******************************
บทที่ 67 มันต้องมีทางออกที่ดีกว่านี้สิ
“ทางโรงพยาบาลบอกว่า ได้ตรวจพบนานมาแล้วว่าแบ๊งค์เป็นลูคิเมีย และพยายามติดต่อที่จะคุยกับแบ๊งค์
“แต่แบ๊งค์ก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด” พี่อาร์ทพูดพลางร้องไห้
“.....................” แบ๊งค์นิ่งเงียบไม่ตอบอะไร
“แบ๊งค์.....มันเกิดตั้งแต่วันนั้นใช่มั้ย วันที่เราพาแบ๊งค์ไปโรงพยาบาล” กาวเข้ามาเขย่าตัวแบ๊งค์ครับ
“.......................” แบ๊งค์พยักหน้า แทนคำตอบ ตอนนี้แบ๊งค์ไม่อยากพูดอะไรเลยจริง ๆ
“ทำไมแบ๊งค์ไม่บอกเรา เราบอกแล้วใช่มั้ยว่ามีอะไรให้บอก” กาวเขย่าตัวแบ๊งค์ แล้วทรุดตัวลงนั่งร้องไห้กับพื้นโดนมีพี่ตั้มเข้าปลอบ
“แบ๊งค์ขอโทษ แบ๊งค์ไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง” แบ๊งค์กล่าวออกมา
“แบ๊งค์ไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วงอย่างนั้นน่ะหรอรู้มั้ยยิ่งแบ๊งค์ทำแบบนี้น่ะ มันยิ่งทำให้ทุกคนเป็นห่วง” ปรินซ์พูดขึ้นบ้างครับ
“กลับกันได้แล้ว วันนี้แบ๊งค์ต้องกลับไปหาหมอที่กรุงเทพฯ” พี่อาร์ทลุกขึ้นแล้วพูดครับ
“แต่..............” แบ๊งค์กำลังจะขออยู่ต่อที่นี่
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น” พี่อาร์ทตะคอกออกมาครับ
“ตั้ม แมค กาว ปรินซ์ กลับไปเก็บของที่บ้านก่อนนะเดี๋ยวที่นี่ พี่จัดการเอง” พี่อาร์ทพูด แล้วทุก ๆ คนก็แยกย้ายกันออกไป พี่อาร์ทคงออกไปจ่ายเงินค่ารักษาแบ๊งค์ล่ะมั้ง ตอนนี้ก็เลยมีแค่แบ๊งค์ที่อยู่คนเดียวในห้อง
.
.
.
ตลอดทางตั้งแต่หัวหิน จนถึงกรุงเทพฯ แบ๊งค์กับพี่อาร์ทไม่ได้ปริปากพูดคุยอะไรกันแม้แต่คำเดียว แบ๊งค์เอาแต่ร้องไห้มาตลอดทาง ร้องจนตอนนี้รู้สึกปวด ๆ ที่ตาแล้ว พอมาถึงกรุงเทพฯ พี่อาร์ทก็ขับรถเข้าไปยังโรงพยาบาลทันที โดยมีพวกพี่ตั้ม กาว แมค และปรินซ์ตามมาด้วย
พี่อาร์ทพาแบ๊งค์เข้าไปหาหมอที่ห้องตรวจครับ โดยที่ทุกคนขอตามเข้ามาฟังผลด้วย ซึ่งหมอก็ต้องยอมแต่โดยดี
หมอบอกว่าแบ๊งค์เป็นลูคิเมีย หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั่นเอง และตอนนี้แบ๊งค์เป็นอาการเริ่มแรก ยังไม่แสดงอาการออกมามากเท่าไหร่ แต่หมอก็อยากให้แบ๊งค์อยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด แต่แบ๊งค์ก็พยายามที่จะเลี่ยงตลอดมา
