ระเบียบที่ 6 : ห้ามความซวยยังไงไหว ตึกตึก ตึกตึก
ผมเดินกระแทกเท้าเข้ามาในตัวอาคารหลังจากได้ยินประโยคสุดช็อกจากคุณชาย มือขวาจับสายกระเป๋ากีตาร์เเน่นแล้วเดินไปต่อคิวรอลิฟท์ ไม่ได้สังเกตว่าจะมีสายตานักศึกษานับสิบมองอยู่พร้อมกับเสียงกระซิบกระซาบที่ผมไม่ใส่ใจนัก เพราะไอ้เขากำลังสาปแช่งคุณชาย รันจกุล ในดงผู้ดีอยู่ คุณชายที่ผมชื่นชมเมื่อกี้มันตายไปแล้วครับพี่น้อง
“เฮ้ย นี่พี่เขาหรอเนี่ย ผมทรงใหม่แบบ...ดีอะ ดีเลยอะแม่มึงงง”
“พี่เขาลงจากรถคุณชายด้วยว่ะ”
ทั้งหมดนี้คนดีที่ผมชมมันภาพลวงตา ที่มาส่ง ทำตัวใจดีก็เพราะมันร้ายเงียบ มันกำลังก่อแผนการในใจมันสินะ ถ้าเปรียบเรื่องนี้เป็นนิยายละก็ชื่อนิยายจะต้องเป็น...คุณชายตัวร้ายกับนายควายน้อยในโคลนตมแน่นอน
“พี่สาวฉันเรียนเอกเดียวกับคุณชายนะ วันนี้ไม่มีเรียนนี่”
...ฉายาเทพตีนหนักไม่จริงหรอก มันต้องหน้าหนักต่างหาก หึ กูจะหาเงินไปฟาดหน้าพี่มึงเข้าใจมะ...
“จริงหรอ ได้ยินว่าถ้าไม่มีเรียนคุณชายจะไม่เจอในมอเลยนะ หรือว่า...กรี๊ดดดดดดดดด”
...จะได้ไม่ต้องมาเจอกันอีก สองพันเก้าแค่นี้จิ๊บๆ จำไว้ไอ้คุณชาย...
ผมบ่นในใจขยับเท้าไปข้างหน้าเมื่อเริ่มเดินเข้าลิฟท์ เชี่ย พอเงยหน้าก็เห็นตัวเองที่ประตูลิฟท์ ยิ่งเห็นผมที่เป็นหลักฐานเรื่องตัดผมแบบนี้ยิ่งหงุดหงิด โกนหัวแม่งจะได้ไม่ต้องนึกถึงหน้าคุณชายอีก ไม่มีผมทรงนี้แล้วค่าตัดผมเจ๊ากัน โว้ย ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด รุ่นน้องที่มักจะเห็นผมยิ้มแย้มไม่กล้าทักทายซักคน ดีพี่ไม่มีรมณ์
ออกจากลิฟท์แล้วผมก็เดินลากเท้าเข้าห้องเรียน ห้องเรียนของผมปกติจะเป็นห้องโล่งๆ ครับจะมีพวกขาตั้งโน้ตเพลง ตู้แอมป์ เก้าอี้เล็กน้อยแล้วก็สายไฟครับ มีความระเกะระกะ มันเซอร์จริงจริ๊งงงพ่อคุณเอ๊ยยย
แกร๊ก!
