หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป...
นับวันความรู้สึกของผมกับรุ่นพี่ปีสี่อย่างไอ้ไทม์ก็ยิ่งกวัดแกว่ง อาจเป็นเพราะผมยังทำใจให้ชินกับการรับบทเป็นคู่จิ้นไม่ได้ล่ะมั้ง อะไรๆ มันถึงได้แปลกไปหมด ความรู้สึก การกระทำ การเข้าฉาก อายส์คอนแท็กต์ หรือแม้แต่การสกินชิพ มันไม่เหมือนความรู้สึกของผู้ชายสองคนที่ควรเป็นนักแสดงเลย
มันมากกว่านั้น แต่ผมบอกไม่ถูก
ลืมไปเลยเรื่องหาคนคุย เพราะทุกวันนี้ผมคิดว่าตัวเองขาดทุนมากกับการถูกไอ้พี่ไทม์จับแก้มที ขยี้หัวที บอกเลยใครไม่รู้สึกอะไรก็บ้าแล้ว
แต่ผมก็ไม่เคยถามอีกฝ่ายเลยสักครั้ง ประกอบกับพี่มันเป็นคนไม่ค่อยพูด พอซ้อมจบก็แยกย้ายกันกลับไม่มีใครพูดอะไรต่อ ดังนั้นทุกอย่างเลยค้างคาจนทุกวันนี้
“เลิกกองค่าาาาาาา”
“เย่!!” เสียงสวรรค์ประทาน ทำให้นักแสดงและทีมงานหลายสิบชีวิตกุลีกุจอเก็บกระเป๋าพัลวัน เพราะนางเอกกับพระเอกของเรื่องเขาเล่นซีนสำคัญจบแล้ว ส่วนผมที่เล่นเข้าคู่กับคนตัวสูงไปเมื่อตอนหัวค่ำก็ไม่มีฉากไหนให้เล่นต่อเหมือนกัน ดังนั้นเราต่างต้องแยกย้ายกันกลับเหมือนเดิม
“ไปป์เลิกแล้วไปไหนต่อ” พี่มะตูมเดินมาถาม
“ว่าจะไปกินข้าวครับ”
“อ้าว ไม่ได้กินข้าวกล่องที่ซื้อมาแจกเหรอ”
“อ๋อ พอดีมันมีต้นหอมอยู่ในนั้นเยอะไปหน่อย ผมเหม็นเขียวก็เลยไม่ได้กิน ขอโทษนะครับ” พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าผมกินไม่ลง กลืนแล้วจะตาย มันไม่อร่อยเลย
ไม่มีใครอยากเกิดมาเกลียดต้นหอมหรอกจริงมั้ย แต่แม่งดันเสือกมาอยู่ในอาหารเกือบทุกชนิด
“ไม่เป็นไร คราวหลังก็บอกนะ ขับรถดีๆ ล่ะ”
“เหมือนกันนะครับ”
ผมโบกมือให้พี่ตัวเล็กจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินจากไป ส่วนตัวเองก็เตรียมควานหากุญแจรถในกระเป๋าอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน เพราะตอนนี้กูหิวจนจะแดกช้างทั้งตัวได้อยู่แล้ว
“อ่ะ!” ใครบางคนยื่นกล่องข้าวมาให้ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่ามันคือไอ้พี่ไทม์
“อะไรอ่ะ”
“รองเท้ามั้ง หิวก็เอาไปกินสิ” กวนตีน! พี่มันกวนตีนเป็นด้วยว่ะ ปกติถามคำตอบคำ ไม่สนิทจริงก็ไม่พูดด้วยเหมือนที่เคยบอกเอาไว้จริงๆ แต่วันนี้...มาแปลก
“ข้าวกล่องที่แจกผมกินไม่ได้ พี่เก็บไว้กินเถอะ”
“เปล่า ข้าวผัด ไม่มีต้นหอม”
“...!!”
“เอาไปกินเถอะ”
“วันนี้กองเราไม่มีข้าวผัด พี่ออกไปซื้อเหรอ”
“พอดีกูอยากกินสองกล่อง แต่กินไปกินมามันอิ่ม ก็เลยเหลือกล่องนึง”
“นี่เหลือเหรอ”
“อืม ของเหลือ ไม่กินก็ได้นะ”
“ก็เอามาให้แล้วนี่หว่า” ผมเดินกลับไปนั่งตรงม้านั่งตัวยาวใต้ตึกนิเทศฯ วางข้าวกล่องไว้บนโต๊ะและจัดการเขมือบอย่างรวดเร็ว เชื่อป่ะ...ข้าวแม่งยังร้อนเหมือนเพิ่งซื้อใหม่มาอยู่เลย
“พี่ไทม์” ผมถามคนตรงหน้าที่เดินตามมานั่งด้วยกัน
“หืม”
“กล่องข้าวนี่มันเก็บความร้อนในตัวเหรอ”
“ทำไม”
“ข้าวมันยังร้อนอยู่เลย”
“คงงั้นมั้ง”
“พี่”
“อะไรอีก”
“ทำไมไม่คบกับแป้ง”
“มันไม่ใช่เรื่องของมึงป่ะวะ”
“ใช่ดิ นั่นแฟนเก่าผม ไม่ดิ เกือบเป็นมากกว่า ถ้าพี่ไม่เข้ามา”
“กูอยู่ของกูดีๆ อยู่ในโลกที่เป็นของกู มีเพื่อน มีสังคมเล็กๆ ที่ไม่วุ่นวาย กูไม่ได้เรียกร้องให้เขาเข้ามาในชีวิตของกูสักหน่อย” เออ เข้าใจ แต่ความคาริสม่าของมึงไงทำให้หลายคนยอมแลก
“แล้วตอนนี้...”
“เขาคงมีแฟนใหม่ไปแล้ว”
“พี่ไม่ชอบแป้งเหรอ สวยนะเว้ย ดาวคณะเลยนะเว้ย แถมเรียนทันตฯ อีกต่างหาก”
“งั้นถามหน่อย”
“...”
ผมจ้องหน้าคนตรงข้ามเขม็ง แววตาจริงจังคู่นั้นทำให้มือที่จับช้อนสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่
“กูเนี่ยหล่อนะเว้ย เก่งนะเว้ย แถมเป็นอันดับหนึ่งของนิติฯ อีกต่างหาก”
“...”
“มึงไม่ชอบบ้างเหรอวะ”
หนึ่งเดือนผ่านไป...
แฟนเพจออฟฟิเชียลของละครนิเทศฯ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อวันก่อน และตอนนี้ยอดไลค์คนติดตามก็ปาไปถึงห้าพันกว่าคนในเวลาไม่นาน ถือว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดเลยก็ว่าได้
จากกำหนดการแล้ว ประมาณสัปดาห์หน้าเราจะเริ่มเปิดขายบัตรกัน ซึ่งสถานที่แสดงก็คือโรงละครของมหา’ลัย ที่จุคนได้ประมาณ 1,500 คน เราเปิดการแสดง 3 รอบซึ่งก็คือวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ แน่นอนวันนั้นคนก็คงจะเยอะจนน่าปวดหัว
รุ่นพี่นิเทศฯ ที่เป็นแอดมินเองก็เริ่มโปรโมตเพจด้วยการลงรูปคู่พระเอกนางเอกเรียกน้ำย่อย แน่นอนว่าไลค์ก็เหยียบพัน เพราะความฮอตแบบเว่อร์วังอลังการ ส่วนวันนี้คงเป็นคู่ผมกับไอ้พี่ไทม์ ซึ่ง...เมื่อวันก่อนเราเพิ่งไปถ่ายโปสเตอร์กันมาอยู่เลย คิดว่ารูปโปรโมตคงเป็นโปสเตอร์นั้น
“ไปป์วางมือถือก่อน มาซ้อมซีนนี้หน่อย” ผู้กำกับอย่างพี่โยร้องเรียก แกเป็นผู้ชายห่ามๆ ที่เข้ามามีบทบาทกับทุกคนในกองมาก
“ครับๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
“อ่านบทมายัง”
“อ่านแล้วครับ ซีนนี้ผมต้องไปคุยกับน้องต้น” คือในเรื่องไอ้อาร์ตเนี่ยเป็นเพื่อนสนิทกับพระเอกของเรื่องอย่างไอ้วายุครับ ส่วนไอ้วินที่รับบทโดยพี่ไทม์มันหลงรักนางเอกข้างเดียว สรุปก็ผิดฝาผิดตัวกันนั่นแหละ
“ยังไม่ถึงตอนนั้น”
“ว่าไงนะครับ”
“คนเขียนบทเขาขอเพิ่มฉากใหม่เข้ามา นี่เลย อ่านก่อน แล้วอีกห้านาทีกูมาบรีฟให้” จากนั้นแกก็ถือวอร์จากไปแบบงงๆ ทิ้งให้กูยืนอ่านตัวหนังสือ Cordia New 14 pt. และทำความเข้าใจตามประสาคนมึน
