บทที่ 5 งานเลี้ยง
“มึงจำที่กูบอกได้หรือยัง?”
ผมเอ่ยถามด้วยความกังวล แล้วเริ่มเดินย่ำไปย่ำมาบนพรมเปอร์เซียในห้องพักสุดหรู ในมือยังถือกระดาษที่มีรายชื่อและภาพถ่ายของบุคคลสำคัญในงานเลี้ยงวันเกิดของประธานบริษัท ดีแมคซ์ ไฮส์
“จำได้”
พอร์ชเหลือบตามามองผมครู่หนึ่งแล้วขยับยิ้มขัน หมอนั่นกำลังสวมชุดทักซิโด้อยู่เบื้องหน้ากระจกบานใหญ่
“ยิ้มอะไร”
ผมโยนกระดาษในมือทิ้งไป แล้วหันไปถลึงตาใส่คนที่กำลังยืนจัดระเบียงเสื้อผ้าของตัวเอง ตอนนี้พวกเราอยู่ที่โรงแรมสกาล่า ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจขนาดใหญ่ของพอร์ชและเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดกับงานประมูลที่ดินซึ่งจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
“เปล่า แค่ซาบซึ้งที่เห็นความตั้งใจของเมีย”
ผมเบ้ปาก ก่อนจะเริ่มลงมือเปลี่ยนมาใส่ชุดทักซิโด้ของตัวเอง ผมเพิ่งเคยใส่ชุดหรูๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกจึงค่อนข้างสับสนกับทักซิโด้ปกกล้วยหอม เสื้อเชิ้ตคอตั้ง สายรั้งกางเกง แถบผ้าคาดเอวและกางเกงเข้าชุด นอกจากนั้นยังมีผ้าเช็ดหน้าที่ไม่รู้ว่ามีไว้ทำอะไร รวมถึงรองเท้าหนังขัดเงาที่ดูเป็นทางการแบบสุดๆ
“มึงนี่มันเงอะงะกว่าที่คิดอีกนะ”
พอร์ชว่าในขณะที่ผมกำลังพยายามติดตะขอผ้าคาดเอวที่อยู่ด้านหลัง
ให้ตายสิ ใครใช้ให้ชุดที่มึงเตรียมมาเรื่องเยอะขนาดนี้ล่ะ สูทธรรมดาอ่ะ ไม่รู้จักหรือไง
“ก็กูไม่เคยแต่งชุดหรูๆ ไปออกงานสังคมนี่”
ผมปลดผ้าคาดเอวออกแล้วตั้งใจว่าจะโยนทิ้งไป แต่พอร์ชกลับดึงผ้าผืนนั้นไปซะก่อน
“กะอีแค่ผ้าคาดเอวไม่เห็นต้องใส่ให้มันยุ่งยากเลย”
ผมบ่นงึมงำระหว่างที่ถูกพอร์ชจับแต่งตัว เขาเกี่ยวตะขอผ้าคาดเอวให้ผม เกี่ยวสายรั้งกางเกงเข้ากับไหล่ตามด้วยการสวมทักซิโด้สีดำ รวมถึงเสียบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าบนอกเป็นอันจบพิธี
ผมมองดูตัวเองในกระจก ภาพที่เห็นค่อนข้างแปลกตา เส้นผมของผมและพอร์ชถูกหวีเรียบเป็นทรงคนแก่ ดูเรียบหรูก็จริงแต่มันไม่แนวเลย แล้วผมก็ไม่ชอบด้วย
“พร้อมมั้ย” พอร์ชถาม
“ถ้ากูทำอะไรให้มึงขายหน้าล่ะ”
พอร์ชใช้มือสองข้างจับไหล่ของผมแล้วบีบเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
“มึงไม่ทำอะไรให้กูหน้าแตกหรอก”
ผมพยักหน้า การไปร่วมงานวันเกิดในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การพาพอร์ชไปให้เกียรติเจ้าของงานเท่านั้น แต่รวมไปถึงการสานสัมพันธ์และหาลูกค้าในอนาคตให้กับยูเนียน
“มาจูบหน่อย” ผมเรียกร้องกำลังใจจากเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมโน้มใบหน้าลงมาประทับจูบบนกลีบปากของผมอย่างนุ่มนวล
“ไม่เอา”
ผมขมวดคิ้ว ผมอยากได้มากกว่านี้ ไม่เอาแค่ปากแตะกันเหมือนเด็กน้อย จึงเอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นไปรั้งลำคอของพอร์ชให้โน้มลงต่ำ ก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปอย่างแนบแน่น ผมขบกัดและดูดดึงกลีบปากของเขาจนเกิดเสียงหยาบโลนแล้วสอดแทรกเรียวลิ้นเข้าไปท้าทายลิ้นของอีกฝ่าย พอร์ชนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังอดกลั้นต่ออารมณ์ที่ถูกจุดให้พลุ่งพล่าน ก่อนจะเริ่มขยับลิ้นตวัดเกี่ยวกับลิ้นของผมอย่างเร่าร้อน เขาปล่อยให้ผมกวาดสำรวจโพรงปากของเขาอย่างจาบจ้วงจนกว่าจะพอใจ จึงเป็นฝ่ายผละออกมาเอง
“พอหรือยัง”
เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ซึ่งผมโคตรจะอยากขย้ำเขาเดี๋ยวนี้เลย ติดแต่ว่างานวันเกิดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วในเร็วๆ นี้
“ก็ได้”
สถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของประธานดีแมคซ์ ไฮส์อยู่บนชั้นที่เก้า ซึ่งเป็นส่วนของห้องโถงรับรองขนาดใหญ่ พอร์ชส่งบัตรเชิญให้พนักงานด้านนอกห้องโถง เซ็นชื่อเขียนคำอวยพรและมอบของขวัญให้พนักงานที่ทำหน้าที่ดูแล ก่อนจะพาผมเข้าไปด้านใน
ห้องโถงได้รับการประดับประดาหรูหรา สามารถรองรับแขกในงานได้ถึงห้าร้อยคน แต่ในความจริงแล้ว คนที่เดินไปเดินมา รวมทั้งพนักงานก็มีแค่ประมาณหนึ่งร้อยคนเท่านั้น นับว่าเลือกสถานที่ได้ใหญ่โตกว่าจำนวนคนเยอะเลย บนโต๊ะซึ่งจัดเรียงรายชิดผนัง จัดวางอาหารและเครื่องดื่มแบบบุฟเฟต์ไว้อย่างล้นหลาม พนักงานชายในชุดสูทสีขาวจำนวนมาก เดินไปมาเพื่อเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แก่แขกที่ยืนสังสรรค์กัน
“ผมต้องไปทักทายคุณคมธรรม” พอร์ชกระซิบบอกผม เขาเลือกใช้ภาษาที่สุภาพและเป็นทางการในที่สาธารณะ เพื่อความเหมาะสม เพราะหากถูกใครได้ยินจะได้ไม่ไปเล่าลือกันว่าประธานแห่งยูเนียนเป็นคนหยาบคาย
ผมกวาดตามองไปรอบๆ งานเลี้ยงเพื่อมองหาประธานดีแมคซ์ ไฮส์ รู้สึกตาพร่าเล็กน้อยเมื่อโดนแสงวิบวับจากชุดราตรีหรูหรากับแสงของเพชรบนตัวภรรยาคนใหญ่คนโตส่องเข้าตา กว่าจะมองหาเป้าหมายพบก็ทำเอาแสบตาอยู่เหมือนกัน
“ทางขวามือ ที่สามนาฬิกา ผู้ชายที่ยืนควงแขนกับผู้หญิงที่ใส่ชุดราตรีสีน้ำเงิน” ผมกระซิบบอกพอร์ช
ประธานดีแมคซ์ ไฮซ์เป็นชายวัยหกสิบปีที่เริ่มมีผมสีขาวเกือบครึ่งศีรษะ ใบหน้าเหี่ยวย่นแสดงร่องรอยของความใจดีทุกครั้งที่ขยับยิ้ม เจ้าตัวกำลังสนทนากับประธานแห่งบริษัท X ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนที่อเมริกา
“นั่นคุณปวีณา?” พอร์ชถามถึงผู้หญิงที่ยืนควงแขนกับคุณคมธรรม
“ไม่ใช่ เธอคือคุณเอมิกา เป้าหมายใหม่ของคุณ อย่าลืมอ่อยให้เต็มที่ล่ะ”
ผมล้อเลียนด้วยเสียงที่พยายามลดให้เบาที่สุด ซึ่งก็ถูกอีกฝ่ายปลายตามองมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ผมได้แต่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าเกิดมามีใบหน้าแบบพอร์ชแล้วไม่ใช่ให้เกิดประโยชน์ก็ดูจะเป็นการเสียเปล่าแย่เลย อีกอย่างคุณเอมิกา ลูกสาวคนโตของคุณคมธรรมและคุณปวีณาก็สวยไม่หยอก ถ้าพอร์ชสามารถมองเห็นใบหน้าของเธอ อาจจะรีบกระโจนใส่เลยก็ได้
“ส่วนคุณปวีณากำลังยืนเม้าส์อยู่กับคุณหญิงหน้าโบท็อกซ์ตรงนั้น”
ผมกระซิบบอกแล้วแอบชี้นิ้วไปทางกลุ่มคุณหญิงในชุดราตรียาวที่กำลังอวดเครื่องเพชรบนลำคอของตัวเอง พอร์ชตวัดสายตามามองผมดุๆ แต่ผมแค่ยักไหล่ อดไม่ได้ที่ต้องยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อแอบหัวเราะ
พวกรอเราให้เพื่อนของคุณคมธรรมปลีกตัวจากไปจึงค่อยเดินเข้าไปทักทายเจ้าของงานตามมารยาท
“สวัสดีครับคุณคมธรรม”
พอร์ชเอ่ยทักทายแล้วยกมือขึ้นไหว้ ซึ่งผมในฐานะผู้ติดตามก็รีบยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมเช่นกัน
“อา เจ้าพอร์ชเองหรือ”
คุณคมธรรมหันมามองพอร์ชด้วยสายตาที่แสดงความเอ็นดู ก่อนจะเอื้อมมือมาตบไหล่ของเขาเบาๆ
“โตขึ้นจนจำแทบไม่ได้เลย หล่อเหมือนคุณพ่อเลยนะ”
“สบายดีหรือครับ”
“มีปวดเมื่อยตามประสาคนแก่นั่นแหละ”
คุณคมธรรมตอบ แต่ผมกลับคิดว่าเขาดูเป็นคนมีอายุที่แข็งแรงและดูดีมากคนหนึ่ง เรียกว่าแม้ใบหน้าจะเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา แต่ยังคงเคล้าของความหล่อเหลาไว้ไม่เปลี่ยน
“นี่ลูกสาวฉัน มารู้จักกันไว้สิ”
คุณคมธรรมแนะนำให้พอร์ชรู้จักกับคุณเอมิกา จากประวัติที่คุณภุมราสืบมาให้ บอกว่าเธออายุ 27 ปี เพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ ตอนนี้โสด ไม่มีแฟนหรือคนรู้ใจ เป็นผู้หญิงเก่งและมั่นใจในตัวเอง ซึ่งผมคิดว่าเธอดูสวยแบบฉลาดๆ นะ มีสไตล์เป็นของตัวเองชัดเจนดี
“สวัสดีค่ะ ฉันเอมมี่ ยินดีที่รู้จัก”
เธอทักทายแล้วยื่นมือไปเขย่ากับมือของพอร์ชตามมารยาทตะวันตก เธอยิ้มให้เขาอย่างสุภาพแต่จากสายตาอันกว้างไกล ผมคิดว่าเธอชอบพอร์ช คือหน้าอย่างหมอนี่ ผู้หญิงคนไหนเห็นก็ต้องชอบ รวมกับบุคลิกและการแต่งการของเขายิ่งทำให้เขาดูเป็นผู้ชายที่น่าพึ่งพาอาศัยมากคนหนึ่ง ซึ่งต่อให้ผมจะห่วงและหวง พอร์ชมากแค่ไหน แต่ถ้าหน้าตาของเขาเรียกลูกค้าเก่า ให้กลับมาใช้บริการยูเนียนได้อีก ผมก็ถือว่าคุ้มค่า
“ฉัตรชนกครับ ยินดีที่รู้จักเช่นกัน”
“ตอนนี้เอมมี่เข้ามาเรียนรู้งานที่ดีแมคซ์ ไฮส์ อีกไม่นานฉันจะให้เธอมารับตำแหน่งประธานบริษัท มีสิทธิ์ตัดสินใจทุกอย่าง หวังว่าพวกเธอจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันนะ” คุณคมธรรมกล่าว ผมคิดว่าเขากำลังเปิดทางให้พอร์ชเจรจาธุรกิจกับคุณเอมมี่ แต่การพูดแบบนี้สามารถคิดได้อีกนัยหนึ่งว่า หลังหมดสัญญากับโอเมก้า ออยล์ เขาจะยุติการซื้อขายกับทางนั้นก็เป็นได้
“ท่านประธาน”
เสียงที่ดังขัดจังหวะ ทำให้ทุกคนหยุดการสนทนาแล้วหันไปมองชายหนุ่มในชุดทักซิโด้หรูหรา
“เธอ…”
ยังไม่ทันที่คุณคมธรรมจะได้เอ่ยปากทักทายก็ถูกคนที่มาใหม่กระโดดกอดแบบแนบแน่น โคตรจะเป็นการประจบผู้ใหญ่ที่ไร้ชั้นเชิงสิ้นดี
“สวัสดีครับ ผมชนะเทพไงครับ”
หมอนี่ชื่อแทน เป็นลูกพี่ลูกน้องของพอร์ช หรือก็คือลูกชายคนเดียวของอาหญิง ผมเพิ่งเจอเขาเป็นครั้งแรก ได้ยินว่าหมอนี่ชอบแข่งขันกับพอร์ชในทุกๆ เรื่อง แต่ความโง่บวกกับความหลงตัวเองทำให้สูญเสียยูเนียนคืนมาให้พอร์ชซึ่งผมไม่แปลกใจเลย
“อา ใช่ๆ ฉันจำเธอได้ หลานชายของฉัตรบรรณ”
รอยยิ้มของแทนเจื่อนลงเล็กน้อย หมอนี่ไม่ชอบการถูกจดจำในฐานะ หลานของฉัตรบรรณ (คุณพ่อของพอร์ช) หรือลูกพี่ลูกน้องของพอร์ช
“ใช่ครับ”
คุณคมธรรมพูดคุยกับแทนและพอร์ชอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวไปทักทายแขกคนอื่นที่มาร่วมงานเลี้ยง
“ฉันต้องขอตัวก่อนนะ เอมมี่ดูแลพวกเขาด้วย”
หลังจากคุณคมธรรมเดินจากไป คุณเอมมี่ก็หันมายิ้มหวานให้พอร์ช รวมถึงเล่นหูเล่นตาแบบพองาม ผมเริ่มจะชอบเธอแล้วสิ เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจจริงๆ กรณีที่ผมชอบผู้หญิงได้อ่ะนะ
“คุณพอร์ชอยากดื่มอะไรหน่อยมั้ยคะ เดี๋ยวฉันขอบริการคุณเอง”
ผมรีบสะกิดเตือนพอร์ชให้หันไปสนใจคนสวย แทนที่จะยืนจ้องตากับน้องชายหน้าโง่ของเขา
“รู้สึกเป็นเกียรติมากที่มีคุณเอมมี่คอยดูแล”
พอร์ชหันไปเอาใจคุณเอมมี่ แม่ง โคตรขนลุกเลยว่ะ ผมเป็นแฟนแท้ๆ ยังไม่เคยได้ยินคำพูดเลี่ยนๆ แบบนี้เลย มีแต่คำด่าว่า แรดบ้าง บ้าบอบ้าง คิดเยอะบ้าง แล้วก่อนหน้านี้ใครหนอใคร ที่บอกว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงเพราะรำคาญความยุ่งยากที่อาจจะตามมาในอนาคต ตอแหลสุดๆ อ่ะ
“ขอไวน์สักแก้วละกันครับ”
“ได้ค่ะ”
“เสียใจจังครับ เวลาที่ผมยืนคู่กับพอร์ชทีไร ต้องถูกคนสวยเมินโดยไม่ตั้งใจตลอดเลย” คุณแทนขัดขึ้น แต่ผมคิดว่าคุณเอมมี่อาจจะเมินแบบตั้งใจจริงๆ ก็ได้ ก็หมอนี่นอกจากหน้าตาดีแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลยสักอย่าง
“ใครเมินกันคะ ฉันกำลังจะถามคุณแทนเลยว่าอยากดื่มอะไร” คุณเอมมี่หันไปถามหมอนั่นแบบมืออาชีพสุดๆ นี่แหละสังคมไฮโซของนักธุรกิจ ต่อให้ชอบหรือไม่ชอบก็ต้องวางตัวให้ดี
“ขอไวน์ละกันครับ”
“ได้ค่ะ เชิญพี่น้องคุยกันตามสบายนะคะ”
หลังจากที่คุณเอมมี่เดินจากไปไกลกว่าระยะที่จะได้ยิน คุณแทนก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา
“เธอเป็นของฉัน” หมอนั่นบอกกับพอร์ชด้วยท่าทางหยิ่งยโส ซึ่งผมแม่งคันปากอยากถามออกไปจริงๆ ว่า…โรคมโนกำเริบเหรอครับ!
