ตอนที่ 4
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านช่องเล็กๆของผ้าม่านพลันทำให้ร่างบางบนเตียงกว้างค่อยๆรู้สึกตัว เปลือกตาสีอ่อนขยับปรือเปิดก่อนคนเพิ่งตื่นจะใช้เวลาตั้งสติอยู่ชั่วครู่ กระทั่งเรียบเรียงความคิดได้ดวงตาคู่สวยจึงกวาดมองหาใครอีกคนทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า
ไปไหนกัน...
เมื่อเกิดความสงสัยแฟนจึงขยับกายลุกขึ้นแล้วเปิดประตูออกไปด้านนอกเผื่อจะเจอตัวคนที่ตามหา
“ทำอะไร?”
เรือนร่างสูงใหญ่ที่ท่อนบนเปลือยเปล่ากำลังขยับตัวขึ้นลงด้วยกำลังของแขนจนเห็นการเกร็งของกล้ามเนื้อหลายส่วน เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลโซมกายจนหยดลงบนพื้น
ตื่นแต่เช้าเพื่อมาวิดพื้นเนี่ยนะ
“ออกกำลังกายไง”
หินเอ่ยตอบขณะส่งแรงให้ร่างกายตัวเองขยับไม่หยุด ชายหนุ่มอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นซึ่งเป็นตัวที่ใหญ่ที่สุดในตู้ยามที่กางเกงชั้นในนั้นถูกซักตากไว้ด้านนอกพร้อมชุดที่ใส่มา
อืม ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากกางเกงตัวนี้แหละ
“ฟิตไปทำไม อ่อยสาวเหรอ?”
“อ่อยมึง” คำตอบนั้นทำให้คนฟังถึงกับเบ้หน้า ขณะที่คนพูดยกยิ้มนิดๆเนื่องจากตั้งใจเย้าแหย่
การได้เห็นใบหน้าสวยแสดงอารมณ์อย่างหลากหลายเป็นสิ่งที่หินชื่นชอบทั้งที่ปกติแล้วไม่ได้เป็นคนขี้เล่นมากนัก เพียงไม่กี่วัน การได้แกล้งพูด แกล้งเย้าแหย่กลับกลายเป็นความเคยชิน จนกว่าจะทันรู้ตัวก็เมื่อยามเห็นคนถูกแกล้งทำหน้าเอือมระอาใส่
“ขี้เกียจพูดกับมึงแล้ว กูจะไปอาบน้ำ”
แฟนหมุนตัวกลับเพื่อที่จะเข้าไปอาบน้ำทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวขาไปจากจุดที่ยืนข้อมือบางก็ถูกคว้าเข้าไว้
“เดี๋ยวสิ”
“อะไร” คิ้วได้รูปเลิกขึ้นถามยามหันมาหาคนที่รั้งตัวเองเอาไว้
เมื่อกี้ยังนอนราบอยู่ตรงนั้นอยู่เลย ลุกขึ้นไวชะมัด
“มอร์นิ่งคิส”
“ห๊ะ”
“จูบรับอรุณไง ทักทายตอนเช้าอะไรแบบนั้น”
คนที่มีเหงื่อโซมกายทั้งยังหอบหายใจน้อยๆเอ่ยอธิบายด้วยใบหน้าเรียบนิ่งราวกับกำลังคุยเรื่องทั่วไป
จริงอยู่ที่การจูบกันเป็นเรื่องทั่วๆไป แต่มอร์นิ่งคิสมันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรือไง
“เพื่อ?”
