ลงให้อ่านกันก่อนค่า เผื่อพรุ่งนี้ยุ่งจนลืมอัพ~
ม่านราตรี
บทที่ 8
ในวันถัดมา ตุลาก็ต้องพบกับความยุ่งยากที่แวะมาเยือนในชีวิตอีกรอบ เมื่อจู่ ๆ แก๊งเพื่อนสนิท นำขบวนโดยพิชยะ หรือเจ้าเก่ง เพื่อนซี้ตัวกวนของเขา โผล่มาเยี่ยม แถมพาทิศยังออกไปต้อนรับและเชื้อเชิญพวกนั้นเข้ามาพัก โดยไม่คิดกลัวใครจะรู้ว่าตัวเองเป็นซอมบี้เลยด้วยซ้ำ
“ต๊าย! ไอ้ตุล ทำไมแกไม่รีบบอกพวกฉัน ว่ามีพ่อบ้านหล่อลากดินแบบนี้คอยรับใช้วะ!”
แหม่มหรือนางสาวมนฤดี สาวน้อยผูกผมม้าผู้ร่าเริงแจ่มใส รีบหันไปถามตุลาที่ลงมาจากชั้นสอง และยังคงนั่งอึ้ง ๆ ด้วยความมึนงงกับเพื่อนที่ห้องรับแขก ส่วนพิชยะนั้นรีบเอ่ยแซวเพื่อนสาวกลับไปทันที
“แล้วถ้าตุลมันบอกก่อนหน้านี้ แล้วแกจะทำยังไงวะแหม่ม”
มนฤดียิ้มหวานหยดย้อยพลางเอ่ยขอบคุณคนที่เอาน้ำเย็นมาเสิร์ฟ แล้วขอตัวกลับไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารกลางวันต่อ หญิงสาวหันมาทางเพื่อนชายที่ตั้งคำถาม แล้วตอบออกไปอย่างหนักแน่นจริงจัง
“ฉันจะได้ขอมาเช่าบ้านกับตุลมันด้วยอีกคนยังไงล่ะ!”
“แชร์ค่าเช่าเดือนละสามหมื่น ถ้าจ่ายได้ก็เชิญตามสบาย”
ตุลาจิบน้ำเย็นแล้วแสร้งบอกไปเรียบ ๆ เรียกอาการค้อนขวับ จากเพื่อนสาวได้ทันที
“เชอะ! อีตางก! ใครจะมีปัญญาจ่ายยะเดือนละสามหมื่น”
คนฟังถอนหายใจ แล้วหันไปอีกสองคนที่นั่งยิ้ม ๆ ไม่พูดไม่จามากมายเหมือนพิชยะและมนฤดี
“แล้วคิดยังไงถึงได้ยกขบวนมาเยี่ยมกันแบบนี้ ใครต้นคิดล่ะนั่น นายหรือ เอก?”
ชายหนุ่มมาดเข้มรูปร่างสูงใหญ่เป็นนักกีฬายิ้มน้อย ๆ แล้วสั่นศีรษะ ก่อนจะย้อนถาม
“ไม่ใช่ฉันหรอก นายลองเดาดูสิ”
ตุลานิ่งคิด มองอานนท์ แล้วหันไปมองปณาลีที่นั่งใกล้ ๆ ก่อนจะไล่มองพิชยะ และมนฤดี ที่ยกยิ้มกวน ๆ ให้เขา
“อืม...ไอ้เก่ง?”
“บู่! ผิด! ไม่ต้องทายแล้ว หนูน้ำของเราต่างหากที่เป็นคนเสนอความคิด!”
