Rough and Tender 13
ขอบฟ้าโดนปลายฝนวิ่งมาปลุกตั้งแต่หกโมงเช้า
“พี่พลบอกว่าจะมารับตอนแปดโมงไม่ใช่เหรอ เธอจะรีบไปไหนกัน” ขอบฟ้าตอบงัวเงีย
“ฮื้อ ก็ตื่นมาเตรียมตัวสิ กว่าพี่ฟ้าจะอาบน้ำแต่งตัวกินข้าว ช่วยฝนจัดกระเป๋าเสร็จก็แปดโมงพอดี ไม่รู้ล่ะ ห้ามนอนต่อนะ”
สรุปว่าเขาก็ต้องลุกตามคำสั่ง อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็มาช่วยปลายฝนพับเสื้อผ้าลงกระเป๋าให้ เหตุที่น้องสาวไม่ยอมเก็บให้เสร็จตั้งแต่แรกเพราะกลัวเสื้อผ้าจะยับ เขาไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลนี้นักหรอก เพราะตัวเขาเองโยนๆ เสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้จุกจิกอีกไม่กี่ชิ้นลงกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยภายในเวลาสิบห้านาที
ยังดีอยู่อย่าง ตั้งแต่เขานั่งพับเสื้อมา ยังไม่เจอสายเดี่ยว เกาะอกหรือขาสั้นจุ๊ดจู๋ ส่วนใหญ่ปลายฝนจะเลือกเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเตรียมไว้ แต่ขอบฟ้าก็สังเกตเห็นอีกอย่างเช่นกันว่าเสื้อผ้าของเขากับปลายฝนคล้ายกันอยู่บ้างก็ตรงที่แม้จะยังอยู่ในสภาพดีหากก็ค่อนข้างเก่าซีด
เขาเป็นผู้ชาย ไม่ค่อยสนใจเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้ว แต่เขาสงสารน้องสาวมากกว่า เข้าใจว่าเด็กผู้หญิงวัยนี้กำลังรักสวยรักงาม แต่ปลายฝนก็ไม่เคยขอเงินมารดาหรือทิวหมอกเพื่อไปซื้อของพวกนี้เลย
รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยที่เขาไม่ได้นึกขี้ขลาดแกล้งป่วยแกล้งตายเพื่อเอาตัวรอดจากทริปอันตรายนี้อย่างที่นึกอยากทำหลายรอบ เพราะถ้าเขาถอนตัวจริง ปลายฝนคงต้องอดไปด้วย
“ฝน ถ้าเราคิดจะกินอะไรรองท้องต้องรีบหน่อยแล้วล่ะ อีกสิบนาทีจะแปดโมงแล้วนะ” เขาเตือนขณะหยิบแปรงสีฟันของน้องสาวมาใส่กระเป๋าเป็นอย่างสุดท้าย
“เสร็จแล้วค่ะ เสร็จแล้วๆ” เด็กสาวตะโกนตอบจากด้านนอกขณะวิ่งวุ่นเข้าๆ ออกๆ ขอบฟ้าจึงหิ้วกระเป๋าของปลายฝนแล้วสะพายเป้สัมภาระของตนลงมาชั้นล่างก่อน และต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นพลชนะกำลังนั่งคอยอยู่แล้ว
“พี่พล! มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เรียกผมล่ะ”
ชายหนุ่มที่ปกติก็หล่ออยู่แล้ว มาวันนี้ยิ่งเจิดจ้าสดใสเป็นสามเท่า เจ้าตัวรีบลุกมารับกระเป๋าจากมือเขาไปถือไว้เอง “มาถึงได้สักพัก พี่ขอคุณแม่ฟ้าไว้เองว่าไม่ต้องเร่ง พี่รอได้”