“คนเป็นแฟนกันเขาต้องทำไม่ใช่รึไง”
“หาเรื่องอยากจูบกูก็บอกมาตรงๆเถอะ”
ข้อมือเล็กบิดออกจากมือของคนตัวโตแล้วยกขึ้นมากอดอกตัวเอง ใบหน้าเชิดขึ้นอย่างเป็นต่อพร้อมทั้งเข้าใจความรู้สึกที่ว่าเหมือนตัวเองสวยมากนั้นเป็นยังไง
ก็มีผู้ชายมาร้องขอจูบตอนเช้าอ่ะนะ
“งั้นก็ได้ อยากจูบ”
คนที่หาข้ออ้างเพียงเพื่อแค่อยากจูบเอ่ยยอมรับง่ายๆยามยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาคมทอประกายวาววับ
“เหม็นขี้ฟัน”
เป็นแฟนที่ขยับถอยห่างออกมาก่อนระยะห่างนั้นจะน้อยนิดจนปลายจมูกชนกัน
“กูแปรงฟันแล้ว”
“แต่กูยัง...เลิกเล่นได้แล้ว กูจะไปอาบน้ำ ต้องรีบไปทำงาน”
ทันทีที่พูดจบเรือนร่างบอบบางก็หมุนตัวกลับไปเข้าไปในห้อง ทิ้งคนตัวโตเอาไว้ด้านหลังให้ได้แต่มองตามโดยยังไม่ได้รับในสิ่งที่ร้องขอ
ไม่เป็นไร เอาไว้เย็นนี้จะจัดให้หนัก
หินยกยิ้มเมื่อคิดกับตัวเองจากนั้นจึงหมุนตัวไปทางห้องน้ำอีกห้องเพื่อชำระร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคลเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลารออีกฝ่ายอาบน้ำเฉยๆ
20 นาทีผ่านไปกลิ่นอาหารอ่อนๆที่ลอยเข้าจมูกเมื่อก้าวเท้าออกห้องทำให้แฟนขมวดคิ้วมุ่น ท่อนขาเรียวภายใต้กางเกงทำงานก้าวไปทางห้องครัวก่อนจะพบเข้ากับแผ่นหลังกว้างของใครบางซึ่งกำลังง่วนอยู่หน้าเคาน์เตอร์
“ทำอะไร”
หินหันมาหาต้นเสียงทางด้านหลังยามที่มือกำลังเตรียมเครื่องสำหรับแซนด์วิชยามเช้า
“มื้อเช้า”
“มึงอาบน้ำแล้ว?”
อีกฝ่ายอยู่ในชุดที่สวมใส่มาเมื่อวาน อีกทั้งกรอบหน้ายังชื้นไปด้วยน้ำบ่งบอกว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จได้ไม่นาน
“อืม กูใช้ห้องน้ำด้านนอก”
“แล้วนี่ทำอะไร”
ร่างบางเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังพลางชะโงกหน้าไปมอง ขณะที่หินนั้นหันกลับไปทำอาหารตรงหน้าต่อ
“แซนด์วิชง่ายๆ กูไม่แน่ใจว่ามึงจะกินข้าวหรือกินอะไรแต่เห็นในตู้เย็นมีของสำหรับทำแซนด์วิชเลยลงมือ”
“กูกินข้าวเช้าไม่หนัก ถ้ากินข้าวมากสุดก็เป็นข้าวต้มไม่ก็โจ๊ก”
“งั้นก็พอดีเลย”
แฟนเหลือบมองใบหน้าด้านหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง มือหนาที่จับไม้กลองเป็นประจำกลับกำลังจับผักจับแฮมอย่างคล่องแคล้วจนไม่น่าเชื่อ การเตรียมอาหารเช้าที่นอกจากแม่และแม่บ้านที่บ้านแล้วก็ไม่เคยมีใครทำให้เรียกความรู้สึกแปลกๆให้ก่อขึ้นในอก
“หิน”
“หืม” คนถูกเรียกหันมาหายามส่งเสียงขานรับในลำคอ
มือเล็กจับปลายคางแกร่งให้หันมาหาตรงๆก่อนจะขยับริมฝีปากเข้าไปทาบทับจนแนบสนิท ดวงตาคมเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจหากแต่เรียวลิ้นร้อนก็ขยับตอบรับไปโดยอัตโนมัติ
