Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)  (อ่าน 21155 ครั้ง)

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


สัมผัสรัก คดีพิศวง
เมื่อวิญญาณอย่างผมต้องกลายเป็นผู้ช่วยจำเป็น เพื่อแลกกับพร 1 ข้อ ภารกิจพิเศษจึงเริ่มขึ้น
by Subyo
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2020 02:32:04 โดย Sub_yo »

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง
«ตอบ #1 เมื่อ05-09-2017 22:54:43 »

วิณณ์ หรือ ผู้กองวิณณ์

นายตำรวจหนุ่มไฟแพงอนาคตไกลของกรมตำรวจ ไม่ว่าจะคดียากแค่ไหน วิณณ์สามารถจัดการได้หมด วิณณ์มีและน้องสาว 1 คน ชื่อ ดาริน พ่อของวิณณ์จากไปตั้งแต่เขายังเด็ก พ่อของเขาเป็นตำรวจเหมือนกับเขา หรือจะเรียกให้ถูก วิณณ์ตัดสินใจเป็นตำรวจตามพ่อเขานั่นเอง ด้วยเหตุผลลึกๆ ที่วิณณ์ตัดสินใจเป็นตำรวจก็เพราะสืบหาการตายของพ่อ  เพราะแม่รู้เหตุผลในข้อนี้ ถึงได้พยายามคัดค้านไม่อยากให้เขาเป็นตำรวจ  ต้องเสียพ่อไปคนหนึ่งในหน้าที่ แม่ก็ไม่อยากจะเสียลูกไปอีกคนเหมือนกัน แต่ผลสุดท้ายแม่ก็ไม่สามารถห้ามเขาได้ และสิ่งที่แม่ทำได้ก็มีเพียงให้กำลังใจเท่านั้น


ตะวัน

เป็นเด็กหนุ่มที่สดใสร่าเริง ใครอยู่ใกล้ก็มีแต่ความสุข  แต่เมื่อตะวันผิดหวังจากความรัก จากที่คิดว่าเขาโชคดีที่เจอคนที่ดี ที่รักและเข้าใจกันมาตลอดแต่ไม่ใช่  อารมณ์ชั่ววูบทำให้เขาตัดสินใจทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง แต่เมื่อคิดได้ก็สายไปแล้ว ตะวันไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เขาเหลือเพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณ แม่ผู้เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขาจะต้องเศร้าเสียใจแค่ไหน คนที่จากไปอย่างตะวันได้แค่มองดู

แต่แล้วเหมือนโชคชะตาเล่นตลก มนุษย์โลกยังต้องทำดีเพื่อสะสมบุญ นรกกับสวรรค์ก็เช่นกัน เมื่อเขาได้รับโอากาสอีกครั้ง โอกาสที่เขาจะกลับไปเริ่มใหม่ เป็นมนุษย์อีกครั้ง 


และเมื่อคนกับวิญญาณต้องมาร่วมมือกัน ความหฤหรรษ์จึงบังเกิดขึ้น


ปฏิบัติการ 100วัน กับภาระกิจ 10 ข้อ เพื่อพร 1 ข้อ จึงเริ่มขึ้น

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1

เอี๊ยด !!!



โครม !!!



เสียงเบรกที่ลากมายาว พร้อมเสียงล้อรถเบียดบนถนน พร้อมร่างของใครคนหนึ่งลอยละล่องตกลงมา

เขามุงดูอะไรกัน แล้วใครกันนอนอยู่ตรงนั้น คนถูกรถชนเหรอ ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ผู้ชายที่ใส่ชุดนักศึกษานอนอยู่บนถนนพร้อมกองเลือดมากมายรอบตัว เมื่อมองดูดีๆ เนคไท เข็มขัดเหมือนชุดนักศึกษามหา’ลัยผม เด็กมหา’ลัยผมเหรอ ใครกันนะผมรู้จักไหม



‘ยังเด็กอยู่แท้ๆ ไม่น่าตายเลย’

‘ฉันเห็นเขาเดินลงมาบนถนน’

‘ฆ่าตัวตายเหรอ’

‘มีใครแจ้งตำรวจหรือยัง’




คนที่มุงดูต่างวิพากษ์วิจารณ์  ไม่นานรถพยาบาล รถอาสาต่างกรูกันเข้ามาพร้อมอุปกรณ์การแพทย์ที่ขนลงมาเพื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนั้น ผมยังไม่กล้าเข้าไปดูใกล้ๆ เพราะผมกลัวเลือดแล้วเหตุการณ์ที่มีคนตายต่อหน้าผมก็เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก แต่ที่ผมยังยืนอยู่เพราะคิดว่าอาจจะรู้จักถ้าเขาเป็นเด็กมหา’ลัยผม อย่างน้อยผมก็อาจจะแจ้งมหา’ลัยให้ตามหาญาติเขาได้

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ดูชัดๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใคร ผมก็รู้สึกถึงลมแรงๆ ที่พัดผ่านหน้าไปและเหมือนจะพัดตัวผมให้ออกห่างจากตรงนั้นไปด้วย นี่ผมตัวเบาขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วทุกอย่างตรงหน้าก็เปลี่ยนไปจากที่ผมยืนอยู่บนถนนที่มีรถพลุกพล่าน คนมากมายที่ยืนดูอุบัติเหตุเมื่อกี้ก็หายไปหมด สถานที่ที่ปรากฎตรงหน้าตอนนี้เป็นทุ่งหญ้าที่มองไปจนสุดลูกตาก็ไม่สิ้นสุด ดอกหญ้าหลายสี หลายพันธ์ ต้นไม้เล็กใหญ่ เป็นสถานที่ที่พาให้อารมณ์ช่างสงบสุขที่สุด
 

‘นายตะวัน’
 

เสียงใครกันที่เรียกผม ผมไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้น แล้วเสียงมาจากไหน ใครกันที่เรียกผม ผมหันซ้ายแลขวา แล้วสายตาต้องมาหยุดอยู่ที่ภาพตรงหน้า ผู้คนมาจากไหนมากมายแล้วเขากำลังจะเดินไปไหน พวกเค้าใส่ชุดที่เหมือนกัน  ชุดสีขาว แล้วผมก็ได้ยินเสียงอีกครั้ง

 
‘นายตะวัน จงตามเรามา’
 

ผมมองเห็นผู้ชายในชุดสีขาวตรงหน้าที่กำลังเรียกชื่อผม ผมเดินไปตามเสียงเรียกนั้น พวกคุณที่เดินอยู่กำลังจะไปไหนเหรอ แล้วผมกำลังจะไปไหน ผมพยายามเปล่งเสียงแต่กลับเหมือนไม่มีใครได้ยินเสียงผม แม้แต่ผมเองก็เหมือนได้ยินเสียงตัวเองอยู่แต่ในความคิด ปากผมไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย ผมเดินมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายทางที่เราเดินแล้วก็เจอทางแยกออกเป็นหลายทาง แล้วผมควรจะไปทางไหนละ ซ้าย กลาง หรือขวา
 

‘นายตะวัน เดินมาข้างหน้า’

ใครนะเรียกผมอีกแล้ว ผมพยายามเพ่งมองแต่ก็ยากลำบากเหลือเกิน แสงจ้าสีขาวช่างแสบตา ผมมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ความรู้สึกของผมรับรู้ได้ว่าคนที่อยู่ภายใต้แสงสีขาวนั้นช่างยิ่งใหญ่ น่าเกรงขามเหลือเกิน แต่เขาคือใครกันละ แล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน ผมจะกลับบ้านยังไงป่านนี้แม่เป็นห่วงผมแย่แล้ว
 

‘หึหึ เจ้าเป็นห่วงแม่งั้นรึ แล้วตอนแรกทำไมไม่คิดให้เยอะก่อนจะทำละ’

 
หะ ผมทำ? ทำอะไร ผมจำได้ว่าผมเดินไปบนถนนกำลังจะกลับบ้านนะ แต่อยู่ๆ ผมกลับมาโผล่ที่นี่

 

‘นี่เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกรึ เจ้าอยากรู้ใช่ไหม เจ้าเป็นอะไร มาที่นี่ได้อย่างไร และที่นี่คือที่ไหน’

 

ผมพยักหน้าและแล้วภาพตรงหน้าก็ปรากฎต่อสายตา  ผมเอง เป็นผมเองที่กำลังเดินอยู่บนนถนนเส้นนั้น ถนนเส้นที่ผมเจอเด็กหนุ่มนอนจมกองเลือดอยู่เพราะถูกรถชน เสื้อผ้า การแต่งกายของผมทำไมดูเหมือนเด็กผู้ชายคนนั้น แล้วผมมาเดินอะไรตรงนี้ละ ไม่ใช่ทางกลับบ้านผมด้วยซ้ำ แต่ผมก็จำไม่ได้จริงๆ ว่าเพราะอะไรผมถึงมาอยู่ตรงนี้ ทำไมละผมมาทำอะไร และระหว่างที่ผมสงสัยคิดใคร่ครวญ ภาพตรงหน้ายังคงฉายไปเรื่อยๆ

เป็นผมเองที่เดินลงไปบนถนนถึงแม้รถจะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ด้วยถนนที่ว่างทำให้แต่ละคันใช้ความเร็วกันเต็มที่ ผมเดินลงไปอย่างตั้งใจ พร้อมรถคันนั้นที่วิ่งเข้ามาอย่างเร็ว แต่เหมือนในเสี้ยววินาทีหนึ่งผมเกิดเปลี่ยนใจพร้อมหันตัวกลับออกจากถนน แต่ด้วยความเร็วของรถที่วิ่งมา เขาคงเบรคไม่ทัน หักหลบไม่ได้ เสียงเบรก เอี๊ยดดดดด และ โครมมมมม

ร่างลอยละลิ่ว และตกลงบนถนนพร้อมกองเลือดที่ไหลเป็นทาง   เด็กผู้ชายคนนั้นที่ผมเห็นคือ   ผมเอง



น้ำตาไหลรินอาบหน้า  นี่ผมทำอะไรลงไป ผมฆ่าตัวตายเหรอ  อ่า ใช่แล้ว สุดท้ายผมก็นึกออก ผมเดินออกมาจากคอนโดสุดหรูที่หนึ่งด้วยจิตใจทื่ท้อแท้และสิ้นหวัง เพราะภาพของคนรักตัวเองที่กำลังอยู่กับใครอีกคนที่ไม่ใช่ผม พร้อมคำพูดที่ทำให้ชีวิตของผมสิ้นหวังจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่


เราเลิกกันเถอะ เพราะผมไม่ได้เป็นคนที่ใช่สำหรับเขาอีกต่อไป



1 ปีที่รักกันมา จากเด็กมหา’ลัยซนๆ บ๊องๆ คนหนึ่ง เฮฮากับเพื่อนไปตามประสาเรียนบ้างไม่เรียนบ้าง แล้วชีวิตผมก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อพี่เดินเข้ามาในชีวิต คนที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เป็นคนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของพี่ ให้สมกับพี่ที่ผมรัก ‘พี่ดิน’

นึกแล้วก็ขำตัวเอง ผมขำทั้งที่น้ำตายังไหลลงมาไม่ขาดสาย ผมอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง อยากจะทำตัวให้ดีให้คู่ควรเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง และก็ยอมทิ้งชีวิตตัวเองให้ตายก็เพื่อผู้ชายคนนั้นคนเดิม

ภาพตรงหน้าตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว แม่ของผม เธอกำลังร้องไห้ปานจะขาดใจ ที่นั่นคงเป็นโรงพยาบาลซินะ ผมตายแล้วใช่ไหม แม่คงมารอรับผมแน่ๆ มารอรับศพลูกชายคนนี้ที่ไม่เอาไหน เอาชีวิตของตัวเองมาทิ้งเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง แม่จะเสียใจไหม เสียใจมากไหม


ที่ลูกชายของแม่ รักผู้ชาย จนยอมทิ้งชีวิตตัวเองไป

 

‘เป็นอย่างไร เจ้าเห็นแม่ของเจ้าแล้วใช่ไหม’
(เห็นแล้วครับ ผมเห็นแล้ว ผมสงสารแม่) ต่อให้ผมร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดแม่ก็ไม่สามารถรับรู้



‘มนุษย์บนโลกนี่ก็แปลกตอนมีชีวิตไม่รู้จักรักชีวิตตัวเองให้มากๆ แต่พอสูญเสียกลับมาเสียดาย ตอนมีชีวิตความดีก็ไม่ทำ มีคนที่รักก็ไม่ดูแล ยอมทำอะไรเพียงเพื่อคนที่ผ่านเข้ามาไม่นานในชีวิต ละทิ้งคนที่ดูแลมาตั้งแต่วันแรกของชีวิต’
(ผมขอโทษ)  นั่นคือคำพูดที่ผมเปล่งออกมาได้เท่านี้ ผมอยากขอโทษแม่ ลูกคนนี้มันเลวจริงๆ



‘หึหึ มาพูดเอาตอนนี้ เจ้าคิดว่าแม่ของเจ้าจะได้ยินงั้นรึ แต่ก็เอาเถอะ อาจจะเป็นคราวโชคดีของตัวเจ้าเองก็ได้ จริงๆ แล้วเจ้าเองยังไม่ถึงที่ตาย ร่างกายก็ยังไม่แหลกสลายแค่อยู่ในสภาวะด่ำดิ่งลงสู่จิตใต้สำนึก ทำให้วิญญาณออกจากร่างและกลับเข้าร่างไม่ได้’
(ผมยังไม่ตาย งั้นผมก็กลับไปหาแม่ได้ใช่ไหมครับ)

 

‘ได้   แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะเจ้าทำผิดคิดฆ่าตัวตาย บาปกรรมมันหนักหนานัก ถึงแม้ร่างจะยังอยู่ เป็นวิญญาณรอเพียงเวลากลับเข้าร่าง แต่เจ้าก็ต้องชดใช้ในบาปกรรมนั้น’
(ชดใช้?  ชดใช้ยังไงครับ)

 

‘ในเวลา 100วันนี้ เจ้าต้องช่วยวิญญาณที่ผ่านเข้ามาขอความเป็นธรรม ทำให้วิญญาณเหล่านั้นปลดเปลื้องจากพันธนาการและได้ไปเกิด  เมื่อเจ้าทำครบ 10 ครั้ง เจ้าจะสามารถขอพรได้ 1 ข้อ’
(1 ข้อ)

 

‘ใช่ แม้จะเพียง 1 ข้อ แต่พรข้อนั้นเจ้าจะขออะไรก็ได้ แม้จะขอชีวิตของคนตายให้กลับคืนมา’
(จริงหรือครับ แล้วผมต้องทำยังไงครับ)



‘หึ หึ หึ  แล้วเจ้าจะรู้เอง ไปได้แล้ว’
(เดี๋ยวครับ ท่าน เดี๋ยวครับ ผมต้องทำยังไง ผมเป็นวิญญาณแบบนี้ ผมจะไปทำอะไรยังไงได้ครับ)
 

แล้วแสงสีขาวตรงหน้าค่อยๆ วูบดับลง แล้วผมต้องทำยังไงละ รู้แค่ต้องทำความดี 10 ข้อเพื่อพรเพียง 1 ข้อ แต่เป็น 1 ข้อที่แสนวิเศษมากมาย แม้แต่ชีวิตของคนตายก็ขอให้ฟื้นคืนมาได้ ผมจะขอให้ชีวิตผมฟื้นคืน ผมอยากไปกอดแม่ ทำทุกอย่างให้แม่ทั้งที่ผมไม่เคยทำให้เลย และผมอยากจะรักตัวเองให้มาก ชดเชยกับที่ผมได้ละทิ้งชีวิตของตัวเองไป ผมต้องทำยังไงละครับท่าน ช่วยบอกผมอีกนิดเถอะครับ
 

‘เจ้ามาจากที่ใด จงกลับไปที่นั่นเถิด แล้วจะได้พบคนที่สามารถช่วยเจ้าได้’
 

รู้ตัวอีกทีผมก็กลับมาอยู่ ณ จุดเดินที่ผมจากมาเมื่อกี้ แต่ตอนนี้ไม่เหลือร่องรอยอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะผู้คนมามุงดู คราบเลือดที่แห้ง หรือแม้แต่ร่างของผม เหลือเพียงแต่สีขาวที่ถูกพ่นไว้บนถนน คงเป็นของผมนะแหละ

เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีสิทธิพิเศษถูกจารึกเป็นจิตรกรรมพ่นสีบนถนนกับเขาด้วย

“ตัวจริงดูดีกว่าเป็นไหนๆ” 
หึ หึ เหลือแค่วิญญาณที่ไร้ร่างยังจะมามัวทำตลกอยู่อีกไอ้ตะวันเอ้ย ผมนั่งลงทอดตัว ทอดใจ ทอดความคิด และพลางย้อนให้กลับไปให้คิดถึง  ดช.ตะวัน  นายตะวันหรือไอ้ตะวัน  อะไรก็ช่างเหอะ ตะวันที่เคยสนุกสนาน เฮฮา มีเพื่อนมากมาย เช้าไปเรียน เย็นกลับบ้าน มีเพื่อนที่ดี มีบ้านที่อบอุ่น แต่เมื่อมีพี่เข้ามาในชีวิต ผมกลับยอมทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้ข้างหลัง ค่อยๆ ห่างจากเพื่อน ไม่เหลียวแลแม่ปล่อยให้ท่านเหงาอยู่ตามลำพัง ผมมัวแต่สนใจ ใส่ใจ ดูแลคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในชีวิต แล้วไงละ  สุดท้าย ผมก็กลายเป็นหมาถูกทิ้งตัวหนึ่งเหมือนกัน

“ฮ่าาาาา”  ผมหัวเราะเยาะในความโง่ของตัวเอง ผมสัญญากับตัวเองแล้ว นับแต่นี้เมื่อผมปฏิบัติภารกิจเสร็จและขอพรได้ตามที่ต้องการ ผมจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองและครอบครัวของผม ผมจะไม่ยอมให้เกิดความผิดซ้ำสองแน่ๆ
 

ว่าแต่ท่านแสงสีขาวก็ไม่ได้บอกผมด้วยว่าใครจะเป็นคนมาช่วยผม ผมจะหาได้จากที่ไหน แค่บอกว่าผมจะเจอคนที่ช่วยผมได้  ตอนนี้ผมก็กลับมาแล้วไง ทำไมไม่เห็นใครซักคน แล้วจะเจอได้ยังไง แม้แต่เงาหมาซักตัวยังไม่มีเลย
 

“ไม่นะๆ ท่านคงไม่หลอกผมใช่ไหม TT_TT”  จากที่วนๆ เวียนๆ อยู่หลายชั่วโมง วนเวียนเหรอ ผมพูดเหมือนผีเลย แต่ผมก็เป็นผีนี่หว่า แล้วโลกของวิญญาณมีการนับเวลาด้วยหรือเปล่านะ

เออ ช่างเถอะ เอาเป็นว่าจากการที่นั่งสังเกตการณ์อยู่ วิญญาณอย่างผมคนมองไม่เห็น มันก็ต้องแบบนั้นป่าวหว่า ผมเป็นผีนี่  คิดไปคิดมาผมคงเป็นผีที่ต๋องชะมัด

ตอนนี้ผมให้ความสนใจกับจิตรกรรมสีสเปรย์บนพื้นอีกครั้ง ผมเลยเข้าไปดูใกล้ๆ รถมากมายหลายคันเล่นผ่านตัวผมไป พวกเขาคงไม่รู้สึกด้วยซ้ำ ผมทะลุผ่านรถพวกนั้น เห็นคุณพ่อขับรถและมีคุณแม่เล่นกับลูก  ผู้หญิงผู้ชายที่เป็นแฟนกัน เพื่อนที่อาจจะเพิ่งกลับปาร์ตี้ และอีกมากมาย

 

“เป็นผีนี่ก็ดีแหะ จะทำยังไงก็ตายได้แค่ครั้งเดียว”
.
.
.
.
.
.
.
ปรี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!





---ทอร์ค---

เป็นนิยายเรื่องใหม่ที่อยากให้ลองอ่าน ติชมกันได้นะคะ อยากให้มีหลายอารมณ์ในเรื่องนี้ รัก เศร้า บู้ (ฮ่าาาาา  จะได้ไหมอีกเรื่อง)

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง
«ตอบ #3 เมื่อ05-09-2017 23:30:29 »

ติดตามค่ะ มาอัพบ่อยๆนะคะ ชอบแนวนี้ อิอิ

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1

เสียงดนตรี…………………….


“เฮ้ย!!!!” 


เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดด



วิณณ์หักรถหลบเข้าข้างทางเพราะเขาเห็นว่ามีคนยืนอยู่บนถนน เมื่อรถจอดสนิทเขารีบปลดเข็มขัดเพื่อลงมาดูว่าคนนั้นจะเป็นอะไรไหม เพราะคิดว่าต้องโดนชนแน่ๆ แต่ก็ไม่ยักมีเสียงอะไรบ่งบอกว่าเขาชนหรือทับคนคนนั้น หรือว่าเขาจะหลบทันนะ 

“คนบ้าอะไรวะมายืนบนถนนกลางค่ำกลางคืน ซวยจริงๆ เล้ย”

เมื่อวิณณ์ลงมาดูเขาก็ต้องแปลกใจ ไม่มีใครเลย ไม่เห็นแม้แต่สิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่แถวนี้ 

“อะไรวะ ก็เห็นว่ามีคนยืนอยู่”  วิณณ์ยังคงบ่นพึมพำกับตัวเอง วิณณ์ไม่คิดว่าเขาตาฝาด เขาเห็นคนยืนแน่ๆ เด็กหนุ่มผู้ชายผิวขาว ยืนอยู่บนนถนนที่เอาแต่เหม่อมองพื้นถนน แต่เขาก็กลับมาคิดว่าถ้าเขาชนจริงๆ ก็ต้องมีเสียงซิ แต่นี่กลับไม่มีเสียงอะไรที่บ่งบอกว่าเขาชนหรือทับคนคนนั้น หรือว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะหลบทันนะ ถ้าหลบทันแล้วไปอยู่ไหนละ

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”  ผมหันไปตามเสียงที่ได้ยิน

“เอ้า ผู้กอง มาทำอะไรตรงนี้ครับ แล้วนี่กำลังหาอะไรอยู่ครับ”

“จ่าเติม  เออ  ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่ลงมาดูอะไรนิดหน่อยนะ ขอบคุณมาก”

“งั้นผมไปนะครับ ผู้กองก็รีบกลับบ้านได้แล้วครับ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน”

“อืม ขอบคุณจ่า จ่าเองก็ไปพักเถอะ” 

พูดเสร็จจ่าเติม ก็ขับรถออกไป ผมลองเดินดูรอบๆอีกที เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตรงนั้นจริงๆ ผมก็ตัดสินใจกลับขึ้นรถและเพื่อขับรถกลับบ้าน วันนี้ผมเหนื่อยมาทั้งวันเพราะต้องไปปฏิบัติภารกิจล่อซื้อเพื่อจับเครือข่ายยาบ้า ไอ้พวกยาบ้านี่ก็ไม่หมดไปซักที จับเท่าไหร่ก็ยังไม่สามารถสาวถึงตัวการได้ คิดแล้วก็เหนื่อยจับได้แต่พวกลูกกระจ๊อกทั้งนั้น ผมขับมาเรื่อยๆ วันนี้ผมกลับมาบ้านสวนมาหาแม่และน้องสาว ในหนึ่งอาทิตย์ผมจะมีหนึ่งวันที่ได้หยุดและไม่ต้องเข้า สน. นั่นทำให้ผมสามารถกลับบ้านสวนได้อาทิตย์ละหนึ่งครั้งเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่ปกติวันทำงานผมจะนอนที่คอนโด เพราะใกล้ สน. ไม่ต้องเดินทางไกล และที่สำคัญไม่ต้องรีบตื่นเช้า

และเมื่อผมเลี้ยวรถเข้ามาจอดในรั้วบ้านสีขาว บ้านหลังนี้มีแม่และน้องสาวอยู่ ส่วนผมก็อย่างที่บอกไปๆมาๆ ครอบครัวเรามีกันอยู่สามคน พ่อผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ 15ปี และน้องผมตอนนั้นก็น่าจะประมาณ 9 ขวบ พ่อผมเสียชีวิตในหน้าที่ ใช่ครับพ่อผมเป็นตำรวจและตอนนี้ผมก็เจริญรอยตามพ่อ ผมสอบเข้าโรงเรียนตำรวจและได้เป็นตำรวจอย่างใจคิด  แม้จะถูกคัดค้านจากทั้งแม่และน้องสาวตั้งแต่เริ่ม แต่ผมไม่ยอมหรอก มันคือความฝันของผมและผมมีเหตุผลของผมที่ต้องการเป็นตำรวจ

เมื่อจอดรถนิ่งสนิทดี ผมก็หยิบของโน่น นี่ นั่น ก็ของฝากของคุณผู้หญิงทั้งสองนั่นแหละครับ แล้วก็มีสาวน้อยนางหนึ่งมาทำหน้าที่พนักงานต้อนรับได้เป็นอย่างดี


“พี่วิณณ์มาแล้ววว พี่วิณณ์มาแล้วคะแม่......
สวัสดีคะผู้กอง วันนี้ท่าทางฝนจะตกผู้กองกลับบ้านได้” ดารินน้องสาวผมเองครับ สาวน้อยที่น่ารักน่าชังของผม ตอนนี้เริ่มจะกลายเป็นผู้หญิงขี้บ่น และเป็นแม่คนที่สองของผม

“มานี่เลยยายตัวแสบ มาช่วยพี่ถือของเลย”

“เรื่องซิ ตัวเป็นพี่นะ มาใช้น้องได้ยังไง”

“จะเอาไหมของฝาก” ผมพูดพร้อมยกถุงแกว่งไปมา ดูซิจะทำยังไงของโปรดทั้งนั้นเลยนะนั่น

“เย้……” แล้วน้องผมก็วิ่งมาอย่างไว หึหึ บอกแล้วยังไงเธอไม่พลาดหรอก ของโปรดเธอก็ทุกอย่างที่เป็นเค้กนะแหละครับ

“อ้าว สองพี่น้องยืนทำอะไรกัน วิณณ์เข้าบ้านก่อนลูก ยายดารินด้วยช่วยพี่เขาถือของแล้วก็เข้าบ้านได้แล้ว”

