เสน่หา...รักเอย ตอนที่๑๐
รพีกานต์ปั้นหน้าเหมือนจะร้องไห้ตอนถูกเมิน ขอบตาร้อนผ่าว ลำคอตีบตันพาลกลืนอะไรไม่ลงเอาเสียดื้อ ๆ จนณัฐธีร์ผิดสังเกต
“กานต์ปวดท้องหรือครับ”
“เปล่าครับ กานต์อิ่มแล้ว”
รพีกานต์รวบช้อนหยิบทิชชู่ซับปาก รู้สึกผิดที่กินเหลือเพราะปกติพ่อรพินทร์สอนเสมอเรื่องอย่ากินทิ้งกินขว้าง แต่ตอนนี้กลืนไม่ลงจริง ๆ
“เดี๋ยวนั่งรอพี่กินหมดก่อนนะ เสียดายกับข้าว แล้วกานต์อยากกินขนมไหม ร้านนี้บัวลอยสามกษัตริย์ของโปรดของกานต์ขึ้นชื่อมากเลยนะ เอาไหมครับ เดี๋ยวพี่บอกเขาใส่ถุงกลับไปกินที่ห้อง เผื่อกานต์นึกหิว”
ณัฐธีร์ถามอย่างอาทรเอาใจ วันนี้น้องน้อยกินข้าวเหมือนแมวดมจนน่าห่วง รพีกานต์ส่ายหน้ามุมปากยกยิ้มอ่อน ณัฐธีร์เสียดายข้าวที่แทบไม่พร่องจึงยกจานข้าวของน้องมากินต่อ จังหวะเดียวกับที่อัครวินท์หันมาเห็นพอดี สายตานิ่งอ่านไม่ออกส่งตรงมาที่ร่างเล็กราวกับเจ้าตัวเป็นเด็กที่กำลังทำผิดนักหนา อารามน้อยใจทำให้รพีกานต์ไม่หลบสายตาอีกฝ่ายแถมจ้องตากลับนิ่ง ๆ เช่นกันก่อนบ่ายหน้าหนีเสียอย่างนั้น อัครวินท์คิ้วกระตุกกับการถูกเมินจากกระต่ายดื้อเงียบ
“ว้าว ร้านนี้ให้กุ้งตัวใหญ่ดีแฮะ กานต์ลองชิมดูซี”
ณัฐธีร์ลองมุกหลอกล่อตักกุ้งจ่อตรงปาก
“พี่ณัฐ”
แก้มขาวขึ้นริ้วสีเรื่อ รพีกานต์รีบแตะมือพี่ชายเป็นเชิงให้ลดมือลง อย่างไรเสียก็ไม่อยากให้ประเจิดประเจ้อมากนัก น้องน้อยไม่อยากให้พี่ชายเสียความตั้งใจจึงจับช้อนในมือณัฐธีร์ส่งกุ้งเข้าปาก
“คิดถึงกุ้งแม่น้ำที่บ้านเลยเนอะ กุ้งเผาสะเดาลวกน้ำปลาหวานฝีมือพ่อรพินทร์อร่อยเหาะ แล้วน้ำพริกเผากุ้งแห้งสูตรโบราณที่พ่อรพินทร์โขลกใส่กระปุกให้พี่มานะ อื้อหือ พวกเพื่อน ๆ ของพี่มันชอบกันใหญ่ เอาใส่มาม่า ทากับขนมปัง คลุกกับข้าวก็อร่อย”
ณัฐธีร์ทำท่าน้ำลายสอติดตลก เห็นน้องน้อยท่าทีเซื่องซึมจึงอยากทำให้ยิ้ม และก็ได้ผลเมื่อมุมปากเรียวจุดประกายยิ้ม จนลักยิ้มสองข้างแก้มบุ๋มลงอย่างน่ารัก ณัฐธีร์อดที่จะยื่นมือไปบีบแก้มนิ่มไม่ได้
“อี๋ พี่ณัฐมือสกปรก แกล้งกานต์
“ฮ่า ๆ ๆ คราวนี้จะฟ้องใคร หลวงตาไม่อยู่ที่นี่เสียด้วย ฮึ ๆ”
ณัฐธีร์ลอยหน้าลอยตาเย้า รพีกานต์ย่นจมูกใส่ด้วยความหมั่นไส้
“เอ ทำไมพี่ถึงหยอกกานต์เล่นน้า”
ณัฐธีร์ทิ้งปริศนาให้คิดตามก่อนจะโน้มหน้ามากระซิบใกล้ ๆ
“รักดอกถึงหยอกเล่นไง”
พ่อหนุ่มวิศวะหยอดคำหวานก่อนจะยักคิ้วให้คนอ้าปากพะงาบ ๆ เสียงหัวเราะระเบิดออกจากคนเป็นพี่ที่ชนะน็อคใส ๆ ภาพหยอกเอินตรงหน้าแผดเผาสายตาคนมองจนร้อนระอุ อัครวินท์เผลอกำหมัดแน่นขบกรามกรอด นึกอยากลุกจากโต๊ะไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายตั๊นหน้าสักหลาย ๆ หมัด สายตาวาวมองสองร่างที่จ่ายเงินแล้วพากันออกจากร้านไป รพีกานต์สบตากับเขาแวบหนึ่งตอนผุดลุกจากเก้าอี้ก่อนจะผินหน้าไป ทำทีไม่สนใจเขาอีก
...หนอยแน่ กล้าเมินคนอย่างอัครวินท์อย่างนั้นหรือ...
