บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก]
หลังจากเหตุการณ์...วุ่นวาย ทำให้ชีวิตของผมยุ่งเหยิงมากขึ้นกว่าเก่า จากความเคยชินเก่าที่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อออกจากบ้านไปทำงานโรงครัว กลับต้องเป็น...
“แน่ใจหรือว่าจะไม่กินอะไรก่อน เป็นลมเป็นแล้งไปจะยุ่งนะ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นเจือไปด้วยความห่วงใยที่เอ่อล้น
มากเกินไปด้วยซ้ำ...
ผมฉีกยิ้มให้เขาแล้วส่ายหัวเบาๆ
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยไปกินที่โรงครัวทีเดียว”
“เช่นนั้นรึ...”
เขาพยักหน้าเข้าใจแล้วขยับเข้ามาใกล้อีกหน่อย
“เดินทางปลอดภัยนะ”
ไม่พูดเปล่า ยังประทับริมฝีปากอุ่นชื้นนั้นลงบนหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา
อึดอัดจังเลยน้า...
ผมฉีกยิ้มให้เขาแล้วเดินจากมาไม่ได้พูดอะไร
ทั้งๆ ที่เป็นคนสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรัก แต่พอต้องทำจริงๆ กลับไม่ง่ายเลย...ยาก จนผมเผลอถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ชาตินี้ผมจะรักเขาได้จริงๆ รึเปล่า
คำตอบก็คือ...ผมเองก็ไม่รู้
ยากจริงๆ ด้วยสิ
หลังจากตื่นขึ้นมาพร้อมกับความตื่นตระหนกและความปวดร้าวบริเวณสะโพก ผมก็ทำได้เพียงคลี่คลายสถานการณ์เฉพาะหน้าแล้วรีบบึ่งไปโรงครัวให้เร็วที่สุด ตะวันสายโด่งป่านนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะโดนก่นด่าไปมากแค่ไหน สำคัญที่สุดคือเมื่อคืนผมไม่ได้กลับบ้าน ไม่รู้ว่าอาม้าจะเป็นห่วงรึเปล่า
...
ก็คงไม่หรอก
ผมเร่งฝีเท้าขึ้นอีกหน่อย ไม่นานนักรั้วบ้านคุ้นตาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมรีบทักทายทุกคนแล้ววิ่งปรี่ไปโรงครัวให้เร็วที่สุด แน่นอนว่าคำแรกที่ต้องได้ยินก็คือ...
“ไอ้กร มาเอาป่านนี้ เอ็งไม่มาเอาชาติหน้าเลยล่ะ”
โดนแล้ว กูโดนแล้ว
แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือ...
“ขอโทษจ้ะน้าอิ่ม พอดีมันเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย”
แก้ตัวสิโว้ย อย่าไปยอมให้เขาด่าเราอยู่ฝ่ายเดียว แม้มันจะเป็นความจริงก็ตาม
หญิงวัยกลางคนปรายตามองผมแล้วเบ้ปาก
“แหม ปัญหาเรื่องผู้หญิงสิเอ็ง ลายพร้อยมาทั้งคอเชียวนะ”
สิ้นคำพูดของน้าอิ่มทุกคนในโรงครัวก็หัวเราะครืน แต่ผมนี่สิ...
อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้วโว้ย
“แม่อิ่มก็อย่าไปแซ็วมันมาก เพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่มก็แบบนี้แหละ”
สิ้นคำของบ่าวอีกคน ทุกคนก็พากันหัวเราะขึ้นมาอีกระลอกจนผมไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนจึงทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ แล้วเดินเข้าไปทำงานเนียนๆ
“ไม่ต้องเข้ามาแล้วโว้ย ไม่มีงานอะไรให้ทำแล้ว จะไปไหนก็ไป ไป๊”
คำขับไล่ไสส่งด้วยน้ำเสียงเอ็นดูเกินกว่าจะตำหนิของน้าอิ่มทำให้ผมยิ้มรับแล้วเผ่นแน่บออกมา
แหม ขืนอยู่ต่อไม่รู้ว่าจะโดนแซ็วว่าอะไรอีกบ้าง
