ตอนที่ ๑๐
อโณชาอยู่บนหลังควายถึกคู่ใจที่กำลังก้าวย่างไปอย่างเชื่องช้าบนถนนลูกรัง ชายหนุ่มเหม่อมองไปข้างหน้าโดยไม่ได้ใส่ใจทิวทัศน์เบื้องหน้าสักเท่าไหร่ ไอ้รอดทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์จนมาถึงปลายทาง เบื้องหน้ามีชาวบ้านมากมายมาช่วยกันลงแขกเกี่ยวข้าวอยู่ในทุ่งข้าวหอมมะลิสีเหลืองทองอร่ามไปทั่วบริเวณ พร้อมกับที่เจ้าของที่นาฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นผู้มาเยือนรายใหม่คนนี้
“มาแล้วหรอโน”
“อืม...ครับ”
“จะพักสักหน่อยมั้ย หรือจะลงไปเลยดี”
“ลงไปช่วยพี่เมฆเลยดีกว่าครับ ผมไม่ได้เหนื่อยอะไร”
“อื้ม ได้” ชายหนุ่มผิวสียิ้ม พลางเอื้มไปหยิบเคียวที่วางไว้ใกล้ๆส่งให้กับอโณชา “นี่ของโน เดี๋ยวพี่จะสอนให้”
ผู้เป็นเจ้าภาพเดินนำหน้าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะลงไปในพื้นนา พร้อมกับยื่นมามาทางอีกคน
“ส่งมือมาสิ”
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอกครับ” ชายหนุ่มปฏิเสธสั้นๆ หากแต่ยังทำให้คนที่ยื่นข้อเสนออมยิ้มอยู่
อโณชาเหลือบดูชาวบ้านที่กำลังเกี่ยวข้าวกันอย่างขะมักเขม้น ก่อนจะเดินเลี่ยงเมฆินทร์มายังที่ว่างๆที่ไม่มีคนพลุกพล่านนัก พร้อมกับลงมือเกี่ยวข้าวเองบ้าง
“ดูแล้วก็ไม่น่ายาก พี่เมฆไม่ต้องสอนผมก็ได้ครับ” ชายหนุ่มพูดพลางใช้มือข้างที่ว่างอยู่กำกอข้าวและใช้เคียวตัดตรงบริเวณเหนือโคนต้นข้าว
“โอเคๆ พ่อคนเก่ง...แต่พี่ขอเตือนนะ ว่าเคียวน่ะมันคม ระวังมันจะบาดมือเอา แล้วก็...สำหรับมือใหม่ เกี่ยวข้าวครั้งแรกนี่มือระบมเหมือนกันนะ “ ชายหนุ่มยิ้มกว้างพลางหันหลัง และร้องเพลงเกี่ยวข้าวอย่างอารมณ์ดี
“เกี่ยวเถอะนะพ่อเกี่ยว ช่า ช่า เกี่ยวเถอะนะพ่อเกี่ยว....”
เมฆินทร์หันมายักคิ้วให้อย่างเจ้าเล่ห์ “อย่ามัวชะแง้แลเหลียว เดี๋ยวเคียวจะเกี่ยวก้อยเอย”
อโณชาอมยิ้มอยู่ในทีพร้อมกับใช้มือปิดปากตัวเอง
“พี่ว่านะ ... พี่มาเกี่ยวตรงนี้แหละ กลัวคนแถวนี้จะโดนเคียวบาดก้อยเอา”
“ตามใจเถอะ นาของพี่นี่”
หนุ่มบ้านนาผิวปากอย่างอารมณ์ดี พลางเหลือบมามองอีกฝ่ายเป็นระยะๆ อโณชาเป็นคนหัวไวอย่างที่คุย และท่าทีแง่งอนของเขาทำให้ชายหนุ่มอดใจเย้าหยอกไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของเขา
“แอบมองหน้าแล้วยิ้มที่กรุงเทพเค้าจะหมายความว่าหาเรื่องนะครับ” ชายหนุ่มพูดโดยที่ไม่ได้มองหน้า
“เอ...เรื่องอะไรดีล่ะ พี่ก็ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุยดีเหมือนกัน”
“จะหยุดพูดแล้วก็ก้มหน้าห้มตาเกี่ยวไปก็ได้ครับ”
“เรานี่น้า....” เมฆินทร์หยุดเกี่ยวข้าว พลางหยุดยืนต่อปากต่อคำกับอโณชาอย่างตั้งใจ “เมื่อไม่กี่วันยังคุยด้วยกันดีๆอยู่เลย โกรธอะไรพี่นักหนานี่ฮึ”
“ผม....เปล่าซะหน่อย”
“เปล่าแล้วทำไมทำเหมือนบึ้งตึงใส่พี่จัง พี่น่ะออกจะดีแสนดี”
“เปล่าก็คือเปล่าไงเล่า พี่เมฆนี่พูดไม่รู้เรื่อง!!!”