พิชยะโพล่งบอกร่าเริง แต่คนถูกกล่าวถึงยิ้มอาย ๆ แล้วพยักหน้าน้อย ๆ รับ
“ก็เราเป็นห่วงนายนี่ เห็นนายไม่เคยอยู่คนเดียวมาก่อน ก็เลยชวนคนอื่นมา เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”
หญิงสาวผมสั้นประบ่าหน้าตาน่ารักบอกกับตุลา ทางด้านชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ แล้วขอบคุณเบา ๆ กับความมีน้ำใจและห่วงใยจากเพื่อนสาวของเขาผู้นี้
“แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องช่วยอะไรแล้วนี่ น่าแปลกนะ ตอนถามทางเข้ามา พวกชาวบ้านบอกว่าบ้านเช่านายเป็นคฤหาสน์ผีสิง ไอ้พวกฉันก็เสียวสันหลังวาบ คิดว่านายโดนผีหลอกตายคาบ้านไปละ แต่พอมาดูจริง ๆ นี่มันคฤหาสน์ไฮโซชัด ๆ หรูหราจะตาย”
อานนท์เปรยขึ้น ขณะที่มองสำรวจไปทั่วบ้านอย่างนึกทึ่ง ไม่คิดว่าเพื่อนจะมีเงินเช่าคฤหาสน์หรูหราขนาดนี้เพื่ออยู่อาศัยได้
“ถ้ามาก่อนหน้านั้นอีกสักสามสี่วัน ก็คงได้เห็นแบบที่ชาวบ้านบอกนั่นล่ะ”
ตุลาบอกเบา ๆ เมื่อหวนคิดถึงสภาพบ้านที่เขาได้เห็นในครั้งแรก
“หือ? แล้วไหงกลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?” มนฤดีถามขึ้นบ้าง
“ก็ฉันสละทรัพย์สมบัติส่วนตัวปรับปรุงน่ะสิ...ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ต้องอยู่อีกเกือบปี ยังไงก็ต้องตอบแทนกันบ้าง”
ตุลาเปรยแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนอื่น ๆ มองเขาอย่างสงสัย
“ง่า...ฉันหมายถึง ตอบแทนบ้านหลังนี้ที่ให้ฉันอยู่อาศัยไง”
“แปลก ๆ นะนาย ...ว่าแต่คุณพาทิศนี่เป็นใคร ทำไมถึงมาเป็นพ่อบ้านนายได้ล่ะ นายจ้างเขามาหรือ ค่าตัวแพงมากไหม?”
มนฤดีกลับมาซักไซ้ในเรื่องของพ่อบ้านหนุ่มที่เธอให้ความสนใจอีกรอบ ตุลายิ้มเจื่อน ๆ แล้วพยายามคิดเรื่องแก้ตัวสด ๆ ขึ้นมาเพื่อหวังกลบเกลื่อน
“คือ...คุณพาทิศ เขาเป็นคนรู้จักของเพื่อนคุณอาอีกที แบบอากริชฝากฝังไว้ก่อนตายน่ะ ว่าถ้าฉันเช่าบ้านหลังนี้เมื่อไหร่ ก็ให้มาคอยดูแลฉันด้วย”
คำตอบของตุลาทำให้เพื่อน ๆ ร้องอ๋อ ก่อนหน้านั้นพวกเขาก็นึกแปลกใจกับพินัยกรรมล่วงหน้าที่ผู้เป็นอาของเพื่อนเขียนทิ้งไว้อยู่บ้าง แต่เพราะรู้ว่าตุลานั้นรักและเคารพอาของตัวเองมาก จึงไม่มีใครโต้แย้งหรือติติงอะไรถึงพินัยกรรมแปลก ๆ ฉบับนั้น เพราะเกรงว่าตุลาจะไม่พอใจนั่นเอง
“นี่ ๆ ตุล ขอพวกเราเดินสำรวจบ้านหน่อยได้ไหม บอกตามตรงว่ะ ไม่เคยเข้าบ้านหรู ๆ แบบนี้มาก่อน อยากเห็นเป็นบุญตาสักครั้ง...นะ”
พิชยะหันไปขอร้องเพื่อน ตุลาทำตาปริบ ๆ ครั้นจะไม่อนุญาตก็กลัวโดนว่าใจแคบ เลยต้องถอนหายใจเบา ๆ แล้วอนุญาตให้อย่างเสียไม่ได้
“ก็ได้...แต่อย่าทำเสียงดังนักนะ เดี๋ยวจะรบกวนพวกเขาเข้า...”