บทจะดีก็แสนดีเสียจนชวนให้สงสัยว่าคืนนั้นเขาแค่ฝันไปหรือเปล่า
“มาแล้วค่ะ พี่ฟ้า ฝนว่าเรา...อุ๊ย” ปลายฝนอุทานเบาๆ แล้วหัวเราะแหะๆ “รอนานหรือยังคะ พี่พล”
“ไม่นานหรอกจ๊ะ พี่มาถึงก่อนเวลานัดเองล่ะ” พลชนะยิ้มพลางแบกกระเป๋าไปใส่ท้ายรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน สองพี่น้องจึงเลิกคิดเรื่องหาอะไรรองท้องไปโดยปริยาย
“ม้า ผมไปแล้วนะ” เขาเข้าไปบอกมารดาที่กำลังจับโน่นทำนี่ในครัว
“เออๆ ไปดีมาดี แล้วดูน้องด้วยนะ”
“แล้วฝนจะซื้อขนมมาฝากนะคะ” ปลายฝนเข้าไปกอดเอวมารดาแล้วหัวเราะร่าวิ่งไปรอที่รถ ขณะพลชนะเข้าไปไหว้ลาเป็นคนสุดท้าย
“ผมไปก่อนนะครับ แล้วผมจะคอยดูแลทั้งคู่เองครับ ไม่ต้องห่วง”
“อืม ฉันก็เชื่อใจเพราะเห็นหน้ากันมาพักใหญ่ แต่ยังไงๆ ยัยฝนก็ยังเด็กนัก หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
พลชนะชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มสุภาพ “แน่นอนครับ ผมเข้าใจสิ่งที่คุณน้าต้องการบอกดีและสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรรุ่มร่ามกับเขาครับ”
สองคนเดินออกมาขึ้นรถที่ปลายฝนขึ้นไปนั่งรอบนเบาะหลังอยู่ล่วงหน้า
“แล้วคนอื่นล่ะครับ”
“ที่เหลือเขาไปรถไอ้กรกันน่ะ นัดเจอกันไว้ที่ปั๊มน้ำมัน”
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็เลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ปลายฝนลากมือเขาวิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อหาขนมรองท้อง ส่วนพลชนะเดินแยกไปซื้อกาแฟอีกด้าน ขณะที่เขากำลังยืนเลือกขนมอยู่ เสียงทุ้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นใกล้เสียจนสะดุ้งโหยง
“คิดถึงจัง”
หันขวับกลับมาเจอหน้าตัวปัญหาประจำทริปลอยอยู่ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมหลังโกนหนวด
“คิดว่ามึงจะหนีหางจุกตูดในนาทีสุดท้ายเสียอีก ดีแล้วล่ะ ไม่งั้นกูคงหมดสนุกแย่”
ยืนเม้มปาก เขม้นมองหน้าอีกฝ่ายแล้วพยายามพูดเสียงนิ่งที่สุด “ผมไม่จำเป็นต้องหนีอะไรหรือใครสักหน่อย ขอทางด้วยครับ”
รวบถุงขนมสองสามห่อในมือและรีบเดินไปหาปลายฝนที่ยังยืนอยู่หน้าตู้เครื่องดื่ม ร่างสูงกลับเดินล้วงกระเป๋าตามมาติดๆ “แดกแต่ขนมหลอกเด็กนะมึง”
ทริปนี้ต้องวายป่วงแน่ๆ “...น้องฝากถือ”