“มึงจีบถึงไหนแล้ววะเชี่ยวิน กูเห็นแฟนเขาประกบแจ ไร้น้ำยาแล้วหรือมึงน่ะ พี่ณัฐแฟนเขาก็ฮอตเอาเรื่องอยู่นะเว้ย นอกจากความรวยที่สู้มึงไม่ได้ อย่างอื่นนี่สาว ๆ ปลื้มกันใหญ่ ทั้งเรียนเก่ง ทั้งกิจกรรม แถมนิสัยดีไม่เจ้าชู้แบบมึง”
อัครวินท์คิ้วกระตุกเมื่อถูกสัพยอกลูบคมเข้าให้
“มึงไม่เคยได้ยินหรือวะ ผู้หญิงชอบคนเลว รพีกานต์ก็ไม่มีข้อยกเว้นหรอกเว้ย”
อัครวินท์ว่าอย่างมั่นอกมั่นใจ แม้จะหัวเสียนิดหน่อยที่ณัฐธีร์ไม่มีข้อเสียอะไรเลยนอกจากฐานะทางการเงิน
“มั่นใจในหนังหน้าและคารมว่างั้น นี่ก็ใกล้ลอยกระทงละ เมื่อไหร่มึงจะได้เผด็จศึก”
“ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม อยากจะได้เมียเขามันก็ต้องเร้าใจหน่อยสิวะ มึงคอยดูแล้วกัน”
อัครวินท์ยกยิ้มกระหยิ่ม ยิ่งยากยิ่งนึกสนุก ยิ่งรพีกานต์ทำเมินใส่ แถมมีณัฐธีร์คอยเอาใจก็ยิ่งท้าทายให้อยากกระชากออกจากอก
บรรยากาศยามค่ำคืนดาษดื่นไปด้วยรถราของเหล่านิสิตวิ่งสวนไปมาขวักไขว่ ณัฐธีร์เลี้ยวรถลัดเลาะมาตามเส้นทางที่รถบางตา สายลมพัดพายอ่อน ๆ เย็นสบาย รพีกานต์พิงศีรษะกับแผ่นหลังกว้างที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยเสมอ ณัฐธีร์ปั่นช้า ๆ ร้องเพลงคลอให้น้องน้อยฟังไปด้วยอย่างอิ่มเอม รพีกานต์ฟังเสียงร้องเพลงของพี่ชายแต่หัวใจไพล่คิดถึงคนที่เพิ่งเจอในร้านข้าว รอยกังวลปรากฏบนดวงหน้าน่ารักอย่างคนจนแล้วซึ่งทางออก ใจกระหวัดไพล่ไปหาพ่อรพินทร์ อยากกลับไปนอนหนุนตักพ่อเหลือเหลือเกิน
...พ่อจ๋า กานต์ควรทำยังไง...
“ลอยกระทงปีนี้ มอเราจัดงานด้วยนะ กานต์อยากลอยกระทงสระน้ำในมอ หรือกลับไปลอยที่ท่าน้ำหลังบ้านดี ครับ”
ณัฐธีร์ถามพลางแอ่นหน้ารับลมเย็น ๆ รพีกานต์อยากลอยกระทงที่ไหน ตัวเขาก็พร้อมไปลอยด้วยอยู่แล้ว ร่างเล็กดันตัวตั้งตรงตอบคำถาม
“กานต์อยากลอยที่...”