คนอื่นชะงัก พร้อม ๆ กับตุลาที่เผลอหลุดปาก ต่างคนมองชายหนุ่มนิ่งด้วยสายตาตั้งคำถาม ตุลานิ่งคิด แล้วจึงแสร้งยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับบอกไปหน้าตาเฉย
“ก็พวกวิญญาณเฮี้ยนที่ชาวบ้านบอกยังไงล่ะ”
พิชยะที่กลัวผีไม่แพ้กับตุลาสะดุ้งเฮือก แล้วเหลือบมองซ้ายมองขวาอย่างลืมตัว
“มะ...มีจริงหรือวะ”
“บ้าน่ะเก่ง ไปเชื่อตุลมัน คนขี้กลัวอย่างมัน ถ้ามีผีจริง ๆ ป่านนี้เผ่นไปแล้ว ไม่อยู่มาได้เกือบอาทิตย์แบบนี้หรอก!”
มนฤดีบอกขัดคอขึ้นอย่างหมั่นไส้ ทำเอาตุลากลืนน้ำลายลงคอ กับคำพูดแสนจะแทงใจดำของเพื่อนสาว เพราะถ้าพวกพาทิศไม่ใช่ผีใจดีแล้วล่ะก็ เขาก็คงเผ่นไม่ยั้งไปตั้งแต่วันแรก ๆ อยู่เหมือนกันนั่นล่ะ
และในที่สุด เมื่อเห็นว่าเพื่อน ๆ ยังคงไม่เปลี่ยนใจ ตุลาจึงจำต้องเดินนำเป็นไกด์พาทุกคนทัวร์ภายในคฤหาสน์ม่านราตรีอย่างจำใจทีละห้อง
ตอนนี้ตุลาย้ายมาอยู่ห้องใหม่ ซึ่งเป็นห้องเก่าของจอมเดช เพราะเวลาออกมาที่ระเบียง จะสามารถเห็นสวนด้านหลัง ซึ่งเป็นที่อยู่ของเงือกสาวและซุ้มดอกราตรีที่วิญญาณสาวอาศัยอยู่ได้ถนัดชัดเจนกว่าห้องที่เขาอยู่ในครั้งแรก
“โห! ห้องมึงหรูว่ะตุล กว้างก็กว้าง แถมมีระเบียงอีก มองไปเห็นวิวในสวนด้วย... อ๊ะ! เฮ้ย! เงือกนี่นา!”
เสียงพิชยะเอะอะโวยวาย ทำเอาตุลาสะดุ้งเฮือก ส่วนคนอื่นพากันวิ่งกรูออกไปทางระเบียงอย่างสนใจ
“ไหน? เงือกที่ไหน ไม่เห็นมีใครเลย ตาฝาดไปเปล่า”
มนฤดีถามเพื่อนของเธอ คนอื่น ๆ ก็พยายามมองแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากสนามหญ้าและต้นไม้ รวมไปถึงบ่อน้ำแค่นั้น
“มีสิ! มีจริง ๆ นะ ผู้หญิงสาวผมยาว ๆ มีหางเป็นปลา มานั่งอยู่ริมบ่อตรงนั้น!”
พิชยะโวยวายเมื่อเพื่อนคนอื่นพยายามหาว่าเขาตาฝาด
“หือ? เงือกหรือ ตอนฉันวิดบ่อเปลี่ยนน้ำใหม่ ยังไม่เจอเลยนะ สงสัยจะเพิ่งย้ายมาอยู่มั้ง”
ตุลาทำหน้าตาแบบไม่รู้สึกรู้สา ยิ่งตอกย้ำให้คนอื่นเข้าใจว่าพิชยะน่าจะตาฝาดไปเองมากกว่า
“เพราะนายกลัว และคิดว่ามีผี ก็เลยตาฝาดไปน่ะสิ!”
มนฤดีบ่นใส่ ซึ่งพิชยะก็รีบสวนกลับทันที
“นั่นมันผี ถ้าฉันตาฝาดก็ควรเห็นผี แต่ที่ฉันเห็นมันนางเงือกต่างหาก! เงือกตัวเป็น ๆ จริง ๆ นะ!”