หนุ่มบ้านนาอมยิ้มเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคล้ายจะตบะแตก เมฆินทร์เดินตรงเข้าไปพร้อมกับยกนิ้วก้อยขึ้นมา “ดีกันก่อนดีกว่าก่อนที่จะโดนเคียวเกี่ยวเอาดีกว่านะ”
“งั้นผมตัดทิ้งก่อนเลยดีมั้ย ....ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ ทำไมจะต้องมาทำอะไรติงต๊องแบบนี้ด้วย”
“หยอกกันน่ารักดีนะคู่นี้” เสียงใสดังขึ้นจากคันนาไม่ไกลนัก เจ้าของเสียงแสดงรอยยิ้มประจำตัวพลางกอดอกมองทั้งคู่
“อ้าว หน่อง มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“ก็ทันเห็นทุกอย่างแหละ”
“ผมขอตัวไปแปลงนู้นก่อนแล้วกัน บางทีพี่อาจจะต้องสอนหน่องมันเกี่ยวข้าว ส่วนผมไม่ต้องแล้วล่ะ” อโณชาพูดก่อนจะหันหลังไป
“เอ่อ นั่นสินะโน”
“พี่เมฆก็ไปอำโนเค้า” เกษตรอำเภอหัวเราะเบาๆ “ไอ้เรื่องพวกนี้ผมทำเป็นตั้งแต่มหาลัยแล้ว ไม่งั้นจะมาสอนชาวนาได้ยังไงล่ะโน”
“งั้น พี่เมฆเค้าอาจจะอยากอยู่กับหน่องสองต่อสองก็ได้มั้ง หน่อง”
“โนนี่พูดตรงใจพี่” เมฆินทร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ พร้อมกับกระโจนขึ้นไปบนคันนา “คิดถึงเมียรักจะแย่แล้ว”
“วิตถาร!”อโณชาสบถ
“เฮ้ยอย่ามาทำแบบนี้ ขยะแขยง” เกษตรอำเภอหัวเราะลั่น พลางดันอกอีกคนที่กำลังทำท่าเหมือนจะกอดร่างเล็กของเขา
“ขอตัวครับ” อโณชาตอบเรียบๆ พลางเดินจากไป
“ไม่อยู่ดูหน่อยหรอ เห็นโนชอบทำท่าทำทางเหมือนอยากให้พี่กับเจ้าหน่องมันเป็นอะไรกันจัง”
“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น และพี่ก็น่าจะเข้าใจไปเอง”ชายหนุ่มหันมาตอบด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะเดินจากไปจริงๆ
“ไปอำเขาขนาดนี้ ระวังโกรธจนคืนดีกันไม่ได้นะเอ้อ” นฤบดินทร์กระทุ้งศอกใส่คนข้างๆเบา
“เอาน่า ยังไงซะมันก็ยังไม่ถึงเวลา แต่ได้แกล้งโนมันแบบนี้ก็สนุกดีนะ”
“อ่ะจ้า... อย่ามาเพ้อให้ฟังทางโทรศัพท์ตอนดึกๆอีกก็แล้วกัน”
“ก็กลางคืนมันหนาวนี่นา พอหนาวแล้วมันก็เหงา”
.
.
.