“มอร์นิ่งคิส”
อีกคนผละออกแล้วกระซิบชิดริมฝีปากก่อนจะขยับเข้ามาแนบจูบทิ้งท้ายแล้วกลับไปยืนในตำแหน่งเดิม
คำร้องขอก่อนหน้าถูกตอบรับอีกทั้งยังเป็นการขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ไปในตัว
“สักรอบก่อนไปทำงานไหม”
เสียงทุ้มเอ่ยถามยามมองคนที่กำลังเช็ดน้ำสีใสซึ่งเลอะอยู่ตรงมุมปากออก
“อย่า บอกแล้วไงว่าวันนี้มีงานสำคัญ”
แฟนรีบเอ่ยเมื่อสีหน้าอีกคนดูท่าว่าอยากจะสานต่อสัมผัสเมื่อครู่แทบไม่ไหว
“ขี้อ่อยจังวะคนเรา”
หินเอ่ยพึมพำกับตัวเองพลางหันกลับมาทำอาหารตรงหน้าต่อก่อนที่ตัวเองจะทานทนความต้องการเอาไว้ไม่ไหว จูบเมื่อครู่ยังคงติดตรึงอยู่บนกลีบปากจนอยากจะพาคนขี้ยั่วเข้าห้องนอนไปทำมากกว่านี้
“ให้กูช่วยอะไรไหม”
“ไปนั่งรอที่โต๊ะอย่างเดียวก็พอ”
กลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนกายบางกำลังเล่นงานจนหินแทบไม่มีสมาธิกับการทำอาหาร เมื่อทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ การให้แฟนอยู่ห่างตัวจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“อืม”
แฟนรับคำจากนั้นจึงเดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารตามคำบอก ระหว่างรอมือบางก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นนู้นเล่นนี่ตามประสา กระทั่งแซนด์วิชหอมฉุยและกาแฟร้อนๆมาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า
“แล้วของมึงล่ะ” เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นอีกคนนั่งลงตรงข้ามขณะในมือมีเพียงแก้วนม
“ตอนเช้ากูกินแค่นมจืด”
“ตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำให้กู?”
“ก็ด้วย กูตื่นมาทำงานนิดหน่อย”
บรรยากาศยามเช้าตรู่ตอนท้องฟ้าสลัวเป็นสิ่งที่หินชื่นชอบ เสียงนกร้องซึ่งเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่ทำให้รู้สึกสดชื่นจนต้องลองลุกขึ้นมาแต่งเพลงในส่วนที่ยังไม่เรียบร้อย
“งานอะไร”
“ไม่ต้องอยากรู้หรอกน่า กินได้แล้วก่อนมึงจะไปทำงานสาย”
แฟนคว่ำปากใส่คนตรงหน้าเมื่ออีกฝ่ายบ่ายเบี่ยง ก่อนจะลงมือทานมื้อเช้าง่ายๆขณะที่หินนั่งดื่มนมมองอีกฝ่ายไปเงียบๆ
การได้นั่งมองใครสักคนที่กำลังจะออกไปทำงานในยามเช้าเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มไม่เคยได้สัมผัส บรรยากาศรอบตัวไร้ซึ่งเสียงสนทนาแต่ถึงอย่างนั้นมันกลับไม่ได้น่าเบื่อเมื่อเห็นใครบางคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
อืม...เขาชักจะหลงใหลอีกฝ่ายเกินไปแล้ว