คำพูดชะงักค้างเมื่อหัวใจดันเผลอไพล่คิดถึงใบหน้าของใครอีกคน
“กลับบ้านก็ได้ครับ กานต์อยากไปลอยกับพ่อด้วย วันศุกร์กานต์มีเรียนถึงเที่ยง”
“ถ้าอย่างนั้นเรียนเสร็จแวะกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับเนอะ กานต์จะได้นั่งรถกลับสบาย ๆ ไม่ต้องหิ้วท้องหิวมาก”
ณัฐธีร์คิดถึงรพีกานต์ก่อนตัวเองเสมอ นัดแนะเสร็จสรรพคนเป็นพี่ฉีกยิ้มแก้มแทบแตก ต่างจากคนน้องที่แค่นยิ้มยากเย็นแทบเอาคีมง้าง ศีรษะทุยพิงซบแผ่นหลังอุ่นอีกหน มือล้วงโทรศัพท์ขึ้นดูแต่ก็ยังเงียบฉี่ไร้วี่แวว ในใจอึดอัดหนักอึ้ง หรืออัครวินท์จะรามือเพียงเท่านี้
“คนใจร้าย”
โครงเหล็กสี่ล้อสัญชาติยุโรปแล่นออกจากกรุงเทพเกือบบ่าย สารถีรูปหล่อประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัยพาตุ๊กตาหน้ารถหนุ่มหน้าใสกลับบ้านไปลอยกระทงกับครอบครัว รพีกานต์เปิดเพลงฟังเบา ๆ ขณะมือเล่นโทรศัพท์เช็กความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียล หลายวันแล้วที่ไม่ได้ข่าวคราวอัครวินท์เลยนับแต่เจอกันที่ร้านอาหารวันนั้น คนที่มาเย้าหยอกให้รพีกานต์หวั่นไหวแล้วก็หายตัวจ้อยเข้ากลีบเมฆอย่างไร้ร่องรอย ทั้งเฟซบุ๊ก ไอจี ไม่มีความเคลื่อนไหวจากผู้ชายชอบสังคมคนนั้นเลย ทั้งที่ก็มีเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊กเข้ามาโพสต์ชวนไปลอยกระทงอยู่เนือง ๆ แต่ก็ไม่มีการตอบกลับแต่อย่างใด
“หายไปไหนนะ หรือจะไปลอยกระทงกับใคร”
รพีกานต์คิดในใจเงียบ ๆ แนวฟันขาวขบลงกลีบปากล่าง ความฟุ้งซ่านตีรวนในอก
“พี่วินจะถอดใจแล้วจริง ๆ หรือครับ ไหนบอกว่ารักบอกว่ารอได้ จะถอดใจยอมง่าย ๆ แค่นี้เองหรือ”
รพีกานต์พึมพำ ศีรษะเอนพิงกระจกอย่างเหงาหงอย
“กานต์ง่วงหรือครับ ปรับเบาะลงนอนไหม เดี๋ยวถึงแล้วพี่จะปลุก”
ณัฐธีร์ยิ้มอ่อนโยนตีความไปว่าน้องน้อยหนังท้องตึงหนังตาคงเริ่มหย่อน รพีกานต์ยิ้มบางให้พี่ชาย สายตาส่องดูความเคลื่อนไหวใครบางคนอีกนิดหน่อยก่อนเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าปิดตาลงอย่างอดน้อยใจลึก ๆ ไม่ได้
“พ่อจ๋าคิดถึง”
เสียงนุ่มร้องอ้อนขณะเปิดประตูลงจากรถแล่นถลาไปหาผู้เป็นบิดา รพินทร์กำลังนั่งง่วนอยู่กับนิยายเรื่องใหม่ตรงศาลานั่งเล่นสไตล์โคโลเนียลในสวน ใบหน้าขาวนวลดูมีเสน่ห์แม้ล่วงเลยวัยหนุ่มละสายตาขึ้นยิ้มให้บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่รีบจ้ำพรวดเข้ามากอดเอวหมับซบหน้าออดอ้อน
“มาถึงก็อ้อนเชียว ณัฐมาเหนื่อย ๆ ดื่มน้ำฝนโรยมะลิเย็น ๆ ก่อนนะ”
รพินทร์รับไหว้ณัฐธีร์ที่เดินตามมานั่งทีหลัง ก่อนเอ่ยปากเชื้อเชิญให้ดื่มน้ำท่าที่เจ้าตัวเตรียมไว้ให้ตอนลูกชายโทรมาบอกว่าใกล้ถึงแล้ว รพินทร์ลูบศีรษะทุยเอาใจลูกชายก่อนเอื้อมตัวเปิดฝาชีอวดขนมที่เตรียมไว้รอท่าลูกกลับ
“พ่อมีขนมไทยของโปรดไว้ให้กานต์กับณัฐด้วยนา”
“โอ้โห ขนมจ่ามงกุฎของไทยแท้ดั้งเดิมสมัยรัชกาลที่สอง ขนมดาราทอง เสน่ห์จันทร์ บุหลันดั้นเมฆ ช่อม่วงอัญชันก็มี พ่อทำเองหมดนี่เลยหรือครับ”