แต่วันนี้ผมเปิดผ่างเข้าไปด้วยความรู้สึกคันปาก อยากจะเล่าให้เพื่อนฟังตั้งแต่รูขุมขนที่หนึ่งถึงรูขุมขนที่สามพันเจ็ดสิบแปดแต่...ทั้งห้องเงียบสนิท ไม่มีเสียงผู้คน แต่บนไวท์บอร์ดนั้น กลับมีตัวหนังสือเอียงๆ ตัวใหญ่ๆ แปะอยู่เต็มกระดาน แบบว่าเวลากวาดสายตาอ่านเหมือนมีเสียงดังออกมาด้วย
อาจารย์ยกคลาสจ้ะ ไอ้เขาควายยยยยยย วันนี้มันวันซวยอะไรของกูวะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ผมกระแทกส้นเท้าเข้าห้องกิจกรรมและแน่นอนเพื่อนรักผมก็นั่งสลอนอยู่ตรงนั้น พอผมวางกระเป๋าลงบนโต๊ะพวกมันก็โหยหวนทันที
“เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดดด หล่อเว่อร์เพื่อนกู”
“คิดยังไงไปตัดเนี่ยไอ้เหี้ยเขา เมื่อก่อนใครลากก็ไม่ไปบอกอยากเท่ๆ”
“คิดว่าอากาศดีจังเลยตัดผมดีกว่า ถุ้ย! ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง ทำไมพวกมึงไม่บอกกูเลยวะ” พอเห็นว่าผมไม่เล่นด้วยเฮียดุกและไอ้หมูเลยขยับตัวยืดหลังตรงเหมือนกำลังโดนสอบสวน
“เค้าบอกในไลน์กันหมดแล้วไอ้ห่า” ไอ้หมูบอกหลังจากที่เงยหน้าจากมือถือมามองหน้าหล่อๆ ของผม
“น้องสองจีมึงอะไม่เปิดอ่านไลน์ล่ะ” เฮียดุกแซะ ทำไมต้องว่ามือถือผม มันไม่ดีตรงไหนครับ
“แล้วทำไมไม่โทรมาวะ”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ วันนี้ใครทำอะไรให้ไอ้เขาหงุดหงิดวะ”
“เออได้ข่าวว่ามีราชรถมารับเมื่อวาน วันนี้คุณชายก็มาส่งยังจะอารมณ์บูดอีก ลือกันแซร่ดดดดดด” ร เรือนี่ชัดไม่ดูเวลาเลยนะไอ้เชี่ยหมู
“มึงอย่าพูดถึงคุณชายไรนี่ได้ป้ะ แล้วกูยังไม่ได้คิดบัญชีแค้นที่พวกมึงหักหลังกูนะ”
“ชะอุ้ยเมื่อวานผีตัวไหนไม่รู้เข้าสิงพวกกูอะ ไม่ได้ตั้งใจหักหลังเพื่อนเลย...แต่จริงๆ อย่างมึงหักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไรหรอก”
“ทำไมวะไอ้หมู” เฮียดุกยื่นหน้าไปถามด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“สันหลังมันแม่งยาว!”
“ผ่าม!” เสือกรับมุกกันอีก
“ไอ้เหี้ยหมู ไอ้เฮี๊ยดุก พวกเพื่อนเวงงงงง”
“ฮ่าๆๆ เออๆ โทษๆ แล้วเป็นไงๆๆๆ คุณชายพามึงไปกระทืบด้วยฟามรักหรอถึงมาส่งมึงได้”
ผมหรี่ตามองมันสองคน จะเกรี้ยวกราดมากก็ไม่ได้ ต้องขอยืมตังค์พวกมันก่อนเพื่อเอาไปคืนคุณชาย แม้ว่าค่าเสื้อยังจะไม่ได้คืนไอ้หมู ผมคิดและไม่ทันได้ตอบอะไรไอ้เฮียดุกก็โพล่งขึ้น
“ก็อีแจ็คบอกกูว่าเมื่อวานคุณชายมาส่งมึงที่บ้านแบบอเมซิ่งดิ้งด่องเลยนี่หว่า แล้วมึงปลื้มคุณชายชิบหายเลยนี่ เอาน่าๆๆ อย่าซีเรียสเพื่อน เค้าไม่มีกระทืบมึงก็ดีแล้ว นี่ๆ กูมีอะไรจะเล่าให้มึงฟัง”
ชิบหายละ ไม่ต้องสงสัย สปายหมายเลขหนึ่งคืออีแจ็ค ตกลงมึงเป็นเพื่อนใคร มันเป็นเพื่อนผมนะครับแต่สนิทกับเฮียดุกกับไอ้หมูโคตรๆ อีแจ็คเพื่อนรักดันเอาเรื่องคุณชายมาฝอยต่อ ผมข่มความหงุดหงิดไว้ในกายตัวเองพร้อมกับปล่อยให้เฮียดุกเกี่ยวคอผมลงไปนั่งที่เก้าอี้ ฟังมันไปก่อนค่อยหาจังหวะเหมาะๆ เล่นละครเรียกคะแนนสงสาร
“อะไรอีก”
“มึงอยากฟังเรื่องไหนก่อน มีเรื่องดีกับเรื่องรว้ายๆ”
“เฮียดุก...”