“พี่ฟ้าจะเอาน้ำอะไร... อ้าว สวัสดีค่ะ พี่กร” ปลายฝนยิ้มกว้างเมื่อสังเกตเห็นคนที่เดินตามหลังพี่ชายมา “มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แล้วคนอื่นๆ ล่ะ เจอพี่พลหรือยัง เห็นบอกว่าจะไปซื้อกาแฟ”
“พี่เพิ่งมาถึงนี่เอง คนอื่นก็ไปซื้อกาแฟ แต่พี่อยากกินน้ำอัดลมมากกว่า” คนพูดเปิดตู้แช่หยิบขวดน้ำอัดลมมาส่งให้ขอบฟ้าถือ “น้องฝนกินข้าวเช้ามาหรือยัง คงอีกสักพักถึงจะแวะกินข้าว ทนหิวได้ไหม”
“สบายมากค่ะ เดี๋ยวกินขนมรองท้องนิดหน่อยก็พอ”
“เดี๋ยวพี่ไปจ่ายเงินก่อนนะ” ขอบฟ้าพึมพำแล้วเดินเลี่ยงคนสองหน้าลิ้นสองแฉกไปหาแคชเชียร์ แต่ยังหนีไม่พ้นเมื่อมีมือยาวๆ หยิบขนมมาวางเพิ่มรวมกับเขา
“คิดรวมหรือแยกครับ”
“รวมเลยครับ” คนที่ด่าว่าเขากินขนมหลอกเด็กแต่ตัวเองก็กินด้วยตอบพลางหยิบกระเป๋าเงินออกมา
“ไปเที่ยวเหรอครับ”
ขอบฟ้าอดเหลียวมองซ้ายขวาไม่ได้ พอแน่ใจว่าคุณพนักงานถามเขาจึงยิ้มตอบ “ครับ”
“แล้ว...” ยังไม่ทันรู้ว่าคุณพนักงานจะนำเสนอขนมจีบหรือซาลาเปาทานเพิ่ม มืออันหยาบคายก็วางเงินดังปังบนเคาน์เตอร์พร้อมกับดันหัวเขาให้หลบไปห่างๆ
“เร็วๆ หิวแล้ว”
ยังไม่ทันจะหายตกตะลึงในความไร้มารยาทชอบแซงคิวของชายหนุ่ม คุณพนักงานก็จัดการเสร็จเรียบร้อยด้วยอาการลนลาน คาดว่าคงไม่เคยเจอลูกค้ามารยาทติดลบแบบนี้เป็นแน่ ทั้งตบเคาน์เตอร์ ทั้งแซงคิว ใช้ไม่ได้เลยสักอย่าง ขอบฟ้านึกตำหนิในใจขณะมองตามปลายฝนคุยติดลมกับกรเดินนำหน้าเขาไปทางร้านกาแฟ ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่จับจองโต๊ะนั่งจิบกาแฟกันอยู่ก่อนแล้ว
“ฟ้า น้องฝน เป็นยังไงบ้าง” ป่านร้องทักอย่างร่าเริง “ตายจริง ไม่เจอกันไม่กี่ปี น้องฝนโตเป็นสาวสวยขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”
ปลายฝนยกมือไหว้ทุกคนในที่นั้นและยังกล้ายิ้มรับเสียงเอ่ยแซวจากปากเพื่อนๆ พลชนะ ซึ่งไม่ต้องรอนานเมื่อพลชนะเริ่มทำหน้าที่พี่ชายเต็มตัว
“ดูแต่ตามืออย่าต้องนะพวกมึง ไม่งั้นกูจะเจี๋ยนให้ฉลามแดกให้หมด”
“อู๊ยยย หวงออกนอกหน้าไปไหม กะเป็นพระยาเทครัวหรือไง” หนึ่งในสองที่ขอบฟ้าจำหน้าได้เพราะเจอทุกงาน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อวศินเอ่ยแซวและได้รับคำตอบเป็นการยกขาถีบเก้าอี้ที่นั่งอยู่จนเกือบหงายหลัง
