-8-
จุมพิตของจันทรา พันธสัญญาของสองเรา
“ยิ้มอะไร”
ผมถามคนที่ไม่ยอมให้เท้าของผมแตะพื้นอีกเลยนับตั้งแต่พิธีคัดเลือกรัชทายาทจบลง ตอนนี้เชอเชสอุ้มผมเหมือนกับผู้ใหญ่อุ้มเด็กเล็ก ใช้แขนเพียงข้างเดียวยกผมลอยขึ้นแล้วจับให้หันหน้าเผชิญกับเขา ตัวผมที่อยู่สูงกว่าเลยเห็นรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าของเจ้าชายกระต่ายชัดทุกรูขุมขนจนอดสแกนดูรอบหนึ่งไม่ได้
ผิวขาวเนียนเรียบไร้สิวจนน่าอิจฉา ไรหนวดเบาบางนี่คงไม่เคยผ่านการโกนเลยสักครั้งเพราะมันไม่เป็นตอหนา ถ้าหากลองมองลึกเข้าไปในดวงตาจะเห็นว่าสีม่วงกับสีเทาแบ่งแยกกันชัดเจน วงนอกเป็นสีเทา วงในเป็นสีม่วงเหมือนอัญมณี ริมฝีปากสีส้มที่ดูสุขภาพดีก็ขยันแจกรอยยิ้มซะเหลือเกิน
“มีความสุขก็ต้องยิ้มสิครับ” เจ้าชายกระต่ายตอบยียวนชวนให้ผมดึงแก้มเขาจนยืดเพราะความหมั่นไส้
“ดีใจที่ได้เป็นรัชทายาทอ่ะดิ” ผมแค่นเสียงฮึในลำคอ
“มิได้ครับ”
เชอเชสส่ายหัวเบาๆ พิงหัวลงกับอกผมที่ขนลุกซู่ขึ้นมาทันทีเพราะไม่ชินที่มีผู้ชายตัวโตๆ มาอิงแอบแนบชิด ถึงแม้ตอนเขากลายร่างเป็นกระต่ายจะถูกผมอุ้มอยู่ในอ้อมแขน ไม่ก็อุ้มพาดบ่าอยู่บ่อยครั้งก็ตาม
“การที่ข้าได้รับเลือกให้เป็นรัชทายาทนับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีก็จริง แต่ที่ข้าดีใจ...เป็นเพราะท่านวีเลือกข้าต่างหากครับ”
คิ้วผมขมวดเข้าหากัน พยายามดันอีกฝ่ายออกแบบไม่ให้เขารู้ว่าผม เอ่อ...ไม่ชินกับการชิดใกล้แบบนี้เท่าไหร่ โดยการแกล้งทำเป็นโวยวายใส่อย่างก้าวร้าว(?)
“แล้วมันต่างกันตรงไหนฟะ!?”
“พูดตามตรง ข้าไม่สนเรื่องตำแหน่งรัชทายาทนั่นหรอกครับ”
เชอเชสเงยหน้าขึ้นมองผม รอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขถูกส่งตรงมาให้เร็วทันใจยิ่งกว่าสั่งเดลิเวอรี่อาหารมาส่งถึงบ้านซะอีก
“การที่ได้ท่านมา
ครอบครองต่างหาก...ที่ทำให้ข้าดีใจ”
ไม่ทราบว่าคุณจะเน้นคำว่า ‘ครอบครอง’ ให้มันชัดถ้อยชัดคำทำไมครับ คิดว่าผมจะรู้สึกอะไรกับประโยคนี้เรอะ เออ ยอมรับว่ารู้สึก รู้สึกอยากเจื๋อนกระต่ายแถวนี้ไปย่างเกลือแล้วเอาเนื้อมาแทะเป็นอาหารค่ำคืนนี้สุดๆ เลยล่ะเฟ้ยยย!
“คะ...ครอบครองอะไรของนาย อย่ามาโมเมเหมาเอาเองนะ ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลย!” ผมแว้ดลั่น แต่รัชทายาทกระต่ายเห็นจะไม่เข้าใจศัพท์ที่ผมใช้อีกแล้ว
“โมเม? เหมา? คำพวกนี้แปลว่าอะไรหรือ?”
“โอ๊ยยยย ชั่งมันเถอะ” ผมยอมแพ้ หน้าตาใสซื่อกับรอยยิ้มดีใจแบบเด็กๆ มันทำให้ผมไม่อยากถือสาหาความอะไรอีก
“ท่านวี?”