รพีกานต์ตาโตกับขนมไทยแต่ละอย่างที่หาทานได้ยากและใช้ความประณีตในการทำมาก
“พ่อทำจ่ามงกุฎ กับดาราทองน่ะ นอกนั้นคุณธุเอามาฝาก เผอิญว่าแวะมาไหว้พระเก้าวัดกับคุณจะเด็ดแฟนเขา เลยเอาขนมของที่ร้านมาฝาก ฝีมือคุณธุเชียวนา ออร์เดอร์ยาวเป็นหางว่าว”
รพินทร์บอกลูกชายที่หยิบดาราทองส่งเข้าปากอย่างถูกอกถูกใจ
“อื้ม อร่อยทั้งคู่ มีความสุขจัง”
รพีกานต์ทำหน้าเคลิบเคลิ้ม มือซนยื่นขนมจ่อปากคนเป็นพี่ก่อนวกกลับเข้าปากตัวเองเคี้ยวตุ้ย ๆ ลอยหน้าลอยตา ณัฐธีร์มันเขี้ยวคาดโทษตัวแสบพลางส่งขนมเข้าปากเคี้ยวหยับ ๆ สายตาจ้องมองตัวป่วนไม่วางตา รพินทร์มองลูกชายหยิบขนมกินอย่างมีความสุข ก็พลอยยิ้มตามไปด้วย
“อ้อ เดี๋ยวณัฐแวะไปหาหลวงตาที่วัดอย่าเอาลืมนี่ไปด้วยนะ พ่อแบ่งไว้ให้ณัฐเอาไปถวายหลวงตาท่านแล้ว”
รพินทร์เลื่อนกล่องใส่ขนมให้ ณัฐธีร์ประนมมือไหว้พลางหันมาถามตัวแสบ
“แล้วตกลงจะทำกระทงเอง หรือจะซื้อมาลอย”
“ทำเองดีกว่า พี่ณัฐซื้อต้นกล้วยฐานกระทงเข้ามานะ เดี๋ยวกานต์จะเก็บดอกไม้รอ”
“ได้ ๆ แล้วเดี๋ยวไปเที่ยวงานวัดกัน คุณรพินทร์ไปด้วยกันนะครับ”
ณัฐรับคำหันมาชวนบุพการีของน้องน้อยเพราะคุณรพินทร์ไม่ค่อยออกไปไหนมาไหนสักเท่าไหร่
“พ่อไปเถอะ ชวนพี่รุตบ้านข้าง ๆ นี่ไปเที่ยวด้วยกัน เที่ยวหลาย ๆ คนสนุกออก”
รพีกานต์เขย่ามือผู้เป็นบิดาชวนเผื่อไปยังเพื่อนบ้านเรือนเคียง รพินทร์พยักหน้ารับ ณัฐธีร์ขอตัวแวะไปหาหลวงตาที่วัด ส่วนรพีกานต์ก็กุลีกุจอไปหาเก็บดอกไม้มาเตรียมทำกระทง
ณัฐธีร์แวะมาตอนประมาณสี่โมงเย็นพร้อมต้นกล้วยในมือสำหรับกระทงสามใบ ของเขากับกานต์ใบเดียวลอยด้วยกันจะได้ไม่ต้องกังวลกระทงจะหลงกัน อีกสองใบเป็นของคุณรพินทร์และเพื่อนบ้าน มาถึงรพีกานต์เก็บดอกไม้สอยใบตองคอยท่าไว้แล้ว สองศรีพี่น้องช่วยกันทำกระทงสามใบง่วน คุณรพินทร์แยกไปเตรียมมื้อเย็นรอ ประดิษฐ์กระทงเสร็จแยกกันไปอาบน้ำก่อนมารวมกันอีกครั้งบนโต๊ะอาหารพร้อมวิศรุตอีกคนที่รพินทร์ชวนมา รับประทานมื้อเย็นกันเรียบร้อยจึงถือกระทงเดินไปลอยที่ท่าน้ำหลังบ้านรพินทร์ที่ทำเป็นศาลานั่งเล่นสไตล์โคโลเนียลรับลมเย็น ๆ มองวิวแม่น้ำ
“กานต์อธิษฐานพร้อมพี่เลยนะ”
ณัฐธีร์จับกระทงใบเดียวกับน้องน้อยยกขึ้นอธิษฐาน กระทงใบงามล่องผ่านกระแสน้ำเปลวเทียนส่องสว่างจ้า ณัฐธีร์ยิ้มย่อง นึกคิดเอาเองว่าชีวิตรักของเขาและรพีกานต์จะสว่างไสวเฉกเช่นเปลวไฟ
วูบ
ยิ้มได้ไม่ทันไรก็กลายเป็นยิ้มค้างฝันสลายเมื่อสายลมพัดวูบเทียนดับพรึบต่อหน้าต่อตา ณัฐธีร์ใจหายวูบอย่างบอกไม่ถูก
“ลมแรง เลยพัดเทียนดับ”
รพินทร์เปรยขึ้นพลางหย่อนกระทงของตนเองลงแม่น้ำบ้าง วิศรุตปล่อยกระทงลงเคียงกัน กระทงสองใบล่องลอยเคียงคู่ราวคู่รักเกี้ยวพาเคียงข้างร่วมทางไปด้วยกัน วิศรุตยกยิ้มอิ่มเอมขณะปรายตาหนุ่มรุ่นพี่ข้างกาย
“ไปเที่ยวงานกันต่อเถอะครับ”
รพีกานต์หันชวนพี่ชาย ทั้งหมดหันหลังตรงไปที่รถ คล้อยหลังเพียงครู่กระทงของรพินทร์และวิศรุตก็หักมุมแยกกันคนละทาง