“ระวังปากหมาๆ ของมึงจะแตกแบบไม่รู้ตัว” พลชนะเตือน ขยับมือโอบบ่าขอบฟ้าที่ยังยืนทื่อมะลื่อ “กูรักของกู คนนี้คนเดียว”
สายตาทุกคู่มองตรงมายังเขาแบบไม่ได้นัดหมายจนตีหน้าทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พยายามเบี่ยงตัวออกห่าง “ปล่อย พี่พล”
“เออ มึงปล่อยน้องมันก่อน แม่ง หื่นออกนอกหน้า ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะ เดี๋ยวน้องฟ้าสุดเลิฟของมึงก็เปลี่ยนใจหนีกลับบ้านหรอก” คราวนี้ เพื่อนพลชนะอีกคนที่ชื่อศรุตเป็นผู้ปราม
ในขณะที่หลายคนยังแซวคนบิดตัวเป็นกิ้งกืออย่างขอบฟ้า กรกลับจุดบุหรี่สูบเงียบๆ แบบผิดวิสัย มองคนรอบตัวแซวกันโดยไม่พูดอะไรสักคำ จนหญิงสาวข้างกายเอ่ยทัก “พี่กรเงียบจัง หิวหรือเปล่า กาแฟร้อนๆ สักแก้วดีกว่าไหม เดี๋ยวป่านไปซื้อให้”
ขอบฟ้าที่ยืนอยู่ใกล้พอจะได้ยินประโยคอ่อนหวานเอาอกเอาใจหยุดชะงัก เหลือบมองเจ้าผู้ชายวางมาดยิ่งใหญ่เหลือหลายส่ายหน้าเนือย หากพอบังเอิญสบตากับเขาเข้ากลับเอ่ยเรียก “ฟ้า”
นี่...อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่กรเรียกเขาด้วยชื่อ ไม่ได้เรียกมึง เรียกนาย เรียกไอ้หน้าจืดหรือเรียกเด็กไอ้พล หากแต่เป็นครั้งแรกที่ไม่ถูกที่ ถูกเวลาเอาเสียเลย เพราะคำเรียกสั้นๆ คำเดียวเล่นเอาเงียบกริบกันไปหมดทุกคน
ขอบฟ้าที่ไม่รู้ว่าตอนนี้หัวใจตัวเองหยุดเต้นไปกี่วินาทีแล้วยืนตัวแข็งทื่อรอฟังคำพูดต่อไปที่อาจจะเป็นตัวตัดสินวิธีตายของเขาก็เป็นได้
ชายหนุ่มซึ่งกลายเป็นจุดเด่นแบบไม่รู้จะเด่นยังไงเพียงตีหน้าเรียบ ใช้มือที่คีบบุหรี่ชี้มาทางเขา “ขอโค้กที่ซื้อเมื่อกี๊”
ไม่รู้หรอกว่ามีใครลอบถอนหายใจบ้าง แต่ขอบฟ้าคนหนึ่งล่ะที่หัวใจเต้นต่อได้เสียที เขารีบยกถุงในมือขึ้นมาคุ้ยหาของที่ต้องการอย่างรีบร้อนท่ามกลางห่อขนมของปลายฝน
“ฟ้าถือไว้ พี่หยิบให้เอง” พลชนะบอกและล้วงมือลงไปแป๊บเดียวก็หยิบขวดน้ำอัดลมติดขึ้นมาส่งให้เพื่อน “แล้วนี่ขนมฟ้าหมดเลยเหรอ”
“อ๋อ เอ่อ ของฝนด้วยน่ะค่ะ” จำเลยสารภาพพร้อมยิ้มแห้งๆ ซึ่งพลชนะก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ
“รีบไปกันเถอะ กว่าจะถึงที่พักกินข้าว เดี๋ยวเขาจะหิวจนเป็นลมกัน” พูดจบ พลชนะก็จูงมือเขาให้กลับไปขึ้นรถโดยมีปลายฝนวิ่งตามมาติดๆ ทว่าเมื่อมานั่งประจำบนรถกันแล้ว ปรากฏว่ากลับมีใครอีกคนตามมาขึ้นรถด้วย
พลชนะเหลียวมามองแขกไม่ได้รับเชิญแล้วขมวดคิ้ว “มึงจะมานั่งรถกูทำไม ไอ้สิน”