“สวัสดีครับแม่”  ผมเข้าไปกอดแม่ หอมซ้ายหอมขวา “คิดถึงจัง”

“ชิส์  เอาหน้า แหวะ”  ดารินเดินทำเชิดหน้าใส่ผมก่อนจะเข้าบ้านไป ทั้งแม่และผมต่างส่ายหน้าพร้อมกัน ดารินก็แบบนี้แหละครับด้วยความเป็นลูกสาวและน้องคนเล็กเธอได้รับการสปอยพอสมควร แต่ดารินเป็นเด็กดีครับไม่เคยทำให้แม่และผมผิดหวัง ถึงแม้จะแก่นเซี้ยวไปบ้าง เห็นแบบนี้ดารินเรียนอักษรศาสตร์ปีสองแล้วนะครับ เพราะเธออยากเป็นครู ผมก็แอบคิดในใจ จะมีนักเรียนกี่คนที่จะถูกยายดารินฆาตกรรมไหม ผมไม่อยากจับน้องสาวตัวเองนะ ฮ่าาาาาาาา

ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากกินมื้อเย็นกับแม่และน้องสาวเสร็จ และออกมานั่งกับทั้งคู่ที่ห้องนั่งเล่น พวกเราคุยกันไปเรื่อยเปื่อย เรื่องที่ทำงานผมบ้าง เรื่องที่มหา’ลัยของดารินบ้าง เรียนอะไร เป็นยังไง ส่วนแม่ก็คอยฟ้องผมเรื่องความแสบซ่าของน้องสาวตัวแสบ ถึงแม้ครอบครัวเราจะมีกันแค่นี้ แต่ผมก็รักผู้หญิงสองคนนี้ ผมสบายใจทุกครั้งที่ได้กลับมาบ้านสวน ไม่ว่าจะเจองานที่หนักหรือยากแค่ไหน เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมกลับมาที่นี่ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังและเมื่อผมกลับไปเผชิญหน้ามันอีกครั้งดูเหมือนเรื่องพวกนั้นมันขี้เล็บมากๆ

พวกเรานั่งคุยกันอยู่นานจนแม่ผมเริ่มง่วง เลยขอตัวไปนอนก่อน ยายดารินเองก็สัปหงกไปหลายรอบเลยเดินตามแม่เข้าห้องนอนไปเหมือนกัน ตอนนี้เลยเหลือผมอยู่คนเดียว ผมเลยพาตัวเองออกมานั่งที่ระเบียงหน้าบ้าน บ้านผมเป็นบ้านที่ยกใต้ถุนสูงกึ่งทรงไทยกับโมเดิร์นนะครับ คืนนี้ฟ้าสว่างเห็นดวงดาวชัดเจน จริงๆ บ้านสวนก็ไม่ได้ไกลจากความเจริญอะไรมากนัก แต่ด้วยความที่คนในชุมชนนี้พยายามอนุรักษ์พื้นฐานการใช้ชีวิตสมัยรุ่นปู่รุ่นย่าไว้ เพราะฉะนั้นแค่คุณผ่านประตูทางเข้ามาที่ชุมชนนี้ ก็เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งทันที ไม่พลุกพล่าน ไม่ต้องแย่งกันใช้ชีวิต คนในชุมชนนี้ก็มีแต่คนใจดี เป็นมิตร พวกเขาอยู่โดยพึ่งพาอาศัยกัน ผมถึงวางใจได้ระดับหนึ่งที่แม่กับน้องสาวจะอยู่กันตามประสาผู้หญิงสองคน เพราะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คาดว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น คนแถวนี้จะโทรหาผมทันที เรียกว่าน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ผมช่วยเหลือดูแลพวกเขา พวกเขาก็จะช่วยสอดส่องดูแลแม่กับน้องสาวผมไปด้วย

ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็น อาจเพราะด้วยต้นไม้ที่ยังคงสมบูรณ์ทุกพื้นที่ บ้านแต่ละหลังยังคงรูปแบบไว้เสมือนก่อนที่คนรุ่นเก่าสร้างกันมา ความมีเสน่ห์ของบ้านไม้ การผสมผสานระหว่างรูปแบบเก่ากับสไตล์โมเดิร์น ผมนอนเอนหลังกับเก้าอี้หวายหน้าระเบียง คิดอะไรไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดกับเหตุการณ์เมื่อหัวค่ำ...........


ผมยังจำได้ว่าผมขับรถออกจาก สน. ห่างออกมาแค่ไม่กี่กิโลเมตร ถนนตอนนั้นโล่ง ไฟบนถนนที่ทิ้งช่วงติดเสาเว้นเสา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ถนนมืดถึงกับมองอะไรไม่เห็น ผมขับมาเรื่อยๆ เปิดเพลงให้เสียงเพลงเป็นเพื่อน และเมื่อผ่านจุดพื้นที่ที่เป็นถนน 4 เลนขับสวนกัน  ตอนนี้กลายเป็นถนนที่โล่งไม่มีแม้แต่รถสวนกัน

แค่เสี้ยววินาที ที่ละสายตาจากถนนตรงหน้า แค่เสี้ยววินาทีที่หันหน้าออกไปและหันกลับมาทำให้ผมต้องเหยียบเบรคอย่างแรงและหักหลบ
 

เพราะมีคนยืนอยู่บนถนน!!!!


แค่แวบเดียวของไฟหน้ารถที่สาดใส่ แต่ผมกลับจำได้ทุกภาพตรงหน้า เด็กผู้ชาย จะบอกว่าเด็กก็ไม่ถูกเพราะชุดที่ใส่คือชุดนักศึกษา  เด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ หน้าตาไม่ได้แสดงอารมณ์หรืออาการอะไรเลยทั้งที่รถผมกำลังแล่นเข้ามาใกล้ นอกจากยื่นนิ่งอยู่ตรงนั้น ผิวช่างขาวเมื่อกระทบกับแสงไฟ รูปหน้าที่เรียว จมูกโด่ง ปากอวบอิ่มสีชมพู ดวงตาคู่เรียว ทุกอย่างที่ดูบนใบหน้านี้มันช่างลงตัวและเหมาะสมซะเหลือเกิน   แต่ดวงตาคู่นั่นกลับช่างดูเศร้า

ตอนนั้นผมทั้งงงและตกใจ เพราะคิดว่าระยะแค่นั้นไม่น่าจะหลบพ้นแต่กลับไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงเบรคของรถ ผมรีบลงไปดู แต่กลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่ร่องรอยว่าจะมีใครเคยอยู่ตรงนี้  ผมเดินวนดูรอบทั่วบริเวณนั้น


“ไม่มีใครหรือว่า….จะเป็นผี   ไม่ใช่หรอก” 


ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไป ผมอาจจะตาฝาดไปเอง ไอ้เรื่องผีเนี่ยไม่ใช่ไม่เชื่อนะ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเจอหรือเคยเห็นซักครั้ง ผมไม่กลัว และก็ไม่ลบหลู่  แต่จริงๆ คิดว่าไม่เห็นจะดีกว่า







เช้านี้ผมต้องตื่นเช้าเพราะได้รับข้อความจากจ่าเติมว่า ผู้กำกับเรียกประชุมด่วน จากที่คิดว่าจะนอนตื่นสายๆ ใช้เวลากับแม่กับน้องสาวแล้วค่อยกับไปเผชิญชีวิตการทำงานที่แสนจะวุ่นวาย นี่ผมต้องกลับแล้วหรือเนี่ย เห้ออ

ผมอาบน้ำแต่งตัวและลงมาข้างล่าง

“แม่ครับ”

“วิณณ์ ตื่นแล้วเหรอลูก มากินข้าวแม่ทำไว้ให้แล้ว อ้าวแล้วนี่แต่งตัวจะกลับแล้วเหรอ”

“ครับแม่ วิณณ์ต้องเข้า สน. มีประชุมด่วนครับ”

“แล้วจะกินข้าวไหมลูก แม่อุตส่าทำเลยนะ”

“กินครับ แม่ทำผมต้องกินอยู่แล้วละ”

“ปากหวาน  อะ….รีบกิน จะได้รีบไปทำงาน”   เมื่อจัดการของตรงหน้าเสร็จ ผมก็ช่วยเก็บจานไปไว้ในครัว

“ไปทำงานได้แล้วไป เดี๋ยวตรงนี้แม่จัดการเอง”

“ครับแม่ รักแม่นะ” ผมกอดและหอมสองแก้มของแม่เน้นๆ ยายดารินก็เดินลงมาพอดี

“ตัว อ้อนอะไรแม่อีกละ” 

“พี่ต้องกลับก่อน มีประชุมด่วน ตั้งใจเรียนนะเรา ดูแลแม่ด้วยนะ แล้วก็อย่าดื้อกับแม่”

“โอ๊ยพี่วิณณ์ ผมเค้ายุ่งหมดแล้ว” ฮ่าๆ ผมขยี้หัวยายตัวแสบไปเลยโวยวายใหญ่

“แต่ตัวไม่ต้องบอกเค้าหรอก เค้าทำอยู่แล้วยะ ตัวเถอะวันหยุดหน้าซื้อขนมเค้กมากำนัลเค้าเยอะๆ ด้วย”

“จ้าาาา   ไม่ตะกละเลยน้า” 

“โอ๊ยยย ดึงแก้มเค้าอีกแล้ว แม่ดูพี่วิณณ์แกล้งน้องอีกแล้ว”

“พอเลยทั้งคู่ วิณณ์ไปทำงานได้แล้วลูก ส่วนดารินมาช่วยแม่ในครัวมาลูก”

“ผมไปนะครับแม่ พี่ไปนะยายตัวแสบ” และยายน้องสาวตัวแสบก็ไม่วายหันมาแลบลิ้นปริ้นตาใส่ผมอีก ร่ำลาแม่กับน้องสาวเสร็จ ผมก็ขับรถมุ่งหน้ามาที่ สน.ทันที 

เมื่อผมขับมาถึงจุดเดียวกับที่เมื่อคืนนี้ผ่านมา ผมชิดซ้ายและมองออกไปทางนั้นทางที่ผมเห็นเด็กผู้ชายนักศึกษาบนถนน แต่ ณ ตอนนี้บนเส้นทางนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ มีเพียงต้นไม้ต้นใหญ่ที่ตั้งตะหง่านตรงนั้น

'หรือจะตาฝาดจริงๆ วะ'


ผมพึมพำกับตัวเองและขับรถไปต่อ ไม่นานผมก็มาถึงที่ สน. ขับรถเข้าจอดประจำที่และตรงไปที่ห้องของผู้กำกับ ผมเคาะประตูอยู่ 3 ครั้งและเปิดเข้าไป

“ขออนุญาติครับ”

คนที่อยู่หลังประตูบ้านนั้น ผู้กำกับพงศธร หรือ คุณอาพงศ์ เป็นผู้บังคับบัญชาที่เที่ยงตรง เด็ดขาด น่าเกรงขาม และมีวินัยสูงเมื่ออยู่ในหน้าที่ ลูกน้องทุกคนให้ความเคารพยำเกรง เพราะท่านเป็นตำรวจน้ำดี คนตรงคนหนึ่ง เลยทีเดียว แต่เมื่ออยู่นอกเวลางาน จะเป็นคุณอาที่แสนจะใจดี คุณอาพงศ์เป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนตำรวจกับพ่อของผม และยังเป็นเพื่อนกันมาเสมอถึงแม้พ่อผมจะเสียไป  และยังทำหน้าที่เป็นอาที่ดีให้กับลูกของเพื่อนอีกด้วย

“ผู้กอง เชิญนั่งก่อน”

“ครับผม วันนี้ท่านเรียกผมมามีอะไรด่วนหรือครับ”

“หึหึ ไม่มีอะไรหรอก ท่าน ผบ. ฝากคำชื่นชมมาให้ เรื่องผลงานเมื่อวานนี้ ยอดเยี่ยมมากเลยนะ”

“ขอบคุณครับ แต่ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว ทุกคนก็มีส่วนด้วยครับ”

“อืม แต่ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณอยู่ดี” ผู้กำกับเว้นจังหวะการพูดไว้อย่างตั้งใจ เหมือนท่านกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก่อนที่ผมจะเอ่ยถาม เป็นท่านที่พูดขึ้นมาก่อน

“คราวนี้เราก็ยังจัดการได้แค่พวกลูกน้องหางแถว ผมคิดว่ามันคงกบดานไปอีกสักพัก ผมอยากให้คุณจับตาดู อย่าบุ่มบ่าม ใช้สายของเราให้เป็นประโยชน์ และจนกว่าเราจะสาวถึงตัวการใหญ่ ผมอยากให้คุณระมัดระวังตัวเองด้วย เพราะเราไปขัดขวางเส้นทางการค้ายาของมัน คราวนี้ทำให้มันเสียหายไปเยอะ มันคงจะแค้นตำรวจน่าดู โดยเฉพาะคุณ”

“ครับ ผมจะจัดการอย่างรอบคอบ และระวังตัวเองครับ”

“ดี  คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ”

“ครับผม” ผมลุกขึ้นพร้อมทำความเคารพก่อนออกจากห้อง  คุณอาก็ได้บอกกับผมว่า


“ดูแลตัวเองด้วยนะวิณณ์”


“ครับอา  ขอบคุณครับ” 

ผมออกจากห้องมากะว่าจะกลับคอนโดไปพักอีกสักหน่อย แต่สายตาก็ต้องสะดุดกับใครคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ตรงเก้าอี้จุดบริการประชาชน ‘เด็กผู้ชายนักศึกษาคนนั้น’ ผมยืนมองอยู่สักพัก คนคนนั้นก็ยั่งนั่งอยู่ที่เดิม ไม่สนใจใคร และไม่มีใครสนใจเขา ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ดูเหมือนจะไม่สนใจด้วยซ้ำ 

“มีเรื่องเดือดร้อนอะไรหรือเปล่านะ”

ในขณะที่กำลังสงสัย เขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไป ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ผมพาตัวเองเดินตามออกมา มองตามแผ่นหลังของคนที่เดินอยู่ข้างหน้า




คุณ……คุณครับ


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เรื่องผี ๆ คนแก่ชอบนัก  :m4: :m4:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ทักกันสักทีน้า  :กอด1:

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 3  help me plsssss

หลังจากที่ผมวนเวียนอยู่บนถนนจุดที่ถูกรถชนและก็คิดว่าใครจะมาช่วยผมตามที่ท่านแสงสีขาวบอก รถคันแล้วคันเล่าขับผ่านผมไป แต่.....อย่าเรียกว่าผ่านเรียกว่าทะลุร่างเลยดีกว่า เหอๆ การเป็นวิญญาณมันเป็นแบบนี้เองเหรอเป็นเพียงพลังงาน  เป็นสสารที่ไม่สามารถจับต้องหรือมองเห็น ดูไร้ค่า ไร้ตัวตนยิ่งกว่าตอนมีชีวิตอีกแหะ

ไม่ ไม่ ม่ายยยยยยยยยย   เราจะดึงตัวเองเศร้าทำไมเนี่ย ตอนนี้ต้องพยายามหาคนที่จะช่วยผมให้ทำภารกิจ 10 ข้อ ให้สำเร็จให้เจอก่อน  และตอนที่ผมคิดเพลินๆ อยู่นั้น จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งขับพุ่งตรงมา ไอ้ผมก็ไม่คิดจะสนใจอะไรเพราะยังไงเขาก็คงผ่านเลยไปแบบคันอื่นอยู่ดี แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นนะซิ  รถคันนั้นเกิดเบรคกระทันหัน และหักหลบ ทำให้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเบรคที่บดกับพื้นถนน และเมื่อรถหยุดสนิท คนที่เปิดประตูรถลงมา…..

เป็นผู้ชายผิวสีแทน รูปร่างสูง หน้าตาที่ดูนิ่งขรึม แต่กลับดูอบอุ่น ลงมาจากรถด้วยท่าทีตกใจ  จากที่เขามายืนอยู่ตรงหน้าผม ระดับความสูงของผมที่อยู่แค่ปลายคาง ทำให้ผมถึงกับต้องยืนเงยหน้ามองนั้นทำให้ผมยิ่งมองเห็นหน้าได้ชัดและใกล้ไปอีก
เขาเดินไปรอบๆ ทำท่ากำลังมองหาอะไรซักอย่าง?
‘คงไม่ใช่หรอกมั้ง’    ผมคิดในใจ เขาคงไม่ได้เห็นผมหรอกใช่ไหม? แต่แล้วผมก็ต้องชะงักอีกครั้ง เมื่อเขาหยุดและมองตรงมาข้างหน้าที่ที่ผมยืนอยู่เหมือนจะรู้ว่าผมอยู่ตรงนั้น เขายืนนิ่งจ้องอยู่นาน ก่อนที่จะถูกขัดจังหวะด้วยใครคนหนึ่งเข้า......

หรือจะเป็นคนที่มาช่วยเรา คนที่ท่านแสงสีขาวบอก   แต่ยังไม่ทันที่จะรู้เรื่องอะไร เมื่อผู้ชายคนนั้นคุยกับคนที่มาใหม่จบ เขาก็เดินกลับไปที่รถซะก่อน แต่ก่อนที่จะก้าวขึ้นรถไป เขายังคงหันมามองตรงที่ที่ผมยืนอยู่ ก่อนจะขับออกไป ใช่แน่ๆ ต้องเป็นคนที่จะช่วยเราได้แน่ๆ แต่จะไปหาเจอได้ยังไงละเนี่ย มัวแต่ งง ดูดิไปซะแล้ว
 
“หึหึ  เป็นยังไงตะวัน เจ้าพยายามไปถึงไหนแล้ว”  เสียงหัวเราะที่ดังมาพร้อมกับแสงสว่างที่ปรากฎตรงหน้า
(ท่านแสงสีขาว ผมเจอแล้ว ผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นต้องใช่เค้าแน่ๆ)

“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรละ ตะวัน”
(ผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่เขาทำเหมือนจะรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ เหมือนจะรับรู้การมีอยู่ของผม)

“งั้นเจ้าก็ต้องพิสูจน์”
(ยังไงครับ)

“เจ้าอยากจะรู้ว่า ชายคนนั้นใช่คนที่เจ้าตามหาไหม เจ้าก็ต้องหาทางพิสูจน์”
(......................) ผมคิดไม่ตกจริงๆนะ ตอนเป็นคนผมก็ไม่ถนัดไปขอความช่วยเหลือใคร แล้วนี่ผมเป็นเพียงวิญญาณจะไปขอให้คนช่วย มันยิ่งดูยากไปใหญ่
 
“แค่นี้ จะท้อแล้วรึ”
(เปล่าครับ)
 
“เราช่วยเจ้าได้เท่าที่ช่วยได้เท่านั้น แต่.......   เราบอกเจ้าได้ว่าคนที่จะมาช่วยเจ้า คือคนที่สัมผัสและรับรู้ถึงพลังงานวิญญาณของเจ้าได้ และที่สำคัญเขาผู้นั้นสามารถเห็น ได้ยินและพูดคุยกับเจ้าได้เพียงคนเดียว และต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วละจงพยายามด้วยตัวเอง”
(แล้ว ผมจะหาเขาเจอได้ยังไงครับ ท่านช่วยผมอีกซักนิดไม่ได้เหรอครับ)     ผมทำสายตาเว้าวอน
 
“หึหึ เจ้าอย่ามาอ้อนข้าซะให้ยากเลย ไปอ้อนหาทางให้พ่อหนุ่มคนนั้นช่วยซะเถอะ และข้าเชื่อว่าเจ้าจะหาคำตอบได้เอง จงทำตามความรู้สึกของเจ้าจะทำยังไงให้พ่อหนุ่มคนนั้นยอมช่วย และเมื่อไหร่ที่เจ้าต้องการคำแนะนำหรือความช่วยเหลือให้เรียกหาเรา  ชื่อของเราคือ  ‘กาลเวลา’
รับนี่ไปซะและพกติดตัวไว้ ตลอดระยะเวลา 100 วันที่เจ้าต้องปฏิบัติภารกิจ สิ่งนี้จะช่วยให้เจ้าต่างจากวิญญาณเร่ร่อนทั่วไป”


และท่านแสดงสีขาว เอ้ย ไม่ใช่ซิ ท่านกาลเวลา ก็หายไป ตอนนี้เลยเหลือเพียงตัวผมและแสงสว่างรำไรจากเสาไฟบนถนน ผมรับของสิ่งนั้นมาและมองดูมันเป็นสร้อยข้อมือที่ถักด้วยเชือกสีดำ ตรงกลางเป็นพลอยสีขาวซึ่งมีสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์และเสี้ยวพระจันทร์ซ้อนในวงกลมนั้นผมใส่สร้อยที่ข้อมือข้างซ้ายของตัวเอง  จากที่ ท่านกาลเวลา บอกผมผู้ชายคนนั้นแน่ๆ ที่จะเป็นคนมาช่วยผม แล้วผมจะหาเขาเจอได้ยังไงละเนี่ยยย หาที่ไหนแล้วจะบอกยังไงให้เค้ายอมช่วยผม

ถ้าจะเดินไปบอกตรงๆ
‘ผมเป็นผี แต่ผมไม่ได้มาหลอกคุณนะครับ ผมแค่อยากให้คุณช่วย’      ไม่เข้าท่าแฮะ เค้าอาจจะหัวใจวายตายหรือเอาพระมาไล่ผมแน่ๆ
หรือว่า
‘ผมเป็นวิญญาณต้องการให้คุณช่วยทำภารกิจเพื่อที่ผมจะได้รับพร 1 ข้อ’     อันนี้ดูเข้าท่าหน่อย แต่จะได้ผลไหมหว่า

เห้อออออออออออ  ยิ่งคิดหนักกว่าเดิมอีก หาให้เจอยังอยาก แต่จะทำให้ยอมช่วยยิ่งยากกว่า

ผมไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียไป หนึ่งคืนกำลังจะผ่านไป หนึ่งคืนที่ผมต้องนั่งคิดและหาคนที่จะมาช่วย แต่เมื่อเจอคนที่จะช่วยผมได้แล้วก็ต้องพยายามหาทางให้เขายอมช่วยผมอีก จนแล้วจนรอดก็ยังคิดไม่ออก
แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างผมอีกครั้งเพราะในตอนเช้าอีกวัน ขณะที่ผมยังคงนั่งคิดหาทางอยู่ที่จุดเดิมนั้น อีกฝากหนึ่งของถนนกลับมีรถคันหนึ่งมาจอดและเปิดกระจกมองมายังจุดที่ผมอยู่ ‘ผู้ชายคนเดียวกับเมื่อคืนจริงๆ ด้วย’ ผมไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะต้องทำยังไง แต่ขามันกลับนำให้ตัวเองเดินตามคนนั้นไป
 
ดังนั้น ตอนนี้ตัวผมเองก็ได้มาโผล่ที่โรงพัก เขามาทำไมที่โรงพักกัน หรือว่าจะมาแจ้งความ เอ…หรือว่าเป็นตำรวจ  และเมื่อความคิดว่าเขาจะเป็นตำรวจเกิดขึ้น  ก็ดีเลยซิ เรื่องภารกิจของผมก็ดูจะง่ายขึ้น  แต่เดี๋ยวนะถ้าเขาเป็นตำรวจ เขาก็ต้องช่วยคน แต่ผมเป็นวิญญาณแล้วยังต้องช่วยแก้ไขคดีให้วิญญาณด้วยอีกจะทำยังไงละที่นี้  ทำไมมันดูซับซ้อนไปอีกเนี่ย แต่ไม่มีเวลาให้สงสัยอะไรมาก ผมรีบเดินตามคนตัวสูงไปทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าประตูก็ต้องหยุดชะงัก
 
“เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรจะมา”
(ท่านครับ ผมต้องตามชายคนนั้นไป ท่านอนุญาติให้ผมเข้าไปเถอะนะครับ)
 
"……………" เท่าที่ผมพอจะมีความรู้อยู่บ้าง วัดก็พอเคยผ่าน สวดมนต์ก็พอเคยทำ ท่านคงเป็นเจ้าที่ที่คอยดูแลสถานที่อยู่แน่ๆ ท่านไม่ได้ตอบอะไรผม แต่นิ่งไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

“หึ หึ เป็นเจ้าเองซินะ    ผู้ถูกเลือก
(ผู้ถูกเลือก?)
 
“เจ้าสวม สร้อยแห่งสิทธิ์ อยู่ ก็แสดงว่าเจ้าคือผู้ถูกเลือกในการปฏิบัติภารกิจของโชคชะตา"
(ท่านรู้ว่าสร้อยนี้คืออะไรเหรอครับ แล้วผู้ถูกเลือกคืออะไรกันแน่ครับ)
 
“ในรอบ 100ปีเวลาของมนุษย์ สวรรค์และนรกจะทำการคัดสรรดวงวิญญาณมาหนึ่งดวง เพื่อทำภารกิจโดยแลกกับพร 1ข้อ  แม้พรที่เจ้าจะได้รับจะเป็นเพียงพรข้อเดียวเท่านั้น แต่อานุภาพของพร มันวิเศษถึงขนาดทำให้คนตายฟื้นคืนได้  พรนี้จึงเป็นที่หมายปองของดวงวิญญาณทั้งหลาย ที่หวังจะได้รับโอกาสนั้น”
(ถ้าวิญญาณทั้งหลาย ต่างได้รับพรนั้นอย่างนี้มันจะไม่ทำให้วุ่นวายเหรอครับ)

“ถูกต้อง การเลือก ผู้ถูกเลือก จึงต้องมีข้อบัญญัติขึ้น  และ ข้อบัญญัติแรกของการเลือกดวงวิญญาณจึงถูกตั้งขึ้น
‘จะต้องเป็นดวงวิญญาณที่อยู่ระหว่างกึ่งกลางของความเป็นและความตายเท่านั้น’ ที่ต้องตั้งแบบนี้เพื่อรักษาสมดุลของโลกมนุษย์และไม่ให้เกิดความบิดเบี้ยวของช่วงเวลา และข้อบัญญัติที่สองในแต่ละ 100 ปี
‘จะมีเพียงวิญญาณดวงเดียวที่จะได้รับโอกาสนั้น’ และข้อสุดท้าย ‘เมื่อถึงรอบ 100ปี แล้ว ไม่มีดวงวิญญาณไหนเหมาะสมที่จะเป็น ผู้ถูกเลือก ก็ต้องเว้นว่างไว้ และรอไปอีกจนกว่าจะ 100 ปีข้างหน้า”

(ทำไมทั้งสวรรค์และนรกต้องทำให้วุ่นวายด้วยละครับ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนแล้วแต่เป็นวัฏสงสารของมนุษย์ หนึ่งชีวิตเกิด เพื่อทดแทนหนึ่งชีวิตที่ตาย สมดุลของโลกก็ยังหมุนต่อไปได้)
 
“แล้วเจ้าที่ได้รับโอกาสนี้ละ เจ้าคิดอย่างไร”
(………..)

