บทที่ 24
ข่าวเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีปล้นธนาคารไม่ต่ำกว่าเจ็ดครั้งในรอบครึ่งปีที่ผ่านมาของจูเลียน ฮอร์ตันถูกแพร่กระจายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าในกระแสข่าวนั้น มีการหยิบยกเรื่องของลีโอ ฮอร์ตัน ลูกชายของเจ้าตัวมากระพือให้ข่าวดังกล่าวโหมกระหน่ำหนักขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าช่าวนี้สร้างความโกรธแค้นแก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก บางกลุ่มออกมารวมตัวกันประท้วงและด่าทอถึงการทำงานของวงในอย่างดุเดือด
"พวกเขาช่วยกันปกปิดความผิดให้คนมีเงินและอำนาจแบบนั้น มันยุติธรรมแล้วเหรอ ผมหวังว่าสองพ่อลูกนั่นจะได้รับบทลงโทษที่สาสมกับสิ่งที่ตัวเองทำกับทุกคนเอาไว้"
"ฉันเห็นข่าวนั่นกี่ทีก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่เลย นี่โลกเราเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว ถ้าได้คนแบบนั้นมาคอยคุ้มครองประชาชนอย่างพวกเราจริงๆ ฉันว่าเราคงไม่ต้องการตำรวจสักเท่าไรหรอกค่ะ"
"ไปตายซะ ฮอร์ตัน! น้ำหน้าอย่างนายมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้ไงวะ!? "
และอีกสารพัดเสียงจากผู้คนทั่วทั้งนิวยอร์คที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นว่าเล่น
เอลเลียตขึ้นไปให้ปากคำตามที่ทนายสาวของเขาได้ทำข้อตกลงกับทนายของแจ็ค พอร์เตอร์ที่ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาทั้งคู่จะมีเรื่องแบบที่เรียกได้ว่าเกือบฆ่ากันตายด้วยความอาฆาตแล้ว แต่พอเป็นเรื่องที่จะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งคู่ก็ให้ความช่วยเหลือกันดีแบบที่คีลยังต้องส่ายหน้าให้กับความกลับกลอกของเจ้าอาชญากรพวกนี้ แต่เอลเลียตก็มาอ้อนเจ้าตัวพร้อมกับชี้ให้เห็นว่าแบบนี้มันช่วยลดโทษให้เขาได้มากโขเลยทีเดียว นั่นแหละร่างสูงจึงไม่ค้านอะไร
ข่าวของลีโอไม่เป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองเท่ากับเรื่องของพ่อของเจ้าตัวก็จริง แต่สำหรับเอลเลียตแล้วเขาแค้นชายหนุ่มคนนี้ยิ่งกว่าจูเลียนหลายเท่า และเขาก็รู้สึกเลยว่าแฟนเก่าของเขาร้ายกว่าพ่อของตัวเองไม่รู้เท่าไร เพราะนอกจากหมอนี่จะหลอกเขา หลอกคนในทีม หลอกคนทั้งโลก มันยังหลอกพ่อตัวเองเรื่องเอเลน่า เคอร์ติสอีก เอลเลียตคิดว่าสิ่งที่ลีโอทำลงไปเลือดเย็นมาก หมอนั่นสั่งฆ่าผู้หญิงคนนั้นที่... ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูทุเรศ แต่ก็เป็นคนที่จูเลียนรัก จากนั้นก็โยนความผิดมาให้เขาเพื่อให้จูเลียนหาทางมาเก็บเขาต่อ
เอาเป็นว่าทุเรศบัดซบเหลือคำจะกล่าว ดังนั้นเอลเลียตจึงสะใจไม่น้อยเมื่อได้เห็นลีโออยู่ในหมีสีส้มอันเป็นเครื่องแบบของนักโทษที่เขาเคยใส่เมื่อหลายเดือนก่อน แม้ว่าสีหน้าหยิ่งๆ แบบลูกผู้ดีจะยังมีความมั่นใจในตัวเองสูง เอลเลียตก็ไม่แคร์ แค่ได้เห็นหมอนั่นโดนสับกุญแจมือแล้วโดนเตะโด่งเข้าคุกก็ถือว่าความโกรธแค้นของเขาได้รับการปลดปล่อยแล้ว
