ลงทันปัจจุบันแล้วนะครับ
ต่อไปคงต้องรอแล้วพี่เคทเขียนแล้ว
*************************
บทที่ 23
“แล้วเขาซักถามอะไรคุณเพิ่มเติมอีกบ้างไหมครับ”
ผมถามเคนอย่างสงสัย เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว จากคำบอกเล่าของเคนมันทำให้ผมจับประเด็นได้ว่านายชาตรีกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง หรือว่า เขาระแคะระคายว่าผมกับเคนมีอะไรกัน เลยพยายามมาสืบดูให้รู้แน่ชัด แต่ที่ผมไม่เข้าใจว่าเขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
ถ้าเขารู้ว่าผมกับเคนมีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกต่อกัน เขาจะได้อะไรบ้างจากข้อมูลเหล่านี้ หรือว่าเขาต้องการแบล็คเมล์ผม จริงสิ เขาไม่ค่อยชอบหน้าเคนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจจะใช้เหตุนี้กลั่นแกล้งคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้าก็ได้ หรือบางที เขาอาจจะขอต่อรองเรื่องตำแหน่ง และเงินเดือน
นายชาตรีทำงานให้กับบริษัทเรามานานแล้ว ตั้งแต่สมัยพ่อผมยังคงเป็นประธานกรรมการบริษัท เขาหวังตำแหน่งงานที่สูงกว่าผู้จัดการ และเขารอมานานหลายปี ตอนที่พ่อผมยังดูแลอยู่ ได้มีการเสนอชื่อเขามาหลายครั้ง แต่พ่อผมยังไม่ตกลง เมื่อผมรับบริษัทมาจากพ่อ และได้พิจารณาความสามารถของนายชาตรีแล้ว ผมก็เห็นสมควรว่า ควรจะให้เขารอคอยต่อไป
อายุงานที่ผ่านมา กับประสบการณ์และความทุ่มเท มันไม่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดเท่าไหร่ บวกกับนิสัยใจคอของเขาที่ชอบดุด่าลูกน้อง ทำให้คนที่ทำงานด้วยอึดอัดใจ สิ่งเหล่านี้มันทำให้เขายังคงติดแหง่กอยู่ที่ตำแหน่งผู้จัดการ ไม่ได้ก้าวหน้าไปไหน ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนที่ทำงานพร้อมกับเขา กลายเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ หรือเลื่อนขั้นเป็นผู้อำนวยการไปหมดแล้ว
หากนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจมาสืบเรื่องราวของผมกับเคน เพื่อจะต่อรองบังคับผมให้เลื่อนตำแหน่งให้เขา นายชาตรีจะต้องพบกับความผิดหวัง ผมเกลียดเรื่องการแบล็คเมล์มาก และหากเขามาใช้วิธีนี้กับผม ผมจะไล่เขาออกทันที โดยไม่จ่ายเงินชดเชยให้แม้แต่บาทเดียว และถ้าเขาฉลาดพอ และรู้จักนิสัยผมดี เขาจะต้องไม่ทำอย่างนั้นอย่างเด็ดขาด
คำถามที่ว่านายชาตรี มาแถวนี้ทำไม มันยังคงรบกวนจิตใจผม เพราะผมหาคำตอบของการมาปรากฏกายที่นี่ของเขาไม่ได้ ผมรู้สึกสับสนในการกระทำของนายชาตรี บางสิ่งบางอย่างมันขัดแย้งกันเอง นอกจากเรื่องปรากฏกายที่นี่ที่ยังต้องการคำตอบ
ผมยังสงสัยด้วยว่า ทำไมเขาถึงเลือกวันนี้ ที่ผ่านมาตั้งแต่ผมคบกับเคน ผมแทบจะไม่ได้มาพักที่เพนเฮ้าส์เลยด้วยซ้ำ ถ้าจะดักรอผมเพื่อจะจับผิด เขาก็ต้องมารออยู่เป็นเดือน ทว่าจากที่ได้รู้จัก นายชาตรีไม่ใช่คนที่จะอดทนรออะไรในระยะยาวแบบนี้นี่นา หรือว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว ความที่อยากจะได้อะไรบางอย่างจากผม ทำให้เขาหาทางจับผิดให้ได้ ผมต้องหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่งั้นมันคงค้างคาใจผมไปตลอดแน่ๆ
“ไม่ได้ถามอะไรครับ เจอคำถามผมเข้าไป แกก็เลยไม่อยากคุย รีบร้อนกลับทันที”
“อือ ประหลาดจัง”
“เราสองคนเห็นจะต้องระวังตัวนะครับ ต่อไปคงอยู่ด้วยกันแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ”
--------------------
...............................................................
