♥ มหา'ลัย มาหารัก ♥ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ มหา'ลัย มาหารัก ♥ THE END  (อ่าน 553010 ครั้ง)

ออฟไลน์ A_Narciso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 879
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
:-[ :impress2: อร๊างงงงงง  พี่ไทม์ น้องไปป์  น่าร๊ากอ่าาา   

ออฟไลน์ Kio

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
แต่ถ้าหวั่นไหวเมื่อไหร่ มาเป็นแฟนกันนะ
เขินสุด ชอบมากกกกเติมs ขอยืมไปจีบหนุ่มหน่อยได้ไหมคะพี่ไทม์ งื้ออออ :ling1: #ชักดิ้นชักงอ #น่ารักวัวตายน่ารักควายล้ม

ยิ้มจนแก้มแตกเป็นยังไงวันนี้เพิ่งรู้แหละค่ะ กรี๊ดแบบคนบ้า อ่านไปยิ้มไปตาเยิ้มไป

แหกปากไม่ได้ นี่กลั้นกรี๊ดจนหน้าดำหน้าแดง 5555555555555

ออฟไลน์ Jploiiz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
คู่นี้น่ารักมากก ชอบไทม์ไปป์จัง หวานได้อีกอ่ะ

ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
หลงรักไทม์ไปป์คับ  :-[ :-[

ออฟไลน์ Pawaree

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-2
    • FANPAGE

ออฟไลน์ ordinary_girl

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
เพิ่งมีเวลามาอ่านพยายามศาสตร์กับนิเทศศาสตร์
เกลียดความฮิปเตอร์ของอิตั้มมากกกกกกกก 5555
ทั้งสนุกทั้งหน่วงแต่ดีที่สมหวัง
ชอบเปอรรรรรรรรรร์ เวลาตั้มกับเปอร์คุยกันน่ารักอ่ะ งื้ออออออ
ส่วนอิไปป์นี่กวนเหมือนอิปีเลย  555
อิพี่ไทม์นี่ก็เสี่ยววววว โง่ยยยยยยย
เรารอคณะต่อไปนะดาวมอ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

สถาปัตยกามศาสตร์

   วันสอบ PAT4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์

   ผมเป็นแค่เด็กนักเรียนจากโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีความตั้งใจอยากเป็นสถาปนิก เพราะเพื่อนในห้องไปเป็นหมอกับวิศวะกันหมดแล้ว ผมไม่เคยเรียนพิเศษมาก่อน ไม่เคยเข้าค่ายติวเข้ม ที่ไม่ได้ทำอย่างนั้นไม่ใช่เพราะเก่ง แต่เป็นเพราะพี่ผมช่วยติวให้ เขาเรียนสถาปัตย์ฯ อยู่ปีห้าแล้ว ปีหน้าก็ต้องจบออกไป
ผมชอบการออกแบบ ชอบวาดแปลน ชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม เพราะนั่นคือรากเหง้าวัฒนธรรมดั้งเดิมของมนุษย์ ช่องระบายอากาศตรงโน้นเหมาะกับทิศทางลมจากฟากนี้ บอกได้เลยว่าถนัดมาก ผมรู้แม้กระทั่งมุมเสย มุมเงย ละติจูด ลองจิจูด บูรณาการสถาปัตย์ขั้นแอดวานซ์เข้ากับสังคมศาสตร์
   เพื่อนชอบบอกว่าผมจริงจัง ความจริงผมไม่ได้จริงจัง แต่ผมแค่...จริงใจ
   “จริงเหรอ”
   “อะไร”
   “ข้อนี้อ่ะ ตอบ ค.ควาย จริงเหรอ”
   “อืม”
   “โอเค ถ้าออกแนวนี้กูก็จะตอบประมาณนี้แล้วกันนะ ไหนๆ คุณปอผู้โหดสัดก็อุตส่าห์วิเคราะห์ข้อสอบมาให้แล้ว” เพื่อนของผมพูดยกยอทีเล่นทีจริง
   ชื่อที่พวกเขาเรียกเนี่ยแหละคือชื่อเล่นของผม ประวัติส่วนตัวก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนักหรอก และก็ไม่ใช่คนมีความลับอะไรด้วย นอกจากตอน ม.ต้น เคยต่อยเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบล้อผมว่าเป็นไอ้แว่นหนาตาเข ไม่ยอมถอดแว่นเพราะตามีปัญหา หลังจากนั้นไอ้หมอนั่นก็ไม่กล้าทำร้ายผมอีกเลย
   ผมเป็นคนตัวเล็ก ดัดฟัน สวมแว่นหนา ครบสูตรที่คนชอบเรียกว่าเด็กเรียน ทุกคนชอบคิดว่าผมจริงจัง ก็มีบ้างที่ถูกหมั่นไส้หาว่าหลงตัวเองบ้างล่ะ หรือบางทีก็ถูกพูดถึงในทางตรงข้ามอย่างเด็กเก็บกด แต่...ช่างเหอะ คนเรารู้ตัวเองดีอยู่แล้ว ถ้าผมไม่รู้จริงผมจะไม่พูดออกไป และถ้าไม่มั่นใจในคำตอบไหนผมก็จะเลือกเงียบไว้ก่อน
   แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมตอบ นั่นเพราะผมรู้ ไม่ใช่เพราะ...หลงตัวเองและมั่นใจในความฉลาดอย่างที่ใครหลายคนพูดถึง
   ตอนนี้เราสามคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นราชพฤกษ์ในสนามสอบโรงเรียนของตัวเองที่ถูกคัดให้เป็นสนามสอบ GAT/PAT ด้วย ซึ่งก็ใกล้ถึงช่วงสำคัญแล้ว ผมมีเพื่อนไม่มาก ที่สนิทก็มีอยู่แค่สองคนและก็แข่งกันสวมแว่นหนาไปเรียนเหมือนทุกวัน
   คนแรกชื่อเคน เอกลักษณ์ประจำตัวคือมีสิวขึ้นข้างใบหู พอยุบแล้วก็มักจะขึ้นใหม่เรื่อยๆ เหมือนกรรมเก่ายังไม่หมด ส่วนคนที่สองชื่อเบส เนื่องจากเล่นเบสเก่งมากแต่ก็ไม่เคยโชว์ให้ใครดูยกเว้นคนในกลุ่ม ทั้งเบสและเคนสอบติดแพทย์ กสพท. ไปนานแล้ว แต่เสือกอยากทำอะไรท้าทายเพื่อทดสอบความสามารถของตัวเอง
ผิดกับผมที่ตัดสินใจมาสอบสถาปัตย์ฯ ตั้งแต่แรกด้วยความคิดที่ว่า ‘มึงจะไปกันที่เขาทำเหี้ยอะไร’
   “ไปสอบกันเถอะ อีกยี่สิบนาทีก็ได้เวลาแล้ว”
   “อืม นั่งรอหน้าห้องน่าจะสบายใจกว่านะ” เคนปิดหนังสือลง ยัดใส่กระเป๋าของตัวเองทั้งที่เป็นหนังสือของผม -_-
   เราเคยชิน แม้จะรู้ดีเรื่องสถานที่และสนามสอบ แต่ก็ไม่มีใครคิดปล่อยปละละเลยในจุดนี้ อย่างน้อยแค่ขอให้ได้ไปนั่งเตรียมใจอยู่หน้าห้องสอบคงจะดีกว่าเป็นไหนๆ
   “พี่เคน!” รุ่นน้อง ม.4 คนหนึ่งร้องเรียก
   “เฮ้ย มึงไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไปนะ”
   “เจอกันห้องสอบ” ผมบอกเสียงเรียบ ก่อนร่างผอมจะวิ่งผละออกไป เดาว่ารุ่นน้องคงจะหาเครื่องรางสักรุ่นให้มันได้บูชาเป็นสิริมงคลก่อนสอบแน่นอน
   “ปอ” หลังจากนั้นเบสก็โพล่งขึ้นอีกคน     
   “หืม...”
   “ปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำว่ะ ขึ้นห้องไปก่อนเลยนะ”
   “โอเค”
   ตอนฉุกเฉินชอบเป็นแบบนี้เสมอ ผมส่ายหัวไปมา ก่อนย่างเท้าไปข้างหน้าโดยไม่พะว้าพะวัง เราเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เคยชินที่จะอยู่ด้วยตัวเอง เผื่อว่าใครคนใดคนหนึ่งไม่สามารถเดินไปด้วยกันได้ แม้ลึกๆ ในใจ ผมได้แต่ตั้งคำถามว่า ‘เพื่อน’ จริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่
   คนที่มีบุคลิกเหมือนกัน
   คนที่ชอบชวนไปอ่านหนังสือ
   คนที่มักพาเข้าสตาร์บัคส์ในวันโคตรซวย เพราะถูกแม่ตัดเงินค่าขนม
   คนที่มีความฝันเหมือนกัน
   หรือแค่...คนหลายคนที่สังคมไม่ยอมรับ แล้วมารวมตัวเข้าด้วยกันโดยบังเอิญกันแน่
   “นาย” ผมหลุดจากภวังค์ ร้องเรียกใครอีกคนที่เดินจ้ำอ้าวไปข้างหน้าแล้ว หากแต่ดินสอ 2B ของเขายังตกอยู่ตรงหน้า ต่อหน้าต่อตาของผม
   “นาย!” ผมเรียกอีก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรีบมากๆ เลยไม่สนใจฟัง
   ผมวิ่งตามร่างที่สูงกว่าตัวเองค่อนข้างมากพร้อมกับถือดินสอแท่งสีน้ำเงินเอาไว้ในมือ ให้เดาก็คงเป็นเด็กสอบ PAT4 เหมือนกันเพราะเขาวิ่งขึ้นไปยังอาคารเรียนเดียวกับสนามสอบของผม
   เท้าทั้งสองยังไม่หยุดวิ่ง ผมรู้สึกเหนื่อยมากแต่โคตรไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไม...ถึงต้องแคร์ใครก็ไม่รู้ที่เราไม่เคยรู้จัก ใครก็ไม่รู้ที่ใส่กางเกงนักเรียนสีน้ำเงินซึ่งไม่ใช่สีเดียวกับผม ใครก็ไม่รู้ที่สะเพร่าทำของตกเอง แล้วสร้างภาระให้คนอื่นต้องตะโกนจนเสียงแหบแห้งวิ่งตามเอาไปให้
   ผมได้แต่สงสัย ว่าตัวเองทำไปเพื่ออะไร
   และสุดท้ายผมก็รู้คำตอบ ทันทีที่จ้องมองดินสอ 2B แท่งใหม่เอี่ยมบนฝ่ามือ...ถ้าเขาไม่มี
   เขาอาจจะไม่ได้สอบ
   แม้ความพยายามของผมมันจะเปล่าประโยชน์ก็ตามเพราะหมอนั่นหายไปแล้ว แม่ง วิ่งเร็วยิ่งกว่ารถไฟพลังแม่เหล็กของญี่ปุ่นซะอีก
   ผมเก็บดินสอ 2B ของนักเรียนโรงเรียนนิรนามลงในกล่องดินสอ ก่อนจะนั่งรออยู่หน้าห้อง กระทั่งถึงเวลาสอบ...
   “ได้เวลาสอบแล้วค่ะ” อาจารย์คุมสอบย้ำเตือนเป็นรอบที่สาม ถ้าผมไม่บังเอิญหูฝาดอ่ะนะ
   “โชคดีนะเว้ย” เบสกับเคนให้กำลังใจ แหงล่ะ มันไม่เครียดอะไรหรอกก็แค่มาสอบเล่นๆ แต่ผมนี่สิสอบแบบจริงจัง ทันทีที่เดินเข้าไปภายในห้อง สิ่งแรกที่สังเกตเห็นก็คือข้อสอบหลายฉบับที่ถูกวางไว้บนโต๊ะ และอย่างที่สองซึ่งปรากฏในม่านสายตานั่นคือ ใครคนนั้น...
   เจ้าของดินสอ 2B ที่นั่งอยู่หลังห้อง
   ผมตั้งใจเดินตรงไปหาเขา และยื่นอุปกรณ์การทำข้อสอบชิ้นสำคัญให้ แต่...
   “นั่งประจำที่ตัวเองด้วยค่ะ” ผมจึงทำไม่ได้ และต้องตัดใจเบี่ยงตัวกลับมานั่งที่ของตัวเอง
   “อย่าเพิ่งแกะข้อสอบนะคะ มีเวลาให้นักเรียนทำ...” หูทั้งสองข้างอื้ออึง ผมไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าอาจารย์คุมสอบกำลังพูดเรื่องอะไร เพราะยังกังวลเรื่องดินสอเจ้าปัญหาอยู่ ได้แต่คิดว่าไอ้หมอนั่นจะยกมือบอกมั้ยว่าเขาไม่มีดินสอ
   “เริ่มทำข้อสอบได้ค่ะ”
   สิ้นเสียงอาจารย์ ผมหันไปด้านหลัง ตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน ต้องบอกอาจารย์เพื่อช่วยเหลือคนคนนั้นให้ได้ แต่สิ่งที่เห็นก็คือ...ไอ้ผู้ชายกางเกงน้ำเงินตัวปัญหาดันพกดินสอ 2B มาเต็มกล่องดินสอเลยว่ะ
   แล้วที่ผมห่วงมันคืออะไรเหรอ
   ผมห่วงไปทำไม
   ห่วง...ทั้งที่รู้ดีว่าสุดท้ายตัวเองจะต้องพูดประโยคนี้ออกมา
   ไอ้ควายยยยยยยยยยยยยยย