“มองอะไร” คนถูกจับจ้องไม่วางตาเอ่ยถาม
“มองเมีย”
“อย่ามากวน”
“เอ่า มึงไม่ได้เป็นเมียกูเหรอ”
“เลิกแล้ว”
“หล่อ เด็ด เทคแคร์ดี เพอร์เฟ็คขนาดนี้จะหาจากที่ไหนได้อีก”
คนฟังถึงกับเบ้ปากเมื่อได้ยินประโยคนั้นขณะที่คนพูดยกยิ้มถูกอกถูกใจกับคำพูดตัวเอง
“หลงตัวเอง”
“สักวันมึงก็จะหลงกู”
แฟนบิดขนมปังในมือออกเป็นชิ้นเล็กๆก่อนจะเขวี้ยงใส่คนหลงตัวเองโดยที่หินเอียงตัวหลบพร้อมทั้งหัวเราะร่วน
พูดเองยังเลี่ยนเอง
“มึงต่างหากที่จะหลงกู”
มือบางหยิบแซนด์วิชที่เหลือเพียงครึ่งขึ้นมากัดพลางจงใจให้มายองเนสเลอะตรงมุมปากจากนั้นลิ้นสีสดจึงตวัดเลียออกเชื่องช้า ยามทอดสายตามองคนตรงหน้าอย่างยั่วเย้า
ก็มาดูกันว่าใครจะหลงใครกันแน่
และภาพนั้นทำให้คนมองถึงกับกัดฟันกรอด บางอย่างกลางกายเริ่มมีปฏิกิริยาจนอยากจะจับคนขี้ยั่วมาฟัดให้หนำใจ
นี่คนหรือนางแมว ยั่วจังเลยวะ
“เดี๋ยวเย็นนี้มึงโดนหนัก” หินเอ่ยคาดโทษ
“หึ แทบจะรอไม่ไหวเลยล่ะ”
แซนด์วิชคำสุดท้ายถูกเอาเข้าปากก่อนจะเคี้ยวจนละเอียดแล้วกลืนลงคอ ใบหน้าสวยแสดงออกถึงความท้าทาย หากแต่ข้างในนั้นกำลังสั่นไหวกับสายตาของคนตรงหน้าจนต้องทำทีเป็นหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด
ตายแน่นังแฟนตายแน่ เตรียมตัวลางานไว้ได้เลย
“กูไปทำงานแล้วนะ”
เพราะสายตาลุ่มลึกที่ราวกับหมาป่าเตรียมขย้ำเหยื่อทำให้แฟนไม่อาจทนถูกจับจ้องอยู่ได้ ร่างบางผุดลุกขึ้นแล้วเอื้อมมือไปหยิบจานและแก้วของตัวเองไปวางไว้บนอ่างล้างจาน จากนั้นก็ล้างมือให้เรียบร้อย
“อ๊ะ”
เสียงร้องอุทานตกใจดังขึ้นเมื่อยามจะหมุนตัวกลับมาร่างกายก็ปะทะเข้ากับบางอย่างซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง ท่อนแขนใหญ่สอดเข้ามารัดรอบเอว แผ่นอกแกร่งชิดอยู่กับแผ่นหลังจนแนบแน่นไร้ซึ่งช่องว่าง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาก่อนหน้าหรือเสียงลมหายใจหอบกระเส่าของอีกคนที่ทำให้แฟนเกร็งนิ่งไปทั้งตัว
ความอุ่นร้อนลามไล้ไปทั่วแผ่นหลังราวกับผิวกายที่มีเสื้อผ้าขวางกันนั้นเป็นเปลวไฟหลอมละลาย
“รีบกลับนะ”
“...”
“กูจะรอ”
ลมหายใจร้อนผ่าวผสมกับเสียงทุ้มนุ่มลึกคลอเคลียชิดริมใบหู หากว่าเสียงและความใกล้ชิดนี้สั่นสะท้านคนฟังให้วูบไหว มันยังเทียบไม่ได้กับความชื้นแฉะที่ตวัดเลียลงบนหลังลำคออย่างแผ่วเบานี้เลยสักนิด
ขนอ่อนในกายบางลุกชันตอบรับสัมผัสนั้นทันใด คนด้านหลังแกล้งยั่วเย้าเพียงเท่านั้นก่อนจะขยับตัวถอยห่างทิ้งเพียงความหวามไหวไว้ด้านหลัง
คราวนี้เป็นแฟนที่รู้สึกว่าตัวเองถูกยั่วเข้าให้
เย็นนี้ไม่ร่างพังก็คงต้องเตียงพังกันไปข้าง...