“อย่าเถียงกันเลยน่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวลงไปดูในบ่อพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า จะได้รู้ว่ามีจริงหรือตาฝาด”
อานนท์สรุป ซึ่งก็ทำให้ทุกคนเห็นด้วย ยกเว้นตุลา
“ง่า...เหลวไหลน่า แค่นี้ก็ต้องลงไปดูด้วยหรือไง ฉันว่าเราไปสำรวจห้องอื่นแทนดีกว่านะ”
“แต่เราว่าไปดูเลยก็ดีนะตุล จะได้ไม่คาใจทั้งสองฝ่าย จริงไหมเก่ง”
ปณาลีบอกกับเพื่อนของเธอ ซึ่งพิชยะก็รีบพยักหน้ารับ
“นั่นสิ! ไปดูให้รู้แล้วรู้รอดดีกว่า อยากรู้เหมือนกันว่าตาจะฝาดบ้าอะไรเป็นรูปเป็นร่างขนาดนั้น ยังติดตาอยู่เลยเนี่ย!”
จากนั้นเพื่อนทั้งสี่ก็เคลื่อนขบวนลงจากตึกออกไปยังสวนหลังบ้าน โดยมีตุลาตามไปอย่างกังวล จะขอให้พาทิศช่วยแก้สถานการณ์ ซอมบี้หนุ่มก็ไม่รู้หายไปไหน มีแค่เพียงอาหารกลางวันที่ถูกจัดเตรียมค้างไว้ในครัวเท่านั้น
“นี่ล่ะ ๆ บ่อนั้นไง ที่มีเงือก!”
พิชยะบอกแล้วชี้ให้เพื่อนดู แต่ตัวเขาเองกลับไม่กล้าเข้าไปเสียอย่างนั้น
“มา! ฉันไปดูเอง น้ำใสแจ๋วเห็นก้นบ่อขนาดนี้ มองดูก็รู้ว่ามีอะไรบ้าง...”
มนฤดีบอกแล้วก็เงียบชะงักไป ปฏิกิริยาของเพื่อนสาว ทำให้ตุลาตกใจและรีบแก้ตัวยกใหญ่
“เอ่อ... คือนั่นน่ะ ...เธอเป็นเพื่อนฉันเอง ...ไม่ใช่ภูตผีปีศาจอะไรไม่ดีทีไหนหรอกนะ!”
มนฤดีหันมามองตุลาอย่างงง ๆ ก่อนจะกวักมือเรียกทุกคนเข้าไปดูที่บ่อน้ำกับเธอ
“นี่ไง เงือกที่นายเห็นน่ะเก่ง”
ปลาช่อนอเมซอนตัวใหญ่พอ ๆ กับเด็ก ว่ายวนไปมาในบ่อลึก ผิวน้ำบนบ่อมีใบบัวเล็ก ๆ บังร่มเงาให้ร่างใต้น้ำ มันว่ายไปมา เลาะกอบัว ทำให้คนมองยิ้มน้อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน
“แต่ฉันว่าฉันเห็น...”
“มองผ่าน ๆ ก็นึกว่าเงือกได้เหมือนกันล่ะนะ ตัวใหญ่ไม่ใช่ย่อยเลยนี่ตุล อยู่มานานแล้ว หรือนายซื้อมาลงบ่อไว้น่ะ”
อานนท์หันไปถามเพื่อน ด้านตุลาซึ่งกำลังมึนงงชะงักเล็กน้อย แล้วรีบตอบตามน้ำไป
“ง่า ...มันอยู่มานานแล้วน่ะ ก่อนฉันจะมาเช่า บางทีเวลากระโดดเล่นน้ำ ก็ทำให้มองผ่าน ๆ นึกว่าคน เด็ก ๆ แถวนี้ก็เลยชอบเอาไปลือกัน”
“ตาฝาดหรือวะ...แต่ที่ฉันเห็นนั่นผู้หญิงชัด ๆ เลยนะ”
พิชยะยังคงบ่นอุบ มนฤดีกับปณาลีเลยช่วยปลอบเพื่อน แล้วชวนไปนั่งเล่นที่ซุ้มราตรีแทน ตุลาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยังคงมองเจ้าปลาช่อนอเมซอนอย่างแปลกใจ แต่ก็ต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนสาวเรียก
“ยืนเหม่ออะไรอยู่ได้ตุล เห็นปลาช่อนเป็นเงือกกับเก่งเข้าอีกคนหรือไง!”
