ตอนที่ 5
เวลาหมุนเวียนเคลื่อนผ่านไปกระทั่งมีใครอีกคนในชีวิตครบเดือน เหมือนจะช้าแต่ก็ไม่ช้า จะว่าเร็วก็ไม่เร็ว แม้จะไม่ชินและต้องปรับตัวบ้างแต่ก็ไม่มากพอจะทำให้รู้สึกอึดอัด เตียงนอนกว้างที่เคยนอนคนเดียวมีแขกประจำแวะเวียนมาค้างอาทิตย์ละหลายคืนจนเริ่มชินกับการมีคนนอนเคียงข้าง
“เดี๋ยวมีคนมา”
ประโยคจากหินซึ่งดังขึ้นกลางวงทำให้เพื่อนทุกคนชะงักแล้วหันมามองด้วยใบหน้ามีคำถาม
“ใครวะ เด็กมึงอ่อ?” นักร้องนำของวงถามขึ้นเป็นคนแรก
คืนวันศุกร์ซึ่งวงไม่มีคิวขึ้นเล่น ทั้งหมดจึงนัดกันออกมาสังสรรค์ตามประสาเพื่อนฝูง โดยสาเหตุที่ไม่ไปผับที่ตัวเองทำงานก็ด้วยเหตุผลง่ายๆคือเบื่อและอยากเปลี่ยนบรรยากาศ
เหมือนคืนข้ามปีที่ไปเจออีกคนก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ทำให้ได้อะไรๆกลับมา
“อืม”
“เหยดดดดดดดดดดดด”
เสียงของเพื่อนร่วมวงทั้งสี่ดังขึ้นแทรกเสียงดนตรีอึกทึกจนโต๊ะข้างๆหันมามอง
“ไอ้ห่า มิน่าช่วงนี้ทำงานเสร็จละรีบกลับตลอด”
“คนนี้เป็นไงวะ น่ารัก สวย แซ่บหรือยังไง” ประโยคคำถามมาพร้อมกับสายตากรุ้มกริ่ม
“เดี๋ยวมันมาพวกมึงก็เห็นเอง”
“หูย ตามมาคุมมึง?”
ตามมาคุม
ตลอดเวลาหนึ่งเดือนแฟนไม่เคยจะทำอะไรซึ่งใกล้เคียงคำว่าคุมเลยแม้แต่น้อย หินและอีกฝ่ายให้อิสระซึ่งกันและกันแต่ทุกอย่างก็ยังคงอยู่ภายใต้คำว่าให้เกียรติกับสถานะของตัวเอง
“เปล่า มันก็มาเที่ยวของมัน”
ทั้งหมดพยักหน้ารับจากนั้นก็ส่งเสียงแซ็วอีกเล็กหน่อยก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่เรื่องงานและเรื่องอื่น ขณะเครื่องดื่มในมือก็ถูกเติมไปเรื่อยๆ
กระทั่งโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อสั่นเป็นสัญญาณว่ามีความข้อความเข้า มือหนาจึงล้วงมันออกมาแล้วกวาดสายตาอ่าน ยามเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหาใครบางคนสายตาก็ปะทะเข้ากับเรือนร่างบอบบางซึ่งโดดเด่นกว่าใครเดินมากับกลุ่มเพื่อน อีกฝ่ายดูเหมือนจะกำลังมองหาเขาเช่นกัน จนเมื่อแฟนหันมาเห็นมือบางจึงยกขึ้นโบกทักทายแล้วเดินตรงหา
“พวกมึงนี่แฟน ส่วนนั่นบีแล้วก็นัท” หินเอ่ยแนะนำคนทั้งสามกับเพื่อนตัวเอง
“สวัสดีครับ”
เสียงกล่าวทักทายพร้อมกับการค้อมหัวให้ตามมารยาทพลันทำให้ทุกคนที่กำลังนิ่งอึ้งรู้สึกตัวแล้วรีบทักทายกลับ
“แล้วก็นี่ เบนซ์ เกม โอม เวย์”
ต่างฝ่ายต่างส่งยิ้มให้กันก่อนเสียงเพลงจากรอบตัวจะทำให้แฟนต้องโน้มตัวลงมากระซิบพูดกับคนเป็นแฟนตัวเอง
“กูไม่ได้เอารถมานะ”
“นี่คือกะเมาเต็มที่?”