“ผู้ชายมันเป็นแบบนี้ทั้งหมดเลยหรือไงนะ” อโณชาบ่นกับตัวเองในใจ พลางเกี่ยวข้าวไปด้วยอย่างไม่สบอารมณ์นัก ชายหนุ่มแอบเหลือบไปมองข้างหลังเป็นระยะและพยายามไม่ให้ทั้งคู่รู้สึกตัว หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งนฤบดินทร์และเมฆินทร์เป็นฝ่ายที่กำลังตั้งใจลอบมองดูอโณชาจากบนคันนาแทน
ท่าทีทีเล่นทีจริงของเมฆินทร์ทำให้อโณชานึกถึงแฟนเก่าที่จากกันมาไม่ดีนัก เขายังจำได้ถึงความรักที่มีให้ต่อชายผู้นั้น และด้วยความที่อโณชาเป็นผู้ใหญ่กว่า ทำให้เขามักจะยอมให้แทบทุกเรื่องไม่ว่าจะเรื่องเที่ยวหรือบุหรี่ หากแต่มีเพียงเรื่องเดียวที่ชายหนุ่มยื่นคำขาดขอร้องนั่นคือ การนอกใจที่ไม่ว่าอย่างไรชายหนุ่มก็ไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้
“ไม่ว่าจะผู้ชายหรือเกย์มันก็เจ้าชู้ไปหมดจริงๆ” ชายหนุ่มรำพึงท่ามกลางแดดจ้า และพาลหมั่นไส้เจ้าของที่นาเอาเสียดื้อๆ อโณชาหันหลังให้กับที่นา พลางเดินดุ่มไปบนคันนาอย่างไม่สบอารมณ์
“จะไปไหนน่ะโน” เมฆินทร์ถามขึ้น
“ผมจะกลับแล้ว”
“อะไรกัน ยังไม่เสร็จเลย”
“คนช่วยเยอะแยะแล้วนี่ “
“แต่พี่อยากให้โนอยู่ช่วยด้วยอีกแรงนี่นา”
“นายจ๋า...”เสียงใสๆดังขึ้นจากหญิงสาวในบ้าน นังทิ้งวิ่งจ้ำอ้าวมาพร้อมเสียง ชายหนุ่มหันตามต้นเสียงพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก ก่อนที่ยิ้มเล็กๆนั้นจะคลายลงเมื่อรู้ว่ามีใครอีกคนที่เดิมตามมาข้างหลัง
“จอน...”
“นายโนรู้จักใช่มั้ยจ๊ะ เขามาหาที่บ้านบอกว่ามาหานาย หนูเลยพามาที่นี่”
เด็กหนุ่มผู้มาใหม่ยิ้มกว้าง พร้อมกับโผเข้ากอดอดีตคนรักอย่างไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง “ผมคิดถึงพี่มากเลยนะ ทำมถึงหนีมาแบบนี้”
“ปล่อยพี่เดี๋ยวนี้นะ” ชายหนุ่มสลัดอ้อมกอดนั้น พร้อมกับกระเถิบตัวหนี “เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนะ”
“ผมขอโทษกับทุกสิ่งที่เคยทำกับพี่ และผมก็ไม่ได้ขอให้พี่คืนให้ผมหรอก” ชายหนุ่มทำหน้าเศร้า “ผมแค่อยากขอโอกาสอีกสักครั้งเท่านั้นเอง ขอแค่ให้พี่ได้ยกโทษให้ผม ผมยินดีทำทุกอย่าง”
ชาวบ้านหลายคนหันมามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงเจ้าของที่นาที่มองดูด้วยความรู้สึกปวดปร่า หลายคนเริ่มส่งเสียงซุบซิบนินทา จนอโณชารู้สึกได้
“กลับไปคุยกันที่บ้าน พี่อายคน” อโณชาตัดบท
“ได้ครับ แล้วเราจะกลับกันยังไงเนี่ย”
“พี่ขี่ไอ้รอดมา”
ชายผู้มาใหม่หันมองไปทางพาหนะของคนรัก “ถ้าอย่างนั้นผมเดินตามกลับก็ได้ ผมรู้พี่ยังโกรธผมอยู่”
อโณชาไม่สนใจในท่าทีของอดีตแฟนนัก ก่อนจะหันไปถามเด็กหญิง “แล้วเราจะกลับพร้อมพี่มั้ยทิ้ง”
“เอ่อ...” ทิ้งมองซ้ายทีขวาทีอย่างลังเล “หนูรอติดรถคนแถวนี้กลับดีกว่า คิดว่าคงไม่ควรเท่าไหร่”
ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะหันมาพูดกับนายจอน “ถ้าอย่างนั้นก็กลับด้วยกันก็ได้ พี่คิดว่าไอ้รอดมันไหว”
“ขอบคุณมากครับ”ตอนฉีกยิ้มกว้าง “พี่โนเนี่ยไม่ว่าจะยังไงก็ยังน่ารักแบบนี้ทุกทีเลยสิ”
ควายถึกมองผู้เป็นนายและชายแปลกหน้าอย่างระแวงระวัง พลางสะบัดเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก จนผู้เป็นเจ้าของต้องพูดปราม “ไอ้รอด นี่แขกของชั้นเอง”
ชายหนุ่มหันมามองอดีตคนรักอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้น “ถอดหมวกแดงของจอนด้วยก็ดี ถึงพี่จะไม่เคยเห็นมันวิ่งไล่ของสีแดงเหมือนที่เค้าพูดๆกัน แต่พี่ก็ไม่อยากให้โนทดสอบกับไอ้รอดหรอก”
“แหะๆ ครับ โทษที” ชายหนุ่มทำตาม ก่อนจะหันไปพูดกับไอ้รอด “แกต้องคุ้นเคยกับชั้นไว้มากๆนะ เพราะชั้นกำลังจะเป็นนายของแกอีกคนไง”
หลังจากทุลักทุเลกันอยู่พักใหญ่ กว่าจะเอาเด็กหนุ่มขึ้นขี่หลังควายได้สำเร็จ ทั้งคู่ก็จากไปพร้อมกับสายตาเศร้าๆของคนที่อยู่ข้างหลังที่มองตามไปจนสุดสายตา
“ผมว่า พี่เมฆจะมีงานเข้าเสียแล้วล่ะ” เกษตรอำเภอเย้าพลางตบบ่าพี่ชายเบาๆ
“นั่นสินะ...” ชายหนุ่มตอบเศร้าๆ “ถ้าาพี่กล้ากว่านี้สักหน่อย บางทีบนหลังไอ้รอดวันนี้อาจจะเป็นพี่ก็ได้”
.
.
.
เป็นอีกคืนที่ชายหนุ่มรู้สึกเหงาเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะลมหนาวที่เหมือนความอบอุ่นจากกองฟืนก็ทำท่าจะเอาไม่อยู่ และเสียงขลุ่ยที่เป็นเพื่อนคู่ใจก็ช่วยไม่ได้เสียเลย
“ข้ามันลูกทุ่ง ข้านอนมุ้งสี่สาย
ผูกด้วยเชือกจูงควาย เอนกายแล้วสิ้นลำเค็ญ
ไม่ต้องสนใจมาดัดนิสัย ข้าหรอกบานเย็น
ข้ามันลูกทุ่งเอ็งก็คงเห็น ข้าเป็นแค่คนชาวนา
ถ้าเอ็งมองข้าว่าหัวข้าล้าสมัย
สุดที่เอ็งทนได้ ตามใจเอ็งเถิดแก้วตา
จะเปิ่นหรือเชย ข้าก็ยังเคยมุ้งแบบของข้า
เอ็งอยากจะรักข้าก็ไม่ว่า เอ็งจะเกลียดข้าไม่ว่าสักน้อย
ไอ้หนุ่มบางไหน มันใส่กางเกงทรงสวย
ถ้าเอ็งชังกางเกงขาก๊วย คนสวยไม่ต้องมาคอย
ถ้าเจ้าบานเย็นคิดไปเด่นในกรุงเลิศลอย
อยากจะทิ้งข้าให้เศร้าหงอย ข้าจะไม่คอยขวางตา
ข้ามันลูกทุ่ง ข้านอนมุ้งสี่หู
ข้าพูดเอ็งมึงกู ฟังดูก็ตรงหนักหนา
ข้าชอบไทยเดิม ข้าส่งข้าเสริมคำพูดบ้านข้า
ข้าแต่งกับเอ็ง เอ็งเป็นของข้า ใครเรียกภรรยาแต่ข้าเรียกเมีย”
“แหม.... ทำเป็นน้อยใจหนุ่มบางกอกนะ” หน่องเย้า เมื่อหนุ่มผิวเข้มเป่าขลุ่ยจบลง
“ทำไมยังไม่กลับอีก ค่ำมืดดึกดื่น”
“ก็กลัวพี่ชายจะไปผูกคอตายใต้ต้นมะเขือ” ชายหนุ่มยังแหย่ไม่เลิก “อย่าเพิ่งทำซังกะตายสิพี่ ยังไม่ได้บอกรักเขาเลย”
“พี่...ไม่รู้สิ” เมฆินทร์ถอนหายใจ “พี่จำวันนั้นได้นะ ไม่ว่ายังไง พี่ก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองแพ้ไอ้บ้านั่นทุกที”
“ผมว่าเพราะพี่มัวแต่แทงกั๊กมากกว่า เท่าที่ผมดู ก่อนหน้านี้ โนเค้าก็...รู้สึกดีกับพี่ไม่น้อยนะ”
“พี่ก็เคยคิดแบบนั้น” ชายหนุ่มหันไปลูบหัวอีแฉะเล่น “แต่พอได้มาเห็นวันนี้ พี่คิดว่าพี่ก็แค่คิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นแบบนั้น”
“พี่คิดไปเองว่าเค้ายังรักกันมากกว่า....แต่ถ้าพี่ยังทำตัวเป็นไอ้ขี้แพ้แบบนี้ มันอาจจะเป็นอย่างที่พี่คิดจริงๆ” นถบดินทร์เอ่ยเป็นเชิงดุ “ของอย่างนี้น่ะนะ บางครั้ง คนที่อยู่ในเกมก็มองไม่ขาดเหมือนคนนอกหรอก”
“พี่จะทำอะไรได้ หน่อง....ยังไงซะเค้าก็...”