ตุลารีบหันไปยิ้มแห้ง ๆ แล้วตามเพื่อนไปนั่งที่ซุ้ม ระหว่างนั่งพวกเขาก็คุยกันเรื่อย ๆ ถึงการงาน และเรื่องเรียนของแต่ละคนในช่วงนี้
“พวกนายสองคนเรียนต่อคณะเดียวกันสินะ”
ตุลาถามอานนท์กับปณาลี ซึ่งทั้งคู่ก็พยักหน้ารับ
“น้ำน่ะฉันไม่แปลกใจหรอก แต่นายน่ะสิเอก ไหนบอกไม่อยากต่อบริหารแล้วไง”
มนฤดีถามต่อ แต่คนถูกถามสะดุ้ง แล้วเหลือบมองไปทางอื่น ส่วนปณาลีนั้นหน้าแดงนิด ๆ แล้วก้มหน้าน้อย ๆ ทำให้เพื่อนทุกคนชะงัก แล้วหันมาสนใจกับปฏิกิริยาของคนทั้งคู่แทน
“ต๊าย! อย่าบอกนะว่าคบกันแล้ว! กรี๊ด! น้ำทำยังงี้ได้ไง มีแฟนตัดหน้าเราแบบนี้อ่ะ!”
มนฤดีแกล้งทำโวยวายใส่ ยิ่งทำให้ปณาลีและอานนท์เขินหนักยิ่งขึ้น ส่วนพิชยะที่คันปากยิบ ๆ ก็รีบแทรกขัดขึ้นทันที
“ขืนรอให้เธอหาแฟนได้ก่อน มีหวังหนูน้ำเหี่ยวแห้งก่อนพอดีน่ะสิแหม่ม”
“ปากเสียนะไอ้เก่ง เดี๋ยวเจอเตะหรอก!”
มนฤดีหันมาบอกด้วยน้ำเสียงห้วนห้าว เสียจนเพื่อนชายต้องทำคอพับคอย่นแล้วรีบยกมือยอมแพ้ สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นที่เหลือ
“ก็คิด ๆ อยู่เหมือนกันล่ะนะ ว่าอาจจะเป็นแบบนี้สักวัน ยังไงก็ขอให้มีความสุขนะทั้งสองคน”
ตุลาอวยพรให้เพื่อน ซึ่งอานนท์กับปณาลีก็หันมายิ้มให้กับชายหนุ่ม
“ที่เป็นแบบนี้ก็ต้องขอบคุณนายด้วยล่ะนะตุล”
อานนท์ว่า แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกแฟนสาวตีแขนเข้าให้เบา ๆ แล้วทำหน้าห้ามให้เขาพูด
“ฮ่า ๆ น้ำเขาเขินน่ะ ไม่เห็นเป็นไรเลย เรื่องมันผ่านมาแล้วก็เล่า ๆ ไปเหอะ คนบื้อ ๆ มันจะได้รู้ตัวบ้าง จะได้ไม่เผลอไปทำให้สาวไหนอกหักเข้าให้อีก”
อานนท์บอกอย่างไม่ถือสา ปณาลีหน้าแดงหนักแล้วค้อนขวับให้แฟนของเธออย่างงอน ๆ จนทำให้อานนท์ต้องรีบง้อ ส่วนคนอื่นนอกจากตุลาพอได้ยินเช่นนั้นก็พอจะเดาเรื่องทั้งหมดได้ออก มีแต่ตุลาที่ยังคงมีสีหน้าสงสัยแล้วถามคนอื่น
“เอ่อ..ทำไมหรือ เกี่ยวอะไรกับฉันด้วยหรือไง?”
ทุกคนมองหน้ากันตาปริบ ๆ แล้วจึงถอนหายใจออกมาไล่เลี่ยกันจนตุลายิ่งงงไปใหญ่
“ตุลเป็นแบบนี้ต่อไปก็ดีแล้วล่ะ น่ารักดีออก”
ปณาลีบอกแล้วยิ้มให้ ซึ่งอานนท์ก็หัวเราะเบา ๆ คนอื่น ๆ ก็ต่างอมยิ้มน้อย ๆ จนตุลาชักจะไม่สบอารมณ์
“อีกละ ชอบทำเป็นรู้กันเองเฉพาะกลุ่ม แล้วทิ้งให้ฉันไม่รู้อยู่คนเดียวประจำ!”