“เจ้าเองยังดีใจที่ได้รับโอกาสนี้ เพื่อที่เจ้าจะได้กลับไปแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาด มนุษย์ยังให้โอกาสด้วยกันเองได้ สวรรค์และนรกก็สามารถให้โอกาสกับมนุษย์ได้เช่นกัน แต่เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอก ทุกการกระทำมีเหตุผลของตัวมันเอง เจ้าคิดว่าสววรค์หรือนรก จะปล่อยให้ใครก็ได้เข้ามาทำภารกิจของผู้ถูกเลือกนี้แล้วก็ขอพรกันได่ง่ายๆ รึ”
(ครับ)

“ข้อบัญญัติ ที่ตั้งขึ้นก็พื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการเลือก ถ้าเราเอาคนที่ตายเมื่อถึงอายุขัยแล้วมาทำภารกิจ เจ้าคิดว่ามันไร้ประโยชน์ไหม หรือเอาคนที่ยังมีชีวิตอยู่เอาทำภารกิจเพื่อขออะไรก็ได้เจ้าคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น"
(เอ่อ.....ผมพอจะเข้าใจแล้วครับ ถึงแม้พรจะช่วยให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพแต่มันคงดูไม่สมเหตุสมผล ถ้าคนที่ตายไปนั้นหมดอายุขัยด้วยตัวเขาเอง ทกำให้ฟื้นขึ้นมาก็คงมีแต่คนมองเป็นเรื่องแปลก ไม่ก็คงไปแห่ขอหวยกันแน่ แหะๆ แล้วคนที่มีชีวิตละครับ)

“มนุษย์เรามีความโลภโมโทสันเป็นอารมณ์ ถ้าเจ้ามีพรที่จะขอได้ในมือเจ้าจะขออะไร เพื่อใครและทำไม”
(มนุษย์ก็คงไม่พ้นที่จะขอให้กับความปรารถนาของตัวเองที่ไม่สิ้นสุด)

“ถูกต้อง ถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พรเหล่านั้นไม่จำเป็นเลย เจ้าสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ที่มนุษย์หวังพึ่งพรวิเศษทั้งหลายหรือเอากราบไหว้ขอนั่นนี่ก็เพราะมนุษย์นั้นอยากได้มากกว่าจะทำด้วยตัวเอง  ทีนี้เจ้าพอจะเข้าใจหรือยัง”
(เข้าใจแล้วครับ   แล้วสร้อยข้อมือนี่ละครับ) ผมถามอีกพร้อมกับยกสร้อยที่ข้อมือขึ้นมาดู
 
“สร้อยข้อมือนี้เป็นเครื่องแสดงให้เหล่าผู้ดูแลอย่างพวกข้าได้รู้ และเปิดทางให้กับผู้ถูกเลือก ที่สำคัญพลังของสร้อยข้อมือนี้จะช่วยเจ้าได้ในยามขับขัน .... เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะขัดขวางเจ้าไม่ให้เข้าไปข้างในอีก”

ท่านเจ้าที่พูดพร้อมกับเอียงตัวเพื่อเป็นการเปิดทางให้ผมเข้าไปด้านใน ผมมาหยุดและรออยู่ตรงเก้าอี้ มองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ผมเห็นพวกเขา แต่พวกเขากลับมองไม่เห็นผม ไม่แม้แต่จะรู้สึกว่าผมอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ ผมยังคงมองหาเจ้าของร่างสูง พร้อมกับคิดไปด้วยว่าจะทำยังไงให้เขายอมช่วย
และผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ทันทีที่ผมเห็นเจ้าของร่างสูงออกมา เขามองมายังที่ที่ผมอยู่ ถ้าผมอยากรู้ว่าเขามองเห็นผมจริงไหม ผมก็ต้องทดสอบ และถ้าจะทดสอบผมก็ต้องหาที่ที่เราจะคุยกันได้ง่าย โดยที่จะไม่ดูแปลกประหลาดสำหรับคนอื่น เพราะมันคงจะไม่ดีหรอกใช่ไหม ถ้าจะมีใครเห็นคนคนหนึ่งยืนพูดอยู่คนเดียว

ผมจึงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้านนอก และก็เป็นอย่างที่หวังเมื่อเจ้าของร่างสูงนั้นวิ่งตามออกมา

คุณ……คุณครับ   ………………………คุณครับ หยุดก่อนครับ”
 “ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ….มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“…………”
“คือ ผมเป็นตำรวจนะครับ เห็นคุณนั่งอยู่นาน ผมเลยคิดว่าคุณอาจจะต้องการความช่วยเหลือ”
“เป็นห่วงประชาชนซินะครับ”
“ครับ.....ผมผู้กองวิณณ์”
“สวัสดีครับ  ผมชื่อตะวัน  แต่ผมไม่ได้มีธุระอะไรที่นี่หรอกครับ”
“…….??? แล้วคุณมาทำไมเหรอครับ หรือว่ามาหาใคร”
“ก็ไม่เชิงครับ”
“……………..”

“ผมไม่มีธุระอะไรกับที่นี่  แต่ผมมีธุระกับคุณ  และคนที่ผมมาหาก็คือ……คุณ”

“.......??????”
“เอ่อ ผมไม่เข้าใจ เรารู้จักกันหรือเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”
“เราอาจจะเคยพูดคุยกันครั้งแรก แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้พบกันหรอกครับ”
“ยิ่งคุณพูด ผมยิ่งงง คุณพูดแบบนี้ก็หมายความว่าเราเคยเจอกันมาก่อนซิครับ”
“ครับ  แต่ตอนนั้นคุณอาจจะไม่ได้ทันสังเกตหรือสนใจผมเท่าไหร่”

“แล้วคุณมีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”   แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดออกไป ก็มีคนมาขัดจังหวะผมอีกแล้ว


“ผู้กองวิณณ์ครับ ยังไม่กลับอีกเหรอครับ แล้วนี่ผู้กองคุยอยู่กับใครเหรอครับ”  นายตำรวจคนเดียวกับเมื่อคืน ดูเหมือนเค้าจะเห็นว่าผู้กองยืนพูดกับผมอยู่ แต่เขาไม่เห็นผม เลยกลายเป็นผู้กองยืนพูดอยู่คนเดียวซินะ
“ก็ คุยกะ……กับ”  ผู้กองวิณณ์พูดพร้อมกับหันกลับมาที่ผมยืนอยู่  “อ้าว หายไปไหนแล้วละ”
“ใครเหรอครับ”
“ก็เมื่อกี้ ผมคุยกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่”
“แต่ผมไม่เห็นใครเลยนะครับ นี่แอบเมาหรือเปล่าเนี่ย ผู้กอง”   
“ผมจะเอาเวลาไหนไปกินละ จ่าก็รู้ แต่เมื่อกี้……ช่างเถอะ ว่าแต่จ่ากำลังจะไปไหน”
“ผมจะไปโรงพยาบาล ไปดูคดีคนถูกรถชนนะครับ เป็นนักศึกษา ตอนนี้อาการโคม่านอนไม่ได้สติอยู่โรงพยาบาล น่าสงสารครอบครัวเขานะครับ”
“งั้น จ่าไปเถอะ
“ผู้กองเอง ก็กลับไปพักผ่อนเถอะครับ ดูหน้าตายังเพลียๆ อยู่เลยนะครับ หรือว่าเมื่อคืนไปทำอะไรมาหรือเปล่าครับ”
“หยุดเลยจ่า ผมรู้นะคิดอะไร มีอะไรก็ไปทำซะ เดี๋ยว ผกก เล่นงานเอาผมไม่ช่วยนะ”
“ฮาๆๆๆๆ  ครับผม ไปละครับ”
 

เฮ้ยยยยยยยยยยยยยย   คุณ    คุณมายังไง มาทางไหน แล้วเมื่อกี้คุณหายไปไหนมา”
“ใจเย็นซิครับ คุณนี่ก็เจ้าคำถามเหมือนกันนะ   ผมแค่ไปหยิบของมานะครับ”  คงไม่มีใครมาขัดจังหวะผมแล้วนะ ผมต้องรีบพูดให้รู้เรื่อง และต้องทำให้เขายอมช่วยผมให้ได้  ผมมีเวลาแค่ 100วัน และตอนนี้ก็เหลืออีก 99วันแล้ว แต่ที่จ่าเมื่อกี้พูดคนถูกรถชน จะเป็นผมหรือเปล่านะ ปล่อยไปก่อน ผมขอจัดการเรื่องตรงหน้าก่อน

“ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วย แต่ถ้าจะให้เล่าคงยาว สะดวกหาที่คุยไหมครับ”  เขาหรี่ตามองผม นี่คุณคิดว่าผมจะชวนคุณไปทำอะไรเหรอ ทำไมต้องมองแปลกๆ  อย่าเพิ่งคิดไกลนะเว้ยเห้ยย
“นี่คุณ อย่าเพิ่งคิดไปไกล ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วยจริงๆ แต่ถ้าจะให้พูดตรงนี้ก็ดูจะไม่ค่อยสะดวก”
“ถ้าคุณไม่คิดอะไร คอนโดผมอยู่ใกล้ๆ ตรงนี้  ใต้คอนโดผมมีร้านกาแฟอยู่ เราไปคุยกันที่นั่นได้ครับ”
“ตกลงครับ” 

ผมขึ้นรถของผู้กอง และผมก็ต้องแปลกใจผมสามารถทำอะไรก็ได้ทุกอย่างเหมือนคนที่ยังมีชีวิต ตอนดูหนังผมก็เห็นแต่ผีที่ร่างโปร่งแสงเดินทะลุนั่นนี่ได้ แต่เมื่อกี้ผมสามารถเอามือเปิดประตูได้ หรือจะเพราะสร้อยเส้นนี้ เราไม่ได้คุยอะไรกัน ผู้กองขับรถและมายังร้านกาแฟที่อยู่ใต้คอนโด  ร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก แต่มีมุมส่วนตัวให้นั่งและคุยกันได้สะดวก ผมเลือกเดินไปโต๊ะมุมสุด เพื่อไม่ให้สะดุดตาใครระหว่างที่คุยกัน ก็อย่างที่บอกแหละครับ นั่งพูดคนเดียวใครเห็นก็จะหาว่าบ้าเอา นี่ผมแคร์ ห่วงใยและใส่ใจจากใจจริงนะเนี่ยบอกเลย

“ตกลงคุณมีเรื่องอะไรจะให้ผมช่วยกันแน่”
“ผู้กองเชื่อเรื่องวิญญาณไหมครับ”
“คุณจะพูดอะไรกันแน่  นี่คุณมีเรื่องจะให้ผมช่วยจริงๆ หรือเปล่า”
“ใจเย็นซิครับ ผมแค่ถาม คุณก็แค่ตอบ มันไม่เสียหายอะไรนี่ครับ” และเหมือนคนร่างสูงจะชั่งใจคิดก่อนตอบออกมา
“ผมไม่เคยเจอ และไม่เคยเห็น แต่ผมก็ไม่เคยคิดลบหลู่”
“จาก 100% คุณเชื่อเท่าไหร่”
“ก็คง 50-50”
“มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่ผมว่าผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็น คุณช่วยไปสั่งน้ำให้หน่อยได้ไหมครับ ทั้งของคุณและของผม คนละแก้ว”  คนร่างสูงทำท่าทาง งง แต่ก็ยอมลุกขึ้น
“ของผมขอช๊อคโกแลตเย็นนะครับ”  เขาเดินไปยังเคาเตอร์เพื่อจัดการสั่งน้ำตามที่ผมบอกไป และก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ รอไม่นานพนักงานก็นำเมนูที่สั่งไปมาเสิร์ฟ



“คาปูชิโน่เย็นคะ”
“ครับ วางเลยครับ”
“ส่วนช๊อคโกแลตเย็น”
“ตรงนั้นเลยครับ” คนร่างสูงบอกพร้อมชี้มายังฝั่งที่ผมนั่งอยู่
“ของเพื่อนคุณลูกค้าเหรอคะ ยังไม่มาจะให้เราแช่เย็นไว้ก่อนไหมคะ จะได้ไม่ละลายคะ”
“เอ่อ เขาก็นั่งอยู่ตรงนี้นะครับ”  พนักงานยังคงทำหน้า งง มองซ้ายทีขวาที
“ไม่มีนี่คะ หรือว่าเดี๋ยวมาคะ ถ้าอย่างนั้นวางไว้ให้เลยนะคะ”  เมื่อพนักงานวางแก้วลงตรงฝั่งผมเสร็จ ก็รีบเดินกลับไป แต่ก็ไม่วายที่จะหันมามองแบบงงๆ
“ทำไม เหมือนเค้ามองไม่เห็นคุณเลยละ”  ผมยิ้มกลับไป
“แล้ว ผู้กองคิดว่ายังไงละครับ
“นี่คุณ ผมถามคุณนะ คุณมาถามผมกลับเพื่อ”
“ฮาๆๆๆๆ โอเค โอเคครับ ถ้าผมจะบอกผู้กองว่า ผมเป็น…….”
.
.
.
.
“คุณวิณณ์ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ” โวะ อะไรกันวะเนี่ย นึกว่าจะไม่มีคนมาขัดจังหวะแล้วนะ และแม่นี่ใครเนี่ย สูงชลูด ขาวจั๋ว ตูดเป็นตูด นมเป็นนม หรือว่าจะแฟนผู้กองหว่า
“ผมมาคุยธุระกับเพื่อนนะครับ  คุณแอนมาซื้อกาแฟเหรอครับ”
“คะ แอนมาซื้อกาแฟ และก็กำลังจะออกไปข้างนอก แล้วนี่เพื่อนผู้กองยังไม่มาเหรอคะ”  แล้วอิผู้กอง ก็ทำหน้า งง พร้อมกันหันมาทางผม
“เพื่อนผม ก็อยู่ตรงนี้นะครับ”  ยายแอนนั่นก็ทำหน้ามองสลับไปมา เอาไงวะ ผลจะออกมายังไง เธอจะแสดงท่าทีอะไรออกมาวะ
“แหมมม ผู้กองเนี่ย มุขเหรอคะ แอนไม่รบกวนแล้วคะ เชิญผู้กองคุยธุระเถอะคะ”  เห้ยๆ  บอกอย่างเดียวก็ได้ป่าววะ ทำไมต้องเอามือมาลูบแขนไอ้ผู้กองด้วย สยิวแทนนนน  ก่อนเธอจะไปก็ยังไม่สายหันมาส่งสายตายั่วยวนอีก ท่าทางจะจับไอ้ผู้กองชัวร์ป้าป ตะวันฟันธงงงงงง

“เสน่ห์แรงนะครับคุณเนี่ย”
“เดี๋ยวก่อนนะ ผม งง มากตอนนี้ ทำไมเหมือนไม่มีใครเห็นคุณซักคน ทั้งจ่าเติม พนักงานเสิร์ฟ แล้วยังคุณแอนอีก”
ผมไม่อยากเสียเวลาแล้ว ก่อนจะถูกขัดจังหวะไปมากกว่านี้ ผมตัดสินใจบอกอกไปตามจริง จะช่วยไม่ช่วยว่ากันอีกที เวลา100 วันของผม มันไม่ได้เยอะเลย ผมต้องรีบจัดการ
“ที่ผมมาหาผู้กอง เพราะผมมีเรื่องอยากให้ผู้กองช่วย แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ทุกเรื่องที่จะให้ช่วยเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น อยู่ที่ผู้กองจะยอมช่วยไหม……
ที่ผมถามผู้กองเรื่องผีหรือวิญญาณ ผมแค่อยากรู้ ว่าถ้าผู้กองเจอ ผู้กองจะทำยังไง ซึ่งมันล้วนเกี่ยวกับตัวผมทั้งนั้น ผมมีภารกิจต้องทำ แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้กอง ผมไม่สามารถทำเองได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะ……………………
.
.
.
ผมเป็นวิญญาณ  หรือจะให้เข้าใจง่ายก็   ผี   นะแหละครับ”





-- ทอร์ค --
ปล.1 หายไปนานนิดนึง เพราะเป็นเรื่องที่ตั้งใจเขียนจริงๆ แต่กลับมาต่อแล้วน้า
ปล.2 ถึงตะวันจะเลือกทางให้ตัวเองต้องตาย แต่จริงๆ แล้วเค้าเป็นคนน่ารัก ขี้เล่น คนนึงเลยทีเดียวนะ
ปล.3 ผู้กองวิณณ์เอง ก็ใช่ว่าจะใจง่ายน้า ดูขรึมไปงั้น แต่อ่อนโยน โรแมนติกเหมือนกัน อิอิ

ปล.4 ฝากติชม คอมเม้น รัวๆ กันเลยคร้าา

                                                                                                                     by นกกระจิบ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คนที่จ่าเติมไปดูแล ต้องเป็นหลานตะวันชัวส์ คนแก่ฟันธง  :a14:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 4ช่วยก็ช่วยวะ


[วิณณ์]

“ผมเป็นวิญญาณ   หรือให้เข้าใจง่ายก็   ผี  นั่นแหละครับ”

ใครเป็นผมตอนนี้ ก็ต้องคิดว่าตัวเองบ้าหรือไม่ก็ฝันอยู่แน่  ผี มาขอให้คนช่วย ถึงแม้ผมจะไม่กลัวก็จริง แต่อยู่ๆ ผีมาขอความช่วยเหลือ เป็นคุณ คุณจะทำยังไง

ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ และต้องเป็นคุณเท่านั้น  ผมจะไม่เร่งเอาคำตอบตอนนี้ แต่ช่วยกลับไปคิดก่อนได้ไหมครับ.........ผมจะรอฟังคำตอบจากคุณอีกครั้ง 4 ทุ่มคืนนี้นะครับ”

แล้วผู้ชายคนนั้นก็ออกจากร้านไป เขาไม่ได้หายแว่บนะครับ ถ้าใครจะคิดว่าผี เป็นแบบนั้น เขาก็แค่เดินออกจากร้านไปเฉยๆ เดินผ่านไปเฉยๆ นั่นแหละครับ O_O
 
นี่ผมคุยกับผี จริงๆ ใช่ไหมเนี่ย!!!
 
นั่นคือ เหตุการณ์ก่อนหน้าที่ผมเจอมา คนบ้าอะไรวะ บอกตัวเองเป็นผี เป็นวิญญาณ ถ้าเป็นจริงจะมาขอความช่วยเหลือจากคนทำไม เป็นผีก็ทำเองไม่ง่ายกว่าเหรอ แล้วยังจะมาเอาคำตอบจากผมคนนี้อีก จะมายังไงวะ เบอร์ก็ไม่มี ห้องก็ไม่รู้จัก หรือจะไปรอผมที่ สน. แต่กว่าผมจะไปก็พรุ่งนี้นี่หว่า   ผมพาตัวเองขึ้นมาห้องที่คอนโด กลับมาถึงผมก็นอนหลับไป นานแค่ไหนไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงคนเคาะประตู
 
 
 
 


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมาตอนนี้ ผมมองนาฬิกายังไม่ 4 ทุ่มนี่หว่า นายผีจะมาเอาคำตอบของผมแล้วเหรอวะ แต่เป็นผีทำไมไม่ทะลุกำแพงมาเลยละ ผีมีเคาะประตูด้วย แต่ผมก็ไม่เก็บความสงสัยเอาไว้นานหรอกครับ เดินไปเปิดประตูให้จบๆ ไป
 
“ผู้กอง”

“อ้าว จ่าเติม มีอะไรหรือเปล่า มาเอาป่านนี้”

“ก็ แม่ทูนหัว   เมียผมนะซิครับ สั่งให้เอาข้าวมาให้ผู้กอง ไม่รู้ว่าผมเป็นผัวมันหรือผู้กองกันแน่ นี่ผมกลับบ้านยังไม่ทันได้กินข้าวเลยนะครับ มันก็สั่งให้ผมเอามาให้ผู้กองซะก่อน”

“ฮ่าาาา  เข้ามาก่อนซิจ่า ฝากขอบคุณพี่ดาวด้วยนะครับ แต่ไม่ต้องเอามาให้ผมบ่อยขนาดนี้ก็ได้ ผมเกรงใจ”  ผมบอกพร้อมกับหลีกทางให้จ่าเติมเดินเข้ามาในห้อง ผมหันกลับไปจะปิดประตู ก็ต้องประหลาดใจ ทั้งที่เมื่อกี้ ก็มีแค่จ่าเติม

แต่.......


“คุณ......??”  ทำไม???  โผล่มาจากไหน???  มาได้ยังไง???


แต่นายผีก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากแค่ทำปากจุ๊ๆ ให้ผมเงียบ และทำท่าทางเหมือนจะถามว่า ‘เข้ามาข้างในได้ไหม’ ผมจึงพยักหน้า และหลบให้นายผีเดินเข้ามาในห้อง ถ้านายผีมาพร้อมกับจ่าเติม จ่าเติมก็ต้องรู้ซิ แต่นี่จ่าทำเหมือนไม่รู้ ไม่เห็น แต่ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่นายผี บอก จะเป็นเรื่องจริงไหม

“เอ่อ แล้วนี่จ่ามาคนเดียวเหรอ”

“คนเดียวซิครับ ผู้กองมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เปล่า ผมถามเฉยๆ  ผมนึกว่าจะพาไอ้แสบมาด้วย”

“ไอ้จ๋อย นะเหรอครับ มันทำการบ้านอยู่ครับ ถ้าไม่เสร็จแม่มันไม่ให้กินข้าว”

“อ้ออออออ”    ตอนนี้นายผีเดินไปนั่งที่โซฟา ตรงหน้าโทรทัศน์ ส่วนจ่าเติมแกก็เดินเอากับข้าวไปวางไว้บนโต๊ะหน้าเคาเตอร์ครัว ระหว่างโซฟาหน้าโทรทัศน์ กับเคาเตอร์ครัว ไม่ได้ห่างกันมากเลยนะครับ และไม่มีอะไรมาบัง สามารถมองเห็นกันได้ไม่ลำบาก แต่จ่าแกก็ทำเหมือนในห้องนี้มีแค่ผมกับจ่าสองคนเท่านั้น ผมเดินตามจ่าแกไปที่เคาเตอร์ครัว เป็นเจ้าของห้องแท้ๆ ปล่อยให้แขกที่อุตส่าห์แบกข้าวมาให้ต้องเตรียมข้าวให้อีก

“วันนี้พี่ดาวทำอะไรมาเหรอจ่า”

“ของโปรดผู้กองเลยครับ น้ำพริกกะปิไข่ชะอม และแกงจืดเต้าหู้หมูสับ”   อ่าหะ ของโปรดผมจริงๆ ด้วย แม่ชอบทำให้กิน ผมก็เลยชอบกิน นอกจากแม่แล้ว ก็มีพี่ดาวเนี่ยแหละครับที่ทำได้ถูกใจผมที่สุด  พี่ดาวแกทั้งสวยทั้งเก่งครับ บุคลิกเนี๊ยบ ดุและเจ้าระเบียบ ก็แหงละ พี่ดาวแกเป็นคุณครูนะครับ แต่ตอนนี้ไม่ได้สอนแล้วละครับ จ่าเติมแกให้ลาออกมาเป็นแม่บ้านอยู่บ้านเฉยๆ แต่ด้วยความขยันพี่ดาวแกก็มีรับสอนพิเศษให้เด็กตอนเย็นด้วยนะครับ วิญญาณครูของแท้ แต่ผมคิดว่าที่พี่ดาวแกยอมออกจากครูก็เพราะว่าจ่า  และที่ดุๆ เนี่ย ก็เป็นกับจ่า สามีแกแค่คนเดียวอีกแหละครับ จ่าแกชอบออกนอกลู่นอกทาง

อะ อะ ไม่ใช่เรื่องเจ้าชู้อะไรหรอกครับ จ่าแกเป็นคนสนุกสนาน เฮฮา  ยิ่งเวลาเหล้าเข้าปากแล้วนี่ยิ่งรั่ว พี่ดาวแกเลยต้องคอยคุม

“ของโปรดผมจริงๆ ด้วย วันหลังผมต้องซื้ออะไรไปฝากพี่ดาวบ้างแล้วละ”  ขณะที่ผมกับจ่าคุยกัน นายผี ก็ยังนั่งที่เดิม จ่าก็ยังไม่สนใจเหมือนเดิม นี่จ่าไม่เห็นจริงๆ ใช่ไหม ตอนนี้จ่าแกเตรียมของกินให้ผมอยู่ครับ แกดีกับผมทั้งผัวทั้งเมียเลย อาจจะเพราะพ่อผมที่เคยทำงานร่วมกับจ่ามาก่อน จ่าแกบอกว่าเพราะพ่อผมจ่าแกถึงเป็นผู้เป็นคน เป็นตำรวจที่ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าก่อน  ผมมองจ่าแกที่หยิบโน่นหยิบนี่ และก็ไปเห็นแฟ้มที่จ่าแกถือมาวางอยู่บนโต๊ะ ผมเลยหยิบขึ้นมาดู

สงสัยจะเป็นคดีที่จ่าแกไปทำเมื่อบ่าย ผมเปิดแฟ้มดู แล้วก็ต้องอึ้ง เมื่อรูปของคนในแฟ้มมันคือคนคนเดียวกันกับคนที่อยู่ในห้องผมตอนนี้

ชื่อที่ปรากฎอยู่   “นายตะวัน  จันทรเกษม”  และ     “เฮ้ย!!!”     ในรูปนี้มันคือนายผี นายจริงๆ เหรอวะ