“นี่ ทำไมผมของนายถึงกลายเป็นสีนี้ไปแล้วล่ะ”
ผมปรับลมหายใจอยู่นานกว่าจะสงบสติที่ใกล้แตกซ่านให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปรกติได้ ถามไปมือก็เลื่อนขึ้นไปจับกลุ่มผมสีม่วงอมน้ำเงินไปด้วย ตอนเป็นสีส้มก็สวยดีอยู่หรอก แต่ผมว่าผมชอบสีนี้มากกว่าแฮะ
หูกระต่ายที่เหมือนมีสวิตซ์อยู่บนหัว พอผมแตะปุ๊บก็เด้งขึ้นมาปั๊บโผล่ออกมาให้เห็น ขนสั้นนุ่มนิ่มก็เปลี่ยนไปกลายเป็นสีม่วงครามเหมือนกัน แล้วสีส้มก่อนหน้านี้คืออะไร?
“อ๋อ นี่หรือครับ” เชอเชสแหงนหน้ามองหูเรียวยาวที่โผล่ออกมาของตัวเอง คำพูดฟังดูติดขัดเล็กน้อยเหมือนเขากำลังเขินผมที่เปลี่ยนจากจับผมมาเป็นจับหูกระต่ายของเขาอย่างสนใจ “ก่อนหน้านี้เทพกระต่ายได้ใช้มนตราเปลี่ยนสีให้น่ะครับ ท่านบอกว่ามันเป็นค่านิยมอย่างหนึ่งของมนุษย์โลก ใครๆ เขาก็ทำกัน”
ใช่ ใครๆ เขาก็ทำกัน ขนาดผมยังย้อมหัวตัวเองให้กลายเป็นสีน้ำตาลทองเลย แต่เชอเชส นายรู้อะไรไหม บางทีนายอาจจะโดนคุณเชษฐ์แกล้งเล่นแล้วล่ะ...
“สีส้มนี่...เทพกระต่ายก็เป็นคนเลือกให้?” ผมถามเพราะอยากรู้ล้วนๆ จะว่าผมเสือกก็ยอมเอ้า
หูเรียวยาวที่ปกคลุมด้วยสีโทนเข้มกระดิกดุ๊กดิ๊กก่อนตอบ “ใช่แล้วครับ ท่านเทพบอกว่าสีของผลส้มนั้นเด่นดี เวลาที่หลงกับท่านวี ท่านวีจะได้หาผมเจอง่ายๆ ครับ”
แน่ล่ะ ก็ล่อซะสีส้มบาดตาขนาดนั้น ถ้าหลงกันแล้วผมหาคุณเจ้าชายจากดวงจันทร์เขาไม่เจอก็เอาหินมาปาหัวผมเลยเถอะ!
“แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกัน ไอ้ธารอผมอยู่นะ”
เชอเชสออกตัวเดินต่อบนทางเดินที่ทอดยาวไปสู่บริเวณปีกซ้ายของปราสาท ข้างหลังมีคนเดินตามมาสี่คน เจ้าสีส้มที่เปลี่ยนเป็นสีม่วงไปแล้วบอกว่า สี่คนนี้คือองครักษ์ประจำตัวของเขา ทุกคนอยู่ในชุดเครื่องแบบสีดำสนิท ข้างเอวมีดาบยาวนอนสงบนิ่งอยู่คนละสองเล่ม หน้าตาแต่ละคนดูดีชนิดที่อดคิดไม่ได้เลยว่าเขาคัดหน้าตามามากกว่าเน้นเรื่องฝีมือรึเปล่า
“หลังจากนี้ท่านต้องพักอยู่กับข้า ส่วนท่านธา เทพกระต่ายบอกว่าจะรับตัวเขาไปอยู่ด้วยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ”
“หา? คุณเชษฐ์ เอ๊ย เทพกระต่ายไปรู้จักมักจี่ไอ้ธาตอนไหนล่ะนั่น”
“พระชายาแห่งดวงจันทร์จะนำพาเทพกระต่ายมาช่วยพิทักษ์บ้านเมืองและคุ้มครองอาณาจักร นี่เป็นคำบอกเล่าที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นครับ ดังนั้นการที่ท่านธาไปพำนักอยู่กับเทพกระต่ายในฐานะผู้สืบทอดรุ่นต่อไปจึงนับว่ามิผิดแปลกประการใด”
“ไอ้ธาเนี่ยนะ...”