ฝ่ายโดนไล่ด้วยสายตาเพียงยักไหล่ “บรรยากาศบนรถไอ้กรมันไม่ค่อยสดชื่น กูไม่ชอบบรรยากาศแบบนั้นเท่าไหร่”
“พูดอะไรของมึง” ถึงจะบ่น แต่พลชนะก็ขับรถออกจากปั๊มน้ำมันแล้ว
“ไอ้กรแม่งเป็นห่าอะไรไม่รู้ อารมณ์เสียแต่เช้า เหวี่ยงตลอด ขนาดมีป่านคอยเอาใจอยู่ข้างๆ แม่งยังทำหน้าหมาไม่แดก นี่กูกับไอ้รุตเป่ายิ้งฉุบกัน กูชนะ มันเลยต้องทนนั่งรถไอ้กรต่อ” ตอบแล้วชายหนุ่มจึงยิ้มกว้าง เอนตัวพิงเบาะอย่างอารมณ์ดี “อีกอย่าง คันนี้มีผู้โดยสารน่ามองแถมยังไม่มีเจ้าของอยู่ด้วย กูค่อยชุ่มชื่นหัวใจหน่อย”
ขอบฟ้าโล่งใจที่น้องสาวแค่หัวเราะกับคำเอ่ยแซวแต่ก็ไม่ได้มีท่าทางสะเทิ้นอายอะไร และต้องนึกขอบคุณวศินที่ช่วยทำให้บรรยากาศในรถครื้นเครงขึ้นตลอดระยะทางจนถึงที่พักกินข้าว
ฝ่ายกรนั่งรออยู่ในร้านเรียบร้อยแล้วตอนที่พวกพลชนะตามมาสมทบ หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ป่านจึงค่อยเอ่ยว่า “เห็นพี่พลมาถึงช้า กำลังห่วงอยู่เลยว่าขับเลยร้านไปเสียแล้วก็ไม่รู้”
“อ๋อ” พลชนะเบือนหน้ามามองคนรักที่ยังนั่งหน้าซีดๆ “ฟ้าเขาเมารถนิดหน่อยน่ะ พี่เลยแวะพักอีกครั้ง แต่เห็นว่าแป๊บเดียวเลยไม่ได้โทรบอก”
“แย่จริง แล้วนี่ดีขึ้นหรือยัง ฟ้า เดี๋ยวต้องนั่งรถอีกไกลเสียด้วย จะไหวหรือเปล่า” ป่านถามด้วยความเป็นห่วงแล้วตั้งข้อสังเกต “ไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่าฟ้าเมารถ”
“พี่ผิดเองล่ะ” พลชนะยอมรับเสียงอ่อย “ฟ้าเขาคงเมากลิ่นกาแฟ เจ้าตัวเองก็บอกว่าเพิ่งเคยเป็นเหมือนกัน”
คนเมากลิ่นกาแฟตีหน้าปูเลี่ยนๆ รู้สึกตัวเองงี่เง่าขึ้นมาครามครัน “ไม่ใช่ความผิดพี่พลหรอก ผมยังไม่รู้มาก่อนแล้วพี่จะรู้ได้ยังไง”
พออาหารทยอยมาเสิร์ฟ ขอบฟ้ากินได้ไม่มากนักเพราะยังพะอืดพะอมไม่หาย แต่ก็ยังพยายามกินเพื่อไม่ให้คนอื่นเป็นห่วง พลชนะหาซื้อยาแก้เมารถมาให้กินและสั่งให้เพื่อนขับรถต่อแทน หลังจากนั้นจึงดึงขอบฟ้าให้ไปนอนหนุนตักบนเบาะหลัง
รู้สึกตัวขึ้นมาเป็นบางครั้งระหว่างทางแต่มักจะโดนพลชนะบอกให้นอนพักต่อ จนมาตื่นเต็มตาอีกครั้งก็ตอนที่มาถึงจุดหมายปลายทาง พยายามเดินมาช่วยขนของขนกระเป๋าแต่ก็โดนผลักไสออกมา ปลายฝนจึงชวนเขาไปเตร่แถวเคาน์เตอร์เช็คอินแทน
เขากับน้องสาวมัวแต่เดินดูบรรยากาศสวยๆ ของชายทะเลติดโรงแรม พอกลับมาอีกครั้งก็พบว่ามีคนกำลังยืนเถียงกันอยู่