“โอ๋ ๆ อย่างอนสิคะ น้องตุล มามะ เดี๋ยวพี่เก่งปลอบให้”
พิชยะแกล้งจีบปากจีบคอล้อเลียน แล้วทำท่าปล้ำกอดตุลา จนคนถูกกอดต้องตะโกนห้าม ส่วนคนอื่น ๆ พากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“โธ่โว้ย! บอกว่าอย่าไง! ปล่อยนะโว้ย ไอ้เก่ง!”
ตุลาบ่นโวยวาย พิชยะหัวเราะร่าเริงไม่ยอมฟัง ยังคงแกล้งกอดเพื่อนของตนอยู่อย่างนั้น ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเย็นวาบที่ข้อเท้าของตน เขาเหลือบลงมองไปดู แล้วก็ต้องร้องจ๊าก พลางกระโดดหนีออกไปจากซุ้ม พร้อมแหกปากโวยวายยกใหญ่
“มือ! มีมือจับข้อเท้าฉัน!”
ตุลาใจหายวาบ แล้วรีบทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนทันที
“มือบ้าอะไรวะ คราวเงือกก็ทีนึงละ”
“อีกละ ๆ มึงนี่นะเก่ง จะแกล้งกันไปถึงไหนวะ หรือเห็นว่าตุลกลัวผี เลยแกล้งทำเป็นเจอผีหลอกให้ตุลมันกลัว ฮึ!”
อานนท์เสริมขึ้นมาบ้าง แต่พอเห็นใบหน้าซีดเผือดของเพื่อน ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้แกล้งแหย่เล่นแน่
“เข้าไปนั่งพักในบ้านสงบสติอารมณ์ก่อนไป นึกว่าตุลมันจะกลัวผีขึ้นสมองคนเดียวเสียอีก มึงนี่ก็ไม่แพ้กันเลยว่ะเก่ง”
ชายหนุ่มรูปร่างนักกีฬาบ่น แล้วชวนเพื่อนเข้าไปพักในบ้าน เพราะบรรยากาศร่มรื่นของสวนครึ้มแห่งนี้ จะว่าไป ถ้าไม่ใช่ช่วงกลางวัน มันก็ดูวังเวงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
พอทั้งหมดเข้ามาในคฤหาสน์ พาทิศก็ปรากฏกายมาดักรอทุกคนพร้อมรอยยิ้ม
“ยินดีต้อนรับกลับนะครับนายน้อย อาหารเตรียมไว้เสร็จแล้ว เชิญทุกคนที่โต๊ะได้เลยนะครับ ผมขอตัวสักครู่ก่อน”
พาทิศบอกแล้วหันไปลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับคนที่ตีหน้ายุ่ง เพราะเวลาเดือดร้อน อีกฝ่ายก็ดันหายตัวไม่ยอมอยู่ช่วยเขาแก้ไขสถานการณ์ ทั้งที่เป็นคนนำเจ้าเพื่อนรักพวกนี้เข้ามาโดยไม่บอกเขาล่วงหน้าแท้ ๆ
จากนั้นทั้งหมดก็พากันมายังโต๊ะอาหาร บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่สลายไปเกือบจะหมดสิ้นเพราะสีสันและกลิ่นหอมเย้ายวนบนโต๊ะเหล่านั้น
“อร่อยชะมัดเลยว่ะตุล น่าอิจฉาจริง ๆ ที่มีของอร่อยแบบนี้ให้กินทุกวัน”
พิชยะที่อารมณ์ดีขึ้นเพราะของกิน บอกกับเพื่อนสนิท คนอื่น ๆ เองก็เห็นด้วยกับชายหนุ่ม แล้วต่างกินอาหารในมื้อนั้นกันจนหมดเกลี้ยง
“เดี๋ยวพวกฉันช่วยล้างเอง หนุ่ม ๆ ไปนั่งคุยกันไป!”