หน้าอย่างมันบอกว่าจะมาทำลายบ้านเมืองและล่มจมอาณาจักรยังจะฟังดูน่าเชื่อกว่าอีก...
“ท่านวีอย่าได้เป็นห่วงท่านธาไปเลยครับ ทุกคนรับรู้โดยทั่วกันแล้วว่าท่านธาเป็นสหายรักของท่าน คือว่าที่เทพกระต่ายองค์ต่อไป รับรองด้วยเกียรติแห่งข้าเลยว่าทุกคนจะดูแลและปรนนิบัติท่านธาเป็นอย่างดี”
ไอ้เรื่องดูแลอะไรนั่นผมไม่เป็นห่วงหรอก เจ้าเพื่อนบ้าของผมมันดูแลตัวเองได้ แต่ที่ห่วงคือกลัวว่ามันจะคลั่งตอนที่ได้รู้เรื่องนี้นี่สิ เจ้าเกรียนนั่นยิ่งไม่ชอบให้ใครมาบังคับทำนู่นทำนี่อยู่ด้วย
“เดี๋ยว แล้วทำไมผมต้องไปพักอยู่กับนายด้วย ห้องของผมก็มี”
ผมกอดอกมองพาหนะส่วนตัวที่เดินไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ ทั้งที่แขนข้างหนึ่งแบกก้อนเนื้อหนักถึงหกสิบกิโลอย่างผมเอาไว้ ไม่เมื่อยบ้างรึไงนะ อุ้มผมด้วยแขนเดียวอย่างนี้อ่ะ
“เพราะท่านเป็นชายาของข้าอย่างถูกต้องแล้ว จะให้แยกกันอยู่เหมือนเก่าได้อย่างไร”
ก็แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะฟะ…
“ผมเลือกนายก็จริง แต่ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ด้วยกันเลยนี่”
“จำเป็นสิครับ” เชอเชสตอบเสียงหนักแน่น “เทพกระต่ายบอกกับพวกเราก่อนพิธีคัดเลือกจะมาถึง ว่าการได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันจะทำให้ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นไปอีกก้าว ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว การหลับนอนร่วมกันย่อมเป็นเรื่องปรกติ”
คุณเชษฐ์... คุณมาปลูกฝังอะไรให้เจ้ากระต่ายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตัวนี้กันแน่วะครับเนี่ย!?
“ด..ด..ด..เดี๋ยวนะ นายบอกว่าหลับนอน...หมายถึงเราต้องนอนเตียงเดียวกันงั้นเรอะ!”
เจ้าสีม่วงผงกหัว รับคำด้วยน้ำเสียงใสซื่อแต่เป็นคำตอบที่ผมไม่อยากฟัง “ท่านเข้าใจได้ถูกต้องแล้วครับ”
ผมพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นแล้วถามต่อ “คำว่าหลับนอนของนายนี่...แค่นอนด้วยกันเฉยๆ คือแบบว่า...ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นใช่ไหม”
เชอเชสเพียงแต่ยิ้มรับไม่ตอบอะไร พูดเพียง เดี๋ยวคืนนี้ผมก็รู้เองนั่นล่ะ
ห้องส่วนตัวของเจ้าชายสามแห่งอาณาจักรแสงจันทร์อยู่ทางปีกซ้ายของปราสาท ขนาดใหญ่กว่าห้องรับรองแขกที่ผมกับไอ้ธาอยู่ประมาณสามเท่าได้ ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายเน้นโทนสีน้ำเงินดำเป็นหลัก มีของประดับน้อยชิ้นแต่กลับมีหนังสืออัดแน่นอยู่เต็มชั้น แต่ละเล่มหนาอย่างกับพจนานุกรมฉบับไทย-อังกฤษที่ผมชอบหยิบเอาไปใช้ปาหัวหมาอย่างไอ้ธาอยู่บ่อยครั้ง ท่าทางอ่านยากชวนหลับทุกเล่มเสียด้วย
เห~ ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเชอเชสเป็นพวกหนอนหนังสือ นึกว่าจะบ้าขี่ม้าฟันดาบปราบมังกรอะไรทำนองนี้ซะอีก