--
เสียงหอบหายใจของคนทั้งสองดังสะท้านทั่วห้องราวกับเพิ่งออกไปวิ่งมาหลายสิบกิโล ร่างบางนอนระทดระทวยอยู่ใต้ร่างหนาอย่างหมดเรี่ยวแรง จนไม่อาจแม้แต่จะเก็บแข้งเก็บขาให้เข้าที่เข้าทาง ยามบางอย่างใหญ่โตเคลื่อนออกจากกายเสียงร้องเบาๆก็ดังขึ้น ก่อนคนตัวโตที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อไม่ต่างกันจะตามลงมานอนเคียงข้าง
ตั้งแต่ค่ำจนถึงเกือบเช้าของอีกวัน ยาวนานจนซากถุงยางกองเกลื่อนพื้นเต็มไปหมด
“แฮกๆ พะ พอ” เสียงพูดนั้นแหบแห้งจนแทบมีแต่ลมเปล่า
“บอกแล้ว ว่า อย่ายั่วกู”
“มะ มึงมัน ไม่ใช่คน”
แม้จะมีเวลาพักในแต่ละยกทว่าเซ็กส์ที่ยาวนานกินเวลาหลายชั่วโมงก็เกินกว่าที่คนปกติจะทำ และเป็นเพราะความจุดติดง่ายของตัวเองที่เพียงถูกอีกฝ่ายกระตุ้นก็พร้อมจะเตลิดไปด้วยกันจนตอนนี้จึงมีสภาพอย่างที่เห็น
ตอนนี้แฟนอยากได้สปอนเซอร์สักขวด
“หึ ขี้ยั่วนักก็ต้องโดน” เห็นสภาพของคนข้างกายแล้วหินก็หลุดยิ้มออกมาอย่างไม่อาจห้าม
คนขี้ยั่วหมดสภาพไปเลย
“พอแล้ว ไม่ต่อแล้ว” เสียงเอ่ยบอกอ่อนระโหยก่อนเปลือกตาสีอ่อนจะปรือปิดลง
“พอก็พอ”
“อือ...”
แฟนเอ่ยตอบรับอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะแน่นิ่งไปราวกับร่างกายถูกสับสวิตซ์ ขณะที่หินนั้นนอนพักเอาแรงต่ออีกไม่กี่นาทีจากนั้นจึงขยับตัวลุกขึ้นไปอาบน้ำแบบลวกๆแล้วรีบกลับมาเช็ดตัวอีกคนให้แค่พอสบายตัว
ผ้าห่มผืนหนาซึ่งถูกปูรองรับคราบอะไรต่อมิอะไรถูกนำไปเก็บยามผ้าห่มอีกผืนในตู้ถูกนำมาใช้ เมื่อจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยเรือนกายสูงใหญ่เปลือยเปล่าก็ค่อยๆขยับมาสอดตัวภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน โดยมีหมอนข้างกั้นเอาไว้เพื่อกันไฟอารมณ์ที่อาจจะจุดติดขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาอีกคนจะโวยวายแค่ไหน
--
ตอนนี้แฟนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอัมพาต...
ทั้งตัวขยับได้เพียงแค่หัว
“มะ ไม่ต้อง มา หัวเราะกู”
เสียงแหบพร่าเอ่ยค้อนคนที่นั่งหัวเราะน้อยๆพลางตวัดสายตาไปมองด้วยความแค้นเคือง คนเป็นฝ่ายรองรับร่างพังถึงขั้นลุกไม่ไหวขณะที่คนทำกลับสบายทั้งตัวและอารมณ์
“มึงเหมือนโดนผีอำเลย”
พูดไปทั้งยังกลั้นขำจนตัวสั่น คนนอนอยู่บนเตียงทำได้เพียงขยับหัวและตาไปมาลอกแลกราวกับเป็นหุ่นยนต์ ถึงจะรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นสาเหตุนั้นทว่าหินก็อดขำออกมาไม่ได้