“พี่สิน มีปัญหาอะไรเหรอคะ” ปลายฝนสะกิดถามคนที่นั่งปลีกตัวมองกลุ่มเพื่อนถกเถียงกันอย่างไม่คิดจะมีส่วนร่วม
“เรื่องแบ่งห้องน่ะ” คนตอบยิ้ม “ไอ้กรจะขอนอนห้องเดียวกับป่าน ป่านเองก็ดูลังเล ไอ้พลเลยว้ากเพ้ยอยู่นี่ไง”
ในขณะที่ขอบฟ้าอึ้ง ปลายฝนก็ถามต่อ “แล้วทำไมพี่พลต้องเดือดร้อนด้วย”
“ก็ถ้าป่านไม่ได้นอนกับน้องฝน น้องฟ้าก็ต้องนอนกับน้องฝนไงจ๊ะ” วศินหัวเราะเมื่อเห็นหน้าตื่นๆ ของสองพี่น้อง “แล้วทีนี้ไอ้พลก็ต้องนอนหนาววว~~~ ฮ่าๆ สมน้ำหน้าว่ะ”
สรุปแล้วขอบฟ้า ปลายฝนและพวกไม่มีปากมีเสียงอีกสองชีวิตจึงได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆ มองการทุ่มเถียงดำเนินอีกพักใหญ่ จนในที่สุด ป่านก็เป็นผู้ยุติข้อโต้แย้ง
“พอได้แล้วค่ะ พอได้แล้ว ป่านว่ามันงี่เง่ามากเลยที่ต้องมาเถียงเรื่องไร้สาระกันแบบนี้ พวกเราอุตส่าห์มาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจกันทั้งที ทำไมต้องมาอารมณ์เสียในเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วยก็ไม่รู้” บทจะเด็ดขาด หญิงสาวก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้คนที่ตั้งท่าจะเถียงต่อ “ฟังป่านก่อนค่ะ พี่พล ป่านว่าพวกเราเปิดห้องวิลลาใหญ่พักรวมกันทั้งหมดดีกว่าไหมคะ ได้พักรวมกับทุกคนน่าสนุกดีกว่าด้วย ว่าแต่...น้องฝนสะดวกใจหรือเปล่าจ๊ะ”
“ฝนไม่มีปัญหาหรอกค่ะ ยังไงก็ได้” ปลายฝนรีบทำตัวว่าง่ายทันทีเมื่อทุกสายตาหันมาจับจ้องโดยพร้อมเพรียง
ฝ่ายมนุษย์เจ้าปัญหาอย่างกรกลับยักไหล่ง่าย “เออ เอาไงก็เอา ตอนนี้กูอยากนอนพักแล้ว”
เหลือแต่พลชนะที่ยังตีหน้าบึ้ง เอ่ยอย่างหงุดหงิด “อะไรวะ โตๆ กันแล้วยังมานอนรวมกันเป็นเด็กประถมไปได้”
“ถ้ามึงอยากเสียขนาดนั้นก็ลากไปเอาแม่งในห้องน้ำเสียเลยสิ” ประโยคสร้างความร้าวฉานแบบนี้จะเป็นใครอื่นพูดไปเสียไม่ได้ นอกจากกร “เด็กมึงคงไม่ขัดหรอก อุตส่าห์เตรียมพร้อมมาซะดิบดี”
“ไอ้กร! มึงจะปากหมามากไปแล้วนะ” พลชนะตวาดด้วยความโมโห “มึงหาว่ากูคิดถึงแต่เรื่องใต้สะดือเป็นอย่างเดียวหรือไง”
“อ้าว ก็เห็นยืนยันเสียงแข็งซะขนาดนั้น กูก็อดคิดไม่ได้ว่ามึงคงอดอยากปากแห้งเต็มทน แต่ถ้ามึงไม่ได้เป็นอย่างที่กูพูด ก็เลิกยืนกรานกระต่ายขาเดียวเสียทีสิวะ กูขับรถมาตั้งไกล เหนื่อยแล้วนะมึง”