“วางผมลงได้แล้วมั้ง”
ผมบอกเมื่อพวกเราเหลือกันอยู่แค่สองคนในห้องของเขา แต่เจ้ากระต่ายหัวม่วงกลับทำเป็นเฉย เหมือนเสียงที่ได้ยินเป็นเพียงเสียงผายลมปู้ดหนึ่ง ที่ได้ยินก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน จะพูดออกมาให้อีกฝ่ายต้องอับอายขายขี้หน้าก็ทำไม่ได้ แต่คุณครับ เสียงผมนะไม่ใช่เสียงตด ที่ผมพูดไปเจ้ากระต่ายนี่ได้ยินแน่ๆ แต่ร้อยทั้งร้อยมันแกล้งเมินจงใจทำเป็นไม่ได้ยิน ซ้ำยังเดินลิ่วไปยังระเบียงห้องที่เปิดโล่ง จับผมหันมามองหน้าเขาท่ามกลางม่านแสงจันทร์ที่ยังปกคลุมทั่วผืนฟ้า
“ท่านวี ข้ารู้ว่านี่อาจจะกะทันหันเกินไป แต่กรุณาจูบข้าด้วยครับ”
เขาบอกกับผมชัดถ้อยชัดคำจนหัวใจผมแทบกระเด็นออกจากปากกระแทกหน้าหนาๆ ที่ไม่รู้เคลือบซีเมนต์เอาไว้กี่ชั้นของคนตรงหน้าที่กล้าขอให้ผมจูบเขาด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“เชอเชส อย่าล้อผมเล่น ผมไม่สนุกด้วยนะ”
ผมมองตอบแววตาจริงจังของเขา จนถึงตอนนี้เจ้ากระต่ายก็ยังไม่ยอมปล่อยผมลง ผมเลยต้องใช้สองมือเกาะบ่าเขาไว้ ก้มลงมองเขาที่เลิกยิ้มเหมือนคนบ้าไปแล้วแต่กลับสวมหน้ากากจริงจังและโคตรหล่อแทน ฮึ้ยยย อย่าเก๊กหล่อให้มันมากนักได้ไหม แค่นี้ผมก็อิจฉาตาร้อนจนแทบไหม้ละลายคาเบ้าตาได้อยู่แล้ว!
“ข้ามิได้กำลังเล่นสนุกนะครับ แต่พิธีในคืนนี้จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อท่านวียอมมอบจูบให้ข้าภายใต้ม่านแสงจันทร์ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่ช้านานแล้วล่ะครับ”
ใคร...ใครมันเป็นคนตั้งกฎบ้าๆ นี้ขึ้นมาห๊า อย่าให้รู้นะ พ่อจะแล่นเอาระเบิดไปบึ้มให้หายไปทั้งหลุมเอาให้สะเทือนเลือนลั่นไปถึงภพปรโลกเลย!
“จำเป็นต้องทำด้วยเหรอ” ผมแสร้งทำตาละห้อยใส่เจ้ากระต่ายที่ยิ้มจางๆ มาให้ ทำตัวให้ดูน่าสงสารเข้าไว้เผื่อกูจะรอด แต่ว่า...
“จำเป็นครับ เทพกระต่ายย้ำเป็นมั่นเหมาะว่าต่อให้ต้องใช้กำลังบังคับก็ต้องได้รับจูบจากท่านในค่ำคืนนี้ให้ได้ แต่ผมไม่อยากใช้วิธีนั้นกับท่านวี เลยเลือกที่จะพูดกับท่านตรงๆ แทนครับ”
คุณเชษฐ์ครับ... ผมว่าถ้าเรามีโอกาสได้เจอกันครั้งหน้า ผมคงต้องถามหน่อยแล้วว่าไอ้ที่คุณพูดกับเจ้ากระต่ายนี่ เป็นคำพูดของคุณเองหรือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่บรรพบุรุษกำชับมาเป็นมั่นเหมาะกันแน่ อันนี้ผมชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วนะ!
“ท่านวีรังเกียจข้าหรือ?”
มุมปากของเจ้าหนูกระต่ายโค้งลงสิบห้าองศาเป็นอย่างต่ำ ทำตาละห้อยได้น่าสงสารกว่าที่ผมแสร้งทำหลายเท่านัก ส่วนมือที่รวบตัวผมอยู่ก็ดูเหมือนจะกอดรัดแน่นขึ้น หูเรียวยาวสองข้างลู่ลงเป็นกระต่ายหงอยแทบจะทิ่มตาผม
โอเคน้องชาย ผมยอมแพ้ก็ได้ อย่าทำตัวเศร้าให้ต่อมรักสัตว์ในใจผมสะเทือนอีกต่อไปเลย
ก็แค่จูบเอง คิดว่ากำลังจูบกับกระต่ายซะก็หมดเรื่องแล้วไอ้วี!