ยังไงก็มีงานส่วนของตอนเย็นที่ต้องไปช่วยทำอยู่แล้ว ออกมาอู้นิดๆ หน่อยๆ ก็คงไม่เป็นไร ตำแหน่งงานที่ผมทำอยู่ตอนนี้จะบอกว่ามีประโยชน์ก็ไม่ใช่ ไร้ประโยชน์ก็ไม่เชิง เพราะสมัยที่อาเจ้ยังอยู่ ตำแหน่งของเจ้คือคนทำขนมซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญ แต่พอผมเข้ามาแทน ตำแหน่งนั้นก็ถูกโยกย้ายไปให้บ่าวคนอื่นทำแทน ทำให้ผมไม่มีหน้าที่อะไรมากนักนอกจากงานใช้แรงงานโง่ๆ อย่างปอกเปลือกผลไม้ แบกหามข้าวของ ไม่ก็ปรุงอาหารง่ายๆ เช่น คนน้ำแกงในหม้อไปเรื่อยๆ
หน้าตาผมคงดูเหมือนคนทำอาหารไม่เป็นล่ะมั้ง...ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงด้วย
วิชาคหกรรมก็คือวิชาคหกรรมไง มันเหมือนกับการทำอาหารจริงๆ ตรงไหนกันเล่า ยิ่งเป็นอาหารไทย ขนมไทยยิ่งแล้วใหญ่ ก็แหม ตอนเรียนวิชาคหกรรม ผมเรียนทำเบเกอรี่นี่นา
อนาถแท้ๆ
พอคิดถึงตรงนี้ผมก็หลุดขำออกมาซะอย่างนั้น
ได้คิดอะไรไร้สาระเสียบ้างก็รู้สึกดีเหมือนกัน
“หัวเราะอะไรหรือคะ”
เสียงร้องทักที่ดังขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ผมสะดุ้งโหยง เคราะห์ดีที่ยังไม่หลุดคำอุทานที่เป็นสิงสาราสัตว์ออกไป
คนที่ทักผมด้วยคำพูดแบบนี้ ไม่ต้องหันไปมองหน้ายังรู้เลยว่าใคร...
“คุณชื่นมาอ่านหนังสือในสวนอีกแล้วหรือครับ”
เธออมยิ้ม
“ค่ะ พอดีคุณพ่อท่านเพิ่งได้หนังสือมาใหม่จึงส่งมาให้สองสามเล่ม”
ผมเหลือบมองหนังสือเล่มหนาในมือเธอ มันเป็นหนังสือปกแข็งสีแดงเลือดหมู ความหนาชนิดฟาดหัวหมาแตก แถมดูแล้วไม่น่าจะใช่ภาษาไทย...
“คุณชื่นอ่านภาษาอังกฤษได้ด้วยหรือครับ”
เธอเอียงคอเล็กน้อย บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแปลกใจ
“ทำไมคุณถึงรู้ว่านี่คือภาษาอังกฤษหรือคะ”
วันนี้ขอเสนอคำว่า ‘ขุดหลุมฝังตัวเอง’
ผมยิ้มแห้ง
“พอดีว่า...ผมทำงานให้กับหมอฝาหรั่งน่ะครับ เลยพอจะเห็นผ่านตามาบ้าง”
เธอพยักหน้าเข้าใจ
“ค่ะ ชื่นอ่านหนังสือภาษาอังกฤษบ้าง ฝรั่งเศสบ้าง คุณพ่อท่านสอนให้ค่ะ ท่านบอกว่าความรู้จะช่วยพอกพูนคุณค่าในตัวเรา”
ทัศนคติดี เอาไปสิบคะแนน
ให้ตายสิ ยิ่งคุย ยิ่งรู้จักกับเธอมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างเรามากขึ้นเท่านั้น
เธอดีกว่าผมตั้งเท่าไหร่ เธอเหมาะสมกับเขามากแค่ไหน
ทำไมผมจะไม่รู้
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่มีสิทธิ์จะเอาความน้อยใจของตัวเองไปทำร้ายใครอยู่ดี
“คุณไปทำอะไรมาหรือคะ”
คำถามที่ขึ้นต้นมาดื้อๆ ทำให้ผมต้องจ้องหน้าเธอเขม็ง
หมายความว่ายังไงกันนะ
“ก็...คอของคุณ มีรอยเต็มไปหมด ราวกับโดนแมลงกัดอย่างไรอย่างนั้น”
โอ้โห บันเทิงไหมล่ะมึง
ผมคว้าหมับเข้าที่คอตัวเองหวังให้หลังมือช่วยปกปิดร่องรอยพวกนั้นสักนิดก็ยังดี
“ใช่แล้วครับ ผมถูกแมลงกัด ตัวลิ้นนี่กัดเจ็บนักเชียว”
ตามน้ำไปครับ ลอยไปเรื่อยๆ จนกว่าปลายทางจะเป็นน้ำตกแล้วตกลงไปตาย
เป็นบุญของผมอีกครั้งที่คุณชื่นเข้าใจโดยง่าย เธอเพียงพยักหน้ารับแล้วเตือนให้ไปหาหยูกยามาทา
แต่เดี๋ยวนะ...แบบนี้ก็หมายความว่าคุณชื่นไม่เคยมี...