ขอบฟ้าที่เงียบมานานจนปากแห้งเริ่มคิดว่าเขาควรพูดอะไรสักทีก่อนจะมีการวางมวยเกิดขึ้น จึงเดินย่องๆ ไปดึงแขนเสื้อพลชนะที่ยังยืนจังก้าอยู่
พอหันมาเห็นว่าเป็นเขา พลชนะก็ถามเสียงเบา “มีอะไร”
“นอนรวมด้วยกันน่าสนุกออก ผมอยากให้เรานอนรวมกันห้องเดียว” เขาพยายามลดเสียงลงอีกเมื่อเห็นคนอื่นตะแคงหูฟัง รู้สึกขัดเขินเมื่อต้องอธิบายสิ่งที่ต้องการ “จะได้ล้อมวงเล่นไพ่กันไง เผื่อจะได้โต้รุ่งด้วย หรือพวกพี่ๆ อาจจะกินเหล้ากันไปด้วยก็ยังได้”
พลชนะนิ่งอึ้งไป จ้องหน้าเขาต่ออีกครู่แล้วค่อยฝืนยิ้มเจื่อนๆ “อืม พี่ก็ลืมไปว่ารับปากเราไว้แล้ว เอาสิครับ นอนรวมกันก็ดี ฟ้าคงสนุกมากกว่าสินะ”
เมื่อได้ข้อตกลงแล้ว ป่านจึงจัดการเลือกห้องที่มีขนาดใหญ่พอสำหรับพวกเขาทุกคน เป็นวิลล่าที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัวติดบริเวณชายทะเลซึ่งขอบฟ้าไม่กล้าจินตนาการเลยว่าค่าห้องจะแพงขนาดไหน
เพราะไม่คิดว่าการเอาแต่ใจตัวเองของเขาจะสร้างรายจ่ายมากขนาดนี้และเริ่มกลัวว่าต่อให้หารค่าห้องพักออกเป็นเจ็ดส่วน เขากับน้องสาวก็ไม่มีปัญญาจ่ายอยู่ดี หลังจากเหลียวซ้ายแลขวา ยืนตัวลีบสำรวจความหรูหราของที่พักด้วยหน้าตาแตกตื่นแล้วขอบฟ้าจึงแอบเข้าไปกระซิบบอกป่านระหว่างที่คนอื่นยังเดินเข้าเดินออกดูห้องนั้นห้องนี้กัน
“ป่าน ผมว่าห้องนี้มันจะหรูเกินไปไหม ผมว่า...ถ้าไงเราเลือกห้องที่มันเล็กกว่านี้ ถูกกว่านี้...”
“กลัวอะไร ฟ้า เรามากับบรรดาพ่อบุญทุ่มตั้งหลายราย ถึงอยากช่วยจ่ายแต่รับรองได้ว่าพวกนั้นไม่ยอมให้เราออกสักสลึง สบายใจเถอะ”
มือบางตบต้นแขนเขาแล้วเดินตามปลายฝนออกไปดูห้องน้ำกลางแจ้ง ขอบฟ้าได้ยินเสียงวี้ดว้ายถูกใจลอยออกมาแล้วจึงพยายามยิ้มบ้าง ...ในเมื่อทุกคนมาสนุกกัน เขาก็ไม่น่าจะทำตัวมีปัญหาให้มากนัก
ระหว่างที่ยกกระเป๋าของปลายฝนที่กองรวมกันอยู่ข้างนอกไปไว้ในห้องด้านใน ก็สะดุ้งโหยงตัวลอยเมื่อมีคนสอดแขนเข้ามากอดเขาไว้ทั้งตัวจากด้านหลัง
ตกใจจนขนแทบร่วง แว่บแรกที่คิดเลยคือผี อีกแว่บต่อมาที่น่ากลัวไม่แพ้ผีก็คือกร ดังนั้นพอหันขวับมาเจอหน้าพลชนะในระยะประชิด เขาจึงร้องบอกเสียงตื่น “ตกใจหมดเลย พี่พลน่ะเอง”
“หืม ตกใจทำไม” คนหัวเราะกรุ้มกริ่มก้มลงจูบแถวๆ ขมับอีกฝ่าย “นอกจากพี่แล้ว ฟ้าคิดว่าจะมีใครอื่นกล้ากอดฟ้าแบบนี้อีกเหรอ”
เขาเลิกคิดไปนานแล้วว่าพลชนะถามเล่นๆ จึงได้แต่กล่าวเสียงอุบอิบ “คิดว่าผีซะอีก”