“เชอเชส เงยหน้าขึ้นมา” ผมรวบรวมกำลังใจเฮือกใจก่อนจะตะปบหน้าเขาขึ้นมาให้มองหน้าผม ดวงตาสีม่วงอมเทาดูสั่นไหวแปลกๆ เมื่อเราเผชิญหน้ากัน “ฉันไม่ได้รังเกียจ...ไม่เคยรังเกียจนาย ก็แค่...ไม่พร้อมน่ะ”
“มิเป็นไร ข้าเข้าใจดีครับ”
เข้าใจแบบไหนล่ะฟะเจ้าม่วงนี่ ปากบอกเข้าใจแต่หูกระต่ายกลับลู่ลงกว่าเดิมจนแทบจะทิ่มเข้าปากผมอยู่แล้ว เดี๋ยวก็งับซะหรอก
ผมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก็ใครใช้ให้ผมนึกเอ็นดูเจ้ากระต่ายบ้านี่ตั้งแต่แรกที่รู้จักกันเล่า!
เพียงแค่ไม่กี่วิที่เวลาไหลผ่าน ปากของผมสัมผัสกับอีกฝ่ายแผ่วจาง เบาบางดุจปุยหิมะที่พอแตะกับผิวเนื้ออุ่นร้อนก็ละลายหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
วินาทีที่กำลังจะผละออก กลับรู้สึกถึงน้ำหนักมือที่กดลงมาบนท้ายทอย ริมฝีปากที่ผละจากเพียงเสี้ยวนาทีกลับประทับลงแนบแน่นบดเบียดจนอุ่นร้อน
ผมหลับตาปี๋ นึกด่าเจ้ากระต่ายบ้านี่ในใจด้วยคำหยาบทั้งหมดเท่าที่จะนึกออกในเวลานี้
ไหนว่าให้ผมเป็นคนจูบไง ผมก็จูบไปแล้ว แล้วไอ้มือนี่มันคืออะไร!? ปากที่ประกบกับผมอยู่นี่คืออะไร!? แล้วลิ้นที่สอดเข้ามานี่คืออะไร!?!?!?
ไอ้วีไม่เข้าใจ!!!!!!!!!!!!
“อะ...เชอ...อื้อ!”
ผมอยากเขียนใบลาตายสักสองฉบับ หนึ่งให้ไอ้ธา สองให้พ่อแม่
พ่อครับแม่ครับ ไอ้ธามึง...กูเสียจูบให้ผู้ชายแล้ว แถมยังเป็นดีฟคีสด้วย โอ้กกกกก
“หึหึหึ”
ไอ้ธานั่งหัวเราะเหมือนคนโรคจิตอยู่ข้างผมที่พยายามเลียนแบบเป็นแมวตายอยู่ข้างสระน้ำกลางสวนในวัง
หลังจากที่โดนเชอเชสจับจูบอย่างเร่าร้อนภายใต้ม่านแสงจันทร์ไป ผมก็สลบไสลไม่ได้สติไปสามวัน คุณเชษฐ์ที่มาดูอาการพร้อมกับพาไอ้ธามาเฝ้าด้วยบอกว่านี่เป็นเรื่องปรกติของการเชื่อมจิตเข้าด้วยกัน ผมที่ทำหน้าเป็นหมางงไม่รู้อะไรเป็นอะไรเลยได้รับคำแนะนำมาว่าให้ลองหลับตาลงแล้วเรียกหาเชอเชสดู ปรากฏผมได้ยินเสียงของเชอเชสตอบกลับมาในหัว
จากนั้นไม่นาน เจ้าตัวที่หอบหิ้วเอกสารพะรุงพะรังก็พุ่งพรวดเข้ามาเกาะข้างเตียงโดยโยนงานทั้งหมดทิ้งไว้ที่หน้าประตูให้เหล่าคนสนิทต้องก้มๆ เงยๆ เก็บกันหัวหมุน ส่วนเจ้าม่วงก็เอาแต่ถามผมไม่หยุดว่าผมเป็นยังไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง และบลาๆๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นห่วงผมขนาดไหน
จากการปฏิบัติจริงในครั้งนั้นทำให้ผมรู้ว่าไอ้ธรรมเนียมอะไรนั่นมันไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้น และจูบที่เหมือนเด็กเล่นขายของนั้นมันไม่มากพอให้การเชื่อมต่อสามารถดำเนินไปได้จนจบ เชอเชสถึงได้ตัดสินใจทำแบบนั้นกับผมลงไป
เชอเชสขอโทษผมหลายครั้งมาก เขากลัวว่าผมจะโกรธจนไม่มองหน้าเขาอีก ซึ่งมันไม่ใช่ ผมไม่ได้โกรธเขา เพียงแต่...