เอลเลียตมาดูการควบคุมตัวของลีโอในชุดไปรเวทใส่สบายๆ เสื้อเชิ้ตสีอ่อนแขนยาว กางเกงขายาวสีน้ำตาลเข้มกับแว่นตาเรย์แบนที่ห้อยอยู่ตรงคอปกเสื้อ ชายหนุ่มผมน้ำตาลยกยิ้มยียวนบนมุมปากขณะที่ลีโอนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีผู้คุมยืนอยู่ข้างๆ เขาหันไปบอกให้เจ้าหน้าที่ตัวโตออกไปรอข้างนอกห้องก่อน อีกฝ่ายพยักหน้าให้พร้อมกับกำชับเอลเลียตว่าถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลให้ตะโกนเรียกตัวเองหรือคีลที่ยืนรออยู่ด้านหน้า ซึ่งคนหลังนี่กว่าเอลเลียตจะเกลี้ยกล่อมให้รออยู่ข้างนอกเฉยๆ ได้นี่ก็ใช้เวลาไปตั้งหลายนาที
คนผมน้ำตาลทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับลีโอที่เลิกคิ้วให้เขาข้างหนึ่งอย่างสนเท่ห์ ว่ากันตามตรง นอกจากชุดนักโทษที่เจ้าตัวใส่อยู่ตอนนี้แล้ว ลีโอไม่มีอะไรบ่งบอกว่าตัวเองกำลังจะเข้าไปอยู่หลังซี่กรงได้เลย หมอนี่ไม่มีแววตาหวาดหวั่นไม่มั่นใจหรือแม้แต่เสี้ยวของความวิตกกังวล แม้แต่เอลเลียตที่แม้จะทำเฉยได้อย่างน่าชื่นชมแต่เขาก็ยังแววตาไม่มั่นใจแฝงอยู่ตอนก่อนจะเข้าห้องขัง แต่หมอนี่ไม่มีอะไรแบบนั้นเลยสักนิด
ไว้เขาจะรอดู… รอให้ผ่านปีแรกไปก่อน ไอ้บ้านี่จะยังมีท่าทีเฉยชาแบบนี้ได้อยู่ไหม
เอลเลียตยกมือขึ้นมาประสานบนโต๊ะ
“ฉันจะไม่รบกวนเวลานายมากหรอก”
ลีโอนิ่งเงียบ สบตากับอีกฝ่ายตรงๆ
“ชุดนั้นเหมาะกับนายดีนะ อดัมส์”
“ไม่เหมาะเท่ากับตอนที่นายใส่หรอก เอล” ลีโอตอกกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แล้วอันที่จริง อีกไม่นานนายก็ต้องโดนยัดกลับเข้าไปอยู่ในคุกเหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่ต้องรีบมาเยาะเย้ยกันเร็วนักก็ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าหัวเราะทีหลังดังกว่านะครับ ที่รัก”
เอลเลียตหุบยิ้มลงไปทันที เขาไม่เคยสู้สงครามประสาทของลีโอได้เลยไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือตอนไหน แต่ถึงอย่างไรสถานการณ์ที่ดีกว่าของตัวเองก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาได้อีกครั้ง
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ ลีโอ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ได้ไปอยู่เรือนจำแย่ๆ ที่เดียวกับนายอยู่แล้ว ไปอยู่นั่นยังไงก็ระวังตัวให้มากๆ นะ พวกคนในคุกน่ะไม่ค่อยสนใจหรอกว่านายเคยเป็นใครมาก่อน”
ถึงทีที่คนผมทองจะหน้าตึงขึ้นมาบ้าง เอลเลียตนับหนึ่งแต้มให้ตัวเองในใจอย่างภาคภูมิ แม้ว่าจะไม่ใช่ชัยชนะที่สมบูรณ์แบบก็ตาม
“แล้วนายมีธุระอะไร” ในที่สุดลีโอก็พาเข้าเรื่อง “แค่แวะมาทักทายกันอย่างนั้นเหรอ? ”
“ใช่ ก็แค่แวะมาคุยด้วยเฉยๆ ทักทายๆ ”
“รู้สึกเป็นเกียรติจัง”
“แล้วนี่นายได้คุยกับจูเลียน พ่อของนายบ้างหรือยัง”
ลีโอยิ้มเย็นเมื่อเอลเลียตเอ่ยชื่อผู้ชายคนนั้นให้ได้ยิน ล่าสุดที่คนทั้งประเทศได้รับรู้เกี่ยวกับจูเลียน ฮอร์ตันก็คือเขากำลังต่อสู้กับคดีและข้อกล่าวหาที่เอลเลียตและทีมของคีลยัดเยียดให้อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ดูจากวี่แววแล้วคงไม่แคล้วมาลงเอยเหมือนลูกชายในอีกไม่นานนี้เป็นแน่
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเขา”
“แล้วเขารู้หรือยังว่านายเป็นคนสั่งฆ่าเอเลน่า ไม่ใช่เพราะฉัน แล้วก็ไม่ใช่เพราะหล่อนฆ่าตัวตายเอง แต่นายสั่งฆ่ายัยนั่น”