“เพราะ ใครล่ะ”
ร่างสูงยกยิ้มขณะเดินมาทรุดตัวลงบนเตียง ดวงตาคมทอดมองสภาพคนตรงหน้าก่อนมือหนาจะเอื้อมมาเสยเส้นผมที่ปรกตามกรอบหน้าสวยออกให้
แปลกที่สัมผัสอ่อนโยนนั้นกลับเป็นไปโดยที่คนทำและคนถูกกระทำไม่ได้รู้สึกแปลกเลยสักนิด
“อาบน้ำไหม”
“อาบสิ เหนียวตัวจะแย่”
แม้จะรู้ว่าถูกเช็ดตัวให้บ้างแล้วแต่มันก็ยังไม่มากพอจะทำให้สบายตัว คราบเหงื่อยังคงติดตรึงผิวกายบางส่วนจนอยากจะชำระมันออกด้วยสายน้ำเย็นฉ่ำ ทว่าเมื่อลองขยับล่างกายส่วนล่างใบหน้าสวยก็เบ้บิด เนื่องจากไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะลุกได้เอง
“อ๊ะ”
ยังไม่ทันจะหันไปร้องขอคนข้างตัวอย่างใจนึก ร่างกายที่แสนอ่อนแรงก็ถูกช้อนอุ้มจนท่อนแขนเรียวต้องรีบยกขึ้นโอบลำคอของอีกฝ่าย
“ห้ามมอง”
ดวงตาคมซึ่งจับจ้องอยู่บนร่างขาวเนียนเปลือยเปล่านี้ไม่ปกปิดสายตาของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“อายอะไร”
“กูไม่ได้อาย แต่มองมากๆเดี๋ยวมึงไม่ทำแค่มอง กูยิ่งไม่มีแรงขัดขืนอยู่”
“หึ มีแรงมึงก็ไม่ขัด ก็เห็นเต็มใจทุกครั้ง”
“ขัด อาทิตย์นี้งด ห้ามมึงทำอะไรกูอีก...ตั้งแต่เจอมึงไม่มีวันไหนเลยที่กูจะเดินได้อย่างปกติ”
ประโยคหลังเอ่ยพึมพำกับตัวเองยามใบหน้าทอความยุ่งเหยิงเล็กๆ
ตอนนี้ผู้ช่วยยังคิดว่าเขาเจ็บขาอยู่เลย
“สามวันก็จะทนไม่ไหวแล้วไหม”
“มึงจะทนไม่ไหวแต่กูนี่ทนไม่ไหวแล้ว”
“อืม...ก็มีตั้งหลายแบบที่มึงจะไม่ต้องเจ็บตัว”
คนที่แสนเชี่ยวชาญเอ่ยพูดพลางยกยิ้มมุมปากอย่างมีความหมาย ใบหน้าและแววตาที่แสดงออกว่ากำลังคิดเรื่องทะลึ่งทอความหื่นออกมาโดยไม่มีปิดบัง
“ไอ้หื่น!” คนถูกว่าทำเพียงแค่ยักไหล่ ไม่ปฏิเสธคำกล่าวว่านั้นดั่งเช่นทุกครั้ง
แฟนเหนื่อยที่จะคุยกับคนหื่นเกินมนุษย์จึงเงียบเสียงลง ปล่อยให้อีกฝ่ายอุ้มตัวเองไปจนกระทั่งถึงในห้องน้ำโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
เรือนร่างบางซึ่งมีรอยจ้ำประดับไปทั่วกายถูกวางลงในอ่างน้ำแผ่วเบา ก่อนมือหนาจะเอื้อมไปเปิดน้ำอุ่นให้
“แช่น้ำอุ่นสักหน่อยจะได้ดีขึ้น”
“อืม”
“ต้องให้กูอาบให้ไหม”
“ไม่ต้อง” แฟนรีบเอ่ยตอบทันควันเมื่อเห็นสายตาของคนพูดที่ทอดมองมา
“แช่น้ำสักสิบนาทีก็อาบเลย อย่าแช่นานกว่านั้นเพราะเดี๋ยวมึงไม่สบาย”
อย่างกับตอนนี้กูสบายดี...
