ตอน 2 วันหยุดชิว
“มองหาไร” คำพูดกวนๆปลุดออกมาจากริมฝีปากของโอม คนที่นั่งอยู่มองคนที่ยืนค้ำหัวตัวเองอย่างท้าทาย
“อ๊าว จะกินไรก็รีบๆสั่งมาดิว่ะ ถ้าไม่กินก็ออกไปเลย” เกี๊ยวตะคอกเบาอย่างไม่พอใจ
“ผัดกะเพรา” เสียงทุ้มเอ่ยสั้นๆราวกับเป็นเรื่องปกติ
“นี้มันร้านขายบะหมี่เกี๊ยวว้อย อยากแดรกผัดกะเพราก็ไปหาที่อื่นเลยไป๊” คนตัวเล็กตะคอกอีกครั้ง แต่ยังคงรักษาระดับเสียงไว้ให้เบาเพียงแค่สองคนได้ยิน ขืนตะโกนดังมีหวังโดนด่า มีที่ไหนบ้างไล่ลูกค้ากลางวันแสกๆ
“อืม ก็รู้นี่แล้วยังจะถามอีกทำไม” ร่างสูงเอ่ยขณะที่สายตาจับจ้องที่หนังสือการ์ตูนในมือ
ร่างบางแยกเขี้ยวนิดๆ มือเล็กกำแน่นแบบไม่สบอารมณ์ ทำไมผมถึงซวยยังงี้ จันทร์-ศุกร์เจอหน้ากันที่โรงเรียนไม่พอ ไหงมันชอบมารังควานถึงที่ไม่เว้นวันหยุดราชการแบบนี้ด้วยฟร่ะ จะมีใครที่ไหนได้ซะอีกหล่ะ นอกจากไอ่โอม
“พ่อหมี่เกี๊ยวที่หนึ่ง” เด็กหนุ่มร่างบางเอ่ยกับผู้เป็นพ่อ จะให้ทำไงได้เมื่อครอบครัวทีกิจการเป็นของตัวเอง บุคคลผู้เป็นลูกก็ต้องเตรียมตัวสืบทอดกิจการจากบรรพบุรุษต่อไป
“เช็คบิลโต๊ะสี่ด้วย” เสียงตะโกนดังตามหลัง แต่มันก็ยังดังไม่พอที่กลบเสียงอึกทึกในร้านได้ วันปกติคนก็เข้าร้านตลอดทั้งวันอยู่แล้ว ยิ่งเป็นวันหยุดแบบนี้ เรียกว่าแทบจะไม่ได้พักกันเลยทีเดียว
“60 บาทครับ” เกี๊ยวรับเงินจากลูกค้าก่อนที่จะลงมือเก็บกวาดถ้วยจานที่วางเกลื่อนตรงหน้า ผ้าชุบน้ำสีขาวถูกกดลงบนโต๊ะที่เลอะ สองสามรอบให้สะอาดพร้อมใช้เช่นเดิม
ผู้คนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาในร้านอย่างไม่ขาดสาย ทำเอาคนตัวเล็กตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ พัดลมที่ติดอยู่ข้างฝาผนังก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้สักเท่าไร เหงื่อเม็ดใสผุดขึ้นที่ดวงหน้าเล็กๆ พวงแก้มสีชมพูแดงระเรื่อเพราะความร้อนผสมกับการที่ร่างบางวิ่งไปวิ่งมา ทั้งเสิร์ฟ ทั้งเก็บโต๊ะ งานสารพัดอย่างตกเป็นหน้าที่ของเด็กหนุ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เอานี่ไปเสิร์ฟโต๊ะ 10” มือเล็กถือถ้วยบะหมี่ร้อนๆไว้ในมือ 4 ใบในคราวเดียวอย่างชำนาญ ใช้ว่ามันจะไม่ร้อน โครตร้อนเลยแหละ แต่สีหน้าของกลุ่มคนที่นั่งอยู่โต๊ะที่ว่านั้น ไม่ค่อยจะน่าพิสมัยเท่าไรนัก ผมยังสงสัยว่าลูกค้าส่วนใหญ่อดข้าวกันมา 3 วันก่อนจะมากินร้านผมรึไงก็ไม่รู้ ก็อย่างว่าแหละครับ ร้านผมมีทั้งขาประจำและขาจร จะให้สั่งแล้วได้เลยมันคงเป็นไปไม่ได้
ร่างบางที่ยืนหอบเล็กๆอยู่หน้าหม้อน้ำร้อน ก่อนจะคว้าถ้วยบะหมี่หลายๆชามไว้ในมือ โดยไม่รู้ว่าว่าในร้านยังมีคนๆหนึ่งนั่งมองการกระทำนั้นตลอด ชายหนุ่มมองคนตัวเล็ก เสื้อยืดที่เปียกชุ่มแนบหลังเล็กๆกับผ้ากันเปื้อนเก่าๆดูต่างจาก เกี๊ยวที่เขาเจอทุกวันที่โรงเรียน ไอ่คนที่นั่งอยู่ข้างหลังห้อง ไม่ค่อยจะเอาถ่านเอาขี้เถ้ากะใครเค้าสักเรื่อง เห็นแบบนี้แล้วมันก็... ทำเอาร่างสูงอดยิ้มไม่ได้
“โต๊ะ 7” เด็กชายรับถ้วยบะหมี่ที่ร้อนยังกะน้ำมันหมูที่อยู่ในกระทะมาอย่างคล่องแคล่ว
“...” คนตัวเล็กกระแทกถ้วยบะหมี่วางตรงหน้าลูกค้าที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าแรงจนน้ำบะหมี่แทบหก โอมเงยหน้ามองร่างบางที่ถึงจะยืนอยู่แต่ก็สูงกว่าตอนที่ตัวเองนั่งไม่เท่าไรนัก
นัยน์ตาคมที่จ้องมองดวงหน้าของคนตัวเล็กเหมือนจะหาเรื่อง ทำเอาเกี๊ยวเริ่มรู้สึกหวั่นๆไม่น้อย ถ้าเกิดไอโอมมันลุกพรวดพราดขึ้นมาชกผม ผลมันก็เห็นๆกันอยู่ตั้ง แต่ยังไม่ได้ขึ้นสังเวียนแล้วล่ะ แต่ให้รู้ซะบ้างว่านี้ถิ่นใคร ยิ่งตอนบ่ายๆคนก็เริ่มบางตาลงไปแร่ะ ดูได้จากที่พ่อผมมันนั่งพักอยู่หน้าร้าน มันก็คงไม่กล้าทำอะไรผม สะใจจริงโว้ยยย
“มองหาไร แดรกดิ” ร่างบางเอ่ยกวนๆ พร้อมกับยักคิ้วให้กับคนที่นั่งอยู่อย่างมีชัย
“ขอน้ำ” คำพูดสั้นๆเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามันเป็นคำพูดที่มาจากปากของไอ่คนที่ผมไม่ชอบขี้หน้ามัน มันก็เหมือนกับเสียงแมงหวี่แมงวันที่ต่อมอยู่รอบหัวจนน่ารำคาญนั่นแหละ
“อยากแดรกน้ำใช่มั้ย” ผมกดน้ำเย็นใส่แก้วพลาสติกก่อนจะจุ่มมือลงไปในแก้ว ก็มือผมมันเล็กเรื่องแค่นี้สบายอยู่แล้ว จะหายาถ่ายท้องให้มันตอนนี้ก็คงไม่ทัน มือผมเนี่ยแหละยาถ่ายท้องอย่างดี เค็มๆมันๆแถมมีขี้ดินดำๆตามซอกเล็บเพิ่มรสชาติ อร่อยเหาะแน่งานนี้
“แดรกน้ำขี้มือกูก็แล้วกันนะ” คนตัวเล็กหัวเราะอย่างบ้าคลั่งกับตัวเอง ก่อนจะถือแก้วน้ำไปเสิร์ฟให้กับเจ้าของเสียงที่เอ่ยกับตนเมื่อกี้
“น้ำ” จะมาไม้ไหนอีกล่ะเนี่ย (โอมคิด) พลางมองหน้าใสๆที่เปื้อนยิ้มจนผิดสังเกต
“เฮ๊ย” อ้า...ตกหลุมพรางผมจนได้ เป็นไงล่ะ น้ำขี้มือกูอร่อยมั้ย
ร่างเล็กที่กำลังหันหลังก้มหน้าก้มตาเช็ดโต๊ะที่อยู่ห่างจากโอมไม่กี่วา แอบยิ้มกรุ่มกริ่มด้วยความสะใจ
“เฮ๊ย ไอเกี๊ยว น้ำตาลหมด” อ้าว อะไรฟ่ะ นึกว่ามันแดรกน้ำขี้มือผมแล้วซะอีก กำลังรอเวลาที่มันจะลงไปชักดิ้นชักงออยู่กะพื้นแล้วเชียว
ผมเลยจำใจต้องไปเติมน้ำตาลที่โต๊ะมัน เมื่อเช้าผมก็เติมเครื่องปรุงทุกโต๊ะแล้วนี่นา ไหงมันหมดไวจังแฮ่ะวันนี้ พอเติมน้ำตาลเสร็จผมก็นึกว่ามันยังไม่ได้ปรุง ที่ไหนได้มันก็นั่งกินต่อหน้าตาเฉย ยังงี้ไม่เรียกว่าแกล้งแล้วจะให้ผมคิดยังไง หน๊อย แต่ช่างเหอะ ถ้ามันได้กินน้ำ(ขี้มือ)ของผมแล้วจะรู้สึก
“อ้าว เฮ๊ย” ร่างสูงร้องเสียงหลงทำให้คนตัวเล็กมีความหวังอีกครั้ง หึหึ ให้รู้ซะบ้างว่าไผ่เป็นไผ่
“เฮ๊ย” เป็นผมเองที่ต้องแหกปากร้องเสียงหลงตามมัน ก็มีน้ำหกเลอะเทอะเต็มโต๊ะไอ่โอม ให้เดาคงเป็นน้ำขี้มือผมแน่ๆ ไอ่ที่ผมร้องไม่ใช่เพราะตกใจที่น้ำหก แต่ผิดหวังมากกว่าเพราะโอกาสที่ผมจะได้เอาคืนมันมีลิบหรี่ยิ่งกว่าการที่ผมจะตื่นเช้าทันขึ้นรถโรงเรียนนะเสะ
“โทษทีว่ะ” คำขอโทษที่ดูเหมือนจะเป็นคำเยาะเย้ยซะมากกว่า ผมน่ะเหรอก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเช็ดน้ำที่หกอย่างหมดอาลัยตายอยาก แต่ที่น่าแปลกคือไอ่โอมช่วยผมเช็ดโต๊ะ คงสำนึกผิดที่ทำหก
แต่ทำไมมันต้องมาจับมือผมด้วยเนี่ย ร่างบางมองคนตัวสูงอย่างไม่เข้าใจ ส่วนโอมที่เช็ดน้ำที่มันทำหกอย่างเอาเป็นเอาตายก็ทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ถ้าไม่ติดว่าผมเป็นผู้ชาย ผมคงคิดว่ามันแอบหลอกแต๊ะอั่งผมไปนานแล้ว ผมก็งงแตกสิครับงานนี้
“อะ เอ่อ” เหมือนมันจะรู้ตัวถึงได้ยอมปล่อยมือผมสักที
“เดี๋ยวกูไปเอาน้ำมาให้ใหม่” ยังไงวันนี้ผมก็ต้องแกล้งมันให้ได้ ให้มันรู้ไปสิว่าผมไม่มีปัญญาแกล้งคนอื่น คราวนี้หวังว่ามันคงไม่เกิดซุ่มซ่ามอะไรขึ้นมาเป็นรอบที่สองแร่ะกัน
แล้วผมก็ต้องมานั่งลุ้นว่าเมื่อไรมันจะกินน้ำ(ขี้มือ)ยังกะคนที่กำลังตรวจล็อตเตอรี่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงเลยล่ะ
“เกี๊ยวๆ มานี่หน่อย” มันจะเอาอะไรของมันอีกว่ะเนี่ย
“เออๆ เดี๋ยวแป๊บ” ผมตะโกนบอกมันอย่างเซ็งๆ ทั้งๆที่ไม่ได้มองเพราะกำลังเก็บจานโต๊ะ 4 อยู่
“มีไร” แขนเล็กบาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามพวงแก้มอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเอ่ยกับคนที่อยู่ตรงหน้า
“หือ อะไร” ไอ่นี้มันยังไงว่ะ เรียกผมแล้วยังมีหน้ามาถามว่าอะไรอีก ชักจะกวนบาทาไปแล้วนะเว้ย เดี๊ยวพ่อกระโดดก้านคอซะเลยนิ
“ก็ ตะกี้” แจ่มเลยครับ ผมรู้แล้วครับว่ามันเรียกใคร
“อ๊ะ กินซะ ไอ่เกี๊ยว” ร่างบางมองคนตัวสูงที่ส่งลูกชิ้นให้กับสัตว์โลกหลังเกรียนสีน้ำตาลที่สูงไม่ถึงเข่าตัวเองด้วยซ้ำ อีกแล้วเหรอเนี่ย นี่มันคิดจะแกล้งผมไปถึงไหนกันฟร่ะ
กรอดๆ
คนตัวเล็กได้แต่กัดฟันกรอดอย่างไม่พอใจ มือเล็กกำแน่นด้วยความโมโห ต้องมีสักวันแหละน่าที่มันต้องโดนผมแกล้งจนร้องไห้ขี้มูกโป่งไปฟ้องแม่ คอยดูเหอะ
“อ๊าว ยืนบื้ออะไรอีกแหละ กินเสร็จแล้วจะเก็บตังค์มั้ย” ดูมัน ยังมีหน้ามาว่าผมอีก ไอ่นี่มันน่ากระทืบจริงๆให้ตายสิ
“20 บาท” เสียงหวานเอ่ยห้วนๆ ทำให้ร่างสูงเผลอยิ้ม เวลาผมแกล้งไอ่เกี๋ยวงอนมันสนุกกว่าตอนที่ไปเตะบอลก็ไอ่พวกฝังตลาดอีก เพราะงี้ผมถึงชอบแกล้งมันไงล่ะ (โอมคิด)
“...” คนตัวเล็กถึงธนบัตรสีเขียวที่ถูกยื่นมาให้แล้วยัดใส่กระเป๋าเอี๊ยมอย่างลวกๆ
“กินเสร็จแล้วก็รีบๆลุกไปดิว่ะ” ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงชอบแกล้งผมนักหนา ถ้าไม่ได้แกล้งผมสักวันมันจะลงแดงรึไงฟ่ะ
มือเล็กคว้าแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะมากินเพื่อดับกระหายและความร้อนภายในจิตใจ
พรวด
ทันทีที่น้ำเข้าไปในปากผมมันก็กลับออกมาทางเดิมแทบจะทันที ก็ทั้งเค็มทั้งขมแถมมีอะไรขุ่นๆอยู่ในแก้วด้วยผมงี้แทบหาน้ำสะอาดมาล้างปากไม่ทัน ก็นี่มันน้ำขี้มือของผมเองแหละ ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ทุกทีเลยน้า...จะแกล้งใครผมต้องโดนเองทุกที ทำไมไอ่โอมมันถึงดวงดีแล้วผมต้องโชคร้ายตลอดด้วย ไม่ย๊อมม~!!
“เกี๊ยวเอ๊ย... ไปซื้อบะหมี่เหลืองที่ร้านน้านวลให้พ่อที” ไม่ทันที่ผมจะได้ล้างท้องเสร็จ งานใหม่ก็เข้ามาอีกแล้ว ใช้แรงงานเด็ก ถ้าไม่ติดว่าเป็นพ่อนะ ผมฟ้องกรมแรงงานไปนานแล้ว พ่อนะพ่อ ยังงี้ทุกทีเล้ยย
“เอากี่ห่อง่ะ” เสียงหวานถามแบบขอไปที ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจอะไรหรอกนะ แต่ผมไม่อยากไปร้านนั่นนี่นา ก็มันเป็นร้านของแม่ไอ่บอลน่ะเดะ ผมคิดว่าวันนี้โชคร้ายที่ต้องเจอไอ่โอมตอนบ่าย ตกเย็นยังต้องไปเจอไอ่บอลแบบเลี่ยงไม่ได้อีก โอ้ว... พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยลูกช้างด้วย
“เอา 15 ห่อเลยแล้วกัน พรุ่งนี้วันอาทิตย์ซะด้วยสิ” พ่อพูดเหมือนกำลังใช้ความคิดก่อนจะควักเงินในกระเป๋าส่งให้ลูกชายที่ยืนไหล่ห่อทำหน้าละห้อยจนเห็นได้ชัด
“รีบๆกลับนะ จะได้มาช่วยพ่อเก็บร้าน แม่แกก็ไปหาป้าในเมืองคงดึกกว่าจะกลับ ช่วยพ่อหน่อยนะเกี๊ยว” ผู้เป็นพ่อกำชับน้ำเสียงเหนื่อยๆ
“ครับ” เด็กชายตอบรับอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินคอตกออกไปหน้าร้าน มือเล็กคว้ารถจักรยานคู่ใจก่อนจะกระโดดควบออกไปยังจุดหมายที่ไม่อยากให้ถึง
ถึงผมจะเป็นเด็กเป็นเล็ก (การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย) แต่ผมพนันได้เลยว่าไอ่บอลมันต้องหาเรื่องแกล้งผมจนได้แหละน่า... แล้วยังงี้ผมจะมีชีวิตรอดกลับมาถึงบ้านมั้ยเนี่ย แค่คิดก็สยองแล้ว แต่..ถ้าผมไม่ช่วยพ่อแล้วใครจะช่วยล่ะ เงินทุกบาททุกสตางค์พ่อแม่ก็เอาไว้ใช้จุนเจือครอบครัว แล้วจะให้ผมเห็นแก่ตัวเพราะความขี้ขลาดของตัวเองไม่ได้หรอก เป็นไงเป็นกันว่ะ คงไม่ถึงตาย (มั้ง)
เอี๊ยดดด~!!
รถจักรยานสีน้ำเงินดำค่อยๆถูกจอดไว้หน้าร้านขายของชำ คนตัวเล็กมองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังเป็นผู้ร้ายหนีคดีไม่ก็ปาน ผมนี่แทบไม่ต้องมองหาเลยครับก็ไอ่คนที่ไม่อยากเจอมันดันยืนค้ำหัวอยู่หน้าร้านเป็นนางกวักตรงหน้าเลยนี่นา
“เมิงมาทำไม” เอาแล้วไง แค่ส่วนสูงมันก็กินขาด ใจดีสู้เสือละกันว่ะ
“มาซักผ้ามั้ง” ชริปหายแล้ว ผมลืมตัวติดนิสัยปากหมามาจากไอ่โอม แต่ตอนนี้ไอ่คนตรงหน้าผมมันไม่ใช่คนแล้ว ดูจากหน้าตามันยิ่งกว่ายมทูตที่ผมเคยดูในทีวีซะอีก
“ไอ่เชี่ยเกี๊ยว” มือหนาเอื้อมมากระชากคอเสื้อยืดสีมอๆของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วก่อนจะยื่นหน้าเข้าใกล้ขึ้นกว่าเดิม นัยน์ตาสีนิลที่ดุดันทำเอาคนตัวเล็กยืนนิ่งดั่งต้องมนต์สะกดเพราะความกลัว
“น้านวลค๊าบบ” คนตัวเล็กแหกปากลั่น บอลจึงรีบเอามือปิดปากเรียวแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“อ้าว เกี๊ยว มาซื้ออะไรลูก” เจ้าของชื่อเดินออกมาจากในร้านกล่าวทักทายอย่างเป็นมิตรผิดกับไอ่ลูกชายราวฟ้ากะเหวจริงๆ ส่วนไอ่บอลนะเหรอ ถ้ามีรางวัลเนียนยอดเยี่ยมแห่งปี ผมคงยกให้มันที่ 1 เลยแหละ จากตะกี้ที่มันเกือบจะชกผมอยู่รอมร่อกลับมาเป็นโอบไหล่ แต่ก็ไม่วายตบหลังจนผมแทบจุกเหมือนกัน
“ไอ่เกี๊ยวมันจะมาซื้อของน่ะแม่ งั้นผมไปยกของหลังร้านก่อนนะ” ไอ่บอลทำหน้าเนียน ยิ้มฝืดๆมาทางผมแต่ก็ยังดูน่ากลัวอยู่ดี ตกท้ายด้วยการตบหัวผมเล่นเหมือนจะเบา แต่ไอ่หมอนี่มันมือหนักชริปเป๋งเลย
คนตัวเล็กลูบหัวยุ่งๆของตัวเองให้เข้าที่ก่อนจะเดินตามผู้หญิงท่าทางใจดีรุ่นราวคราวดีกับแม่ตัวเองเข้าไปในร้าน โชคดีที่มีน้านวลอยู่ ไม่งั้นผมคงโดนไอ่บอลยำไม่เหลือซากแน่ๆ
“เอาหมี่เหลือง 15 ห่อ น้ำตาลทรายแดง 3 กิโลฯ แล้วก็ น้ำส้มสายชู 4 ขวดครับ น้ำปลา 6 ขวด” นัยน์ตาคู่หวานกวาดไปบนกระดาษแผ่นเล็กๆในมือที่พ่อจดรายการมาให้
“โห...รอบนี้มาซื้อเยอะเลย จะเอากลับบ้านไหวมั้ยเนี่ย” นั่นน่ะสิ ผมว่าพ่อต้องเข้าอะไรผิดแน่ๆเลย ปกติถ้าเป็นแม่ซื้อก็คงไม่มีปัญหาอะไรเพราะแม่เอามอไซด์มา แต่ผมเอาจักรยานมานะครับ ตะกร้าหน้ารถก็ไม่มีคงได้ปั่นไปปั่นมาหลายรอบแน่ๆเลย
“ไม่ไหวก็ต้องไหวแหละครับ” ผมก็ได้แต่ยืนยิ้มแห้งๆให้กับน้านวล
จะว่าร้านน้านวลมันก็เป็นร้านขายของชำทั้งปลีกและส่ง เนื่องจากผมรู้จักกะไอ่บอลซึ่งผมก็ไม่ได้อยากรู้จักกะมันเท่าไรหรอกก็เลยส่งอนิสงค์ถึงพ่อแม่ผมด้วย เวลาที่มาซื้อของเข้าร้านน้านวลก็จะลดให้เยอะเลย น้านวลใจดีมากๆผิดกับไอ่บอลที่โหดยังกะซาตาน ผมนี่ล่ะสงสารน้าแกที่มีลูกนิสัยแย่ๆแบบนี้แถมเรียนซ้ำชั้นอีกต่างหาก แมร่ง ไอ่นี่มันเก่งแต่ใช้กำลังอย่างเดียวจริงๆ
หลังจากไปเอากุ้งหอยปูปลา (เปรียบเทียบ) ของที่พ่อสั่งจนได้ครบทุกอย่างแล้วเล่นเอาผมเหงื่อท่วมอีกรอบ ก็กว่าจะหาของมาได้ครบแต่ละอย่างหนักๆทั้งนั้น แถมอยู่คนละทิศละทาง ตอนนี้ก็ปาเข้าไป 6 โมงกว่าแต่ไหงวันนี้มันมืดไวยังงี้ฟร่ะ ผมยังไม่อยากคิดเลย กว่าจะปั่นจักรยานกลับไปกลับมาเอาของจนหมด กว่าจะช่วยพ่อเก็บร้าน ผมไม่ได้นอนเที่ยงคืนเลยรึไงเนี่ย
“ขอบคุณครับ” พอจ่ายเงินเสร็จสรรพผมก็ทยอยยกของออกมาหน้าร้าน ในตลาดพ่อค้าแม่ค้าก็ทยอยเก็บของเก็บของเตรียมกลับบ้านกันหมดแล้ว
“เกี๊ยว น้าว่าเดี๋ยวให้บอลขับรถไปส่งดีกว่านะ” น้านวลลูบหัวผมเบาๆ
“อะ...อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมก็ไม่อยากจะปฏิเสธน้ำใจของผู้ใหญ่เท่าไร แต่จะให้ไอ่บอลมันขับรถไปส่งผมที่บ้าน มีหวังผมโดนฆ่าหั่นศพหมกป่าข้างทางซะมากกว่า
“เถอะน่า ดึกดื่นๆ รถยิ่งเยอะอยู่ด้วย ถ้าโดนรถชนจะว่าไงล่ะ พ่อแม่เราจะเป็นห่วงรู้มั้ย” ยิ่งเห็นสีหน้าน้านวลที่เป็นห่วงผม มือที่ลูบหัวร่างบางอย่างเอ็นดู จะให้ผมเถียงยังไงล่ะครับ ผมยอมโดนรถชนตายดีกว่าให้ไอ่บอลขับรถมอไซด์ไปส่งที่บ้านนะครับน้านวล
“อะ เอ่อ” เสียงหวานเอ่ยในลำคอตะกุกตะกักขณะกำลังคิดหาข้อแก้ตัว
“บอลๆ ไปส่งเกี๊ยวที่บ้านหน่อยสิ” ผู้เป็นแม่ออกคำสั่งแต่ดูเหมือนจะเป็นการขอซะมากกว่า
“อะไรนะแม่ ทำไมไม่ให้ไอ่เกี๊ยวมันกลับเองล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเดินมายืนข้างๆผู้เป็นแม่ของตน มองคนตัวเล็กที่ยืนก้มหน้าอยู่
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกลับเองได้” ร่างบางพยายามตอบปัดๆ เผื่อว่าน้านวลจะยอมปล่อยผมให้กลับเอง จะให้ผมปั่นจักรยานไปมากี่สิบรอบผมก็ยอม ผมแทบจะไม่กล้าเงยหน้ามองไอ่บอลเล้ยย
“ไม่ได้ ให้บอลไปส่งนั่นแหละดีแล้ว” ผู้เป็นแม่ดันหลังลูกชายตัวเองออกไปหน้าร้านก่อนจะใช้ให้ยกของที่ใส่ตะกร้าหน้ารถได้ อีกส่วนหนึ่งก็ให้คนตัวเล็กเป็นคนถือ
“พรุ่งนี้ก็ค่อยมาเอาจักรยานก็ได้ เดี๋ยวน้าเก็บให้ ไม่ต้องห่วงนะ” ผมจำใจต้องรีบกระโดดซ้อนท้ายมอไซด์ของไอ่บอล ก็มันสตราทรถรอแล้วนี่ แถมยังทำหน้ายักษ์ใส่ผมอีก
“...” แล้วรอยยิ้มของน้านวลก็ค่อยๆหายลับไป ลาก่อนนะครับน้านวล แล้วผมจะมาใบ้หวยให้ ฮื่อๆ
ผมนั่งตัวเกร็งอยู่ที่เบาะหลัง แถมยังต้องรักษาระยะห่างระหว่างผมกะไอ่บอลด้วย ขืนไปนั่งชิดมันไม่รู้มันจะหักคอผมไปจิ้มน้ำพริกกินรึเปล่า แต่ไอ่นี่ขับรถไวยิ่งกว่ารถไฟเหอะซะอีก ถึงผมจะไม่เคยนั่งรถไฟเหอะจริงๆก็ตามที ผมเดาว่ามันคงไม่ต่างกันเท่าไร
มีเพียงแสงไฟถนนสีส้มที่คอยส่องตลอดระยะทางกับเสียงลมที่ปะทะมาเท่านั้น แขนทั้งสองข้างของผมมันหนักอึ้ง อีกข้างก็มีน้ำตาล 3 กิโลฯ ส่วนอีกข้างก็ถือหมี่เหลืองเกือบ 10 ห่อ แถมยังต้องมานั่งซ้อนท้ายกะไอ่บอลอีก จะมีอะไรที่ทรมานผมได้มากกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย
สักพักความเร็วของรถก็ค่อยๆลดลงก็จะหยุดสนิทเพราะไอ่ไฟแดงที่อยู่ทุกสามแยกสี่แยกมันลอยเด่น จะว่าไประยะทางจากตลาดกับร้านผมมันก็ประมาณ 2-3 โล ผมเองก็ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ๆคือแขนผมมันพร้อมที่จะหลุดได้ทุกเมื่อแล้วตอนนี้
“ขยับเข้ามาใกล้ๆดิว่ะ เดี๋ยวแมร่งก็ตกรถตายกันพอดี กูไม่อยากแดรกข้าวต้มวันนี้โว้ย” จู่ๆไอ่บอลก็หันหน้ามาตะคอกใส่ผมฉอดๆตกลงมันห่วงผมรึมันแช่งผมกันแน่
ผมก็เลยจำใจขยับเข้าไปหามันจากที่เว้นไว้ประมาณว่าคนที่สามมานั่งซ้อนตรงกลางยังได้ ก็ผมอยู่ในช่วงเว้นวรรคทางการเมืองนี่ครับ (เกี่ยวกัน?) นัยน์ตาคู่สวยจับจ้องแผ่นหลังที่อยู่ใต้เสื้อยืดสีขาวชุ่มเหงื่อเล็กน้อย จะว่าไปไอ่โอมมันก็เป็นคนหน้าตาไม่เลวร้ายอะไร แต่ที่นิสัยแย่ๆของมัน ไม่รู้ว่าไอ่โยกะไอ่เคนทนคบกะมันได้ยังไง อันที่จริงนิสัยมันก็ไม่ได้แย่อะไรมากมาย แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันชอบรุมหัวกันแกล้งผม ทั้งที่ความจริงแล้วผมอยากเป็นเพื่อนกับพวกมันซะด้วยซ้ำ
เอี๊ยดดดด
ไม่ทันที่ผมจะได้คิดชื่นชมด้านที่ดีของมันเสร็จ ไอ่นี่ก็ทำผมเจ็บตัวเป็นครั้งที่ล้านๆแล้วมั้ง ก็มันเล่นหยุดกะทันหันจนหน้าผมกระแทกกะหลังมันอย่างจัง ไอ่ดั้งของผมที่มันไม่ค่อยมีอยู่แล้วไม่รู้จะยุบเข้าไปอีกรึเปล่า
“ไอ่เชี่ยบอล เมิงขับรถภาษาไรว่ะ” ร่างบางบ่นเป็นกระศัยขณะที่กำลังกระโดดลงจากรถหิ้วข้าวของที่หนักอึ้งวางไว้หน้าร้าน มือบางจับดั้งเล็กๆของตัวเองก่อนจะนวดเบาๆ ส่วนไอ่บอลตัวดีก็ช่วยยกของเข้าร้านทำหน้าเนียนตามแบบฉบับที่มันถนัด
“เมิงนั่งไม่ดีเองต่างหากล่ะ” อ้าว กลายเป็นว่าผมผิดใช่มั้ยเนี่ย
“อ้าวบอล มาส่งเกี๊ยวเหรอเนี่ย มาๆ เข้ามาในร้านก่อน” เฮ้อ แล้วผมก็ยังไม่เข้าใจถึงทุกวันนี้ว่าทำไมพ่อถึงต้องไปเอ็นดูมันด้วย
“ครับ น้าพงษ์ยังไม่ปิดร้านอีกเหรอ” หน็อย ไอ่นี่มันตีสนิทกะพ่อผม ก็เรื่องยังงี้มันถนัดนักนี่
“อืม ก็รอไอ่เกี๊ยวเนี่ยแหละ แล้วกินอะไรมารึยังล่ะ” คุยกันถูกปากถูกคอเลยนะ ไม่เอามันมาเป็นลูกแทนผมเลยล่ะพ่อ
เกี๊ยวทำปากขมุบขมิบบ่นพึมพำกับตัวเองขณะยกของเข้าบ้าน
“ยังเลยครับ” เสียงทุ้มเอ่ย
“อืม งั้นก็อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ อุตส่าห์ขับรถมาส่งไอ่เกี๊ยวมันตั้งไกล” พ่อไปชวนมันกินข้าวด้วยทำไมเนี่ย ขืนได้กินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกับมันผมคงกระเดือกข้าวไม่ลงแน่ๆ
“จะดีเหรอครับ” เหมือนคนตัวสูงจะลังเลเล็กน้อย
“พ่อ ก็ให้ไอ่บอลไปกินข้าวที่บ้านกะน้านวลดิ เดี๋ยวน้านวลรอนานจริงป่ะไอ่บอล” ร่างบางเอ่ยพร้อมกับยักคิ้วนิดๆ ที่แผนไล่ไอ่ตัวดีออกจากร้านกำลังจะสำเร็จ
“อืม เห็นแม่บอกว่าเย็นนี้จะไปธุระดึกๆจะกลับนะครับ กินที่นี้คงไม่เป็นไร” แพล๊ง ทำไมมันหน้าด้านยังงี้ฟ่ะ ไล่แล้วยังไม่ไปอีก
“งั้นดีเลย อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ เกี๊ยว ไปยกกลับข้าวมา พ่อเตรียมไว้ในตู้กลับข้าวแล้ว” ประโยคแรกพ่อพูดกับไอ่บอลส่วนประโยคหลังพ่อพูดกับผม เห็นความแตกต่างมั้ยครับ รักกันดีไม่ขอน้านวลให้ไอ่บอลมาเป็นลูกบุญธรรมเลยล่ะ พ่อเนี่ย
“เดี๋ยวผมไปช่วยเกี๊ยวนะครับ” ร่างสูงเอ่ยเป็นเชิงขออนุญาตก่อนจะตามคนตัวเล็กเข้าไปในห้องครัว
“คนอะไรว่ะหน้าด้านชริปหน้าเลย ไล่แล้วยังไม่ไปอีก ชิ แบร่” ร่างบางที่กำลังบ่นพึมพำออกเสียงไม่ดังแต่ก็พอที่จะทำให้อีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังได้ยิน
“ว่าอะไรนะ” เสียงทุ้มเอ่ยดังจากข้างหลังทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก ก่อนจะค่อยๆหันไปมองต้นเสียงที่ติดกวนนิดๆ
“อะ เอ่อ เปล่านี่” ถึงจะเป็นการแก้ตัวน้ำขุ่นๆแต่ผมก็ไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะตอนนี้ไอ่บอลมาเดินสามขุมเข้ามาใกล้ผมจนตั้งตัวไม่ติดเลย
“เหรอ ก็แล้วไป” เฮ้อ โล่งอก อย่างน้อยผมก็คงไม่ถูกอัดก๊อปปี้ติดกับกำแพงในห้องครัวบ้านตัวเองวันนี้ แต่ที่แปลกๆหรือผมอาจจะคิดไปเอง เหมือนว่ามันจะอมยิ้มอยู่หน่อยๆด้วยแฮ่ะ เป็นบ้าอะไรของมันขึ้นมาอีกเนี่ยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
มือถือจานข้าวกับหม้อหุงข้าว ส่วนไอ่บอลก็หยิบกลับข้าวเดินตามหลังมา เสี่ยวสันหลังยังไงไม่รู้วุ้ย... ผมเลยรีบจ้ำอ้าวเดินออกห่างมันให้เร็วที่สุด แต่ไอ่นี่ขามันยาว นับถือจริงๆเลย
“เฮ๊ย...” จะเป็นใครไม่ได้นอกจากผมที่แหกปากดังลั่นแบบนี้ได้
เกือบจะรอดตัวเลยเชียว สุดท้ายมันก็หาเรื่องให้ผมเจ็บตัวจนได้ ก็เล่นเดินมาชนผมซะกระเด็นประตูทางออกก็แคบ อีกนิดเดียวผมก็เกือบเอาหน้าไปฟาดกับบานประตูแร่ะ โชคดีที่มีไอ่บอลคว้าคอเสื้อผมไว้ได้ทัน ผมว่าไม่หน้าฟาดกับบานประตูก็จะตายกับถูกคอเสื้อรัดคอจนขาดอากาศหายใจเนี่ยแหละ
“ซุ่มซ่ามจริงๆเลยนะเมิงเนี่ย” อืม เอาเป็นว่าผมผิดอีก เมิงไม่เคยผิดเลยใช่มั้ยเนี่ย ผมก็ได้แต่มองตามหลังมันเคืองๆ เจอขนาดนี้ผมก็คงไม่กล้าเสนอหน้าไปเดินนำมันหรอก ดีไม่ดีโดนมันสกัดขาล้มหัวโม่งโลกตายห่ากันพอดี
“เออ กูผิดเอง” เสียงหวานกระแทกประชดอย่างไม่พอใจ
ผมรีบโซ้ยข้าวให้หมดเร็วที่สุดแบบกินข้าวเพียวๆไม่มีน้ำเลย ไอ่บอลมันจะได้รีบๆกลับบ้านไปผมจะได้ไม่ต้องมานั่งทนเห็นหน้ามัน เจอที่โรงเรียนผมก็จะคลั่งตายอยู่แล้ว วันนี้มันวันซวยอะไรกันฟร่ะเนี่ย
อะ แฮ่กๆๆ
เป็นผลจากการที่ผมรีบโซ้ยข้าวไปหน่อยเลยสำลักอย่างที่อ่าน
“ค่อยๆกินดิว่ะ ทำตัวยังกะเด็กไปได้” ร่างสูงบ่นพร้อมกับส่งน้ำมาให้คนตัวเล็ก
“หิวมากเลยเหรอ พ่อขอโทษทีวันนี้ก็ยังไม่ได้กินข้าวทั้งวันคงหิวมากใช่มั้ยเนี่ย ค่อยๆกินนะไม่อิ่มก็เติมได้” ผู้เป็นพ่อเอ่ยก่อนจะลูบกลุ่มผมนุ่มนิ่มในมืออย่างห่วงใย อาจจะหิวที่ไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันก็คนเข้าร้านตลอดแต่ที่ผมรีบยัดข้าวเพราะอยากให้ไอ่บอลรีบๆกลับบ้านมันไปต่างหากล่ะ
ร่างสูงเผลอมองคนตัวเล็กที่กำลังกินน้ำจนหมดแก้ว รอยยิ้มจึงเกิดขึ้นที่ริมฝีปากเรียวอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เอ่อ น้าพงษ์ งั้นผมกลับบ้านก่อนนะครับ” ร่างสูงเอ่ยกับชายวัยกลางคนรุ่นเดียวกับพ่อตัวเอง
“อืม ขับรถดีๆนะ” ผมรอเวลานี้มานานแล้ว กว่ามันจะรู้ตัว แล้วผมก็ได้กินข้าวเย็นอย่างสงบสุขกับพ่อสองคนซะที
กว่าผมจะได้นอนก็ปาไปห้าทุ่มกว่าแล้ววันนี้เหนื่อยกว่าทุกวันเพราะแม่ไม่อยู่และยังแถมต้องมาเจอไอ่สองหน่อนั่นเช้า-เย็นแบบนี้มันตัดกำลังผมดีเหลือเกิน พอหัวถึงหมอนปุบผมก็หลับชนิดที่ว่าไฟไหม้ผมคงโดนไฟครอกตายคาที่นอนเลยมั้งเนี่ย...
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