“หืม?  อ่อ นั่นคือคดีที่ผมบอกผู้กองเมื่อบ่ายนะแหละครับ คนโดนรถชน แต่ก็ยังสรุปไม่ได้นะครับว่าตั้งใจฆ่าตัวตายหรืออุบัติเหตุ เพราะคนเจ็บยังไม่ได้สติ โคม่า นอนอยู่ห้องไอซียู”  หูผมฟังสิ่งที่จ่าเติมพูด ถึงแม้จะไม่ได้มองกลับ แต่ก็ได้ยินทุกคำพูด ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่นายผีพูดก็เป็นจริงนะซิ
 
“สงสารก็แต่แม่ของเด็กคนนั้นนะครับ ร้องไห้ เสียใจเป็นลมไปตั้งหลายรอบเลยละครับ เห้ออ ทำไมทำอะไรไม่คิดก่อนนะ ไม่สงสารคนที่อยู่ข้างหลังเลย”

ผมเงยหน้ามองไปยังโซฟา นายผี ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็คงได้ยินสิ่งที่จ่าพูด น้ำตาหยดใสๆ ไหลจากดวงตาเรื่อยมาจนถึงข้างแก้ม หยดลงบนขาของตัวเอง  ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่า เขาไม่ใช่คน เขาเป็นผี แต่แปลกที่ผมไม่กลัว ไม่กลัวเลยซักนิด ผมกลับสงสาร และมองอย่างอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น จะตั้งใจหรือเป็นอุบัติเหตุผมยังไม่รู้ ที่รู้เขาน่าจะเสียใจมากที่ทำลงไป

“จ่า เดี๋ยวผมทำเองก็ได้ จ่ารีบกลับไปกินข้าวกับพี่ดาวและไอ้แสบเถอะ”

“เอางั้นเหรอครับ”

“อืม ผมทำได้น่า สบายมากไปเถอะ พรุ่งนี้ยังมีงานที่ต้องทำอีกเยอะ”

“ครับผม ผู้กองรีบกินนะครับ กินตอนร้อนๆ เนี่ยแหละ อร่อยอย่าบอกใคร”  ผมเดินไปส่งจ่าที่หน้าประตู และกลับมายังโซฟา ตอนนี้นายผี ก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม นั่งก้มหน้าอยู่ตรงนั้น ผมนั่งลงข้างๆ นายผี ยิ่งมองใกล้ๆ ทำไมช่างบอบบางและอ่อนแอแบบนี้ หรือเพราะเป็นวิญญาณเลยทำให้เป็นแบบนั้น

“นี่…….นี่ นายผี”

“………”

“ฟังอยู่หรือเปล่า”


“เราชื่อ ตะวัน ไม่ใช่นายผี!!!”    อ่อ ไม่พอใจที่ผมเรียกแบบนั้น


“ขอโทษ   เอ่อ...ตะวัน  เล่าให้ฟังได้ไหม”

“นายไม่กลัวเราเหรอ?”  ตะวันพูดและเงยหน้าขึ้นมามองผม ทำไมช่างบอบบางแบบนี้ เป็นผู้ชายที่บอบบางจริงๆ
“ไม่นี่ ทำไมเราต้องกลัว”

“ไม่กลัวเราหลอก หรือ หักคอนายเหรอ”

“ถ้าทำนายคงทำไปนานแล้วละ   และอีกอย่างคุณอยากให้ผมช่วยมากกว่าไม่ใช่เหรอ”

“อืม คุณยอมช่วยผมแล้วเหรอ”

“ผมจะยอมช่วย แต่คุณต้องเล่าเรื่องให้ผมฟังก่อน”

“…….. จะช่วยยังต้องมีข้อแม้อีกเหรอ”

“มันไม่ใช่ข้อแม้ แต่การที่จะทำอะไรซักอย่าง ผมก็ต้องมีเหตุผลในสิ่งที่ผมจะทำด้วย”   นายผี เอ้ย ตะวัน ถ้าผมเผลอเรียกออกไปจะโดนหักคอไหมละเนี่ย ตะวันทำท่าคิดก่อนจะเล่าให้ผมฟัง

“มันไม่ใช่อุบัติเหตุหรอก เราตั้งใจ ‘ฆ่าตัวตาย’……… ถึงแม้ในเสี้ยวนาทีที่คิดเปลี่ยนใจ แต่ก็ช้าไป รถที่ขับมาด้วยความเร็ว ไฟถนนที่สว่างไม่พอ เมื่อใกล้ตัว รถก็ชนอย่างจัง”

“ทำไมถึงคิดฆ่าตัวตายละ”

“หึหึ ความรักทำให้คนตาบอด  หึ!ช่างมันเถอะ  ตอนนั้นผมคิดว่าผมตายแล้ว แต่เหมือนโชคชะตายังสงสารอยู่บ้าง ผมได้รับข้อเสนอในการทำภารกิจ 10 ข้อ เพื่อแลกกับพร 1 ข้อ ในระยะเวลา 100วัน”

“ภารกิจ 10 ข้อ ภายใน 100 วัน?ภารกิจอะไรเหรอ?  และพรอะไรที่ทำให้คุณยอมทำ”

“มันอาจจะฟังดูบ้า ตอนแรกผมเองก็คิดอย่างนั้น แต่ถ้ามีโอกาสแค่ 0.01%  ผมก็อยากจะลองทำ  สิ่งที่จะต้องทำคือ ต้องช่วยวิญญาณที่เข้ามาขอความช่วยเหลือให้เขาหมดห่วงและได้ไปเกิด  เมื่อทำครบ 10 ภารกิจ ผมสามารถขอพรได้ 1 ข้อ……..
พรที่สามารถขออะไรก็ได้  แม้กระทั้งขอให้คนตายฟื้นคืนชีพ  และ  ผมก็จะขอชีวิตผมคืน

“……….”

“นายไม่เชื่อเหรอ?”

“เอิ่มมม ก็ไม่……ไม่รู้ซิ มันฟังดูเหลือเชื่อมากเลย”

“แล้วคุณจะยอมช่วยผมไหม  ผมไม่อยากให้เวลาเสียไปเปล่าๆ วันนี้ก็วันที่สองแล้ว ผมเหลือเวลาอีก 98 วัน ที่จะทำให้สำเร็จ”ผมยังไม่ได้ตอบอะไรไป ผมเดินออกไปที่นอกระเบียง อยากให้อากาศข้างนอกช่วยทำให้สมองผมโปร่ง เผื่อคิดอะไรได้ง่ายขึ้น มันฟังดูเหลือเชื่อ ผมต้องช่วยผี  สืบคดีของผี แล้วผมจะไปคุยกับผีรู้เรื่องได้ยังไง ผมต้องมานั่งเห็นผี สอบปากคำผี อย่างนั้นเหรอ

“ถ้าผมทำให้คุณลำบากใจ ผมขอโทษนะครับ แต่ผมอยากให้คุณช่วยจริงๆ ผม…......”

“ทำไมถึงต้องเป็นผม”
 
“ท่านกาลเวลา บอกไว้ว่า คนที่จะสามารถช่วยผมได้ เขาจะได้ยินผม เห็นผม และสัมผัสผมได้แค่คนเดียว”

“เห็น?ได้ยิน? สัมผัส?  สัมผัสเนี่ยนะ หมายถึงจับตัวเหรอ”

“ใช่ครับ”  คนจับผีได้ด้วยเหรอวะ ที่เคยดูหนังเวลาจะจับมันต้องทะลุออกไปเลยนี่หว่า แต่ถ้าผมอยากรู้ก็ต้องลอง….ผมยกมือขึ้นมาช้าๆ ค่อยๆ เลื่อนมือไปใกล้ๆ ไหล่ และวางลงบนไหล่อย่างช้าๆ

แปะ…. เห้ย!!!  ผมจับได้ ผมจับได้จริงๆ ด้วย ผมมองอย่างอึ้ง มองไปที่หน้าของคนร่างบาง ตัวก็เล็ก ไหล่ก็บางนิดเดียว ทำไมถึงได้ดูบอบบางแบบนี้นะ

“ผมก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าผมจะช่วยอะไรคุณได้มากแค่ไหน แต่โอเค ผมยินดีช่วยคุณ”  แล้วคนตรงหน้าก็ยิ้มออกมาอย่างกว้าง ยิ่งดูใกล้ๆ ตะวันเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาน่ารักคนหนึ่งเลยทีเดียว ทำไมถึงได้คิดสั้นได้นะ แต่ก็นะ ความรักของคนหนุ่มสาว เป็นอะไรที่กำหนดได้ยาก บางคนให้ความรักนำชีวิต บางคนเดินคู่ไปกับความรัก แต่บางคนกลับไม่สนใจและทิ้งไว้ข้างหลัง

“ขอบคุณนะครับ  ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ไป ผมขออาศัยอยู่ที่นี่กับคุณเลยนะครับ”

“หะ…..”

“มันสะดวกกว่าถ้าผมจะอยู่กับคุณ เมื่อไหร่ที่มีวิญญาณมาขอความช่วยเหลือ ผมก็จะได้บอกคุณได้เลยไง     อ้อ…..ถึงแม้ผู้กองจะเห็นผม ได้ยินผม สัมผัสผมได้ แต่ว่าก็มีแต่ผู้กองเท่านั้นนะครับที่ทำได้ อย่าเผลอคุยกับผมต่อหน้าคนอื่นละ เดี๋ยวเขาจะหาว่าบ้าเอานะครับ อิอิ”


-_-  ได้ข่าวว่าเมื่อกี้ ยังร้องไห้อยู่เลยนะ   เห้อ ผมทำอะไรออกไปวะ


“ผมไม่กวนผู้กองหรอกครับ ไม่ต้องกลัว ผู้กองทานข้าวเถอะครับ น่าอร่อยเนอะ แต่ผีอย่างผมไม่ต้องกิน ผมไปนั่งรอดีกว่า ตามสบายครับ”

 

“ผมขอเรียกผู้กองว่า วิณณ์ นะครับ  และผู้กองก็ต้องเรียนผมว่า ตะวัน ด้วย ไม่ใช่นายผี”




ผมตัดสินใจช่วยตะวันในการทำภารกิจ เพื่อแลกกับพร 1 ข้อ พรที่จะสามารถทำให้ตะวันกลับเข้าร่างได้ จากรายงานของจ่าเติม ตะวันอยู่ในอาการโอค่าไม่รู้สึกตัว แต่ระบบต่างๆ ในร่างกายยังคงทำงานตามปกติสภาพตอนนี้คงต้องเรียกว่า เจ้าชายนิทรา  ผมชำเลืองมองร่างบาง ตอนมีร่างกายตะวันจะตัวเท่าไหนนะ ขนาดเป็นวิญญาณยังดูตัวเล็ก บอบบางขนาดนี้ ตอนเป็นคนก็คงไม่ต่างกันส่วนหน้าตาเหรอ ต้องบอกว่า น่ารัก น่ารักมากเลยทีเดียว ดูน่าทนุถนอม น่าปกป้อง

‘ความรักทำให้คนตาบอด’ งั้นเหรอ?  อกหักแล้วประชดรักฆ่าตัวตายงั้นเหรอ อยากรู้ก็อยาก แต่ถ้าเจ้าตัวไม่อยากจะเล่าผมก็ไม่ควรละลาบละล้วง เอาไว้เขาอยากเล่า เขาคงบอกเอง
 
คิดไปคิดมาก็ตลกอยู่ดีๆ ผมก็จะมีคู่หูเป็นวิญญาณซะงั้น แถมคดีที่ต้องช่วยกันทำก็ต้องมาเกี่ยวกับผีๆ สางๆ อีก ถามว่ากลัวไหมผีนะ ก็อยากที่รู้ ผมไม่เคยเห็นและก็ไม่กลัว

“มองเรา คิดอะไรอยู่เหรอวิณณ์?”

“หะ....เอ่อ..... อ้อ   เราอยากถามว่า เป็นผีเขาต้องนอนไหม”  คนถูกถามมองหน้าผมอย่างสงสัย นี่ผมไม่เนียนเหรอ เชื่อผมเถอะคร้าบบบ

“เราจะรู้ไหมละ ตะวันเพิ่งจะเคยตายนะตะวันเป็นผีมือใหม่ อิอิ”

เออแฮะ  ใช่นี่หว่า....

“เอาจริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าวิญญาณเขาเป็นยังไงกัน ทำอะไรบ้าง แม้แต่นรกหรือสวรรค์ เรายังไม่ได้เฉียดเข้าไปใกล้เลย”

“ทำไมละ”

“ก็พอวิญญาณตะวันหลุดออกจากร่างใช่ม้า เราก็ถูกเรียกให้ไปสถานที่สถานที่หนึ่ง ที่นั่นเป็นลานกว้าง กว้างมากกกกกกกกก
มองไปทางไหนก็มีแต่ทุ่งหญ้าอยู่เต็มไปหมดสถานที่นั้นชื่อว่า ‘ลานพบพาน’ และเราก็ได้พบ ‘ท่านกาลเวลา’ที่นั่นเหมือนเป็นจุดนัดพบของคนตาย คุยกับใครก็ไม่ได้ยิน แต่ละคนต่างเดินแยกไปตามเส้นทางของตัวเอง”

เราเงียบกันไปไม่นาน ผมก็ถามทำลายความเงียบอีกครั้ง

“ตะวัน  มันเป็นยังไงเหรอ”

“หืม?”

“ความรู้สึกมันเป็นยังไงเหรอ ตอน....”

“......”


“ตอนที่.....


ตาย”



ถามออกไปแล้วก็อยากจะตบกระโหลกตัวเองซักที ใครมันจะอยากมาพูดตอนตัวเองตายวะ แม่งเอ้ย ผมนี่โคตรโง่เลย

“เอ่อ   ตะวันขอโทษนะ  มะ.........”  ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ

“เราก็จำไม่ค่อยได้หรอก รู้แค่ว่ามันไวมาก สิ่งที่จำได้ก็มีแต่เสียงเบรคของรถและเสียงโครม แล้วก็มาเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ แต่ถ้าถามว่า รู้สึกเจ็บปวดอะไรไหม ก็ไม่นะ ไม่ทันได้รู้สึกมากกว่า”

“......”

“กายนะไม่เท่าไหร่ แต่มันเจ็บ เจ็บที่ใจ เจ็บมาก”  เจ้าของร่างบางพยายามพูดให้เสียงเป็นปกติ ทั้งที่น้ำเสียงที่ออกมามันสั่นจนเกินจะควบคุม

“มันเจ็บที่เราไม่รักตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง ชีวิตที่ผู้หญิงคนหนึ่งให้เรามา เฝ้าอุตส่าห์ดูแล ทนุถนอม แต่เรากลับเลือกจะทิ้งไปเพราะผู้ชายอีกคนแทน”

“ผู้ชาย?”

“ใช่ ผู้ชาย  เขาเป็นแฟนของตะวัน แฟนของตะวันเป็นผู้ชาย”

“......”

“แปลกไหม? น่ารังเกียจไหม?”

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นละ”

“ผู้ชายที่รักกับผู้ชายมันคงดูน่ารังเกียจ ผิดธรรมชาติ”

“ก็อาจจะใช่สำหรับบางคน แต่สำหรับวิณณ์ วิณณ์คิดว่าความรักมันสวยงามเสมอไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม แม้ในความสวยงามมันจะมีความเจ็บปวดซ่อนไว้ ถึงอย่างนั้นคนเราก็ยังอยากจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยง จริงไหม?”

“......”

“มันขึ้นอยู่กับว่า เราเลือกที่จะรักในแบบไหน  รักแค่อยากได้ อยากครอบครอง รักแค่สนุก รักที่จะเสียสละ รักที่จะให้ หรือ รักแค่อยากจะรัก”

ยิ่งพูดบรรยากาศยิ่งชวนเศร้า พอเศร้าคนตรงหน้าก็ดูหงอย ทั้งที่ใบหน้านี้เหมาะกับรอยยิ้มมากกว่า

“ตะวัน พักก่อนเถอะ นอนห้องเดียวกับวิณณ์นี่แหละ ถึงจะไม่รู้ว่าวิญญาณต้องนอนไหมก็เถอะนะ”

“ขอบคุณนะ ผู้กองวิณณ์นี่ทั้งหล่อและก็ใจดี ใครได้เป็นแฟนโคตรโชคดีเลย”

“หึหึ  พอๆ ไม่ต้องมาชมเลย เอาเป็นว่าอยู่ด้วยกันแล้วก็ต้องช่วยกันด้วยนะรู้ไหม”

“ช่วยอะไรอะ?”

“ช่วยอย่าทำเรื่องยุ่ง อย่างเช่น ไปหลอกคนอื่นให้กลัว หรือสุ่มสี่สุ่มห้าพาวิญญาณอะไรใครที่ไหนมาก็ไม่รู้ ถึงวิณณ์จะไม่กลัว แต่ก็แอบเกรงใจบ้าง”

“ฮ่าาาาาาาาาาาา    จริงดิ”

“อือ ไม่ต้องมาหัวเราะด้วย”

“โอเค รับทราบครับ จะแจ้งให้ทราบก่อนล่วงหน้าครับผม” พูดเสร็จก็ทำท่าตะเบะเป็นนายตำรวจซะงั้น
ดูไปก็น่ารักดีนะ

เช้านี้ผมกำลังขับรถไปทำงานโดยมีคู่หูคนใหม่นั่งมาด้วยข้างๆ ถามว่าเมื่อคืนพวกผมนอนกันยังไงนะเหรอ ตะวันจับจองที่บนโซฟา ทั้งที่ผมยืนยันจะให้นอนบนเตียงด้วยกัน แต่ตะวันก็ยังไม่ยอม ไม่รู้จะเกรงใจอะไรกัน แต่สุดท้ายผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าวิญญาณเขานอนกันยังไง

“นี่ตะวัน เมื่อคืนนอนยังไงเหรอ ได้นอนไหม?”  ปากผมถามไป มือก็ควานหาเสื้อผ้าใส่ ใช่ครับผมกังลังแต่งตัวจะไป สน.

“มันก็….ไม่เชิงนอนอะนะ เรียกว่าอะไรดีละ  คล้ายๆ”   ตะวันทำท่าคิด

“จำศีล สมาธิ อะไรทำนองนั้นมั้ง”

“อ้อออ”



 ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะตอนนี้ต้องรีบไปทำงานแล้ว ผมขับรถมาถึง สน. และตรงไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ผมมองของที่อยู่บนโต๊ะ พักแค่วันเดียวทำไมเอกสารถึงได้กองเต็มโต๊ะแบบนี้ 

เห้อออออ  เห็นแล้วขอท้อก่อนแล้วกันนะ

“วิณณ์ ห้องทำงานนายนี่รกดีเหมือนกันนะ”

“ก็มันคือห้องทำงานไงครับ เอกสารอะไรก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา”

“ทำไมไม่หาแฟนซักคนไว้คอยช่วยละ”

“ไม่อะ ทำงานไม่เป็นเวลาแบบนี้ สงสารผู้หญิงเขา อีกอย่างอยู่แบบนี้สบายดีอยู่แล้ว”

“อืมๆ”  ตะวันฟัง ทำท่าพยักหน้าแล้วก็ยังเดินไปรอบห้อง



 ก๊อกๆๆๆๆ

“ผู้กองขออนุญาติครับ”  การพูดคุยของผมถูกขัดจังหวะขึ้น

“มีอะไรหรือเปล่าจ่า”

“มีคดีด่วนเข้ามาครับ เมื่อคืนเราสามารถบุกค้นและจับโรงงานค้าแรงงานเด็กได้ ช่วยเด็กที่ถูกหลอกมาได้ทั้งหมด 11คน เป็นผู้หญิง 4คน ผู้ชาย 7คน  อายุก็ราวๆ 8-14 ปีครับ  ไอ้เจ้าของโรงงานมันเลวจริงๆ มันใช้แรงงานเด็กทำงานวันละ 10ชั่วโมง ให้กินข้าววันละ 2 มื้อ  ใครไม่เชื่อฟังหรือดื้อ ก็ถูกทุบตี อดข้าว อดน้ำ”

“…….”

“แต่ที่แย่ไปกว่านั้น เราพบศพในโรงงานนั้น สอบถามจากเด็กๆ รู้เพียงแค่ชื่อว่า ‘ดาว’ เป็นเด็กผู้หญิง เป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้ เพราะแต่ละคนก็ต่างมาจากคนละที่”

“ศพ?  ศพเด็กผู้หญิง?”

“ครับ ดูจากสภาพแล้ว น่าจะตายมาประมาณ เดือนนึง”

“แล้วเด็กคนอื่นๆ รู้ไหมเกิดอะไรขึ้น”

“เด็กๆ บอกว่า ดาวทำงานตามที่เจ้าของโรงงานสั่งผิด เลยถูกตี และถูกขังไว้ไม่ให้กินข้าว ดาวดูไม่สบายอยู่สองสามวัน  แล้วก็หายไป ไม่มีใครเห็นดาวอีกเลย และไม่มีใครกล้าถามเพราะกลัวจะโดนทำโทษไปด้วย”

“แล้วสอบปากคำเจ้าของโรงงานหรือยัง”

“ครับ แต่มันให้การปฏิเสธ  ตอนนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ ผู้กองจะสอบปากคำเลยไหมครับ”

“ยังดีกว่า ผมอยากไปดูที่เกิดเหตุก่อน”


ผมมองไปยังตะวันที่ตอนนี้ตั้งใจฟังอย่างมาก เดินไปฟังจ่าเติมพูดใกล้ๆ สักพักก็เดินมาดูแฟ้มเอกสารที่ผมกำลังเปิดอยู่ในมือ คิดดูแล้วก็ตลกแหะ เราอยู่กันสามคนในห้อง แต่สำหรับจ่าเติมเขาไม่รู้ไง แล้วถ้าเขารู้ละ ถ้าจ่าเติมรู้ว่าตลอดเวลาที่คุยกันมีอีกคนหนึ่งที่คอยฟังอยู่ด้วยจะเป็นยังไง




ก็แหงละ  ก็จ่าเติมกลัวผีนี่หว่า!!!

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไปช่วยหลานดาวเลย ไปด่วน ๆ  :a11:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ตาม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
พรที่จะช่วยชีวิต ตัวเองแน่หรือ  :hao3:

ดาว คงเป็นวิญญาณดวงแรกที่จะได้รับการช่วยแน่เลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
น้องตะวันน่ารักจัง ตะวันเป็นผีมือใหม่  :-[

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 5 หนูอยากกลับบ้าน

ผมกับวิณณ์มากันที่โรงงานที่เกิดเหตุ แต่ผมไม่ได้มากับวิณณ์แค่สองคน เราพ่วงจ่าเติมมาด้วย ตัวผมเองนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถ จ่าเติมแกนี่เป็นคนตลก ฮาๆ ดีนะครับ ตลอดทางแกยังพูดไม่หยุด เม้าเมีย เม้าลูกไปเรื่อย 

“วันนี้ รถผู้กองแอร์เย็นกว่าปกตินะครับ”  จู่ๆ แกก็พูดขึ้นมา ผมว่าที่เย็นกว่าปกติ อาจไม่ใช่เพราะแอร์    แฮฮฮฮฮฮฮฮ่
วิณณ์ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับเงยหน้ามามองที่กระจกหลังและยิ้มให้ผม โอ้ย คนบ้าอะไรวะอยู่เฉยๆ ว่าหล่อแล้ว นี่ยิ้มอีก กะหล่อให้ตายกันไปข้างเลยใช่ไหม

เรามาถึงโรงงาน สภาพโดยรอบทำให้สงสัยว่านี่คือที่ที่เด็กตัวแค่นั้นอยู่กันเหรอ ทั้งแออัด ไม่สะดวกสบาย ไม่มีอะไรที่ถูกสุขลักษณะเลยอะ ทั้งอับ ทั้งชื้น ยังดีที่ร่องรอยสิ่งของรอบๆ ยังพอชี้ให้เห็นว่าที่นี่เป็นโรงงาน ขนม ไม่งั้นผมคงคิดว่าที่นี่เป็นนรกแน่ๆ   โรงงานขนมแห่งนี้เด็กเป็นแรงงาน อยากกินก็ไม่ได้กิน ต้องนั่งทำให้เสร็จเพื่อแลกกับข้าวกินไปวันๆ ดูจากสภาพแล้วเด็กเหล่านี้มีหน้าที่เกือบทุกอย่างของขั้นตอนการทำ คัด แยก จัดเรียง ไปจนถึงบรรจุหีบห่อ

ผมเดินตามวิณณ์และจ่าเติมสำรวจไปรอบๆ จนมาถึงห้องๆ หนึ่ง จ่าเติมบอกว่านี่คือห้องที่พบศพเด็กผู้หญิงที่ชื่อ ดาว ต้องบอกว่าข้างนอกดูไม่ได้แล้ว ข้างในนี่ยิ่งกว่า มันเหมือนห้องขังเดี่ยว เหม็นๆ อับชื้น ไม่มีหน้าต่าง มีแค่ไฟดวงเล็กๆ หนึ่งดวง กับเสื่อหนึ่งผืน หมอนหนึ่งใบ และผ้าห่มบางๆ  นี่คือสิ่งที่เด็กควรจะได้รับเหรอเนี่ย  และระหว่างที่ผมกำลังยืนดูอยู่นั่น มันมีความรู้สึกแปลกๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ได้มีแค่เราสามคนในห้อง 

รู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง  และไอ้ความรู้สึกมันยังบอกอีกว่า ผมควรจะหันกลับไปมองทางด้านหลัง……… แต่ผมเดินเข้าห้องมาเป็นคนสุดท้าย และวิณณ์กับจ่าเติมก็อยู่ข้างหน้าผมตอนนี้ นั่นหมายความว่าข้างหลังผมจะต้องไม่มีใครซิ แต่ไอ้ความรู้สึกนี้มันคืออะไรวะ หรือว่าจะเป็น…….


ผี!!!!



คิดได้อย่างนั้นผมรีบเดินไปใกล้ๆ วิณณ์ เอาวะอย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนเว้ยยยยยย   แต่เอ๊ะ….ผีเหรอ ไอ้ที่ผมเป็นอยู่ก็ไม่ต่างอะไรเท่าไหร่นะ และที่สำคัญที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อมาหาผีนี่หว่า
 

กล้า กล้า หน่อยตะวัน มึงต้องหันไปมองให้จบๆ ไป ใช่ก็ดี ไม่ใช่ก็โล่งงงงงงง 


“พี่ขา”
คุณเคยเป็นไหมไอ้ตอนที่เราลังเล กำลังตัดสินใจเนี่ย จะทำดี ไม่ทำดี สู้หรือไม่สู้ ถอยหรือไม่ถอย มันมักจะมีอะไรมากระตุ้นเร่งเร้าเราเสมอ


หือ หือ ใคร๊ ใครเรียกตะวันครับ


“พี่ขา หนูอยากกลับบ้าน ช่วยพาหนูกลับบ้านหน่อยได้ไหมคะ”


“อ้ากกกกกกกกกกกกกก  ผผผผผผผผผผผผผผผผผผผี”


“เฮ้ยยยยย”   
 “ผู้กองเป็นอะไรครับ”
“เอ่อ   ป่าวๆ”  วิณณ์พูดไปก็หันมามองหน้าผม   “จ่าไปดูส่วนที่เหลือหน่อยนะ เดี๋ยวห้องนี้ผมดูเอง”
“ครับ ว่าแต่ ผู้กองไม่แป็นอะไรแน่นะครับ”
“แน่  รีบไปเถอะ”
“ครับผม”

หือออ ผมตกใจ ผมเลยตะโกน แล้วไอ้คนที่ได้ยินผมก็มีแค่วิณณ์ ผมโดนด่าแน่เลย ดีนะที่จ่าแกไม่ได้ถามอะไรมาก  และเมื่อจ่าเติมออกจากห้องไปแล้ว วิณณ์ก็เดินหน้านิ่งมาหาผมทันที

“เป็นอะไรตะวัน”
“คือ…….คือ………”
“คืออะไร  แล้วตะโกนทำไม  เห็นผี?”  ผมพยักหน้า แล้วก็ชี้มือไปยังประตูทางออกที่น้องเค้าอยู่
“ไหนอะ  ตะวันพูดซิ  วิณณ์ไม่ได้เห็นด้วย  วิณณ์ไม่รู้หรอก”

โอ้ย ใจเย็นซิพ่อคุณ นี่พ่อคุณจะไม่กลัวอะไรเลยใช่ไหม เก่งเกินไปละ ผมหันไปมองน้องคนนั้นอีกครั้ง ทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปหา
 
“เอ่อ   นะ……น้อง ชื่อ ดะ….ดาว ใช่ไหมครับ”   หือ ลิ้นมาพันอะไรตอนนี้  น้องพยักหน้าก่อนจะตอบว่า   “ใช่คะ”
“น้องจำอะไรได้บ้างไหม มาที่นี่ได้ยังไง  แล้ว ……..ตายได้ยังไง”   

“หนูหลงกับพ่อและแม่ มีผู้ชายคนหนึ่งบอกจะพาหนูไปหาพ่อกับแม่ แต่หนูก็ไม่ได้ไป”

“แล้วชื่อ หรือ นามสกุล หนูจำได้ไหม”
“ไม่ได้คะ”

“แล้วบ้านละ บ้านอยู่ไหนจำได้ไหม”   น้องส่ายหน้าตลอด นอกจากจะจำได้แค่ว่าหลงกับพ่อแม่แล้ว นอกนั้นน้องก็จำอะไรไม่ได้เลย
“แต่หนูอยากกลับบ้าน พี่พาหนูกลับบ้านได้ไหมคะ”

น้องพูดไปก็ร้องไห้ไป เด็กตัวเล็กแค่นี้ต้องถูกจับมาพรากพ่อพรากแม่ ถูกใช้แรงงาน ทารุณกรรมและสุดท้ายต้องมาตาย เพราะผู้ใหญ่เลวๆ เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว เห็นแก่เงินแท้ๆ เลย

 “ตะวัน?”  เสียงวิณณ์กระซิบเรียกชื่อผม จริงซิผมลืมไปว่ายังมีวิณณ์อีกคนอยู่ในห้องนี้ด้วย และตอนนี้ก็คงอยากรู้เรื่องมากแน่นอน ผมมองหน้าและพูดเบาให้ได้ยินแค่วิณณ์ว่า     ‘เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะ’

“น้องดาว หนูอยากกลับบ้านใช่ไหม”  น้องพยักหน้า
“งั้นเดี๋ยวพี่ตะวันจะช่วยนะ มีทั้งพี่ตะวันและผู้กองวิณณ์ช่วย หนูต้องได้กลับบ้านแน่นอน”   ผมพูดและก็ชี้มาที่ตัวเองกับคนตัวสูงข้างๆ ผม น้องมองและยิ้ม

“เห็นไหม ยิ้มแบบนี้น่ารักกว่าเยอะเลย ไม่ต้องร้องแล้วนะ”


ผมเองก็ยังไม่ได้เล่าอะไรให้วิณณ์ฟัง เพราะจ่าเติมกลับเข้ามาในห้องซะก่อน   แต่ตอนนี้ทางสะดวก เพราะผมกับวิณณ์ออกมาจากโรงงานแห่งนั้น  ส่วนจ่าเติมต้องแยกไปตามอีกคดีหนึ่ง

“นี่ ตะวัน เล่าให้ฟังได้หรือยัง” 
“อ่าฮะ”  ต้องบอกว่าผมพร้อมสุดๆ เลยละ และตอนนี้ผมก็ขยับตัวหันหน้าเข้าหาวิณณ์เพื่อเตรียมเล่าให้ฟังเต็มที่
“เด็กผู้หญิงที่เสียชีวิตที่โรงงานนั้นอะ น้องดาว เขาอยู่ที่นั่นด้วย”
“จริงอะ!!” 
“อืม……น้องดาวเขาอยู่ที่นั่นด้วย และตอนที่คุยกัน น้องเขาก็ยืนอยู่ข้างๆ วิณณ์อะ”
“ล้อเล่นปะเนี๊ยยยยยย”
“หึหึ  ไม่ล้อเล่น ไม่โกหก  เรื่องจริงล้วนๆ  ……… หืม  เดี๋ยวนะ  ทำไมต้องเสียงสูง ทำไมต้องทำตาโต อย่าบอกนะว่า…….. วิณณ์กลัว?”
“ป๊าววว”
“จริงอะ”
“จริง”
“กลัวก็ยอมรับก็ได้น้า”
“ก็บอกว่าไม่กลัวไง ทำไม อยากให้กลัวนักเหรอ ถ้ากลัวนะจะกลัวตะวันก่อนเลยดีไหม กลัวแล้วจะได้ไม่ต้องช่วยไง    อืม…..ท่าจะดีแหะ”
“เฮ้ย ไม่ดิ ไม่เอา อย่าแกล้งกันดิ ล้อเล่นนิดเดียวเอง”
“หึหึ”  ยังมีหน้ามาขำเดี๋ยวดีดปากแตกเลย 
“แล้วจะเล่าต่อได้หรือยัง”
“น้องเขาอยากให้ช่วยพากลับบ้าน”
“กลับบ้าน?”
“ใช่ น้องเขาอยากกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่”
“แล้วน้องเขามาที่นี่ได้ยังไง”

“ใจเย็นซิคร้าบบบผู้กอง  กระผมก็กำลังจะเล่าอยู่นี่ไง……..  น้องเขาหลงทางกับพ่อแม่ แล้วไปเจอผู้ชายคนหนึ่ง ก็น่าจะเป็นไอ้พวกลักเด็กนี่ละ มันบอกว่าจะพากลับบ้าน แต่สุดท้ายก็พามาที่นี่แทน น้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ไม่รู้ รู้แค่นานพอที่น้องจะจำไม่ได้ทั้งชื่อพ่อชื่อแม่ ชื่อตัวเอง บ้านอยู่ที่ไหน จังหวัดอะไรก็ไม่รู้”

“เวร  ถ้าจะงานยุ่งเลยทีนี้  เห้อ”
“น่าสงสารน้องเขาเนอะ เป็นเด็กตัวเล็กนิดเดียวต้องมาเจอคนใจร้ายในสังคมสมัยนี้ ไอ้พวกแรงงานทาส แรงงานเด็ก แรงงานเถื่อน นี่นึกว่าจะหมดยุคไปหมดแล้วนะ”
“นี่….”
“หะ!  เรียกเสียงดังทำไมเนี่ย  อยู่ใกล้แค่นี้” 
“ใจเย็นดิ ตั้งแต่ขึ้นรถมาทั้งพูด ทั้งบ่นไม่หยุดเลยนะ เป็นวิญญาณต้องพูดเยอะขนาดนี้ไหม หรือพูดเยอะตั้งแต่ตอนเป็นคน”
“ตะวันก็เป็นแบบนี้แหละ จะเป็นคนหรือวิญญาณก็พูดเยอะแบบนี้  เว้นก็แต่…..”
“แต่?  แต่อะไร”
“มะ……ไม่มีอะไรหรอก   ว่าแต่เราจะช่วยน้องเขายังไงดี  ข้อมูลที่มีก็ตีเป็นศูนย์”
“เฮ้ออ ถ้าจะถามจากเด็กๆ ด้วยกัน ก็ไม่น่าจะรู้ เพราะต่างคนก็ต่างที่มา ไอ้ตัวเจ้าของโรงงานเองคิดว่าก็ไม่น่าจะรู้ แต่วิณณ์จะลองสอบปากคำมันก่อน”
“……”
“แต่ยังมีอีกทางหนึ่ง”
“ทางไหน  วิณณ์รีบบอกดิ อย่าลีลา”
“ใจเย็นซิครับ ทางเดียวคือ เราจะต้องกลับไปที่โรงงานนั้นอีกครั้งและไปหาหลักฐานเพิ่ม เผื่อจะมีข้อมูลของเด็กที่ไอ้เจ้าของโรงงานนั่นเก็บไว้บ้าง  และก็อาจจะถามข้อมูลเพิ่มจากน้องเขาด้วย”





ผมกับวิณณ์ตัดสินใจกลับมาที่โรงงานในตอนกลางคืนอีกครั้ง มาตอนกลางวันก็ไม่ได้ ชิส์ แต่ก็นะอยากคุยกับผี ก็ต้องมาช่วงที่คุยกับผีได้สะดวก และไม่มีใครรบกวน

หึ่ยยย มืดอะ บรรยากาศก็  โคตร  ชวน  คิด  หืออออ น่ากลัวววววววว


ปึก!!!!

เหวอออ    มองอย่างอื่นเพลินจนลืมมองทาง โดนดุอีกแน่เลย

“ตะวัน เป็นอะไร”
“ปะ….เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”
“แล้วมองอะไรอยู่  เห็นหันซ้ายหันขวาอยู่นั่นแหละ”
“ก็…….”
“……….”

“ก็    บรรยากาศมัน…….มัน  ชวน ขน ลุก”  ท้ายประโยคผมพูดเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ  อายโว้ยย ต้องมายอมรับว่าเป็นผีที่กลัวผีเนี่ย

“หึหึ  เอาแต่แซวคนอื่น ว่ากลัวผี ที่แท้ตัวเองก็กลัวเอง”
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะ เรายังเป็นแค่วิญญาณ เชอะ”  ล้อดีนักนะ  จำไว้เลย

พวกเราเดินเข้ามาด้านในของโรงงาน ตอนกลางวันที่ว่าน่าสะพรึงแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับตอนนี้ น่าสะพรึงกว่าอีก  ทั้งกลิ่น ทั้งบรรยากาศ ข้าวของที่วางระเกะระกะไปทั่ว พวกเราเดินไปที่ห้องทำงานที่คาดว่าน่าจะมีเอกสารอะไรเก็บไว้บ้างอย่างน้อย ก็ประวัติหรือรูป หรือข้อมูลอะไรก็ได้ที่พอจะช่วยได้

“ตะวัน    นี่…..ตะวัน”
“หะ….”
“ลองเรียกน้องเขาออกมาถามซิ”
“เออจริง  ลืมไป”
“น้องดาว  …… น้องดาวครับ”


---------------  เงียบ  ---------------


“น้องดาว นี่พี่เอง ออกมาเถอะครับ”
.
.
.
.
.
“พี่ขา”
“เฮ้ย!!!”  ตกใจอีกแล้วกู คราวนี้ไม่ได้มาแค่เสียง แต่น้องแกเล่นมายืนข้างๆ พร้อมกับจับมือผมไว้
“น้องดาว  โหยย  พี่ตกใจหมดเลย”

“คิกคิก” แหนะ ยังมีการมาหัวเราะอีกนะ นี่สรุปน้องไม่เครียดอยากกลับบ้านแล้วชิปะ

“พี่กับพี่วิณณ์ มีเรื่องอยากจะถามน้องดาวหน่อยคะ …… น้องดาวพอจะจำอะไรได้บ้างไหม อะไรก็ได้ที่พอจะบอกพวกพี่ได้อะคะ  อย่างเช่น….
บ้านอยู่ที่ไหน อยู่ใกล้อะไรที่พอจะสังเกตได้  หรือ พอจะนึกชื่อหรือนามสกุลได้ซักนิดนึง”

น้องทำท่าคิดหนัก ผมรู้ว่ามันยากที่จะนึกออก เพราะเอาเข้าจริงตอนแรกที่วิญญาณผมหลุดออกจากร่าง ผมยังลืมเลยว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงไปอยู่ตรงนั้น  น้องเองก็ยังเด็ก น่าจะถูกจับมานานพอสมควรด้วย และที่นี่ก็ยังเป็นที่ๆ ถ้าเราอยู่ไปนานๆ มันคงทำให้เราลืมวันลืมคืน ลืมอะไรต่อมิอะไรได้ง่ายๆ

“หนูไปเที่ยวงานวัด  แล้ว……ที่นั่นก็มี พระ     พระพุทธรูปองค์โตๆ สีทอง นั่งอยู่ในโบสก์ องค์ใหญ่มากเลยคะ   และ……..     และเหมือนยังมี องค์พระที่เหมือนกันอยู่ด้านนอกด้วยคะ แต่ว่า ด้านนอกดูเก่าๆ มีแต่อิฐเก่าๆ ไม่สวยเลยคะ”

‘พระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่ๆ สีทอง และมีองค์เก่าๆ อิฐเก่าๆ อีกงั้นเหรอ’ ผมได้ยินวิณณ์พึมพำเหมือนบ่นกับตัวเอง  ว่าจะง่าย  นี่ทำไมคิดว่ายากขึ้นมาอีกแล้วละเนี่ย 

หลังจากที่สอบถามข้อมูลจากน้องดาวมาได้  และถึงแม้ข้อมูลจะน้อยนิดแต่ก็ต้องเริ่มจากตรงนั้นนะแหละ พวกเราเดินดูเพื่อหาข้อมูลเอกสารอะไรเพิ่มเติมอีกซักนิดหน่อย จนไปเจอลิ้นชักข้างโต๊ะทำงาน แต่มันล๊อค วิณณ์เลยจัดการงัดแงะสักพักก็สามารถเปิดออกมาได้  ในนั้นมีประวัติข้อมูลของเด็กทุกคน วิณณ์ดูผ่านๆ ตาและตั้งใจหยิบกลับออกมาด้วย


“นี่วิณณ์ ทำยังไงกันต่อดีอะ มีแค่ข้อมูลพระพุทธรูปแค่นี้ตามที่น้องบอกมา แล้วในเมืองไทยนี่วัดก็โคตรจะเยอะ ไม่ต้องเอาทั้งประเทศก็ได้
แค่ในกรุงเทพนี่ก็หากันตาลายแล้วอะ………….
หืออออออ  งานแรกก็ยากขนาดนี้แล้วเหรออ”

“หึหึ”
“หัวเราะอะไรไม่ทราบ”
“เปล๊าๆๆ”
“แน่ใจ๊”  ผมหันไปมองหน้า ทำตาขวาง  เดี๋ยวปั๊ดจับหักคอ
“ก็….แค่…..สงสัย”
“…………”
“ยิ่งอยู่ ยิ่งบ่น เหมือนคนแก่เลยเนอะ”
“โว๊ะ  ใครแก่ ไม่คุยด้วยแล้วโว้ยยย”  ผมทำปากบ่นขมุบขมิบ  หันหน้าออกนอกรถ คิดเรื่องวิธีช่วยน้องดาวดีกว่า ขี้เกียจจะเถียงด้วยละ

“แต่…. มัน คุ้นๆ นะ”
“อะไรคุ้น?”  เสียงของวิณณ์ทำให้ผมต้องหันกลับไปถามอย่างอยากรู้
“พระพุทธรูปที่น้องพูดถูก  มัน คุ้น   แต่…..ยัง  นึก  ไม่ออก”   

วิณณ์พูดออกมาช้าๆ พลางคิดไปด้วย ผมก็มองหน้าตามเพราะอยากรู้ว่าจะคิดอะไรได้อีกไหม  แต่พอมองๆ ไป มันก็เพลินดีนะ มองมุมข้างนี่ดูแล้วรู้สึกละมุน อบอุ่นดีแฮะ  ปกติผมมองแต่หน้าตรงๆ ความจริงมุมตรงก็ดูดี ดูหล่อ แต่เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นคนแก่ตลอดเวลา  และมันยิ่งทำให้หน้าดู……ดุ

“มองอะไร”
“ก็มองคนชอบทำหน้าแก่เวลาคิด”

วิณณ์ไม่ได้ตอบอะไร แค่ทำเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ คนบ้าอะไรวะนิสัยขัดกับบุคลิกชะมัด  อยู่ต่อหน้าคนอื่นชอบทำหน้านิ่งๆ ขรึมๆ  จริงจังมากเวลาอยู่ในหน้าที่ และตั้งใจกับการทำงานตลอด  แต่ใครจะรู้ว่ามีมุมกวน ทะเล้น คนอื่นเขาด้วย ซึ่ง….ต่างจากผมที่เมื่อสนิทกับใครแล้ว ก็จะชอบทำตัวบ้าๆ บอๆ ไปวันๆ  จนเพื่อนชอบเรียก  ‘ไอ้ต๋อง’  ผมชอบที่จะทำตัวแบบนี้ ไม่ได้โกรธด้วยที่เพื่อนจะเรียกแบบนั้น เพราะเวลาเห็นคนอื่นหัวเราะและยิ้มในสิ่งที่ผมทำ ผมโคตรมีความสุข  แต่……
ก็มีบางคนที่ไม่ชอบ…. เขาไม่ชอบในสิ่งที่ผมเป็น ไม่ชอบให้ผมแสดงออก ทำท่าทำทางหรือพูดจาตลกอะไรก็ตามเวลาที่อยู่ด้วยกัน  ผมเลยกลายเป็นคนที่เงียบ ไม่พูดมาก ต้องทำตัวให้ดูดีเสมอเวลาอยู่กับเขา เหตุผลก็คือ   

‘สิ่งที่ผมทำมันดูโง่ และไร้สาระ’


ทั้งที่บางทีผมก็อยากจะเป็นตัวของตัวเองมากกว่า  มันเลยกลายเป็นว่าผมต้องฝืนตัวเองเสมอ  จนบางที ก็…..อึดอัด



“ตะวัน ถ้าจะให้บอกลักษณะของน้องดาว ทำได้ไหม”
“ก็ได้นะ”

แทนที่จะกลับคอนโด วิณณ์ขับรถพาผมที่ สน.  ตอนสามทุ่มเนี่ยนะ  มีงานด่วนอะไรหว่า ผมมองดูแฟ้มเอกสารที่เอามาจากโรงงาน ในนั้นมีข้อมูลรายชื่อเด็กเป็นสิบๆชื่อ บางชื่อมีกากบาทสีแดงขีดทับไว้ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่เรื่องที่ดี  ข้อมูลของแต่ละคนมีแค่ชื่อเล่น วันเวลาที่เจอและพาตัวมาตัวทำงาน ซึ่งในแต่ละแผ่นมีรูปถ่ายของเจ้าของชื่อติดอยู่ด้วย  จากข้อมูลเหล่านี้เด็กแต่ละคนถูกพาตัวมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี  บางคนอยู่นานสุดถึง 10ปีก็มี
 
อะไรกัน นี่เด็กเหล่านี้ต้องมาอยู่ในสภาพนี่กันนานขนาดนี้เลยเหรอ ผมเปิดไปจนเจอข้อมูลของดาว ถ้าให้เดาตอนนั้นน้องน่าจะประมาณ 4-5ขวบ  ดูจากวันที่บันทึกไว้น้องอยู่ที่นี่มา 7 ปีแล้ว งั้นอายุน้องตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 10-15ปี
ให้ตายซิ  จริงเหรอเนี่ย!!!  ถ้าเป็นผมจะทำยังไงวะ จะทนได้ไหม




ก๊อก ก๊อก 

“ผู้กองขออนุญาติครับ”
“เชิญครับ….”   นายตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามา ยังหนุ่มอยู่เลยแฮะ  “จ่ามิ่ง  ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วย…..ผมอยากจะเสก็ตภาพเด็กคนนี้”  วิณณ์พูดพร้อมกับยื่นเอกสารที่มีรูปของน้องดาวให้จ่าคนนั้นดู
“เด็กคนนี้เหรอครับ”
“ใช่  ผมคิดว่าตอนนี้น้องจะอายุอยู่ในช่วง 10-15ปี หน้าตาน่าจะเปลี่ยนไปจากเดิม แต่คงไม่มาก”  พูดเสร็จก็หันมาทางผม  อ๋อออออ ผมเข้าใจละ จะให้ผมบอกหน้าตาน้องดาวให้จ่าคนนี้เสก็ตละซิ
“มันค่อนข้างยากนิดนึงนะครับผู้กอง ภาพไม่ค่อยชัด อาจจะทำให้รูปที่ออกมาไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่  แต่ผมจะพยายามครับ  โปรแกรมจำลองอายุและลักษณะทางกายภาพน่าจะพอช่วยได้อยู่”
“ดีมากจ่า ใช้คอมพิวเตอร์ในห้องผมนี่แหละ”
.
.
.
“อ้อ   แล้ว ก็ เรื่องนี้…. เป็นความลับทางราชการนะจ่า”
“รับทราบครับผม”

จ่ามิ่งนี่เก่งแฮะ ดูจากท่าทาง วิธีการทำงานน่าจะเป็นนักคอมพิวเตอร์มากกว่าตำรวจนะ ที่สำคัญยังหนุ่มและก็หน้าตาน่ารักด้วย
“จ่ามิ่งเป็นผู้ชำนาญการทางด้านระบบสารสนเทศของ สน.”  วิณณ์กระซิบบอกผม  มิน่าละ ถึงได้เก่ง

“วิณณ์ ตาต้องโตกว่านี้”  ผมบอกออกไป
“จ่า ผมขอตาโตกว่านี้หน่อย” พูดเสร็จก็หันมามองผม ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบกลับไป ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าวิณณ์เป็นล่ามรับส่งข้อความระหว่างผมกับจ่ามิ่ง ติดตรงที่ผมรู้  แต่จ่ามิ่งไม่รู้นะซิ
“แบบนี้ได้ไหมครับผู้กอง”

“ใช่ / ใช่จ่า”    ผมพูด วิณณ์ก็พูดตาม

“หน้าเรียวกว่านี้  จมูกโด่งขึ้นอีกนิดนึง  /  หน้าเรียวกว่านี้หน่อย  จมูกโด่งอีกนิดนึงจ่า”

“ผมบ๊อบ สั้นประมาณติ่งหู แล้วก็หน้าม้า  /  ผมบ๊อบ สั้นประมาณติ่งหู  หน้าม้า ด้วยจ่า”

“ครับผู้กอง”  ใช้เวลาไม่นาน รูปที่จ่ามิ่งเสก็ตก็เสร็จ ผมตรวจดูก่อนจะพยักหน้าว่าใช้ได้แล้ว
“เยี่ยมมากจ่า  ช่วยปริ้นให้ผมซักสองสามแผ่นนะ”

จ่ามิ่งรับคำ ก่อนจะถามว่า  “ทำไมผู้กองถึงรู้ละครับว่า  ตาต้องโต หน้าต้องเรียว จมูกต้องโด่ง และผมต้องประมาณนี้”

“ผมแค่เดานะ เด็กเมื่อโตขึ้น พัฒนาการทางร่างกาย โครงสร้างต้องชัดเจนขึ้นอยู่แล้ว ดูจากรูปน้องคนนี้ก็หน้าตาน่ารัก  ผมก็เลยเดาๆ เอานะ ส่วนเรื่องผม  ผมก็แค่อยากให้เหมือนกับตอนที่น้องเขาถูกลักพาตัวมามากที่สุด”

“ครับ  ผู้กองนี่สุดยอดจริงๆ     เอ่อ   ถ้าผู้กองไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ตามสบาย  ขอบคุณมากนะจ่า”
“ครับผม”

“แหมมม ฉลาดจัง เข้าใจตอบคำถามได้ดีนะผู้กอง”  ผมพูดทันทีที่จ่ามิ่งออกไป
“ก็………..ของมันแน่อยู่แล้ว”
“แหวะ  ไม่ค่อยหลงตัวเองเลยคร้าบบบบ   แล้ว…นี่หาอะไรอยู่เหรอ”   แหนะ หยิ่งนะเรา ถามก็ไม่ตอบ แต่ผมหาได้แคร์ไม่   ไม่ตอบ เสนอหน้าไปดูเองก็ได้ 

อ่อออ   ที่เลื่อนไปเลื่อนมา ที่แท้หารูปพระกับรูปวัดนี่เอง สงสัยจะหาวัดที่น้องดาวบอก  ผมขยับตัวเองให้เห็นได้ถนัด เพื่อจะได้ช่วยดู ช่วยส่องไปด้วย 


พระพุทธรูปนั่ง องค์ใหญ่ๆ สีทอง งั้นเหรอ 


ไหน
.
.
.ไหน
.
.
.
ไหนน้า
.
.
.
อะ…..นั่น  แว่บๆๆๆ


“วิณณ์ๆ   เดี๋ยววิณณ์    หยุดก่อน…………..เลื่อนขึ้นข้างบนหน่อย…………เร็วซิ…………..เลื่อนขึ้นบน   ไปอีก ไปอีก……


หยุดๆ.......….. นี่ๆ อันนี้…….คลิกเข้าไปเลย……….. คลิกเลย……. คลิกเข้าไปเลย…………….เร็ววว........นั่น….นั่นไง…..นั่นอะ


..............ใช่ไหม  วิณณ์ดู……ใช่ไหม”   รูปนั้นเป็นรูปพระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่  องค์สีทอง อยู่ตรงกลางโบสก์


“ก็อาจจะนะ  ยังไงคงต้องลองไปดู”

“เยสสส  เป็นไง  ตะวันเก่งป่าวว”


“หึหึ”       O_O  เฮ้ยยย ทำไรอะ อยู่ดีๆ ก็เอามือมาขยี้หัวผมเล่น ดูดิเสียทรงเลย  ว่าแต่ผมจะตื่นเต้นทำไมวะ  แปลกคน






“วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรีเหรอ          ตะวัน..............พรุ่งนี้ ไปกัน”

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตาม ๆ ไปด้วยคนนะ  :m7:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 เริ่มสนิทกันละ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จะใช่วัดนี้ไหมหนอ
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 6  ใช่หรือไม่

“ยังไม่นอนเหรอ ทำอะไรอยู่อะ” ผมที่เห็นว่าวิณณ์ยังไม่ได้เข้ามาในห้องเลยเดินออกมาดู วิณณ์ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ เปิดเลื่อนๆ เหมือนกำลังหาอะไรอยู่
 
“อืม ดูอะไรนิดหน่อยอะ”  ผมเดินเข้าไปใกล้และชะโงกเข้าไปดูที่หน้าจอคอม อ่ออ ศูนย์รวบรวมข้อมูลเด็กหายอย่างนั้นเหรอ รู้สึกผิดเลยแหะ นี่มันเป็นเรื่องของผมด้วยส่วนหนึ่ง แต่ผมกลับไม่สนใจ ปล่อยให้คนอื่นทำอยู่คนเดียว ถึงวิณณ์รับปากว่าจะช่วยผม  แต่ก็ดูเหมือนผมเห็นแก่ตัวเลยวะ

“วิณณ์…..”