“ได้ข่าวว่าเธอโสด”
พอร์ชเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ แฟนของผมไม่ใช่พวกยอมใครง่ายๆ นะครับ ขอแค่ปั่นประสาทลูกชายอาหญิงได้ หมอนี่ยินดีทำหมดนั่นแหละ
“แต่เธอต้องเป็นของฉัน”
“นายเป็นเด็กปัญญาอ่อนเหรอ แค่ประกาศว่าเธอเป็นของใครก่อนก็ชนะหรือไง” พอร์ชย้อนถาม ซึ่งใบหน้าเหวอๆ กับปากที่อ้าๆ หุบๆ ของไอ้คุณแทนทำให้ผมรีบยกมืออุดปากไม่ให้พ่นเสียงหัวเราะ ให้ตายเถอะ พอร์ชแม่งก็พูดตรงเกิ๊น ต่อให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาทำตัวเหมือนเด็กก็น่าจะด่าอ้อมๆ น้า
“นายคิดจะแย่งกับฉัน”
“ของแบบนี้มันอยู่ที่ความสามารถ” พอร์ชแสยะยิ้มท้าทาย
ไอ้คุณแทนกำหมัดแน่น หมอนี่กำลังโมโหจนตัวสั่นกึกๆ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ คุณเอมมี่ก็เดินกลับมาพร้อมกับไวน์ในแก้วทรงสูง
“ลองชิมดูนะคะว่าถูกปากหรือเปล่า”
พอร์ชกับแทนยื่นมือไปรับแก้วไวน์มาจิบราวกับเมื่อครู่ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อน
“รสชาติดีมากเลย ไวน์จากที่ไหนเหรอครับ” ไอ้คุณแทนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ฝรั่งเศสค่ะ อยากลองเดาดูมั้ยคะว่านี่คือไวน์อะไร”
ไอ้คุณแทนยิ้มค้างไปครู่หนึ่ง ผมเดาว่าหมอนี่แค่ถามไปงั้น แต่ไม่ได้มีความรู้เรื่องไวน์เลย
“ปิโนต์ นัวร์”
“ซาโต ลาฟิต-รอทส์ชิลด์” พอร์ชแย้ง สายตาของหมอนี่ตอนหันไปยักคิ้วให้ลูกพี่ลูกน้องดูกวนประสาทสุดๆ แค่เรื่องเล็กน้อยก็ต้องเอาให้ได้สินะ
“ใช่ค่ะ คุณพอร์ชสนใจเรื่องไวน์แดงเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ โอกาสหน้าต้องขอให้ช่วยแนะนำแล้ว”
คุณเอมมี่ที่เจตนาเมินคำตอบของไอ้คุณแทน หันมายิ้มอ่อยให้พอร์ชของผม แต่ยังไม่ทันจะเริ่มบทสนทนาต่อก็ถูกขัดจังหวะอีกครั้งโดยผู้ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีน้ำตาลแตะตา
“เจ้าพอร์ช”
“คุณวีรชัย” ผมรีบกระซิบบอกพอร์ช ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท
“สวัสดีครับคุณอา”
คุณวีรชัยเป็นอาเขยของพอร์ช ผมเพิ่งได้เจอตัวจริงเป็นครั้งแรก เขาค่อนข้างทำให้ผมประหลาดใจด้วยออร่าความเยอะ อย่างการแต่งกายของคนส่วนใหญ่ในงานจะเน้นไปที่ชุดสูทที่ดำ เทาและขาว แต่เฮียแก่กลับโดดเด่นในชุดสูทสีน้ำตาลอ่อนกับเนคไทลายเกล็ดงูสีเงินสะดุดตา ผมของเขาถูกย้อมด้วยสีน้ำตาลคาราเมลจนไม่เหลือผมงอกให้เห็นสักเส้น เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีและดูหนุ่มกว่าวัยมาก ถ้ามองผ่านๆ ก็สามารถเป็นพี่ชายของไอ้คุณแทนได้เลย
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” คุณวีรชัยใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ย ก่อนจะเหลือบตาไปมองลูกชายของตัวเอง
“เจ้าแทน ทำไมไม่ชวนหนูเอมมี่ไปเต้นรำล่ะ”
ประโยคนั้นทำให้คุณเอมมี่หน้าตึงทันที เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ประโยคแนะนำจากผู้ใหญ่ แต่มันคือประโยคคำสั่งให้เธอต้องไปเต้นรำกับลูกชายของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ต่างหาก
“ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงนะครับ”
คุณเอมมี่ก้มศีรษะให้ไอ้คุณแทนเล็กน้อยเป็นการยินยอม ก่อนจะวางมือลงบนมือของหมอนั่น แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินออกไปกลางฟลอร์เต้นรํา ผมชะโงกศีรษะ พยายามมองผ่านกลุ่มคนมากมายไปที่คุณเอมมี่ที่กำลังทำหน้าเบื่อหน่าย ขณะที่คู่เต้นรำของเธอกำลังขยับปากพล่ามอะไรสักอย่าง เธอเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจและมีสมอง…น่าเสียดายที่ต้องเสียเวลากับคนแบบไอ้คุณแทน
“คุณอามีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“แม่ของเธอสบายดีหรือ”
คุณวีรชัยเอ่ยถาม ซึ่งผมรู้สึกรำคาญพวกไฮโซที่ต้องเกริ่นเรื่องอื่นตามมารยาทก่อนที่จะวกเข้าจุดประสงค์ที่แท้จริง แต่ผมคิดว่าเขาไม่ได้มีธุระอะไรกับพอร์ชหรอก มันเห็นกันชัดๆ เลยว่าเขาแค่อยากจะแยกพอร์ชออกจากคุณเอมมี่ก็เท่านั้น
“สบายดีครับ” พอร์ชตอบสั้นๆ และไม่ได้มีท่าทีว่าจะสานบทสนทนาต่อ อีกฝ่ายจึงต้องรีบเข้าประเด็นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“ได้ข่าวว่ายอดขายจาระบีของยูเนียนตกลงนะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เด็กหนุ่มรุ่นใหม่จะพาบริษัทมาได้ไกลถึงขนาดนี้ พ่อกับแม่ของเธอสั่งสอนมาดีจริงๆ แต่ยังไงฉันกับพลอยปภัสก็อยู่ในวงการธุรกิจมานาน อยากให้ช่วยเหลือหรือแนะนำตรงไหนก็บอกกันได้ ไม่ต้องเกรงใจ หลานของพลอยก็คือหลานของฉัน เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ผมกำหมัดแน่นด้วยความไม่สบอารมณ์เมื่อคิดว่าประโยคเมื่อครู่ฟังผ่านๆ แล้วเหมือนครอบครัวสุขสันให้ความห่วงใย แต่ถ้าลองคิดให้ลึกลงไปอีกนิด จะได้ประโยคประมาณนี้เลย
‘ฉันได้ข่าวว่ายอดขายจาระบีของยูเนียนตกลงนะ ต่อให้พ่อกับแม่เธอสอนมาดียังไง เด็กหนุ่มอย่างเธอก็ไม่มีทางทำให้ยูเนียนกลับมาเจริญรุ่งเรืองได้เหมือนแต่ก่อน แต่ฉันกับเมียทำธุรกิจอยู่ในวงการนี้มานาน ย่อมเก่งกว่าเธออยู่แล้ว ถ้าฉันอยากบี้เธอ เธอก็มีแต่จบกับจบ แต่ถ้าเธอจนตรอกก็ลองขอร้องฉันสิ เห็นแก่ที่เป็นหลายชายของเมีย ฉันอาจปราณีเธอ’
“ขอบคุณครับ ผมรู้สึกซาบซึ้งมาก”
ผมรีบหันไปมองหน้าของพอร์ช โชคดีที่อีกฝ่ายยังมีสีหน้าเรียบเฉยตามปกติ คุณวีรชัยแสยะยิ้มก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบมามองที่ผมซึ่งอยู่อยู่ด้านหลังของพอร์ช
“นี่เลขาคนใหม่หรือ แล้วภุมราไปไหนซะล่ะ”
“ลาป่วยน่ะครับ คนนี้คือผู้ช่วยเลขาของผม ชื่อปัฐวี”
พอร์ชหันมาแนะนำผมอย่างเป็นทางการ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะต้องยกมือขึ้นไหว้อาเขยของเขาอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับท่าน”
“ยังเด็กอยู่เลยนะ”
คุณวีรชัยเอ่ยเสียงเนิบนาบ ผมอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายทิ้งสายตาอ้อยอิ่งอยู่ที่ใบหน้าของผม ดวงตาของเขามีประกายวูบวาบแบบที่ผมคุ้นเคยสุดๆ แต่ก่อนที่ผมจะได้คิดอะไรเลอะเทอะมากไปกว่านี้ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคนซะก่อน
“ท่านครับ”
ผมตัวแข็งทื่อ ตาเบิกกว้างมองผู้ชายที่ก้าวเข้ามาโค้งให้คุณวีรชัย ฝ่ายนั้นเหลือบตามามองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปแตะหลังมือของคุณวีรชัยอย่างรวดเร็วราวกับเป็นการสะกิด แล้ววินาทีต่อมาคุณอาเขยก็หันไปกล่าวของตัวกับพอร์ช
“ฉันต้องไปทักทายเพื่อนๆ สักคนหน่อย ขอตัวก่อนล่ะ”
ผมยังนิ่งค้างอยู่ที่เดิม รู้สึกเหมือนคนบ้าที่กำลังเห็นภาพหลอน ได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนสองคนที่เดินจากไป
ไม่ว่าผมจะมองยังไงคนเมื่อครู่ก็คือ…บุคคลที่ผมไม่อยากพบเจอมากที่สุดในชีวิต ต่อให้เป็นชาติหน้าก็ไม่ขอเจอเด็ดขาด
‘โจเซฟ’
TBC.
หนังสือ Agnosia - (แอคโนเซีย) ภาค 1 เหลืออยู่ประมาณ 20 เล่มนะคะ หมดเเล้วหมดเลย เรื่องนี้ตีพิมพ์หนึ่งครั้งไม่รีปริ้นนะคะ
- ราคา 330 บาท
- หนังสือจำนวน 360+ หน้า
- ที่คั่นหนังสือ 1 อัน/โปสการ์ด 1 ใบ (ในเล่ม)
- ตอนพิเศษที่ไม่ได้ลงเว็บไซต์ จำนวน 3 ตอน
ตอนพิเศษ 1 เรื่องเล่าของพอร์ช (เป็นพาร์ทของพอร์ช ที่เล่าความรู้สึกของการป่วยเป็นโรคจำหน้าคนไม่ได้)
ตอนพิเศษ 2 ในห้องทำงานที่เร่าร้อน (NC กรุบกริบในที่ทำงาน)
ตอนพิเศษ 3 คนขี้หึง (ช่วยกันเลี้ยงหลานชายของวิน)
- สั่งซื้อผ่านสนพ. >>
http://darin-novel.lnwshop.com/- สั่งซื้ออีบุ๊ค >>
https://www.mebmarket.com/ebook-96119-Agnosia