“มึงเลือกได้แล้วหรอ”
“เปล่า มึงไปถุยลิ้นทิ้งก่อนไป”
“ไอ้สัด เออๆ เลือกมาจะฟังเรื่องไหนก่อนน้องเพื่อนรัก”
“เรื่องดี” พอกูตอบเท่านั้นแหละดี๊ด๊าเหมือนเหี้ยเจอไก่
“คืองี้เว้ย เมื่อคืนกูคุยกับอีแจ็คแล้วไอ้เฟมมันก็ทักมา” พี่เฟมแกเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมของคณะครับ เฮียดุกหยุดแล้วกลืนน้ำลาย ลีลาจริงนะมึง “เออ มันทักมาแล้วมันก็บอกว่าวงที่ให้จะโชว์งานเฟรชชี่ไนท์แคนเซิลไปวงนึง เพราะฉะนั้นนนนนนนนนน...”
“เพราะฉะนั้นไรวะ ลีลาอะเฮียดุก”
“เพราะฉะนั้นไอ้เหี้ยเฟมเลยส่งวงมึงไปเล่นเปิดแทน ได้ข่าวว่าเดอะริชแมนทอยกับ25hoursมานะครับบบ”
“เฮ้ยยยยยยยยย จริงหรอวะ ไอ้เชี่ยจริงดิ” ผมร้องด้วยความดีใจลืมเรื่องคุณชายที่สุมในอกไปจนหมด เด้งตัวไปกอดเฮียดุก ผมฟอร์มวงกับไอ้หมู ไอ้แต้งคีย์บอร์ด แล้วก็ไอ้ยิมร้องนำครับ ส่วนเฮียดุกไม่สันทัดเรื่องสไตล์เพลงของผม มันเลยเป็นผู้ช่วยแบกสายไฟแทน การได้เล่นในงานมหาลัยเป็นความฝันของผม อยากให้วัยรุ่นรักเพลงพี่โตครับ ยิ่งได้เล่นเปิดให้ศิลปินที่มาวันเฟรชชี่นี่แบบอยากจะกรีดร้อง
“มึงใจเย็น อย่ารัดคอกู พร้อมฟังเรื่องร้ายยัง” เฮียดุกจับมือที่ผมที่รัดคอออก
“เรื่องร้ายคือไรวะ”
“เรื่องร้ายก็คือไอ้ยิมมันถอนตัว” ไอ้หมูหนึ่งในสมาชิกวงบอกผมสีหน้ามันเศร้ามาก ผมได้ยินเสียงเพลงธรณีกรรแสงลอยมาทันที
“ทำไม...ทำไมมันไปเร็วแบบนี้ แล้วมันไปไม่บอกลาซักคำ ไม่ทันได้เตรียมใจ” ผมเบะปาก โธ่เพื่อนยิม
“มันกินมันนอนไม่ได้ น้ำตาลยังขมปาก” ไอ้หมูพูดต่อ
“ฮืออออออออออออออ ไอ้หมูเราจะทำยังไงกันดีล่ะเพื่อน”
ผลัวะ!
