือตอบกลับกับเขา
“โอเค แต่หลังสอบเสร็จต้องมาหาพี่นะ” ผมว่า เขาพยักหน้าให้สัญญา
“งั้นไปซื้อของกัน” ทรอยว่า ผมพยักหน้าตอบรับและบอกให้เขาเดินกลับเข้าไปในคอนโดก่อน อย่างน้อยก็ฝากกระเป๋าของเขาไว้หน้าเค้าท์เตอร์คอนโดก่อนก็ได้ จะได้ไม่ต้องแบกโน้ตบุ้คไป ๆ มา ๆ
หลังจากนั้นผมก็ขับรถพาเขาไปห้างสรรพสินค้าใกล้คอนโด ก่อนเราจะมานั่งลิสต์กันว่าเราจะซื้ออะไรเข้าห้องบ้าง และก็เป็นอีกฝ่ายที่เปิดโน้ตออกให้ผมฟังว่าห้องของผมอะไรเหลือเท่าไหร่บ้าง อะไรกำลังใกล้จะหมดบ้าง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่เลยที่ไปกล่าวหาเขาเรื่องชุดสูทเมื่อเช้า
“พี่ขอโทษอีกครั้งนะครับ เราจดไว้ตลอดนิเอง ถึงได้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ย้ายเสื้อพี่ไปไหน” ผมว่าเสียงอ่อย ๆ เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับ
“ก็พี่เองไม่ใช่เหรอ ที่บอกกับทรอยว่าถ้าอะไรที่มันสำคัญแล้วกลัวว่าจะจำไม่ได้ ก็จดบันทึกเอาไว้ให้มันคงอยู่ต่อไปไงครับ”
เขาบอก ผมอมยิ้ม เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยบอกอะไรกับเขาไว้แบบนั้น
ไม่ใช่ผมคนเดียวสินะที่เปลี่ยนไปหลังจากเราได้เจอกัน
หลังจากนั้นผมก็ให้เขาเป็นคนนำทัพตลอดทั้งรายการที่จะเลือกซื้อ แล้วก็พบว่าของทั้งหมด เกินกว่าครึ่งหนึ่ง เป็นของใช้ภายในห้องที่กำลังจะหมด นอกนั้นของกินก็เป็นพวกของกินเล่นแบบที่ผมชอบ กินแล้วไม่หกเลอะเทอะอะไรทำนองนั้น ทั้งหมดนี้มาจากการสังเกตของเขาที่มองผมตลอดเวลางั้นสินะ
เรากลับห้องกันด้วยความสุข ผมแอบโขกหัวตัวเองนิดหนึ่งเหมือนกันที่แอบคิดไปว่าเขาอาจจะแอบนอกใจผมในสักวันใดวันหนึ่ง จริงอยู่ว่าอีกฝ่ายเคยเป็นแอคเค่อ แต่การเป็นแอคเค่อก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะหยุดไม่ได้ หรือจะต้องแอบไปทำอะไรลับหลังผมนิหน่า ถึงแม้ผมจะพูดอย่างใจกว้าง ๆ ก็เถอะ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ
มือเย็นของเรา เจ้าทรอยทำกุ้งที่เหลือจากเมื่อเช้าเป็นกุ้งชุบแป้งทอด พร้อมต้มข่าไก่และทอดไข่เจียวหมูสับเสริมขึ้นมา จริง ๆ ผมเคยทานอาหารที่อร่อยกว่ารสชาติฝีมือเข้ามามาก แต่ไม่มีมื้อไหน ๆ เลยที่ผมจะมีความสุขเท่ากับตอนได้กินข้าวกับคนที่ผมรัก นั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด ที่เผลอหวาดระแวงเขาไปแบบนั้น
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ทรอยก็เตรียมตัวไปอาบน้ำ ผมนั่งดูทีวีเล่นก่อนเสียงไลน์จะเด้งขึ้นมา
‘ไลน์’
ไม่ใช่เครื่องของผม? ผมหันไปหาต้นเสียงก่อนจะพบว่ามันดังมาจากของทรอย ใจหนึ่งผมบอกตัวเองให้นิ่ง ๆ ไว้ อย่าไปยุ่งกับของใช้ส่วนตัวของคนอื่น แต่อีกใจผมก็ตอบกลับตัวเองไปว่าคนอื่นที่ว่านั้นก็แฟนเราไม่ใช่เหรอ เหมือนเสียงสองความคิดตีกันในหัว สุดท้ายแล้วผมลากโทรศัพท์ของเขามาอยู่ใกล้ ๆ ตัวผมเอง
ในที่สุดผมก็พ่ายแพ้ให้กับความอยากรู้ของตัวเอง ผมเม้มปาก กดเปิดโทรศัพท์ พยายามกรอกพาสเวิร์ดที่จดจำได้ เพราะอีกฝ่ายนอนหนุนผมบ่อย ๆ ทำให้ผมเห็นทุกครั้งเวลาที่เขาจะกรอกรหัสผ่านเข้าไปนโทรศัพท์ ผมเลือนปลดล็อก เพราะกดดูพรีวิวของความที่ส่งที่ไลน์ของเขาแต่ไม่กดเข้าไปอ่าน
‘พรุ่งนี้เช้าเจอกันช่วง 11 โมงเช้านะครับ อย่ามาสายละ , P’gavin’
ผมชาวาบทั้งตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นมา มือสั่นจนเกือบทำโทรศัพท์ตก นึกขึ้นมาได้ที่เขาบอกกับผมว่ามี ‘ธุระส่วนตัว’ ที่ต้องไปทำ หรือการไปหาผู้ชายคนนี้จะเป็นธุระที่เขางั้นเหรอ?
ทรอย...นี่คุณไม่ได้นอกใจเราใช่ไหม?
Pre-order Acker I&II | 3 วันสุดท้าย ตอนพิเศษลงในเว็บหลักแค่ 3 ตอนนะครับ
รายละเอียด/ลิงก์สั่งจอง :
https://1th.me/ZBRtขอบคุณครับ