เออ แต่ในยุคนี้ใครเขาจะไปมีอะไรกับใครก่อนแต่งกันล่ะ ได้โดนตราหน้าแย่
เมื่อหัวข้อสนทนาหมดลง ผมจึงเลิกที่จะบอกลา
“คุณชื่นมาคุยกับผมตามลำพังเช่นนี้เกรงว่าจะไม่งาม เช่นนั้นผมเห็นว่าผมควรรีบไปเสียดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้า จะเอาไปพูดไม่ดี”
ริมฝีปากบางนั้นอ้าออกจากกันเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง หากถูกใครบางคนขัดขึ้นเสียก่อน
“แม่ชื่นไม่ได้มาคนเดียว”
พวกเราสองคนหันขวับไปมองคนมาใหม่แทบจะพร้อมกัน คุณชื่นไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ ต่างกับผมที่พอได้เห็นหน้าชัดๆ แล้วก็อดค่อนแขวะไม่ได้
เฮอะ จะแต่งแล้วนิ ตามมาเฝ้า มาประคบประหงมกันแจเลยนะ
...
แขวะเอง เจ็บเอง ท่าจะบ้าแล้วมอสเอ๊ย
เขาเดินมายืนข้างๆ คุณชื่นแล้วเอามือไพล่หลัง
“อ๋อ คุณชื่นมากับคุณเปรมนี่เอง เช่นนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“จะรีบไปไหนล่ะ”
เสียงที่ดังขัดขึ้นนั้นทั้งทุ้ม ทั้งต่ำ แถมบรรยากาศก็ต่างจากปกติ
มันฟังดู...โกรธเกรี้ยวพิกล
สายตาของเขาจับจ้องที่ใบหน้าของผมก่อนจะผละไปมองบริเวณคอแค่แว่บเดียวแล้วกลับมาสบตาผมใหม่
อ๋อ อย่างนี้นี่เอง
ดี รู้สึกเสียบ้างก็ดี
“พอดีต้องไปช่วยงานในโรงครัวน่ะครับ”
นัยน์ตาดำขลับนั้นนิ่งสงบกว่าทุกที
ดี หึงเสียบ้างก็ดี
ให้ตายสิ...ผมนี่มันร้ายกาจเป็นบ้า
“งานในครัวเอาไว้ก่อนเถิด...”
เขามองหน้าผมแล้วกระตุกยิ้มเย็น
“ไปช่วยเรากับแม่ชื่นเก็บดอกไม้ในสวนหน่อยแล้วกัน”
ใจร้าย เขาใจร้ายกับผมขนาดนี้ได้ยังไงกัน
“เก็บดอกไม้หรือคะ?”
ใบหน้าน่ารักหันไปถามคนข้างกาย
ผมคาดหวัง...หวังให้เขาพูดคำว่า ‘พี่ล้อเจ้าเล่นน่ะแม่ชื่น’ ไม่ก็บอกว่าอยากไปกับคุณชื่นแค่สองคนหรืออะไรทำนองนั้นก็ได้
แล้วผมก็ผิดหวัง...
“ใช่แล้วจ้ะแม่ชื่น พี่จำได้ว่าน้องชอบดอกการเวกมิใช่รึ”
ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พยายามบังคับมือไม่ให้สั่น
“พี่เห็นว่าการเวกในสวนมันออกดอก เลยอยากพาน้องไปเก็บ พี่เห็นน้องเหงาเลยอยากพามาเดินเล่น”
เขาทำกับผมขนาดนี้ได้ยังไง...เขาทำลงได้ยังไง
ใบหน้าคมสันนั้นหันมาหาผมแล้วฉีกยิ้มเย็น
“ยืนนิ่งอยู่ทำไมเล่า ไปหยิบตะกร้ามาสิ”
มือผมเย็นเฉียบ ใจนึกอยากวิ่งหนีไปเสียให้พ้นๆ
แต่ก็ทำไม่ได้...
“ผมไม่ทราบว่าตะกร้าอยู่ไหนครับ”
เขาส่งเสีย ‘ฮึ’ อย่างดูแคลน
“ต้องรอให้เจ้านายบอกรึจึงจะหามาได้”
อ๋อ อย่างนี้นี่เอง
ผมสบตาเขานิ่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป รู้แต่เพียงว่าอยากมองหน้าคนใจร้ายแล้วสลักมันลงลึกในหัวใจ
ตอกความเสียใจนี้ลงไป ย้ำความเจ็บปวดนี้ลงไป
แล้วเลิกรักเขาเสียที
“ครับ รอผมสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะไปหาตะกร้ามาให้”
เขาฟังผมแล้วกระตุกยิ้มเย็น ไม่มีคำปลอบโยน ไม่มีรอยยิ้มปลอบประโลมใดๆ
แค่ยิ้มแล้วมองด้วยแววตาแข็งกร้าวแค่นั้น...แค่นั้นจริงๆ
ความรู้สึกเจ็บจนชามันเป็นแบบนี้นี่เอง
ภาพตรงหน้าของผมคือชายหญิงที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกกำลังเดินเคียงข้างกันด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
ไม่หรอก ก็ไม่ได้เปี่ยมสุขเสียทีเดียว
คุณชื่นดูมีความสุข แต่ไม่สุด คุณเปรมเองก็ดูพยายามมาก...มากจนไม่เป็นธรรมชาติ ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มของทั้งคู่ดูฝืดฝืนไปหมด คุณชื่นพยายามจะพยักหน้าและตอบทุกคำถามที่คุณเปรมตอบ แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่นิสัยของเธอ จากการได้พูดคุยกันโดยบังเอิญอยู่หลายครั้งทำให้ผมพบว่าเธอเป็นคนช่างซักช่างถาม ฉลาดเฉลียวและมีความคิดล้ำลึก แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่คนช่างตอบ หลายๆ ครั้งที่ผมถามเธอก็มักจะเงียบไปเสียเฉยๆ การต้องมาอยู่ในฐานะผู้ตอบคงทำให้เธออึดอัดไม่น้อย
คุณเปรมเองก็ไม่ต่างกัน คนๆ นั้นเป็นคนพูดเก่ง ขี้เล่นและมีฝีปากเป็นเลิศ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนหัวโบราณที่ยังเชื่อว่าลูกผู้ชายต้องนำความดีงามมาสู่ตระกูล ลูกผู้ชายต้องเป็นผู้นำในทุกสถานการณ์ เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่เปิดโอกาสให้คุณชื่นได้แสดงความเฉลียวฉลาดของตัวเองออกมา
เพราะแบบนี้เขาเลยไม่เปิดโอกาสให้คุณชื่นถามออกมามากนัก แถมท้ายด้วยการทำหน้าที่เป็นคนนำบทสนทนาอยู่ตลอดเวลา
เขากำลังใช้เพศสภาพและความเชื่อตัวเองกดให้ผู้หญิงฉลาดอย่างคุณชื่นอยู่ใต้เงา แต่คุณชื่นก็ดูไม่ใช่คนที่มีนิสัยยอมอยู่ใต้เงาของใคร
น่าสงสาร
นั่นเป็นคำเดียวที่ผมคิดออก พวกเขาทั้งสองคนดูเผินๆ แล้วเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก แต่ภายในแล้วคนสองคนนี้ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง คนหนึ่งหัวโบราณและยึดติดกับเพศสภาพของตน อีกคนหัวก้าวหน้าและพยายามไขว้คว้าหาจุดยืนของตน
พวกเขาจะมีความสุขในชีวิตคู่ได้ยังไงกันนะ
“แม่ชื่นชอบอ่านหนังสือรึ”
ผมหลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินคำถามที่เหมือนตัวเองเคยถามออกไปเมื่อไม่นานมานี้
คุณชื่นมีสีหน้าสดใสขึ้นเล็กน้อย
“ค่ะ คุณพ่อท่านสอนให้ชื่นเขียนอ่าน บอกว่าความรู้จักพอกพูนคุณค่าในตัวคน”
“เช่นนั้นรึ”
เขารับคำ
“แต่พี่เห็นว่าน้องเป็นหญิง การเขียนอ่านคงไม่จำเป็นขนาดนั้นกระมัง”
พูดเพียงแค่นั้นแล้วเบนหน้าหนีจนคุณชื่นหน้าเจื่อนลง
เธอคงรู้สึกแย่...แย่พอๆ กับผม
ทำไมกัน ทั้งๆ ที่เขาเคยชมผมว่าฉลาด เคยชื่นชมในความรู้ความสามารถของผม แล้วทำไมกับคุณชื่น...แค่เพราะเป็นผู้หญิงเหรอ
เขาดูถูกคุณชื่นเพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิงเหรอ
ให้ตายสิ ผมรักคนน่ารังเกียจแบบนี้ไปได้ยังไงกัน
“แต่ผมไม่คิดเช่นนั้นนะครับคุณเปรม”
เพราะความคิดน้อยที่ว่าผมควรทำอะไรสักอย่างทำให้คนทั้งสองหันมามองผมเป็นตาเดียว
คุณชื่นมีสีหน้าฉงน ส่วนคุณเปรมมีสีหน้าไม่พอใจ
ใครสนมันล่ะ
“การที่คุณชื่นมีความรู้ก็หมายความว่าคุณชื่นจะช่วยเหลือคุณเปรมได้ในอนาคต การมีภรรยาผู้เปี่ยมปัญญาย่อมดีกว่ามีภรรยาที่โง่เขลามิใช่หรือครับ”
เขาขมวดคิ้วยุ่งกว่าเก่า ในขณะที่บนใบหน้าน่ารักของคุณชื่นนั้นปรากฏรอยยิ้มบาง
เธอเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าจริงๆ ด้วย
ผมกำลังจะอารมณ์ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่า...
“มิมีใครสั่งใครสอนรึว่าอย่าสอดเรื่องเจ้านาย”
เอ้า ไอ้เหี้ยนี่ มึงเป็นเหี้ยอะไร ตัวๆ กับกูไหม อย่าคิดว่ารักกันชอบกันจะต่อยกันไม่ได้นะเฮ้ย อ๋อ ลืมไป...
เขาไม่ได้รักผมแล้วนี่นา
คนรักกันเขาไม่ทำร้ายกันแบบนี้หรอก คนรักกัน...เขาไม่ทำในสิ่งที่คนที่เขารักไม่ชอบหรอก
ผมกัดฟันทนคำแขวะแล้วฉีกยิ้มกว้างให้เขา
“สอนครับ คุณหมอที่ผมไปทำงานด้วยสอนมาดีทีเดียว แต่ติดที่ว่าผมเป็นคนไม่ดีเอง ขออภัยคุณเปรมด้วยนะครับ”
ผมจงใจพูดเหน็บแหนมให้เขารู้สึกรู้สาเสียบ้างว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่มีสิทธิ์ทำคนอื่นเสียใจ
และก็ได้ผลดีทีเดียว...
“อ๋อ เช่นนั้นเองรึ”
เขาตอบรับแค่นั้น แต่ผมแอบเห็นตาเขากระตุกพร้อมกับแววตามาดร้ายที่ส่งมาให้
โกรธอะไรล่ะพ่อคุณ มีสิทธิ์โกรธด้วยเหรอเราน่ะ
เขามองผมด้วยแววตาเยียบเย็นแล้วหันไปมองคุณชื่นด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“แม่ชื่นกลับไปรอพี่ที่เรือนก่อนนะ ประเดี๋ยวพี่จะใช้เจ้ากรไปทำงานที่เรือนเก็บสมุนไพรหน่อย”
ใบหน้าอ่อนหวานนั้นกดลงเล็กน้อยแล้วเดินจากไปพร้อมกับหนังสือในอ้อมแขน ไม่แม้แต่จะชายตามองตะกร้าดอกไม้ในมือผมแม้แต่น้อย
มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าเธอไม่ได้พอใจกับการเดินเล่นครั้งนี้เลย
น่าสงสารจริงๆ
“มองตามตาละห้อยเชียวนะ อยากได้รึ”
ผมหันขวับมามองคนถาม
“คุณพูดคำพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงกันคุณเปรม”
ผมมองเขาอย่างดูแคลน
“น่าสมเพชเกินไปแล้ว”
สิ้นคำพูดของผมร่างสูงใหญ่นั้นก็พุ่งเข้ามาราวกับสัตว์ร้าย ตรึงผมไว้กับต้นไม้ใหญ่ กดแน่นจนแผ่นหลังของผมแนบสนิทไปกับเปลือกไม้แข็งจนรู้สึกเจ็บแสบ
“คุณเปรม ผมเจ็บ!”
“เจ็บสิดี จะได้รู้เสียบ้างว่าคนอื่นเขารู้สึกอย่างไร”
ถ้าเป็นการ์ตูน ภาพของผมตอนนี้คงเป็นตัวละครที่หน้าแดงก่ำและกำลังมาควันพุ่งออกจากหู
ใช่ ผมโกรธเบอร์นั้นแหละ
“เป็นบ้าเหรอเปรม”
ความสุภาพมักแปรผกผันกับความโกรธ
“ผมไม่ยักจะจำได้ว่าคุณเคยเจ็บปวดกับเขาด้วย”
เขาบีบแขนผมแน่นขึ้นอีก แน่นเสียจนรู้สึกเหมือนกระดูกจะแหลก แต่ยังแน่นไม่พอที่จะทำให้ผมร้องขอให้ปล่อย
เอาให้ข้อมือหักกันไปข้างนึงนี่แหละดี
“ไม่เคยเจ็บปวดหรือ...”
เขาเหลือบมองคอของผมแล้วเบนกลับมาสบตาตามเดิม
“ต้องทนเห็นคนที่ตนพึงใจนอกกาย คงไม่เจ็บปวดเลยกระมัง”
ใจผมกระตุกวาบกับคำพูดนั้น
‘คนที่ตนพึงใจ’ ฟังกี่ทีก็อดใจเต้นไม่ได้เลยสิให้ตาย
แต่ผมไม่ได้นอกกายเขาสักนิด จะนอกกายได้อย่างไร ในเมื่อพวกเรา...ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย
“ผมนอกกายคุณตอนไหนหรือครับ”
“เช่นนั้นรอยนี้มันคืออะไร”
ผมแค่นหัวเราะ
“จะรอยอะไร เกิดจากใครมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณไม่ใช่เหรอครับ”
ผมหมายความตามที่พูด
เขาไม่เกี่ยว เราไม่เกี่ยวกัน แต่เหมือนเจ้าตัวจะยังไม่เข้าใจ
“กร อย่าท้าทายพี่”
แรงบีบที่ข้อมือผมแรงมากขึ้นอีก...แรงจนรู้สึกเหมือนกระดูกจะแหลกในไม่ช้า
แต่ผมเป็นพวกยิ่งห้ามยิ่งพยศเสียด้วยสิ
“ผมไม่ได้ท้าทายคุณเลยคุณเปรม ผมแค่พูดความจริง”
ไม่ว่าเปล่า ยังยกยิ้มท้าทายออกไปด้วย คงเพราะแบบนั้นอีกฝ่ายเลยเลือดขึ้นหน้ามากกว่าเดิม
“ได้...”
เขาสบตาผมนิ่ง ในแววตาดำขลับนั้นลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ
“เช่นนั้นพี่จะลบรอยทั้งหมดเอง”
ทันทีที่พูดจบเขาก็ทำท่าเหมือนจะซุกหน้าลงมาทำอย่างที่ปากว่าจริงๆ แต่ผมเองก็ยังเป็นคนธรรมดาที่มีสติรู้ผิดชอบชั่วดีว่านี่มัน...
กลางแจ้งเว้ย!
ยังไม่ทันที่เขาจะได้จรดริมฝีปากลงบนผิว เข่าของผมก็พลันแทรกเข้าตรงกล่องดวงใจเขาเต็มแรงจนเจ้าตัวทรุดลงไปกองกับพื้น
ผมมองสภาพอเนจอนาถนั้นแล้วแค่นยิ้ม
“คุณบังคับผมเองนะครับคุณเปรม”
ใบหน้าหล่อเหลาช้อนตามองผม
“ใจร้าย”
“ไม่เท่าคุณหรอกครับ”
เขาแสยะยิ้ม
“อย่างน้อยพี่ก็ไม่เคยไปมีอะไรกับคนอื่น”
“แต่กำลังจะมี”
เขาอ้าปากจะเถียง แต่ผมสวนขึ้นเสียก่อน
“หรือคุณไม่คิดจะมีลูกหรือครับ”
สิ้นคำพูดของผมเขาก็ยอมหุบปากลงแต่โดยดี
เห็นไหมล่ะ เขาเองก็คิดจะนอกกายผมเหมือนกัน เพียงแต่เขามีเหตุผลที่ชอบธรรมกว่าที่จะเอามาอ้างก็เท่านั้น
“เรื่องของเราให้มันจบเถอะครับ”
ผมก้มหน้าลงสบตาเขา
“มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
“ไม่มีทาง!”
“หรือคุณจะยอมบอกทุกคนว่าคุณไม่ชอบผู้หญิงล่ะครับ!”
ผมพยายามจะถ่ายทอดความโกรธเคืองด้วยเสียงที่เบาที่สุด อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่ในที่โล่งแจ้ง จะมาพูดตามใจคงไม่เหมาะ ขืนมีคนมาได้ยินคงไม่ดีต่อตัวพวกเราทั้งคู่
เขานิ่งเงียบไป ผมจึงได้โอกาสพูดต่อ
“ฟังนะคุณเปรม ตราบใดที่ผมยังไม่ใช่ที่หนึ่งของคุณ ตราบใดที่ความรักของเรายังเป็นเรื่องไร้สาระที่คุณเลือกจะตัดทิ้ง”
ผมสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติ
“เราก็ไม่มีวันรักกันได้ราบรื่นหรอก”
พวกเราสบตากันนิ่ง
“ความรักที่แหวกประเพณีมันยากนะคุณเปรม ถ้าใจไม่กล้าพอก็จบเถอะ รั้งกันไว้...”
ดวงตาของเขาฉายแววเจ็บปวดเหลือเกิน...เจ็บปวดเกินกว่าจะเสแสร้ง
“ก็เจ็บเปล่าๆ”
พวกเราทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ผมไม่ขยับตัว เขาเองก็ไม่ได้ขยับไปไหน ไม่แม้แต่จะพยุงตัวขึ้นจากพื้น จนในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นมา
“ไปอยู่หัวเมืองเถิด”
ฮะ?
ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“พี่จะยกเรือนให้น้องเรือนหนึ่งที่หัวเมือง น้องจะอยู่ที่นั่นอย่างสุขสบาย เมื่อพี่คิดถึงจะไปหา”
ถ้อยคำแต่ละคำที่เขาเอ่ยออกมาเหมือนมีดที่ค่อยๆ กรีดลงบนหัวใจของผม
ทีละนิด ทีละนิด
จนในที่สุดก็เป็นแผลเหวอะหวะ เขามองผมเป็นคนยังไงกัน แค่ได้เงิน ได้ทรัพย์สิน ก็จะยอมเป็น...เมียน้อย
ยอมที่จะทำลายชีวิตครอบครัวคนอื่นเชียวหรือ
ให้ตายสิ ผม...ผิดหวังในตัวเขาเป็นบ้า
เขาขยับตัวเข้ามาใกล้ผมอีกหน่อย
“พี่สัญญาว่าน้องจะอยู่อย่างสุขสบาย”
เขาวาดมือออกมาหวังจะดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด แต่ผมพูดสวนขึ้นเสียก่อน
“และไร้ศักดิ์ศรี”
เขาชะงักแขน นัยน์ตาดำขลับปรากฏแววงุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว
“แล้วต้องได้แค่ไหนน้องจึงจะพอใจ นี่พี่ก็ยอมให้น้องที่สุดแล้ว จะเอาอะไรอี...”
ผมทาบมือลงบนหน้าอกของเขา
“จะเอาแค่ตรงนี้”
ออกแรงกดลงไปอีกเล็กน้อย
“จะเอาความจริงใจ จะเอาหัวใจ จะเอาตรงนี้”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แต่คงไม่มีวันได้ เพราะถ้าคุณคิดจะจริงใจกับผม คุณจะไม่พูดคำพวกนั้นออกมา”
เขาระบายลมหายใจหนักๆ
“แล้วจะเอาอย่างไร ในเมื่อทั้งน้องทั้งพี่ก็รู้ว่าเรื่องที่เรากำลังทำมันผิดศีลธรรมจรรยาที่ดีงาม พี่ให้เจ้าได้เท่านี้ก็ดีถมเถแล้ว”
ผิดศีลธรรมจรรยาที่ดีงามเหรอ...
“ถ้ารู้ว่าผิดแต่แรก แล้วคุณจะเข้ามาหาผมทำไม”
เขาชะงัก
“ทีตอนที่อยู่อังกฤษไม่เห็นจะสนใจศีลธรรมจรรยา พอกลับไทยมีหน้ามีตาเลยต้องหลบซ่อนหรือครับ”
“ใครเล่าน้องเรื่องนี้!”
“จะสนใจทำไมว่าใครเล่า!”
ผมหอบหายใจหวังระงับอารมณ์
“สิ่งสำคัญคือคุณ ตัวคุณนั่นล่ะคุณเปรมที่ไม่กล้าจะยอมรับอะไรสักอย่าง แต่ผมก็เข้าใจนะ คุณมีหน้ามีตาที่นี่ มีพ่อมีแม่ต้องรักษาเกียรติ มีครอบครัว มีวงศ์ตระกูลที่ต้องเชิดชู คุณเลือกทำตามประเพณีน่ะดีแล้ว เพราะคุณจะได้ทุกอย่าง ทุกอย่างเลยคุณเปรม ทุกอย่างที่อยากได้ทั้งคำชื่นชม เกียรติยศ ศักดิ์ศรี”
ผมอมยิ้มบาง
“คุณแค่ไม่ได้ผมเท่านั้นเอง”
ผมเห็นเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ดวงตาฉายแววตกตะลึงปนเศร้าหมอง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมต้องหยุดพูด
“คุณจะบอกว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้นะคุณเปรม แต่บางคราวคุณก็ต้องลองถามตัวเองว่าผมจำเป็นต้องยอมคุณขนาดนั้นจริงหรือ แค่ผมไม่โวยวาย ไม่ต่อรองเรื่องคุณชื่นก็น่าจะมากพอแล้ว”
แววตาเขาสั่นระริก
“คุณลองคิดดูนะคุณเปรม ถ้าวันหนึ่งคนที่คุณรักกำลังจะแต่งงานกับคนอื่นแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือคุณ รั้งคุณเอาไว้แล้วบอกให้คุณมาเป็นน้อยเขา ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องยอมเลยสักนิด ความจริงแล้วคุณสามารถด่าสาดเสียเทเสียใส่คนๆ นั้นได้ตั้งแต่เขารั้งคุณไว้ด้วยซ้ำ แต่ทำไมผมจึงไม่ทำล่ะ”
ผมเอามือกดลงไปบนอกเขา
“เพราะผมรักคุณไง”
ผมรู้สึกว่าเสียงตัวเองเริ่มสั่นมากขึ้นทุกที
“ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ร่วมกี่เดือนมาแล้วคุณเปรม คุณไม่พูด ไม่อธิบาย ไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง คุณหึงผม คุณหวงผม คุณทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผม แต่แค่นั้นมันไม่พอสำหรับความรัก คนจะรักกัน เขาต้องนึกถึงกันให้มากๆ ไม่ใช่สักแต่ชอบ สักแต่หวง อย่างเมื่อครู่ก็เหมือนกัน ดูก็รู้ว่าคุณหึงผมเพราะรอยที่คอนี่ แต่ดูสิ่งที่คุณทำสิ ทำให้ผมเจ็บปวด ทำเพื่อความสะใจ บางคราวผมก็สงสัยจริงๆ ว่าตกลงคุณรักผมแน่รึเปล่า”
ผมยืนหอบเงียบๆ ส่วนเขาก็ไม่พูดอะไร ยิ่งเงียบ สถานการณ์ยิ่งกระอักกระอ่วนกว่าเก่า ผมเลยเลือกที่จะเดินจากมา ถ้าไม่ติดว่ามีแขนแกร่งรั้งผมเข้าไปแนบอกเสียก่อน
“พี่ขอโทษ”
น้ำเสียงนั้นอ่อนล้าแทบขาดใจ
“แต่พี่ไม่รู้ว่าพี่ควรทำอย่างไร เวลาหวง เวลาหึง พี่ก็ไม่รู้ว่าจะระบายออกมาอย่างไรดี”
เขาซุกหน้าลงที่ซอกคอของผม
“พี่อาจเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมบอกอะไรน้องเลย แต่น้องก็รู้ใช่ไหมว่าพี่รักน้องมากแค่ไหน พี่ทนเสียน้องไปไม่ได้”
ผมหลับตาลง
“คนรักกันเขาต้องปรารถนาให้คนที่เขารักมีความสุข พี่ก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนรักสามเส้า ถ้าพี่รักผมจริง พี่ก็ควรปล่อยผมไป”
พอพูดจบเขาก็ยิ่งซุกหน้ามากขึ้นไปอีก
“ใจเจ้า มิมีพี่อยู่ในนั้นแล้วรึ”
น้ำเสียงนั้นอ่อนระโหยโรยแรง เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เขาพยายามจะรั้งมันเอาไว้
รั้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้
ผมทาบฝ่ามือตัวเองลงบนหลังมือที่เกาะเกี่ยวเอวผมไว้แน่น
“จบกันด้วยดีเถอะคุณเปรม”
จบเถอะ
เราสองคนต่างกันเกินไป สำหรับเขาหน้าที่ เกียรติยศ ครอบครัวคือที่หนึ่ง สำหรับผมความสุขของตนสำคัญกว่าสิ่งใด อะไรที่ทำแล้วเจ็บ ผมไม่ทำ ใครที่รักแล้วต้องทน ผมก็ไม่รักเหมือนกัน
แต่ถึงจะพูดไปแบบนั้น ตัวผมเองก็รู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ได้ง่าย
ความรักไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมีตรรกะและเหตุผล บทจะรัก ต่อให้เลว ต่อให้ร้าย ก็รัก บทจะไม่รัก ต่อให้ดีแสนดี อย่างไรก็ไม่รัก
ถ้าเรารักใครสักคนได้ด้วยเหตุผลก็คงดี
ถ้าผมรักหมอได้เท่าที่รักคุณเปรมก็คงดี
*****************************************************************************
นิยายเรื่องนี้ จะ - จบ - แล้ว แหละ เย้!
ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ ชอบไม่ชอบยังไงสามารถติชมได้ตลอดเลยนะคะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เรามาจับงานเขียนเรื่องยาวอย่างจริงจัง แถมเป็นแนววายเรื่องแรกที่เริ่มเขียนด้วย ก่อนหน้านี้เราเขียนแต่เรื่องสั้น งานติสจ๋า งานแนวปรัชญาชีวิตใดๆ มาตลอด พอมาจับงานเขียนแนวธรรมดาเลยอาจจะมีอะไรที่ผิดพลาดไปบ้าง ไม่สนุกไปบ้าง (TwT) อ่านเข้าใจยากไปบ้าง ก็ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ สุดท้ายก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยน้า อยู่ด้วยกันไปจนถึงตอนจบเลยเน้อ