“ไม่รู้สิ แต่เขาจะรู้หรือไม่รู้ ฉันก็ไม่สนใจอยู่ดี”
“เย็นชาจัง”
“ไม่เห็นน่าแปลกใจเลยไม่ใช่เหรอ” ลีโอประสานมือไว้บนโต๊ะบ้าง แม้มันจะผูกติดกันด้วยกุญแจมือก็ตาม “ขนาดพ่อแม่หรือพี่ชายของนายยังไม่อยากคุยหรือติดต่อกับนายเลยนี่ มันก็แบบเดียวกันนั่นแหละ”
คนผมทองตีได้ถูกจุด ทำเอาเอลเลียตนิ่งเงียบไปนานพอควรเลยทีเดียว จนกระทั่งลีโอเริ่มหัวเราะหึๆ ออกมาด้วยความสะใจนั่นแหละ คนผมน้ำตาลถึงดึงสติกลับมาได้ เจ้าตัวแสร้งยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา
“เอาล่ะ ลีโอ ฉันว่าฉันคงต้องไปแล้ว คุยกับนายสนุกมากเลย ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ดี ขอให้นายอยู่รอดปลอดภัยในคุกนั่น ส่วนฉันก็จะกลับออกมาเจออิสรภาพอีกครั้งไม่อีกสามปีต่อจากนี้”
ใช่แล้ว ลอเรน ลี ทนายมือฉกาจของเขาเสนอข้อต่อรองของเอลเลียตจนได้ข้อสรุปเป็นตัวเลขสุดท้ายนี้มา และหล่อนเชื่อว่าเอลเลียตจะได้ออกมาเร็วกว่านั้นถ้าทำตัวดี แม้ว่าสำหรับตัวเอลเลียตเองที่ยอมเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อรวบรวมหลักฐานที่ได้มาจากฝั่งลีโอจนแน่นหนาพอที่จะรวบคนได้ทั้งแก๊งและหัวโจกอย่างลีโอและจูเลียนได้ การที่ต้องถูกส่งกลับเข้าไปอยู่ในคุกจะเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไปหน่อยก็เถอะ แต่เขาก็ยอมรับโดยดุษฎี เพราะโทษก่อนที่เขาทำมามันร้ายแรงไม่ใช่เล่นจริงๆ
เอลเลียตเดินกลับออกมาหาคีลที่ยืนอยู่ที่หน้าห้อง และเมื่อก้าวเดินไปตามโถงทางเดิน เอลเลียตก็มีโอกาสได้เจอเกลที่โดนคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อีกคนเข้าพอดี
ชายหนุ่มไม่ได้ถูกตรวนที่ข้อมือเหมือนลีโอเพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ และเมื่อเขาหันมาเห็นเอลเจ้าตัวก็รีบกระโจนเข้ามากระชากคอเสื้อ ก่นด่าอีกฝ่ายอย่างเดือดพล่านโดยที่เจ้าหน้าที่คนอื่นไม่ทันตั้งตัว
“แก! ไอ้สารเลว! ทุกอย่างมันเป็นเพราะแกคนเดียว! แกทำแบบนี้กับอดัมส์ได้ยังไง ทำได้ยังไง! ”
เอลเลียตมองเด็กหนุ่มที่ตัวเตี้ยกว่าเขาไปพอควรด้วยสายตาเย็นชา แกะมือนั้นออกอย่างง่ายดาย
“หมอนั่นทำให้นายเดือดร้อนขนาดนี้แล้ว ยังจะเสียเวลาไปห่วงมันอีกเหรอ”
“ที่เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะแก! ” เกลกรีดเสียงตะโกนขณะที่ร้างถูกผู้คุมอีกคนลากตัวกลับไปแล้ว เอลเลียตเดินเข้าไปประจันหน้ากับเด็กหนุ่มคนนั้นตรงๆ ขณะที่เกลยังดิ้นพล่านทั้งที่โดนล็อกตัวเอาไว้
มีหลายอย่างในตัวของเกลที่ทำให้เอลเลียตนึกถึงตัวเอง บางทีถ้าเขาไม่เข้มแข็งพอ หรือถ้าเขาเล่นยาแบบที่หมอนี่ทำ เขาอาจจะมีสภาพไม่ต่างจากเจ้าตัวเท่าไรนักก็ได้ในตอนนี้ เหมือนตุ๊กตาแก้วเก่าๆ ที่โดนโยนทิ้งลงกับพื้น ถ้ามองเข้าไปในตาของเกลตอนนี้ เขาคงรู้สึกเหมือนตุ๊กตาแก้วที่ว่าแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว
“เขาไม่ได้รักนายหรอก เกล ลึกๆ แล้วนายเองก็รู้ดี”
“หุบปาก! ”
“ลืมหมอนั่นไปเถอะ” เอลเลียตพูดสั้นๆ เขามีปัญญาทำได้แค่นั้น “ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะมานั่งเสียใจให้คนที่ไม่ได้รักนาย”