หมอบอกว่าโรคที่แบ๊งค์เป็น ในตอนนี้เป็นอาการของลูคิเมียแบบเฉียบพลัน ซึ่งไม่สามารถจะระบุได้ ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จึงอยากให้อยู่ใกล้แพทย์ให้มากที่สุด เพราะถ้าเกิดโรคนี้เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันแล้ว หมอกลัวว่าจะรักษาได้ไม่ทันการณ์
การรักษาของโรคนี้มีอยู่ 2 วิธีคือการปลูกถ่ายไขกระดูก หรือปลูกถ่าย stem cell วิธีนี้เป็นวิธีที่สามารถทำให้โรคหายขาดได้ แต่ก็เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แล้วการปลูกถ่ายไขกระดูก หรือ stem cell ก็ค่อนข้างยากลำบาก เพราะต้องหาคนที่มีเนื้อเยื่อตรงกันเท่านั้น ซึ่งโอกาสก็มีอยู่น้อยมาก
ส่วนอีกวิธี เป็นวิธีที่นิยมใช้แพร่หลายมากในการรักษาผู้ป่วยโรคลูคิเมียแบบเฉียบพลัน นั่นก็คือการรักษาด้วยเคมีบำบัด แต่วิธีนี้จะทำให้เชื้อเข้าสู้ระยะสงบเท่านั้น กล่าวคือโรงคนี้จะกลับมาอีกหลังจากการรักษา ผ่านไป 3-9 เดือน และวิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างมีผลข้างเคียงสูง
ผู้ป่วยที่รักษาด้วยเคมีบำบัด อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ผมร่วง และเม็ดเลือดต่ำลง ทำให้ติดเชื้อง่าย และมีไข้ ระยะนี้เป็นระยะที่เกิดภาวะแทรกซ้อนและอันตรายถึงชีวิตได้ง่าย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล เพื่อให้ยาปฏิชีวนะ และให้เลือดประมาณ 34 สัปดาห์ หลังจากนั้นหากไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนเชื้อก็จะเข้าสู่ระยะสงบ
ทุกคนต่างอึ้ง เมื่อหมออธิบายจบ โรคที่แบ๊งค์เป็นอยู่มีความเสี่ยงสูงมาก ที่จะเป็นอันตรายต่อชีวิต และก็ไม่มีทางที่จะหายขาดจากโรคนี้ได้เลย เพราะโรคนี้โอกาสที่จะหายมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการปลุกถ่ายไขกระดูก แต่ก็เป็นการยากที่จะหาเนื้อเยื่อที่ตรงกัน
“คุณหมอครับ ช่วยตรวจเนื้อเยื่อของผมได้มั้ยครับว่าตรงกับของน้องเค้ารึเปล่า ถ้าตรง ก็ปลูกถ่ายไขกระดุกของผมไปได้เลย” พี่อาร์ทอาสา
“ของผมด้วยครับ” จากนั้นทุก ๆ คนก็พูดตาม ๆ กัน คือให้หมดตรวดูเนื้อเยื่อ เผื่อว่าจะมีของใครซักคนที่ตรงกลับแบ๊งค์บ้าง
สรุปแล้วว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แบ๊งค์ต้องนอนอยู่แต่ในโงพยาบาลครับ เพื่อรอดูอาการ และเพื่อรอคอย เผื่อว่ามีใครที่มีเนื้อเยื่อที่ตรงกัน จะได้ทำการรักษาในทันที
ตอนนี้พี่อาร์ทโทรไปบอกทุกอย่างให้ทางบ้านแบ๊งค์รู้แล้ว อีกไม่นานแม่แบ๊งค์ก็คงจะมาหาแบ๊งค์ที่กรุงเทพฯ ไม่อยากให้ใครต้องห่วงแบ๊งค์แบบนี้เลยจริง ๆ
.
.
.
แบ๊งค์ค่อย ๆ ตื่นขึ้นมาครับ ผ่านไปแล้วกับหนึ่งคืนในโรงพยาบาล แบ๊งค์เห็นทุก ๆ คนยังคงยืนอยู่รอบ ๆ ตัวแบ๊งค์ แล้วรู้สึกว่าแม่จะนั่งข้าง ๆ แบ๊งค์
“ตื่นแล้วหรอลูก” เสียงแม่ถามไถ่มาด้วยความเป็นห่วงครับ ตอนนี้เหมือนกับว่าแม่ของแบ๊งค์พยายามสะกดกลั้นน้ำตาอยู่ แต่แม่ก็ทำไม่ได้ น้ำตาก็ยังไหลออกมาอยู่ดี
“แม่ร้องไห้ทำไม แบ๊งค์ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย” แบ๊งค์พยายามตอบออกไป ทั้ง ๆ ที่แม่และทุกคนก็รู้หมดแล้วว่าอาการมันร้ายแรงขนาดไหน
“อืม....แม่รู้” แล้วแม่ก็เอามือลูบหัวแบ๊งค์ แล้วร้องไห้ออกมาอีก ตอนนี้ทุก ๆ คนในห้องเริ่มที่จะมีน้ำตาคลอ ๆ อยู่เหมือนกัน ไอ้กาวมันคงกลั้นน้ำไว้ไม่ได้ เลยรีบวิ่งออกไปนอกห้อง ส่วนคนอื่น ๆ ก็พยายามไม่มองมาที่แบ๊งค์ บางคนก็หลบมุมแอบเช็ดน้ำตาไป
“เดี๋ยวแบ๊งค์ก็หายแล้ว ปีนี้แบ๊งค์จะกลับไปเล่นสงกรานต์ที่บ้านนะชวนเพื่อน ๆ แบ๊งค์ไปได้มั้ย” ตอนนี้แบ๊งค์พูดไปยิ้มไป แต่น้ำตาก็ไหลอาบแก้มไปด้วย
“อืม....ได้สิ เดี๋ยวแม่จะทำอาหารเลี้ยงเอง” แม่แบ๊งค์พูด ออกมา แบ๊งค์เลยโผเข้ากอดแม่ซึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง
“แม่...เอ่อ คือแบ๊งค์กับพี่อาร์ท” ตอนนี้แบ๊งค์กำลังอยากจะบอกแม่ว่า แบ๊งค์กับพี่อาร์ท เป็นอะไรที่มากว่าพี่น้องกัน
“ไม่ต้องพูดแล้วลูก แม่รู้เรื่องแล้วไม่เป็นไรหรอกนะ แม่ไม่โกรธหรอก ลูกพักผ่อนดีกว่านะ” แม่พูด พลางค่อย ๆ ดันแบ๊งค์ให้นอนลงกับเตียง
“เดี๋ยวพ่อกับแม่พี่เค้าก็จะมาเยี่ยมแบ๊งค์แล้วนะ” พี่อาร์ทพูดครับ ตอนนี้พี่อาร์ทก็มีน้ำตาไหลออกมาเหมือนกัน อีกซักพัก พ่อกับแม่ของพี่อาร์ทก็เข้ามาในห้อง
“เป็นไงบ้างลูก “ แม่พี่อาร์ทเดินเข้ามาหาแบ๊งค์พร้อมด้วยกระเช้าผลไม้ครับ
“พ่อครับ แม่ครับ นี่เป็นแม่ของน้องแบ๊งค์ครับ” พี่อาร์ทแนะนำให้พ่อกับแม่ของพี่อาร์ท รู้จักกับแม่ของแบ๊งค์
“ สวัสดีค่ะ” แม่แบ๊งค์ยกมือไหว้ไป พ่อกับแม่ของพี่อาร์ทก็รับไหว้
“เอ่อ...คุณครับ ผมขอคุยด้วยหน่อยนะ” พ่อพี่อาร์ทเรียกแม่แบ๊งค์ออกไปคุยข้างนอกครับ แบ๊งค์ก็ได้แต่มองตาม ด้วยความอยากรู้ว่าพ่อพี่อาร์ทจะพูดอะไรกับแม่ของแบ๊งค์
“ไม่ต้องห่วงนะลูก พ่อเค้าไปคุยเรื่องของลูกนี่แหละลูกต้องหายนะ เรื่องค่าใช้จ่ายเดี๋ยวแม่ออกให้เอง” แม่ของพี่อาร์ทพูดครับ แล้วก้มลงจูบที่หน้าผากของแบ๊งค์เบา ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่าให้แบ๊งค์ต้องรบกวนคุณแม่เลย” แบ๊งค์กล่าวขอบคุณไปครับ
“ไม่เป็นไรหรอกลูก ยังไงลูกก็ต้องหายนะ” แม่พี่อาร์ทพูดครับ แบ๊งค์จ้องมองเข้าไปในแววตาของแม่พี่อาร์ท มันเป็นแววตาที่ดูอบอุ่น แต่ตอนนี้กลับมีน้ำใส ๆ เคลือบอยู่ ซึ่งน้ำใส ๆ นี้เตรียมที่จะไหลทะลักออกมาแล้ว แม่พี่อาร์ทเลยเดินหนีออกไปก่อน ราวกับว่าไม่อยากให้แบ๊งค์ต้องมาเห็นน้ำตา
“ไงไอ้ตัวเล็ก คราวนี้หมดลายเลยนะ” พี่ตั้มซึ่งปาดคราบน้ำตาออกไปหมดแล้วเข้ามาทัก
“หมดลายอะไรล่ะ ถ้าแบ๊งค์ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่นะแบ๊งค์จะไปคิดบัญชีที่พี่ตั้มคนแรกเลย” แบ๊งค์พูดครับ
“ยังไงก็พักผ่อนเยอะ ๆ นะแบ๊งค์พวกเรารอแบ๊งค์อยู่นะ” แมคพูดครับ
“อืม.....รอไม่นานหรอก เดี๋ยวแบ๊งค์ก็ออกโรงพยาบาลแล้ว” แบ๊งค์พูดปลอบทุกคน
“แล้วอย่าลืมคำพูดที่พูดไว้ล่ะ แบ๊งค์ต้องออกจากโรงพยาบาลไว ๆ นะแล้วเราจะพาแบ๊งค์ไปทัวร์จตุจักรให้ได้เลย” ปรินซ์พูดครับ
“ขอบใจนะ” แบ๊งค์กล่าวขอบคุณไป ตอนนี้แบ๊งค์เองก็เริ่มที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แล้วจู่ ๆ ไอ้กาวก็เดินเข้าห้องมาครับ ตอนนี้ตาของมันดูแดง ๆ พอแบ๊งค์มองไปที่มัน มันก็ยิ้มกลับมาให้แบ๊งค์ครับ
“เป็นอะไรไปกาว ตาดูแดง ๆ นะขี้แยจริง ๆ เลย นายคนนี้ ฮะฮะฮะ” แบ๊งค์พยายามฝืนหัวเราะ หากแต่ยามนี้ไม่มีใครคิดที่จะหัวเราะตามไปกับแบ๊งค์เลยแม้แต่คนเดียว
“กาว เข้ามายืนใกล้ ๆ แบ๊งค์สิ” พี่อาร์ทเรียกกาวเข้ามาครับ ไอ้กาวก็เลยเดินเข้ามายืนข้าง ๆ พี่อาร์ทที่ข้างเตียงของแบ๊งค์
“เมริงจะร้องไห้ทำไมวะ” แบ๊งค์พูดแล้วเอามือจับมือ ของไอ้กาวเอาไว้ ตอนนี้มันเริ่มกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้อีกรอบแล้วครับ มันก็เลยระเบิดออกมา มันร้องไห้ใหญ่เลย
“กาวไม่เอาน่า อย่าร้อง ร้องไห้มาก ๆ เดี๋ยวเมริงไม่หล่อนะเว้ย” แบ๊งค์พูด
“อืม.....กรูส์จะพยายามไม่ร้องนะเว้ย” ไอ้กาวพูดไว้แค่นั้น แล้วก็หนีออกไปนอนห้องอีกครั้ง
“พี่ว่าแบ๊งค์นอนก่อนดีกว่านะ” พี่อาร์ทพูดครับ
“อืมก็ได้........พี่อาร์ท” แล้วแบ๊งค์ก็เรียกพี่อาร์ทอีกรอบ
“ครับมีอะไรหรอ” พี่อาร์ทหันมามองหน้าแบ๊งค์
“ถ้าแบ๊งค์ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วอ่ะแบ๊งค์จะไปเสิร์ฟน้ำให้พี่อาร์ท ที่สนามบาสทุกวันเลยนะ” แบ๊งค์พูดครับ ไม่มีเสียงตอบจากพี่อาร์ท มีแต่น้ำตาที่ไหลออกมาจากตาของพี่อาร์ทแทนคำตอบ แล้วแบ๊งค์ก็ค่อย ๆ หลับไป
.
.
.
ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้ว สรุปว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดน่ะ พ่อกับแม่ของพี่อาร์ทจะเป็นคนออกให้ แม่แบ๊งค์ก็เลยขอบคุณพ่อกับแม่ของพี่อาร์ทซะยกใหญ่เลย เหมือนกับว่าแม่ของแบ๊งค์กับแม่ของพี่อาร์ท จะเข้ากันได้ดีด้วยนะ ดีใจจัง
.
.
.
“อะไรนะครับหมอ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ตรวจผิดรึเปล่า” เสียงพี่อาร์ทโวยวายครับ แบ๊งค์เลยค่อย ๆ ตื่นขึ้นมา ตอนนี้มีแค่พี่อาร์ท และกาวเท่านั้นที่เฝ้าไข้แบ๊งค์
“ตื่นแล้วหรอแบ๊งค์” กาวค่อย ๆ เข้ามาพยุงแบ๊งค์ให้ลุกขึ้นนั่งครับ
“มีอะไรหรอ” แบ๊งค์ถามกาวไป
“เอ่อ............” ไอ้กาวไม่ยอมตอบครับ
“มีอะไรกันหรอครับ คุณหมอ” แบ๊งค์เลยหนไปถามหมอแทน ส่วนพี่อาร์ทตอนนี้ ลงไปนั่งที่โซฟาอย่างไม่พอใจแล้ว
“คือผลตรวจเนื้อเยื่อของเพื่อนคุณทุกคนออกมาแล้วน่ะครับผลปรากฏว่าไม่มีใครเลย ที่มีเนื้อเยื่อตรงกับคุณ” หมอพูด
“อ่ะ.........หรอครับ ไม่เป็นไรครับ” แบ๊งค์พูด แล้วหมอก็เดินออกจากห้องไป
“พี่อาร์ท.....ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” แบ๊งค์พูด
“ก็จะให้พี่ไม่พอใจได้ยังไงล่ะ มีคนตั้งมากมายแต่มันจะไม่มีใครที่มีเนื้อเยื่อตรงกับแบ๊งค์เลยหรอ” พี่อาร์ทพูดอย่างไม่พอใจ
“คงจะเป็นเพราะความซวยของตัวแบ๊งค์เองก็ได้” แบ๊งค์พูด
“แบ๊งค์.......อย่าพูดแบบนั้นสิ” กาวห้ามครับ
“นี่ ๆ พี่อาร์ท กาว” แบ๊งค์เรียกทั้งสองคนครับ
“แบ๊งค์ขออกไปเดินเล่นข้างนอกได้มั้ยอ่ะอยู่ในนี้นาน ๆ แล้วมันเบื่ออะ” แบ๊งค์พูด
“แต่..........” พี่อาร์ทอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
“นะครับ ขอร้องล่ะ” แบ๊งคืทำท่าขอร้อง
“พี่อาร์ทครับ ให้แบ๊งค์ออกไปบ้างนะครับ “ กาวพูด
“อืม เอางั้นก็ได้” พี่อาร์ทพูด
“งั้นเดี๋ยวแบ๊งค์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” แล้วแบ๊งค์ก็ค่อย ๆ ลุกไปเข้าห้องน้ำ โดยมีพี่อาร์ทและกาวคอยพยุง
แบ๊งค์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ ตอนนี้แบ๊งค์ดูซูบผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด ผิวของแบ๊งค์จากที่เคยเป็นผิวสีออกน้ำตาลอ่อน ๆ ตอนนี้กลับกลายเป็นสีคล้ำซีด เฮ้อ~~~เปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ
แบ๊งค์ค่อยเดินออกมาจากห้องน้ำครับ เราสามคนเดินเล่นที่สวนหย่อมของโรงพยาบาล ก็เห็นคนไข้อยู่หลายคนเหมือนกัน ที่ออกมาเดินเล่นที่สวนหย่อมตรงนี้ ขณะที่เดินไป อยู่ ๆ แบ๊งค์ก็รู้สึกไม่มีแรง แล้วก็ล้มลงไป
“แบ๊งค์ แบ๊งค์” พี่อาร์ทประคองเอาไว้
“เดี๋ยวผมไปตามพยาบาลนะครับ” ไอ้กาวพูดแล้ววิ่งไป จากนั้นแบ๊งค์ก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย
***************************************