“เล่นใหญ่หาพ่อมึงหรอ” ไอ้หมูยื่นมือมาตบหัวผมพร้อมกับด่าไปด้วย แหม ได้ข่าวมึงก็เล่นกับกูด้วยนะไอ้หมู แล้วผอมๆ แบบนี้แรงเยอะชิบเป๋ง
“ไอ้ยิมมันโดนรถเฉี่ยว ขาเดี้ยงยังนอนอยู่โรงพยาบาลอยู่เลย” เฮียลากเราเข้าเรื่อง
“ทำไงดีวะ ขาดคนร้องก็เหมือนปลาขาดน้ำ”
“กูหาทางออกให้มึงแล้ว”
“เฮียยยยยยยยยยยยยยย ทำไมมึงดีกับกูขนาดนี้ ไอ้หมูมึงดูไว้ เฮียหมูเป็นแค่คนแบกสายไฟของวงยังจัดการให้ขนาดนี้เลย”
“เออๆ ฟังก่อนแต่ทางออกเนี่ยมึงเป็นคนเดียวที่จะทำได้” เฮียดุกดันหัวผมออกอีกครั้งแล้วชี้นิ้วใส่ผมประกอบคำพูด
“เฮียดุก เฮียก็รู้กูรักวงยิ่งชีพ ให้ทำไรไอ้เขาทำได้หมดทุกอย่าง จะบุกน้ำลุยไฟ ไปขึ้นเขาเอเวอร์เรส ชิงเปรตที่พัทลุง ตกกุ้งที่บางปะกง สรงน้ำพระที่พระธาตุจอมทอง ล่องแพที่แก่งกระจาน สานตะกร้าที่กาฬสินธุ์ กินทุเรียนที่จันทบุรี แฮ่กๆ พวกมึงไม่เบรกหน่อยหรอวะ”
“ไม่ เดี๋ยวเหนื่อยมึงก็หยุดเอง”
“แฮ่มๆ เออนั่นแหละ จะให้ทำอะไรให้กับวง ไอ้เขาไม่มีบ่นแน่นอน เฮีย ไอ้หมู บอกมาเถอะ”
“มึงสัญญาแล้วนะ” ไอ้หมูถามแล้วก็หันไปสบตาเฮียดุก เดี๋ยวพวกมึงมีไรกัน “มึงท่องคำสาบานสามจบดิ๊”
ไอ้พวกนี้ ไร้สาระชิบหาย สาบงสาบานอะไรวะ
“กูจะทำเพื่อวง! กูจะทำเพื่อวง! กูจะเพื่อวง!” ผมพูดทุบกำปั้นกับอกตัวเองเบาๆ
“ดี! ก็นั่นแหละ พอกูบอกไอ้เฟมว่าวงมึงขาดนักร้องอยู่ มันก็เลยเสนอนักร้องมาคนนึงแต่กลัวเค้าไม่มาร้องให้ คือเค้ามาร้องให้วงมึงต้องดังเป็นพลุแตกระเบิดบึ้ม ไอ้เฟมมันยังบอกอีกว่าวงในอยากให้คนนี้มาร้องมากๆ ปีนี้คนจะได้มางานเยอะขึ้นแต่เพราะเป็นเพื่อนสนิทประธานสโมฯ เลยไม่มีใครกล้าไปคุย...”
“อาฮะ แล้วไงต่อ...” ใจมันเต้นระรัว พอนึกถึงความสำเร็จของวงดนตรีของไอ้เขา
“เนี่ยพอกูคุยกับไอ้เฟมเสร็จก็แบบ...เข้าทางเลยวุ้ย คนๆ นั้นเป็นคนที่มึงกำลังปลื้มอยู่ด้วย กูไม่คิดเลยว่าแม่งจะร้องเพลงได้ หน้าตาดูถนัดร้องโขนมากกว่า”
เดี๋ยวนะ หางตากระตุกยิกๆ คืออะไร
“แต่พออีแจ็คบอกกูว่ามึงปลื้มคุณชายแถมคุณชายยังมาส่งถึงบ้านอีก กูก็เลยตอบไอ้เฟมไปว่าไอ้เขารู้จัก เรื่องคุณชายไม่มีปัญหาเดี๋ยวไอ้เขาจัดการ รับรองได้ชัวร์ ไอ้เฟมดีใจใหญ่ มันเลยรีบส่งชื่อคุณชายแทนไอ้ยิมทันที”
“...”