แต่เกลก็ยังสบถด่าสาปแช่งต่อไป เอลเลียตเดินกลับไปอีกทางพร้อมกับคีล เขาหวังว่าสักวันเด็กหนุ่มคนนั้นจะเข้าใจความหวังดีของเขาในวันนี้
คีลขอลางานหนึ่งอาทิตย์โดยอ้างกับเคลลี่ว่าเขาต้องการพักรักษาตัวแผลที่ถูกยิงตรงหัวไหล่ แต่อันที่จริงแล้วเขาต้องการมาใช้เวลาอยู่กับคนรักที่จะต้องกลับเข้าไปอยู่ในเรือนจำหนึ่งสัปดาห์่ต่อจากนี้ เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนเป็นความลับจากคนในทีม
ส่วนเอลเลียต… แน่นอนว่าชายหนุ่มโดนติดสัญญาณติดตามตัวที่ข้อเท้าเหมือนเคย ตอนแรกทางเบื้องบนก็ถกเถียงกันว่าควรปล่อยตัวเอลเลียตไปไหมเพราะชายหนุ่มเคยพยายามจะหนีมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เอลเลียตก็โต้กลับไปได้อย่างสวยงามว่า ถึงยังไงเขาก็ไม่มีลีโอคอยช่วยเรื่องปลดสัญญาณตัวที่ว่าอยู่แล้ว แถมที่เขาช่วยเหลือทางตำรวจมากขนาดนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้มากพอแล้วว่าตัวเขาเชื่อถือได้ นั่นแหละเอลเลียตเลยได้ลอยลำมาเป็นสารถีชั่วคราว ขับรถให้คีลที่บาดเจ็บที่บ่าอยู่นั่ง
และตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังถกเถียงกันว่าควรจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี
“ไปเที่ยวก็ต้องไปทะเลสิครับ หาดทรายขาวๆ อาหารทะเลเลิศๆ ไวน์แดงแกล้มอีกหน่อย โอ๊ย จะมีที่ไหนโรแมนติกไปกว่าบรรยากาศริมทะเลอีก”
“ผมอยากไปภูเขามากกว่า” คีลพูดเสียงเรียบแต่จริงจัง
ทะเลกับภูเขาเหรอ จะมีอะไรชวนโลกแตกไปมากกว่านี้อีก ถามจริง?
เอลเลียตทำเสียงโอดครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มส่งเสียงอ้อนทั้งที่มือยังยึดพวงมาลัย
“อีกไม่นานผมก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุกแล้วน้า” เสียงออดอ้อนนั่นทำเอาคนผมดำใจอ่อนยวบ “ตามใจผมหน่อยนะครับ คีล ที่รัก คุณเจ้าหน้าที่ นะครับ”
เขายอมตั้งแต่นะครับแรกแล้วล่ะ ทำไมเวลาหมอนี่อ้อนถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ
เอลเลียตพาคีลไปกินอาหารทะเลที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งเขาเคยมา เอลเลียตรู้จักร้านอาหารดีๆ หลายที่ และชายหนุ่มผมน้ำตาลก็พูดจ้อเรื่องอาหารขึ้นชื่อของร้านนั้นร้านนี้อย่างสนุกปาก
คีลคิดว่าเขาเคยรำคาญความพูดมากของเจ้าตัว แต่ตอนนี้ ยามที่ได้เห็นอีกฝ่ายหั่นกุ้งล็อบสเตอร์อบชีสอย่างมีความสุขพร้อมกับพูดจ้อยๆ ไปด้วยแล้ว สายสืบหนุ่มก็อดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูคนตรงหน้าไม่ได้
เอลเลียตชะงักไปกับรอยยิ้มนั้นของคีลเช่นกัน แม้ว่าเขาจะคบหากับคีลในฐานะแฟน แต่เขาก็ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวน้อยครั้งมาก แต่ถึงอย่างนั้นเอลเลียตก็รู้ว่าเขาได้เห็นยิ้มของคีลเยอะกว่าคนอื่นๆ มากหลายเท่าแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากให้คีลยิ้มให้เขาอีกเยอะๆ
คิดแบบนั้นแล้วคนผมน้ำตาลก็ส่งยิ้มอ่อนหวานคืนให้แฟนหนุ่มทันที
“ผมชอบเวลาคุณยิ้มจังครับ คีล”
ร่างสูงชะงักกึก รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แค่เขายิ้มแค่นี้ก็ดูเอลเลียตจะมีความสุขขึ้นมาเหลือเกินแล้ว