บรรยากาศงานลอยกระทงในวัดละแวกบ้านคึกคักครึกครื้น ผู้คนคลาคล่ำดาหน้าไปเที่ยวงาน รถราแล่นสวนกันขวักไขว่หนาตากว่าปกติ ภายในงานไม่พ้นชิงช้าสวรรค์ ตักไข่ปลาเสี่ยงโชคกิจกรรมร่วมทำบุญนำเงินเข้าวัด ร้านรวงออกงานจำพวกปาเป้า ยิงปืนเจาะลูกโป่งแลกตุ๊กตา ร้านขายของกินจำพวกลูกชิ้นปิ้งทอด น้ำอัดลม ไข่ปิ้ง สายไหม ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ ร้านขายกระทงมีตั้งแต่หน้าวัดเรียงรายไปยันใกล้ท่าน้ำหลังวัด รพีกานต์ถือสายไหมในมือแต่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก เมื่อครู่อัครวินท์เพิ่งโพสต์ภาพกระทงใบสวยลงบนโซเชียลพร้อมแคปชัน ‘with someone’ โดยไม่ระบุตัวบุคคลและสถานที่ มีคนเข้าไปกระหน่ำไลค์พร้อมถามหาบุคคลผู้โชคดีกันขรม รพีกานต์มือสั่น หัวใจคนรอข่าวคราวมาหลายวันกระตุกไหวกระวนกระวายคล้ายจับไข้
“พี่วินไปลอยกระทงกับใครกันนะ”
สีหน้ารพีกานต์ไม่ใคร่แช่มชื่นนัก หัวใจวูบโหวงคล้ายหล่นหาย มฤคน้อยต้องบ่วงสวาทของนายพรานมือฉมัง หัวใจก็ยากจะหลุดพ้น เท้าเดินไปตามแต่ณัฐธีร์จะพาไป แต่หัวใจกลับไพล่พะวงหาแต่อีกคน
“กานต์ดูไม่สนุกเลย เหนื่อยหรือครับคนดี”
ณัฐธีร์เอ่ยถามหลังทั้งคู่ลงจากชิงช้าสวรรค์แล้ว พี่ชายพาน้องน้อยมายืนคอยปลาหมึกบดจึงได้เอ่ยปากถาม
“คนเยอะเดินเบียดกัน กานต์เวียนหัวน่ะครับ”
รพีกานต์บอกเสียงอ่อย รู้สึกไม่ดีนักที่ทำให้คนอื่นพลอยหมดสนุกไปด้วย แต่ตอนนี้ถ้าให้ยิ้มคงได้แค่แสร้งทำ
“ถ้าอย่างนั้นซื้อหมึกบดเสร็จแล้ว เรากลับกันไหม กานต์จะได้พักผ่อน วันนี้ทั้งวันแล้วนี่เนอะ ลิงน้อยถ่านคงใกล้หมดเต็มที”
รพินทร์เย้าลูกชายอย่างเอ็นดู ปกติเคยเซื่องซึมอย่างนี้เสียที่ไหน ได้มาเที่ยวอย่างนี้ขี้คร้านจะชอบแกล้งพี่ณัฐให้วุ่นวาย
“อยู่ต่ออีกนิดก็ได้ครับ พ่อกับพี่รุตจะได้เที่ยวนาน ๆ หน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ชวนมาด้วยนี่ก็สนุกแล้วละครับ”
วิศรุตยิ้มละไมให้คนลูกเผื่อแผ่ไปถึงคนพ่อ สนุกเพราะได้เดินกับคุณรพินทร์นี่ละ
“โอเค งั้นกลับกันเถอะ พรุ่งนี้วันเสาร์ น้องกานต์อยู่กับพ่อได้อีกวัน”
ตกลงกันเรียบร้อยขบวนพลก็เคลื่อนไปที่จอดรถ สามคนกลับบ้านเพราะณัฐธีร์อยู่ค้างที่วัด
รพีกานต์กลับมาถึงบ้านก็แยกย้ายกับพ่อเข้าห้องอาบน้ำก่อนนอนอีกหน ร่างโปร่งทิ้งตัวปุคว่ำลงบนเตียง มือฉวยโทรศัพท์มากดดูความเคลื่อนไหวของใครบางคนแต่ก็ไม่เห็นอัครวินท์จะโพสต์อะไรอีก ใบหน้าใสห่อเหี่ยวระบายลมหายใจพรูเดินไปพิงกรอบหน้าต่างแหงนหน้ามองพระจันทร์หงอย ๆ
“คนใจร้าย”
ตัดพ้อกับพระจันทร์ไปเรื่อย นึกภาพกระทงใบสวย คนถือคงเดินเคียงข้างไปลอยกับใคร กระต่ายน้อยเลยได้แต่แหงนคอหงอยคอยมองพระจันทร์
ติ๊ง
เสียงข้อความไลน์ดังขึ้น ทีแรกรพีกานต์คิดว่าเป็นข้อความจากณัฐธีร์จึงไม่ได้กระดิกกระเดี้ยขยับตัวหันมาดู ‘พี่ชายจ๋า หัวใจน้องน้อยไม่รักดี มันคอยพะวงหาแต่คนใจร้าย และน้องเองก็ใจร้ายกับพี่ต่อ’
ติ๊ง
เสียงข้อความที่สองตามมาไม่นานนัก รพี่กานต์ไม่อยากให้คนส่งข้อความต้องรอคอยเหมือนตนเองจึงหันมาหยิบโทรศัพท์หวังตอบข้อความกลับ แต่ก็ต้องตาเบิกโตเมื่อเห็นชื่อคนส่งข้อความมา พร้อมรูปกระทงที่เห็นโพสต์ลงโซเชียลเมื่อตอนค่ำ