วิญญาณผมเหมือนหลุดออกจากร่างไปแล้ว
“สุดๆ ไปเลยว่ะ ได้คุณชายมาร้องนะมึงงงงง วงวารชีวิตของมึงต้องเป็นที่รู้จักทั่วมอแน่ๆ” เฮียตบบ่าผมปุๆ พลางยิ้มเหมือนภูมิใจที่ลูกชายบวชก่อนจะพูดต่อ “อึ้งๆ อึ้งเลยดิ หน้าสั่นๆ ขอบคุณกูซะไอ้เขา เฮียดุกทำเพื่อมึงโดยเฉพาะ”
“ไงล่ะ เฮียดุกทำเพื่อวงพวกเราขนาดนี้ มึงต้องไปลากตัวคุณชายมาซ้อมกับวงเราให้ได้นะเว้ย งานเฟรชชี่ครั้งนี้อะต้องเป็นที่จดจำแน่นอน ทุกคนในมหาลัยจะต้องจำว่าวงวารชีวิตของเราว่าครั้งหนึ่งคุณชายเป็นนักร้องนำ แค่คิดก็สุดยอดไปเลยว่ะ”
“พวกมึง...คือกู” ผมพยายามอ้าปากคัดค้านแต่ไอ้หมูก็พูดแทรกพร้อมกับทำท่าเพ้อฝัน
“โธ่ นี่มึงดีใจจนพูดไม่ออกเลยล่ะสิเพื่อนเขา วงเราได้ขึ้นเวทีใหญ่ครั้งแรกทั้งที อยากซ้อมกลองไม่ไหวแล้วว่ะ”
“คือว่ากูกับไอ้คุณชาย...คือ”
“อ๊ะ...อ๊ะ...มึงจะมาอ้ำอึ้งไม่ได้ เพราะมึงสัญญาแล้ว มึงบอกว่าจะบุกน้ำลุยไฟ ไปกินขี้ที่บุรีไหนซักที่ไม่ใช่หรอ” ไอ้หมูส่ายหน้าพร้อมกับทำเสียงจุ๊ๆ
“เดี๋ยวดิพวกมึง...” ผมตัดสินใจโพล่งขึ้นและในขณะเดียวกันไอ้หมูลุกขึ้นยืน
“ไอ้เขา วงเราฝากความหวังไว้ที่มึงนะ เออกูต้องไปละ บอสส่งข้อความมาเรียกแล้ว เร่งกูจังเลย กูต้องไปดูปีหนึ่งซ้อมกลองโชว์วันงานด้วย ปะเฮีย...”
“ส่วนกูต้องไปส่องสาวปีหนึ่งวัยขบเผาะกับไอ้หมูน้องรัก”
มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ มันเกิดขึ้นจริงๆ หรือฝันไป ผมนั่งนิ่ง สมองประมวลผลช้าๆ อ้าปากพะงาบและยกมือค้างประหนึ่งรั้งเพื่อนทั้งสองไว้ ได้โปรด...อย่าทิ้งกูไป...ฟังกูพูดซักคำนึงได้มั้ย...มันสองคนเดินกอดคอกันไปที่ประตูแล้วก็หันมาหาผมพร้อมกับเปิดอะไรบางอย่างในโทรศัพท์
“มึงสัญญาแล้วนะ”
“มึงท่องคำสาบานสามจบดิ๊”
“กูจะทำเพื่อวง กูจะทำเพื่อวง กูจะเพื่อวง!” เหี้ย...
พวกมันยิ้มทำท่าสู้ๆ ให้กับผมก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำที่น่ารัก
“รีบๆ ไปคุยกับคุณชายล่ะ พวกกูรู้มึงทำได้ไอ้เขา มอมอ”
ปัง!
“มอมอ” ผมทวนคำสุดท้ายอยู่ในหัว
มอ
มอ?
ควาย
ควาย?
กู?
ไอ้เขาควายยยยยยยยยยยยยยยยยยย “อ้าวเขามาพอดีเลยเฮียทิว”
“มาก็ดีเลย มึงมาดูข่าวนี้ไอ้เขา จำไว้ แจ็คด้วยเหมือนกัน ลูกผู้ชายอกสามศอกกล้าพูดก็ต้องกล้าทำเข้าใจมั้ย ไปโกหกหลอกลวงให้ความหวังคนอื่นเกิดมาแม่งเสียชาติเกิด”
เอื๊อก...
ในเวลาห้าโมงกว่าๆ ผมแบกน้องบีมกลับมาถึงบ้านด้วยความเอื่อยเฉื่อย ในสมองกำลังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้นถึงกับสะดุ้งเมื่อคำพูดของเฮียทิวกระทบโสตประสาทเข้าอย่างจัง ฮืออออ ทำไมชีวิตผมถึงต้องเจออะไรแบบเน้ ติดหนี้ไอ้คุณชายนี่ยังไม่พอ นี่ผมจะต้องไปขอร้องให้มันมาเป็นนักร้องนำวงผมจริงๆ หรอวะเนี่ย ไอ้คนที่ฟังสุนทราภรณ์มันจะร้องได้ยังไงวะ แล้วทำไมกูถึงซวยอะไรขนาดนี้ ไอ้เฮียดุกมึงก็ทำอะไรไม่ปรึกษากูเล้ยยย
“เขายืนหาเห็บอะไรตรงนั้น มากินข้าวเร็ว กูเอากับข้าวมาให้มึงกับเฮียทิว” กูทึ้งหัวตัวเองอยู่ อีแจ็ค!
“ไม่หิว”
“ทำไมทำเสียงเป็นผีดิบงั้นอะ เออ ไปตัดผมมาด้วยนี่หว่าลูกกู ทีเมื่อก่อนกูแทบจะกราบมึงให้ไปตัดก็ไม่ยอมตัด” เฮียทิวพูดขึ้น ผมเลยหันคอไปมองช้าๆ พร้อมกับยกมือไหว้พ่อตัวเองเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง เจอคำว่าลูกผู้ชายเมื่อกี้เข้าไป กูเหมือนตุ๊ดขึ้นมาทันที
“เฮียทิวหวัดดี”
“เอ้า...ไอ้นี่ กูเป็นพ่อนะไม่ใช่ยามหน้าหมู่บ้าน แจ็คไปลากตัวมันมานั่งกินข้าว”
“ได้ค่ะเฮียทิว”
“เขาไม่หิว ไม่กินอะไรทั้งนั้น”
อีแจ็คไม่ฟังเสียงผมเพราะมันฟังแต่คำสั่งของเฮียทิวคนเดียวเท่านั้น มันวิ่งตึงตังมาลากแขนผมให้เดินไปทางห้องครัวก่อนจะกดตัวผมให้นั่งเก้าอี้ตรงข้ามมันโดยที่มีเฮียทิวนั่งอยู่หัวโต๊ะ เสียงข่าวจากทีวีเครื่องเล็กในห้องครัวยังดังมาเป็นระยะๆ
และพอผมนั่งปุ๊บเฮียทิวก็เอ่ยปากถามผมทันที “เป็นอะไร”
“เขา...เครียด”
“คุณพระ!” อีแจ็คร้องออกมาเสียงดังจนเฮียทิวตวัดสายตาไปมองด้วยความตกใจ มันยิ้มแห้งๆ แล้วยกมือไหว้ขอโทษ
“หนูแค่ตกใจค่ะเฮียทิว ก็อีเขาเนี่ยๆ วันๆ มันเครียดอะไรกับเขาเป็นด้วย ไหนมึงเป็นไรเล่าดิ ไม่ได้กินสไปร์ทหรอวันนี้”
“ก็จริงนะ...ว่าไงมึง ไม่ได้กินสไปร์ทหรือไม่ได้ฟังเพลงพี่โต” เฮียทิวพยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นอะ” ผมเลี่ยง เบนสายตามองอาหารบนโต๊ะอย่างผิดปกติ
“เออไม่มีอะไรก็แดก คิดมากทำไม ชีวิตมีแค่นี้จะคิดอะไรมาก”
ผมเงยหน้ามองเฮียทิวผู้เป็นไอดอลของเด็กทั้งซอย แววตาที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาหลายอย่างสะท้อนใบหน้าผม เหมือนได้รับพลังมาโดยไม่รู้ตัวยังไงอย่างนั้น งือออ...เฮียติวววง่า ลิ้นเปลี้ยแป๊บ แต่เดี๋ยวก่อน บรรยากาศพ่อลูกมันมีอะไรแปลกๆ
อะไรงั้นหรอ?