เอลเลียตใช้ส้อมจิ้มเนื้อกุ้งที่หั่นไว้แล้วมาตรงหน้าคีล ใบหน้าคมชะงักไปเล็กน้อยอย่างตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ยอมเปิดปาก ยอมให้เอลเอากุ้งชิ้นนั้นเข้าปาก
ดูเหมือนนั่นจะยิ่งทำให้คนผมน้ำตาลมีความสุขมากขึ้นไปอีก
หมอนี่น่ารักเป็นบ้า…
“อร่อยไหมครับ ที่รัก”
“อร่อยครับ” คีลพูดยิ้มๆ ทำเอาเอลเลียตยิ้มแก้มแทบปริไปทั้งมื้ออาหารทีเดียว โดยเฉพาะตอนที่อีกฝ่ายเอื้อมมือมาปาดซอสที่เปื้อนมุมปากเขา เป็นครั้งแรกที่เอลเลียตรู้สึกว่าคีลไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่สนใจว่าใครจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน และมันทำให้คนผมน้ำตาลมีความสุขจริงๆ
คีลพาเอลเลียตไปเช่าม้าขี่ ปล่อยให้มันควบเหยาะๆ ไปตามแนวของหาดทรายสีขาวตามความต้องการของเจ้าตัว เขาชอบเวลาได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย และเอลเลียตก็เติมเต็มเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี
“ทะเลที่นี่สวยชะมัด” เอลเลียตว่าขณะปล่อยให้เท้าเปลือยเปล่าจมลงไปในทราย “คิดถูกจริงๆ ที่มาทะเล เนอะ คีล คุณเองก็คิดแบบนั้นใช่ไหม”
“ครับ” เขาพูดเอาใจอีกฝ่ายยิ้มๆ เอลเลียตตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ คีลเลยหัวเราะออกมากับท่าทางนั้น “ทำหน้าอะไรของคุณน่ะ ผมก็คิดแบบคุณไง ดีจังที่มาทะเล”
“ทำไมวันนี้คุณใจดีแปลกๆ จัง” เอลว่า ดึงแขนร่างสูงขึ้นมาโอบบ่าตัวเอง คีลเลยให้ของแถมด้วยการลูบหัวอีกฝ่าย เอลเลียตหน้าแดงขึ้นด้วยความพึงพอใจ “ให้ตาย คีล ผีอะไรเข้าสิงคุณรึเปล่าเนี่ย ทำตัวน่ารักขนาดนี้ผมชักกลัวแล้วนะ”
“ชอบให้ผมเล่นบทโหดมากกว่าเหรอครับ? ”
“อืม…” เอลแกล้งลากเสียงยาว สีหน้าครุ่นคิด “จริงๆ ผมก็ชอบทั้งสองแบบนะ”
“ปากดีเอ๊ย” คีลว่าพร้อมกับหัวเราะร่วน เขาดึงตัวเอลเลียตเข้ามาแนบตัว หอมแก้มอีกฝ่ายฟอดหนึ่ง“ปากดีเอ๊ย” คีลว่าพร้อมกับหัวเราะร่วน เขาดึงตัวเอลเลียตเข้ามาแนบตัว หอมแก้มอีกฝ่ายฟอดหนึ่งเรียกเสียงหัวเราะให้คนผมน้ำตาลอีกระลอก "ไม่ต้องห่วงครับ อายออฟไอเดน เดี๋ยวคืนนี้ผมจะทำตัวโหดกับคุณหนักๆ เลย"
คีลทำตามที่พูดไว้ไม่ผิดเพี้ยน ทั้งคู่ร่วมรักกันในบ้านพักที่คีลเช่าไว้แทนที่จะเป็นห้องสวีตของโรงแรม เขาแค่รู้สึกว่าบ้านแบบนี้มันได้บรรยากาศดีกว่าก็เท่านั้น
"อ๊ะ..." เอลเลียตอุทานออกมาเบาๆ เมื่อคนด้านบนกระแทกตัวเข้ามาอย่างแรง ความวาบหวามที่ไต่จนถึงจุดสูงสุดทำให้ชายหนุ่มบิดตัวเกร็งแน่นก่อนจะกระตุกเฮือก ตามมาด้วยหอบหายใจถี่ๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อน
คีลก้มลงมาจูบปิดปากคนบนเตียง เอลเลียตเกี่ยวขาขึ้นตวัดข้างตัวของอีกฝ่ายอย่างยั่วยวน มือลูบผ้าพันแผลที่บ่าซ้ายของร่างสูง ตั้งแต่ที่คีลโดนยิงมาก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว ก่อนหน้าที่จะได้มาพักผ่อนกันอย่างนี้ทั้งคู่วุ่นวายกับเรื่องคดีจนแทบไม่มีเวลาได้ทำอะไร โดยเฉพาะคีลที่ต้องคอยรักษาตัวเพราะแผลที่ถูกยิงนี่ด้วย แต่เหมือนเจ้าตัวจะฟื้นตัวได้เร็วมาก เหมือนกับว่ามันเป็นแค่แผลหกล้มด้วยซ้ำ