แฟนคิดในใจ
“รู้แล้ว”
“อาบเสร็จก็เรียก จะได้อุ้มไปแปรงฟันต่อ”
“ดูแลดีขนาดนี้หวังผลอะไรรึเปล่า” ดวงตาคู่สวยหรี่ลงมองคนตรงหน้าอย่างจับผิด
“หึ ไถ่โทษที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้ไง ไม่ดีเหรอ?”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นพลางยกยิ้มเมื่อเอ่ยตอบ แม้ในหัวจะแอบหวังผลเล็กๆแต่จิตสำนึกและสภาพของอีกคนก็ทำให้ต้องพยายามเลิกคิด
“ให้ดีแบบนี้ได้ตลอดเถอะ”
หินยักไหล่รับคำแล้วรอจนกระทั่งน้ำเต็มจึงปล่อยให้แฟนได้จัดการกับตัวเอง
ผ้าปูที่นอนยับย่นถูกรื้อออกแล้วเปลี่ยนเป็นผืนใหม่เรียบร้อย ซากอะไรต่อมิอะไรถูกเก็บกวาดจนห้องนอนที่เมื่อคืนเป็นดั่งสมรภูมิกลับมาอยู่ในสภาพเกือบปกติ หินเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง คำนวณเวลาที่ต้องไปทำงานในใจ ก่อนจะต้องเก็บความคิดไปเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อดังมาจากในห้องน้ำ
คนที่เป็นสาเหตุของความร้าวระบมให้การดูแลเป็นอย่างดีจนเกินกว่าแฟนคาดคิด ร่างสูงแทบไม่ปล่อยให้ได้เดินเองทั้งที่ไม่ได้เอ่ยปากร้องขอ
“รอกูอุ่นอาหารแป๊บนึง”
เพราะตื่นก่อนหลายชั่วโมงหินจึงมีเวลาโทรสั่งครัวของคอนโดเพื่อเตรียมอาหารไว้รอคนยังไม่ตื่น ด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะหิว
“มึงสั่งมาตอนไหน”
“ตอนมึงยังไม่ตื่น”
เสียงตัวเลขจับเวลาบนไมโครเวฟดังไปเรื่อยๆเมื่อถ้วยอาหารถูกนำเข้าไปอุ่น
“มึงดูแลหลังการขายดีแบบนี้ทุกคนเลยรึไง”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม ร่างสูงหมุนตัวกลับมาหาคนที่ตัวเองอุ้มมานั่งรอบนเก้าอี้โต๊ะอาหาร จากนั้นใบหน้าคมจึงโน้มลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน
“ไม่”
“...”
“กูไม่ดูแลใครยกเว้นแฟน”
แฟนที่หมายถึงทั้งสถานะและชื่อคน...
ดวงตาคมที่มักดูนิ่งเรียบยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นทอความลุ่มลึกจนคนมองไม่อาจกล้าเดาว่าเจ้าตัวจะสื่อความหมายไปลึกซึ้งแค่ไหน
หากถามหินว่าคนตรงหน้าพิเศษกว่าใครอื่นหรือไม่เขาก็ไม่อาจตอบได้เต็มปาก ตอนนี้วินาทีนี้ทุกอย่างคือสิ่งที่‘สมควร’ทำ และทำไปโดยไม่ขัดกับความรู้สึก
อยากทำก็ทำ...แค่นั้น
“เชื่อได้เหรอ”
ติ๊ง
“...ก็ดูกันไปเรื่อยๆ”
เอ่ยจบก็หมุนตัวเดินกลับไปเอาอาหารออกจากไมโครเวฟยามที่แฟนได้แต่จ้องมองแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างใช้ความคิด
ประโยคที่เหมือนไม่มีอะไรกลับฉุกใจจนไม่อาจหยุดคิดได้
เรื่อยๆงั้นเหรอ...เรื่อยไปจนแค่ไหนกัน
สิบปีเลยหรือเปล่า
--
เช้าตรู่ของวันจันทร์ วันแรกเริ่มของการทำงานในสัปดาห์ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง จากการลางานไปเมื่อวันศุกร์และหยุดต่อเนื่องเสาร์อาทิตย์ทำให้ร่างกายที่ร้าวระบมดีขึ้นจนสามารถเดินเหินได้เองโดยไม่ต้องมีใครคอยช่วยเหลือ