ฟังเสียงหัวเราะอารมณ์ดีสักพัก ขอบฟ้าก็ต้องเอาศอกกระทุ้ง “เลิกหัวเราะผมได้แล้ว”
“ไม่หัวเราะก็ได้ แต่ขอจูบแทนได้ไหม” ขอก็จริงแต่ไม่คิดจะรอคำอนุญาต ชายหนุ่มกดริมฝีปากแนบลงกับข้างแก้ม ละไล่มาจนถึงมุมปาก ก่อนแตะลงบนปากเขาอย่างนุ่มนวล
“ยังมึนหัวอยู่ไหม” เสียงถามแผ่วๆ ดังจากปากได้รูปที่ยังคลอเคลียอยู่กับปากของเขา “ฟ้าตัวเย็นๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่า”
ว่าแล้วพลชนะก็สอดมือเข้าใต้ชายเสื้อยืดเพื่อสัมผัสตัวเขา มือใหญ่ลูบลงแถวๆ เอวและหน้าท้อง ขอบฟ้าเกร็งตัว เหงื่อเริ่มแตก อยากห้ามแต่ก็กลัวโดนโกรธอีก ที่สำคัญคือเขาไม่เหลือเหตุผลอะไรจะห้ามพลชนะได้อีกแล้วด้วย
“กูรู้ว่าพวกมึงคงไม่หิว แต่คนอื่นเขาตั้งใจจะไปหาข้าวกินกัน จะไปหรือจะนอนกกกันอยู่นี่ล่ะ”
เสียงเย็นๆ ทำเอาขอบฟ้าสะดุ้งโหยง ขืนตัวออกห่างจากคนนั่งซ้อนทางด้านหลังทันที มองเจ้าของเสียงแล้วยิ่งกลัวจนขนหัวลุก ต้องรีบก้มหน้าบีบมือแน่นแทน
“จะออกไปหาอะไรกินกันเหรอ เออๆ ไปก็ไป” พลชนะทำหน้าเฉยๆ แล้วลุกขึ้นโดยดึงขอบฟ้าติดมือขึ้นไปด้วย “เดี๋ยวพี่เข้าห้องน้ำแป๊บนึง รอก่อนนะ”
ใจจริงอยากขอเข้าไปด้วย แต่กลัวว่าจะผิดสังเกต เขาเลยยืนตัวแข็งมองตามพลชนะเดินเข้าห้องน้ำด้านใน หันมามองคนที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูแล้วไม่รู้จะเอามือไม้วางตรงไหนดี
“ป่านล่ะ” ถามส่งๆ เพื่อหวังให้กรมีคำพูดอะไรก็ได้หรือทำอะไรอย่างอื่นนอกจากยืนมองเขานิ่งๆ แบบนี้เสียที หากพอรู้ว่าร่างสูงไม่คิดจะตอบคำถาม เขาจึงเอ่ยต่อ “ผมไปหายัยฝนก่อน”
เดินเร็วๆ หวังจะแทรกตัวผ่านด่านอรหันต์หากต้นแขนกลับโดนมือแข็งยึดไว้แล้วบีบแน่นจนขอบฟ้าหน้าเบ้ ก่อนที่กรจะก้มลงกระซิบตรงริมหูด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“อย่าทำอะไรข้ามหัวกูให้มันมากนัก ไม่งั้นมึงจะเสียใจ”
กล่าวจบ กรก็สะบัดแขนเขาทิ้งและหมุนตัวจากไป ทิ้งให้ขอบฟ้ายืนตัวสั่นอยู่ที่เดิม ถามว่าเขากล้าทำให้กรโกรธไหม เขาไม่กล้า แต่ถ้าจะถามว่ากล้าขัดใจพลชนะอีกไหม เขาก็ไม่กล้าเช่นกัน
เขารู้สึกเป็นเหมือนหุ่นกระบอก ให้คนอื่นเชิดไปทางนั้นทีทางนี้ที ความสุขของเขากลายเป็นความหวาดระแวงตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้แต่ต้องคอยกลัวว่ากรจะทำอะไร พลชนะจะรู้ความจริงเมื่อไหร่และเขาจะกล้าบอกเลิกไหมก็เท่านั้น
++++++++++