เฮ้ย....ได้ไงล่ะ ไม่เอานะ ทำไมเคนพูดแบบนั้น ผมไม่ยอมหรอก อุตส่าห์พยายามมาจนถึงขั้นนี้แล้ว และเคนก็ยอมผมตั้งมากมาย อีกไม่นาน ผมคงได้ทั้งตัวและหัวใจของเคนแน่ๆ
แต่ถ้าเลิกพบปะ เลิกอยู่ด้วยกัน แบบนี้ผมก็แห้วนะสิ ผมไม่ยอมให้ไอ้เจ้าผู้จัดการมาเป็นมารขัดขวางความรักของผมหรอก เขาอยากจะรู้ อยากจะสอดแนมก็ทำไปสิ ผมตั้งใจแล้วว่า ผมกับเคน จะไม่มีการปิดบังใคร ผมจะอยู่กินกับเขาอย่างเปิดเผย ขอแค่เคนยอมรับรักผมเท่านั้น
ตอนนี้ที่ผมยังไม่อยากกระโตกกระตาก บอกให้ใครรู้ เพราะผมกังวลใจเกี่ยวกับชื่อเสียงของเคนต่างหาก ในเมื่อเคนเองก็ยังไม่ยอมรับว่ารักผม และยอมอยู่กินกับผมฉันท์สามีภรรยา
การปกปิดเรื่องของเขาไม่ให้ใครรู้ จึงแฟร์กับเคนที่สุด หากวันข้างหน้าเคนอยากแต่งงาน จะได้ไม่มีใครรู้ว่าเคนของผม เคยเป็นของผู้ชายด้วยกันมาแล้ว
“ไม่นะครับ ผมไม่ยอมหรอกนะ ถ้าจะต้องให้เลิกอยู่ใกล้กับเคน ผมคงอกแตกตายพอดี ทุกวันนี้ แค่เห็นหน้าเคนในที่ทำงาน ผมก็เกือบอดใจไม่ไหวแล้ว อยากกอดอยากจูบ อยากแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เวลาเห็นหนุ่มๆ หรือสาวคนไหนมองคุณ ผมแทบจะคลั่งเลยรู้ไหม
อยากจะตรงเข้าไปแทรกกลาง แล้วบอกว่า เลิกยุ่งกับสามีของผมได้แล้ว แต่ผมก็ทำไม่ได้ ได้แต่ฮึดฮัดโมโหคนเดียว ถ้าคนเพียงคนเดียว มายุ่งเกี่ยว แล้วทำให้เราต้องเลิกกัน ผมคงฆ่าคนๆนั้นแน่”
ผมโวยวายใส่เคนยกใหญ่ ที่เขาพูดแบบนั้น น่าแปลกที่เคนไม่ได้นึกโกรธผม เขามองหน้าผม แล้วก็หัวเราะ สงสัยคงเห็นผมเป็นตัวตลกแหงๆ
“ท่านประธาน เคยมีอารมณ์แบบนั้นด้วยเหรอ ไหนเคร่งครัดกฎหนักหนาไงครับ ว่าไม่มีเรื่องชู้สาวในที่ทำงาน เห็นรักษาภาพพจน์ออกจะตาย”
นั่นไง ว่าแล้ว เขาต้องขำผมเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ๆ ก็จริงนะ ผมพยายามไม่ให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียแบบเรื่องชู้สาว หรือสมภารกินไก่วัดในที่ทำงาน ผมว่ามันจะทำให้เสียการปกครอง แต่ในกรณีของเคนนี้ ผมทำใจลำบากจริงๆ คงเป็นเพราะผมรักและหวงเขามากนั่นเอง
“เคนน่ะ....หัวเราะผมทำไมกัน..... เพราะคุณนั่นแหละ ที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ คุณทำให้ผมแทบคลั่งตายรู้ไหม ผมไม่เคยรักใครเท่าคุณมาก่อนเลยนะ ถ้าผมเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง คุณจะต้องรับผิดชอบชีวิตผมด้วย ได้ไหมครับ....”
ฮิฮิฮิ โมเมเสียเลย ไม่รู้ล่ะ ตั้งใจไว้แล้ว ว่ายังไงเสีย เคนก็จะต้องเป็นของผม ดังนั้นไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล วิธีไหนก็ตาม ที่จะได้เคนมาร่วมชีวิตด้วย ผมทำทั้งนั้น ต่อให้ต้องขู่ ต้องปลอบ หรือออดอ้อนก็ตาม ก็ผมรักของผมนี่นา
แค่มองตาก็รู้ว่าคนนี้แหละใช่เลย คนที่ผมตามหามานาน ยิ่งได้ใกล้ชิด ได้รู้จักนิสัยใจคอ ผมก็คิดว่าเคนคือคู่แท้ของผม ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับเขา คนอย่างเคนไม่ใช่จะหาได้ง่าย มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะปล่อยให้คนดีๆแบบเคนหลุดมือ
เคนต้องแต่งงานอยู่กินกับผม ใครที่มาเป็นตัวมารคอยขัดขวาง จะต้องเจอดีทุกรายไป ไม่เว้นแม้แต่พนักงานที่ทำงานให้บริษัทมานานอย่างนายชาตรีด้วย ยิ่งมาทำพฤติกรรมสอดรู้สอดเห็นแบบนี้ ยิ่งต้องจัดการซะก่อนจะมาทำเรื่องเสียหายให้กับผม
--------------------
“อ้าว โทษผมเสียแล้ว ที่จริงถ้าเคลวินไม่มายุ่งกับผมตั้งแต่แรกก็คงไม่มีปัญหา ไม่ต้องมาหลบซ่อนแบบนี้นะครับ”
“ใครบอกล่ะ ผมไม่เคยคิดว่าการได้รู้จักคุณ จะนำความเดือดร้อนมาให้นะ ตรงข้าม ผมกลับคิดว่ามันเป็นโชคมากกว่า ที่ทำให้ผมได้เจอคุณ และได้ครองรักกันอย่างทุกวันนี้”
ผมเห็นเคนขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนจะขำคำพูดผม ผสมกับอารมณ์หมั่นไส้ เขาคงคิดในใจว่าผมนี่ช่างกล้าพูดเสียจริงว่าเราครองรักกัน มันเป็นการโมเมของผมข้างเดียวมากกว่า
เคนยังไม่ได้ตกลงปลงใจอะไรด้วย ผมแค่อาศัยความใจกล้าน่าด้านทึกทักเอาเอง ซึ่งที่ผมทำแบบนี้เพราะมีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น ด้านได้อายอด ผมรักเขาและต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เคนตกลงปลงใจกับผมให้ได้
“โมเมอยู่เรื่อยเลย เห็นไหมครับ เพราะเคลวินเอาแต่ใจตัวเอง เลยทำให้ชีวิตเราสองคนยุ่งยาก คราวนี้จะทำไงดีล่ะครับ หากว่าคุณชาตรี แกระแคะระคายเรื่องนี้ และอยากสืบดูให้รู้ชัด เราสองคนไม่แย่เหรอ ผมน่ะไม่เท่าไหร่ เคลวินจะโดนหนักนะ เพราะคุณเป็นเจ้าของบริษัท มายุ่งกับลูกน้องแบบนี้ มันไม่เหมาะสม อาจจะเสียการปกครองในภายหลังได้นะครับ”
คำพูดของเคนนั้นถูกต้องทีเดียว การที่ประธานบริษัทมีอะไรกับพนักงานตัวเอง ก็ไม่ต่างอะไรกับสมภารที่กินไก่วัด คนอื่นรู้เข้า ก็มีแต่จะก่อให้เกิดการนินทาว่าร้าย ดีไม่ดี พนักงานใต้ปกครองจะสิ้นความนับถือเอา
แต่ผมเป็นคนไม่แคร์อะไรอยู่แล้ว ผมไม่คิดว่าการมีอะไรกับลูกน้องเป็นเรื่องที่ผิด เพราะผมไม่ได้มีนิสัยเห็นแก่ได้ เอาเปรียบลูกน้อง และไม่คิดที่จะให้ตำแหน่งหน้าที่การงาน รวมถึงผลตอบแทนจำนวนมาก เพื่อปรนเปรอคนที่ผมนอนด้วย
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมมีจิตปฏิพัทธิ์กับพนักงานในบริษัทของตัวเอง ก่อนหน้านั้น ผมจะมีแฟนที่เป็นคนภายนอกบริษัท ก่อนที่จะหยุดเรื่องนี้และหันมาเอาดีเรื่องการทำงานอย่างเดียว และความสัมพันธ์ที่ผมเป็นคนเริ่มต้น มันมีพื้นฐานมาจากความรักในตัวของเคนอยู่ก่อนแล้ว
ดังนั้นผมไม่สนใจว่าใครจะนินทาว่าร้ายอะไร จะให้ผมยกย่องเคนเป็นสามีของผมวันนี้พรุ่งนี้เลยก็ได้ ผมยินดีประกาศให้ทุกคนรู้ หากเคนยินยอมพร้อมใจที่จะอยู่กับผม เคนผ่านด่านทดสอบไปหลายเรื่องแล้ว เขาไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน ไม่ขายตัวเพื่อให้ตัวเองมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น เขาไม่หลงในสิ่งที่ผมให้กับเขา มีแต่จะโกรธด้วยซ้ำถ้าผมหยิบยื่นอะไรให้
เขาเป็นคนรักงานการ ขยัน อยากไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จด้วยความสามารถของตัวเองมากกว่าจะเป็นการผลักดันจากผู้มีอำนาจในบริษัท และที่สำคัญเขาใจดีและอ่อนโยนมาก ไม่เคยคิดร้ายกับใคร สิ่งเหล่านี้ชนะใจผม จนไม่คิดว่าจะยอมเสียเขาไปเพื่อแลกกับหน้าตาตัวเอง
“ช่างปะไร ใครจะคิดยังไงก็ช่าง แต่ผมไม่มีวันเลิกกับเคนนะครับ”
นี่คือเจตนารมย์ของผม
“ถ้ามันจำเป็นก็ต้องเลิกนะ ผมไม่อยากให้เคลวินมัวหมองเพราะผม”
เคนยังคงห่วงใยคนอื่นมากกว่าตัวเองเหมือนเดิม ผมดีใจนะที่เขาห่วงผม
--------------------
“ไม่เห็นจะต้องกลัวนี่ครับ ผมยินดีเผชิญกับทุกสิ่ง ผมรักคุณด้วยความบริสุทธิ์ใจ ถ้าเราเลิกกันก็แปลว่าเรายอมแพ้ให้กับความคับแคบในจิตใจคน อย่างนี้ดีแล้วหรือครับ”
ผมตอบอย่างดื้อรั้น
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ เคลวิน คุณจะถูกพนักงานของตัวเองนินทานะ”
“เรื่องอะไรล่ะครับ เรื่องที่มาหลงรักลูกจ้างตัวเองงั้นเหรอ ทำไมล่ะ ลูกจ้างไม่ใช่คนหรือไง ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะมีตำแหน่งเป็นอะไร ถึงแม้จะเป็นยามบริษัท แต่ถ้าหากผมรักคุณ ผมก็จะอยู่กับคุณให้ได้”
“แหม ฟังแบบนี้ มันก็น่าปลื้มใจอยู่หรอกนะครับ แต่เคลวินต้องเข้าใจนะครับว่า ชีวิตคนมันไม่ใช่นิยาย น้อยคนจะรับได้กับความสัมพันธ์ที่เราเป็นอยู่นะครับ”
เคนทำท่าอ่อนอกอ่อนใจที่ผมไม่รับฟังอะไรง่ายๆ
“ก็ช่างปะไร รับไม่ได้ ไม่อยากร่วมงานในบริษัทผมก็ออกไปสิ”
ตอบไปอย่างพาลๆ
“อย่าพูดอย่างนั้นนะครับ คนเป็นประธานบริษัทคิดแบบนี้ ไม่ได้นะ บางทีเราอาจจะต้องเสียสละความสุขของตัวเอง เพื่อที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จนะครับ”
“จะพูดไงก็ช่าง ผมไม่อยากปีนขึ้นไปปักธงชัยบนยอดเขาเพียงลำพัง อยากมีคนข้างๆที่จะคอยแสดงความยินดีกับผม และคนคนนั้นก็คือเคนคนเดียวเท่านั้น”
ผมยืนกรานความคิดของตัว เคนส่ายหน้า ท่าทางกลุ้มอกกลุ้มใจกับความคิดของผม
“เฮ้อ เป็นประธานที่ดื้อจริงๆ”
“เพิ่งรู้หรือครับ น่าจะรู้ตั้งนานแล้วนะ ถ้าผมไม่ดื้อ คงไม่ตื้อให้คุณรับรักผมแบบนี้หรอก ผมอาจจะประสบความสำเร็จด้านเจรจากับนักธุรกิจมากมาย แต่ผมไม่สามารถโน้นน้าวใจเคนได้เลย เมื่อไหร่จะใจอ่อนยอมแต่งงานกับผมซะทีล่ะ”
กลับเข้าเรื่องเดิมอีกครั้ง ผมถือคติว่า น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน หัวใจอ่อนๆของเคนเมื่อเจอการตื้อของผม น่าจะหลงคารมกันบ้างล่ะน่า
..............................................
...........................................................
“เอ๋...คุยเรื่องคุณชาตรีอยู่ดีๆ ทำไมวกมาเรื่องนี้ล่ะ ไม่เอาๆเปลี่ยนเรื่องดีกว่า”
“แหม เคนอ่ะ พอจะพูดเรื่องแต่งงาน ก็เลี่ยงทุกที ก็ได้ ยังไม่พูดวันนี้ เอาไว้พูดวันหลัง ก็ยังไม่สาย วันนี้คุยเรื่องแก้ปัญหาคนคอยจับผิดกันก่อน ในความคิดของผมนะ ถ้าเราสองคนแต่งงานกัน ทุกอย่างก็จบ ไม่มีใครมาวุ่นวายกับเราอีกแล้ว”
ถึงจะเปลี่ยนเรื่อง ผมก็ดันกลับเข้ามาในประเด็นเดิมจนได้ เคนเกาหัวแกรกๆ คนซื่ออย่างเขาไม่ทันนักธุรกิจนักเจรจาต่อรองอย่างผมได้หรอก ความจัดเจนมันต่างกัน
“อ้าว สุดท้ายก็ลงแบบนี้จนได้ เคลวินช่วยเป็นงานเป็นการหน่อยได้ไหมครับ”
“ก็นี่แหละ เป็นงานเป็นการที่สุดแล้ว ผมกำลังหาวิธีการแก้ปัญหาไง”
“ทำแบบนี้ได้ซะที่ไหนล่ะ ผมไม่ได้อยากแต่งงานกับเคลวินนะครับ”
สามีของผมปฏิเสธ ทำเอาผมหน้าจ๋อย ดูสิ เรามีอะไรกันถึงขนาดนี้แล้ว เขายังไม่ยอมผมอีก จะให้ผมตื้อไปถึงไหนกัน
“เคนใจร้ายกับผมมากเลย”
ผมทำน้ำเสียงห่อเหี่ยว ท่าทางของผมคงเหมือนคนสิ้นหวังมาก มันคงไปกระทบกับจิตใจที่ขี้สงสารของเคน เพราะผมได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ
“ผมยังไม่คิดอะไรตอนนี้นะครับ อยากทำงานก่อน”
นี่เป็นการบ่ายเบี่ยงที่สุภาพของเขาแล้ว แม้มันจะหมายถึงคำว่าไม่ แต่ก็ช่วยให้ผมมีกำลังใจขึ้นมาเป็นกอง ผมหวังต่อไปในอนาคตว่า เมื่อเคนทำงานจนประสบความสำเร็จ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ เคนอาจจะมีเวลาคิดและทบทวนเรื่องราวของเรา และหากผมยังมั่นคงต่อเขา ไม่เปลี่ยนแปลง เคนอาจจะเห็นความดีของผมบ้างก็ได้
“ครับ ผมจะรอนะ”
ผมมองเขาทำตาเป็นประกายเว้าวอน และได้เห็นความหวั่นไหวในดวงตาของเขา ความใจอ่อนของเคนอาจจะช่วยให้ผมสมหวังได้ในที่สุด
“สำหรับเรื่องของคุณชาตรี ผมจะลองสืบดูนะ ผมจะแกล้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องที่เขามาป้วนเปี้ยนแถวบริษัท คุณจะได้ไม่เดือดร้อน ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขามาจับผิดเราหรือเปล่า และถ้าใช่อย่างที่เราสงสัย ผมจะเรียกเขามาคุยนะครับ”
“แล้วระหว่างนี้ เราควรจะห่างๆหันดีไหมครับ เคลวินก็ไม่ต้องไปหาผมอีก เผื่อเขาสะกดรอยตาม”
“ไม่ครับ ทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเด็ดขาด แหม รีบไล่ส่งผมเลยนะ รังเกียจผมเหรอ ไม่อยากเห็นหน้าผมอีกแล้วใช่ไหม”
ต่อว่าเขาอย่างงอนๆ ถึงแม้ผมจะผ่านเรื่องที่หนักหนาสาหัสมามากกว่านี้ แต่กับเรื่องละเอียดอ่อนเช่นความรัก ผมก็ค่อนข้างอ่อนไหว คนที่เคยชนะอะไรต่ออะไรมามากมาย ก็อ่อนแอเป็นเหมือนกัน
“เปล่าครับ อย่าคิดมากสิ แค่ไม่อยากให้คุณเดือดร้อน ถ้าคุณชาตรีสืบเรื่องของเราสองคนจริงๆ เขาต้องส่งคนมาสะกดรอยตามดูคุณแน่ ผมอยากให้คุณระวังตัวนะครับ”
“ถ้าเป็นเรื่องแค่นี้ ก็ไม่ต้องห่วงครับ ไม่มีใครสะกดรอยตามผมได้หรอก ผมมีผู้ช่วยเยอะ ห่วงแต่เคนนั่นแหละ จะอึดอัดไหม ถ้ามีคนตามสืบเรื่องของเราจริงๆ”
--------------------
ถามออกไปด้วยความห่วงใย ผมรอบจัดเพียงพอที่จะเอาตัวรอดได้ และความที่เป็นถึงประธานบริษัท นายชาตรีคงไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งให้ผมรู้ตัว เพราะนั่นย่อมหมายถึงอนาคตทางการงานของเขา แต่กับเคนซึ่งเป็นเพียงแค่พนักงานคนหนึ่ง อาจจะถูกตรวจสอบและติดตามได้ง่าย
ยิ่งเคนเป็นคนซื่ออยู่ด้วย เขาอาจจะเสียรู้ให้กับคนที่สอดรู้สอดเห็นก็ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นด้วยกับความคิดของตัวเองที่ว่า หากเขากับผมแต่งงานอยู่กินด้วยกัน ก็จะขจัดปัญหาทุกอย่าง และไม่มีใครนินทาว่าร้ายเขาด้วย ถึงจะมีก็คงไม่กล้าพูดให้เขาได้ยิน ก็สามีประธานบริษัทนี่นะ ใครจะกล้าพูดวิพากษ์วิจารณ์เราสองคนล่ะ
“ไม่รู้ครับ ผมเองก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นยังไง”
ท่าทางเขาคงยังไม่คิดเตรียมการรับมือกับเรื่องนี้ น่าสงสารเขาจัง อยู่ดีๆก็ถูกลากเข้ามาให้เจอกับเรื่องวุ่นวายต่างๆ เป็นความผิดของผมแท้ๆทีเดียว แบบนี้คงต้องชดเชยให้เขามากๆแล้ว
“ยังไงเราสองคนก็ต้องพยายามต่อสู้นะครับ เพื่อที่เราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ผมไม่อยากให้เคนอึดอัด แล้วทิ้งผมไป ผมคงตายแน่ๆถ้าไม่ได้อยู่กับเคน”
ผมพูดออดอ้อนเขา อยากให้เขารับรู้ความรู้สึกของผม และร่วมสู้ไปด้วยกัน เคนยิ้มให้ผมเหมือนจะขำ สักพักก็ทำหน้าดุ
“คนป่วยอะไรเนี่ย พูดมาก ไม่เห็นไอเลย หายไข้แล้วใช่ไหมครับ”
โอ้ย...ลืมเลย มัวแต่ตื่นเต้นกับข่าวที่ได้ยิน กับกลัวเขาเปลี่ยนใจไม่คบผมต่อ เลยพูดออกมาเป็นชุด เคนเลยจับได้ว่าอาการของผมเริ่มจะดีขึ้นบ้างแล้ว
“ไม่นะ ยังไออยู่เลย แค้กๆๆๆ...เจ็บคอด้วย ...ตัวก็ยังร้อนอยู่เลยครับ ดูสิ”
เพื่อยืนยันว่ายังไม่หายป่วย ผมจึงไอโขลกๆ พลางดึงมือของเคนมาแตะที่หน้าผากของผม และทำท่าทางเหมือนคนป่วย คราวนี้ เคนหัวเราะก๊าก เขารู้ว่าผมโกหก แต่ก็ไม่ยักจะโกรธ กลับขำผม...อา...ชอบจัง เคนหัวเราะแล้ว เขาหัวเราะให้ผม รัก...หน้าตาแบบนี้ของเขาจัง รักเคนที่สุดเลย
“เคลวินเจ้าเล่ห์ตลอดเวลาเลยนะครับ ผมคงไม่ต้องห่วงคุณแล้วกระมัง เก่งแบบนี้ คงช่วยเหลือตัวเองได้แน่ๆ”
“ห่วงเถอะนะครับ ที่จริง ผมไม่ได้เหมือนอย่างที่คุณเห็นนะ ร่างกายภายนอกอาจจะแข็งแรง แต่ที่จริงอ่อนแอมาก โดยเฉพาะหัวใจ มันต้องการคนดูแลที่เก่งๆ เคนช่วยเป็นคุณหมอโรคหัวใจของผมได้ไหมครับ ได้ยาชูกำลังจากเคน รับรองผมต้องหายแน่ๆ”
อ้อนเข้าไปอีก น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน หัวใจของเคนที่อ่อนอยู่แล้ว คงต้องหวั่นไหว และรักผมได้สักวัน ก็ผมอุตส่าห์ลงทุนทำตัวน่ารักกับเคนแล้วนี่นา เคนจะใจแข็งเมินเฉยต่อผมก็เกินไปแล้ว
“ผมไม่ถนัดดูแลคนไข้เจ้าเล่ห์หรอกครับ ไม่ได้เรียนมา ถ้าให้เป็นหมอผีก็ได้ เคลวินนะผีสิงบ่อย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ผมไล่ผีให้เอาไหม”
หลังจากที่เคนหยุดหัวเราะผม เขาก็แซวผมกลับ ผมยิ้มแก้มแทบปริที่ได้ยินเขาโต้ตอบด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าอบอุ่นแบบนี้ ชอบบรรยายกาศตอนนี้จังเลย เคนเลิกระวังตัวกับผม และยอมพูดเล่นกับผมแล้ว อยากให้ตัวเองป่วยตลอดไป เคนจะได้พูดดีๆ และดูแลผมทุกวัน
--------------------
“เคนจะใช้อะไรรักษาผมหรือครับ ควายธนู หรือข้าวสารเสกล่ะ ผมไม่กลัวหรอกนะ”
นึกสนุกบ้าง เลยพูดโต้ตอบกลับ
“แหมรู้ดีจัง รู้จักการไล่ผีไทยด้วยหรือครับ ถ้าไม่กลัวงั้นเอาแบบนี้ ใช้สายสิญจน์มัด แล้วจับถ่วงน้ำดีไหมครับ”
“หือ...แค่เคนใช้ความรักผูกมัดผม และขังเอาไว้ใน 4 ห้องหัวใจของเคน ผมก็ไปไหนไม่ได้แล้วครับ ยอมศิโรราบ สิ้นฤทธิ์ทันที ไม่หลอกหลอนอีกต่อไป แต่จะทำแค่หลอกให้เคนรักผมเท่านั้น”
พูดแล้ว ผมก็ทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตา ยกสองมือขึ้น แล้วยื่นมาที่คอของเคน ทำท่าเหมือนผีจะบีบคอ เคนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก หน้าตาของเขาดูสดใสมาก จนผมอดใจไม่ไหว ต้องดึงเขาเข้ามาหาผมบนเตียง แล้วกอดเขาไว้แน่น
“แต่ผมหลอกไม่เก่งนะ ต้องหัดอีกเยอะ ถึงจะหลอกให้เคนรักผมได้ ยกเว้นแต่พ่อหมอจะสงสารเห็นใจ เลี้ยงผีตัวนี้ไว้ใกล้ ๆ คอยดูแลรับใช้ เป็นทาสรักของหมอ”
ผมกระซิบเสียงอ่อนหวานข้าง ๆ หูเคน และจูบแก้มเขาอย่างรักใคร่ เคนนั่งนิ่งไม่ขยับ เขาปล่อยให้ผมกอด และจูบเขาตามสบาย ใจผมพองโตคับอก นี่เคนคงใจอ่อนให้กับผมมากแล้วกระมัง เขาถึงไม่ขัดขืนอะไรเลย
ดีจัง อีกไม่นาน ผมกับเขาคงได้แต่งงานอยู่กินด้วยกันแน่ๆ คิดแล้วก็ให้สุขใจไม่น้อย ตอนนี้ผมก็ได้แต่หยอดไปเรื่อย ๆ พร้อมกับการรอเวลาให้ความฝันผมเป็นจริง
“จะทานข้าวได้หรือยังครับ โจ๊กจะเย็นหมดแล้วนะ หรือจะให้ผมเอาไปอุ่นให้ใหม่”
เคนพูดขึ้น ผมเลยนึกขึ้นได้ว่า เขาเอาอาหารเช้ามาให้ผมทาน แต่ผมมัวแต่สนใจเรื่องประเด็นที่เขาเล่าให้ผมฟัง เลยไม่ได้สนใจที่จะทาน เคนเลยวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง แล้วคุยกับผม ตอนนี้มันคงจะเย็นแล้ว เพราะสัมผัสกับความเย็นในห้องนอนของผม เขามองหน้าเพื่อรอคำตอบ ผมจึงพยักหน้าแล้วอ้อนต่อ
“ป้อนให้หน่อยนะครับ คุณหมอ”
สามีของผมยิ้ม แล้วดึงมือผมออกจากการกอดรัดเขา แล้วลุกไปที่โต๊ะที่วางโจ๊กเอาไว้ ก่อนจะเดินกลับมานั่งบนเตียง แล้วใช้ช้อนตักโจ๊กยื่นมาป้อนผม ตาของเราประสานกัน ผมเห็นความอ่อนโยนในนั้น มันทำให้ผมสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ผมอ้าปากรับโจ๊กกลืนลงคอ มันเย็นจริงๆด้วย แต่ทว่าผมกลับอบอุ่นในหัวใจ
“ทานยาแล้วก็นอนพักหน่อยนะครับ”
เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะที่ยื่นน้ำและยามาให้ หลังจากผมทานโจ๊กจนหมดเกลี้ยงถ้วยแล้ว ผมทำท่าจะงอแง แต่เขาทำหน้าดุใส่
.............................................