“พี่ไปป์ กินข้าวกัน” โหยยยยยยย น้องนางที่รัก คนกำลังจะอ่านบทอยู่ก็มาชวนกินข้าว หนึ่งเดือนแล้วเหมือนกันที่ผมตามเต๊าะน้องพราวนางเอกของเรื่องอยู่ แต่เหมือนว่าน้องจะคิดกับผมแค่พี่น้องน่ะสิ แม่งอย่างเซ็ง
“พราวกินก่อนเลย เดี๋ยวพี่ขอซ้อมบทก่อน”
“งั้นพราวเก็บข้าวกล่องไว้ให้แล้วกันนะคะ”
“น่ารักที่สุดเลย” หึๆ กูขอทิ้งรอยยิ้มเรี่ยราดไว้บ้างเถอะ
“อ่ะ หมดเวลาละ เข้าฉากเลย”
“เฮ้ยพี่ ผมยัง...” สัด! มัวแต่คุยกับผู้หญิง ตอนนี้หมดเวลาอ่านบท เลยโดนหิ้วปีกมานั่งตรงโต๊ะเลกเชอร์ ซึ่งคนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้อีกตัวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้ไทม์ เจ้าเก่าเจ้าเดิมครับ
ตั้งแต่วันนั้น ผมกับมันก็มีเรื่องเสียวด้วยกันตลอด หมายถึงเล่นบทถึงเนื้อถึงตัวเยอะๆ อ่ะ จับมือบ้าง กอดคอบ้าง แถมใจยังเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่หยุดอีกต่างหาก พอมาวันนี้...หวังว่าเราจะไม่ได้เล่นบทอะไรแบบนั้นอีกนะ
ยิ่งเห็นโต๊ะเลกเชอร์สองตัวที่ห่างกันแม้จะไม่มาก แต่ก็พอสบายใจได้ว่าคงไม่ใช่ซีนที่หนักหนาสาหัสอะไร
“ไทม์ มึงอ่านบทแล้วใช่มั้ย”
“อ่านแล้ว”
“เข้าใจใช่ป่ะ”
“อืม”
“แล้วมึงล่ะไอ้ไปป์”
“เอ่อ...”
“เริ่มเลยนะ สาม สอง แอ็กชั่น!” โอ๊ยยยยยยยยย ไอ้ควายกูยังไม่ทันพูดเหี้ยอะไรเลย จะรีบติดสปีดไปไหนวะ แล้วแบบไอ้พี่ไทม์มันจ้องกูแร้นนน
“ไม่ต้องไปกังวล ปล่อยมันไปเถอะ” นี่ในบทหรือมึงปลอบกูจริงๆ วะ เดาไม่ออกว่ะ ผมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าแล้วรอให้มันส่งอารมณ์กลับมา เผื่อจะเดาได้ว่าทีมเขียนบทแทรกฉากอะไรเข้าไป
“วันนี้เหนื่อยมั้ย” เสียงทุ้มถามอีก
“อะ...อื้ม”
“การบ้านเยอะป่ะ”
“โคตรๆ”
...เหมือนหายใจไม่ออก เราใกล้กันเกินไป ใกล้จนลมหายใจแทบจะเป่ารดหน้า
“อาร์ต จำได้ป่ะว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนไหน”
เหยดเข้!! กูต้องตอบอะไรกลับไปวะ เริ่มลนและอยากสั่งเบรกมาก แต่เพราะทีมงานทุกคนกำลังจดจ้องและคาดหวังกับเรา ผมจึงทำได้แค่มองตาของไอ้พี่ไทม์ ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะช่วยให้ผมผ่อนคลายด้วยการแทรกประโยคใหม่เข้ามา
“ไม่เป็นไร จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเหนื่อยก็นอนเถอะ” ใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายแนบลงกับโต๊ะ หันหน้ามาทางผม และผมก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
วินาทีที่กดซีกหน้าด้านหนึ่งแนบลงโต๊ะ แล้วหันมาเจอสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจดจ้องอยู่ หัวใจของไอ้ไปป์ที่เคยแข็งแกร่งดุจหินผาก็อ่อนเหลวลงไปทันที แบบนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าความหวั่นไหว
เราหันหน้าเข้าหากัน จ้องอยู่แบบนั้นโดยไม่มีใครพูดอะไร
ในใจของผมได้แต่ภาวนาให้ผู้กำกับสั่งคัตสักที แต่ก็นั่นแหละ...ไม่มีวี่แววของประโยคนั้น
“เล่นเกมชอบไม่ชอบกันมั้ย” ผมขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไรกลับไป เพราะอีกฝ่ายมีแต้มต่ออยู่แล้ว มันได้อ่านบท ส่วนผมว่างเปล่า...
“ยังไง”
“เราชอบฟิสิกส์ แต่ไม่ชอบอังกฤษ” ไอ้พี่ไทม์พูดขึ้นมา ในบทวินมันเรียนวิศวฯ ครับ
“เราชอบอังกฤษ แต่ไม่ชอบคำนวณ” ผมตอบกลับไปบ้าง พอเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ผมก็รู้ในทันทีว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าตัวชอบอะไร ผมจะต้องตอบประโยคตรงกันข้ามกลับไปเสมอ
“เราชอบขับรถเร็ว และเที่ยวต่างจังหวัด”
“เราชอบขับรถช้าๆ และเที่ยวใกล้ๆ บ้าน”
“เราชอบดวงอาทิตย์”
“เราชอบดวงจันทร์”
“เราชอบภูเขา”
“เราชอบทะเล”
“แล้วถ้าเราบอกว่า...ชอบอาร์ต...ชอบอาร์ต...ชอบอาร์ต แบบนี้ซ้ำๆ ล่ะ”
“...!!” บทใช่มั้ย พระเอกบอกรักนายเอกตรงฉากนี้ใช่มั้ย ทำไมความรู้สึก คำพูด และแววตาของไอ้พี่ไทม์มันเหมือนจริงขนาดนั้นวะ เหมือนจริงเกินไปจนลิ้นของผมแข็งไปหมดและไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้เลย นอกจากมองอย่างอึ้งๆ
“กูชอบมึง...แล้วมึงล่ะชอบกูได้ป่ะวะ”
“...”
“แต่มีเงื่อนไขนะ ห้ามตอบตรงข้ามกับกู”
ผมอยากคิดว่ามันเป็นบท แม้จะรู้ตัวดีว่ามันไม่ใช่ วินกับอาร์ตในเรื่องไม่ใช้คำว่ากูกับมึง ไม่เคยใช้คำนั้นและเราถูกห้ามเสมอตั้งแต่เริ่มเล่นเรื่องนี้ด้วยกัน แต่ทำไม...
“ถ้ายังไม่หวั่นไหวก็ไม่ต้องตอบหรอก”
เสียงกระซิบเบาๆ แต่กลับดังกึกก้อง ประโยคสุดท้ายนั้นเหมือนค้อนหนักๆ น็อคผมให้ตายคาโต๊ะ
“คัต!!”
สรุปได้เลยว่าซีนนี้แหละ ยากสุดในชีวิต ฮืออออ
ผมกลับมาถึงห้อง เห็นแชตในเฟซบุ๊กและแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาไม่หยุดหย่อนก็นึกเอะใจ เพราะเพื่อนหลายคนโดยเฉพาะแก๊งเหาต่างพากันแซวยกใหญ่ ผมก็ไม่รู้อะไรมากหรอกจนกระทั่ง...
ใครคนหนึ่งกดแชร์รูปจากแฟนเพจละครนิเทศฯ มาที่หน้าไทม์ไลน์
ละคอนเวทีนิเทศฯ
คู่จิ้นสะเทือนวงการ ‘วินอาร์ต’
เชร้ดดดดดดดดดดดดดด แอดมินไม่ได้ใช้รูปปกโปสเตอร์ที่เราไปถ่ายด้วยกันมาครับ แต่กลับใช้รูปซ้อมการแสดงฉากบอกรักเมื่อตอนเย็นมาแทน งานนี้ผมถึงกับช็อก เพราะหน้าตัวเองแดงแปร๊ดไปจนถึงกกหู แดงแบบเห็นได้ชัดเลยว่าเกิดอาการเขินหนักมาก และที่ตกตะลึงยิ่งกว่าคือยอดไลค์และคอมเมนต์แบบถล่มทลาย
7,123 คนถูกใจสิ่งนี้
‘กรี๊ดดดดดดดดด พี่ไทม์นิติกับน้องไปป์นิเทศป่ะ เคมีเข้ากั๊นเข้ากัน’
‘เชียร์สุดใจขาดดิ้น >///<’
‘มีโอกาสที่คู่จิ้นจะเป็นคู่จริงบ้างมั้ย’
‘เอฟซีไทม์ไปป์ค่ะ ซื้อบัตรละครนิเทศเพื่อคู่นี้โดยเฉพาะ’
‘พระเอกนางเอกคืออะไรไม่สน สนใจแค่คู่จิ้นคู่เดียว สู้ๆ นะคะ #ไทม์ไปป์ #วินอาร์ต’
น้ำตากูปริ่ม
พุทโธ ธัมโม สังโฆ T^T
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr
“ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงลงไปเมื่อเห็นปลายสายที่เริ่มคุ้นตาในช่วงหลังมานี้
[หิว]
“แล้วไง”
[ร้านข้าวที่ตึกนิติฯ อร่อยมาก]
“ข้าวที่นิเทศฯ ก็อร่อยเหมือนกัน”
[งั้นไปกินที่นิเทศฯ แล้วเจอกัน]
จากนั้นแม่งก็วางสายไป คือไรวะ?
สองเดือนที่รู้จักกันมา ไอ้พี่ไทม์เปลี่ยนไปเยอะมาก ผมยังจำวันแรกที่เจอพี่มันได้ดีอยู่เลย ถามอะไรไม่ตอบ ถามคำตอบคำ เหมือนพวกเก็บตัวอย่างที่ใครต่อใครพูดถึง แต่ตอนนี้กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
แม้ทุกคนจะบอกว่าพี่ไทม์ก็พูดน้อยเหมือนทุกที สำหรับผมทำไมแม่งพูดเยอะจังวะ เยอะจนทุกคนคิดว่าผมคงเป็นคนเดียวที่อีกฝ่ายสบายใจอยากคุยด้วยล่ะมั้ง เอาเถอะ จะอะไรก็ช่าง เดี๋ยวนี้เราก็ไม่ได้บาดหมางกันเหมือนตอนแรกๆ แล้ว เพราะถ้าผมจะเกลียด ผมคงต้องไปเกลียดแฟนใหม่ของแป้งที่เรียนอยู่ทันตฯ มากกว่า
ปลง
ผมเดินลงมาจากตึกเรียนรวม กลับไปที่คณะนิเทศฯ เพื่อสั่งอาหารรอ แม่งก็เหมือนทุกทีแหละครับ สั่งอีกจานให้ใครบางคนด้วย เพราะตอนนี้เพื่อนแก๊งเหามันดันพร้อมใจกันหายหัวไปไหนไม่รู้แล้ว
“พี่ไทม์ เฮ้ย พี่ไทม์มาตึกนิเทศฯ อีกแล้ว”
“อะไรยังไง จีบใครป่ะเนี่ย”
“เด็กนิติฯ มาที่นี่บ่อย คงจะมาเฉยๆ อยู่หรอก”
“มาหาไปป์ชัวร์ ดูเขาสนิทกัน”
หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยทันทีที่ร่างสูงเดินเข้ามา ผมจึงได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาจ้วงข้าวจนแทบไม่สนใจใครเลย กระทั่งคนมาใหม่ได้แต่ยืนค้ำหัวมอง พร้อมกับสายตาอีกหลายคู่ที่จ้องตามด้วย
“ดูท่าจะอร่อยนะ” เกลียดมัน!
“สั่งข้าวมาให้แล้ว รีบกินเลย ผมรีบมาก”
“จะไปไหน”
“เหอะน่า” กูแค่เกลียดสายตาของใครหลายๆ คนที่มองมาต่างหาก และรู้ดีว่าเจ้าตัวก็อึดอัดไม่ต่างกัน
“โอเค” กายสูงทิ้งตัวนั่งฝั่งเดียวกับผม ก่อนจะดึงจานข้าวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเข้าหาตัว แม่ง! ทำอะไรอีกวะเนี่ย
“พี่มานั่งข้างผมทำไม ไปนั่งฝั่งโน้นไป คนมองเยอะ”
“ฝั่งนั้นร้อน”
“กวนตีนละ งั้นเดี๋ยวจะลุกไปนั่งเอง”
“งั้นตรงนี้ก็ร้อน”
ผมได้แต่อ้าปากค้าง มองดูอีกฝ่ายตักข้าวใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย มีบ้างที่จะใส่ใจตักหมูใส่จานให้ผมอีก คือแบบ...กูไม่แดกโว้ย
“ทำไมตั้งใจกินจังวะ” เขาถามอีก คืออยู่กับพี่แม่งโคตรลำบากเพราะร้อนกว่าอากาศเป็นร้อยเท่า กลิ่นกาย ลมหายใจ ทุกอย่างที่บอกว่าข้างๆ เนี่ยคือพี่ไทม์ ผมร้อนหมด
“กินก็ต้องตั้งใจดิ”
“มองหน้ากูหน่อย”
“...”
“กูอร่อยกว่าผัดกะเพราอีกนะ มองกูเถอะ”
ตู้มมมมมม กลายเป็นโกโก้ครั้นช์
จำได้ว่าเมื่อวานซ้อมฉากนี้ครับ และมันก็ทำให้หัวใจของผมแทบล้มเหลวเฉียบพลันชักดิ้นชักงออยู่ที่ห้องซ้อม แต่วันนี้ไอ้ไทม์มันเอาอีกแล้วววววววววววว
“อึ้งอ่ะดิ”
“อย่าขยี้ผม หัวยุ่งหมดแล้ว” ผมรีบโวยวายพลางยกมือปัดอีกฝ่ายออกไปไกลๆ
“ก็มันน่ามันเขี้ยว”
“หล่อห่างไกลจากคำนี้เยอะ ไม่ต้องพูดอีกนะ”
“มันเขี้ยว มันเขี้ยว มันเขี้ยว”
“หยุด”
“ฮ่าๆ” รอยยิ้มแม่งฆ่ากูอีกรอบ เอื้ออออออ ฝากลูกเมียข้าด้วย...
ตอนนี้อยากถาม อยากถามมาก...แต่ไม่กล้า
พี่คิดอะไรกับผมจริงๆ หรือเพราะมันเป็นแค่การแสดง
เพราะตอนนี้ผมไม่แน่ใจเลยว่า ความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นมันจะบังคับให้เป็นแค่การแสดงได้หรือเปล่า...
ละครเวทีนิเทศฯ
วันนี้ไทม์กับไปป์มีฉากสำคัญ
ผมนั่งส่องแฟนเพจอยู่ในห้อง ตอนแรกก็ไม่อะไรหรอกครับ แต่พอรุ่นพี่บอกกับผมว่าคนกดไลค์แฟนเพจร่วมหมื่นเพื่อเชียร์ผมกับไอ้พี่ไทม์ให้คบกันจริงๆ แอดมินก็เริ่มโปรโมตรูปเรามากกว่าปกติ เรียกได้ว่าเยอะพอๆ กับพระเอกนางเอกเลยก็ว่าได้ เหมือนครั้งนี้ที่แนบรูปซ้อมฉากจบของเรามาเรียกน้ำย่อยก่อนการแสดงจริง
‘ง่อวววววว ทำไมเห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วหัวใจเต้นแรง’
‘เขินที่สุด เขินไม่บันยะบันยัง เขินวัวตายควายล้ม’
‘เห็นพี่ไทม์กับไปป์ไปกินข้าวที่ตึกนิเทศด้วยกัน มันต้องมีซัมติงแน่ๆ ขอกรี๊ดหน่อยเถอะ’
มือดีบางคนแอบถ่ายรูปของเราที่โรงอาหาร
‘เขาขยี้ผมกันด้วยค่ะคู้นนนนนน พี่น้องไม่ทำแบบนี้นะคะ’
ยังอีก ยังไม่หยุดปล่อยรูปอี๊กกกกกกกก ต่อไปผมคงต้องห่างจากพี่มันบ้างละ เพราะเบื่อจะตามมาเก็บรูปพวกนี้แล้ว
ติ๊ง!!
เสียงแจ้งเตือนบนหน้าไทม์ไลน์เด้งขึ้น
หนึ่งในร้อยกว่าความเห็นที่ผมไม่ได้ตอบกลับไปนอกจากกดไลค์ตามมารยาท เพราะทุกคนล้วนเป็นบรรดาแฟนคลับที่พากันเชียร์ให้ผมลงเอยกับไอ้พี่ไทม์ทั้งนั้น
Tine Tarisa >> Pipe Paween
จริงๆ พี่ไทม์ชอบไปป์ตั้งแต่วันแนะนำตัวนักแสดงแล้ว ไปป์จะชอบพี่ไทม์กลับได้มั้ย
มั่ว! มั่ว! วันนั้นเราเป็นศัตรูกันเว้ย จะชอบกันได้ยังไง
ผมเลยรีบพิมพ์ข้อความกลับไป
Pipe Paween
ไม่ใช่แล้ว น่าจะเป็นข่าวมั่วนะ
Tine Tarisa
แต่เราเป็นน้องสาวพี่ไทม์ พี่ชายเราไม่น่าจะมั่วนะ ใช่มั้ยพี่... – กับ Time Tawipope
OMG !!! ช็อก!! ดูหน้ากูด้วย กูช็อก!!!
Time Tawipope
ตั้งแต่เรียนนิติมา ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องโกหกใครอีกเลย ตอนนี้ก็เหมือนกัน
เชร้ดดดดดดดดดดดดดด
ไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปนอกจาก...เก็บศพกูก๊อนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
งานละครเวทีนิเทศศาสตร์วันสุดท้าย
บอกก่อนเลยว่าหลังจากที่น้องสาวไอ้พี่ไทม์ปรากฏตัว เรื่องคู่จิ้นกลายเป็นคู่จริงก็เป็นข่าวทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปเกือบสัปดาห์ และแม้แต่วันแสดงละครจริงๆ หลายคนก็ยังพูดเรื่องนี้ไม่หยุดอีกต่างหาก แต่เอาเถอะครับ ทิ้งมันไปก่อนความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนห่าเหวอะไรนั่น เพราะตอนนี้...ผมต้องจดจ่อกับการแสดงเท่านั้น
ทุกฉากผ่านไปด้วยดี ผมกับพี่ไทม์ก็เล่นได้ลื่นไหลเนื่องจากประสบการณ์ของสองวันบอกได้เป็นอย่างดีว่าจุดไหนที่ไม่ควรพลาด อารมณ์ ความรู้สึกที่เราส่งถึงกันเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
มีหลายครั้งที่ผมเหมือนจะนอกบท แต่ก็พาตัวเองกลับมาได้ ไม่รู้ทำไมแค่เห็นหน้ามัน สติก็พลันเตลิดไปไกลแล้ว กระทั่งฉากสุดท้ายมาถึง...
ฉากที่ต่อให้ซ้อมแทบตายยังไง หรือเล่นจริงเยอะแค่ไหน ผมก็ยังรู้สึกว่ามันขาดๆ เกินๆ อยู่ดี
“ไปป์ ฉากสุดท้ายแล้ว และก็เป็นวันสุดท้ายด้วย เล่นให้เต็มที่นะ” ผมพยักหน้าเข้าใจ สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะย่างเท้าขึ้นเวที ขณะที่อีกฟากหนึ่งก็มีร่างสูงของใครคนนั้นเดินเข้ามาด้วย
เราทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวยาว ซึ่งเป็นตัวเดียวกับฉากแรกที่เราเจอกัน
พี่ไทม์ถือชีทสีขาวไว้ในมือ ตั้งหน้าตั้งตาอ่านมัน แต่เรารู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างโหยหาและอยากพูดกันมากแค่ไหน ทุกคนในโรงละครเงียบกริบ มองมาที่เราเป็นจุดเดียว และผมก็ประหม่ามากๆ
“จำได้มั้ย ว่าเมื่อสองปีก่อนเราเจอกันที่นี่”
“จำได้สิ”
“นายบอกรักเรา และเราก็ปฏิเสธนาย” ไม่...พี่ไม่ได้ปฏิเสธ แต่พี่มึงอนุญาตให้กูชอบได้ จำไม่ได้เหรอออออ ผมค่อนข้างเกลียดตัวเองที่ชอบเอาความรู้สึกส่วนตัวมาปน และก็ต้องพยายามอย่างมากที่จะสลัดภาพเหล่านั้นออกไป
“มันผ่านไปแล้ว อย่าพูดถึงมันเลย”
จริงๆ ผมอยากพูดถึงมันอีก
“นายมีแฟนหรือยัง?” เสียงทุ้มถาม นัยน์ตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
“ยัง” บทมันเป็นแบบนั้น...เหมือนตอนแรกที่เริ่มเรื่อง แต่มันต่างตรงที่ประโยคของเราสลับกันต่างหาก เริ่มต้นผมง้อเขา ลงท้ายเขาง้อผม
“ถ้าอย่างนั้น เราจะชอบนายได้มั้ย”
“อืม...”
ประโยคในวันนั้นของพี่ไทม์ ผมเป็นคนตอบเอง
“เคยบอกแล้วว่าถ้าโกรธ เกลียด รำคาญ มีความสุข อยากหัวเราะ รู้สึกแบบไหนกับกูบอกได้เสมอ”
เฮ้ย นอกบท! มันนอกบทอีกแล้วววววว
“...”
“แต่ถ้าหวั่นไหวเมื่อไหร่ มาเป็นแฟนกันนะ”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด >///<” เสียงกรีดร้องจากคนดูข้างล่างทำให้สติที่เหลืออันน้อยนิดขาดผึงทันที เหมือนร่างกายของผมกำลังล่องลอยอยู่ในอวกาศ ยึดเหนี่ยวตรงไหนไม่ได้ แถมหูทั้งสองข้างยังอื้ออึงอีกต่างหาก
ภาพในม่านสายตาของผมพร่ามัว เลือนราง แต่ยังเห็นใครอีกคนอยู่ตรงนั้น พี่ไทม์...
“แล้วตอนนี้ที่อยากถามก็คือ...รู้สึกหวั่นไหวบ้างหรือยัง”
เอื้อ!! กูตายอีกรอบ
ไม่มีในบท มันจบที่ทั้งคู่บอกจะเดินจับมือไปด้วยกัน และก็แกล้งจุ๊บกันเฉยๆ แค่นั้นจริงๆ แต่วินาทีนี้สายตาจริงจังของอีกฝ่ายคาดหวังอะไรบางอย่าง ความรู้สึกแปลกประหลาด อาการสั่นไหวของหัวใจ กลิ่นตัวที่ไม่ต้องฉีดด้วยน้ำหอมยี่ห้อดังก็ทำให้ปั่นป่วนได้ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อ...
“ไม่รู้ว่าจะเรียกหวั่นไหวดะ...ได้หรือเปล่า” ผมตอบกลับเสียงกวัดแกว่ง
“...”
“แต่ถ้ามันคล้ายกับความรู้สึกรัก ก็คงเหมือนกันล่ะมั้ง”
“อ๊ายยยยยยยยยยยยย คู่จริง!! คู่จริง!”
“เมื่อวานไม่ใช่แบบนี้ คบกันจริงๆ ใช่ม้ายยยยยยยยยยย”
เสียงเชียร์ดังกระหึ่มไปทั่วโรงละคร พี่ไทม์ขยี้หัวผม ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาประชิด กระซิบถ้อยคำสั้นๆ แต่ตรึงใจคนฟังที่สุด
“เป็นแฟนกันนะ”
“อืม เป็นก็เป็น”
“กรี๊ดดดดดดดดดดด” หลังจากนั้นระลอกคลื่นเสียงก็สะท้อนก้องไม่มีท่าทีว่าจะจบสิ้น แม้แต่เวลาที่ใบหน้าหล่อเหลาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะแสร้งทำเป็นจูบกันโดยมีกระดาษในมือปิดไว้เหมือนในสคริปต์ แต่เปล่าเลย...
เขาจูบผม
จูบจริงๆ โดยที่ริมฝีปากของเราสัมผัสกันเพียงชั่วขณะ ก่อนจะผละออก
โชคดีที่มีกระดาษบังไว้ คนข้างหน้าเลยไม่เห็น แต่กับหลังเวที...
ผมไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ
ละครนิเทศฯ ปีนี้จบลงโดยสมบูรณ์ และก็เป็นไปตามธรรมเนียมที่หลังจากละครจบ นักแสดงทุกคนจะต้องเดินออกมาถ่ายรูปกับคนดูด้านหน้าโรงละคร ซึ่งวันนี้ก็เช่นกัน
ไอ้พี่ไทม์จับมือของผมไม่ปล่อย เราถ่ายรูปคู่และรูปหมู่กับแฟนคลับมากหน้าหลายตา จนกระทั่งใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา
“บนเวทีเมื่อกี้พี่ไทม์ขอไปป์คบจริงๆ ใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
“อ๊ายยยยยยยยยย ชอบอะไรไปป์อ่ะ”
“ทุกอย่าง แค่เห็นก็ชอบเลย น่ารักดี”
“แล้วตอนนั้นไปป์พอจะรู้มั้ย”
“ตอนแรกไม่รู้ แต่บนเวทีรู้ว่าพี่มันนอกบท”
“ฮือออ น่ารัก คบกันนานๆ นะคะ”
“ขอบคุณครับ”
สรุปการมาเล่นละครนิเทศฯ ของผมก็จบลงด้วยการได้แฟนตามเป้าประสงค์ เพียงแต่ว่า...มันไม่ตรงสเป็กเหมือนอย่างที่ฝันน่ะสิ
ละครเวทีนิเทศฯ
ไทม์กับไปป์คบกันจริงๆ นะคะ แอดมินคอนเฟิร์ม
และแอดมินมือดีก็ยังแนบภาพที่ผมกับไอ้พี่ไทม์จูบกันจริงๆ จากหลังเวทีมาให้คนดูช็อกระลอกสองอีกต่างหาก เออ...พอแล้วโว้ย กูอาย!!
10,125 คนถูกใจสิ่งนี้
END