“ฮึ้ยยยยย คิดไม่ออกโว้ยยยยยย”
ผมตะโกนลั่นให้ปลาในสระแตกตื่นเล่นจนต้องหนีไปหลบหลังโขดหินมองดูคนบ้าที่กลิ้งไปมาจากใต้ผืนน้ำ ตอนนี้พวกเราอยู่ในสวนของตำหนักเทพกระต่ายที่ถูกสร้างแยกออกมาจากตัวปราสาท ข้างหลังตั้งติดกับน้ำตกขนาดใหญ่จึงได้ยินเสียงสายน้ำไหลที่ตกลงจากที่สูงตลอดเวลา อากาศบริสุทธิ์น่านอน แต่หัวใจของผมที่ยังกระวนกระวายทำให้ข่มตายังไงก็หลับไม่ลง
“คิดไม่ออกก็เลิกคิดเว้ย สมองมึงไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีรอยหยักเยอะ จะไปคิดให้มันซับซ้อนทำไม คิดไปก็คิดไม่ออกอยู่ดีน่า”
“ทำไมกูถึงรู้สึกเหมือนกูโดนด่าอยู่เลยวะ...”
“มึงคิดไปเองแล้วล่ะ” ไอ้ธายิ้มกว้างเหมือนโลกนี้สดใสนักหนาสำหรับมัน แตกต่างจากผมที่มองเห็นโลกนี้ดำมืดยิ่งนักในเวลาที่คิดไม่ออกแบบนี้
“ชิ” ผมจิ๊ปากขัดใจ หันหลังให้ว่าที่เทพกระต่ายรุ่นต่อไปที่ดูจะไม่คลั่งกับสถานะที่เป็นอยู่อย่างที่ผมเคยคิดเอาไว้
ไอ้ธาตอนนี้อยู่ในชุดสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีสีอื่นใดเข้ามาแต่งแต้มให้เกิดจุดเด่น ผมที่เคยยาวจนเกือบแตะบ่าถูกตัดให้สั้นขึ้นจนดูไม่ต่างจากพวกเด็กเนิร์ด ในมือถือตำราเล่มใหญ่ที่ไม่เคยคิดว่าคนอย่างมันจะเอามาอ่านเล่นฆ่าเวลา ถ้าไม่ใช่ว่าคุณเชษฐ์ทั้งบังคับและข่มขู่(ด้วยวิธีไหนก็ไม่รู้) เชื่อเถอะว่าต่อให้เอาของรักทั้งหมดของไอ้ธามากองอยู่ตรงหน้าแล้วขู่ว่าจะเผาให้หมดไม่มีเหลือก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้(เพราะมันรวย มันซื้อใหม่ได้ มันเลยไม่แคร์)
ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าคุณเชษฐ์ใช้วิธีไหนมากำราบเกรียนธาได้อยู่หมัดแบบนี้นะ วันหลังผมจะได้ขอลองเอาไปใช้บ้าง น่าสนุกกว่าหาวิธีเกรียนมันกลับอย่างทาบไม่ติดเลยล่ะ
“ธา มึงอยู่นี่โอเคป่าววะ”
ผมกลิ้งกลับมานอนแบะหน้าเพื่อนสนิท หากยาอุลมาเห็นสภาพของผมตอนนี้คงได้วิ่งพรวดๆ เข้ามาฉุดผมให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ แล้วอบรมผมชุดใหญ่ว่าการกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
คิดๆ ดูแล้วชีวิตของผมก็มีสีสันเพิ่มขึ้นไม่น้อยเมื่อขอให้เชอเชสแต่งตั้งยาอุลเป็นเด็กรับใช้ส่วนตัวของผม ตอนนี้เจ้าตัวคงยุ่งอยู่ที่สำนักทอจันทร์ ฤดูหนาวใกล้มาเยือนดินแดนแห่งนี้แล้วผมเลยต้องมีชุดใหม่ที่อุ่นหนามากกว่าเก่า เจ้าตัวน้อยสีเทาเลยช่วยเป็นธุระจัดการให้
ส่วนผมก็หนีมาสิงอยู่กับเจ้าเพื่อนตัวดีที่นับวันเริ่มมีรอยยิ้มกวนประสาทหลากหลายมากขึ้น ไม่รู้ว่าคุณเชษฐ์เป็นคนถ่ายทอดพันธุกรรมนี้ให้หรือว่ามันเป็นของมันเองตั้งแต่เกิด ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นอย่างหลังซะมากกว่า แต่ก็ไม่อาจดูถูกความสามารถของคุณเชษฐ์ไปได้เหมือนกัน
คนที่ถูกผมตั้งคำถามนี้ใส่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตาสีดำจับจ้องมายังผมพลางถอนหายใจ “มึงถามคำถามนี้กับกูมากี่รอบแล้วรู้ไหม”
“เอิ่ม... หกรอบได้มั้ง”
“ก็ถูก วันนี้เป็นรอบที่หก แต่คำตอบที่ถูกต้องคือ สามสิบเก้าครั้งนับจากวันที่มึงฟื้นขึ้นมาครับ” คุณธาราหยิบม้วนไม้ไผ่ที่วางกองอยู่ข้างๆ ขึ้นมาตีหัวผมดังป้าบ ฟังดูก็รู้ว่าเจ็บมาก แต่คนที่โดนจริงอย่างผมนี่ไม่ใช่แค่น้ำตาเล็ด แต่ไหลเลยล่ะครับ!
“มึงครับ บอกกูอย่างเดียวก็ได้ไม่ต้องตี หัวกูสูงค่าอย่างประเมินไม่ได้แล้วนะครับตอนนี้” ผมลูบหัวป้อยๆ ให้ไอ้ธาแค่นฮึใส่เสียหนึ่งคำรบ
“ฐานะเปลี่ยนแล้วเอาใหญ่เลยนะครับเพื่อนกู อยากให้เทพกระต่ายอย่างผมส่งคนไปรายงานสามีมึงไหมครับ ว่าตอนนี้ว่าที่เจ้าสาวของเขาที่ควรจะศึกษาเล่าเรียนอยู่ในหอตำรามาทำตัวเกรียนอะไรอยู่แถวนี้”
ผมรีบส่ายหัวรัวๆ แบบไม่กลัวคอหลุด นับตั้งแต่ผมตื่นขึ้นมาก็นับได้ยี่สิบวันแล้ว ตอนนี้เชอเชสงานยุ่งมาก เขาได้รับมอบหมายงานหลายอย่างจากพระราชาเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าขุนนางและราษฎรก่อนจะได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการ ส่วนผมที่มีฐานะเป็นชายาของเขาก็ต้องเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากบรรดาพระอาจารย์ที่คุณตาณจัดหามาสอนให้ด้วยตัวเอง มีทั้งขนบธรรมเนียมประเพณี มารยาท การวางตัวในหมู่ชนชั้นสูง การเต้นรำ ราชาศัพท์ และอื่นๆ อีกมากมายหลายสิ่งจนผมแทบจับไข้หลังจากเริ่มเรียนไปได้แค่ไม่กี่วัน
ดังนั้นเมื่อชิ่งได้ผมจึงรีบชิ่ง กว่าจะหลบสายตาเจ้าพวกองครักษ์ที่เชอเชสเป็นคนคัดเลือกมาเองกับมือให้มาคุ้มครองผมได้ก็ใช้เวลาตั้งนาน เรื่องอะไรผมจะยอมกลับไปนั่งหน้าตำราที่เต็มไปด้วยอักษรยึกยือที่อ่านไม่ออกนั่นง่ายๆ ล่ะ ลงทุนหนีเรียนมาแล้วทั้งทีก็ต้องเอาให้คุ้มกันหน่อยซี่~
ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรไร้สาระจนเพลิน ร่างที่ทอดกายอย่างเกียจคร้านบนหญ้านุ่มสีเหลืองอ่อนพลันถูกใครบางคนยกขึ้นจนตัวลอย
กลิ่นหอมที่คุ้นจมูกเพราะกว่าสามสัปดาห์ที่ผ่านมาผมนอนอยู่กับเขาทุกคืนจนจำกลิ่นนี้ได้ขึ้นใจ มันตามมาหลอกหลอนพร้อมกับไออุ่นและน้ำเสียงที่ติดจะเย็นชานิดๆ เหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กเกเรที่แอบหนีเรียนมากลิ้งเล่นแถวนี้
“ท่านวี รู้ไหมครับว่าพระอาจารย์ซูลูจะร้องไห้อยู่แล้วที่ท่านหนีเรียนวิชาเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาจะเขียนใบลาออกอยู่แล้ว”