‘อุตส่าห์พายเรือย่องมาหาที่ท่า คนแสนงอนปล่อยเราเดียวดายจนถูกยุงรุม’
ข้อความตัดพ้อส่งมาให้เหมือนน้อยอกน้อยใจเสียเต็มประดา รพีกานต์ถือโทรศัพท์มือสั่นเงอะงะจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะตั้งสติได้ กดพิมพ์ข้อความส่งกลับไป
‘พี่วินอยู่ที่ไหนครับ’
‘ท่าน้ำหลังบ้านใครไม่รู้ ยุงชุ้มชุม ดุเหมือนเจ้าของบ้าน กัดพี่เจ๊บเจ็บ’
“พี่วินมาที่นี่”
รพีกานต์ตกตะลึงนิ่งไปก่อนจะขยับขาก้าวออกจากห้องลงจากบ้านตรงไปที่ท่าน้ำ
“พี่วิน...มายังไงครับ”
รพีกานต์ไม่อยากคิดว่าตัวเองตาฝาด เบื้องหน้าตรงศาลาใกล้ท่าน้ำคือร่างสูงใหญ่ของคนที่หายหน้าหายตาไปหลายวันจนรพีกานต์เฝ้าพะวงถึงไม่เป็นอันทำอะไร เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวในโซเชียลก็ไม่เห็นข่าว บทจะโผล่มาให้เห็นหน้า อิเหนารูปงามก็มาแบบไม่บอกกล่าว
“พี่พายเรือมา ยืมของโฮมเสตย์น่ะ เหนือบ้านกานต์ขึ้นไปเปิดโฮมเสตย์ริมแม่น้ำบรรยากาศดี พี่จองห้องไว้พร้อมสั่งเขาทำกระทงให้ด้วย แล้วก็ขอยืมเรือพายมาเซอร์ไพรส์ชวนใครบางคนลอยกระทงด้วยกัน”
อัครวินท์ฉีกแก้มขยับเข้ามาใกล้จนกายชิดอีกฝ่าย สายตาเสน่หาลึกซึ้งทอดมองดวงหน้านวลไม่วางตา รพีกานต์แก้มร้อนเห่อกับสายตาคมกริบฉายความนัยชัดเจนแต่ก็ไม่ได้ขยับหนี ใบหน้าใสก้มงุดซ่อนความอายระคนดีใจเป็นนักหนา
“ดีใจไหมครับที่เจอพี่ คิดถึงพี่ไหม พี่คิดถึงกานต์ทุกวันเลยนะ”
เสียงทุ้มนุ่มกระซิบถาม รพีกานต์แก้มร้อนจัดเมื่อลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดหน้าผากบ่งบอกว่าอิเหนาของรพีกานต์อยู่ใกล้มากแค่ไหน หัวใจเต้นกระหน่ำ น้ำเสียงนุ่มส่งเสียงถามออกไปทั้งไม่กล้าเงยหน้า
“พี่วินปากหวาน รู้ได้ยังไง ว่ากานต์อยู่ที่นี่”
“น้องสาวของพี่เป็นเพื่อนของกานต์นะครับ แล้วอีกอย่างกานต์ยังจำได้ด้วยหรือครับว่า...ปากพี่น่ะหวานแค่ไหน”
อัครวินท์กระเซ้า สายตาเจ้าชู้หลุบมองลูกไก่ในกำมือตรงหน้า จมูกโด่งคลอเคลียสูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ใกล้พวงแก้มใสอย่างจงใจให้ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดผิวแก้มรื้อฟื้นความทรงจำครั้งก่อน รพีกานต์แย้งไม่ออก รสจูบร้อนแรงยังซ่านติดลิ้นทุกวันนี้ ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งอายตัวเอง
“พี่คิดถึงกานต์จะแย่ แต่ก็ต้องอุบไว้ เดี๋ยวจะไม่เซอร์ไพรส์”
มืออุ่นจับมือบางยกขึ้นจรดริมฝีปากจูบ รพีกานต์อ่อนทั้งกายและใจให้คนตรงหน้าอย่างไร้ข้อกังขา
“พี่วินไม่โกรธกานต์เรื่องพี่ณัฐแล้วหรือครับ”
“ใจจริงพี่อยากให้กานต์เคลียร์นะ แต่พี่จะให้เวลากานต์ก็แล้วกัน ขอโทษที่พี่เผลอหึงงี่เง่าไปหน่อย ตอนนี้อย่าพูดเรื่องคนอื่นเลย มาพูดเรื่องของเราดีกว่า ลอยกระทงกับพี่นะครับคนดี”
อัครวินท์ตะล่อมเสียงนุ่ม รพีกานต์พยักหน้าหงึกยินยอมให้อีกฝ่ายจูงมือไปนั่งยอง ๆ ตรงท่าน้ำ
“กานต์ประคองกระทงขึ้นอธิษฐานสิครับ”