   รับน้องมหา’ลัย ปีหนึ่ง...
   “ครับสวัสดีครับ กระผมเป็นเด็กดีไม่มีปัญหา...ครับสวัสดีครับ กระผมเป็นเด็กดีไม่มีปัญหา ตาหูจมูกปาก ตาหูจมูกปาก...”
   ผมได้แต่เต้นแร้งเต้นกาทำท่าตลกๆ ด้วยใบหน้าเบื่อโลกในห้องกิจกรรม เขาบอกว่าเราควรละลายพฤติกรรมกันก่อน ผมอยากถามออกไปมากว่ารุ่นพี่เข้าใจคำคำนี้ดีแค่ไหน ละลายพฤติกรรมหมายถึงการทำลายบรรยากาศอึดอัดขั้นต้น ซึ่ง...ผมคิดว่าความรู้สึกตอนนี้มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
   ผม เบส และเคนเราต่างแยกย้ายกัน ชีวิตเพื่อนและสังคมวัยมัธยมฯ จบลงโดยสมบูรณ์ด้วยการที่ผมสอบติดสถาปัตย์ฯ อย่างที่ตั้งใจ ส่วนสองคนนั้นก็ไปเรียนหมอแต่คนละมหา’ลัย
   “ปรบมือให้ตัวเองหน่อย น้องๆ เก่งมากค่า”
   “วี้ดวิ้วววววววว” ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ฟังตามคำสั่ง เขาให้เต้นก็เต้น บอกให้นอนก็ต้องนอน และตอนนี้เขากำลังสั่งให้ปีหนึ่งยืนขึ้นอีกครั้ง
   “รวมเงินๆ วันนี้ รวมกันให้ดีอย่าให้เกินอย่าให้ขาด ผู้หญิงนั้นเป็นเหรียญบาท ผู้หญิงนั้นเป็นเหรียญบาท ผู้ชายเก่งกาจมีห้าสิบสตางค์ พี่ขอให้น้องรวมเงิน 10 บาทค่ะ!”
   “กรี๊ดดดดดดดดดด” เยี่ยม...เป็นวิธีการจับกลุ่มที่เลวร้ายที่สุด เพราะทุกคนวิ่งกันไปมาทั่วห้อง ผมได้แต่มองซ้ายมองขวา ก่อนจะถูกใครคนหนึ่งฉุดเข้าไปในกลุ่มและนั่งลง
   “ครบยังวะ นับก่อนๆ”
   “ครบๆ” จะตื่นเต้นอะไรนักหนา ก็แค่กิจกรรมบ๊องๆ
   “พี่อยากให้น้องทุกคนแนะนำตัวกับเพื่อนในกลุ่ม และทำความรู้จักกันไว้ เพราะต่อไปเราจะทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มนี้ตลอด โอเค รับทราบ?”
   “ทราบ!”
   พอถึงช่วงแนะนำตัว จากที่ผมไม่คิดจะเงยหน้ามองใครก็ต้องเริ่มหันมาจ้องมองเพื่อนๆ ในกลุ่มซึ่งกำลังนั่งล้อมกันเป็นวงกลม กลุ่มเรามีผู้ชายแปดคน กับผู้หญิงอีกหก และทันทีที่สายตากวาดไปจนเกือบครบ คนสุดท้ายที่ทำเอาผมเผลอเบิกตาโพลงก็คือ...
   ไอ้กางเกงน้ำเงินที่ทำ 2B ตกในวันนั้น
   เรา...สอบติดมหา’ลัยเดียวกัน
   “แนะนำตัวเลยนะ เราชื่อบุ้งกี๋ เรียนสถาปัตย์ฯ เอกออกแบบอุตสาหกรรม ยินดีที่ได้รู้จักจ้า” คนแรกเริ่มแนะนำตัว แต่ผมยังคงจ้องหน้าคนผิวแทนข้างๆ อยู่เลย และเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจมองผมกลับด้วย เพราะมันแม่งโคตรตั้งใจฟังเพื่อน
   “เราชื่อมะปรางค่ะ เอกออกแบบนิเทศศิลป์”
   “ชื่อยิมนะเว้ย ออกแบบนิเทศศิลป์เหมือนกัน”
“หมวย ’ถาปัตย์ ’ถาปัตย์” ทุกคนเริ่มแนะนำตัวเวียนกันไปเรื่อยๆ เป็นวงกลมจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ผม...
   “เอ่อ...ปอ สถาปัตย์ฯ เอกสถาปัตย์ฯ” ทุกคนส่งยิ้มมาให้ แต่ผมทำได้แค่ขยับแว่นไปมา เพราะพวกเขาสนใจผมแค่เพียงเสี้ยววินาที แต่กลับจดจ่อกับคนสุดท้ายที่นั่งข้างผมมากกว่า
   ไอ้ผู้ชายตัวสูง ผิวแทน ปากรูปกระจับ มันไม่ได้หล่ออะไรมาก แต่เป็นคนที่มองแล้วดูมีเสน่ห์ เชื่อมั้ยว่าคนแบบนี้น่ากลัวกว่าคนหล่อเป็นร้อยเท่า ผมเริ่มมองเห็นความวุ่นวายในกลุ่มตัวเองรำไร เพราะหลายต่อหลายคนเล่นจ้องมันไม่วางตา
   “เราชื่อ...”
   “น้องปอ ปรัชญา เอกสถาปัตย์ฯ อยู่ไหนคะ คุณแม่มาหาค่ะ!” ชื่อของผมถูกประกาศออกไมค์ ดังนั้นผมจึงไม่ได้ตั้งใจฟังหมอนี่แนะนำตัว แต่เลือกเดินผละออกไปจากกลุ่มโดยที่ไม่ได้บอกใครไว้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท ก็แค่ไม่อยากให้แม่รอนาน จนลืมบอกเพื่อนๆ ไป
   เพื่อนที่โรงเรียนชอบมองว่าผมเป็นลูกแหง่ไม่หย่านมแม่ แต่ที่วันนี้แม่มาก็เพราะท่านอนุญาตให้ผมเข้ามาอยู่หอในกับเพื่อนๆ ได้ ซึ่งมันถือเป็นสัญญาณที่ดี
   ผมคุยกับแม่ประมาณ 10 นาทีก่อนจะกลับมายังกลุ่ม ทุกคนมองผมด้วยสายตาไม่ค่อยเป็นมิตรเหมือนตอนแรก ยกเว้นมัน ไอ้ผู้ชาย 2B ที่ยังส่งยิ้มหน้าระรื่นมาให้ ไม่เมื่อยปากบ้างหรือไง
   แค่นี้ก็พอรู้แล้วว่าแต่ละคนนิสัยเป็นยังไง ผมรับได้หากจะไม่มีเพื่อนไปจนจบ แต่ถ้ามีคนคุยด้วย...ก็คงจะดีกว่า
   รุ่นพี่แจกขนมปี๊บกับปลาเส้นให้ปีหนึ่ง เรานั่งกินกัน พูดคุยและหัวเราะเสียงดัง มีแต่ผมเท่านั้นที่นั่งเงียบและพยายามจ้องมองปลาเส้นให้ทะลุอยู่
   “นี่ปอ ไม่คิดจะคุยกับเพื่อนหน่อยเหรอ” คนนั่งข้างๆ หันมากระซิบข้างหูเบาๆ แน่นอนมันคือคนเดียวกับไอ้กางเกงน้ำเงินที่ทำดินสอ 2B ตกแล้วผมยังไม่รู้จักชื่อ
   “ไม่รู้จะคุยอะไร ดูเขาไม่ชอบเรา”
   “เปล่าหรอก ถ้ามึงยิ้มทุกคนก็คลายความกังวลแล้วล่ะ พวกเขาแค่กลัวว่ามึงจะเครียด”
   “เหรอ เราก็เป็นของเราอย่างนี้”
   “...” อีกฝ่ายเงียบไป ผมพยายามหาหัวข้อสนทนาที่อยู่ในสมอง บางทีมีหมอนี่เป็นเพื่อนก็น่าจะดีเหมือนกัน
“เออนี่ ได้ข่าวเรื่องเด็กเส้นป่ะ เส้นคณบดี” ใบหน้าคมเข้มขมวดคิ้วมุ่น คงจะสงสัยว่าไอ้แว่นอย่างผมมันมาไม้ไหนกันแน่ ก็ไม่มีแผนอะไรหรอก จริงๆ ในใจของผมแค่ไม่อยากเหงา...เท่านั้น
“ทำไม”
“เราไม่ชอบระบบเส้นสาย เมื่อไหร่จะหมดไปจากโลกก็ไม่รู้”
“บางทีเขาอาจจะไม่ได้ใช้เส้นก็ได้นะ คณะนี้ยังไงก็ต้องสอบเข้ามาอยู่ดี”
“เหรอ เราว่านายโลกสวยไป หมอนั่นแค่ชื่อก็ไม่ซื่อตรงแล้ว ชื่อเดียวกับคณะด้วยนะ ไม่คิดเหรอว่าอาจจะเส้นใหญ่มาตั้งแต่เกิด”
“สถาปัตย์?” เสียงทุ้มพูดขึ้นเบาๆ
“อื้ม”
“มันชื่อถา”
“รู้จักด้วยเหรอ”
“ก็ไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่หรอก” คนเคียงข้างเอ่ย
“...”
“แต่กูเนี่ยแหละสถาปัตย์”
   ผมเพิ่งรู้ในตอนนั้น โลกมันโหดร้ายกว่าที่คิดเยอะเลย...