ก็มีอีแจ็คที่นั่งเท้าคางมองหน้าพ่อกูตาเยิ้มนี่ไง
“อีแจ็ค!” หวงพ่อนะ
“อะ...อะไรของมึงเนี่ยยยย บ้าบออออออออ”
“จะมองพ่อกูอีกนานมั้ย”
“ทำไม พ่อมึงเป็นวัตถุโบราณร้อยปีหรึอไงกูถึงมองไม่ได้”
“พ่อกูไม่ใช่วัตถุโบราณ พ่อกูคือสิ่งมีค่าที่ทหารพม่าไม่ได้เผา”
“อะแฮ่มๆ เถียงกันซะจนกูยกมือปิดผมหงอกไม่ทัน”
“แฮ่ๆ ขอโทษค่ะเฮียทิว”
“อีแจ็คมันเริ่มก่อนอะเฮียทิว”
“เออๆ พวกมึงกินข้าวซะกูจะออกไปดูร้านหน่อย”
“อ้าวร้านยังไม่เจ๊งหรอเฮีย”
“เดี๋ยวกูเหนี่ยวด้วยหลังแหวน เมื่อกี้ยังซึมกะทือทื่อเป็นเสาคอนกรีต ตอนนี้กวนตีนกูได้แล้วคงไม่เป็นไรแล้วมั้ง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เฮียทิว ถ้ามันเป็นเดี๋ยวหนูดูให้เอง วัดหมู่บ้านเรามีโปรโมชั่นอยู่พอดีเลยค่ะ ศาลาเจ็ดจองก่อนตายก่อน”
“อีแจ็ค!!!!”
“ทำมะ มึงทำไรกู?”
“โปรโมชั่นนี่ใช้ได้ถึงเมื่อไหร่วะ”
“โอ๊ย อยู่กับพวกมึงแล้วปวดหัว”
เฮียทิวร้องขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้น พอเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของเฮียทิวแล่นออกจากบ้าน อีแจ็คก็รีบเดินมานั่งข้างผมทันที
“ตกลงเป็นอะไร”
“ก็มึง...” ผมกำลังจะอ้าปากด่ามันเรื่องที่มันไปเม้าธ์มอยกับเฮียดุก แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องทั้งหมดที่ผมต้องมาพัวพันกับคุณชายเนี่ย เป็นเพราะผมทำตัวเองทั้งนั้น
“อะไร ก็มึงอะไร แหมๆๆๆ เมื่อเช้าเห็นนะ มีคลมาลับ(มีคนมารับ)อะ” มันหันนิ้วชี้ทั้งสองข้างมาจิ้มๆ กัน
“แซวหาพ่อมึงหรอ”
“อีเขา! ป่านนี้พ่อกูสะดุ้งพุงชนกำแพงแล้ว แหนะๆ ทำเป็นเกรี้ยวกราดกลบเกลื่อน มีคนหล่อมารับถึงบ้าน ตอนแรกกูก็อิจฉานะ แต่ไม่เป็นไรมึงอยู่ใกล้คุณชายไว้ เผื่อกูจะได้ตอดเล็กตอดน้อย ว้าย แค่คิดก็บ้าบอแล้วอะ”
“อีแจ็ค มึงรักกูมั้ย” ผมรีบพูดขัดอีแจ็คที่เรียนอักษรศาสตร์ เอกคิดไปไกล โทใจจินตนาการ ก่อนที่มันจะมโนไปไกลถึงดาวอังคาร และดูเหมือนว่ามันจะเริ่มเอะใจแล้วเหมือนกัน
“เดี๋ยวๆ กูว่าถามแบบนี้ไม่น่าจะดีกับตัวกู”
“ถ้ามึงเป็นเพื่อนกูและรักกู มึงจะแซว จะด่าอะไรกูก็ได้ กูขออย่างเดียว” ผมจ้องหน้ามันจริงจังจนอีแจ็คกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เรื่องที่ผมจะพูดกับมันคือเรื่องคอขาดบาดตาย
“อะ...อะไร”
ผมสูดลมหายใจก่อนจะตัดสินใจพูด
“ขอยืมตังค์สามพันดิ”
อีแจ็คหน้าเหวอแล้วก็ลุกพรวดขึ้นมาจนเก้าอี้ไม้ส่งเสียงครืดไปด้านหลัง เพื่อนผมปากคอสั่น มือขวามันล้วงหยิบมือถือออกมาแนบหูก่อนจะพูดเสียงดัง ทั้งๆ ที่ไม่มีสายโทรเข้า
“ฮัลโหล แม่! เอาไรนะ น้ำตาลโตนดเพชรบุรี”
“อีแจ็ค...” มันหันมาโบกไม้โบกมือเบะปากคล้ายกับว่าแม่โทรมาขัดจังหวะการพูดคุยของเรา
“แป๊บนึง แม่อะมึง ไม่ไหวเลย โหลแม่...เพชรบุรีเลยหรอ เดี๋ยวไปซื้อให้ ไม่ต้องร้องๆ เพชรบุรีแค่นี้เองเดี๋ยวปั่นจักรยานไปซื้อให้”
“แจ็ค” แหลไม่เนียนไปเรียนมาใหม่
“เฮ้ยมึง... ไว้คุยกันใหม่ ต้องไปซื้อเพชรบุรี เอ๊ย ซื้อน้ำตาลด่วนว่ะมึง เดี๋ยวแกงแม่ไม่เข้มข้น เจอกันเว้ย”
“อีแจ็ค!!!!”
เพื่อนไม่เพื่อนมันก็ดูกันตรงนี้แหละเว้ย
และจากตรงนี้กูว่ากูไม่มีเพื่อนนนนน
สิ่งที่ผมทำ ผมต้องรับผิดชอบเองสินะ
ระหว่างที่นั่งคิดอะไรเงียบนั้น...
อุแว้ อุแว้
เสียงข้อความเขาทำเอาผมแทบสะดุ้ง ผมมองหาต้นตอของเสียงแล้วก็พบว่ามันอยู่ในถุงย่ามใต้เก้าอี้ที่กำลังนั่งอยู่ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น ผมกดเปิดอ่านข้อความ mms ที่เข้ามาแล้วด้วยความเชื่องช้าเป็นเต่าในยุคหินอินเดียนาโจนแต่แล้ว...ก็มีเหตุให้ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด
[ถึง นายภูเขา บรรจงภักดี
มาบ้านกูภายในสิบห้านาที
*แนบรูป]
ส่งอะไรมาวะ...
นั่นมัน...รูปไอ้เขาตอนกำลังเพลียแดดเมื่อตอนม.สามนี่!!
บัตรประชาชนที่มีหน้าคนเหมือนพึ่งอพยพเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายของผมไปอยู่ในกำมือมันได้ยังง๊ายยยยยยยยยยยยยย
ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่คิดว่าจะมีตัวประกันอยู่ในมือมัน บัตรประชาชนที่ผมต้องใช้เข้างานอีเว้นท์วันอาทิตย์นี้ ไอ้เชี่ยเอ๊ย ลืมไปได้ยังไง ผมลืมกลับไปเอาเมื่อวันก่อนที่ป้อมยามหมู่บ้านของคุณชาย
แต่เดี๋ยวก่อน คุณพระ! ยืมอีแจ็คมาแป๊บนึงเดี๋ยวคืน ไอ้คุณชายมันบอกเมื่อตอนเช้าว่าเรียกต้องมา แต่นี่คุณชายท่านเรียกผมไปหาที่บ้านเลยหรอครับ ในหัวผมนึกถึงฉากหนังอีโรติคขึ้นมาได้ฉากหนึ่งทันที
หรือว่า....
เขา....เอาน้ำแข็งมาถูหลังฉันสิ เฮ้ย เป็นไปไม่ได้ บ้าบอออออออออออออออออ
__________
-ค่าตัวคุณชายเเพงเว่อร์-คุณชายคงทำกรรมหนักจริงๆ
วงดนตรีน้องเขาชื่อวงวารชีวิต
ส่วนพี่อยากจะวงวารชีวิตมึงจริงๆ เขาเอ๊ย
เพราะตัดให้มันเป็นตอนสั้นๆ คุณชายมันเลยจะเอื่อยหน่อยๆ อย่าพึ่งเบื่อกันนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเเสดงความคิดเห็นค่ะ
ใครที่หลงเข้ามาอ่านเรื่องนี้ก่อนสามารถย้อนกลับไปอ่านเรื่องคนกลางกันนะคะ (ขายของ55)
เเล้วพบกันตอนหน้าค่ะ