ดวงตาสีม่วงอมเทาฉาบไว้ด้วยความเหนื่อยใจ แต่เหนือกว่านั้นคือประกายลึกล้ำที่ทอแววเอ็นดูคนที่อยู่ในอ้อมกอด จนคนนอกอย่างธาราต้องเบือนหน้าหนีไปผิวปากเล่นเพราะอยู่ดีไม่ว่าดีดันเห็นสามีภรรยามายืนสวีทกันให้เห็นเต็มตาเสียอย่างนั้น
“ผม เอ่อ...ก็แค่เบื่อๆ น่ะ เลยอยากออกมาสูดอากาศเล่น แล้วบังเอิญมาเจอธาแถวนี้พอดีเลยเผลอคุยกันนานไปหน่อย”
ผมตีอกชกลมอยู่ในใจ ทำไมเจ้ากระต่ายนี่ถึงได้รู้ตลอดเลยนะว่าผมอยู่ที่ไหน ทำอะไร และอยู่กับใคร ทั้งที่ผมก็ปิดกั้นเสียงในใจไม่เรียกเขาผ่านทางพันธสัญญาอะไรนั่นแล้ว มันก็ไม่ควรเป็นปัญหาแล้วสิ!
“ท่านวี คิดดังไปแล้วครับ”
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเตือน ลืมไปได้ไงนะว่าตอนนี้ผมอยู่ในอ้อมแขนของเชอเชส และการสัมผัสกันแบบนี้จะทำให้ความคิดของผมไหลเข้าสู่สมองของอีกฝ่ายได้ง่ายกว่าปรกติ ยิ่งคิดดังเสียงก็ยิ่งดัง ตายๆๆ ป่านนี้ไม่รู้หมดแล้วรึว่าผมโกหกเขาไป!?
“เรื่องแค่นี้ไม่รู้ก็แย่แล้วล่ะครับ” เชอเชสยิ้มขัน เจ้ากระต่ายบ้าที่แต่ก่อนเคยน่ารักน่าเอ็นดูตอนนี้ถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบคนน่าเตะของผมไปแล้ว
ใครก็ได้ ช่วยเอาเจ้าส้มเมื่อวันวานกลับมาที! สีม่วงนิสัยแบบนี้ผมไม่เอา!
“ไม่เอาตอนนี้ก็สายไปแล้วครับท่านวี ท่านเลือกผมเป็นคู่ครองของท่านแล้วนี่นา” เจ้าสีม่วงหันไปคำนับไอ้ธาหนึ่งทีแทนคำทักทาย ซึ่งเพื่อนผมที่ดูจะมีมารยาทเยอะขึ้นมากก็คำนับกลับไปในลักษณะเดียวกัน ก่อนเชอเชสจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ท่านวีรบกวนการศึกษาของท่านมามากแล้ว เห็นทีข้าคงต้องขอตัวพาเขากลับก่อน ไว้มีเวลาว่างเมื่อไหร่ข้าจะพาท่านวีมาเยี่ยมท่านอีกนะครับ”
“เฮ้ย เดี๋ยว! ใครบอกว่าผมจะกลับไปพร้อมกับนาย ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ผมแผดเสียงดังลั่นจนหมู่วิหคผาจันทร์ผวาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นภาพอันน่าชม แต่ผมไม่มีแก่ใจจะชื่นชมความงามของนกน้อยเหล่านั้นในเมื่อผมกำลังถูกอุ้มไปสู่ลานประหาร(หอตำรา) โดยเพชรฆาตนามเชอเชส
คนที่ได้วิชาอ่านใจผมไปเมื่อสามอาทิตย์ก่อนลอบถอนหายใจอย่างนึกปลง ก่อนพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจแกมขบขัน
“ท่านวี การศึกษาเล่าเรียนมันไม่โหดร้ายขนาดนั้นหรอกครับ”
---------------------------------------------------------
เป็นเมียเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย //นุ้งวีมิได้กล่าวเอาไว้ 555555
ขอบคุณทุกเม้น ทุกกำลังใจนะก๊าบบบบ
โอมมม จงรักต่าย หลงต่าย ฝันเห็นสิ่งมีชีวิตสีม่วงๆ กันถ้วนหน้าเด้อ