อัครวินท์บอกหลังจากจุดไฟติดเทียนจนส่องสว่าง รพีกานต์ทำตามอย่างว่าง่าย มือเรียวประคองกระทงขึ้น อัครวินท์ที่รอจังหวะอยู่แล้วรีบประคองมือซ้อนมือของอีกคน สายตาเจ้าชู้ส่งให้อย่างไม่ปิดบัง กลายเป็นรพีกานต์ที่อายม้วนตัวแทบระเบิดจะหลบทางไหนก็ไม่พ้น
“พี่วินจ้องกานต์แบบนี้ เดี๋ยวเทียนละลายหมด กานต์ก็คงไม่ได้อธิษฐาน”
รพีกานต์บอกเสียงอู้อี้ เขินเต็มกำลัง
“ถ้าอย่างนั้นพี่จะหลับตา แล้วอธิษฐานถึงกานต์”
พูดพลางปิดเปลือกตาลงอย่างปากว่า รพีกานต์มองใบหน้าหล่อเหลาท่ามกลางแสงเทียนอย่างหลงใหลก่อนได้สติรีบหลับตาอธิษฐานบ้าง อัครวินท์ลืมตาขึ้นก่อนพลางจ้องมองดวงหน้านวลต้องแสงเทียนสว่าง ปากคอคิ้วคางรับกันทั้งเครื่องหน้าโดยปราศจากเครื่องสำอางติดผิวหน้าแม้แต่น้อย แต่ก็ยังนวลผ่องน่ามองอย่างไม่รู้เบื่อ รพีกานต์ลืมตาขึ้นสบสายตาคมที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว ตาจ้องตา หัวใจเปิดประตูให้อีกฝ่ายก้าวเข้ามาข้างในอย่างเต็มใจ
“ลอยกระทงกันเถอะ ลอยกระทงใบเดียวกัน กานต์จะได้ไม่ห่างไปจากพี่”
อัครวินท์กระชับมือบางประคองกระทงหย่อนลงน้ำ กระทงใบสวยล่องลอยไปตามสายธารา เปลวเทียนส่องสว่างท่ามกลางกระแสลมพัดไหว
“อ๊ะ เทียนดับ”
รพีกานต์อุทานอย่างหวั่นใจ เมื่อหัวค่ำกระทงใบที่ลอยกับณัฐธีร์เทียนดับยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่พอเป็นอัครวินท์หัวใจก็พลันหล่นไปตาตุ่ม เปลวไฟสว่างไสวลู่ตามลมจนเกือบมอดดับก่อนจะเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้งให้คนมองใจชื้น รพีกานต์มองกระทงที่ตนเองและอัครวินท์ปล่อยลงขอขมาพระแม่คงคาด้วยหัวใจที่อิ่มเอมก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อจมูกโด่งกดฟอดลงที่พวงแก้มนุ่ม
ฟอด
“แก้มใสหอมจัง นุ่มด้วย”
อัครวินท์โปรยยิ้มเสน่ห์มองคนเอามือกุมแก้มหน้าแดงแปร๊ด
“พี่วิน!”
แปะ
“อูย ตรงนี้ยุงชุมจัง พี่แพ้ยุง แต่อยากคุยกับกานต์ต่ออีกหน่อยให้สมกับที่คิดถึง ขึ้นไปคุยที่ห้องได้ไหม ยุงกัดเดี๋ยวเป็นไข้เลือดออก น่ากลัวนะ”
ยังไม่ทันที่รพีกานต์จะโวยวาย อัครวินท์ก็ตบยุงเปาะแปะทำท่าเกาคะเยอเบี่ยงเบนความสนใจเสียก่อน ใบหน้าหล่อเหลาออดอ้อนพาใจคนมองอ่อนยวบ รพีกานต์เหมือนคนต้องมนตร์ไปเสียแล้ว ยามนี้อัครวินท์ขออะไรร่างเล็กก็ไม่ขัด
“ครับ ๆ งั้นเราย้ายไปคุยที่ห้องกานต์ก่อนก็ได้ พี่วินท์จะได้ทาคาลาไมน์ด้วย”
อารามห่วงเขา แค่ได้ยินว่าอัครวินท์แพ้ยุง รพีกานต์พยักหน้าหงึกนำอีกฝ่ายขึ้นไปที่ห้องอย่างไม่ทันระแวดระวัง เสือหนุ่มยิ้มย่องถือตะเกียงเจ้าพายุเดินตามอีกฝ่ายไป สายตาลามเลียมองก้นงอนขยับยักย้ายตามจังหวะการเดิน รพีกานต์แขนขาเรียวเอวคอดอย่างคนไม่มีกล้ามแถมผิวพรรณขาวเนียนเปล่งปลั่งไม่ต่างจากผู้หญิง สังเกตดูบ้านพักอาศัยก็พอจะรู้ได้เลา ๆ ว่าฐานะดีไม่หยอก คงจะถูกเลี้ยงมาแบบไม่เคยลำบาก ถึงได้ผิวพรรณดีนัก นึกถึงณัฐธีร์ที่ตามก้อร่อก้อติกรพีกานต์แล้วก็อดแค่นยิ้มหยันไม่ได้
...ดอกฟ้ากับหมาวัดชัด ๆ...
“ห้องกานต์หอมจัง”
อัครวินท์ชมเปาะสายตากวาดมองทั่วห้อง ห้องรพีกานต์สะอาดสะอ้าน ข้าวของจัดเรียงเป็นระเบียบ หอมกลิ่นอ่อน ๆ ของบุหงารำไปช่วยให้ผ่อนคลาย อัครวินท์นั่งปุลงบนเตียงก่อนใช้ความเจ้าเล่ห์เกี่ยวเอวเล็กนั่งทับบนตัก
ฟอด
“แก้มกานต์ ตัวกานต์หอมกว่าเยอะเลย”
ปากหวานมือไว ฝ่ามือร้อนผ่าวลูบไล้ไปตามเนื้อตัวเนียนลื่น
“พี่วิน กะ กานต์จะรินน้ำให้ดื่ม ปล่อยกานต์ก่อนนะครับ”
รพีกานต์ดิ้นขลุกขลัก พยายามแกะมือปลาหมึกที่รัดเอวไม่ปล่อย ใบหน้าเบี่ยงหนีปลายจมูกโด่งที่คอยซุกไซ้
“พี่อยากกินน้ำบ่อน้อยต่างหาก”
“อื้อ!”
ริมฝีปากร้อนผ่าวบดเบียดกลีบปากนุ่ม รพีกานต์อ่อนยวบแพ้ชั้นเชิงอีกฝ่าย ปลายลิ้นร้อนเซาะเข้าฉกชิมรสหวานฉ่ำข้างในอย่างช่ำชอง ฝ่ามือร้อนลูบไล้เรือนกายเนียนนุ่มทั่วร่าง รพีกานต์ร้อนวูบวาบเหมือนกระแสไฟแล่นผ่านทั่วตัว มือเล็กเผลอขยำเสื้ออีกฝ่ายแน่น เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความไม่เคย อัครวินทร์ดูดดุนเกี่ยวรัดลิ้นเล็กอย่างกระหาย รพีกานต์ทำให้เขาลืมความเป็นชายของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง รู้แต่ว่าความไร้เดียงสานี้ช่างหอมหวานนัก หวานไปทั้งตัวจนอยากจะกลืนกินให้หมด มือร้อนสอดลงในกางเกงนอนตัวบางปลุกปั่นความต้องการตามธรรมชาติของอีกฝ่าย
“กานต์น่ารักมาก”
อัครวินท์ถอนจูบออกกระซิบชิดกลีบปากแดงเจ่อ รพีกานต์อ่อนระทวยในอ้อมแขน ดวงตาฉ่ำคลอ หัวใจเต้นกระหน่ำหอบแฮก อัครวินท์รั้งร่างบางลงแนบเตียงพลางขึ้นคร่อมจ้องมองดวงหน้าหวาน
“พี่รักกานต์นะครับ”
เสียงทุ้มพร่ำบอกด้วยถ้อยกระซิบหวาน อัครวินท์พรมจูบแผ่วเบาอย่างถนอม สายตาคมปลาบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากวางอย่างเสน่หาราวกับจะสะกดให้อยู่ในอาณัติ รพีกานต์อ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งถูกลนด้วยเปลวไฟ ไฟแห่งราคะร้อนแรงที่ลนเผาหัวใจและร่างกายให้โอนอ่อนยอมตกเป็นของเขาแต่โดยง่าย หลงลืมหมดสิ้นทุกสิ่งอย่าง ความสุขแสนหวานดำเนินไปตามครรลองปรารถนาอย่างสุดจะต้านทาน
“อาห์ พี่วิน กานต์ กานต์ก็รักพี่วินนะครับ”
เรียบร้อยโรงเรียนอัครวินท์ เราเดินเรื่องค่อนข้างเร็วนะคะ บางช่วงลากช้าบ้าง มือสมัครเล่นโนะ อย่าถือสา แฮ่
จริง ๆ วินไม่ได้เกลียดเพศที่สามมากหรอก วินเกลียดแค่พ่อกับรพินทร์ สังเกตว่าเพื่อนวินก็เสือไบ มันเป็นอารมณ์หมั่นไส้ อยากแกล้ง อยากเอาชนะน่ะ เห็นคนอื่นมีความสุขแล้วอยากทำลาย คือว่าด้วยเรื่องอารมณ์ล้วน ๆ วินไม่ใช่คนมีเหตุผลอะไร เห็นได้จากการเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่รังแกฉันในสังคมน่ะแหละ นี่คือสิ่งที่เราใส่ให้ในตัววิน กานต์เองก็โตในสิ่งแวดล้อมอีกอย่าง ณัฐก็อีกอย่าง(เด็กวัดแถวบ้าน ตอนเด็กมีแต่คนดูถูก เดี๋ยวนี้น้องได้ดี คนก็ชื่นชม) เราเขียนจากการสังเกตพฤติกรรมรอบด้าน แล้วจับทุกตัวละครมาเจอกัน
ขอบคุณสำหรับทุกคน สำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ อ่านแล้วมีความสุข ด่าอีวินตามสบาย เราเองก็หมั่นไส้มัน
เราแนบรูปขนมไทย ๆ ที่น้องกานต์กินมาให้ดูกันด้วย มีขนมจ่ามงกุฎของแท้ดั้งเดิมร.๒ ขนมดาราทอง(คิดขึ้นสมัยจอมพลป.) และมงกุฎเพชร เพิ่งคิดขึ้นฉลองเนื่องในวาระใดนี่ล่ะ หาดูเพิ่มเติมในอากู๋นะ
รักคนอ่านจ้า
[attachment deleted by admin]