คนถูกรู้ทันยกยิ้มพลางยักคิ้วให้จากนั้นจึงหยัดกายขึ้นยืนตรงแล้วเอ่ยขอตัวกับทุกคนในโต๊ะก่อนจะเดินไปอีกทางซึ่งมีกลุ่มเพื่อนของตัวเองรออยู่
“ไอ้เหี้ยหิน มึงนี่เก็บเงียบเลยนะ นี่มันน้องที่เจอกันวันสิ้นปีนี่”
“โคตรสวยอ่ะไอ้สัด”
“ขาเรียวมาก ขาวมาก”
“เพื่อนเขาก็เด็ด”
หลากหลายความคิดเห็นของเพื่อนไม่ได้รับการตอบกลับจากเจ้าของเรื่อง แก้วเหล้าในมือถูกกระดกขึ้นดื่มเป็นการเลี่ยงที่จะพูด ขณะหูก็ทำเป็นเมินเสียงแซ็วต่างๆ กระทั่งเพื่อนเลิกสนใจจะซักถามเพราะรู้ดีว่าท่าทางนี้ของหินหมายความว่าเจ้าตัวจะไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้
ด้วยรู้ว่าวันนี้มีคนตั้งใจเมาเต็มที่หินจึงดื่มไม่มากนัก แม้ว่าจะไม่ได้เอารถมาเผื่อเจอด่านแต่เพื่อการต้องดูแลคนเมาจึงต้องเซฟสติตัวเองเอาไว้
01.48 น.ขณะที่เพื่อนค่อยๆหายไปจากโต๊ะจนเหลือเพียงหินคนเดียว ร่างสูงก็ทำได้เพียงหน้านิ่วคิ้วขมวดกับโน้ตเพลงมากมายตรงหน้า นิ้วมือแกร่งขยับพิมพ์ข้อความรัวเร็วเพื่อตอบกลับเพื่อนที่ไหว้วานให้ช่วยเพิ่มอะไรบางอย่างให้มันสมบูรณ์แบบขึ้น
ให้ตาย ออกมาเที่ยวแต่ก็ยังต้องทำงาน
หูได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมจากรอบข้างหากแต่สมองต้องจินตนาถึงเสียงของดนตรีในหัว กว่าจะรวบรวมสติได้ก็ทำเอาหินต้องถอนหายใจหลายรอบ
‘เจ๋งสัด คิดโน้ตเพลงกลางร้านเหล้าอาจารย์หินก็สามารถ’
ข้อความเยินยอเกินความจริงอีกหลายข้อความไม่ได้รับอะไรตอบกลับมากไปกว่าอิโมจินิ้วกลาง โทรศัพท์ในมือหนาถูกกดล็อคเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย พลันลมหายใจแห่งความเหนื่อยจากการใช้สมองจะลอยล่องไปกับกลิ่นแอลกอฮอล์ที่อบอวลอยู่รอบตัว ยามต้นคอแกร่งถูกนวดไปมาบรรเทาความล้า
“อื้อ หิน”
ทว่าสัมผัสที่พาดมายังไหล่และเสียงอ้อแอ้ข้างหูก็ทำให้คนที่ก้มหน้าอยู่เงยหน้าขึ้น ขณะที่มือก็ยกขึ้นโอบอีกฝ่ายเอาไว้โดยอัตโนมัติ
“แฟน”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกยามท่อนแขนพยายามรั้งร่างโอนเอนเอาไว้ไม่ให้อีกคนล้มทรุดลงไป
“ไปเต้นกัน”
คนที่เริ่มเมาแต่ยังคงมีสติเอ่ยชวนยามวางปลายคางลงบนลาดไหล่กว้าง สองแขนเรียวโอบกระชับรอบลำคอแกร่งให้แน่นขึ้น
“อารมณ์ไหนถึงเดินมาชวนกูไปเต้น”
“เผื่อกูไปสีคนอื่นเข้าทำไงอ่ะ”
ใบหน้าสวยผละออกแล้วเอียงหน้าถาม ดวงตาคู่สวยที่ทอดมองมาดูฉ่ำเยิ้มกว่าเคย
“ไม่ทำไง”
หินยักไหล่ตอบพลางกระชับท่อนแขนที่โอบรอบเอวบางให้มากขึ้น
“ไม่หวงกูเลยอ่อ”
“ไม่ทำที่นี่ แต่จะกลับไปทำที่ห้อง...ให้มึงจำได้ขึ้นใจว่ามีผัวแล้ว”
ประโยคหลังคนพูดเลื่อนใบหน้ามากระซิบข้างใบหู ลมหายใจร้อนปัดป่ายพร้อมทั้งมือหนาขยับลูบไล้อยู่แถวเอวราวกับเป็นการเตือนกลายๆ
“ตอนนี้ก็จำได้ ถึงได้เดินมาหาไง”
แฟนกระซิบตอบกลับก่อนต่อมาสัมผัสร้อนจากเรียวปากบางจะทาบทับแตะลงบนลำคอคนตัวโตแผ่วเบา
ริมฝีปากของอีกคนโดนผิวเนื้อเพียงผิวเผินทว่าความร้อนกลับลามไล้ลงไปยังส่วนล่างรวดเร็วเหมือนเปลวไฟต้องน้ำมัน
“มึงยั่วกูอีกแล้วนะ”
“ยั่วหลัวตัวเองผิดด้วยเหรอ”
เสียงหัวเราะน้อยๆจากคนบนตักทำให้หินได้แต่ส่ายหัว รู้ตัวว่าโดนอีกฝ่ายแกล้งแต่ก็ยังห้ามความรู้สึกไม่ให้วิ่งตามเกมนี้ไม่ทัน
“จะไปที่ฟลอร์เลยไหม ถ้าไม่ไปจะได้อุ้มมึงไปห้องน้ำแทน”
“หึ ไปเลยสิ”
ร่างบางขยับลุกขึ้นยืนโดยใช้ไหล่ของหินเป็นหลักยึด ต่อมาร่างสูงก็ลุกขึ้นตามกัน
ผู้คนเบียดเสียดไปมารอบตัวพลันทำให้สองร่างต้องขยับแนบชิด กระทั่งสุดท้ายท่อนแขนใหญ่จึงรั้งเอวของแฟนเข้าหา ก่อนใบหน้าสวยจะซบลงกับอกแกร่งขณะโยกกายน้อยๆตามจังหวะเพลง
“ไหนบอกจะมาเต้น”
แฟนขยับตัวเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนรอบข้างที่เลื้อยไปมาราวกับงู
“ก็นี่ไงเต้น” เอ่ยตอบทั้งที่ใบหน้ายังอิงแอบอยู่ที่เดิม
“นี่เรียกมายืนซบกูเฉยๆ”
“ไม่เฉย ขาขยับอยู่” คำเถียงนั้นทำให้หินส่ายหัว “อื้อ อย่าจับตูดดิ”
เสียงร้องอื้ออึงดังขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงมือหนาที่วางอยู่บนบั้นท้ายของตัวเอง คราแรกคนตรงหน้ายังทำเพียงแค่วางเฉยๆทว่าตอนนี้กลับลงน้ำหนักมือเป็นจังหวะจนรู้สึกได้
“ค่ากูมาเต้นเป็นเพื่อน”
“ไอ้หื่น”
“ไอ้ขี้ยั่ว”
“หึ ฉายาคู่เราเหรอ แบบคนเป็นแฟนเรียกกันงี้”
“อันนี้ไม่ใช่คำด่า?”
“คำด่าต้องไอ้เหี้... อื้อ”
คนที่กำลังจะพูดคำด่ากลายเป็นต้องส่งเสียงร้องในลำคอเมื่อฝ่ามือหนาเลื่อนสอดเข้ามาในขอบกางเกงขาสั้น ก่อนจะออกแรงบีบก้อนเนื้อนิ่มเต็มแรงโดยไม่สนว่าอาจจะมีคนมอง
“พูดไม่เพราะ”
“กูเคยพูดมึงก็ไม่เห็นว่าอะไร”
ใบหน้าสวยแดงเรื่อผละออกจากอกของคนตรงหน้าแล้วเงยขึ้นมาคุย คิ้วได้รูปขมวดมุ่นอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ตอนนั้นไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้พูดไม่ได้”
“ทำไม?”
“เพราะตอนนี้เป็นแฟน ต้องให้เกียรติกัน”
จริงอยู่ที่ตัวเองก็ไม่ใช่คนที่มีความสุภาพอะไรมากมายแต่คำด่าพวกนี้สำหรับการเป็นแฟนแล้วหินคิดว่ามันเป็นคำที่ไม่ค่อยน่าฟัง
“งี้กูต้องเรียกมึงพี่ด้วยไหม พี่หิน...”
คำเรียกขานไม่คุ้นหูพร้อมทั้งใบหน้าสวยที่ระบายยิ้มน้อยๆกระตุกใจคนฟังไปชั่ววินาที แม้จากนั้นสติจะกลับมาอย่างรวดเร็วแต่สมองก็พลันลืมเลือนไปเลยว่าควรจะพูดอะไร
พี่หินงั้นเหรอ...
“...”
“อืม ต้องแทนตัวเองว่าแฟนด้วยรึเปล่า หรือต้องน้องแฟน”
“...”
“น้องแฟนกับพี่หิน”
พูดจบคนเมาก็หัวเราะคิกคักกับตัวเองพลางโยกตัวน้อยๆตามจังหวะเพลงต่อ และแปลกที่ภาพความสวยเย้ายวนในตอนแรกๆของแฟนนั้นหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความน่ารัก
เหมือนเด็กกำลังมีความสุขกับอะไรสักอย่าง
“มึงชอบแบบนี้เหรอ”
“หืม?”
“ให้กูแทนตัวเองว่าพี่ ชอบไหม”
“ไม่...”
คำปฏิเสธพร้อมการส่ายหน้ารัวๆนั้นทำให้หินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนอีกฝ่ายจะเอ่ยขยายความ แต่ก็คล้ายว่าจะพึมพำกับตัวเอง
“ฟังแล้วเดี๋ยวใจอ่อน”
“ว่าไงนะ”
“มึงแทนตัวเองว่าพี่ ในนี้มันคันยุบยับๆ”
นิ้วเรียวเคาะลงบนตำแหน่ง‘ในนี้’ที่เจ้าตัวหมายถึง
บนอกซ้าย...
“หึ” กลายเป็นมีสติดีกว่าที่ไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่านั้น
เสียงเพลงและบรรยากาศอึกทึกรอบตัวถูกลืมเลือนจนเหมือนเหลือเพียงคนสองคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ หินมองใบหน้าของคนในอ้อมแขน มองคนที่ยิ้มน้อยๆด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ขณะในหัวก็มีเพียงคำพูดแสนน่ารักของอีกฝ่าย
มันคันๆในนั้นเหรอ...อาการเหมือนเขาตอนนี้เลยหรือเปล่า
--
“อื้อ”
เสียงครางในลำคอของคนเพิ่งตื่นดังขึ้น ขณะเปลือกตาที่ยังคงปิดหลับเข้าหากันแน่นเมื่อความมึนหัวแล่นปราดจนทำได้เพียงนอนนิ่ง นานหลายนาทีกว่าทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น ยามลืมตาความพร่ามัวก็เล่นงานจนต้องกะพริบตาถี่ๆ ก่อนความแห้งผาดบริเวณลำคอจะส่งผลให้ปากบางเบะออก
“หะ หิน”
ส่งเสียงเรียกคนที่เดินวนไปรอบๆแผ่วเบากระทั่งคนถูกเรียกชะงักเท้าแล้วเดินเข้ามาหา เรือนกายสูงใหญ่ซึ่งสวมเพียงกางเกงวอร์มตัวเดียวทรุดตัวนั่งลงข้างๆ
“เป็นไง ไหวไหม”
“ปวดหัว แสบคอ”
อาการซึ่งไม่ได้แตกต่างจากที่คิดเอาไว้ทำให้คนที่เตรียมน้ำไว้รอขยับไปเทน้ำใส่แก้ว จากนั้นจึงประคองคนบนเตียงให้ลุกขึ้นมาดื่ม
“หนักนะเมื่อคืน”
หลังจากลงมาจากฟลอร์แฟนก็กลับมาดื่มต่ออีกหลายแก้วจนสภาพยามแบกขึ้นแท็กซี่อ้อแอ้จนแทบไม่มีสติ ดีที่ยามเมาอีกคนไม่ได้เป็นคนขี้โวยวายไม่อย่างนั้นหินคงตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่านี้
“กู...จำไรไม่ค่อยได้ มันวาร์ป”
มือบางยกขึ้นมาไล่ความมึนงงขณะในหัวพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่าน หลังจากตอนเต้นแล้วทุกอย่างก็สลับกันไปมาจนจำแทบไม่ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“เละเทะ” นิ้วแกร่งดีดลงเบาๆบนหน้าผากคนมึนจนเสียงโวยวายดังตามมา
“กูเจ็บนะ”
“จำได้ไหมว่าเมื่อคืนมึงอ้อนกูแค่ไหน...น้องแฟน”
ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้จนแฟนต้องอิงหัวไปชิดกับพนักเตียง คำสุดท้ายที่คนพูดจงใจทอดเสียงอ่อนลงเรียกทั้งความสั่นไหวและความทรงจำอันพร่าเลือน ภาพเหตุการณ์ลางๆราวกับภาพฝันค่อยไหลวนในหัว
‘น้องแฟนกับพี่หิน’
ได้ยินเพียงเสียงตัวเองพูดดังแผ่วในความทรงจำ ด้วยสติที่ไม่เต็มที่ของคนเม้าค้างพลันทำให้ไม่ว่าพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ยิ่งใช้ความคิดสมองยิ่งมึนงงปวดตุบ
“กูอ้อนมึงงั้นเหรอ”
“หึ คราวหลังกูจะมอมเหล้ามึงแล้วอัดคลิปไว้...ลุกไปอาบน้ำได้แล้วจะได้ออกไปกินอะไรแก้แฮงค์”
หินผละออกพร้อมทั้งเอ่ยบอก โดยไม่รื้อฟื้นถึงเหตุการณ์เมื่อคืนต่อเพราะดูท่าว่าอีกคนคงจำไม่ได้
“อุ้มหน่อย” แฟนเอ่ยพลางชูแขนขึ้น
“นี่มึงยั่วกูตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ สักดอกไหม”
ประโยคนั้นเรียกเสียงหัวเราะของคนขี้ยั่วให้ดังขึ้น การแกล้งอีกคนให้ตบะจะแตกกับเรื่องแบบนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้แฟนรู้สึกสนุกไม่น้อย
แต่เสือก็ยังเป็นเสือ อย่ายั่วจนมันหิวโหยแล้วตะครุบเราเข้าปากแล้วกัดกินจนไม่เหลือซาก
“แค่ให้อุ้มไปส่งนี่เรียกยั่วเหรอ กูขี้เกียจลุก”
หินถอนหายใจก่อนจะยอมขยับลุกขึ้นแล้วช้อนคนที่สวมเพียงเสื้อนอนตัวโคร่งซึ่งคลุมถึงเพียงสะโพกขึ้นมาในอ้อมแขน จังหวะเท้าอันแสนมั่นคงเดินตรงไปยังห้องน้ำ ขณะคนถูกอุ้มยกยิ้มน้อยๆทั้งที่ยังคงปวดหัว
ยามถูกวางลงบนขอบอ่างท่อนแขนเรียวที่คล้องอยู่บนลำคอแกร่งจึ้งรั้งอีกฝ่ายให้โน้มลงมาใกล้ พลันต่อมาก็ทาบสัมผัสลงบนไปแก้มสาก สูดดมเต็มแรงจนเกิดเสียงดังฟอด
“ค่าดูแลแล้วก็ค่าที่มึงยอมใจแข็งไม่ลักหลับกู”
แม้ภาพในหัวจะเลือนรางทว่าการถูกเช็ดตัวให้และสัมผัสแถวซอกคอคือสิ่งที่ติดตรึงในความทรงจำ เพราะรู้ดีว่าตอนเมาตัวเองจะอ้อล้อกว่าเคยฉะนั้นการที่อีกฝ่ายตัดใจเดินไปเข้าห้องน้ำแทนการทำอะไร แฟนถือว่าหินมีความอดทนพอสมควร
“ตอนนี้มีอย่างอื่นแข็งกว่าใจกูอีก”
เสียงทุ้มกระซิบบอกยามปลายจมูกโด่งปัดป่ายคลอเคลีย ท่อนแขนแกร่งยันค้ำกับขอบอ่าง กักกันร่างเล็กเอาไว้ใต้อาณัติ
ประโยคสองแง่สองง่ามนั้นทำให้คนฟังหลุดยิ้มและดูเหมือนว่าแฟนจะชินกับคำพูดแบบนี้ไปซะแล้ว
“แล้วทำยังไงมันถึงจะอ่อนลง?”
“หึ มึงรู้ดี”
“จริงเหรอ”
ปลายเท้าเล็กขยับไล้ขึ้นมาตามท่อนขาแกร่งด้วยความเชื่องช้า กระทั่งเกือบจะถึง
บางอย่างที่แข็งกว่าใจก็หยุดชะงักเอาไว้
“...”
“กูมึนหัว...เตรียมอะไรแก้แฮงค์ไว้ให้หรือเปล่า”
การเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหันโดยไม่มีความต่อเนื่องทำให้หินขมวดคิ้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เอ่ยตอบคำถามที่คนตรงหน้าเอ่ย
“มีข้าวต้ม”
“อืม”
ปลายหางเสียงลากยาวๆพอกับมือบางที่ไล้ลงต่ำจนถึงสิ่งนั้น สัมผัสบางเบาซึ่งวางอยู่บนกลางกายเรียกความร้อนให้ไหลมารวมอยู่จุดเดียว ความปรารถนาเริ่มก่อตัวขึ้นในทันใด
“รางวัลของคนดี”
จากเพียงแค่วางนิ่งมือนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวเชื่องช้าจนกรามแกร่งบดเข้าหากัน จากอยู่นอกร่มผ้าก็สอดเข้ามาภายใน ลูบไล้แนบชิดจนมันแข็งขืนร้อนผ่าว
“สิบนาทีนะ ห้ามอึดเกินกว่านั้น เมื่อยมือ”
“...อืม”
-(ตัดฝักบัวแตก อิอิ)-
“คิดยังไงถึงออกมาดูหนัง”
หินเอ่ยถามคนข้างตัวขึ้นเมื่อตกเย็นอีกฝ่ายก็บอกเขาว่าอยากมาดูหนัง ด้วยเพราะวันนี้เป็นวันว่างของทั้งสองจึงยอมตามใจ ทว่าหลังจากกินข้าวแล้วกว่าคนแฮงค์จะตื่นจากการนอนเอาแรงก็ได้ดูเป็นรอบมิดไนท์
“เพิ่งคิดได้ว่าหนังที่กูอยากดูเข้าโรงแล้ว”
“นี่เดทในโรงหนังครั้งแรงของเราเลยหนิ” คิ้วเข้มเลิกขึ้น ยามมุมปากยกยิ้มนิดๆ
“รุ่นนี่ไม่ต้องเดทกันแล้วไหม” ใบหน้าสวยส่ายไปมาพลางกวาดสายตามองโปรแกรมหนังตรงหน้า
หินยกยิ้มให้กับประโยคนั้นก่อนจะทอดมองคนตัวเล็กที่สวมเสื้อฮู้ดตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นและรองเท้าผ้าใบ มองผ่านๆอีกคนดูเหมือนทอมมากกว่าจะเป็นผู้ชาย
การมีแฟนในชีวิตตลอดหนึ่งเดือนมันก็เรียบเรื่อยดี ไม่วุ่นวายหวือหวาเกินไปอย่างที่นึกกังวล...และเซ็กส์ก็เข้ากันได้ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ส่วนประกอบอันแสนสำคัญ
“กูไม่ได้ดูหนังรอบนี้มานานมาก”
แฟนหันมาพูดด้วยเมื่อตารางหนังบ่งบอกเวลาว่าเหลือเพียงรอบสุดท้ายในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า
“จะมีกี่คนในโรงเชียว”
“ดีออก คนเยอะวุ่นวาย”
“อีกครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวกูไปซื้อตั๋วก่อน”
“งั้นกูไปซื้อป็อปคอร์น”
หินพยักหน้ารับก่อนจะหมุนตัวไปทางเคาท์เตอร์ บรรยากาศรอบตัวดูบางตาแต่ก็ไม่โหวงเหวงจนเกินไป
โดยส่วนมากแล้วคนที่มาดูหนังยามนี้มักจะเป็นคู่รักมากกว่ากลุ่มเพื่อน มองไปรอบๆจึงเห็นหลายคู่นั่งหยอกล้อกระหนุงกระหนิง
เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงเดินไปหาคนที่ยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์ขายป็อปคอร์น มือหนาเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำมาไว้ในมือ ให้แฟนถือเพียงถังขนมถังใหญ่
“ลืมถามว่ามึงกินรสอะไรเลยเอาผสมกัน น้ำนี่แก้วเดียวก็พอเนอะ กินเยอะเดี๋ยวปวดฉี่”
“อืม ตามนั้น...เข้าโรงเลยนะ จะได้ดูตัวอย่างหนังด้วย”
ประโยคนั้นเรียกความลังเลให้เกิดกับแฟนชั่วครูก่อนใบหน้าสวยจะกดรับพลางลอบสูดลมหายใจ
“อือ”
ร่างสูงเป็นฝ่ายเดินนำแล้วยื่นบัตรให้กับพนักงาน กระทั่งถึงในโรงบรรยากาศเย็นเยียบก็ปะทะเข้าหน้าจนแฟนต้องหยิบหมวกของเสื้อขึ้นมาคลุม พลันมือบางก็รีบเอื้อมไปคว้ามือของอีกคนเอาไว้แล้วสอดเข้าหาแนบแน่น
การกระทำนั้นทำให้หินชะงักก่อนจะหันมามองคนข้างตัว
“เป็นอะไร”
“เปล่า”
“แต่มือมึงเย็น เหงื่อก็ออก”
“กูหนาว”
ลิ้นเล็กไล้ออกมาเลียริมฝีปากแห้งผาด ทว่าต่อมาก็ต้องสะดุ้งให้กับเสียงทุ้มต่ำจากในหนังบนจอกว้าง จนต้องรีบขยับเข้าไปหาอีกคนมากขึ้นจนแทบจะสิง
หินมองท่าทางนั้นอย่างใช้ความคิดแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไร มือหนากระชับมือที่สอดประสานกันจากนั้นจึงผละออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นโอบคนตัวเล็กกว่าเข้าหา
“กูอยู่นี่”
เป็นเพราะกำลังสัมผัสได้ว่าแฟนกำลังกลัวอะไรสักอย่าง ถ้อยคำปลอบประโลมจึงดังขึ้นให้ร่างบางคลายใจ ดวงตาทั้งสองสบกันในความมืดสลัว
จากนั้นหินจึงค่อยๆพาแฟนก้าวไปยังเก้าอี้ของตัวเองและเมื่อมาถึงที่นั่งแฟนก็พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะบนจอกว้างเปลี่ยนจากตัวอย่างของหนังมาเป็นโฆษณาต่างๆ
“กูกลัวเสียงคนพูดในทีเซอร์หนัง”
แฟนกระซิบบอกเสียงแผ่วพลางพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อลดอาการของตัวเอง
“ทำไม” หินถามกลับด้วยความแปลกใจเล็กๆ
“ไม่รู้ เสียงมันทุ้มๆ ฟังดูน่ากลัว ปกติกูจะเข้าโรงตอนหนังใกล้ฉายเพราะไม่อยากได้ยิน”
ไม่ใช่แค่ความกลัวธรรมดาแต่มันมากพอจนเกิดอาการใจสั่น มือไม้เย็นเยียบชื้นเหงื่อ ลมหายใจติดขัด อาการซึ่งเป็นมาตั้งแต่จำความได้กระทั่งตอนนี้ก็ไม่อาจหาสาเหตุเจอ
“แล้วทำไมไม่บอกกู”
“ก็...เห็นมึงอยากเข้ามาก่อน”
“ทีหลังมีอะไรก็บอก แล้วตอนนี้กลัวรึเปล่า” หินเอ่ยเสียงเรียบ
“ถ้าได้นั่งก็ไม่กลัวแล้ว”
“อืม”
“มึงว่ามันไร้สาระไหม”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามและดวงตาคู่สวยสั่นระริกด้วยความไม่มั่นใจ ความลับนี้มีน้อยคนนักจะรู้เพราะด้วยกลัวถูกมองว่าเสแสร้งแกล้งทำเป็นอ่อนแอกับเรื่องไร้สาระ
“ความกลัวของคนเราไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ไม่ว่ามึงจะกลัวอะไรก็ตาม”
น้ำเสียงนั้นจริงจังพอๆกับสีหน้าของคนพูด แสงจากหน้าจอทอความสว่างสะท้อนกลับมาให้ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
“อืม”
แฟนทำได้เพียงรับคำในลำคอ ขณะคนข้างตัวเองก็ไม่ได้ถามหรือซักอะไรมากไปกว่านั้นราวกับปล่อยให้เป็นเรื่องส่วนตัว
และแปลกที่เพียงประโยคเดียวกลับทำให้ข้างในรู้สึกอุ่นแบบแปลกๆ
แฟนยอมรับ...ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนหลายสิ่งจากหลายอย่างมันแสดงให้เห็นว่าหินคือคนที่พึ่งพาได้
“ปวดฉี่”
แฟนเอ่ยขึ้นเป็นสิ่งแรกเมื่อก้าวเท้าออกจากโรงหนัง ร่างเล็กย่ำเท้าเร็วๆก่อนทิ้งขยะในมือแล้วรีบลากแขนคนตัวโตให้ตรงไปทางห้องน้ำ การอดกลั้นซึ่งยาวนานกว่าครึ่งเรื่องให้ความรู้สึกราวกับตอนนี้กระเพาะปัสสาวะจะแตก
“ใครบอกให้กินน้ำเยอะ”
“ก็ดูหนังไปมันเพลิน”
คนฟังส่ายหน้าให้กับคำแก้ตัวนั้นพลางก้าวตามแรงลากไปจนถึงห้องน้ำ เมื่อไปถึงแฟนก็รีบเดินเข้าไปในห้องที่มีประตูปิด ขณะที่หินนั้นทำธุระตามประสาผู้ชายทั่วไปอยู่ข้างนอก
“ฮ๊า โล่งละ”
เสียงเอ่ยอย่างมีความสุขดังขึ้นยามร่างเล็กออกมาล้างมืออยู่ข้างกัน
“ทีหลังก็กินเข้าไปเยอะๆ กูบอกให้ออกมาฉี่ก่อนก็ไม่ฟัง”
“ออกได้ไง หนังกำลังสนุก”
“ถ้ามึงฉี่ราดกูจะทิ้งให้กลับเอง”
“โตแล้วใครเขาจะฉี่ราดกันเล่า”
คนสองคนซึ่งกำลังเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายในห้องน้ำทำให้ผู้มาใหม่หยุดชะงัก เสียงฝีเท้านั้นเรียกความสนใจจากหินและแฟนให้หันไปมอง ก่อนดวงตาของฝ่ายนั้นจะเบิกขึ้น
“หิน”
ชายหนุ่มวัยกลางคนเอ่ยเรียกจนแฟนหันมามองคนข้างตัวด้วยความแปลกใจ
รู้จักกันงั้นหรือ
“สวัสดีครับ” เป็นคนเด็กกว่าที่ทักทายก่อนตามมารยาท
“มาดูหนังเหมือนกันเหรอ”
หินทำเพียงพยักหน้ารับ
“แล้วนั่น...”
“แฟนผม”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับกลับมาโดยไม่มีวี่แววของความแปลกใจ ท่าทางที่บ่งบอกว่าทั้งสองต้องสนิทกันมากพอจะรู้ว่ารสนิยมหินเป็นอย่างไร
“สวัสดีครับ” แฟนเอ่ยพร้อมทั้งค้อมหัวลงเล็กน้อย
“อืม หน้าตาน่ารักนะ แล้วเรื่อง...”
“ถ้าพี่จะถามถึงเรื่องนั้น...ผมไม่สนใจ”
เสียงทุ้มเอ่ยขัดขึ้นทันทีราวกับรู้ดีถึงสิ่งที่คนตรงหน้าจะเอ่ย บรรยากาศแปลกๆที่แผ่ออกมาระหว่างทั้งสองดูมีอะไรจนแม้แต่คนนอกอย่างแฟนยังสัมผัสได้
“หิน”
“พี่รู้ดีว่าคำตอบของผมจะไม่มีวันเปลี่ยน เพราะฉะนั้นเลิกถามเถอะ”
“แต่พี่ยังยืนยันว่าแกคือคนที่เราต้องการ แกไปไกลได้มากกว่านี้ แล้วแกจะได้อะไรมากมายกว่าการเป็นนักดนตรีที่ผับนั่น”
“พี่ก็รู้จักผมดี...ผมไม่เคยเลือกอะไรเพียงเพราะเงิน”
“แต่...”
“วินาทีแรกที่พี่จับเครื่องดนตรีพี่รู้สึกยังไง อะไรคือสิ่งที่อยู่ในหัว?”
ประโยคเอ่ยถามจากหินทำให้ชายหนุ่มวัยกลางคนชะงักกึก
“มันมีแค่ความสุขใช่ไหม หรือพี่คิดถึงเงินและชื่อเสียงตั้งแต่วินาทีนั้น...มันไม่มีทางหรอก”
“...”
“อย่าลืมความรู้สึกแรกของการเป็นเริ่มต้นเป็นนักดนตรี อย่าลืมว่าพี่ทำมันเพราะความรัก”
“...”
“อย่าให้อะไรมากลืนกินตัวตนและจิตวิญญาณจนเหลือเพียงความกระหายในชื่อเสียงและเงินทอง ถ้าพี่ทำมันด้วยคิดถึงแต่เรื่องเงิน สักวันมันจะตอบแทนพี่กลับมาแค่เงิน...ผมไม่มีทางทรยศความรู้สึกแรกของตัวเอง นั่นคือคำตอบ”
เพราะการถูกตื้อถามหลายครั้งส่งผลให้ตอนนี้หินเกินจะนิ่งเงียบ การหลีกเลี่ยงดูไร้ความหมายเมื่อที่ผ่านมาอีกฝ่ายดูไม่ละความพยายาม เหตุเจอหน้าด้วยความบังเอิญครั้งนี้จะไม่ถูกปล่อยผ่านโดยง่าย การพูดและอธิบายที่แทบยาวเหยียดที่สุดในชีวิตจึงพรั่งพรูออกจากปาก
สองสายตาของคนต่างอายุสบประสานกันด้วยความรู้สึกแตกต่าง ทุกประโยคของรุ่นน้องกระแทกใจคนฟังจนสะอึกและฉุกให้คิดถึงบางอย่างซึ่งถูกลืมเลือนไป
“ผมขอตัว”
หินเอ่ยขอตัวกับฝ่ายนั้นเมื่อไม่มีอะไรต้องพูดต่อ มือหนาขยับมาจับมือของคนข้างตัวแล้วออกแรงรั้งให้เดินออกจากตรงนั้น
แฟนเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของหินเป็นระยะขณะเดินตามเงียบๆ ทุกประโยคเมื่อครู่ผ่านเข้าหูจนพอจะเข้าใจเรื่องราวบางอย่าง กระทั่งลงลิฟต์มาจนถึงชั้นของลานจอดรถแล้วก้าวขาออกมาคนข้างตัวก็หยุดนิ่ง มือที่จับกันอยู่สั่นระริกจนแฟนต้องเป็นฝ่ายกระชับฝ่ามือใหญ่เอาไว้
“มึงโอเคนะ”
หินถอนหายใจพลางหลับตาลงแน่น ก่อนหลายวินาทีต่อมาจะส่งเสียงรับคำในลำคอ
“อืม”
ไม่มีคำเอื้อนเอ่ยหรือซักถามอะไรมากไปกว่านั้น แฟนรอจนร่างสูงลืมตาขึ้นแล้วก้าวพาตัวเองเดินไปที่รถอย่างเงียบๆ
“เดี๋ยวกูขับเอง” เอ่ยบอกพลางแบมือขอกุญแจรถจากหิน
“กูขับได้”
“กูก็ขับได้ มึงนั่งไปเถอะ”
เพราะรู้ว่าเรื่องเมื่อครู่คงรบกวนจิตใจหินไม่น้อยจึงอยากให้อีกคนได้พัก นิ้วมือเรียวกระดิกกระตุ้นขอกุญแจรถอีกครั้ง สุดท้ายหินจึงต้องวางมันลงบนมือของคนตรงหน้า
ระหว่างทางกลับคอนโดในห้องโดยสารนี้ไม่มีเสียงสนทนาใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเพลงที่เปิดคลอ
มีเพียงการเหม่อมองอะไรนอกรถเงียบๆของหิน การเหลือบสายตามองคนข้างตัวเป็นระยะของแฟน...โดยมีความห่วงใยเล็กๆกำลังก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
TBC.
มาต่อแล้วน๊าาา
หื่นเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือความหวานค่ะ-/////-
มีอะไรก็ไปหวีดกันได้ที่แท็ก #พี่หินคนห่าม นะคะ~
แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
แฟนเพจ :
https://www.facebook.com/writerexsoull/Twitter :
https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก
#พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