   โลกไม่ยุติธรรม ผมเหมือนโดนโชคชะตากลั่นแกล้งจนวินาทีสุดท้าย นับตั้งแต่วันละลายพฤติกรรมผมก็ไม่กล้ามองหน้าเพื่อนที่ชื่อถาอีกเลย ถ้าจำไม่ผิดและหูยังใช้การได้อยู่ หมอนั่นชื่อถา ชื่อจริงคือสถาปัตย์ เพราะเพื่อนทั้งคณะชอบเรียกอย่างนั้น แต่ก็ดันมาซวยที่เราต้องอยู่กลุ่มเดียวกัน เรียนเอกเดียวกัน ที่สำคัญดันจับสลากมาเป็นรูมเมทกันด้วย
   สำหรับสถาปัตย์ มันป๊อบมาก แต่ก็นะ...ปลอม เปลือก ทุกคนสนใจแค่หน้าตาและคารมเป็นต่อของมัน สำหรับผมไอ้นั่นมีอะไรให้หลงวะ ก็ไม่ได้หล่ออะไรมาก แค่ดูดี ผมขอใช้คำว่า ‘แค่’ นะ
   “มองอะไร”
   “เปล่า”
   ทันทีที่เสียงทุ้มพูดทำลายความเงียบ ผมก็รีบปฏิเสธทันที เราเป็นรูมเมทกัน อยู่ด้วยกันสองคนในห้องสี่เหลี่ยมที่เกลื่อนกลาดไปด้วยกระดาษสำหรับวาดภาพ และขี้ดินสอจากดินสอที่ถูกเหลาเอาไว้เกือบ 10 แท่ง
   ไอ้ถานั่งอยู่ตรงพื้นปลายเตียงซึ่งเป็นที่ว่างของห้อง ส่วนผมนั่งอยู่ตรงโต๊ะหนังสือและจ้องมองอีกฝ่ายกลับ
   นี่เป็นคืนที่ห้าที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ผมก็ยังไม่ชิน
   “จืด” แม่งเรียกกูจืด
   เจ็บกว่าโดนด่าไอ้ตาเขอีก
เพราะไอ้สถาปัตย์คนเดียวที่เริ่มเรียกผม เพื่อนทั้งคณะเลยหันมาเรียกตามมันกันให้ควั่ก ถามหน่อยกูไปจืดบนหัวบิดามึงเหรอ
   “อะไร”
   “สายตาสั้นเท่าไหร่เนี่ย”
   “ซ้าย 600 ขวา 650”
   “ทำไมสายตาสั้น”
   “เสือก!”
   “แล้วทำไมมึงไม่ชอบถอดแว่นวะ ปกติเวลาอาบน้ำกูก็เห็นมึงใส่ทั้งที่ฝ้าเต็มเลนส์อย่างนั้นอ่ะ ถามจริงมองเห็นเหรอ”
   “เสือก”
   “ตอนนอนก็ไม่ชอบถอดแว่นอีก เวลามึงฝัน มึงเห็นตัวเองใส่แว่นป่ะ”
   “เสือก”
   “โอ้โห กูได้สามเสือกเลย ขอบคุณนะรูมเมท”
   “ฟัก...ทอง” อยากด่าฟวยก็ด่าไม่ได้ ผมเลยล่อผลไม้เข้าให้ จนได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาระลอกใหญ่ ก่อนคนตัวสูงจะหันไปจดจ่อกับงานออกแบบของมันต่อ งานแรกสำหรับนิสิตปีหนึ่ง ส่วนผมก็หันหน้าเข้าหาโต๊ะ ลงมือทำงานเช่นกัน
   ไลฟ์สไตล์ของเราต่างกันโดยสิ้นเชิง ไอ้ถาอะไรก็ได้ ง่ายๆ สบายๆ แต่ผมแค่คิดว่า...ถ้าเขามีโต๊ะให้ทำงาน ทำไมต้องนั่งพื้นให้หลังขดหลังแข็งด้วย พื้นไม่ใช่พื้นที่ให้เดินผ่านหรอกเหรอ
   ก๊อกๆๆ
   ผมรีบขยับแว่นสองสามครั้ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ เพราะไม่อยากยุ่งกับพวกชอบเคาะประตูห้องกลางดึกสักเท่าไหร่ คืนแรกก็งงอยู่หรอก แต่พอคืนที่สองหรือสามผมก็เริ่มเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของร่างสูงเดินไปยังประตู ก่อนจะหมุนลูกบิดทักทายคนภายนอก
   “มาทำไมดึกๆ วะ”
   “ก็ไม่อยากจะมานักหรอก แต่ฝั่งหอหญิงฝากมาให้ แถมย้ำว่ามึงต้องได้วันนี้ด้วย อ่ะ!” ผมเหลือบตามองเล็กน้อย เห็นเพื่อนที่อยู่คนละเอกยัดถุงกระดาษ ถุงพลาสติก และกล่องอะไรไม่รู้สารพัดใส่มือของเขา
   “เยอะว่ะ”
   “เออ เยอะโคตร คราวหลังอย่าไปอ่อยสาวให้มาก แม่งลำบากเพื่อนลำบากฝูงว่ะ”
   “เอาน่า ขอบใจมึงมากนะ ว่าแต่เอานี่ไปกินมั้ย” ไอ้สถาปัตย์ยื่นถุงขนมในมือให้
   “ไม่เอา พวกกูแดกจนเหงือกจะสึกอยู่ละ มึงเก็บไว้แบ่งรูมเมทมึงเถอะ” ทันทีที่ผู้ชายไม่รู้จักชื่อคนนั้นจ้องมองมา เสี้ยววินาทีผมก็รีบหลบตาทันที
   “นี่จืด! หิวก็มากินนะ ไม่ต้องฟอร์มหรอก”
   “ไปไกลๆ เลยป่ะ มาเอะอะอะไรเสียงดัง รูมเมทกูไม่ชอบ”
   “วู้ววว อยู่ด้วยกันแค่ห้าคืนรู้ใจกันแล้วเหรอ”
   “เออ!”
   ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป...
   “เอาไปกินซะจะได้อารมณ์ดี” ช็อกโกแลตแท่งถูกวางไว้ใกล้ๆ มือ ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนที่ยืนค้ำหัวพร้อมกับตอบกลับทันที
   “ไม่กิน”
   “ไม่ชอบช็อกโกแลตเหรอวะ”
   “มีคนเอามาให้ก็กินไปสิ เอามาแจกเราทำไม”
   “มันเยอะ กินไม่หมด กินเป็นเพื่อนหน่อย”
   “...”
   “น่า...นะ” ทำไมต้องทำสายตาอ้อนๆ แบบนั้นด้วยวะ ผมเกลียดคนแบบนี้ที่สุด ทำดีกับทุกคนเพื่อหวังให้คนชอบและทำดีกลับ ผมรู้ และรู้ดีมานานแล้วว่าไม่มีใครอยากทำความรู้จักกับผมนักหรอก
   “ไม่เอา”
   “นะ ช่วยกินหน่อย” อีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนจมูกเราแทบชนกันอยู่รอมร่อ
   ตึกตักๆ
   หัวใจจะวาย
   “ระ...เราระ...ร้อน ต้องไปอาบน้ำ” พูดจบก็รีบลุกขึ้น เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วจ้ำอ้าวเข้าห้องน้ำในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
   ฟู่! ถึงใครจะชอบด่าว่าผมเป็นไอ้แว่นหนาดัดฟัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่มีความรู้สึก และสิ่งที่ผมอยากบอกกับทุกคนตอนนี้ก็คือ...รูมเมทผมโคตรอันตราย
   เดินออกมาจากห้องน้ำอีกทีก็เห็นไอ้สถาปัตย์เก็บอุปกรณ์ของมันเข้าโต๊ะหมดแล้ว ขณะที่เจ้าตัวกำลังนอนตะแคงมองผมทั้งที่ปากยังคาบป๊อกกี้ชาเขียวไว้อยู่
   “อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”
   “เออ อื้ม” ตอบเสร็จก็รีบเดินกลับไปยังเตียงทันที พูดเหมือนไกลมาก แต่ความจริงแล้วปลายเตียงเราห่างกันแค่เมตรครึ่งเอง
   “นี่ก็ห้าคืนแล้ว ยังไม่ชินอีกเหรอวะ”
   “จะให้เราชินเรื่องอะไร”
   “กูเห็นมึงชอบเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำตลอด ถามหน่อย อายอะไรวะ”
   “ไม่ได้อาย แค่ไม่ชอบ”
   “ทำอย่างกับไม่มีเพื่อนคนไหนเคยเห็นมึงถอดเสื้อโชว์หุ่นผอมๆ อย่างนั้นแหละ” หยาบโลนที่สุดในโลก นี่เหรอวะคนที่จะมาเป็นรูมเมทของผมถึงหนึ่งปีเต็ม
   “แล้วยุ่งอะไร”
   “เอ้า! ไม่ปฏิเสธด้วย เฮ้ยถามจริง มึงไม่เคยแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นเลยเหรอ”
   “แล้วทำไมเราต้องทำอย่างนั้นด้วยวะ” ผมตอกกลับเสียงขุ่น อาจเป็นเพราะถูกดูแลอย่างประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก แถมพี่ชายยังหวงเกินขั้น มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องเที่ยวไปเปิดเสื้อให้ใครดู
   “ก็มันเป็นปกติของผู้ชาย”
   “เป็นปกติของคนอย่างนายมากกว่า”
   “งั้นถ้ามึงถอดเสื้อโชว์ กูก็เป็นคนแรกที่ได้เห็นหุ่นมึงน่ะสิ”
   “ไอ้ถา!” อยากด่าออกไปว่าไอ้เหี้ยผสมสัตว์นานาชนิด แต่ผมกลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะกลัวว่าภาพพจน์ที่สั่งสมมาจะเลือนหายไปเพียงประโยคเดียว ทุกวันนี้ก็แทบไม่มีคนคบอยู่แล้ว ถ้าขืนยังหยาบคายอีกผมคงถูกคนทั้งโลกกระทืบให้จมดินแน่
   “ใจเย็นจืด กูแค่ล้อเล่น”
   “เราใช่เพื่อนเล่นนายเหรอ”
   “หึ! แล้วที่นอนคุยด้วยอยู่เนี่ยคงเป็นเพื่อนอาจารย์มั้ง”
   “นายชักจะกวนตีนเราเกินไปแล้ว”
   “อย่าเพิ่งน็อตหลุดดิจืด”
   Rrrrrrrrrrrrrrr
   ยังไม่ทันด่ากลับไปว่าใครอนุญาตให้เรียกจืด เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของไอ้สถาปัตย์ก็ดังขึ้น ซึ่งก็นับเป็นเรื่องปกติอีกเรื่องเหมือนกัน อย่างที่บอก หมอนี่มันฮอต คารมดี และที่สำคัญแม่งโคตรขี้อ่อย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ตอนดึกๆ โทรศัพท์ของมันมักดังขึ้นมาติดกันไม่รู้กี่สาย
   “คร้าบบบบผม ได้แล้วครับ ขนมอร่อยมาก...คราวหลังไม่ต้องเอามาให้หรอก...นอกจากเธอจะน่ารักแล้วยังใจดีอีกนะเนี่ย” เหอะ! ความจริงอยากไล่มันไปคุยไกลๆ รำคาญ แต่ขืนพูดออกไปมันจะหาว่าแอบฟังอีก ดังนั้นผมจึงต้องหันไปจดจ่อกับงานที่เหลือตรงหน้าโดยไม่ลืมหยิบหูฟังขึ้นมาเปิดเพลงฟังไปด้วย
   วันนี้ถึงคิว Imagine Dragons วงโปรดวงที่ 163 ของผม...
   ตีหนึ่งแล้ว...รู้สึกเหมือนหนังตาเริ่มจะหย่อน ประกอบกับไอ้ถาก็เลิกโม้กับสาวสายที่สี่ของคืนพอดิบพอดี ดังนั้นผมจึงรีบเก็บอุปกรณ์เครื่องเขียนใส่กล่อง ก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงทั้งที่ยังสวมแว่นตาอยู่ ความจริงก็รู้สึกอึดอัดอยู่หรอก แต่ผมไม่ชอบถอดแว่นต่อหน้าคนอื่น มันทำให้ขาดความมั่นใจ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ไฟในห้องถูกปิด ผมจะรีบถอดมันวางไว้ข้างหัวเตียง เพื่อที่เช้าวันต่อมาผมจะได้รีบตื่นและหยิบไอ้แว่นหนาๆ ขึ้นมาใส่ก่อนไอ้สถาปัตย์จะตื่น
   “ปิดไฟแล้วนะจืด”
   “มองเห็นเหรอ ยังไม่ได้อาบน้ำไม่ใช่หรือไง”
   “ห่วงกูเหรอ” มันหรี่ตามองเจ้าเล่ห์ ผมล่ะเกลียดหน้าแบบนี้จริงๆ
   “แค่กลัวนายจะเดินไปเตะโน่นนี่จนของเราเสียหายต่างหาก แต่ถ้าอวดดีนักจะทำอะไรก็ทำ”
   “งั้นกูปิดไฟละกัน กลัวจืดนอนไม่หลับ” ทันทีที่ความมืดเข้ามาเยือน เสียงฝีเท้าของคนตัวสูงก็เงียบลงเช่นกัน ผมยังไม่หลับหรอกเพราะต้องสวดมนต์ก่อนนอนให้จบก่อนถึงจะหลับฝันหวานได้
   “จืด...ยังไม่หลับใช่มั้ย” เสียงเข้มดังแทรกขึ้นท่ามกลางความมืดและเงียบสงบจนได้ยินเสียงพัดลมหึ่งๆ
   “อะไรอีก”
   “ทำไมชอบสวดมนต์ตอนกลางคืน”
   “ความเคยชิน”
   “แค่นั้นเหรอ”
   “ตอนที่สวดมนต์แล้วได้นั่งทบทวนตัวเองก่อนนอน มันทำให้เรามีสมาธิ ได้เห็นว่าวันนี้เราทำทุกอย่างดีแล้วหรือยัง หรือวันนี้ทำอะไรไม่ดีกับใครไว้บ้าง”
   “มึงดูเป็นคนดีจัง”
   “เปล่าหรอก เราไม่ใช่คนดี เพราะถ้าเราดีจริงคงไม่มีใครเมินว่ามั้ย” ผมรู้ตัวเองดี เพราะนิสัยเงียบๆ ไม่เข้าสังคม มันทำให้คนอื่นมองผมเหมือนตัวประหลาด แต่ไม่เป็นไรหรอก ช่างมัน “ความจริงเราก็อยากเป็นเหมือนนาย ไปไหนมาไหนมีแต่คนคอยห่วงคอยแคร์ มีเพื่อนเยอะแยะและไม่เคยเหงา”
   “อย่าเป็นแบบกูเลย เป็นแบบมึงนั่นแหละดีแล้ว ฝันดีนะจืด กูไปอาบน้ำก่อนล่ะ”
   “อืม...”
   ความเงียบปกคลุมพื้นที่อีกครั้ง แทนที่จะหลับแต่ตากลับสว่างโล่ จะว่ายังไงดี ไอ้สถาปัตย์คือคนแรกที่อยากให้ผมเป็นผม โดยไม่พยายามยัดเยียดสิ่งที่สังคมต้องการให้ เพราะเหตุผลนี้ล่ะมั้งทำให้ความคิดที่ผมมีต่อมันค่อยๆ เปลี่ยนไป...
   แกร๊ก!
   เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก เงาของร่างสูงเดินเข้ามาในห้องเงียบเชียบ จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบทุลักทุเลท่ามกลางความมืด จนกระทั่งคลานขึ้นเตียงและ...
   “อะระหังสัมมา สัมพุทโธภควา...”
   ไอ้สถาปัตย์สวดมนต์เป็นครั้งแรก หลังจากที่ผมไม่เคยเห็นมันคิดจะทำเลย
   ในใจผมได้แต่ตั้งคำถามมากมายว่าสิ่งที่มันกำลังทำอยู่นั้น เพื่ออะไร...และ...
เพื่อใคร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2024 05:47:29 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ packy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กรี้ดดดดดด มาแล้วๆๆๆ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

2 เดือนต่อมา...
“คุณมีแรงแค่นี้เหรอ กลิ้งไปทางซ้าย!”
รับน้องสถาปัตย์ฯ ถือเป็นประเพณีสืบทอดที่โหดหินไม่แพ้คณะอื่น ใครบอกวิศวะฯ โหดหันมามองผมนี่ ตอนนี้...เรากำลังดำโคลนอยู่ครับ คราบเหนียวๆ สีน้ำตาลผสมขี้ควายและอาหารขย้อนจากปากของเพื่อนหลายคนที่พากันอ้วกแตก พาให้ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่น้อย
ผมไม่อยากมา ไม่อยากรับน้องด้วยวิธีแบบนี้ แต่ถ้าไม่ทำผมจะไม่ได้รุ่น ที่สำคัญเพื่อนสักคนก็จะไม่มี อย่างที่บอกว่าต่อให้ไม่มีเพื่อนไปจนจบผมก็อยู่ได้ แต่ถ้ามีมันก็ดีกว่าไม่ใช่หรือไง เข้าใจตัวเลือกหลังใช่มั้ย นั่นแหละผมถึงต้องมานอนกลิ้งโคลนกลางแดดอยู่ตรงนี้
เสื้อสีขาวกับกางเกงวอร์มของผมแม่งโคตรเละเทะ เด็กปีหนึ่งหลายคนเบะปากเตรียมจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แต่ก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรนอกจากทำตามคำสั่ง เราอยู่กันเป็นกลุ่ม กลุ่มเดิมกับที่เคยรวมเงินสิบบาทในกิจกรรมละลายพฤติกรรมวันนั้นแหละ เราช่วยเหลือกัน เพื่อนช่วยเพื่อน พี่ช่วยน้อง ผู้ชายช่วยดูแลผู้หญิง ส่วนผม...ก็ต้องพึ่งตัวเอง
“พวกคุณทุกคนลุกขึ้นยืน เห็นธงคณะกลางสนามนั่นมั้ย” พี่ว้ากตัวร้ายกับนายขี้โคลนตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด ผมหวังว่าจะมีใครคนหนึ่งลุกขึ้นมาเถียงพี่ว้ากบ้าง แต่เปล่าเลย เราทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาตอบเสียงอ่อยๆ กลับไป
“เห็นครับ/ค่ะ”
“ผมอยากให้คุณวิ่งไปจัดแถวบริเวณธงภายในเวลา 30 วินาที”
“หา!!!!”
“ห้ามบ่น กลุ่มไหนเกินเวลา กลุ่มนั้นต้องถูกลงโทษ เข้าใจมั้ย”
“...”
“เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ/ค่ะ”
“สามสิบ...ยี่สิบเก้า...”
“กรี๊ดดดดดดด” เสียงของความอลหม่านเริ่มต้นขึ้น ทุกคนวิ่งหน้าตั้งยิ่งกว่าศึกซอมบี้ถล่มเมือง แต่ก็ไม่ลืมหันมาช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่มด้วย เพราะถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งไปช้า เราก็ต้องถูกลงโทษพร้อมกันหมด
ผมเองก็เช่นกัน วิ่งไปข้างหน้าสุดแรงเกิดแต่ก็เกือบรั้งท้ายอยู่ดีเพราะขาสั้น ส่วนไอ้สถาปัตย์เหรอ มันกำลังทำตัวเป็นคนดีคอยช่วยเหลือเพื่อนผู้หญิงที่ทำท่าจะหมดแรงอยู่กลางสนาม ทุกคนชอบเรียกมันว่าฮีโร่ เพราะไม่ว่าจะอยู่กลุ่มไหนมันก็ช่วยเหลือหมดนั่นแหละ
“เหยาะแหยะจริงๆ สิบ...เก้า...”
“เฮ้ยยยย เร็วดิ!”
หลายๆ กลุ่มเริ่มตั้งแถว ผมเหมือนถูกคาดหวังจากเพื่อนทุกคนเพราะวิ่งมาเป็นคนเกือบท้ายๆ แข้งขาก็เหมือนจะอ่อนแรงเต็มที ความร้อนจากแดดตอนเที่ยงทำให้สายตาที่มองข้างหน้าค่อนข้างพร่าเบลอ ลมหายใจเริ่มติดขัด ผมเกลียดตัวเองที่เอาแต่เป็นภาระให้คนอื่น ดังนั้นจึงต้องกัดฟันวิ่งต่อไป เพราะถ้าล้มเพื่อนก็จะถูกทำโทษ
“จืดเร็ว! ไอ้จืด เร็วสิโว้ย”
แว่นจะร่วงแล้วสัด เรียกกูอยู่ได้
“เย่!!!” ทันทีที่แตะบ่าคนข้างหน้าสำเร็จ พี่ว้ากก็เป่านกหวีดหมดเวลาเช่นกัน
ฟู่! เกือบไปแล้ว...
กิจกรรมยังคงดำเนินต่อไป ร่างกายของผมก็ยังพอไหวถึงได้กัดฟันทนอาการหน้ามืดและสารพัดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวจนกิจกรรมหฤโหดผ่านพ้นไปด้วยดี รุ่นพี่ปล่อยให้เราได้ทานอาหารกลางวัน และพูดคุยถึงเรื่องสำคัญที่จะเกิดขึ้นในเทอมนี้ ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ นอกจากแยกตัวมากินข้าวเงียบๆ คนเดียว
“สถาปัตย์!”
“ไอ้ถานั่งตรงนี้”
“น้องถานั่งนี่ได้นะ” เสียงเรียกของใครหลายๆ คนตะโกนข้ามหัวผมไปมา ก็เป็นแบบนี้ทุกวันแหละครับตอนทำกิจกรรม บอกแล้วว่ามันฮอต ใครๆ ก็ชอบ แม้กระทั่งเดือนคณะที่คัดเลือกไปยังไม่ฮอตเท่ามันเลย
ผมเห็นไอ้สถาปัตย์นั่งลงตรงโต๊ะยาวตัวหนึ่งซึ่งห่างจากผมไปประมาณ 3 โต๊ะได้ เราหันหน้าเข้าหากันแต่ก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ เพราะมันไม่ได้สนใจผม หน้าที่อย่างเดียวของไอ้ปอผู้เสื้อเปื้อนโคลนก็เลยมีแค่กินข้าว...คนเดียว
คิดถึงเคนกับเบสว่ะ ถ้ามันยังอยู่ตรงนี้ ถ้ามัน...
   “จืด” ผมเงยหน้ามองคนมาใหม่ หากจำไม่ผิดคนนี้น่าจะชื่อพี เราอยู่กลุ่มเดียวกันแต่ไม่เคยคุยกันสักครั้ง
   “มีอะไรเหรอ”
   “รูมเมทมึงฝากมาถามว่าอยากกินอะไรมั้ย” ผมกะพริบตาถี่ จ้องมองไปยังคนผิวแทนที่ยังหัวเราะอยู่กับเพื่อนร่วมโต๊ะด้วยความสงสัย
   “สถาปัตย์น่ะเหรอ”
   “อื้ม ไอ้ถานั่นแหละ มันฝากกูมาถามว่ามึงอยากกินอะไรหรือเปล่า”
   “ไม่ เรามีข้าวแล้ว”
   “โอเค” แล้วหมอนั่นก็เดินผละออกไป
   แต่สักพักก็เดินกลับมาใหม่
   “มันให้เอานี่มาให้” ช็อกโกแลตแท่งถูกวางไว้บนโต๊ะ
   “ฝากบอกด้วยว่าขอบใจ แต่ไม่ต้องซื้ออะไรมาให้แล้วนะ”
“มันฝากกูมาขอมึงด้วย”
“อะไรล่ะ”
“น้ำเก๊กฮวย”
“เดี๋ยวเราไปซื้อให้” แม่งทำดีหวังผลนี่หว่า
“เปล่า มันอยากกินแก้วของมึง”
“งั้นก็เอาไปเถอะ” ผมดันแก้วน้ำเก๊กฮวยไปด้านหน้า เจ้าตัวพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหยิบแก้วน้ำของผมไป และวางไว้ตรงหน้าสถาปัตย์
   หมอนั่นรับไปดื่มโดยไม่หันมามองหน้าผมแม้แต่เสี้ยว ดังนั้นผมจึงเลิกสนใจมันเหมือนกัน จน...
   “ไอ้ถาฝากมา” พีวางขวดน้ำเปล่าไว้ใกล้ๆ มือ
   อีกแล้ว...ทำอะไรเนี่ย
   “ฝากบอกอีกทีนะว่าไม่ต้องเอามาให้แล้ว เรามีเงินซื้อ”
   “ไปบอกเองเลย กูไม่ใช่ตัวรับส่งสาส์นของมึงสองคนนะเว้ย เล่นอะไรกันอยู่วะ” พูดจบก็รีบตัดบทด้วยการเดินหนีทันที สรุปผมผิดเหรอ...
   ถ้าจะโทษต้องโทษไอ้ถาต่างหากที่เล่นอะไรไม่เข้าท่า
   สรุปหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไอ้สถาปัตย์กินข้าวเสร็จและเดินออกไปทักทายคนอื่นตามประสาคนของประชาชน ความจริงเราไม่ใช่รูมเมทที่แคร์กันขนาดนั้น ทุกอย่างมันก็แค่เกม...นี่ผมอินนะเนี่ย
   การจะทำให้ทุกคนรักและพูดถึงมันทำไม่ยากหรอก ก็ทำเหมือนสุดฮอตอย่างไอ้ถาไง :P
   แค่ซื้อของให้ก็เท่ากับซื้อใจแล้ว
   “น้องๆ คะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วขึ้นไปเจอกันที่หอประชุมด้วยนะ ทีมสโมฯ มีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย”
   “คร้าบบบบบ” นับเป็นช่วงเวลาที่ไอ้ปอต้องจ้วงข้าวในจังหวะเร็วกว่าปกติ ด้วยไม่มีใครมาคอยเรียกคอยเตือน ผมถึงต้องทำตัวเองให้กระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลาจนข้าวในจานพร่องเกือบหมด แต่พอตั้งท่าจะลุกขึ้นเอาจานไปเก็บ ผมกลับถูกคนสูงๆ เสื้อเปื้อนโคลนคนหนึ่งยืนขวางทางเอาไว้ซะอย่างนั้น
   “ถอยไป เราจะเอาจานไปเก็บ” ผมเงยหน้าบอกกับอีกฝ่าย
   คงไม่ต้องเดาแล้วมั้ง ข้างหน้าผมน่ะคนของประชาชนเลยนะเว้ย
   “กินช็อกโกแลตหรือยัง”
   “ไม่ มือเราเปื้อน”
   “แล้วน้ำล่ะ”
   “เราไม่ชอบกินน้ำไม่เย็น คราวหลังไม่ต้องซื้อมาให้นะ”
   “ก็ไม่ได้อยากซื้อน้ำเย็นมาให้กินสักหน่อย”
   “...”
   “ซื้อมาให้กินกับไอ้นี่ต่างหาก” ถุงพลาสติกสีขาวทึบถูกยัดใส่มือของผม ก้มลงมองดีๆ เลยพอจะรู้ว่าเป็นถุงยาเม็ดสีขาว
ไอ้สถาปัตย์ซื้อน้ำกับยามาให้
ไม่รู้หรอกว่ามันกำลังมาไม้ไหน แต่ทันทีที่กายสูงขยับเข้ามาประชิดมากกว่าเดิมและเอื้อมมือมาแตะหน้าผากของผม ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากยืนอึ้ง และทุกคนก็กำลังมองมาที่เราเช่นกัน
   “กินซะ ตัวร้อนๆ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
   “O_O”
   “ยังมาทำตาโตใส่อีก นี่ไม่สบายจริงๆ ใช่มั้ย”
   “ปะ...เปล่า”
   “แล้วทำไมหน้าแดง” ก็มึงยกมือมาแตะหน้าผากกูอยู่เนี่ย จะไม่ให้หน้าแดงได้ยังไง
   สงสัยผมคงป่วยจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้สึกหรอกว่าร่างกายร้อนผ่าวขนาดนี้
   “ไม่รู้”
   “กินยาซะรูมเมท ถ้าขืนป่วยขึ้นมามึงเจอดีแน่”
   “เฮ้ยไอ้ถา! ขึ้นตึกเร็ว แล้วนี่รูมเมทมึงเป็นอะไรเนี่ย ยืนตัวแข็งเชียว” โชคดีหน่อยที่มีหน่วยกู้ชีพเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ผมเลยพอหายใจหายคอได้บ้าง
   “เหมือนจะไม่สบายว่ะ”
   “เราโอเค” ผมรีบแทรกทันควัน คนผิวแทนเลยตวัดสายตามองนิ่ง
   “แต่หน้ามึงกำลังบอกว่าไม่โอเค”
   “ปะ...ไปเถอะน่า เราไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”   
“เป็นดิ”
   “...”
   “เป็นห่วงนะจืด”
   “...”
   “ดูแลตัวเองด้วย เข้าใจมั้ย”
   ตู้ม!!
   จากที่ไม่ป่วย ตอนนี้คิดว่ากำลังป่วยจริงๆ แล้วล่ะ ฮือ...
   






“จืด...”
   “อือ”
   “จืดตื่น! ไปเรียน”
   “ชะ...เช้าแล้วเหรอ” ผมพยายามปรือตาขึ้นมาเผชิญหน้ากับใครบางคน แม้มันจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนก็ตาม เช้านี้ผมรู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แม้แต่ขยับตัวก็แทบไม่สามารถทำได้ นอกจากครางอืออาในลำคอเท่านั้น
และแล้วผมก็ป่วยอย่างที่มันสันนิษฐานเอาไว้ตรงเผง
“ตัวร้อนฉิบหาย เมื่อวานมึงไม่ได้กินยาที่กูให้ไปใช่มั้ย”
“ฮือ...กิน...ไม่ได้” ผมตอบกลับเสียงกระท่อนกระแท่น ผมไม่ชอบยา ไม่ชอบความขมของมัน และที่สำคัญการกลืนยาสำหรับผมเป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกิน นี่แหละประเด็น
“ทำไมกินไม่ได้ เม็ดนิดเดียวเอง”
“กลืนยาเม็ดไม่ได้”
“แล้วทีมึงกินข้าวทำไมถึงกลืนได้วะ แม่ง! ดื้อแบบนี้ไงถึงป่วย” เพิ่งรู้ว่าคนของประชาชนนี่ขี้บ่นฉิบหาย ผมเลยทำได้แค่นอนฟังเสียงงึมงำของคนที่บอกว่าจะไปเรียน แต่ก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่ในห้องไปมา
“จืดถอดแว่นนะ” เสียงทุ้มบอกเบาๆ แต่ก็ไม่รอให้ผมตอบรับใดๆ นอกจากเอื้อมมือมาดึงแว่นตาของผมออกอย่างถือวิสาสะ พร้อมกับวางผ้าขนหนูชุบน้ำไว้ข้างแก้ม ความเย็นยะเยือกของผ้าทำให้ขนลุกชันและเกิดอาการหนาวขึ้นมาทันที
“หนาว...”
“แป๊บนึง” ผมปรือตามองอีกฝ่าย ซึ่งหมอนี่ก็จ้องผมกลับด้วย แถมยังทำหน้าอย่างกับพวกโรคจิตใส่อีก นี่ผมป่วยอยู่นะเว้ย
“จืด”
“อือ”
“ทำไมมึงน่ารักจังวะ”
   อึ้ง!
   “ต่อไปห้ามถอดแว่นให้ใครเห็นนะ กูมองได้คนเดียว”
“ยุ่ง” นี่หรือเปล่าที่เรียกว่าอาการเขิน
“ถอดเสื้อได้มั้ยจะเช็ดตัว”
   “ไม่เอา นาย...ไปเรียนเถอะ” แต่ไม่ทันแล้วววววววววว เพราะไอ้สถาปัตย์เล่นจัดการถลกเสื้อยืดสีครีมของผมออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเลื่อนผ้าขนหนูลงมาเช็ดบริเวณร่างกายที่ขึ้นสีแดงเรื่อเนื่องจากพิษไข้ บอกเลยตอนนี้ต่อให้ง่วงนอนแค่ไหนก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้
   ผมถูกพลิกตัวไปมาโดยไม่สามารถโต้แย้งใดๆ ร่างกายก็ถูกรูมเมทสัมผัสไปซะทุกส่วน ดีหน่อยที่ไม่เอามือล้วงเข้าไปในกางเกง ไม่อย่างนั้นผมคงไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน
   “หนาวแล้ว พอเถอะ”
   “อืม เปลี่ยนเสื้อใหม่เลยแล้วกัน กางเกงด้วยมั้ย”
   “ไม่!”
   “ฮ่าๆ อายอะไร กูเห็นหมดแล้วเนี่ย”
   “เสือก” ร่างสูงหมุนตัวไปที่ตู้เสื้อผ้าของผม หยิบเสื้อยืดลายเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์สีขาวออกมาและทำท่าจะเปลี่ยนให้ด้วยอีกต่างหาก
   “ไม่ต้อง แค่ป่วย ไม่ได้เป็นง่อย”
   “พูดมากเสียงแหบหมดแล้ว เดี๋ยวกูลงไปซื้อโจ๊กให้ แต่ห้ามแหยะนะ ต้องกินยาด้วย”
   “ไปเรียนเถอะน่า”
   “โดดแล้ว”
   “...”
   “วันนี้โดดแล้ว พอดีป่วย”
   “ทุเรศฉิบ!”
   หลังจากไอ้สถาปัตย์เดินออกจากห้องไป ผมก็หลับเป็นตาย สมองเบลอจนแทบไม่รับรู้สารใดๆ ทั้งนั้น แม้แต่เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ผมยังไม่คิดจะสนใจรับเลย ตอนป่วยนอกจากร่างกายอ่อนแอแล้ว จิตใจยังอ่อนไหวง่ายอีกต่างหาก เพราะไม่ว่าจะมองไอ้ถาแบบไหน ผมก็เห็นแต่ความใส่ใจของมันอยู่ดี รู้ทั้งรู้ว่ามันก็ทำแบบนี้กับทุกๆ คน
   ขอร้องเถอะ อย่ารู้สึกอะไรไปมากกว่านี้เลย เพราะสุดท้ายผมเองนั่นแหละที่จะเจ็บอยู่ฝ่ายเดียว
   “จืดลุกขึ้นมากินโจ๊กก่อน” ผมถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับแรงประคองจากด้านหลังให้ลุกขึ้นนั่งทันทีที่ลืมตาขึ้น
   “ฮือ...อยากนอน ปวดหัว”
   “ดื้อ”
   “ยุ่ง!”
   “เถียงเก่งขนาดนี้คงไม่เป็นไรแล้วมั้ง มาเร็วเดี๋ยวป้อน” มือหนาจับช้อนตักโจ๊กขึ้นมา ก่อนจะเป่าไล่ความร้อนเบาๆ แล้วเลื่อนมาจ่อปากผม
   “ต้องไม่อร่อยแน่ๆ”
   “อย่าเนียน มึงยังไม่ได้กินเลย ทำไมตอนป่วยงอแงจังวะ”
   “แล้วทำไมตอนกูป่วยมึงชอบบ่นจังวะ”
   “กูเป็นผู้ปกครองมึง” จบประโยคก็รีบยัดช้อนเข้าไปในปากผมทันที ไม่ปล่อยให้เถียงอะไรได้อีก พอคำแรกยังไม่ทันกลืนลงท้อง คำที่สองก็ถูกจ่อปากอีกไปเรื่อยๆ จนแทบสำลัก
   “พอแล้ว อะแค่กๆ” แม่งตั้งใจจะฆ่ากันให้ตายใช่มั้ยเนี่ย ตายด้วยสาเหตุทุเรศอย่างโดนทรมานด้วยการถูกอัดโจ๊กเข้าปาก
   “งั้นกินยา” ไอ้ถามันเป็นแม่ผมจริงๆ ด้วยว่ะ
   “กินข้าวเดี๋ยวก็หาย เราจะต่อสู้โรคด้วยตัวเอง”
   “ทฤษฎีห่าอะไรของมึงวะ กิน!” ใบหน้าคมคายจ้องผมเขม็ง ในมือถือยาแก้ไข้เอาไว้พร้อมจะกรอกปากผมรอมร่อ
   “ไม่กิน”
   “จะกินดีๆ หรือจะกินด้วยน้ำตา”
   “เรากินยาเม็ดไม่ได้จริงๆ มันจะอ้วก ไม่ได้แกล้งนะ แต่...” อาจเป็นเพราะอาการปวดหัวรุมเร้า ประกอบกับสติมีไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ทำให้ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แน่นอนรวมไปถึงน้ำตาที่กำลังเอ่อรื้นอยู่เต็มขอบตานี่ด้วย
   “โอเค ไม่เป็นไร...” ได้ยินแค่นั้นผมก็แทบกระโดดโลดเต้น แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นประโยคใหม่ก็ดังก้องในหัว
“...”
“เดี๋ยวจะสอนกิน”
หลังจากชะล่าใจได้ไม่นานกระบวนการสอนมนุษย์อย่างผมกินยาก็เริ่มขึ้น ไอ้ถาใช้เวลาอย่างใจเย็น บอกละเอียดตั้งแต่กรอกน้ำเข้าปาก ไปจนถึงยัดยาเข้าไป
สุดท้ายเหมือนจะได้ผล ผมสามารถกลืนยาลงคอได้จริงๆ แต่นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวเพราะหลังจากนั้นผมก็ขย้อนเม็ดยาออกมา...







   ปั่กๆๆ ปั่กๆๆ
   ก๊อกๆๆ
   ปั่ก...ปั่ก...ปั่ก...
   “เฮ้ยไอ้ถา เปิดประตูหน่อย ทำเหี้ยอะไรเสียงดังวะ ดังทะลุไปถึงข้างล่าง!” เสียงตะโกนโหวกเหวกของเพื่อนดังขึ้นมาหลายครั้งหลายครา หลังจากรู้แน่แล้วว่าต้นเสียงที่ดังทะลุไปจนถึงชั้นล่างเป็นฝีมือของห้องไหน ผมมองตามสถาปัตย์ซึ่งกำลังลุกขึ้นยืนอย่างหัวเสียด้วยความหวาดหวั่น
   แกร่ก!
   “อะไร” เมื่อเปิดประตูออกไปปะทะกับคนตรงหน้า ร่างสูงก็โพล่งขึ้นทันที
   “แล้วมึงอ่ะทำเหี้ยอะไร”
   “จืดไม่สบาย” หมอนั่นพยายามยื่นหน้าเข้ามามอง แต่สถาปัตย์กลับแง้มประตูออกให้น้อยที่สุด
   “แล้วไง”
   “บดยาให้จืดอยู่” ว่าพลางชูยาในถุงพลาสติกเล็กๆ ที่ใกล้ละเอียด พร้อมกับอุปกรณ์บดยาอย่างก้นแก้วน้ำ นาทีนี้อย่าห่วงว่าผมจะตายเพราะป่วยเลย ห่วงสุขอนามัยการจัดหายาของไอ้ถาก่อนดีกว่ามั้ย
   “ใช่เรื่องมั้ยมึง แล้วทำไมต้องไปบดยาให้มันด้วย มันแดกยาเม็ดไม่ได้หรือไง”
   “อืม”
   “แล้วทำไมไม่ซื้อยาน้ำ”
   “ฤทธิ์ไม่แรงพอ ขนาดเด็กแดกยังไม่หายเลย”
   “เออ! ไม่เถียงแล้ว จะทำห่าอะไรก็ทำ แต่ช่วยลดเสียงลงด้วย”
“รู้แล้วๆ”
   หลังจากปิดประตู
   ปั่กๆๆ
   “พอได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนด่าหรอก” สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายปรามมันอยู่ดี
   “ยังไม่ละเอียดนะเว้ย”
   “ก็ไม่ต้องกินดิ ไม่ได้อยากกินยาอยู่แล้ว”
   “ได้ไง” ตอนป่วย ผมรู้สึกว่าชีวิตตัวเองดูมีค่าในสายตาของเพื่อนขึ้นมาทันที เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยมั้งที่มีคนมานั่งบดยาให้ขนาดนี้ เพราะปกติผมจะทำเองทั้งหมด ป่วยก็ไม่มีสิทธิ์อิดออดหรอก ไม่อยากตายก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง
   “อ่ะ ได้แล้ว” ยาบดละเอียดถูกเทผสมน้ำใส่แก้วเล็กน้อย ก่อนยื่นมาให้ผม
   “ขมอ่ะ” เพราะรู้ไงว่ารสชาติมันเลวร้ายแค่ไหน ผมถึงไม่อยากเอาลิ้นไปแตะไอ้ยาแก้ไข้พวกนี้เลย
   “เดี๋ยวไม่หายนะจืด” ผมยอมรับแก้วน้ำในมืออย่างง่ายดาย พร้อมกับกระดกดื่มรวดเดียวหมดด้วยสีหน้าเหยเก ไอ้สถาปัตย์ยื่นน้ำเปล่าให้อีกครั้ง แน่นอนผมไม่คิดปฏิเสธเพราะไม่อย่างนั้นอาจถูกยัดเยียดยาด้วยวิธีอื่น   
บางทีการกินยามันก็เปลืองพลังงานและพลังใจไม่ใช่เล่นนะ
“นอนซะ”
“ขอบคุณนะที่ดูแลเรา” เล่นโดดทีเดียวสองวัน สงสัยนิสิตดีเด่นคงไม่ได้อยู่ในตัวเลือกของมันแล้วล่ะ
“ไม่ต้องพูดเพราะกับกูก็ได้ สนิทกันแล้ว”
   “ตอนไหน”
   “เมื่อกี้”
   “ถามหรือยังว่าอยากสนิทด้วยมั้ย” ผมเอ่ยออกไป
   “ถามแล้ว”
“ถามใครไม่ทราบ”
   “ถามใจมึงอ่ะ ใจมึงอยากสนิท”
   “...”
   “ใจกูก็อยากสนิท เพราะงั้น...”
   “...”
   “ใจเราตรงกันแล้วนะเว้ย”







   วันจันทร์ วันที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและเสียงจ้อกแจ้กจอแจของบรรดานิสิตสถาปัตย์ฯ โดยเฉพาะโรงอาหาร สถานที่เดียวที่ผมสามารถฝากท้องแล้วรีบขึ้นไปเรียนได้ทัน ดังนั้นจึงไม่ค่อยเห็นเด็กสถาปัตย์ฯ ไปกินข้าวไกลถึงคณะอื่นสักเท่าไหร่
   “จืดกินไร” เสียงทุ้มแสนคุ้ยเคยถามขึ้น หมอนี่ชวนผมมาร่วมโต๊ะกับมันและเพื่อนๆ ดังนั้นผมเลยไม่ขัดศรัทธาขอนั่งด้วยความเต็มใจ
   “เดี๋ยวกูไปสั่งเอง” ไม่ค่อยชินกับการเรียกแบบนี้เท่าไหร่
แต่...ก็ดูสนิทดี
   “โอเค กูไปซื้อน้ำกับไอ้ป๊อบนะ” กลุ่มเพื่อนของสถาปัตย์มีด้วยกัน 5 คน ไม่รวมผมนะเพราะไม่ได้อยู่ในก๊วนแก๊งกับคนอื่นเขา แต่ละคนมีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผมก็ไม่ได้สนิทถึงขนาดจะวิจารณ์นิสัยของคนพวกนี้ให้ฟังได้ นอกจากมัน...ไอ้ถา
   ผมลุกขึ้น เดินไปสั่งอาหารร้านประจำ ก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะซึ่งทุกคนก็ลงมือจ้วงข้าวใส่ปากกันหมด ยกเว้นไอ้สถาปัตย์ที่เอาแต่นั่งยิ้มหน้าแป้นแล้น ตรงหน้ามีแค่น้ำเขียวแก้วเดียววางเอาไว้เท่านั้น
   “ไม่กินข้าวเหรอ” ผมถามอย่างแปลกใจ
   “กิน”
   “แล้วทำไมไม่สั่ง”
   “อยากแย่งหมากิน ขอชิมหน่อยดิ”
   “นี่อาหารหมา มึงกินไม่ได้หรอก” ผมรีบบอกปัดทันควัน
   “งั้นนี่ก็หมา กินได้”
แปลก ไม่ชอบสั่งข้าว แต่ชอบมาแย่งคนอื่นกินเนี่ยนะ
   “ทำใจเถอะ ไอ้ถาไม่ใช่หมา แต่สันดานแม่งหมา” เพื่อนของหมอนี่ตบบ่าผมปุๆ สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้มันแย่งกินไป เพื่อแลกกับการได้กินน้ำเขียวไม่ถึงครึ่งแก้ว ไม่เห็นจะคุ้มเลย
   “ถา”
   “เหวย แม่หมามาแล้ว”
   ทุกคนหันไปให้ความสนใจกับคนมาใหม่ ผมเองก็ไม่รู้จักหรอก รู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้น่ารักเหลือเกิน ให้เดาก็คงจะเป็นหนึ่งในบรรดาสต็อกของไอ้สถาปัตย์ล่ะมั้ง
   “อะไรยังไงคร้าบบบบ” เพื่อนๆ ในกลุ่มเริ่มส่งเสียงแซว กระทั่งคนมาใหม่เดินเข้ามาประชิด
   “ชู่วววว เงียบหน่อยดิ เดี๋ยวกูมานะ” เจ้าตัวว่าพลางลุกเดินออกจากโต๊ะไป
   “ถ้ายุ่งไม่ต้องเข้าเรียนได้นะ เดี๋ยวกูบอกอาจารย์ให้ ฮิ้ววววว”
   “ตัวจริงแน่ๆ”
   “แน่ใจเหรอ คนก่อนก็คนดังคณะมนุษย์ฯ นะ ของอย่างนี้ดูผิวเผินไม่ได้ดิ” ทุกคนต่างช่วยกันวิเคราะห์ชีวิตรักของไอ้สถาปัตย์จนออกรสออกชาติ ส่วนผมทำได้แค่ดึงจานข้าวที่อยู่อีกฝั่งมากินเงียบๆ ไม่รู้สิ แต่ความรู้สึกตอนนี้มันวูบโหวงอย่างน่าประหลาด พร้อมกับคำถามมากมายที่ลอยวนอยู่ในหัว
   คนแบบไหนนะที่คนอย่างมันจะชอบ คนสวย คนดัง คนเก่ง หรือต้องพิเศษ
   และที่สำคัญ...เป็นคนธรรมดาได้มั้ย
   ผมตั้งคำถามสุดท้าย ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมยังอยากถามออกไปอยู่ดี แปลกเนาะ หรือเพราะผม...เป็นแค่คนธรรมดาด้วยหรือเปล่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2024 05:49:45 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

   ผมได้แผ่นหนังสยองขวัญเรื่อง Unfriended มาจากร้านเช่าซีดีใกล้ๆ มหา’ลัย เพราะร้านเตรียมจะปิดตัว ดังนั้นเขาจึงขนมาขายแบบลดแล้วลดอีก อย่างเรื่องนี้แค่สิบบาทเอง ถ้าซื้อลูกชิ้นก็ได้แค่สองไม้ แต่ถ้าซื้อแผ่นหนังก็จะมีเก็บไว้จนกว่าจะพัง
   ความจริงผมไม่ชอบดูหนังผีเท่าไหร่ ถ้านับที่ดูไปก็มีแค่ไม่กี่เรื่อง หนึ่ง ชัตเตอร์ฯ สอง พี่มาก เรื่องหลังอาจไม่จำเป็นต้องนับเพราะมันเป็นหนังคอมมิดี้ นั่นแหละ แค่อยากพูดให้ฟังว่าผมกับหนังผีเราไม่ค่อยถูกกันแค่นั้น
   ตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว ไอ้ถายังไม่กลับ ถ้าให้เดาก็คงไปเที่ยวกับบรรดาคนคุยในสต็อก แต่มันก็เข้าเรียนนะ เลิกเรียนถึงหายหัวไปตามสเต็ป ผมเองก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของมันนักหรอก ดังนั้นจึงไม่ได้ถามว่าจะไปไหนหรือทำอะไร
   ผมกระโดดขึ้นเตียง ยกโต๊ะญี่ปุ่นขึ้นมาตั้งไว้พร้อมกับแล็บท็อปตัวโปรด ก่อนจะสอดแผ่นซีดีลงไป
   แกร๊ก!
   ประตูห้องถูกเปิดออก ผมเห็นร่างสูงผิวแทนเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน เลยถามด้วยความสงสัย
   “ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
   “เบื่อว่ะ” มือหนาเหวี่ยงกระเป๋าลงกับเตียงลวกๆ พลางหันมามองหน้าผม
   “ไปกับคนคุยนะ เบื่อด้วยเหรอ”
   “แล้วรู้ได้ไงว่าไปกับคนคุย”
   “ก็เดาเอาอ่ะ”
   “อืม เขาชวนไปดูหนัง ช็อปปิ้ง แถมยังชอบเดินจับมือกูอีกต่างหาก ”
   “ก็น่าจะมีความสุขดีไม่ใช่เหรอ”
   “ตรงกันข้ามเลย เบื่อว่ะ ไม่ชอบรอใครนานๆ ยิ่งตอนเขาซื้อของแล้วลากกูให้ไปด้วยนะ กูแม่งอยากจะหายไปจากตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอด”
   “ต่อไปก็หนีสิ”
   “คิดว่าคงทำอย่างนั้น ฮ่าๆ” ผมเปล่าแนะนำทางผิดให้เพื่อนนะ แต่ในเมื่อไม่อยากทำทำไมเราต้องฝืนด้วยล่ะ หรือจะให้ง่ายก็มีอีกอย่างคือบอกไปตรงๆ บอกเพื่อทำร้ายจิตใจกันตอนนี้ดีกว่ามาเสียใจในวันข้างหน้า
   ดูเป็นพระเอกสุดๆ
   “แล้วนี่ทำอะไร”
   “ดูหนัง”
   “เรื่อง?”
   “Unfriended”
   “เกี่ยวกับห่าไรวะจืด เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน”
   “แล้วไม่เสือกสักเรื่องได้มั้ยอ่ะ”
   “ก็อยากดูด้วย” ผมหรี่ตามองเล็กน้อย วันนี้มาแปลกแฮะ
   “หนังผี”
   “หึ!” ไอ้สถาปัตย์ยักไหล่พลางทำหน้าเหมือนไม่ไหวกับเรื่องแนวนี้เต็มทน หรือจะเรียกอีกอย่างว่ากลัวก็คงไม่แปลก
   “ดูด้วยกันมั้ยล่ะ” พอเห็นท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ผมเลยแกล้งชวนไปอย่างนั้น ใครจะอยากให้มันมานอนเบียดบนเตียงสามฟุตครึ่งแถมผ้าปูหอมกรุ่นของผมกันเล่า
   “ดู!”
   “ไม่ได้กลัวผีหรอกเหรอ”
   “กลัว แต่พอมีมึงปุ๊บ กูว่าผีก็ไม่น่ากลัวแล้วล่ะ”
   “สัด” ด่าไปก็เท่านั้นไม่เข้ากะโหลกมันหรอก ผมเหลือบตามองร่างสูงที่ก้าวขึ้นมาบนเตียง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวให้พอมีที่ว่างสำหรับเราสองคน ไอ้สถาปัตย์พิงหลังกับหัวเตียง ส่วนผมนอนหนุนหมอนสูงๆ เพื่อให้ดูหนังได้สบายขึ้น
   “ถามจริง ทำไมมึงชอบดูหนังผี” ถามอะไรนักหนาเนี่ย คนจะดูหนัง แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี
   “ไม่ได้ชอบดู แค่อยากดู”
   “แล้วทำไมชอบฟัง Imagine Dragons”
   “ก็เพลงมันสนุก มึงไม่ชอบฟังเหรอ”
   “ไม่อ่ะ มึงลองฟัง Two Door กับ Arctic Monkeys ดูดิ รับรองติดใจ”
   “เคยฟัง Two Door แล้ว ก็ชอบอยู่นะ แต่วงหลังฟังไม่รู้เรื่อง”
   “แล้วทำไม...”
   “เลิกถามได้แล้ว คนจะดูหนัง”
   “โอเค มีของว่างระหว่างดูด้วยนะ” มือหนาเอื้อมมือไปหยิบซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในกระเป๋าขึ้นมา แล้วบดขยี้ด้วยมือก่อนแกะถุงออก
   “อะไรเนี่ย”
   “มาม่าดิบ กินมะ อร่อยนะเว้ย”
   “ไม่กิน แล้วมึงก็ไม่ต้องกินจนติดนิสัยด้วย เดี๋ยวท้องอืด”
   “กูหุ่นดี ไม่มีอืด”
   “เดี๋ยวถีบ! วางซองมาม่าลงแล้วดูหนัง”
   “โอเคคร้าบบบบ”
   หนังดำเนินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความกล้าๆ กลัวๆ ของไอ้ถาที่เอาแต่บิดผ้าห่มจนยับยู่ ส่วนผมก็หวั่นใจเล็กน้อย บอกแล้วว่ากลัวผี แต่พอมีคนอยู่เป็นเพื่อนเลยทำให้สบายใจได้บ้าง
   “ฮือ...ฮื้อ...ปัง!”
   “อ๊าก!!!!!” ไอ้ผีโรคจิตชอบทำให้คนอื่นตกใจ ผมกับไอ้ถาร้องจนลั่นห้อง ทั้งซุกทั้งมุดเข้าไปในผ้าห่ม
   “ไม่ดูแล้วได้มั้ยอ่ะ” ผมพูดเสียงติดสั่นเล็กน้อย คนผิวแทนเลยจ้องหน้ากลับพร้อมกับเอื้อมมือมาดึงแว่นสายตาออกจากหน้าของผม
   “กลัวผีเหมือนกันก็ไม่บอก ไม่ดูก็ได้”
   “แล้วถอดแว่นกูทำไมเนี่ย”
   “ก็มึงบอกไม่ดูหนังไง”
   “มันไม่ได้เกี่ยวกับแว่นนะ”
   “เกี่ยวดิจืด ทำไมมึงน่ารักจังวะ”
   “อะ...อะไรเนี่ย” ใบหน้าคมคายโน้มหน้าเข้ามาใกล้ หัวใจผมเต้นระส่ำแทบไม่เป็นจังหวะเพราะระลึกได้ว่าเรากำลังนอนบนเตียงเดียวกันอยู่
   “น่ารัก น่ารัก มึงแม่งโคตรน่ารักเลย”
   “นี่มึงกลัวจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วเหรอ ไอ้ถาอย่า! อื้ออออ” เสียงของผมขาดหายไป กลายเป็นการดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของร่างสูง ริมฝีปากของเราประกบกัน ก่อนลิ้นร้อนจะแทรกเข้ามาในโพรงปากของผมอย่างถือวิสาสะ ไล้เลียไปตามสบฟันและเกี่ยวกระหวัดจนแทบหายใจไม่ออก
   มือหนาล้วงเข้าไปในชายเสื้อของผม ลูบไล้ไปบนผิวจนขนลุกซู่ ผมทำได้แค่ปัดป่ายและกระทืบเท้าลงกับฟูกนอน เพราะสู้แรงอีกฝ่ายไม่ไหว
   กระทั่งเสื้อของผมถูกถอดออกอย่างง่ายดาย ลมหายใจกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเมื่อริมฝีปากร้อนผละออกและเลื่อนลงมาขบเม้มบนซอกคอของผม มันเจ็บจี๊ดระคนเสียวซ่านจนเหมือนไม่ใช่ร่างกายของตัวเอง
   ทั้งแปลก หวั่นไหว และกลัวในเวลาเดียวกัน
   “ไอ้ถาปล่อย!”
   “...”
   “กูโกรธ...มึงจริงๆ นะ” มือหนาเลื่อนลงไปตรงขอบกางเกง ผมรีบรั้งเอาไว้สุดความสามารถก่อนจะเลยเถิดไปไกล คนตรงหน้าตอนนี้เหมือนไม่ใช่สถาปัตย์ที่ผมรู้จักเลย
   “ไอ้ถา! กูเป็นเพื่อนมึงนะ!”
   ร่างสูงชะงักนิ่ง
   “มึงเห็นกูเป็นใคร กูไม่ใช่ตัวแทนของคนอื่นนะเว้ย”
   “กู...ขอโทษ”
   “ฮึก...”
   “กูขอโทษนะจืด ขอโทษ”
   “...”
   “กูไม่ได้เห็นมึงเป็นตัวแทนใคร กูเห็นมึงที่เป็นมึง”
   ผมไม่เคยร้องไห้เพราะเรื่องแบบนี้
   และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้เพราะ...เพื่อน








   ผมไม่คุยกับไอ้สถาปัตย์เกือบเดือนนับตั้งแต่วันนั้น หลายครั้งที่มันพยายามชวนคุย แต่ผมไม่คุยด้วย ดังนั้นทุกครั้งเวลากลับห้องแล้วต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ความอึดอัดจะประเดประดังเข้ามาเต็มที่ เราต่างคนต่างอยู่ ทำงานมุมใครมุมมัน ไอ้ถาเองก็ไม่ได้นั่งตัดงานอยู่ตรงพื้นแล้ว แต่เลือกทำงานบนเตียงแทน
   เราไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน ผมยังคงกินข้าวคนเดียว ไปเรียนคนเดียว และกลับมาอยู่ที่ห้อง แม้จะมีใครอีกคนอยู่ด้วย แต่ความรู้สึกก็ไม่ต่างจากการอยู่คนเดียวนักหรอก วันนี้ก็เหมือนกัน
   ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูเข้าไปภายใน มันเป็นความเงียบเชียบที่ดูแปลกประหลาดสักหน่อย จำได้ว่าไอ้สถาปัตย์กลับมาก่อนแล้ว และพอถึงห้องมันก็จะเปิดเพลงของวง Two Door Cinema Club เพื่อทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดของเราทั้งสองคน เพียงแต่วันนี้...
   ผมไม่สามารถอยู่เฉยได้ กระเป๋าเรียน หูฟัง และโทรศัพท์มือถือถูกวางไว้บนเตียง แต่แล้วความสงสัยก็จบลงเมื่อได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากด้านนอก ใช่! มันอาจจะแวะไปหาเพื่อนห้องอื่น
   แม่ง! ผมคงหมกมุ่นเกินไปแล้วแน่ๆ ที่เอาแต่สนใจอีกฝ่าย แม้จะพยายามอย่างมากที่จะไม่สนใจก็ตาม ผมวางกระเป๋าไว้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ ตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ยังไม่ทันที่เท้าจะสัมผัสกับกระเบื้องอีกสี ผมก็ต้องเผชิญกับเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่า
   “ไอ้ถา!!”
   “...”
   “ถาเป็นอะไร!” ทันทีที่เห็นร่างสูงนอนกองกับพื้นพร้อมกับเก้าอี้พลาสติก ผมก็รีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายออกมาอย่างยากลำบาก
   “จะ...เจ็บ กูเจ็บแขนจืด”
   “โอเค...โอเค มึงต้องไม่เป็นไร” คิดว่าคำปลอบใจนี้มีไว้ให้ผมมากกว่า เพราะนอกจากพามันออกมาจากห้องน้ำแล้วผมก็ทำอะไรไม่ถูกอีกเลย
   “ยอมคุยกับกูแล้วเหรอ”
   “มันใช่เรื่องมาหยิ่งมั้ยเล่า”
   “รู้งี้ตกเก้าอี้แต่แรกก็ดี อึดอัดชะมัดเลยว่ะ”
   “เลิกพูดได้แล้ว” ผมรีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม ค่อยๆ พาคนตัวสูงมานั่งตรงปลายเตียง
   “...”
   “เดี๋ยวกูเรียกเพื่อนมาช่วยนะ เจ็บมากมั้ย” เจ้าตัวพยักหน้า พลางกอบกุมแขนขวาเอาไว้ด้วย
   “...”
   “ร้องเพลงก่อน ถ้าร้องเพลงมึงจะไม่คิดอะไร” นับเป็นการแก้ปัญหาที่แย่มาก แต่ผมคิดว่าแขนขวาของไอ้สถาปัตย์คงหักไปแล้ว ดูจากรูปกระดูกที่ผิดรูปร่างอย่างเห็นได้ชัด
   “โอเค กูจะร้องเพลง...”
   ผมวิ่งผละออกมา ไม่ทันพ้นประตูห้องก็ได้ยินเสียงร้องสั่นๆ ของอีกฝ่ายไปด้วย
“So this is what you meant. When you said that you were spent…”
นี่คือเพลง It’s time ของ Imagine Dragons
เพลงของวงที่มันบอกว่าไม่ชอบและหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่ฟัง
ไม่ฟังแล้วร้องได้ด้วยเหรอ...







   สถาปัตย์ตกเก้าอี้เพราะดัดจริตขึ้นไปซ่อมหลอดไฟเอง สรุปแม่งแขนข้างขวาหักต้องเข้าเฝือก 2 เดือน ขอบคุณโชคชะตาเพราะจูรี่ใกล้เข้ามาถึงแล้ว ที่พูดหมายถึงโปรเจ็กต์ใหญ่ประจำเทอมที่นิสิตสถาปัตย์ฯ ทุกคนต้องทำส่งต่างหาก งานตัดโมเดลต้องมา งานออกแบบก็ต้องเป็นรูปเป็นร่าง แต่แขนขวาที่ถนัดดันมาหักเนี่ยนะ!
   ปิดประเด็นความตรากตรำที่พยายามไม่พูดกันมาถึงหนึ่งเดือน เพราะมีเรื่องให้ตรากตรำกว่า ความจริงที่นี่มีธรรมเนียม ใกล้ถึงจูรี่เมื่อไหร่รุ่นน้องจะไปช่วยรุ่นพี่ตัดโมฯ แต่คราวนี้ไม่ครับ เพราะเพื่อนและรุ่นพี่ต่างแห่กันมาช่วยไอ้สถาปัตย์จนเต็มลานกิจกรรมคณะ แม่งนี่มวลมหาประชาชนอะไรวะเนี่ย
   จากงานเครียดกลายเป็นงานรื่นเริง บางทีการเป็นคนดังมันก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็เอางานมานั่งทำด้วย จะติดก็ตรงที่อุปกรณ์และวัสดุบางอย่างหมดซะก่อน งานเลยไม่คืบ
   “เป็นไรจืด” เสียงทุ้มหันมาถามด้วยใบหน้านิ่งๆ มือขวาถือกระดาษและมือซ้ายถือกรรไกร โคตรของความพยายามเลยว่ะ
   “กระดาษอาร์ตฯ หมด ไม้บัลซ่าก็ด้วย เออกาวอีก สรุปกูต้องออกไปข้างนอกนะ” ผมรีบพูดรวบรัด
   “เดี๋ยวไปส่ง”
   “มึงทำงานของมึงไปเถอะ ทิ้งให้คนอื่นตัดงานให้ เจ้าของไม่อยู่ได้ไง”
   “เหอะน่า พี่ๆ เพื่อนๆ ครับ ผมขอออกไปซื้อของข้างนอกแป๊บนึง ใครหิวจดรายชื่ออาหารและน้ำมาได้เลย เดี๋ยวจัดหนักๆ มาให้” ฉลาดฉิบหาย เรื่องเจ้าเล่ห์ขอให้บอกมันเลย
   “ข้าวไม่ต้อง ขอขนมเบาๆ ก็พอ”
   “ครับผม”
   “ถาให้เราไปเป็นเพื่อนมั้ย” หมวย เพื่อนร่วมเอกเสนอตัว
   “ไม่เป็นไร เราว่าจะไปกับจืด ป่ะไอ้จืด รีบเลย เดี๋ยวเพื่อนหิว” ยังไม่ทันลุกขึ้นด้วยตัวเอง ผมก็ถูกมือหนาดึงรั้งให้ลุกขึ้นยืนและออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงร้านเครื่องเขียนที่ใหญ่ที่สุดใกล้มหา’ลัย
   “มึงออกไปซื้อขนมอย่างอื่นก่อนก็ได้นะ กูเลือกนาน”
   “ไม่เป็นไร จะรอ”
   “แต่มึงไม่ชอบรอไม่ใช่เหรอ”
   “ถ้าเป็นมึง ให้รอทั้งวันยังได้เลย เลือกไปเหอะน่า”
   “ตามใจ แล้วอย่าบ่นให้ฟังละกัน”
   ผ่านไป 25 นาที...
   อุปกรณ์สำหรับทำโมเดลเต็มไม้เต็มมือไปหมด แถมตะกร้ายังไม่สามารถใส่กระดาษแผ่นหนาที่ใหญ่เท่าฝาบ้านได้อีก
   “ช่วยถือ” เหมือนเทพบุตรจุติมาเกิด โยนให้ถือหมดเลยดีมั้ย
   “แขนหักอยู่อย่าทำเป็นเก่ง”
   “มือซ้ายว่าง”
   “เหรอ”
   “หัวใจห้องล่างซ้ายก็ว่าง”
   “แล้วห้องล่างขวาอ่ะของใคร”
   “ไม่ใช่ของจืด แต่เป็นของปอ...”
   หัวใจของผมเต้นตึกตัก ลืมไปเลยว่ากูชื่อปอ
   “ละ...แล้วห้องบนซ้ายอ่ะ”
   “บนซ้ายของจืด ส่วนบนขวาของปอ”
   “...”
   “แต่ไม่ว่าจะห้องไหนก็เป็นของมึง พอใจยัง”
   “เออ พอใจแล้ว! จ่ายตังค์เลย”
   “แหม เนียนให้ป๋าเลี้ยงเลยนะครับ”
   “ยุ่ง”
   ผมได้ยินเสียงหัวเราะไล่ตามหลังมาไม่ห่าง มันเป็นวิธีแก้เขินที่ใช้ได้ผลเลยทีเดียว ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้ถามันเคยเอามุกนี้ไปใช้กับใครที่ไหน ต่อให้มันเคยใช้กับคนเป็นร้อยคน ผมก็ยังรู้สึกเขินกับประโยคเมื่อกี้อยู่ดี
เราเคยคุยกันทุกวัน แล้วก็เคยมึนตึงใส่กันนับเดือน แต่พอได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง ผมกลับรู้สึกว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อมันยังเหมือนเดิม...
รู้สึกดีเหมือนเดิม
   “จืดรอหน่อย อย่าเดินเร็วดิ” พอเดินออกมาจากร้านก็ทำตัวเหมือนเด็ก เฮ้ย มึงคนของประชาชนนะ ง้องแง้งเป็นแมงกระชอนไปได้
   “ขายาวกว่าก็รีบก้าวหน่อยสิ”
   “อย่าเพิ่งข้าม รอกูก่อน” ร่างสูงจ้ำอ้าวมาถึงตัวผมอย่างรวดเร็ว ในมือข้างหนึ่งถือกระดาษแข็งม้วนเท่าบ้านเอาไว้
   “ไปยัง”
   “โอเค” ปากบอกแบบนั้นแต่กลับเป็นฝ่ายคว้ามือของผมด้วยมือข้างที่เจ็บแล้วข้ามถนนไปพร้อมกัน
   เรา...จับมือกัน
   เผื่อใครยังจำไม่ได้ ไอ้สถาปัตย์ไม่ชอบให้คนจับมือ
   พอเดินมาถึงรถ ผมก็ตั้งคำถามทันที
   “จับมือกูทำไมวะ”
   “รถมันเยอะ กลัวจืดโดนรถชน สงสารรถคนอื่นเขา”
   “กวนตีน กูโตแล้วไม่ใช่เด็กสามขวบ ไม่ต้องห่วงหรอก”
   “แล้วเด็ก 18 ขวบอย่างมึงห่วงไม่ได้เหรอ”
   “ไม่ได้”
   “งกให้ใครไม่ทราบ”
   “ให้พ่อ ให้แม่ ให้แฟนในอนาคต”
   “งั้นห่วงได้”
   “อะไร”
   “ห่วงได้ เพราะนี่แฟนในอนาคต”
   “...!!!”
   “พี่ถาแฟนน้องจืดยังไงครับ” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังมีหน้ายกมือขึ้นมาลูบหัวอีก
   นี่สินะคาสโนว่าตัวพ่อ ผมนี่อึ้งไปเลยครับ







   ช่วงเวลาการตัดโมเดลกินเวลาตั้งแต่ 3 ทุ่มจนตอนนี้เข้าสู่เที่ยงคืน บางส่วนแยกย้ายกันกลับ บางส่วนยังก้มหน้าก้มตาทำต่ออย่างขะมักเขม้น ไม่ใช่ทุกคนจะตัดของไอ้สถาปัตย์หรอก มีที่ตัดของตัวเองด้วยเพราะงานเดี่ยวยังไงก็ต้องส่ง สุดท้ายโมเดลของไอ้ถาเสน่ห์ล้ำคนของประชาชนจึงกลายเป็นลูกเมียน้อยไป
   ผมมองร่างสูงที่ยังตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ มือข้างหนึ่งถือไม้บรรทัด ส่วนมืออีกข้างที่ไม่ถนัดกำลังใช้คัตเตอร์กรีดกระดาษอย่างตั้งใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความทุลักทุเลไม่น้อย
   ด้วยทนมองเฉยๆ ไม่ไหว ผมเลยขยับเข้าไปนั่งใกล้กับมัน พร้อมกับช่วยตัดงานชิ้นอื่นๆ ของมันไปด้วย
   “ไม่ต้องช่วยกู ทำของมึงต่อเถอะ”
   “...” ผมไม่ตอบ นอกจากตัดต่อไปเรื่อยๆ
   “โอเค ถ้าตัดของกูเสร็จ เดี๋ยวกูช่วยของมึงต่อนะ”
   “เอาตัวเองให้รอดเถอะ”
   “โหยนี่ใคร นี่สถาปัตย์นะครับ”
   “เออ สร้างบ้านบ้านพัง สร้างตึกตึกทรุด”
   “ขอบคุณนะ”
   “-_-” เวลาด่าเหี้ยอะไรมันจะขอบคุณตลอด แถวบ้านเรียกกวนตีน
   ตีสาม...
   หลายชีวิตที่นอนตายตอนแรกถูกปลุกขึ้นมาเหมือนมีชีวิตอีกครั้ง บางคนล้างหน้าล้างตา บางคนเปิดเพลงซะเสียงดังเพื่อเรียกพลังกลับมา แต่ผมกลับตรงกันข้าม ยิ่งดึกผมก็ยิ่งง่วงและเหมือนตาจะปิดอยู่รอมร่อ
   “จืดวางคัตเตอร์เถอะ” สถาปัตย์พูดขึ้น โดยที่ผมรู้สึกว่ามันกำลังมองผมอยู่
   “อีกนิดเดียว”
   “ไม่เสร็จหรอก มันเหลืออีกเยอะ มานอนก่อน”
   “อือออออ”
   “ง่วงก็นอน ไม่ใช่ง่วงแล้วงอแง”
   “ไม่มีหมอน จะเก็บของไปนอนที่ห้องก่อน”
   “มานอนนี่มา” อีกฝ่ายตบตักตัวเองปุๆ
   ไม่เอาหรอก...รุ่นพี่กับเพื่อนมองกันฉิบหายเลย แล้วตอนนี้ก็พากันตื่นหมดแล้วด้วย
   “จะกลับไปนอนที่ห้อง”
   “ค่อยกลับพร้อมกัน รอก่อน ตอนนี้อย่าดื้อ” ร่างของผมถูกรั้งเข้ามาใกล้คนตัวสูง ก่อนจะถูกกดหัวให้นอนลงบนตักของมันโดยไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง
   “นอนซะ”
“แต่...”
“ชู่วววว ไม่ต้องไปสนใจ ง่วงก็นอน เสร็จแล้วจะได้กลับพร้อมกัน” เสื้อคลุมคณะตัวใหญ่ถูกหยิบขึ้นมาคลุมบนตัวผม จากนั้นผมจึงรีบหลับตาเพื่อหนีสายตาสงสัยของใครหลายๆ คน
ผมไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับสถาปัตย์อยู่ตรงไหน
แต่ผมสบายใจมากที่มีมันอยู่ใกล้ๆ








“จืดตื่น...”
“งือออ”
“จืดเก็บของเร็ว ตีห้าแล้ว กลับไปนอนที่ห้องกัน” ผมเกาหัวตัวเองไปมา ก่อนจะลุกขึ้นนั่งแบบงงๆ หลังคนตัวสูงเป็นอิสระจากการถูกผมครองตักแล้วก็หันไปเก็บอุปกรณ์ของตัวเอง ส่วนผมก็ตัดสินใจถอดแว่นออกเพราะนอนเยอะจนรู้สึกปวดตา
แกรบ!
“เฮ้ย โทษๆ กูเหยียบหอยทากอีกแล้วเหรอวะ”
“...!!” หอยทากพ่องดิ แว่นตากู!
ผมได้แต่นั่งอึ้ง จนกระทั่งเพื่อนที่ก่อเรื่องก้มลงมามองผมสลับกับแว่นตาที่แหลกละเอียด
“แว่นตาจืดเหรอ”
“อือ” ง่วงก็ง่วง แถมตายังมองไม่เห็นอีก บอกเลยว่าเซ็งมาก
“จืด...เฮ้ยจืด จริงดิ โอ้วววว จืดไม่ได้จืดนี่หว่า” และอีกสารพัดเสียงของใครหลายๆ คนก็ดังกระแทกกกหูไม่ขาดสาย
“มึงแม่งโคตรน่ารักเลยเว้ย ทำไมไม่ถอดแว่นวะ”
“กูไม่ให้ถอดเองแหละ มีปัญหาอะไรมั้ย” หัวของผมถูกเสื้อคลุมคณะคลุมเอาไว้อีกครั้ง ก่อนร่างสูงในม่านสายตาเลือนรางจะไล่เก็บอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว
“ไอ้ถา มึงหวงเพื่อนเหรอวะ”
“นั่นดิ มีรูมเมทน่ารักอยู่ในห้อง ถึงว่า แม่งไม่ยอมคบใครที่ไหนเลย”
“ใช่ๆ เรียนเสร็จรีบกลับห้อง ที่แท้...ฮั่นแน่!!”
“พวกมึงแม่งพูดมากน่ารำคาญ ป่ะจืด กลับ” ของทุกอย่างถูกรวบเอาไว้ในมือข้างซ้าย และโมเดลที่ต่อไปได้ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ก็ถูกยัดใส่มือ พร้อมกับแรงผลักจากคนตัวสูงที่สั่งให้ผมเดินไปข้างหน้า ท่ามกลางเสียงโห่แซวของเพื่อนๆ
“ไอ้ถา กูมองไม่เห็น” ผมบอกพลางก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูดูทางให้”
“แว่นกูพังแล้ว”
“พรุ่งนี้ไปตัดใหม่”
“แย่ว่ะ”
“ไม่ได้แย่ พรุ่งนี้จะมีคนพูดถึงแต่มึง”
“ทำไม”
“เพราะมึงน่ารัก”
“...”
“แล้วกูก็รักมึง”
 







หลังจบจูรี่ ชีวิตของเด็กสถาปัตย์ฯ ก็เป็นไทอีกครั้ง รุ่นพี่นัดฉลองที่ร้านเหล้าแถวๆ มหา’ลัย ไอ้สถาปัตย์เลยชวนผมไปด้วย ตอนนี้เองที่ผมเห็นว่ามันฮอตขนาดไหน เพราะไม่ว่าจะรุ่นพี่ เพื่อน หรือใครหลายๆ คนต่างมองมาที่มันเป็นจุดเดียว
บอกตรงๆ ว่าผมไม่ชอบ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นแค่เพื่อน
ดังนั้นผมจึงทำได้แค่นั่งหน้างออยู่ตรงโต๊ะเหล้า ขณะที่คนอื่นหัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง ผมเห็นด้วยนะว่าเมื่อกี้ไอ้ถาโดนดึงเข้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่ อยากโกรธแต่เพราะมันไม่ทันตั้งตัวเนื่องจากถูกจู่โจมระยะเผาขน ผมเลยทำได้แค่มองอย่างอึ้งๆ ตานี่โปนจนแทบจะทะลุเบ้าอยู่แล้ว
“จืดห้ามกินเหล้านะ” เสียงทุ้มเอ่ยเตือน หลังจากได้นั่งสงบสุขเหมือนคนอื่นเขาสักที
“กินไม่เป็นอยู่แล้ว”
“ใครยัดเยียดให้กินก็ต้องปฏิเสธ”
“รู้แล้ว...”
“จืดคนน่ารัก ชนแก้วด้วยกันโหน่ยยยยยย” พูดไม่ทันขาดคำมารผจญก็เข้ามาแทรก ผมพยายามยกมือปัดป้อง แต่ไอ้เพื่อนเวรนี่ก็พยายามยกแก้วเหล้าในมือขึ้นจ่อปากผมอยู่ได้
“ไม่เอา”
“เฮ้ยไอ้ปอนด์ จืดมันไม่กิน”
“ก็หัดกินดิ”
“กูมีเรื่องจะคุยกับมัน ขอตัวจืดก่อน” ข้อมือของผมถูกรั้งด้วยมือของไอ้สถาปัตย์ ทันทีที่เราลุกขึ้น ใครหลายๆ คนก็ถามขึ้นทันที
“ถาจะไปไหน”
“ขอคุยกับจืดหน่อย เดี๋ยวมานะ” พูดแค่นั้นก่อนเราจะปลีกวิเวกจากความวุ่นวายออกมาภายนอก แม่ง...ลานจอดรถเนี่ยนะ โชคดีที่ยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง
“มีอะไรเหรอ”
“ตอนแรกว่าจะบอกตอนกลับหอ แต่คิดว่าบอกตอนนี้ดีกว่า” มือข้างที่ติดเฝือกยื่นของบางอย่างมาให้ ถ้าดูดีๆ แล้ว มันก็คือโมเดลบ้านขนาดจิ๋วมากนั่นเอง
“ให้เหรอ”
“อืม”
“ดูจะทำยากนะเนี่ย”
“โคตรๆ”
“อ่ะ ของแถมหลังซื้อบ้านจากโครงการ” ผมอยากหัวเราะลั่นแต่ก็ต้องทำนิ่งเข้าไว้ รับกระดาษใบหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนโบรชัวร์บ้านมา
ก้มลงอ่านตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษอย่างตั้งใจ ช้าๆ ทีละคำ...

กูชอบกินมาม่าดิบ แต่ก็ต้องเลิกกิน เพราะมึงบอกว่าท้องจะอืด
กูเป็นคนนอนตื่นโคตรสาย แต่ก็ต้องตื่นเช้าเพื่อแย่งห้องน้ำกับมึง
กูชอบทำงานบนพื้น แต่ต้องหัดนั่งบนโต๊ะเพราะอยากให้มึงสนใจ
กูไม่เคยสวดมนต์ก่อนนอน แต่พอมีมึง กูก็เริ่มสวดมนต์ทุกคืน
กูชอบสั่งกับข้าวมากินเอง แต่พอมีมึง กูกลับไม่คิดสั่งแล้วมาแย่งมึงกินเอา
กูแม่งโคตรจะกลัวผี แต่ก็ต้องดูหนังผีเพราะอยากนั่งข้างมึง
กูเป็นคนไม่ชอบรอใครนานๆ แต่กับมึงต่อให้รอทั้งวัน กูก็ไม่เคยบ่น
กูชอบคุยโทรศัพท์ตอนดึก แต่ก็ต้องเลิกคุย เพราะกลัวมึงนอนไม่หลับ
กูไม่ชอบเดินจับมือกับใคร แต่ชอบหาเรื่องข้ามถนนเพื่อจับมือกับมึง
ตอนคนอื่นป่วยกูก็แค่ซื้อยา แต่ตอนมึงป่วย กูเอาแต่เช็ดตัว
คนอื่นช่วยกูตัดโมเดลเพราะอยากให้กูสนใจ แต่มึงช่วยกูเพราะแค่อยากให้กูเลิกกังวล
เวลากูเครียดคนอื่นก็เอาแต่บอกว่าสู้ๆ ไม่หยุด แต่มึงไม่พูดอะไรเลย แค่นั่งอยู่กับกูจนถึงเช้า
คนอื่นชอบพูดแต่ข้อดีจนลืมข้อเสียของกู แต่มึงกลับพูดข้อเสียเพื่อให้กูปรับปรุงตัว
คนอื่นอยากให้กูเป็นคนที่ดีพอสำหรับเขา แต่มึงแค่อยากให้กูดีพอสำหรับทุกคน
คนอื่นพยายามเปลี่ยนกูให้เลิกเจ้าชู้ แต่แปลกที่มึงไม่เคยคิดเปลี่ยนอะไรเลย มันกลับทำให้กู...อยากเป็นคนที่ดีกว่านี้
กูไม่ได้ต้องการเปรียบเทียบมึงกับคนอื่น ก็แค่อยากให้รู้ว่ามึงไม่เหมือนใคร
และกูก็รู้สึกกับมึงแตกต่างจากคนอื่นด้วย
กูเคยตั้งคำถามอยู่ไม่กี่ข้อ อะไรที่ทำให้กูยอมเปลี่ยนทุกอย่างมากมายขนาดนี้
อะไรที่ทำให้กูเลือกทำสิ่งที่ไม่ชอบด้วยความเต็มใจ ถ้าไม่ใช่เพราะนั่นคือ...รัก
กูรักมึง

“มันอาจจะไม่ใช่คำสารภาพรักที่ดีเท่าไหร่ แต่กูรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ” ไอ้สถาปัตย์บอกกับผมที่ยังยืนอึ้งอยู่
“ถ้ามึงพูดขนาดนี้กูก็มีสิ่งหนึ่งที่กูตัดสินใจจะบอกมึงวันนี้เหมือนกัน” ผมพูดพลางล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นดินสอ 2B ให้กับอีกฝ่าย
“ความจริงเราเคยเจอกันก่อนหน้านี้นานแล้ว ถ้ามึงยังจำดินสอของตัวเองได้อยู่”
“จำได้ดิ ก็แท่งนี้กูตั้งใจทำตก”
“ฮะ”
“อืม ตั้งใจทำตกให้มึงเก็บ ตอนนั้นก็เห็นว่าน่ารักดี แถมยังสอบติดที่เดียวกันอีก โลกแม่งกลมเนาะ”
   “แล้วทำไมไม่บอกกู”
   “ไม่รู้ดิ อยากบอกวันนี้มั้ง แล้วมึงล่ะ มีอะไรจะบอกกูมั้ย”
   “กูเหรอ...” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะจ้องหน้าคนตัวสูงเขม็ง
“...”
“ทั้งหมดที่กูทำกูมีเหตุผล...ที่กูไม่อยากให้มึงกินมาม่าดิบ เพราะกูห่วงมึง
ที่กูนอนตื่นเช้า เพราะจะได้เก็บห้องให้มึง
ที่กูชอบทำงานบนโต๊ะ เพราะไม่อยากให้มึงรำคาญ
ที่กูสวดมนต์และนั่งสมาธิ เพราะเวลานั้นกูจะได้นึกถึงมึง
ที่กูเอาแต่บ่นว่ามึงชอบแย่งข้าวกูกิน ความจริงกูโคตรเต็มใจ
ที่จริงกูก็กลัวผี แต่กูแค่อยากทำอะไรสักอย่างให้มึงสนใจ
ที่เห็นกูเลือกอะไรนานๆ ความจริงกูเลือกได้แล้ว แค่อยากยืดเวลาอยู่กับมึงออกไปอีกหน่อย
ที่กูต้องรีบเข้านอน ความจริงกูก็แค่ไม่อยากให้มึงคุยโทรศัพท์กับคนอื่น
ที่กูเอาแต่ทำหน้างอหงิก แต่ความจริงกูดีใจมากที่เราจับมือกัน
ที่จริงกูเกลียดยามากเลยไม่อยากป่วย แต่พอมีมึงกูกลับไม่อยากหาย
ที่กูไม่ยอมคุยกับมึงความจริงกูอยากโกรธ แต่กูก็โกรธไม่ลง
ที่กูช่วยมึงตัดโมเดลก็เหมือนกัน กูช่วยเพราะกูอยากช่วย กูทำเพราะนั่นเป็นมึง
ทุกอย่างที่เป็นมึงกูแคร์หมด และเพราะมึงอีกนั่นแหละกูถึงแน่ใจว่าความรู้สึกประหลาดนั้น มันเรียกว่ารัก
กูรักมึง...สถาปัตย์”

   ผมเห็นรอยยิ้มแสนกว้างบนริมฝีปากได้รูป คนตัวสูงก้าวเข้ามาประชิด ก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกมา ประโยคที่เป็นจุดเชื่อมต่อในความสัมพันธ์ของเรา เพราะถ้าเป็นการสร้างตึกมันก็คงเป็นช่วงที่เราต้องก่ออิฐและฉาบปูน หลังจากเราลงเสาเข็มของคำว่าเพื่อนแข็งแรงมากพอแล้ว
“ปอ...เป็นแฟนกับถานะ”
   “กูเคยปฏิเสธมึงได้ด้วยเหรอ”

END

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2024 05:50:27 โดย Jittirain12 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
วันนี้มีแต่นักเขียนที่รักมาลงเรื่อง อ่านกันตาแฉะ ขอตัวไปอิ่มกับรสเรื่องสั้นก่อนนะคะ จุ๊บๆ

edit

ถาาาาาาา พ่อยอดขมองอิ่มของเมีย เอ่อ...ไม่ใช่ คือ...แบบว่า  :mew2: ดิฉันก็ชอบนะคะคนที่ไม่ได้หล่อมาก แต่มีเสน่ห์ เพราะหล่อมองนานๆ ไปก็เบื่อนะ แต่ถ้าคนมีเสน่ห์นี่ มองมุมไหนก็มีเสน่ห์ อิอิ แอบกรี๊ดที่ถาไม่ชอบไปไหนกับใคร แต่อยากกลับมาห้องเพื่อมาอยู่กับจืด (ปอ) อยู่ด้วยเพราะแอบรักแอบสนใจ แล้วยังดูแลตอนป่วยอีก คู่นี้ออกแนวน่ารักและกรี๊ดจิกหมอนได้เรื่อยๆ นี่ก็ฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งจืดตอนจืดป่วยด้วย แหมๆๆ มันน่าตีนักเชียว พ่อยอดขมองอิ่มของเมีย เอ่อ...เหอๆ

ขอบคุณคุณจิตติดาวมหาลัยปีสามมากๆ นะคะ  :laugh:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-11-2015 07:20:29 โดย Wordslinger »

ออฟไลน์ Jitsupa_milk

  • Just Milky('s) Way
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สถาปัตย์คือตัวแทนของผู้ชายที่ไม่ได้หล่อมากแต่คนโคตรมีเสน่ห์

ประโยคนี้ของพี่จิตติมันโคตรใช่

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
โอ้ย เขินแทน ถาน่ารักอะ 5555555555555
หลังจากนี้ก็หึงได้ตามสบายแล้วนะปอ ///////

ออฟไลน์ packy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
  “ป่วยบ่อยๆ อีกหน่อยจะระทวย"
อยากป่วยบ้าง ไรบ้าง

ออฟไลน์ ben

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 501
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-3
โอ๊ย ว่าล่ะ ดินสอตกต้องแผนของถาแน่ๆ ฮา น่ารักอะ ชอบ รอคณะต่อไปปปป จุ๊บๆ

ออฟไลน์ Ferin1A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนอ่านปอนี่หน้าบอสลอยมาเลย ละก็ใช่จริงๆด้วย
ส่วนคาแรคเตอร์ถานี่อ่านไปละนึกถึงหลานรหัสเรา55555 ไม่หล่อมากแต่มีเสน่ห์มาก

รอคณะแพทย์อยู่นะค้าาา 

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
เจ็บปวดแทนปอเลยค่ะตอนที่เพื่อนเผลอเหยียบแว่นตาหักแต่ดันทึกทักว่ามันคือหอยทาก :m20: เหย.. เสียงมันไม่ได้คล้ายกันขนาดนั้นไหมล่ะ 555+ แต่อย่างน้อยเหตุการณ์นี้ก็ช่วยเปลี่ยนความเข้าใจของใครหลายๆ คนใหม่อยู่นะคะ ว่าปอน่ะนอกจากจะไม่จืดแล้วยังน่ารักมากๆ ด้วยล่ะ~~ :m3: นึกเสียดายตอนนี้ก็คงจะไม่ทันแล้วนะคะทุกคน เพราะว่าถาเขาจองของเขามาตั้งแต่แรกเจอแล้วล่ะค่า ><

น่ารักจริงๆ ค่ะคู่นี้ ขอบคุณนะคะ :pig4:

ออฟไลน์ Viewonohm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 843
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-5
จืดน่ารักมาก ดีแล้วที่ไม่ถอดแว่นแต่แรก ไม่งั้นคงมาไม่ถึงน้องถา  :ling1:

ออฟไลน์ en foo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชอบจืดน่ารักดี  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
หึ้ยยยยยย ทำไมแอบเบะปากตอนเขาสารภาพรักกัน  :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ยังไม่กามพอเลยค่ะ มีกามกว่านี้ไหมมมม   :hao7:

ออฟไลน์ ordinary_girl

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
พระเอกมหาลัยมาหารักนี่มันดีทุกเรื่องจริงๆ
โง้ยยยยยย  อยากได้ 55555555

ออฟไลน์ zabzebra

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1043
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-1
คนที่เราแอบชอบก็ไม่ได้หล่อ แต่มีเสน่ห์เหมือนกันนี่แหละค่าาาา
กดเข้ามาอย่างไวแสงง
หนุ่มถาปัตย์ แง้งงงงงงงงงงงงงงงงงง  :hao5:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
น่ารัก ถานี่อ่อยจืดตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอจริงๆด้วย แถมพอเหฌนว่าจืดถอดแว่นแล้วน่ารักก็ปล้ำจูบเค้าเลยนะ ไม่ค่อยเลยจริงๆ  :impress2:

ออฟไลน์ Kio

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
น่ารัก น่ารัก น่ารัก ละมุนละไมกระชุ่มกระชวยในหัวใจ งื้ออออออออออออ  :-[

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :mew1: ต่างคนต่างแอบมีใจให้กันนี่เอง

ออฟไลน์ choco_jin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ฟินอ่ะ  :o8:
น้องจืดดูใสๆดี   ถาก็ดูเป็นผู้ชายที่มีตัวตนจริงๆอ่ะ
ไม่ได้หล่อมาก แต่โคตรมีเสน่ห์

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
น้องจืดจะน่ารักไปไหนเนี่ย ตอนป่วยหนูอ้อนได้น่ารักมากเลย
ตอนที่ถาทำดินสอตกกะแล้วว่านางต้องอ่อยน้องจืดชัวร์อ่ะ   :-[

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
สรุปว่าถามันเล็งปอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้วใช่ม่ะ :ruready

ออฟไลน์ QXanth139

  • ♡동해 #Always13
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เอร้ยยยยยย ถาปอคือดีงามมากอ่ะ :m3: :m3: :m3: :m3: :m3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด