อ่าเกิ่นก่อนเรื่องนี้อาจจะดราม่าหนัก...มากอ่ะ
ไม่รู้รับได้รึเปล่า แต่วาง พอร์ทเรื่องไว้แบบนี้ค่ะ ยังไงซะ ไม่อยากอ่่านก็ไม่ว่ากันค่ะ
Unit 28 เจ็บ.....ที่แตกต่าง
“แกร๊กๆ .....แอ๊ด” เสียงประตูห้องเปิดออก ผมไม่แม้แต่จะหันไปมอง ยังคงนั่งเหม่อมองไปไกลแสนไกล คำถามเดิม ๆ ผุดอยู่ใน
หัว “ทำไม”
อาจจะเป็นเพราะ.....ผมแก่เกินไป อาจจะเป็นเพราะ.....น้องอาจจะพึ่งรู้ใจตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วคนที่ใช่เป็นเบียร์ อาจจะ
เพราะ...ผมไม่ดีพอ
หรืออาจจะเป็นเพราะ................
.
.
.
ปัตหมดรักผมแล้ว
.
.
“พาร์ท” เสียงเรียกจากด้านหลัง เสียงที่คุ้นเคย ก่อนที่มือแข็งแรงจะแตะลงเบาๆ บนไหล่ ผมกลืนน้ำลายลงคอหนัก แต่....ยังไม่
พร้อมจะสู้หน้าใคร
ก้มหน้าลงต่ำมองดูพื้นผิวกระเบื้องซึ่งตอนนี้ผมไม่เห็นด้วยซ้ำว่ามันเป็นลายอะไร เพราะน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่รอบนัยตา พี่ภีมนั่ง
ลงข้างๆ
ตบหลังผมเบาๆ เป็นการปลอบใจ เหมือนๆ ทุกครั้งที่ผ่านมา เพียงแต่....ครั้งนี้มันเจ็บกว่าครั้งก่อน เพราะผมไม่มีเวลาจะเตรียม
ใจ
“เป็นไงบ้าง..พี่พึ่งรู้” พี่ภีมว่า ยื่นกระป๋องเบียร์มาให้ ส่วนมืออีกข้างกำลังยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่ ผมเปิดกระป๋องเบียร์แล้วดื่ม
ตามทันที
รสขมๆสาดลงคอ แต่ว่าคอมันแทบไม่รับรส ...... เมื่อใจป่วยดูเหมือนทุกอย่างในร่างกายจะป่วยตามไปด้วย
“อือ...ยังไม่ดีเลยพี่ ผมขอเวลาหน่อย..” ยกเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียวก็หมดกระป๋อง ก่อนจะวางกระป๋องเปล่าข้างๆ ตัว
“อือ พี่อยากให้เราคิดถึงอนาคตบ้าง อย่างน้อยก็คิดถึงคุณลุงบ้างท่านแก่แล้ว อย่าให้ท่านมากลุ้มใจเรื่องเราอีก เข้าใจนะ” พี่
ภีมลูบหัวผมเบาๆ
สำหรับพี่ภีม แค่นี้.....ก็เป็นการปลอบที่ดีที่สุดแล้วนั่งข้างๆ ไม่มีคำหวานๆ คอยให้กำลังใจ แต่กำลังชี้ประเด็นที่เราหลงลืมไป
กำลังบอกผม
ว่าจริงๆ ผมสำคัญสักแค่ไหนสำหรับคนอื่น อย่าทิ้งชีวิตเพื่อคนใครสักคนหนึ่ง....ที่เค้าหมดรักเราแล้ว
“ครับ ...ผมเข้าใจ ขอบคุณครับพี่” ผมหันไปมองพี่ภีม.... แล้วยิ้มตอบ ตอนนี้มันก็ได้แค่นี้แหล่ะ
.
.
หลังเงียบอยู่นาน ....ไร้ซึ่งการสนทนาระหว่างผมกับพี่ภีม มีเพียงเบียร์เย็น ที่พี่ภีมลงทุนไปหยิบกระติกใบย่อมใส่เบียร์แช่น้ำแข็ง
มาประเคนถึงที่
ตามคนต่างจิบ ...คิดอะไรไปเรื่อยเปลื่อย ไม่มีการวิพากวิจารณ์ถึงสาเหตุ ไม่มีการพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นใดๆ ทั้งนั้น
น่าแปลก.....ที่ผมสบายใจขึ้น แม้จะยังเสียใจกับเรื่องราวที่ผ่านมา แต่ผม...ก็มีจุดมุ่งหมายในการดำรงชีวิตเพิ่มมากขึ้น รู้ว่า
ต้องอยู่เพื่ออะไร
ชีวิตนี้อาจจะไม่ได้มีไว้ให้เฉพาะเพื่อ “คนที่เรารัก” จนทิ้งขว้างอีกคน “ที่รักเรา” แต่ก็นะ...ถึงจะไม่ได้อยู่กับคนที่เรารัก
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องลืมความรักที่เคยมีไปใช่ไหม? เพราะถ้าลืมแล้วมันเจ็บ...ก็จะจำมันอยู่อย่างนี้ จำในสิ่งที่ดี วันคืนดีๆ ที่มีร่วม
กัน ....
อาจจะเจ็บบ้าง เศร้าบ้าง เสียใจบ้าง แต่อย่างน้อย ช่วงเวลาหนึ่งมันก็มีสุขอย่างล้นเอ่อ และมันก็เป็น “ความรัก” ในแบบผม
.
.
“สบายใจขึ้นแล้วเหรอ?” พี่ภีมถาม โดยที่ไม่ได้หันมามองผมสักนิด สายตากลับมองไปยังฟากฟ้าที่ว่างเปล่า พี่ภีมก็เคยเจ็บ
เหมือนกัน
แต่ต่างกันตรงที่ผมไม่เคยทำหน้าที่ปลอบใจอะไรทั้งนั้น ความเจ็บมันคงฝังใจ .....ตอนนี้พี่ภีมถึงได้ “กลัวที่จะรัก” ถึงจะมีใคร
ผ่านเข้ามา
พี่ชายผมก็ตั้งท่าสร้างกำแพงรอ จนถึงทุกวันนี้ ถึงไม่มีคนอยู่ข้างๆ สักที ผมหันพยักหน้าตอบ
“ครับ ” หันไปมองหน้าที่ภีม รอให้อีกฝ่ายบอกสาเหตุจูงใจอีกอย่างที่มาหาผมถึงที่นี่
“ดีแล้ว ” พี่ภีมหันมายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มเดิมที่อบอุ่น รอยยิ้มธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ....เพราะพี่ภีมทำให้ผมเชื่อว่าจะไม่มีวันหัก
หลังผม
“พรุ่งนี้ถ้าว่างก็ไปพบคุณลุงหน่อยสิ .. ท่านอยากจะพบเราน่ะ” ว่าแล้วก็กวาดกระป๋องเบียร์เปล่านับโหลใส่ถุงขยะที่ถือติดมือ
มาด้วย
“ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปพบท่าน” อีกฝ่ายมัดปากถุงขยะจนเรียบร้อย หันมามองผมนิด ๆ พยักหน้ารับรู้
“อืม...งั้นพี่กลับหล่ะ พรุ่งนี้ธุระแต่เช้าว่ะ ไปนะ ดูแลตัวเองด้วย ตอนนี้หน้าตาดูไม่ได้หว่ะ เดี๋ยวสาวๆ หันมาสนพี่แล้วจะเสียใจ”
พี่ภีมกระเซ้า
หันมาบอกเสร็จ ผมก็ยิ้มตอบ แล้วพี่แกก็เดินออกไป แต่ผมยังนั่งตรงที่เก่า.........มองดูดาวที่แทบไม่มีประดับประดาบนฟากฟ้า
จะมีก็แต่พระจันทร์ที่ส่องสว่างไสวในคืนเงียบเหงาอีกวัน เหมือนๆ กับ......................คืนนั้น
.
.
.
“สวัสดีครับพ่อ” ผมเดินไปเข้าไปหาท่าน บริเวณสวนหลังบ้านที่พ่อขยันหาต้นไม้ยืนต้นชนิดนั้น ชนิดนี้มาปลูก จนเขียวชะอุ่ม
ไปทั่วอาณาบริเวณ
“อืม ดีๆ เป็นไงบ้างหล่ะเรา” พ่อหยุดกิจกรรมทุกอย่างที่ทำอยู่ วางถังน้ำลง พร้อมกับหยิบจอบที่วางราบกับพื้นเอามาพิงกับ
ต้นไม้จะได้ไม่เผลอ
ไปสะดุดเข้า วักน้ำในถังมาล้างมือเล็กน้อยก่อนจะเดินตัวปลิวตรงมาที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้ที่ผมภูมิใจเป็นหนักเป็นหนา เพราะซื้อด้วย
เงินเดือนก้อนแรก
ของตัวเอง เรียกว่าทุ่มสุดตัวแคะกระปุกร่วมด้วย หย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามหันมาสบตาผมนิ่ง ๆ ก่อนจะเสไปมองแมกไม้อย่าง
เช่นทุกที
“เลิกกับปัตแล้วเหรอ” น้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์อะไร เป็นเสียงที่เรียบนิ่ง ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่มองไปที่แมกไม้ป่าเขา
ของพ่ออีกด้าน
แย่ตรงที่......ไม่ได้เตรียมใจมา ที่จะถูกถามตรงๆ แบบนี้ เลยขอตั้งสติแป๊บหนึ่ง ก่อนจะตอบพ่อกลับ
“ครับ...เลิกแล้ว” ผมว่าเสียงแผ่ว มันตอกย้ำจนเจ็บไปหมดแม้ที่ผ่านมาจะพยายามทำใจอย่างเต็มที่แล้ว แต่....มันก็ได้แค่นี้
จริงๆ
“อืมม...” พ่อว่าแค่นั้น พยักหน้ารับรู้ แล้วหันไปสนแมกไม้ ชมนกชมไม้ เพียงเพื่อจะรอให้บรรยากาศคุกรุ่นเมื่อครู่มันจางลง
“..........”
.
.
.”พาร์ท.. ยังจำน้องปิ่นได้มั้ย?” ผมหันมามองพร้อมๆ กับพยายามนึกถึงภาพเด็กผู้หญิงข้างบ้าน ตัวเล็กๆ ถักเปียยาวจนถึงกลาง
หลัง
ใบหน้าขาวสะอาด แก้มสีแดงระเรื่อเต็มไปด้วยเลือดฝาด แถมยังยุ้ยเสียจนเป็นที่ถูกใจของเหล่าบรรดาเพื่อนผู้หญิงในห้อง แต่ก็
มักจะเดิน
ตามผมต้อยๆ ยามกลับบ้าน เพราะว่าน่ารัก แต่กลับไม่ค่อยแข็งแรง จริงๆ เป็นที่หมายปองของเด็กผู้ชายหลายคน แต่มักจะเข้า
มาจีบ
ในรูปแบบที่เรียกว่าแกล้งซะมากกว่า เพื่อจะได้ใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นไปอีกนิด แต่น้องดันกลัว ผมเลยต้องกลายเป็นฮีโร่ผู้พิทักษ์
เจ้าหญิง
ด้วยความจำเป็น แต่ก็สนุกดี ปิ่นอยู่ที่จนถึง ม.ต้น ส่วน ตอน ม.ปลาย ปิ่นย้ายไปเรียนที่เชียงใหม่ตามที่พ่อกับแม่ที่ย้ายงาน
ไปตั้งบริษัทท่องเที่ยวที่นั่น
“ครับจำได้...ทำไมเหรอครับ?” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย ว่าเพราะเหตุใดพ่อถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา
“ปิ่นน่ะ พอขึ้น ม.ปลายไม่นานก็ป่วย เลยต้องส่งไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ เรียนที่นั่นเลย เพราะการรักษาต้องใช้เวลาที่นาน ตอน
นี้น้องจบ
ปริญญาตรีแล้วนะ เห็นว่าอยากกลับมาอยู่เมืองไทย แต่พอกลับมาได้ไม่เท่าไหร่ อาการยิ่งกำเริบหนักมากขึ้นกว่าเดิมอีก
เลยต้องนอนประจำที่โรงพยาบาลนั่นแหล่ะ เห็นหมอบอกว่าอาจจะเป็นเพราะไม่มีแรงบันดาลใจให้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปก็เป็นได้ พ่อ
กับแม่ของปิ่น
เสียแล้วทั้งคู่ ประสบอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่น้องปิ่นกับป้ากันแค่สองคน ขาดทั้งคนดูแล แถมยังต้อง
ดูแลธุรกิจตัวเองอีก
เห็นแล้วก็น่าเวทนานัก พ่อ...อยากจะไปเยี่ยมน้องสักหน่อยอยากให้พาร์ทไปด้วย อยากให้ไปเป็นกำลังใจให้น้อง เผื่อได้เจอ
เพื่อนเล่นสมัยเด็กๆ
ก็อาจจะนึกถึงวันเก่าๆ น้องเค้าอาจจะมีแรงบันดาลใจให้อยู่ต่อก็เป็นได้ พาร์ทหล่ะว่ายังไงลูก ? ”
พอพ่อเล่าเรื่องปิ่น มันก็ทำให้น้องสงสารน้องจับใจ เพราะปิ่นเป็นคนนิสัยดีมาก น่ารัก มองโลกในแง่ดี มีน้ำใจมากๆ คนหนึ่ง ปิ่น
นั้นก็เหมือน
น้องสาวผมคนหนึ่ง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ความทรงจำดีๆ ก็ยังไม่เคยจางหาย
“ได้อยู่แล้วครับ อยากเจอน้องเหมือนกันไม่ได้เจอกันเป็นสิบปี ป่านนี้โตเป็นสาวแล้ว” ผมว่าขำ ๆ นึกภาพไม่ออกว่าโตมาจะน่า
รักสักแค่ไหน
ตาโต ๆ ผิวขาวๆ ถึงจะมีร่างกายอ่อนแอ แต่หากว่ากันอารมณ์ดีอย่างผิดคาด คงจะเป็นผู้หญิงที่สวยทั้งกาย และใจ ได้อย่างไม่
ยากนัก
.
.
ถึงโรงพยาบาลผมกับพ่อเดินไปเรื่อยๆ ตามทางเดินจนถึงเคาร์เตอร์ประชาสัมพันธุ์พ่อหยุดยืนยังไม่ทันเอ่ยถามอะไร พยาบาล
หน้าหวาน
ก็ส่งยิ้มมาให้ พร้อมทั้งแจ้งสถานที่ที่น้องปิ่นอยู่ทันที ราวกับพ่อผมมาที่นี่เป็นประจำอย่างงั้นแหล่ะ
“มาเยี่ยนคุณปิ่นอนงค์เหรอคะคุณลุง เห็นเธอพึ่งไปที่สวนหย่อมเมื่อสักครู่น่ะคะ ” พ่อผมยิ้มพยักหน้าน้อยๆ รับทราบ
“ขอบใจนะหนู ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง” ผมหันโค้งพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ เป็นการขอบคุณ ก่อนจะหอบตะกร้าผลไม้เดินตามพ่อไปที่สวนหย่อมตามที่
พยาบาลบอก
ที่สวนมีต้นไม้ใหญ่ไม่มากนัก ส่วนมากมักจะเป็นต้นไม้เตี้ยๆ ไม้พุ่ม พื้นปูด้วยสนามหญ้าที่เขียวขจีบ่งบอกถึงความใส่ใจของเจ้า
ของสถานที่
ผมมองสำรวจไปยังลานกว้างแม้จะไม่ได้กว้างมากนัก แต่ก็ถือว่ามากพอสมควรในเขตปริมณฑล กำลังมองเพลินๆ สายตาก็ไป
หยุดอยู่ที่
เด็กสาวคนหนึ่ง เธอนั่งอยู่บนรถเข็นใต้ต้นไทร ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมโรงพยาบาลชอบปลูกกันนัก ...ทั้งที่ในเวลากลางคืน
มันดูวิเวกวังเวง
เสียมากกว่า ร่างกายที่ดูผอมบางกว่าผู้คนทั่วไปยิ่งเวลาที่ลมพัดผ่านชุดตัวบางของโรงพยาบาลยิ่งลู่เข้าหาตัวเข้าไปอีก ทำผมใจ
หาย
อย่างบอกไม่ถูก นึกถึงผิวพรรณที่เคยชมพูเปล่งปลั่ง หากตอนนี้ผิวสีซีดๆ นั่น ทำให้รู้ว่าเจ้าของร่างไม่ได้แข็งแรงอย่างที่พ่อเล่า
ผมยาวสลวย
ถูกมัดรวบตึงไว้บนศรีษะ สายตาเหม่อมองไปยังกิ่งบนสุดของต้นไทร ที่มีนกส่งเสียง จิ๊บๆ อยู่ด้านบน ไม่ห่างนักมีผู้หญิงวัย
กลางคน
ตัวค่อนไปทางอวบ นั่งอยู่มานั่งใกล้ๆ เมียงมองที่หญิงสาวด้วยรอยยิ้ม อีกไม่กี่เมตรผมกับพ่อก็จะเดินไปถึงน้อง หากแต่ผู้หญิง
วัยกลางคน
ที่นั่งอยู่ใกล้ กับหันมาเจอก่อน เธอหันมายิ้มให้พ่ออย่างคุ้นเคย ถ้าผมจำไม่ผิดผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นน้าสาวญาติห่างๆ ของน้าภา
แม่ของปิ่น
“คุณกำพลสวัสดีค่ะ มาตั้งแตเมื่อไหร่คะ?” น้าสาวหันมาทัก พร้อมยกมือไหว้พ่อ พอยกมือรับไหว้ แล้วส่งยิ้มไปให้
“สวัสดีครับ พึ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เองพอดีพยาบาลบอกว่าน้องปิ่นมานั่งเล่นในสวนเลยตามมาครับ อ้อนี่ยังจำได้รึเปล่าตาพาร์ทลูกชาย
ผม” พ่อแนะนำ
ผมยกมือไหว้น้าสาวทันที น้าสาวยิ้มรับ พร้อมกับรับไหว้
“สวัสดีครับน้าสาว”
“หวัดดีจ้า โอ้โหเหมือนไม่เจอกันแป๊บเดียวโตเป็นหนุ่มหล่อเชียวนะตาพาร์ท”
“ขอบคุณครับ จริงๆ ก็ไม่ได้หล่ออะไร แค่พอดูได้เท่านั้นหล่ะครับ”
“ยายปิ่นจำพี่พาร์ทได้รึเปล่าลูกที่หนูวิ่งตามตอนเด็กไง แถมยังให้พี่เค้ามาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวอีก” น้าสาวไปหยอกน้องปิ่นที่
ยิ้มกว้างอยู่แล้ว
“จำได้สิคะน้าสาวก็ สวัสดีค่ะคุณลุง สวัสดีค่ะพี่พาร์ท”
“อืม ไหว้พระเถอะลูก”
“สวัสดีครับ”
“วันนี้ลุงพาตาพาร์ทมาให้บริการหนูปิ่นเต็มที่เลย อยากใช้อะไรตามสบายเลยนะ ถ้าตาพาร์ทขัดใจหล่ะก็บอกลุง เดี๋ยวลุงจัดการ
ให้”
“โหคุณลุงก็ ”
“ดูน้องด้วยนะพาร์ท เดี๋ยวพ่อกับน้าสาวจะไปคุยธุระกันเรื่องโรงงานที่สระบุรีหน่อย”
“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวพาร์ทดูแลเอง” แล้วผู้ใหญ่ทั้งสองก็ผละตัวออกไป เหลือเพียงผมกับน้องปิ่นแม้จะใจหาย แต่ก็ยังดีใจที่
รอยยิ้มสดใจ
ยังแตะแต้มบนใบหน้าของคนตรงหน้า ผมลูบหัวน้องเบา ๆ
“เป็นไงไอ้ตัวเล็ก....ให้พี่เข็นรถไปรอบๆ ให้มั้ย?”
“ก็ดีค่ะ พี่พาร์ท?”
“ครับ”
“ขอบคุณนะคะ” ผมเข็นรถเข็นน้องเบาๆ ให้มันเคลื่อนไปเรื่อยๆ ตามทิวแถวร่มไม้ที่พอจะมีให้เห็นอยู่บ้าง พลางคุยกับน้องไป
เรื่อยๆ
“ทำไมถึงต้องนั่งรถเข็นหล่ะครับ เมื่อก่อนพี่ก็เห็นเราแข็งแรงดีนี่นา ยังวิ่งไล่งับแขนพี่อยู่เลย”
“โหยยยย พี่พาร์ทอ่ะ เรื่องสมัยกระนู้นยังขุดมาแซวปิ่นอีกนะคะ แต่จะว่าไปเพราะใครมาแกล้งปิ่นหล่ะ”
“ฮ่าๆ ยังได้เหรอเรา แค้นพี่ฝังหุ่นป่ะเนี่ย”
“ไม่ใช่ซะหน่อย”
“ยังไม่บอกพี่เลยว่าทำไมถึงต้องมานั่งรถเข็นหือ?”
“ปิ่นไม่ค่อยมีแรงค่ะ เลยเดินไม่ค่อยไหว ปิ่น...เอ่อเป็นโรคลูคีเมียน่ะค่ะหน้าเลยมืดบ่อย”
“ไม่เป็นไรนะไอ้ตัวเล็ก ยังจำตอนที่เราเป็นเด็กได้มั้ย? ตอนนั้นปิ่นยังวิ่งเล่นกับพี่อยู่เลย แถมยังตอนวิ่งหนีไอ้ดุ (หมา)ที่บ้านตา
แช่ม ยังวิ่งเร็ว
กว่าพี่ซะอีก เชื่อพี่นะปิ่นจะต้องหาย จะต้องกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม”
“ต...แต่ปิ่...ไม่อยากห..าย คร..อบครัว...ปิ่น.. ฮึกๆ ...ไม่เหลือแล้ว” เด็กสาวว่าเสียงกลั้นสะอื้น นัยตาแดงก่ำมีน้ำตาคลอปิ่มอยู่
รอบดวงตา
ผมคุกเข่าลงกับพื้นนั่งลงด้านหน้าหญิงสาว กอบกุมมือเล็กที่ซูบซีดเหลือเกิน นั่นอาจจะเป็นเพราะการตรอมใจของอีกฝ่าย ตอน
นี้ความรู้สึกที่
เจ็บจากการถูกทิ้งมันดูช่างเล็กน้อย เมื่อเทียบกับน้อง .....ตอนที่ไม่เหลือใคร แม้แต่ชีวิตที่เหลือยังพร้อมจะทิ้งมันเพื่อหนีความ
เจ็บปวดนี้
“มีสิ ปิ่นยังมีพี่ไงครับ ลืมผู้พิทักษ์คนนี้แล้วเหรอ พี่จะดูแลปิ่นเอง...จนกว่าปิ่นจะหาย อย่าลืมนะครับว่าปิ่นยังมีพี่ มีน้าสาว แล้วก็
ไหนจะ
พ่อของพี่อีก เยอะพอรึยัง พี่อยากเห็นปิ่นมีความสุข อยากเห็นน้องสาวคนนี้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม พี่เชื่อว่าพ่อกับแม่น้อง
ปิ่นก็หวังเช่นนั้น”
“พี่พาร์ท ฮึกๆ พี่....พ..าร์..ท” ปิ่นโถมตัวเข้าหาผม ซุกหน้าที่มีแต่คาบน้ำตา ผมโอบกอดน้องไว้แน่น ร่างกายและจิตใจที่
เหมือนจะแตกสลายได้
ทุกเมื่อ ร้องไห้จนสุดเสียง ใต้ร่มไทรที่ยังมีนกตัวเดิมเกาะอยู่ ภาพเก่าฉายขึ้นมาราวกับดูหนัง ภาพตอนเด็กที่เด็กหญิงตัวเล็ก
เกี่ยวนิ้วมือผม
นิ้วอวบอูมเล็กๆ นั่น ไม่ยอมปล่อยมือไปไหน ดวงตากลมโตของเด็ก 5 เดือน ที่เอาแต่จับจ้องมาที่ผม ซ้อนทับกับภาพ สมัย
ประถม เด็กหญิง
ผมเปียยาวไปถึงกลางหลังวิ่งหน้าตูมเข้าเกาะแขนผมแน่น แถมยังร้องไห้โฮใหญ่ เพราะถูกผู้ชายในห้องแกล้งจนผมต้องตามไป
ขู่
ภาพสมัยมัธยมต้น...ทุกๆ เช้าจะได้ยินเสียงดังผู้หญิงดังเจื้อยแจ้วร้องเรียกอยู่หน้าบ้านเพราะกลัวจะไปโรงเรียนสาย ผมวิ่งกระหืด
กระหอบ
ลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพาน้องสาวแก้มยุ้ยซ้อนท้ายจักรยานปั่นไปโรงเรียน มันเป็นแบบนั้นทุกๆ วัน จนกระน้องย้ายไปตอน
ช่วงม.ปลาย
การติดต่อก็ขาดหายไป จนผมได้มาพบกับเธอในวันนี้
.
.
“สัญญานะว่าจะสู้” ผมยื่นนิ้วก้อยทำท่าสัญญา ปิ่นที่เช็ดน้ำตาอยู่เมื่อครู่ถึงกับยิ้มกว้างออกมา
“สัญญาค่ะ”