“แค่เคยเป็นแฟนกันครับ และผมเชื่อนะ ว่าถ้าพี่กล้าพูดออกไป ไอ้หมอนั่นก็จะเป็นแค่แฟนเก่า เชื่อผมสิ”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มช้าๆ พลางตบไหล่รุ่นน้องเบาๆ “ขอบใจมากนะ พี่จะลองดูก็แล้วกัน ส่วนเราก็กลับบ้านกลับช่องไปได้แล้ว ขับรถกลางคืนมันอันตราย”
“กลับก็ได้ ทีน้องน่ะไล่ได้ไล่ดี” ชายหนุ่มพ้ออย่างไม่จริงจังนัก “ฝันดีนะครับ”
“อื้มเราก็ฝันดีนะ” เมฆินทร์อำลาพลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกทางหนึ่ง ก่อนจะขึ้นบ้านไป
เกษตรอำเภอมองตามด้วยรอยยิ้ม พลางแหงนมองดูท้องฟ้าทิศที่เมฆินทร์เหลือบมองเมื่อสักครู่ พลางรำพึงกับตัวเองในใจ
“หน้าหนาว...ดาวสวย พี่เมฆเค้าก็คงอยากนั่งนับดาวกับโน...เหมือนเราสินะ”
ชายหนุ่มดับความนึกคิดของตัวเองลงก่อนจะก้าวขึ้นรถและออกจากบ้านเดิมบางไปเงียบๆก่อนอื่นเลย ต้องขอโทษอย่างแรงๆ ที่มาช้ามาก
อย่างที่บอกว่าช่วงนี้งานยุ่งมากถึงมากที่สุด ทำงานยาวเหยียดตั้งแต่หลังวันพ่อมาถึงวันนี้ยังไม่ได้หยุด
กลับบ้านค่ำมืดทุกวัน กลับมาดูกระทู้ก็เห็นว่า เว้นไปห้าวันเลย (ถือว่านานมากเมื่อเทียบกับนิยายเรื่องก่อน)
วันนี้เลยจำใจต้องฝืนสังขารมาเขียนให้จบตอนนี้ให้ได้ (หลังจากที่เขียนทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง)
ตอนนี้ ข้าวเริ่มส่งกลิ่นหอมกรุ่น แต่เหมือนจะข้ามขั้นไปเป็นมาม่าชามเล็กๆ แหะๆ
(คนเขียนโดนเหยียบ
โทษฐานชอบดราม่าซะทุกเรื่อง)
แต่ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ จะจบด้วยอารมณ์เดียวกับพี่เต้น้องเจ๋งแน่นอนครับ
อาทิตย์หน้าจะได้กลับบ้านเสียที หลังจากที่ผจญความทรมาณที่สระบุรีตั้งสองเดือน
ถ้าอยู่กรุงเทพคงได้มาต่อว่องไวเหมือนเมื่อก่อน
หวังว่าจะติดตามกันและขอบคุณที่ยังชื่นชอบนะครับ
ปล. เรื่องสั้นคั่นเวลาเรื่องที่สาม "ภูเก็ต" ใกล้จะคลอดแล้วครับ สัญญาว่าไม่เกินสองวันนี้ (หรือคืนนี้) แอบฝากไว้ในอ้อมใจด้วย
(และอาจจะไหลไปหน้าสองอย่างว่องไวเมื่อลงแล้ว ฮ่าๆ)