สามวันที่ผ่านมาหินดูแลทุกอย่างตั้งแต่ตื่นกระทั่งถึงตอนเข้านอน จนคนได้รับการดูแลยังไม่อยากจะเชื่อว่าคนแข็งๆแบบนั้นจะทำทุกอย่างให้โดยไม่ปริปากบ่นอะไร
เช่นในยามนี้ ภาพแผ่นหลังกว้างยืนอยู่หน้าเตาในทุกเช้าเป็นภาพที่แฟนเห็นจนเริ่มชินตา แม้อีกฝ่ายจะกลับจากทำงานมาเมื่อล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่แต่หินก็ไม่เคยละเลยการตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าเลยสักวัน
“เมื่อคืนมึงนอนเกือบตีสี่ไม่ใช่หรือไง ลุกมาทำอาหารอีกทำไม” เอ่ยถามยามทรุดตัวนั่งรอในตำแหน่งของตัวเองเช่นทุกวัน
“ก็มึงต้องไปทำงาน”
“กูไปกินที่บริษัทได้”
“กินไปจากนี่แหละดีแล้ว จะได้ไม่เสียเวลา”
“ขยันตื่นจริงๆ”
“มึงไปกูก็นอนต่อไง”
หินตอบยามมือกำลังสาละวนอยู่กับการจัดวางผักบนจานให้เรียบร้อย จากนั้นไม่กี่นาทีต่อมามื้อเช้าง่ายๆอย่างมัฟฟินไข่ก็วางเสิร์ฟลงตรงหน้าของคนที่นั่งรอ
การทำอาหารเองง่ายๆเป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานมาตั้งแต่สมัยเรียน รสชาตินั้นอาจไม่อร่อยเลิศล้ำแต่ก็กินได้ไม่ท้องเสีย
“อะไรอ่ะ”
ดวงตาคู่สวยเป็นประกายวาววับเมื่อเห็นอาหารตรงหน้าเต็มตา อะไรสักอย่างที่มีไข่โปะอยู่ด้านบนพร้อมทั้งตกแต่งด้วยผักเคียงกันดูน่าทานจนน้ำลายแทบไหล
“มัฟฟินไข่”
“ข้างล่างคืออะไร”
“หมูบด หอมหัวใหญ่ วิปปิงครีม เกลือ พริกไทย ไทม์แห้ง พาร์สลีย์ แล้วก็แป้งสาลี”
“ทำไมเยอะแยะขนาดนี้” คิ้วได้รูปขมวดมุ่นพลางเงยหน้ามองคนทำด้วยความอยากรู้
“ก็แค่ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วก็อบ แค่นั้นเอง”
“มึงพูดเหมือนง่าย”
“ก็ไม่ได้ยาก”
ซอสมะเขือเทศถูกบีบลงบนไข่ให้ในปริมาณที่พอดีก่อนหินจะทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม เตรียมตัวกินมื้อเช้าของตัวเองเช่นเดียวกัน
แล้วมื้อเช้าง่ายๆของคนทั้งสองก็ผ่านพ้นไปเช่นสามวันที่ผ่านมา
‘รถกูเสีย’ข้อความซึ่งปรากฏเป็นแถบขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้หินซึ่งกำลังฟังดนตรีเพลงอยู่ตรงระเบียงห้องหยุดชะงัก มือหนาเอื้อมไปหยิบเครื่องมือสื่อสารข้างตัวขึ้นมาจากนั้นจึงรีบต่อสายหาอีกคน
“อยู่ไหน”
(อยู่แถวบริษัท ออกมาได้ไม่ทันไรรถก็เสียซะงั้น)
“รออยู่นั่น เดี๋ยวไปรับ”
(มึงติดธุระอยู่รึเปล่า)
“เปล่า”
(งั้นกูรออยู่ร้านกาแฟแถวๆxxxนะ เดี๋ยวส่งโลไปให้)
“อืม”
หินลุกขึ้นเก็บของก่อนจะเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องให้เรียบร้อย หลังจากมื้อเช้าเขาก็กลับมาที่ห้องของตัวเองเพื่อทำงาน แล้วก็จมปลักอยู่กับเสียงของดนตรีเพลงทั้งวันกระทั่งได้รับข้อความเมื่อครู่
KSRคู่ใจโลดแล่นไปบนท้องถนนด้วยความเร็วที่ไม่เกินกฎหมายกำหนด เวลาสี่โมงครึ่งซึ่งเป็นยามทุกคนเลิกงาน การจราจรของเมืองกรุงจึงติดขัด ทว่าก็เป็นความโชคดีของรถมอเตอร์ไซด์คันปราดเปรียวที่ทำให้ไปถึงจุดหมายได้เร็วกว่ารถยนต์หรูหลายๆคัน