“……….”

“ขอโทษนะ เราโคตรเห็นแก่ตัวเลยวะ ปล่อยให้วิณณ์ทำอยู่คนเดียว”

“เฮ้ย อย่าคิดมากดิ ถึงแม้ตะวันไม่ได้มาขอให้วิณณ์ช่วย หรือมาขอแล้ววิณณ์ไม่ช่วยก็ตามเหอะ มันก็เป็นหน้าที่ของวิณณ์อยู่แล้วที่ต้องทำ”

“โหยยยย กำลังจะซึ้ง ช่วยพูดแบบ ‘วิณณ์ยินดีทำทุกอย่างเพื่อตะวัน’ หรือ ‘เพราะเป็นตะวันวิณณ์ถึงช่วย’ อะไรแบบนี้บ้างดิ”

“หืมมมม นี่เป็นวิญญาณที่ชอบบ่นชอบพูดแล้ว ยังเป็นวิญญาณที่มโนเก่งอีกนะ”

“ฮาาาาา  เพิ่งรู้เหรอ”

“หึหึ” 

“อารมณ์ดีขึ้นแล้วซินะ เมื่อกี้นึกว่าตาลุงที่ไหนเข้าห้องผิดมาซะอีก”

“น้อยๆ หน่อย ลุงเลยเหรอ หะ….”

“โอ้ยยยยยย  คิดว่าเจ็บไหมเนี่ย  นี่เห็นว่าจับตัวได้เลยจะไม่กลัวกันเลยว่างั้น”  อยู่ดีๆ ก็มาดีดหน้าผากทำไมเนี่ย ผมเป็นวิญญาณนะครับ ทำอะไรเกรงใจคำนำหน้าผมด้วย ว่าแต่สิ่งที่วิณณ์กำลังดูอยู่มันกระตุ้นต่อมเผือกมาตะหงิดๆ แหะ
.
.
.
.
.
.
“แล้วนี่หาอะไรได้บ้างแล้วอะ”

“ก็ลองเข้ามาหาข้อมูลเพิ่มเติม เผื่ออาจจะมีพ่อแม่หรือครอบครัวน้องเขาแจ้งข้อมูลคนหายไว้บ้าง แต่ก็….ไม่มี”

ดูจากสถิติย้อนหลังไป 12ปี มีคนหายมากกว่า 3000คน มีทั้งผู้ใหญ่ เด็ก ผู้หญิงและผู้ชาย ข้อมูลการหายที่ติดอันดับต้นคือการหายแบบสมัครใจ รองลงมาคือจากภาวะความเจ็บป่วยของร่างกาย คือ โรคสมองเสื่อม ถัดมาคือการล่อลวงทางเพศ และการค้ามนุษย์ ซึ่งน้องดาวก็เป็นหนึ่งในประเภทของการค้ามนุษย์

“ที่มีข้อมูลการแจ้งคนหายยังเยอะขนาดนี้ แล้วที่ไม่มีละจะเยอะขนาดไหน”

“ก็อาจจะเยอะพอดู เพราะพ่อแม่หรือครอบครัวบางครอบครัวก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไง ไม่เข้าใจเรื่องกฎหมายและก็ยังทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้รักษากฎหมายหรือหน่วยงานของรัฐ”

“ก็จริง แต่ตะวันคิดว่าตำรวจดีก็มี ที่ไม่ดีก็มี อย่างวิณณ์ไงเป็นตำรวจที่ดีสุดๆ แถมยังหล่อด้วย  ^____^”

“ผมก็ยอมช่วยเรื่องที่ขอแล้วไงคร้าบ ไม่ต้องมายกยอ ยกหางผมอีกหรอกคร้าบบบ”

“เปล่า นี่พูดจริงนะ”

“หึหึ  ตะวันไปพักก่อนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องไปกันแต่เช้า”

“ครับผม”
.
.
.
.
.
.
ตอนนี้พวกเราอยู่บนรถและกำลังมุ่งหน้าไปยังจุดหมายคือ สุพรรณบุรี ผมก็ไม่รู้ข้อมูที่เรามีและหาได้มันจะใช่ไหม แต่ก็คงดีกว่าจะมานั่งคิดเฉยๆ ถ้าไม่ใช่เราก็ตัดทิ้งแล้วเริ่มใหม่ แต่ถ้าใช่ก็ดีไป ถือซะว่าโชคเข้าข้าง เราออกเดินทางกันตอน 7โมงเช้าเพราะวิณณ์บอกว่าจะได้ใช้เวลาให้คุ้มค่าไม่เสียไปเปล่าๆ

ผมไม่ค่อยรู้เส้นทางมากหรอกครับ ไปไหนมาไหน ก็รถเมล์ และไปไม่กี่ที่ มหา’ลัย บ้าน และคอนโด แต่จากเท่าที่มองเส้นทางมาตลอด ผมคิดว่าอยู่ในช่วงของจังหวัดนนทบุรี และมีป้ายเขียวบอกเส้นทางสามารถไปสุพรรณบุรีได้อยู่ตลอดทาง

“วิณณ์ อีกไกลไหม”

“ก็อีกประมาณ ชั่วโมงหนึ่งได้นะ เบื่อเหรอ”

“เปล่า แค่อยากรู้”  อีกประมาณชั่วโมงหนึ่งเหรอ งั้นเราก็น่าจะถึงที่หมายประมาณ 9.30 ได้นะซิ ตื้นเต้นจัง ขอให้ใช่ทีเถอะ แต่ถ้าใช่แล้วจะไปหาพ่อกับแม่ของน้องได้ต่อยังไงละ บ้านน้องอยู่ไหนก็ไม่รู้ ที่น้องมาวัดนี้ก็เพราะมาเที่ยว แล้วคนในวัดจะมีใครจำได้ไหมอะ 7ปีที่น้องหายไป จะมีใครจดจำได้บ้างก็ไม่รู้ เหมือนจะง่ายๆ แต่พอคิดขึ้นมา ยากอีกแล้ว  เอาวะ อย่าเพิ่งท้อ เพิ่งงานแรก เพิ่งเริ่มต้น มาท้อตัดกำลังใจตัวเองเพื่อ?   ของอย่างนี้มันต้องลองทำก่อน 

ไม่นาน เราก็เข้าตัวจังหวัดสุพรรณบุรี จาก GPS บอกว่าอีกประมาณ 20นาที เราก็จะถึงที่หมาย กันแล้ว  ผมมองสองข้างทางจนเพลิน เพราะทางที่เราไปวัดต้องบอกว่ามีบ้านเรือน ร้านค้า เยอะแยะไปหมด อะไรก็น่าสนใจไปหมด  วิณณ์จอดรถชิดซ้าย จากตรงนี้ผมมองเห็นซุ้มทางเข้าวัดตั้งตะหง่านอยู่ตรงหน้า

“นี่ตะวัน  เรามีเรื่องอยากถาม”

“ถามว่า…..”

“ตะวันเข้าวัดได้เหรอ”

“ไม่รู้อะ”

“อ้าว…..”

“ไปเหอะ ลองดู เข้าได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที”  ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่หว่า ว่าจะเข้าได้ไหม แล้วสร้อยที่ท่านกาลเวลาให้มาจะทำให้ผมมีสิทธิพิเศษถึงขนาดไหนผมก็ไม่รู้  วิณณ์มองหน้าผมก่อนจะขับรถออกไปอีกครั้ง อารมณ์ตอนนี้เหมือนผมกำลังจะผ่าน ตม เพื่อตรวจว่าผมควรมีสิทธิ์เข้าประเทศเขาหรือไม่


ตึก


ตึก


ตึก


ผมกำลังคิดว่าจะต้องกรีดร้องยังไงให้ไม่ดูทุเรศ  จะต้องร้องโหยหวนท่าไหนให้ดูดีที่สุด มันจะเหมือนในหนังในละครหรือเปล่า เวลาผีหรือวิญญาณเจอน้ำมนต์สาด หรือโดนข้าวสารเสกปาใส่ จะต้องกรี๊ด กรี๊ด แล้วนี่ผมต้องเข้าวัด อาจจะอาการหนักกว่าก็เป็นได้นะ
 
ผมรู้สึกว่าทำไมรถมันแล่นช้าจังวะ 


ตึก………ตึก      ผะ………...ผ่าน แล้วโว้ยยยยยยย   


ผมผ่านประตูเข้ามาโดยที่ไม่มีอาการอะไรผิดปกติซักนิ๊ดดดดเดียว  (เออ คิดไปคิดมา ผมคงดูหนังมากเกินไปจริงๆ)

“สงสัย ทฤษฎีในหนังในละคร คงเชื่อถือไม่ได้ 100%  นี่ผีเข้าวัดมาไม่เห็นร้องสักแอะ”   ผมหันไปค้อนขวับ นั่นปากเหรอที่พูด มันน่าดีดให้ปากแตกนัก  วิณณ์ขับรถมาจอดใกล้กับศาลาริมน้ำ ก่อนที่จะทำการอะไรลงไป ผมหันไปถามความเห็นวิณณ์อีกครั้งนึง

“วิณณ์ แล้วเราจะเริ่มจากตรงไหน”

“ตะวันรออยู่นี่ก่อนนะ” 

“อ้าว จะไปไหนอะ วิณณ์”  วิณณ์ไม่ตอบ แล้วก็เดินไป ทิ้งให้ผมนั่งรอวิณณ์อยู่ที่เดิม นี่ก็ไปนานแล้งนะยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา
.
.
.
.
“ไอ้หนุ่ม” ผมหันไปตามเสียงที่ได้ยิน  ตรงหน้าคือผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ใส่ชุดโบราณคล้ายทหาร
“ครับ”


“เจ้าไม่ใช่วิญญาณที่อยู่แถวนี้  เจ้ามีธุระอะไรที่นี่อย่างนั้นรึ”
“ผมมาตามหาคนครับ”


“เป็นวิญญาณแต่มาตามหาคนงั้นรึ”
“เอ่อ คือ จริงๆ ผมช่วยวิญญาณอีกทีนะครับ”


“ดูท่าจะซับซ้อนนะ แล้วเจ้ามาตามหาใครละ”
“ผมมาตามหาญาติของวิญญาณเด็กที่มาขอให้ช่วยนะครับ วิญญาณเด็กคนนั้นถูกลักพาตัวไปและถูกฆ่าตาย เขาจึงมาขอให้ผมช่วยตามหาญาติและพากลับบ้าน....

เอ่อ…..ท่านพอจะช่วยได้ไหมครับ พอจะจำได้ไหมว่ามีเด็กหายที่นี่บ้างไหม หรือพอจะบอกได้ไหมครับ ว่าผมจะหาได้ที่ไหน”


“มันคือเรื่องของเจ้าที่ต้องจัดการเอง เราไม่มีหน้าที่เข้าไปยุ่ง”
“แต่พวกผมมีแค่ข้อมูลน้อยนิดที่วิญญาณเด็กพอจะจำได้เองครับ”


“ลองว่ามา”
“วิญญาณเด็กตนนั้นจำได้แค่ว่า ก่อนที่จะถูกจับไป เขามาเที่ยวกับพ่อแม่ที่มีพระพุทธรูปนั่ง สีทอง องค์ใหญ่”


“พระพุทธรูปแบบที่เจ้าบอกไม่ได้มีที่วัดนี้วัดเดียว เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นที่นี่”
“ผมทราบครับ แต่ผมก็อยากลองทำทุกทางที่พอเป็นไปได้ครับ”


“เราคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้  เราทำได้แค่อนุญาติให้เจ้าเข้าออกที่นี่ได้ เพื่อทำสิ่งที่เจ้าต้องทำ  และเราจะไม่ยุ่งเรื่องของเจ้า  ตราบเท่าที่เจ้าไม่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นที่นี่…..
อำนาจและสิทธิ์ที่เจ้าได้รับไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถใช้ได้ในทุกสถานที่ แต่ละสถานที่มีเจ้าของ มีผู้ดูแลที่ถืออำนาจและสิทธิ์อยู่แล้ว และก็เจ้าคงไม่ได้โชคดีเสมอไป ที่จะเจอผู้ดูแลแบบเรา เพราะฉะนั้น จงพึงระวังไว้ เราเตือนเจ้าได้เท่านี้”


 
ท่านผู้ดูแลพูดขึ้นมาแล้วก็หายไป  มันหมายความว่ายังไงนะ  ท่านกาลเวลาบอกว่า สร้อยนี้จะทำให้ผมต่างจากวิญญาณเร่ร่อนทั่วไป ผมคิดทบทวน ผมสามารถออกไปไหนมาไหนได้ไม่ว่าจะเช้าหรือมืด วิณณ์สามารถพูดคุย สัมผัสตัวผมได้  และตอนที่ผมไป สน. ท่านเจ้าที่ที่เห็นสร้อยนี้ยังยอมให้ผมผ่านเข้าไปได้ แล้วจะมีอะไรที่ต้องกังวลอีกเหรอ



“ตะวัน    ตะวัน”
 
“หะ..”

“คิดอะไร เรียกหลายรอบแล้ว ไม่ได้ยินเหรอ”

“เปล่า  ไม่มีไร  แล้วได้เรื่องอะไรไหม”

“วิณณ์ไปถามคนแก่ๆ แถววัดมา มัคทายก หรือพระที่ท่านจำพรรษามานาน ท่านบอกว่า ในช่วง 10ปีที่ผ่านมา มีคนหายอยู่บ่อยมาก แต่ที่สำคัญๆ ก็จะมีอยู่ 5คน สองคนแรกเป็นผู้ชายโกหกครอบครัวว่ามาเที่ยวงานวัด และหนีไปอยู่กับเพื่อน ตามประสาเด็กวัยรุ่นที่คึกคะนอง  แต่ครอบครัวก็ตามเจอแล้ว  คนที่สามเป็นคุณยายที่มีอาการหลงลืม ชอบหายออกจากบ้านบ่อย วันนั้นลูกหลานพามาไหว้พระก็พลัดหลงกัน กว่าจะตามหาเจอก็หลายเดือนอยู่เหมือนกัน ส่วนอีกสองคน เป็นเด็กผู้หญิงทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นหลานสาวของมัคทายกเอง พอดีวันนั้นมีงานวัดและหลานขอตามมาด้วย พอเผลอแปปเดียวก็หายตัวไป ตอนนี้ยังหาตัวไม่เจอ”

“แล้วน้องดาวใช้หลานของเขาไหม”

“เราให้ดูรูปแล้ว ไม่ใช่อะ”

“ว้าาาาาาา  ไม่ใช่เหรอเนี่ย แล้วอีกคนละ”

“อีกคนแกบอกว่า เป็นเด็กจากกรุงเทพที่มาเที่ยวกับพ่อแม่ แต่แกก็ไม่รู้หรอกว่าเจอหรือยัง หรือเป็นยังไงบ้างลุงแกก็จำไม่ได้ว่า  เด็กที่หายกับน้องดาวที่เราตามหาจะเป็นคนเดียวกันไหมแกก็ไม่รู้  เพราะมันนานมากและที่สำคัญช่วงนั้นแกจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเพราะคิดแต่เรื่องหลานตัวเอง”

เห้อออ งานยากของจริง ตัดทางเลือกไป 4 ราย ตอนนี้เหลืออีกหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ เหมือนดูจะง่ายเพราะเหลือแค่หนึ่งทาง แต่ไอ้หนึ่งทางนี่ละที่ยาก จะเริ่มต้นหาจากตรงไหน พ่อแม่เป็นใครอยู่ที่ไหน บ้านช่องห้องหออยู่ส่วนไหนถามไปก็คงไม่มีใครรู้ เรื่องมันผ่านมาทั้ง 7-8 ปีแล้ว


“โอ้ยยยยยยยยย กลุ้มมมมมมมมม”   

“นี่จะเสียงดังทำไม”

“ไม่มีใครได้ยินหรอกน่า”

“แต่วิณณ์ได้ยินอยู่นี่ไง”

“ชิส์”  ผมเบะปากมองบน ก็คนมันกลุ้มนี่หว่า ไอ้พวกหนัง พวกซี่รีส์สืบสวนสอบสวนผมนะโคตรชอบดูเลย แต่พอมาให้ทำจริงมันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย นึกว่าจะได้ทำตัวเป็น CSI ซะหน่อย  แต่เป็นได้แค่ โมริ โคโกโร่ ตาหนวดนักสืบผู้ไม่มีอะไรดีเลย ถ้าไม่ถูกโคนันใช้เข็มยาสลบจิ้มก่อนคลี่คลายคดี ก็คงเป็นตาแก่บ้าๆบอๆคนหนึ่ง  แต่นักเขียนก็ยังเขียนให้เปลืองหน้ากระดาษเล่น
เดี๋ยวๆ ผมเวิ่นยาวไป กลับเข้าเรื่องดีกว่า


ผมเดินตามวิณณ์ ที่ดูเหมือนว่าจะเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้หันกลับมาต่อล้อต่อเถียงกับผมอีก พวกเราเดินกลับมาที่รถ ผมมองออกไปที่ศาลาริมน้ำ มีปลาออกมารอกินอาหารจากคนที่โยนลงไป  พอนึกถึงปลา ผมไม่ชอบกินปลาเพราะไม่ชอบกลิ่นคาวและสงสารพวกเขา  ตอนเด็กผมเคยตามแม่ไปตลาดตอนนั้นผมหยุดยืนมองที่แผงขายปลา พวกมันว่ายวนเวียนในกะละมังแคบๆ ผมไม่รู้ว่าพวกมันมาทำอะไรในนี้ แต่แล้วอยู่ๆ แม่ค้าก็หยิบมันขึ้นมา แล้ว โช๊ะ……....…

ผมอึ้ง ยืนร้องไห้จ้า คนผ่านไปผ่านมาก็งง ว่าเด็กอย่างผมเป็นอะไร จนแม่ต้องวิ่งมาโอ๋ แล้วตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่ยอมกินปลาอีกเลย ไม่ว่าจะประเภทไหนหรือชนิดไหน  เอ่อ….ออกทะเลอีกละ เอาเป็นว่าถึงผมจะไม่ชอบปลา แต่ก็ไม่เกลียดนะครับ


“วิณณ์ๆ  ตะวันอยากให้อาหารปลาอะ”

“ให้ยังไงละ”

“วิณณ์เป็นคนให้  เดี๋ยวตะวันยืนดูอยู่ข้างๆ”  คนตัวสูงพยักหน้าเป็นเชิงตกลง ผมยืนรอไม่นานวิณณ์เดินกลับมาพร้อมถังเม็ดอาหารปลาหนึ่งถัง และขนมปังปลาอีกหนึ่งถุง ที่จริงมีเด็กๆ หลายคนยืนให้อาหารปลาอยู่พวกมันน่าจะกินอิ่มกันแล้วนะ แต่พอวิณณ์กำอาหารเม็ดโยนลงไป ปลาก็ดีดดิ้นน้ำกระจายเพื่อมากินอาหารเม็ดกันทันที

“เหวยยยยยยย ดิ้นกันใหญ่ น้ำกระจายเลย วิณณ์ดู   ดูดิ”

“หึหึ” 

คนตัวสูงได้แต่หัวเราะในลำคอ และก็ยังโยนอาหารปลาลงไปเป็นระยะๆ  ถามว่าผมร้องทำไม น้ำกระเด็นเปียกเหรอ ป่าวครับ ก็ร้องเพราะตื่นเต้นอะ จบนะ   เด็กๆ ที่ยืนให้อาหารปลาข้างๆ ก็สนุกสนานกันใหญ่ โยนทีปลาก็ตีน้ำทีสนุกเขาละ

เฮ้.........เด็กๆ อย่าเข้าไปใกล้นักซิ เดี๋ยวก็ตกน้ำหรอก ผมยืนมองไปก็ลุ้นไป พอเด็กโยนอาหารไปทีก็พากันกระโดดโลดเต้นทำท่าดีใจ เบียดกันไปเบียดกันมา   

เฮ้ยยย เบาๆ เดี๋ยวตกน้ำจริงขึ้นมาจะยุ่ง


“วิณณ์……วิณณ์…..เฮ้ยยย!!!!”   
 

ตู้ม!!!!!    ผมเรียกวิณณ์ แต่ตายังจ้องมองเด็กๆ อยู่ นั่นไง ไม่ทันสิ้นเสียงผมเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนท่ามกลางพี่ๆ กำลังแย่งให้อาหารปลา จนถูกเบียดจนตกลงน้ำไป แล้ว…..


ตู้ม!!!!!   เสียงน้ำเสียงที่สองดังขึ้น  เห็นเสื้อแว่บๆ นั่นมันเสื้อของวิณณ์นี่นา ผมหันไปดูข้างหลัง วิณณ์ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว อาหารก็หกกระจายอยู่บนพื้น เพียงอึดใจเดียววิณณ์ก็ช่วย เด็กผู้หญิงขึ้นมาได้ น้องร้องไห้ไม่หยุด ทั้งตกใจ ทั้งกลัว ทั้งสำลักน้ำ น่าสงสารที่สุด

คนบนท่าน้ำรีบวิ่งมารับตัวเด็ก พ่อแม่ของเด็กก็วิ่งเข้ามาดูลูกของตัวเอง วิณณ์ตามขึ้นมาโดยมีผมช่วยดึง

“ขอบคุณคะ ขอบคุณมากๆ เลยคะ”  แม่เด็กร้องไห้ ทั้งยกมือไหว้ขอบคุณยกใหญ่ และเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว ต่างก็พากันแยกย้ายกันไป
 
“พ่อหนุ่ม  เปียกหมดเลยนะเรา ไปนั่งตรงนี้ก่อนไป”  คุณยายท่านหนึ่งเดินมาหาพวกผมและพยักเพยิดไปทางบ้านเล็กๆ ริมน้ำที่มีประตูติดกับรั้ววัด

“ขอบคุณครับ”





พวกเราเดินตามคุณยายมาที่บ้านของท่าน บ้านหลังเล็กสีขาวชั้นเดียวริมน้ำ ดูร่มรื่น คุณยายเดินหายไปในบ้านแล้วออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัวกับชุดใหม่

“อะ พ่อหนุ่ม เอาไปเปลี่ยนก่อนเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”

“ขอบคุณครับ”

รอไม่นาน วิณณ์เดินออกมาพร้อมกับชุดที่    พรึ…...…ฮาาาาาาา   มันเกิดจากอาการที่ผมพยายามจะกลั้นหัวเราะ มันไม่ได้ตลกอะไรเลยนะครับ แต่มันดู น่ารักดี   แต่ผมหัวเราะได้ไม่นานก็ต้องหุบปาก เพราะวิณณ์จ้องตาเขม็ง

“นี่พ่อหนุ่ม มาจากไหนกันรึ”

“มาจากกรุงเทพครับ”

“แล้วนี่มาเที่ยว หรือว่าอะไรกันละ”

“เอ่ออ  มาสืบคดีนิดหน่อยครับ ผม..…เป็นตำรวจ”   ผมเงียบฟังที่วิณณ์พูดคุยกับคุณยาย  คุณยายพูดคุยด้วยท่าทีที่สบาย แถมยังใจดี เอาน้ำกับขนมมาให้ทานด้วย แต่ผมก็ได้แต่มองเพราะวิญญาณกินได้ที่ไหนละ
 
แต่เอ๊ะ แก้วสองใบ จานสองจาน แล้วไอ้คำถามที่เวลาถามเหมือนกับไม่ได้ถามแค่วิณณ์คนเดียว และยิ่งตอนพูดที่มองหน้าวิณณ์ทีหันมาทางผมทีอีก มันดูแปลกๆ แฮะ


“อ้าว   พ่อหนุ่ม ไม่ชอบกินขนมรึ”



????????????????????



O_____O



หะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!







ตะลึง ตะลึงตะลึงตะลึง
ตึ้งตึงตึงตึง
ตะลึงตึงตึง ตะลึงตึงตึง
ตะลึงตึงตึง ตึ้งตึงตึงตึง
ตะลึงตึงตึง ตะลึงตึงตึง

อึ้ง!!!   อึ้งซิครับอึ้ง  ผมสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่ดีดดิ้นเป็นจังหวะเพลงของอนัน อันวา (ว่าแต่ผมมีหัวใจ?)
คุณยายท่านเห็นผม  เห็นผมเหรอ???