สองสาวไล่หนุ่ม ๆ ที่ยืนเกะกะในครัว เพราะตุลาบอกว่าพาทิศนั้นร่างกายไม่แข็งแรงนัก ส่วนใหญ่พอถึงช่วงกลางวันพ่อบ้านหนุ่มก็จะเข้านอน และเริ่มจัดการงานบ้านทั้งหมดในตอนเย็น เพื่อน ๆ ของเขาเลยขันอาสาจัดการเรื่องเก็บกวาดล้างชามเป็นการตอบแทนอาหารมื้ออร่อยดังกล่าว
“บ้านเช่ามึงน่าอยู่ดีหรอกนะตุล แต่ถ้าให้อยู่คนเดียวกูคงไม่ไหวว่ะ”
อานนท์บอกกับเพื่อนของเขา ซึ่งเวลาหนุ่ม ๆ อยู่คุยกันเองก็มักจะส่งภาษามึงมาพาโวยเช่นนี้เสมอ แต่ถ้ามีมนฤดีหรือปณาลีอยู่ด้วย พวกเขาก็จะพูดคุยกันธรรมดา เพราะมักจะโดนปณาลีเขม่นอยู่บ่อย ๆ ส่วนมนฤดีนั้นเธอเคยชินกับคำพูดสนทนาเช่นนี้เสียแล้ว มิหนำซ้ำยังเผลอพูดเองกับพวกหนุ่ม ๆ ด้วยซ้ำ
“นั่นสิวะ บ้านหลังใหญ่แบบนี้ ยังไงก็ต้องมี ‘ไอ้นั่น’ อยู่แน่ ทางที่ดี มึงแขวนพระติดตัวไว้ดีกว่าว่ะตุล เพื่อนขอเตือนด้วยความเป็นห่วงนะโว้ย!”
พิชยะรีบพยักหน้าเสริมเห็นด้วยตามมาอย่างรวดเร็ว
“มึงก็ขี้กลัวเกินไปว่ะเก่ง และอีกอย่างถึงจะมีไอ้นั่นจริง ๆ แต่ถ้าเค้ามาดีไม่มาร้าย กูก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
ตุลาบอกกับเพื่อนทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง จนคนมองต้องนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาไล่เลี่ยกัน
“ก็แล้วแต่มึงล่ะนะ ...อืม จะว่าไปก็จริง ๆ นั่นล่ะ ต่อให้เป็นผี ถ้ามาดี ก็ยังดีกว่าคนที่คิดร้ายเสียอีก”
อานนท์เปรยขึ้น จากนั้นทั้งสองสาวก็ตามมาสมทบ พวกเขาคุยกันสักพัก พิชยะก็ชักชวนเพื่อนฝูงขอตัวกลับ เพราะบ้านแต่ละคนก็อยู่ไกลจากที่พักของตุลาพอสมควร
“น่าเสียดายจัง ว่าจะลาคุณพาทิศสักหน่อย งั้นฝากตุลบอกด้วยนะว่าฉันชอบเค้ามาก เอ๊ย! ขอบคุณเขามากสำหรับอาหารมื้อกลางวัน”
มนฤดีบอกกับเพื่อนชายของเธอด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้มชวนฝัน ซึ่งตุลาก็หัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้ารับ
“อือ รู้แล้ว ไว้จะบอกให้”
“งั้นก็โชคดีนะตุล นิยายคืบหน้ายังไงก็ส่งมาให้อ่านกันบ้างนะ”
“ได้สิ แล้วจะส่งไปให้ช่วยอ่าน ช่วยวิจารณ์แล้วกัน”
ตุลาบอกกับปณาลีพร้อมรอยยิ้ม และพอทั้งหมดเตรียมจะกลับ พิชยะก็เกิดปวดปัสสาวะขึ้น จึงบอกให้คนอื่น ๆ รอเขาก่อน
“เดี๋ยวไปฉี่แป๊บว่ะ รอหน่อยนะสาว ๆ”
“เออ ๆ ไปเถอะย่ะ!”
มนฤดีบอกอย่างรำคาญใจ พิชยะหัวเราะแห้ง ๆ แล้ววิ่งตรงไปยังห้องน้ำชั้นล่าง เขายืนทำธุระแล้วกดน้ำเรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปจากห้องน้ำอย่างสบายตัว
“อี๋! ล้างมือด้วยสิยะ น่าเกลียดเชียว!”
เสียงใส ๆ บ่นขึ้น ทำเอาพิชยะสะดุ้งเฮือก หน้าซีด มองซ้ายมองขวา ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อได้ยินเสียงน้ำจ๋อมแจ๋มดังเบา ๆ หลังประตูกระจกฝ้าที่กั้นระหว่างอ่างอาบน้ำกับห้องน้ำเอาไว้ พิชยะค่อย ๆ เดินไปเปิดบานประตูนั้นช้า ๆ แล้วก็ต้องตกตะลึงตาเหลือกกว้าง เมื่อเห็นแมวดำสองหางกำลังนอนแช่น้ำเล่นในอ่างนั้น แถมยังขู่ฟ่อใส่เขาอีก
“ทะลึ่ง! มาแอบดูสุภาพสตรีอาบน้ำได้ไง ปิดเดี๋ยวนี้นะยะ!”
ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก รีบปิดบานประตูกระจกฝ้านั่นอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังที่เพื่อน ๆ รออยู่
“เสร็จแล้วหรือวะเก่ง...หือ? เป็นอะไรไป ไหงหน้าซีดเผือดแบบนั้น”
อานนท์ทักเพื่อนอย่างเป็นห่วง พิชยะไม่ตอบคำถามนั่น แต่กลับหันไปหาตุลาแทน
“ตุล...บ้านมึงเลี้ยงแมวดำด้วยใช่ไหม ...แมวที่มีหางสองหางน่ะ?”
ตุลาชะงัก พอจะคาดเดาได้ว่าเพื่อนไปเจอกับอะไรมา เขาแสร้งยิ้มหวานอ่อนโยน แล้วบอกกับอีกฝ่าย
“ไม่มีนี่ ตาฝาดเห็นอะไรเข้าอีกล่ะ ...อ้อ แต่เคยได้ยินชาวบ้านเล่าว่า เจ้าของคนเก่าเขาเลี้ยงแมวไว้ แต่ก็ตายไปหลังจากเจ้าของที่นี่ตายไม่นานแล้วล่ะนะ”
พิชยะยิ่งหน้าซีดเผือดขึ้นไปอีก เขาหันไปหาเพื่อนคนอื่นแล้วรีบบอก
“กะ...กลับกันเถอะว่ะ ขืนอยู่อีก มีหวังได้เจออะไรแปลก ๆ อีกแหง...”
“เฮ่ย! เดี๋ยวเก่ง อย่าบอกนะว่าเมื่อกี๊เจอแมวอะไรที่ว่าเข้า”
มนฤดีถามอย่างตกใจ ซึ่งเพื่อนชายของเธอก็รีบพยักหน้ารับหงึก ๆ ทั้งที่หน้าซีดเผือด ทำเอาคนอื่น ๆ เสียวสันหลังวาบตามกัน
“งั้น...มือนั่นที่ซุ้มก็อาจจะ...”
อานนท์เอ่ยค้างไว้แค่นั้น แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงพร้อมกับคนอื่น เมื่อได้ยินเสียงแมวร้องแง๊วดังลั่น แล้วก็เงียบไป ตุลาหน้าซีดตามเพื่อน แต่ก็แสร้งฝืนยิ้มแย้มส่งให้คนอื่น
“ก็นะ...บางครั้งก็มีอะไรแบบนี้บ้าง แต่ก็ดีไม่ใช่หรือ ได้บรรยากาศเขียนนิยายดีออก”
คนอื่นยิ้มไม่ออก โดยเฉพาะพิชยะ เขาอยากรีบกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้ จึงดึงแขนอานนท์ยิก ๆ ตลอดเวลา
“ง่า...งั้นพวกเรากลับล่ะตุล ...ถ้าอยากย้ายบ้านเมื่อไหร่ก็โทรมาตามได้ทุกเมื่อนะ”
มนฤดีบอกพร้อมกับยิ้มเจื่อน ๆ จากนั้น ทุกคนก็รีบขอตัวกลับบ้าน โดยมีพิชยะเดินนำลิ่ว ๆ ออกไปเป็นคนแรก ทางด้านตุลามองตามไล่หลังเพื่อนไปด้วยความสงสาร ก่อนจะหันกลับมามองในคฤหาสน์แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาตั้งใจว่า จะไปไล่ถามทีละราย ถึงพฤติกรรมที่พวกเจ้าตัวทำในวันนี้ โดยเฉพาะรายหลังสุดที่เข้าข่ายหลอกเพื่อนเขาให้ขนหัวลุกไปตาม ๆ กันนั่น…
--- TBC ---