"อื้ม คีล" เสียงหวานเริ่มครางออกมาอีกครั้งเมื่อคนด้านบนซุกใบหน้าลงบนซอกคอ ไล้สันจมูกลงตรงไหปลาร้า เลื่อนต่ำลงมาจนถึงแผ่นอก จบลงที่ครอบปากลงบนตุ่มไตที่ชูชันขึ้นมาจากแรงกระตุ้น
ใบหน้าเอลเลียตแดงระเรื่อขึ้นเมื่อลิ้นร้อนเริ่มวนเป็นวงกลมอยู่ตรงนั้น คีลเคลื่อนมืออีกข้างมาใช้หัวแม่โป้งบดยอดอกอีกข้างเพื่อปรนเปรอให้คนด้านล่างที่เริ่มบิดตัวน้อยๆ ด้วยความเสียวซ่าน แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อเอลเลียตยกมือขึ้นมาดันหน้าเขาเป็นเชิงห้าม
คีลช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลคมดุขึ้นมามองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจทันที เอลเลียตดันร่างสูงให้ล้มตัวลงไปนอนราบกับเตียงแทนที่ตัวเองพร้อมกับขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว
"เดี๋ยวผมออนท็อปให้เอง"
"..." ให้ตายสิ ดูหมอนี่พูดแต่ละอย่าง มันน่าจับฟาดปากไหม
เอลเลียตดันแก่นกลางร่างกายของคีลสอดเข้ามาผ่านปากโพรงด้านหลังของเขาอย่างรู้งาน เสียงหอบหายใจของคนทั้งคู่ประสานกันเมื่อคนผมน้ำตาลเริ่มขยับสะโพกขึ้นลงด้วยจังหวะที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ คีลมองนัยน์ตาสีฟ้าฉ่ำเยิ้มที่มองลงมาที่เขาด้วยความปรารถนา แม้จะอยู่ในระหว่างการมีเซ็กส์ หมอนี่ก็ยังอยากจะได้ตัวเขาอยู่ คีลเลยจัดการสนองให้ด้วยการจับเอวของคนด้านบนกระแทกลงอย่างแรงรอบหนึ่งให้เอลเลียตสะดุ้งเฮือก
น้ำสีขุ่นหยดลงบนหน้าท้องแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ บ่าของเอลเลียตสั่นเล็กน้อยขณะที่ด้านในรู้สึกถึงของเหลวอุ่นที่ถูกฉีดเข้ามาในตัว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่พอใจที่คีลจับสะโพกเขากระแทกลงในจังหวะท้ายสุด เขาอุตส่าห์จะบริการเสียหน่อย หมอนี่นี่ความอดทนต่ำชะมัด แค่นอนรอรับการปรนเปรอจากเขาเฉยๆ ยังทำไม่ได้!
แต่ถึงจะหงุดหงิดเล็กน้อย เอลเลียตก็โน้มตัวลงไปจูบอีกฝ่ายอย่างอ่อนหวานอยู่ดี ก่อนจะตัดพ้อขณะที่คลอเคลียข้างหู
"คุณมันขี้โกง"
"ขี้โกงตรงไหนครับ"
"ก็ผมอุตส่าห์ขออยู่ข้างบนแล้ว ก็หมายความว่าผมต้องเป็นคนคุมด้วยสิ"
"ผมยอมให้คุณออนท็อป" นิ้วเรียวเกี่ยวสร้อยคอที่จี้เป็นปลอกกระสุนบนลำคออีกฝ่ายขึ้นมาราวกับต้องการทวนความจำให้ไอ้ตัวแสบด้านบน "แต่ไม่เคยพูดว่ายอมให้คุณเป็นคนคุมเลย"
"ร้ายกาจที่สุด"
"ผมรู้คุณชอบแบบนั้น"
เอลเลียตคลี่ยิ้มหวานหยดมาให้ "รู้ใจผมดีจัง"
มือหนาบีบแก้มของคนผมน้ำตาลด้วยความหมั่นไส้ "ทำไมคุณถึงได้ปากดีแบบนี้นะ เอล"
เอลเลียตหัวเราะรับคำถามนั้น ซุกหน้าลงไปบนแผ่นอกหนาอ้อนๆ คีลดึงตัวอีกฝ่ายมานอนข้างกายพร้อมกับกอดอย่างทะนุถนอม ฝ่ามืออุ่นไล้ลงบนเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของเจ้าตัวอย่างอ่อนโยนและต่อเนื่องเรียกให้นัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นไปมองคนลูบ ชายหนุ่มส่งยิ้มซุกซนให้อีกฝ่ายก่อนจะเปิดปากเรื่องที่พวกเขาสองคนหลีกเลี่ยงไม่พูดกันมาทั้งวัน
"คีล ถ้าผมกลับไปอยู่ในคุกแล้ว คุณจะคิดถึงผมไหม"
"คิดถึงสิครับ" ตอบกลับมาด้วยเสียงอ่อนโยน "คงจะคิดถึงมากๆ "
"แล้วคุณจะทนได้ไหม"
"ผมมีทางเลือกอย่างอื่นด้วยเหรอ"
"คุณจะมีคนอื่นหรือเปล่า"
คำถามนั้นทำให้ใบหน้าคมขมวดคิ้วฉับทีเดียว เอลเลียตรู้ตัวทันทีว่าคนผมดำไม่พอใจเขาจึงได้แค่พูดเสียงอ่อย
"ผมหมายถึง... ยังไงผมก็อาจจะต้องอยู่ในนั้นอีกหลายปี แถมคุณก็มีโอกาสได้เจอคนดีๆ อีกตั้งมาก ผมไม่อยากเสียคุณไปหรอกนะคีล แต่ผมก็ไม่อยากปิดโอกาสคุณเหมือนกัน"
"เอล ถ้าคุณพูดอะไรทำนองนี้อีกล่ะก็ ผมจะโกรธจริงๆ แล้วนะ ถ้าคุณไม่มั่นใจในตัวผม อย่างน้อยก็มั่นใจในตัวเองบ้าง คุณไม่ใช่คนที่ไม่มีค่าหรือไม่มีใครต้องการสักหน่อย และที่สำคัญไปกว่านั้น ผมรักคุณจริงๆ ผมไม่ได้เสี่ยงชีวิตไปช่วยคุณเพื่อทิ้งคุณแล้วไปหาคนใหม่หรอกนะ"
เอลเลียตรู้สึกว่าขอบตารื้นขึ้นมาขณะแตะมือลงบนใบหน้าอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
"ให้ตายเถอะ คีล" ชายหนุ่มรำพัน "นี่ผมทำอะไรมาถึงได้คุณมาครอบครองแบบนี้กัน"
คีลดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดแนบอกอีกครั้ง รู้สึกได้ถึงแขนของเอลเลียตที่โอบกอดแผ่นหลังเขาตอบ
"นั่นมันคำพูดของผมต่างหากล่ะครับ"
…
คีลพาเอลเลียตไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เจ้าตัวอยากไปให้หนำใจ ไม่ว่าจะเป็นที่กิน ที่เที่ยว ที่ช้อป เอลเลียตก็มักมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มสดใสระบายบนใบหน้าให้ร่างสูงชื่นใจ มื้อค่ำสุดท้ายของพวกเขาสองคน คีลตัดสินใจพาเจ้าตัวมาที่ร้านสเตฟานซึ่งเป็นร้านแรกที่พวกเขารับประทานมื้อค่ำด้วยกันเมื่อตอนที่คีลต้องรับหน้าที่ดูแลควบคุมเอลเลียตใหม่ๆ
คนผมน้ำตาลถูมือด้วยความตื่นเต้นเมื่อสเต๊กชิ้นโตของเขาถูกเสิร์ฟลงบนจานเคลือบกระเบื้องอย่างดี ความร้อนจากชิ้นเนื้อก้อนนั้นส่งเสียงฉ่าพร้อมควันหอมฉุยที่ลอยออกมาเมื่อเอลเลียตจิ้มส้อมลงไปเป็นครั้งแรก ทันทีที่ลงมือหั่นและเอาเนื้อชั้นดีเข้าปาก เจ้าตัวก็ทำสีหน้ามีความสุขเสียเต็มประดา
"สวรรค์ชัดๆ " ชายหนุ่มว่า ในขณะที่คีลยกยิ้มมุมปาก รินไวน์แดงใส่แก้วให้คนตรงหน้าและตัวเอง เอลเลียตจับก้านของแก้วไวน์ขึ้นมาชนแก้วกับคีลทันทีอย่างรู้หน้าที่ แม้ว่าในปากจะยังเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ก็ตาม
คีลจิบไวน์ของตัวเองก่อนจะพูดเสียงล้อเลียน "คุณนี่ทำอะไรข้ามขั้นตอนจริง"
"เอาน่า ถึงยังไงมันก็ลงไปอยู่ในท้องหมดอยู่ดี" เอลเลียตว่าพร้อมกับยกแก้วในมือขึ้นดื่มอึกๆ ก่อนนัยน์ตาสีฟ้าจะเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นเต้น พูดด้วยน้ำเสียงลิงโลด "อร่อย! "
ว่าแล้วเจ้าตัวก็เริ่มหยิบขวดไวน์ขึ้นมาสำรวจ พลิกดูที่ฉลาก ยี่ห้อ ปีที่ผลิตแล้ว เอลเลียตก็รู้เลยว่าราคาของมันไม่ใช่ถูกๆ เลย เขาเงยหน้าขึ้นไปมองคีลที่เริ่มลงมือกินสเต๊กของตัวเองอย่างตื้นตัน
"ไวน์ของฝรั่งเศสครับ" คีลพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นของเอลเลียต "ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องไวน์เท่าไรเลยขอให้เขาเอาขวดที่ดีที่สุดของร้านมาให้ หวังว่าคุณจะชอบนะ"
"ผมชอบมาก" พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะมีท่าทีไม่แน่ใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมา "แต่... คุณจะไม่เป็นไรแน่เหรอ ซื้อไวน์แพงขนาดนี้"
"นานๆ ทีก็ไม่เป็นไรหรอกครับ"
เอลเลียตมองอีกฝ่ายตรงๆ ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาคีลเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้เขา ทั้งค่ากิน ค่าเที่ยว ค่าโรงแรม ถึงเขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้จนกรอบอะไรก็เถอะ แต่เงินเดือนตำรวจมันจะมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ เขาไม่สบายใจเลย
"ไม่ต้องกังวลอะไรไม่เข้าท่าหรอกน่า เอล" คีลพูดเสียงนุ่ม "ผมไม่ได้ใช้เงินเยอะอะไร เงินเก็บก็มีพอสมควร อีกอย่างคุณต้องเข้าไปอยู่ในนั้นอีกตั้งนาน ผมอยากให้คุณมีหนึ่งสัปดาห์ที่ดีที่สุด"
เอลเลียตก้มหน้างุดขณะพูดเสียงเบาอย่างอายๆ
"แค่มีคุณอยู่ด้วยก็วิเศษที่สุดแล้ว คีล"
"..." ว่าแล้วเชียวว่าหมอนี่มันช่างยั่ว
คืนสุดท้ายของทั้งคู่ คีลกับเอลเลียตไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนกอดก่ายกันไปมา ต่างคนต่างผลัดกันจูบอย่างบ้าคลั่งราวกับชีวิตนี้ไม่เคยจูบใครมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
คีลเริ่มต้นด้วยการจูบอย่างแผ่วเบาอ่อนหวานก่อนในตอนแรก จากนั้นก็เพิ่มจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เอลเลียตเลื่อนแขนมาโอบรอบคอไม่ให้คีลถอยหนีไปไหน และเมื่อจูบกันจนพอใจแล้วทั้งคู่ก็ผละหน้าออกจากกัน กอดกันเงียบๆ ภายใต้ความมืดของห้อง เอลเลียตมองไม่เห็นใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายก็จริง แต่ลมหายใจร้อนที่เป่ารดหัวก็ทำให้เขารู้ว่าคีลอยู่ตรงนี้ กอดเขาไว้แน่นราวกับจะไม่มีทางปล่อยเขาไปไหน
แล้วอยู่ๆ คนผมน้ำตาลก็กลัวขึ้นมาว่าเขาจะไม่มีทางได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดนี้อีก
"คีล" พูดพร้อมกับซุกหน้าลงบนแผ่นอกของอีกฝ่าย "ผม... ผมไม่อยากเข้าไปอยู่ในนั้นเลย"
คีลกอดเอลเลียตแน่นขึ้นราวกับต้องการจะปลอบ เขารู้ดีว่าคนผมน้ำตาลอดทนมาตลอดทั้งสัปดาห์ที่จะไม่พูดประโยคนี้
แต่นี่เป็นเรื่องที่เขาช่วยอะไรไม่ได้
"เข้มแข็งหน่อยนะครับ เอล" เขาทำได้เพียงกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น "ผมสัญญาว่าจะรอ คุณจะผ่านมันไปได้เหมือนที่คุณเคยผ่านมาแล้ว มันไม่ยากไปกว่านั้นหรอก"
เอลเลียตพยักหน้าแกนๆ โดยไม่ผงกหัวขึ้นมา ไม่อยากจะบอกคีลเลยว่ามันยากกว่าตอนนั้นเพราะตอนนี้ใจเขาผูกติดอยู่ที่ร่างสูงหมดแล้ว ไม่เหมือนกับตอนนั้นที่เขาไม่มีพันธะใดๆ
แต่ถึงมันจะทรมาน เอลเลียตก็เชื่อว่าในขณะเดียวกันมันจะเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวต่อไปข้างหน้าด้วย
เอลเลียตเคลื่อนหน้าไปจูบร่างสูงอีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง ถ้าคีลสามารถฆ่าเขาได้ด้วยจูบจริงๆ ล่ะก็ ป่านนี้เขาคงตายไปเป็นล้านรอบ แล้วก็คงเป็นการตายแบบที่เขาสมยอมให้อีกฝ่ายง่ายๆ ด้วยอย่างแน่นอน
--------------------------------------------------------------------
Talk: ตอนหน้าก็จบแล้วค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็จะมีบทส่งท้ายอีกตอน โฮๆๆ แค่คิดก็เหงาขึ้นมาเลย ToT ไม่อยากให้คีลเอลจบเลยอ่าาา ฮืออออ //กอดคีลแน่น