“คุณยายครับ  เอ่อ…..คุณยายเห็นเพื่อนผมด้วยเหรอครับ”

“ถามแปลก ทำไมจะไม่เห็นละ ยายยังไม่แก่ถึงขนาดสายตาฟ่าฟางนะ ยายเห็นเราสองคนตั้งแต่ให้อาหารปลาที่ท่าน้ำโน่น”

เอาละซิ นี่ทำเอาผมถึงกับงงเลยนะ ยายบอกเห็นผม อย่างนั้นยายก็ต้องคิดว่าผมเป็นคน เห็นผมเป็นคนทั้งที่ผมเป็นวิญญาณเหรอ  ยายทำหน้างง มองผมสลับกับวิณณ์ไปมา

“มีอะไรกันหรือเปล่า พ่อหนุ่ม”

“เปล่าครับ ไม่มีครับ”

“นี่ยังไม่ตอบยายเลย มาเที่ยวกันหรือไง”

“พวกผมมาตามหาคนครับ”

“ตามหาคน?”

“ครับ ผมมาตามหาญาติของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกลักพาตัวไป”  ผมสนับสนุนคำพูดของวิณณ์ด้วยการหยิบรูปจากแฟ้มออกมาให้คุณยายดู คุณยายรับรูปไปดู พินิจพิจารณาอยู่นาน พลางขยับมือเข้าออก เหมือนอยากจะดูให้ละเอียด

“เดี๋ยว เดี๋ยว ขอยายหยิบแว่นก่อน”  อ้าว โธ่…คุณยายผมก็นึกว่ากำลังคิด ที่ไหนได้ มองไม่ชัดนี่เอง คุณยายหันไปหยิบแว่นที่โต๊ะด้านข้างมาใส่และกลับมาดูรูปในมืออีกครั้ง พวกผมนั่งรออย่างเงียบๆ เพื่อรอฟังคุณยาย

“ยายก็จำไม่ค่อยได้นะ คนที่มาวัดนี้แต่ละวันก็เยอะแยะ และถ้ายิ่งมีงานประจำปีนะคนยิ่งเยอะทวีคูณ เด็กพลัดหลงจากพ่อแม่ แต่อย่าว่าแต่เด็กเลย คนโตๆ หลงกันก็มีออกบ่อย”

“ผมลองไปถามลุงมัคทายกมา แกบอกว่า  เท่าที่จำได้สำคัญๆ คือมี 5 ราย ตามหาเจอ 3 ราย อีกสองคนยังไม่เจอ และ 1ใน2 คนนั้นเป็นหลานของลุงมัคทายก  ผมให้ลุงแกดูรูปนี้ แต่แกบอกว่า ไม่ใช่หลานของแก ส่วนอีกคนที่ยังหาไม่เจอ แกบอกว่าเป็นคนกรุงเทพ พ่อแม่พามาเที่ยวที่วัดนี้และพลัดหลงกัน แกเองก็ไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อแม่เด็กจะหาเจอหรือยัง”

“อืม ยายจำได้ หลานมัคทายกนะ ชื่อ น้องอร เป็นเด็กน่ารัก ช่างพูดเลยละ ตอนนั้นที่พอรู้ว่าหายไป มัคทายกเกณฑ์ทั้งเด็กวัด และพวกญาติๆ แกออกตามหาทั้งในวัด นอกวัด ก็ยังไม่เจอ  ตอนนั้นนะ ยายขายของอยู่หน้าวัด เขาวิ่งตามหากันให้วุ่นทั้งวัดเลยละ นอกจากมัคทายกเองที่ตามหาหลานตัวเอง ยังมีหญิงชายอีกคู่หนึ่งมาถามยายด้วยว่า เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ใส่ชุดสีฟ้าผ่านมาทางนี้ไหม ยายก็ตอบไปว่าไม่เห็น สองคนนั้นก็เดินไปทางอื่น ยายก็ไม่รู้ว่าจะเจอหรือยัง”

“เหรอครับ”

“แต่เท่าที่ยายจำได้นะ หญิงชายที่มาถามหาเด็ก ไม่น่าจะใช่คนจากกรุงเทพ เพราะการแต่งตัวก็ดูเหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไป แถวนี้”

“เดี๋ยวนะครับยาย  ถ้ายายบอกว่า หญิงชายที่มาถามหาเด็ก ไม่น่าจะใช่คนกรุงเทพ งั้นก็เท่ากับว่า นอกจาก 5รายที่มัคทายกบอก ก็ยังมีเด็กอีกคนที่หายที่วัดนี้เหมือนกันซิครับ”

“ยายก็ไม่รู้นะ แต่ก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้”

“ยายพอจะบอกผมได้ไหมครับ ผมควรจะไปถามจากใครดี”

“อืม  ลองไปถามผู้ใหญ่บ้านดูก่อนไหม แกชื่อผู้ใหญ่คง คนแถวนี้ส่วนใหญ่ถ้ามีอะไรก็จะไปแจ้งเรื่องกับผู้ใหญ่บ้านกันทั้งนั้น”

“จริงซิ ถ้าเด็กคนนั้นหายที่วัดนี้ ก็คงอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้ หรืออาจจะมาจากอำเภอใกล้เคียงก็ได้  แล้วบ้านผู้ใหญ่บ้านไปยังไงครับ”

“ไม่ยากเลย บ้านผู้ใหญ่นะติดกับโรงเรียน ชื่อโรงเรียนสว่างอารมณ์ ออกจากวัดไปแล้วเลี้ยวซ้ายไม่ไกลหรอก”

“ขอบคุณนะครับยาย”  พวกผมเตรียมยกมือไหว้ลายายเพื่อไปบ้านผู้ใหญ่ต่อ

“นี่ผมหนุ่ม เรานะไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาบ้างรึ ปล่อยให้เพื่อนพูดอยู่คนเดียว”

“หะ….ผมเหรอครับ”   ผมมองคุณยายแล้วก็ชี้มือมาที่ตัวเอง

“ใช่ ว่าแต่ไม่สบายเหรอ ยายไม่ได้ยินเสียงเราเลย”  เอ๊ะ….ผมว่าผมตอบคุณยายไปนะ แต่ทำไมยายไม่ได้ยินเสียงผมละ

“ขอโทษครับ เพื่อนผมเจ็บคอเลยไม่ค่อยมีเสียงนะครับ แถมมันยังพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ เลยชอบปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายพูดมากกว่านะครับ ตะวันขอโทษยายด้วยซิ”

ผมยกมือไหว้คุณยาย คุณยายยิ้มรับและมองอย่างเอ็นดู

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะเย็นกันซะก่อน”

“ขอบคุณนะครับยาย”  พวกเราลาคุณยายอีกครั้ง และเดินกลับมาที่รถเพื่อไปยังจุดหมายต่อไป



‘บ้านผู้ใหญ่คง’

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ลุ้น ๆ รอตอนต่อไป  o11

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 7  สมหวัง

พวกเราออกจากวัดมาตามเส้นทางที่คุณยายบอก ผมมองดูนาฬิกาตอนนี้ก็บ่ายสามแล้ว ถ้าไม่รีบจัดการเรื่องให้เสร็จมีหวังไม่ได้กลับแน่ๆ ผมเห็นเสาธงและอาคารเรียนอยู่ไม่ไกล

‘โรงเรียนสว่างอารมณ์’ 

และถัดไปไม่ไกลจากโรงเรียน

‘ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน’

พวกเราเลี้ยวรถเข้าไปจิด ผมชะเง้อมองหาคน แต่ก็ไม่ยักเห็นวี่แววใคร


“สวัสดีครับ………มีใครอยู่ไหมครับ”

------เงียบ-----

“ขอโทษครับ………มีใครอยู่ไหมครับ”

-----เงียบ-----


พวกเรายืนอยู่หน้าบ้านโดยมีวิณณ์ตะโกนเรียกแต่ก็ไม่มีใครตอบรับ ตอนนี้พวกเราเดินเข้ามาด้านในบ้านผู้ใหญ่ บ้านหลังนี้เป็นบ้านยกใต้ถุนสูง ด้านล่างตัวบ้านมีแคร่ไม้อยู่ สองสามตัว กระดานที่มีการขีดเขียนจดบันทึกวันที่ และข้อมูลของการประชุม มองดูนี่คงเป็นที่เอาไว้ประชุมลูกบ้าน ส่วนด้านบนก็เป็นบ้านพัก

“มาหาใครกันหรือพ่อหนุ่ม”

“เฮ้ยยยยยย”   ทั้งผมและวิณณ์ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง พวกเราหันกลับมาก็พบกับผู้หญิงวัยกลางคนยืนอยู่ด้านหลัง

“เอ่อ ขอโทษครับ”  พวกเรายกมือไหว้ขอโทษคุณป้า (ไม่รู้ว่าคุณป้าจะเห็นผมไหม แต่แม่สอนไว้จะผิดจะถูกก็ให้ไหว้ไว้ก่อน) 

“ผมมาหาผู้ใหญ่คงครับ”

“ผู้ใหญ่นะเหรอ โน่นแหนะ อยู่ในส่วนโน่นเวลานี้แกต้องไปดูพืชผักในสวน”  ผมมองตามที่คุณป้าชี้ไป ด้านหลังของบ้านเป็นสวน มีท้องร่องน้ำ แต่ผมกลับมองไม่เห็นคนเพราะเห็นแต่สีเขียวๆ ของต้นไม้เต็มไปหมด

“งั้นผมอนุญาติไปหาผู้ใหญ่ก่อนนะครับ”

“จ้ะ…….เดินดีๆ กันละ ระวังตกลงไปในท้องร่องน้ำนะ สะพานข้ามท้องร่องก็เดินข้ามระวังนะ ไม้บางอันมันก็ผุแล้ว”

“ครับ ขอบคุณครับ”   

พวกเราเดินมาที่สวนหลังบ้าน พลางมองหาเป้าหมาย ก็เจอกับชายใส่หมวกปีกกว้างยืนตักน้ำจากร่องน้ำรดผักอยู่ที่ปลายสวน นั่นน่าจะเป็นผู้ใหญ่คงคนที่เรากำลังตามหา นี่ผู้ใหญ่มาทำสวยตอนบ่ายแดดร้อนๆ แบบนี้เนี่ยนะ เดี๋ยวก็ได้เป็นลมเป็นแล้งพอดี


เอ๊ะ….....แดดร้อนเหรอ??   ทำไมตอนคุยกับคุณป้าที่ใต้ถุนบ้านผมว่าอากาศมันไม่ได้ร้อน หรืออบขนาดนี้นะ  มันออกจะเย็นๆ เหมือนเปิดแอร์ด้วยซ้ำ แต่มันไม่มีแอร์ไง  หรืออาจจะเพราะอยู่ใต้ถุนบ้านก็ได้มั้ง


ผมเดินตามหลังวิณณ์มาตามท้องร่องสวน ตาก็มองพืชผักที่ปลูกไปด้วยส่วนใหญ่ที่ปลูกก็เป็นพวกพืชผักสวนครัวทั้งนั้น มีทั้ง พริก มะเขือ มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ไชโย โฮ่หิ้ววว   -____-   เอ่อ…อันนี้ไม่ใช่ครับ

ก็พวกพืชสวนครัวทั่วไปนะแหละครับ ประเภทปลูกง่าย โตไว ทันใช้ทันกิน  ถัดไปอีกฝั่งก็มีต้นกล้วย แต่อย่าถามนะว่ากล้วยอะไร เพราะผมกินเป็นอย่างเดียว ฮ่าๆๆๆ   และยังมีพืชไม้เลื้อย พวกฟัก ฟักทอง ยังมีอีกเยอะครับ ไอ้ผมก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง

“สวัสดีครับ ผู้ใหญ่คง ใช่ไหมครับ”

ชายวัยกลางคนตรงหน้าหันกลับมา ริ้วรอยบนใบหน้าที่บ่งบอกถึงอายุ ผิวพรรณกรำแดดกรำฝนมานานบ่งบอกถึงประสบการณ์ชีวิตของคนตรงหน้าได้อย่างดี

“มีธุระอะไรกับผู้ใหญ่ละ”

“ผมมีเรื่องอยากสอบถามผู้ใหญ่หน่อยนะครับ” ผู้ใหญ่มองเหมือนชั่งใจอะไรสักอย่าง

“ผมชื่อวิณณ์ เป็นตำรวจครับ มาจากกรุงเทพ”  วิณณ์บอกพร้อมกับหยิบบัตรประจำตัวยื่นให้ผู้ใหญ่ดู ผู้ใหญ่พยักหน้ารับทราบก่อนจะเดินนำกลับไปยังทางที่พวกผมเดินมา ใต้ถุนบ้านที่เดิม

“นั่งก่อนซิผู้กอง”   ผู้ใหญ่คงเดินหายเข้าไปหลังบ้านก่อนจะเดินกลับมาพร้อมน้ำ 1 แก้ว และนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แบบนี้แสดงว่า ผู้ใหญ่ไม่เห็นผมซินะ

“ผู้กองมาสืบคดีคนเดียวไกลขนาดนี้ แสดงว่าเรื่องที่อยากถามต้องสำคัญมากซินะครับ”

“ครับ  ผมมาตามหาครอบครัวและญาติของเด็กคนหนึ่ง”

“เด็ก?”

“เมื่อสองวันก่อนผมได้เข้าจับกุมโรงงานค้าแรงงานเด็ก และเด็กที่อยู่ในโรงงานนั้นทุกคนเป็นเด็กที่ถูกลักพาตัวมา เราช่วยเด็กออกมาได้รวม 11คน  แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีเด็ก 1 คนที่เสียชีวิตอยู่ในโรงงาน ผมพอจะมีข้อมูลบางส่วนของเด็กแต่ละคน รวมถึงเด็กที่เสียชีวิต ผมจึงอยากจะมาตามหาครอบครัวหรือญาติของเด็กคนนี้เพื่อแจ้งให้เขาทราบ”

“แล้วผู้กองรู้ยังไงว่าจะต้องเริ่มหาจากตรงไหน”

“อย่างที่บอกครับผมมีข้อมูลบางส่วนเท่านั้น ซึ่งผมก็คลำหาจากข้อมูลเท่าที่มีในมือ”

“ข้อมูลชี้หรือครับว่าเป็นที่นี่  แล้วทำไมต้องป็นที่นี่ ต่อให้เด็กคนนั้นเป็นคนพื้นที่นี้จริงๆ  มันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีเพราะเด็กเสียชีวิตไปแล้ว มันไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าข้อมูลที่ผู้กองมีมันจะถูกต้อง”

เอาละซิ ผู้ใหญ่แกเป็นคนฉลาดพอตัวเลยแหะ ไม่ใช่ว่าพวกผมไม่เคยคิดว่าจะต้องเจอกับคำถามพวกนี้ ผมเคยคิดคำตอบดีๆ ไว้หลายแบบเลยแหละ แต่สุดท้ายผมก็ต้องทิ้งความคิดไป เพราะวิณณ์บอกว่าไม่เห็นจะต้องเตรียมอะไรไว้คอยตอบ ทุกอย่างมันมีคำตอบของมันเอง มันสามารถปรับได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า

“ผมถามจากเด็กคนอื่นๆ ที่ถูกช่วยออกมาจากโรงงานนั้น เรารู้ชื่อว่า น้องคนที่เสียชีวิตชื่อ ดาว ดาวเคยเล่าให้เด็กคนอื่นๆ ฟังว่าตัวเองถูกจับมาตอนที่ไปเที่ยวงานวัดกับพ่อและแม่ ตัวน้องเองก็จำได้แต่เพียงว่าวัดที่มามีพระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่ๆ สีทองอยู่ในโบสก์ ผมก็สืบหาข้อมูลจากอินเตอร์เนตนี่แหละครับโดยเริ่มจากจังหวัดใกล้ๆ ก่อน เดี๋ยวนี้อินเตอร์เนตไปไกลข้อมูลหาได้ไม่อยาก ผมเลยสืบย้อนกลับไปว่าช่วงที่น้องหายตัวไป วัดที่มีพระพุทธรูปลักษณะนี้และมีงานจำปีของวัดมีที่ไหนได้บ้าง”

“เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีไปไกลอะไรมันก็ง่ายขนาดนี้เลยเนอะ”

“ผมลองไปสอบถามคนที่วัดก็ไม่มีใครจำได้ จนเจอกับคุณยายคนหนึ่งแกแนะนำให้ลองมาหาผู้ใหญ่ เผื่อผู้ใหญ่จะมีข้อมูลหรือมีลูกบ้านแจ้งเรื่องร้องเรียนไว้บ้าง” ผู้ใหญ่แกนั่งฟังพร้อมกับคิดไปด้วย

“นั่นรูปของเด็กคนนั้นใช่ไหม”

“ครับ”   วิณณ์ตอบพร้อมกับหยิบแฟ้มเอกสารที่อยู่ข้างตัวให้ผู้ใหญ่

“ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่ปี 2553 เลยเหรอ   ….. นี่ก็ 7 ปีแล้วซิ ผ่านมานานพอดู”  ขณะที่รอผู้ใหญ่อ่านเอกสารในมือ แกดูไปก็พูดเองตอบเองไป มือก็เปิดเอกสารดูไปทีละหน้า
.
.
.
.
.
“เดี๋ยวนะ”  และเหมือนแกนึกอะไรได้  แล้วก็ลุกไปที่โต๊ะทำงานที่อยู่ในห้องด้านใน ระหว่างที่ผมรอก็เดินดูรอบๆ บ้านไปเรื่อย แล้วสายตาก็มองเลยประตูเข้าไปในห้องทำงานของผู้ใหญ่ นั่นรูปของคุณป้าคนเมื่อกี้นี้

“วิณณ์………….(ผมกวักมือเรียก)………….มานี่” วิณณ์เดินมาและผมชี้ให้ดูรูปบนฝาผนัง

“รอเดี๋ยวนะผู้กอง  เอ๋……ว่าเก็บไว้ตรงนี้นี่หว่า มันอยู่ไหนวะ”

“ครับ  ผู้ใหญ่ครับนั่นรูปใครเหรอครับ”  ผู้ใหญ่เงยหน้าดูก่อนจะก้มลงไปแล้วตอบว่า

“นั่นนะ….เมียฉันเอง”

“อ่อ  แล้วตอนนี้ไปไหนละครับ  ตอนมาถึงผมยัง…”

“ตายแล้วละ  ตายไปเมื่อ 3 เดือนก่อน”

“……………”  วิณณ์ยังไม่พูดจบว่า ‘ผมยังเจอกันอยู่เมื่อกี้เลย’ ผู้ใหญ่แกก็ตัดหน้าตอบมาก่อน แล้วถ้าเมียผู้ใหญ่แกตายไปแล้ว แล้วคนที่เราคุยด้วยเมื่อกี้ก็…………….???

ผมกระโดดเกาะวิณณ์  นี่เราเจอผีโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นผีหรือเนี่ย  O___O   โอ้ยยย ไอ้ตะวันทำไมมึงมันโก๊ะแบบนี้วะ

“ถามจริงเป็นวิญญาณจริงปะเนี่ย เจอพวกเดียวกันยังแยกไม่ออกอีก”   วิณณ์หันมากระซิบเบาๆ ใส่ผม

ครับ ครับ รู้แล้วละครับว่าผมอะมันอ่อน เชอะ  แต่ผมไม่รู้ถือว่าไม่ผิดนะ เพราะผมมันพวกวิญญาณฝึกหัด เสร็จภาระกิจเมื่อไหร่ผมก็ได้กลับไปเป็นคนเหมือนเดิมแล้ว

“อะ  เจอแล้ว ว่าแต่เมื่อกี้ผู้กองจะพูดว่าอะไรนะ”

“เอ่อ เปล่าครับ ไม่มีอะไร”  ผู้ใหญ่มองหน้าชั่งใจ  ไม่รู้ทำไมผมมีความรู้สึกว่าผู้ใหญ่แกชอบมองแปลกๆ

“งั้นมาดูนี่  นี่เป็นแฟ้มเอกสารที่ฉันเก็บไว้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์จากพวกชาวบ้านนะแหละ”  วิณณ์รับเอกสารมาจากผู้ใหญ่ แฟ้มหนาพอสมควร เปิดดูคร่าวๆ เอกสารที่เก็บไว้ก็ตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน แต่การจัดเรียงนี่ซิ มันปนเปกันไม่หมดเหมือนกับถูกจับเข้ามารวมกันไว้แบบลวกๆ

แต่ก็ต้องยอมรับว่า  ผู้ใหญ่นี่สุดยอดจริงๆ

“มันเละเทะไปหน่อยนะผู้กอง ไอ้ตอนเมียอยู่มันบ่นๆ ว่าไม่รู้จักเก็บให้เรียบร้อย ถึงมันจะบ่นมันก็ช่วยเก็บช่วยดูแลให้ แต่พอมันตายไป มันก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ ไอ้ฉันมันก็ชอบรื้อ เก็บบ้าง ไม่เก็บบ้าง ไอ้ฉันมันคนไม่มีระเบียบเท่าไหร่ พอจะเอามาเก็บทีมันก็ปนกันมั่วอย่างที่เห็นนี่แหละ”

“เอกสารพวกนี้ผู้ใหญ่เก็บมาตั้งแต่รับหน้าที่หรือว่ารับช่วงมาครับ”

“พวกนี้นะเหรอฉันเก็บเอง ก็ตั้งแต่รับหน้าที่แทนผู้ใหญ่คนเก่าที่เกษียณไปก็ 10 ปีแล้วละ ฉันก็ทำแบบนี้มาตลอด ไอ้ความจริงฉันเองก็ไม่ได้อยากเป็นหรอกนะไอ้ผู้ใหญ่บ้านเนี่ย ทำสวน ทำไร่ ยังมีความสุขกว่าเลย แต่นังเมียตัวดีมันอยากมีผัวโก้ใส่ชุดข้าราชการ แล้วไง สุดท้ายก็มาชิงตายหนีกันไปก่อน  ตอนแรกก็คิดว่าจะต้องเป็นผู้ใหญ่ไปจนแก่รอเกษียณ แต่ทางการเขามีพระราชบัญญัติออกมาใหม่ให้ กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านมีวาระ 5 ปี ไอ้ฉันก็คงอยู่จนครบวาระสมัยนี้ จนมีการเลือกตั้งใหม่นี่แหละ แต่คงไม่สมัครแล้ว ขอทำไร่ ทำสวนอยู่เงียบๆ ดีกว่า สบายใกว่าเยอะ…….  แล้วนี่ผู้กองเจออะไรบ้างหรือยังละ”

“ยังเลยครับ”

“เอ้าๆ งั้นหาไปก่อนเถอะ ฉันไม่กวนละ ขอไปเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อนก่อน เดี๋ยวจะลงมาใหม่”

ว่าแล้วลุงผู้ใหญ่ก็ขึ้นบ้านไป พวกผมก็หันมาสนใจเอกสารในแฟ้มต่อ  ดูๆ ไปนี่ก็ไม่คิดว่าชาวบ้านจะมีเรื่องร้องเรียนเยอะขนาดนี้เหมือนกันนะ มีตั้งแต่เรื่องขี้หมูขี้หมาอย่าง  ‘กิ่งไม้ยื่นล้ำเข้าไปในรั้วบ้าน’ , ‘การแย่งกันสูบน้ำเข้านาเข้าสวน’, ‘หมาแอบมากัดไก่’ หรือจะเป็นปัญหา ‘การกู้ยืนเงิน’, ‘แย่งที่ทำมาค้าขาย ใครมาก่อนมาหลัง’ , ‘ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งตีกันหัวแตกเลือดตกยางออกไปจนถึงเข้าโรงพยาบาลหนักสุดก็ถึงกับฆ่ากันตาย’  นี่มันเหมือนศาลไคฟงที่คอยรับฟังเรื่องร้องทุกข์เวลาชาวบ้านมาตีกลองหน้าศาลเลยแหะ

“เจอแล้ว”

“ไหนๆ เจออะไรเหรอ”


“ดูนี่  วันที่ 25 ตค 2553 นายอินและนางจัน แจ้งเรื่องไว้ว่าลูกสาวชื่อ ดญ.สุวิมล จันทร์หอม อายุ 5ปี ได้หายตัวไปที่งานประจำปีหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลย์ โดยในวันที่หายได้ใส่เสื้อสีฟ้ากางเกงขาสั้นสีขาว

………………….      สถานภาพตอนนี้       *** ยังหาไม่พบ ***       ……………………………


“มีลุ้นแหะ ว่าแต่เราจะไปหาสองคนนี้ได้ที่ไหนละ  เออ…หรือเราจะลองขอร้องให้ผู้ใหญ่ช่าวยพาไปดีไหมวิณณ์”

“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะลองถามผู้ใหญ่ดู”

ไม่นานผมก็ได้ยินเสียง ก๊อกๆ แก๊กๆ จากพื้นไม้ด้านบน ผู้ใหญ่คงแต่งตัวเสร็จและกำลังจะลงมา

“เป็นยังไงได้อะไรไหมผู้กอง”

“คิดว่าน่าจะได้นะครับ”

“เหรอ?”

“เอ่อ  ผู้ใหญ่ครับ  ผู้ใหญ่รู้จักสองคนนี้ไหมครับ”  วิณณ์หยิบเอกสารที่เป็นหน้าของนายอินกับนางจันยื่นให้ผู้ใหญ่ดู

“ไอ้อินกับอิจันนะเหรอรู้จักซิ ยังจำได้ถึงทุกวันนี้ ว่าแล้วก็สงสารมันสองคน ตอนนั้นนะทั้งสองคนวิ่งหน้าตาตื่นมาขอให้ช่วยตามหาลูกสาวที่หลงกันในงานประจำปีของวัด พวกชาวบ้านแถวนี้ก็ช่วยกันหา แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ วันนั้นได้ข่าวว่าทั้งหลานของมัคทายกเองก็หายไปเหมือนกัน แถมยังมีเด็กจากกรุงเทพด้วย”

ลุงผู้ใหญ่เว้นจังหวะพูด เหมือนกับกำลังพยายามนึกย้อนไปยังเหตุการณ์วันนั้น

“ตอนนั้นพวกชาวบ้านก็คิดว่าจะตกน้ำตกท่าไป พวกที่อยู่ใกล้ท่าน้ำก็ไม่มีใครพบเห็นอะไร เวลาผ่านเลยไปสามวันก็ยังหากันไม่พบ ศพก็ไม่เจอเพราะถ้าตกน้ำอย่างน้อยก็น่าจะลอยไปติดหรือไปโผล่ที่อื่น แต่ก็ไม่มีใครเห็นอะไร แถมตอนนั้นยังมีข่าวลักเด็ก ชาวบ้านส่วนใหญ่เลยคิดว่าอาจจะถูกพวกรถตู้ที่ตะเวนตามหมู่บ้านแล้วก็จับเด็กไป  ลูกมันยังเล็กแถมยังหน้าตาน่ารัก แต่ต้องมาหายไปป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”

“…….…..”

“ตัวพ่อเองช่วงนั้นก็ไม่ทำมาหากินอะไรเลย ออกแต่ตามหาลูก บ้านก็ใช่ว่าจะมีเงินทองพอใช้ซะเมื่อไหร่ พอไม่ได้ทำงานก็ยิ่งแย่ ดีที่ชาวบ้านมีอะไรก็แบ่งปันกันไป นิดๆ หน่อยๆ มันก็พอช่วยกันได้อะนะ  คนเป็นแม่ก็น่าสงสาร มีลูกอยู่แค่คนเดียวกว่าจะมีได้ก็ยากลำบาก ดันต้องมาหายตัวไป ตั้งแต่นั้นมาอิจันมันก็เจ็บออดๆแอดๆ มาตลอด เฮ้ออ”

“ผู้ใหญ่พอจะพาไปบ้านสองคนนี้ได้ไหมครับ”

“ได้ซิ ห่างจากบ้านฉันไปก็ประมาณ 2-3 โลได้นะ เข้าไปด้านในท้ายหมู่บ้านโน่น”

“ขอบคุณครับ”

วิณณ์ให้ผู้ใหญ่ขึ้นรถมาคันเดียวกันจะได้ง่ายและสะดวกกว่าการที่ต้องขับตามกันไป บ้านนายอินและนางจันอยู่ลึกเข้ามาด้านใน ถึงจะมีบ้านคนสองข้างทางเป็นระยะๆ แต่มันก็ทิ้งช่วงห่างกันพอดู เวลากลางคืนก็คงจะเปลี่ยว น่ากลัวอยู่เหมือนกัน จากบ้านผู้ใหญ่ขับรถมาประมาณ 3 กิโลเราก็เจอจุดหมาย บ้านหลังเล็กเป็นไม้ชั้นเดียว สภาพบ้านดูเก่าและทรุดโทรมกว่าที่ควรจะเป็น บ้านหลังนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวและห่างจากบ้านอื่นๆ พอสมควร สองข้างของบ้านเป็นทุ่งนา  ด้านขวาเยื้องตัวบ้านไปมีควายสองตัวถูกผูกอยู่ในคอก เรียกว่าคอกหรือเปล่านะ เอาไม้กั้นสี่ด้านและมีหลังคาเป็นเพิงพอกันแดดกันฝนได้

“นี่ละ ถึงแล้วบ้านไอ้อินกับอิจันมัน”  วิณณ์เดินเข้าไปใกล้ตัวบ้านพร้อมกับมองสำรวจบริเวณรอบๆ

“ผู้กองคิดว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกของสองคนนี้ไหม”

“ผมก็ยังไม่แน่ใจ แต่ก็ต้องลองดูครับ”  ผู้ใหญ่เดินนำเข้าไป

“อิน…….ไอ้อิน……..นังจัน…….มีใครอยู่ไหม” 

“ลุงอิน ป้าจันครับ”  วิณณ์ก็ช่วยตะโกนเรียกไปด้วย  แต่ยังคงไร้วี่แววการเคลื่อนไหวจากคนในบ้าน

“อินโว้ยยย………..อยู่ไหม” 

ครั้งนี้มีเสียงกุกกักจากภายในทำให้รู้ว่ามีคนอยู่และกำลังเปิดประตูออกมา หญิงวัยกลางคนผิวคล้ำ หน้าตาอิดโรย ผมสีดำแซมด้วยสีขาวที่บ่งบอกถึงวัย เมื่อเปิดประตูมาเจอผู้ใหญ่ก็ทำหน้าตาประหลาดใจ และยิ่งเมื่อเจอกับวิณณ์ก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยไปอีก

“ผู้ใหญ่มีธุระอะไร  แล้วนั่นใครละ”

“ข้านะไม่มี แต่ผู้กองโน่นเขามี  ผู้กองวิณณ์เขาเป็นตำรวจมาจากกรุงเทพ เขามีอะไรจะถามแกซักหน่อยนะ นังจัน”

“ถามฉัน?.........เรื่องอะไรละ”   ประโยคหลังป้าจันหันมาถามวิณณ์

“ป้าครับ ผมอยากให้ป้าดูรูปนี้หน่อยนะครับ คุณป้าจะจำได้หรือว่ารู้จักไหมครับ”     วิณณ์พูดพร้อมกับยื่นรูปของดาวที่เป็นรูปเก่าที่ได้มาจากโรงงานให้ป้าจันดู ป้าแกดูอึ้งแกมตกใจ แต่เหมือนยังไม่แน่ใจมากนัก ก็เพราะรูปนั้นนะมันเก่าแถมยังถูกน้ำเลอะเทอะไปหมดเหลือแค่เค้าโครงลางๆ วิณณ์ถึงได้ตั้งใจให้จ่ามิ่ง เสก็ตภาพน้องดาวขึ้นมาใหม่โดยทำให้ดูโตขึ้นเหมือนเด็กอายุ 12 ปี
แต่แม่ก็คือแม่วันยังค่ำ ต่อให้ลูกเปลี่ยนไปแค่ไหนมันก็ยังมีสายสัมพันธ์บางๆ เชื่อมอยู่

“ฮึก…......เหมือน เหมือนมาก เหมือนลูกฉันมาก  ผู้กองไปเจอมาเหรอคะ เจอที่ไหน บอกได้ไหม พาฉันไปได้ไหม  ฮืออออออ”

ว่าแล้วจากที่สะอื้นภายในเขื่อนน้ำตาก็แตกโดยไม่คาดคิดป้าแกทรุดตัวลงกับพื้น ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจว่าใช่ลูกตัวเองไหม แต่ความหวังที่มีคนมาจุดประกายให้มันทำให้หัวใจดวงนั้นพองโตอย่างมีหวัง  แต่ถ้าป้าแกรู้ว่าการพบเจอครั้งนี้คือการจากลาตลอดไปจะเป็นยังไง บางทีการจากโดยไม่รู้อาจจะดีกว่าหรือเปล่านะ

“ฮือ……ฮือ  ดาว   ดาวลูกแม่…….เจอดาวแล้วเหรอ  ผู้กองเจอที่ไหน   บอกป้า……บอกป้าหน่อย…..เจอที่ไหน   ฮือ….ฮือ”

ผมที่ตอนนี้ยืนดูอยู่ยังน้ำตาไหลไปกับภาพตรงหน้า นี่ซินะคำว่า    ‘แม่’

“ใครนะ  แล้วนั่นแกเป็นอะไรยายจัน”  ผมหันไปทางเสียงชายคนนั้น ชายวัยกลางคนอายุน่าจะไร่เรี่ยกันกับป้าจัน นี่คงจะเป็นลุงอินสามีของแก

“อ้าวผู้ใหญ่มีอะไรหรือเปล่า มีเอาเย็นป่านนี้ แล้วนี่พาใครมาด้วยละ”  ชายคนนั้นเดินเข้ามาประคองเมียแกให้ลุกขึ้น และหันมาพูดกับผู้ใหญ่และวิณณ์

“พ่อ  ผู้กองเขามาจากกรุงเทพ เขาเจอดาว เขาเจอดาวแล้ว ฮึก......”
 
“จริงเหรอ”  ชายคนนั้นยังคงไม่เชื่อและมองวิณณ์เหมือนไม่ไว้ใจ

“นี่ไง  นี่  นี่  พ่อดูนี่  ดาว  ดาวลูกเรา”

“รูปแค่นี้ แกจะไปเชื่อได้ไง ชัดก็ไม่ชัด เป็นใครก็ไม่รู้ตำรวจจริงหรือเปล่า นี่ถ้าจะมาหลอกเอาเงินตามหาลูกให้นะ ข้าไม่มีหรอกนะ เอ็งรีบกลับไปเลย ผู้ใหญ่ก็อีกคน เชื่อใครไม่เข้าท่า”

“อ้าว ไอ้จัน นี่ผู้กองเขาเป็นตำรวจจริง ไม่เชื่อ ผู้กองเอาบัตรให้มันดู เขามาช่วยแล้วเอ็งจะเชื่ออีกเหรอ”

“ช่วยเหรอ ตอนที่ฉันไปแจ้งความตามหา ขอร้องอ้อนวอนให้พวกตำรวจช่วยนะ มันเคยสนใจไหม แค่ลงบันทึกประจำวันใบเดียว เขียนเสร็จแล้วก็แล้วกัน  ถามซักคำมันยังไม่เคยมาถาม  ฉันไปโรงพักทุกวัน มันก็ได้แต่บอกว่า กำลังสืบ เหอะ  อย่ามาหลอกกันเลย ตอนนี้พวกฉันสองคนก็อยู่กันได้ดีแล้ว นังจันมันเองก็ทำใจได้แล้ว..........

แล้ว  ทำไม………...ทำไม ถึงยังเอาเรื่องนี้กลับมาทำร้ายกันอีก”   


สุดท้ายน้ำตาของสามี ของพ่อคนหนึ่งก็กลั้นไว้ไม่อยู่ คงอดทนเข้มแข้งมานานเพื่อเป็นเสาหลักของครอบครัวตอนอ่อนแอ นี่ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าผมทำผิดหรือถูก ผมกลับมาทำให้พวกเขาสองคนต้องเผชิญกับความเจ็บปวดขมขื่นอีกครั้งทั้งที่ควรจะหายไปแล้วอย่างนั้นเหรอ

“คุณลุงครับ คุณลุงฟังผมนะครับ ผมเป็นตำรวจจริงๆ  ผมไม่ได้ตั้งใจมาหลอกหรือทำให้คุณลุงกับป้าต้องเจ็บช้ำน้ำใจอะไรอีก ถึงแม้ลึกๆ ลุงกับป้าจะบอกว่าทำใจได้ แต่ก็ยังมีความหวังซักนิดว่าจะได้เจอลูกอีกครั้งถูกไหมครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าการเจอกันครั้งนี้มันจะยิ่งทำให้ลุงกับป้าเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมไหม แต่ถ้าได้เจอและได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วลูกของลุงกับป้าเป็นยังไงจะดีกว่าไหมครับ  ลุงกับป้า ดูดีนะครับ”   วิณณ์หยิบรูปอีกใบให้ทั้งสองคนดู รูปที่จ่ามิ่งเสก็ตไว้ให้ ดาว ดูโตเป็นเด็กอายุ 12

“ลุงกับป้า พอจะคุ้นอีกไหมครับ”

“พ่อ พ่อ  ดาวแน่ๆ ใช่ ดาวแน่ๆ พ่อเราเจอลูกเราแล้ว เจอแล้ว”  คุณลุงไม่ได้พูดอะไรแต่เงยหน้ามามองวิณณ์ด้วยดวงตาแดงกล่ำ

“ผู้กอง ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

“ครับ”

ว่าแล้วลุงแกก็เดินนำไปทางกระท่อมริมนา ไม่ไกลจากตัวบ้านนัก ผมเดินตามมาด้วยเพราะผมเองก็อยากรู้ว่าลุงแกมีเรื่องอะไรจะคุยกับวิณณ์

“ที่ผู้กองมานี่ ไม่ใช่แค่เจอดาวเฉยๆ ใช่ไหม”

“ครับ”

“หึ หึ หึ”  ลุงแกไม่ได้พูดอะไร แต่ทำเสียงในลำคอไม่ได้หัวเราะ แต่มันเหมือนเสียงที่พยายามสะกดกั้นความอ่อนไหวเอาไว้

“ลุงครับ เอ่อ….....”

“ดาว ตายแล้วใช่ไหม”

ผมเบิกตาโตลุงรู้ได้ไง ทั้งที่วิณณ์ไม่ได้บอกอะไร แค่ให้ดูรูปเท่านั้นเอง เป็นไปได้ยังไงกัน

“ครับ  ลุงมั่นใจแล้วใช่ไหมครับ ว่าเด็กในรูปนั่นคือคนเดียวกับลูกสาวลุง  และทำไม  ลุงถึงรู้ละครับ ว่าน้องตายแล้ว”

“ลุงอาจจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา แต่ตลอดระยะเวลาลุงพยายามตามหาลูกสาวมาตลอด ตามหาโดยไม่ได้บอกเมียลุง เพราะกว่ามันจะฟื้นกลับเป็นคนปกติได้มันก็นานโข ถ้าจะให้มันมารู้ว่าลุงตามหาลูกอยู่มันคงได้หนักกว่านี้  การตามหาทำให้ลุงได้รู้ว่า สุดท้ายถ้าเราจะเจอ มันมีไม่กี่อย่างหรอก ขึ้นอยู่ที่ว่าจะเจอแบบไหน เจอเป็น หรือ เจอตาย

“แล้วลุงจะบอกป้าแกยังไงครับ”

ลุงได้แต่สายหน้า  “ที่ผู้กองมานี่ตั้งใจว่าจะทำยังไง”

“ผมอยากให้ลุงกับป้าไปกรุงเทพกับผม เพื่อดูให้แน่นอนว่าจะใช่ดาวจริงหรือไม่”

“ได้ ลุงจะไป”

“แล้วลุงจะบอกยังไงกับป้าครับ”

“ลุงคงยังไม่บอกอะไรตอนนี้ ลุงขอผู้กองอย่าเพิ่งบอกอะไรป้าเหมือนกันนะ”

“ครับ”



>>>  ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1

ตอนนี้บนรถมีคน 3 คนกับ 1 วิญญาณ พวกเราออกจากบ้านของลุงอินกับป้าจันมาตอนเกือบทุ่มนึง วิณณ์แวะส่งผู้ใหญ่คงที่บ้านและขับรถพาลุงอินกับป้าจันกลับมากรุงเทพด้วยกัน แต่กว่าจะไปถึงคงดึกแล้ว วิณณ์บอกว่าจะพาทั้งสองคนพักที่คอนโดด้วยกันก่อนแล้วตอนเช้าถึงจะพาไปที่ สน. เพื่อไปดูว่าใช่น้องดาวไหม ถึงแม้จะเหลือแต่โครงกระดูกแต่ของบางส่วนที่หาพบในห้องนั้นก็น่าจะบอกอะไรได้บ้าง แต่ผมกลับมีความคิดแว่บขึ้นมา ดังนั้นตอนวิณณ์แวะปั้มเพื่อให้ลุงกับป้าเข้าห้องน้ำกัน ผมจึงพูดกับวิณณ์ว่า

“เราพาลุงกับป้าไปที่โรงงานกันก่อนเถอะวิณณ์”

“มันดึกแล้วนะตะวัน กว่าจะไปถึงมันมืด มันอันตรายนะ”

“แต่ตะวันคิดว่า น้องดาวน่าจะมีอะไรอยากบอกกับลุงกับป้าก่อนอะ เราสังหรณ์ยังไงไม่รู้ เราอยากให้พาลุงกับป้าไปที่นั่นก่อน นะนะนะ  วิณณ์นะ”

“อืม โอเค”

กว่าพวกเราจะเข้าเขตกรุงเทพ และยังต้องมาที่โรงงานอีก ด้วยการจราจรในกรุงเทพเวลาไหนรถก็ติดได้ทุกเมื่อ กว่าจะมาถึงโรงงานเวลาก็เกือบเที่ยงคืนพอดี

“ผู้กอง พามาที่นี่ทำไมเหรอ”

“ผมมีอะไรอยากให้ลุงกับป้า ดูนิดหน่อยนะครับ”  ผมเดินนำหน้าเข้าไปในโรงงานตามด้วยวิณณ์และลุงกับป้า ผมเองมาที่นี่สองครั้งก็เริ่มชิน ผมเดินนำตรงมายังห้องของดาว

“น้องดาว   น้องดาวคะ  พี่ตะวันกับผู้กองมาแล้วคะ”

(หนูนึกว่าพี่จะทิ้งหนูซะแล้ว)
“ไม่หรอก พี่สัญญาแล้วจะทิ้งดาวได้ยังไง”

(พี่เจอ พ่อกับแม่หนูหรือยังคะ)

ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่ยิ้มให้ดาว รอแค่วิณณ์เดินเข้ามาในห้อง พร้อมลุงกับป้านั่นน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ผมยืนฟังจนแน่ใจว่าได้ยินเสียงคนเดินมาทางนี้ ผมเดินอ้อมไปด้านหลังของดาว และเอามือปิดตาดาวไว้   

(พี่ปิดตาดาวทำไมคะ)
“รอแปปนึงนะ”  ผมหันไปบอกดาว  และทันทีที่วิณณ์เดินเข้าประตูห้องมา ผมจึงเปิดตาดาวออก
(นั่นผู้กองนี่คะ แล้วใครมาด้วยข้างหลังเหรอคะ)

ผมทำมือโบกให้วิณณ์ขยับหลบไป

(ใครเหรอคะพี่ตะวัน……)  ดาวที่เงยหน้าหันมาถามก่อนหน้านี้  เมื่อหันกลับไปและวินาทีที่เห็นชายหญิงสองคนตรงหน้า

(พ่อ………. แม่………….พ่อจ๋าแม่จ๋า หนูคิดถึงเหลือเกิน หืออออออ)

ดาววิ่งเข้าไปพยายามจะกอด แต่ก็ทำไม่ได้ ภาพตรงหน้ามันชวนให้หดหู่ พยายามจะกอดเท่าไหร่ มือก็มีแต่จะทะลุร่างผ่านไป

(พี่ตะวันทำไม ทำไมหนูกอดพ่อกับแม่ไม่ได้ พี่ตะวันช่วยหนูที   หือออออ  ช่วยที)

ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมเองถ้าไม่มีสร้อยเส้นนี้ก็คงไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้

 
สร้อย….สร้อยเหรอ  เฮ้ยยยย  จริงดิ เอาวะ ไม่รู้จะได้ผลไหม ยังไงก็ต้องลองเสี่ยง


ผมเดินเข้าไปหาน้องดาวพร้อมกับถอดสร้อยที่ข้อมือใส่ให้กับน้องดาว และทันทีที่สร้อยไปอยู่ที่ข้อมือดาว


 
“ดาวววววว   พ่อ....ดาวอยู่นี่  ลูกมาอยู่นี่ได้ไงลูก แม่คิดถึงลูกมาก คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงมากที่สุด ฮืออออ”  ผู้เป็นแม่วิ่งเข้ามาสวมกอดเด็กหญิงตรงหน้า พลางลูบหน้าลูบตาด้วยคิดถึงอย่างสุดหัวใจ  โดยที่ผู้เป็นพ่อได้แต่ยืนตะลึง มองหน้าวิณณ์อย่างไม่เชื่อสายตา ซึ่งวิณณ์เองก็ทำหน้าไม่ต่างกัน

(แม่จ๋า  แม่อย่าร้องไห้นะ หนูดีใจมากเลยที่ได้กอดแม่อีกครั้ง แต่หนูคงกลับไปกับแม่ไม่ได้)

“ทำไมลูก ทำไมจะกลับไม่ได้ นี่แม่มากับพี่ผู้กองมาด้วย พี่เขาเป็นตำรวจ เขาช่วยลูกได้แน่นอน ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีใครทำอะไรหนูได้แล้ว”

(พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูรักพ่อกับแม่นะ ฮึก….ฮึก  หนูขอโทษที่ไม่สามารถอยู่กับพ่อแม่ได้ ถ้าหนูเชื่อพ่อกับแม่ไม่เดินเล่นไปไกลวันนั้น หนูก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้)

ลุงอินได้แต่ยืนมองน้ำตาไหล ปากก็พูดพร่ำแค่ว่า   “ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไรลูก”

“ลูกพูดอะไร แม่ไม่เข้าใจ นี่พ่อกับแม่มารับแล้ว เราจะได้กลับบ้านเรากันแล้วนะ”

(แม่จ๋า  หนูคงกลับไปกับแม่ได้แล้วละจ้ะ มันหมดเวลาของหนูแล้ว หนูดีใจเหลือเกิน สิ่งสุดท้ายก่อนที่หนูจะได้ไป หนูยังได้เจอพ่อกับแม่)

“อะไรพูดอะไรกัน พ่อ ลูกพูดอะไร ทำไมลูกจะกลับกับเราไม่ได้ ทำไม ฮืออออ ทำไม”

น้องดาวถอยห่างจากพ่อและแม่ของตัวเอง ตัวป้าจันเองก็พยายามที่ลุงขึ้นมาดึงลูกตัวกลับมากอดอีกครั้ง ลุงอินจึงต้องเข้าไปรั้งและประคองป้าจันไว้

(พ่อจ๋า แม่จ๋า อะไรที่หนูเคยทำไม่ดีกับพ่อแม่ไว้ หนูขอให้พ่อกับแม่ยกโทษให้หนูด้วยนะจ้ะ ถ้าชาติหน้าลูกยังมีบุญได้เกิด ก็ขอให้ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่อีกนะจ้ะ)

“อะไร ทำไม ดาวพูดแบบนั้น ดาวจะไปไหน ฮืออออออ ใจแม่จะขาดอยู่แล้ว   ดาวเป็นอะไร  ฮืออออ ดาวเป็นอะไร ฮือออออ"

น้องดาวก้มลงกราบพ่อกับแม่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะถอดสร้อยข้อมือคืนให้ผมและเดินจากไป


“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่  ดาวไปไหนลูก ฮืออออออ  หายไปไหน ไม่  ฮืออออออ”


ค่ำคืนนี้จบลงที่พวกเราสามารถทำให้น้องดาวเจอกับพ่อและแม่สำเร็จ วิญญาณของน้องก็หลุดพ้นและไปต่อ ณ จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งอันนี้ผมไม่สามารถรู้ได้  ส่วนลุงอินกับป้าจัน หลังจากที่พากลับมาวิณณ์ก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าคนที่สัมผัส พูดคุยกับวิญญาณ คือผมนายตะวัน ลุงกับป้าบอกมันเหลือเชื่อที่จะเชื่อ แต่เมื่อเห็นกับตาก็ไม่มีอะไรให้สงสัย ดังนั้นให้ลุงกับป้าแกเชื่อว่า วิณณ์มีสัมผัสพิเศษสื่อสารได้เป็นการดีกว่า เพราะถ้าต้องมาสาธยายเรื่องวิญญาณช่วยวิญญาณมันคงไม่เข้าท่าเท่าไหร่ เรื่องนี้ขอเก็บเป็นความลับระหว่างผมกับวิณณ์ดีกว่า


ตอนเช้าพวกเราพาลุงกับป้าไปที่ สน เพื่อยืนยันตัวตนและแจ้งเรื่องรับศพกลับบ้าน พวกเรามาส่งลุงกับป้าขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน วิณณ์อาสาขอไปส่ง พวกแกก็ไม่ยอม บอกแค่ว่าที่วิณณ์ทำให้นี้ก็ดีกับแกเหลือเกินแล้ว ส่วนเรื่องศพน้องดาวทางนิติเวชจะทำเรื่องส่งศพไปอีกไม่เกินสองวัน ส่วนเด็กคนอื่นๆ ทางจ่าเติมทยอยติดต่อครอบครัวให้มาดูตัว มีบางคนที่เจอและได้กลับบ้านแล้ว และก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่พบครอบครัว ตอนนี้จึงต้องส่งไปรักษาเยียวยาจิตใจที่บ้านพักพิงก่อนจนกว่าจะหาครอบครัวพบหรือมีใครมาติดต่อ

“นี่ตะวัน มันเหลือเชื่อมากเลยนะ ตอนที่เราเห็นน้องดาวตอนแรก”

“ตะวันเองก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผลหรอกนะ แค่ลองเสี่ยงดู ท่านกาลเวลาบอกว่า สร้อยเส้นนี้จะทำให้ต่างจากวิญญาณเร่ร่อน การที่ตะวันไปไหนมาไหนกับวิณณ์ได้ทุกที่นี่ก็เพราะสร้อย  และท่านเจ้าที่ยังเคยบอกอีกว่าพลังของสร้อยเส้นนี้จะสามารถช่วยได้ในยามคับขัน ถึงแม้เรื่องน้องดาวมันจะดูไม่คับขันเท่าไหร่อะนะ แต่พอตะวันเห็นน้องที่พยายามจะกอดแม่ตัวเองแล้ว มันดูเศร้า ดูทรมานใจมากเลย ตะวันเลยลองเสี่ยง”

“เสี่ยงยังไง”

“ก็ตอนนั้นความต้องการของน้องดาวคืออยากจะกอดแม่ มันคือความต้องการที่แรงกล้าของน้องดาวใช่ไหม แล้วถ้าน้องดาวใส่สร้อยเส้นนี้ไว้ละ”

“ตะวันกำลังจะบอกว่า สร้อยนี้สามารถทำตามความปรารถนา ความต้องการ ณ ตอนนั้นได้งั้นเหรอ”

“ก็เดาเอาอะนะ”

พวกเราคุยกันมาเรื่อย จนวิณณ์ก็ขับรถมาถึง สน.
 
“วิณณ์ขึ้นไปก่อนนะ เดี๋ยวตะวันมา”

“จะไปไหนตะวัน”

“อยากไปเล่าให้ท่านเจ้าที่ฟัง เดี๋ยวตามไปน้า”

“อย่าไปก่อเรื่องอะไรละ”


แบร่ๆๆๆๆๆๆๆๆ  ใครจะไปก่อเรื่องละ แค่อยากมาเล่าให้ท่านเจ้าที่ฟังซักหน่อย ว่าตะวันสำเร็จไป 1 ภารกิจแล้วนะ




(นายตะวัน)




ภารกิจแรกแรกสำเร็จผ่านไป
ต่อไปตะวันและวิณณ์จะเจอคดีแบบไหนอีกนะ
แล้วความสัมพันธ์ืทั้งคู่จะพัฒนาเพิ่มขึ้นไหม

ฝากตะวันและวิณณ์ไว้ในอ้อมใจน้อยๆ ด้วยนะคร้าาา

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
สงสัยนิดหน่อยค่ะ ตะวันกับผู้กอง อายุห่างกันรึเปล่า ? พอดีมันดูขัดๆเวลาคนอายุต่างกันแล้วเรียกชื่อเฉยๆ 5555  แต่โดยรวมสนุกมากๆเลยค่ะ ชอบมากๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด