V
v
v
“เสร็จรึยัง?!” เรียวจันทร์สะดุ้งจนมือถือเกือบร่วงตกลงพื้นตอนที่คมเขี้ยวเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดมาอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน หนุ่มหน้าหวานเม้มปากน้อยๆ มองซ้ายมองขวาเหมือนหาตัวช่วย แต่สุดท้ายก็ต้องยิ้มแห้งแล้วตอบเสียงอ่อย
“ยังเลยอะ” พูดพร้อมกับค่อยๆ วางมือถือลงบนโต๊ะทำงาน คมเขี้ยวขบกรามแน่นมองด้วยสายตาโกรธๆ
“แค่นี้ยังไม่มีความรับผิดชอบ แล้วจะมาทำงานด้วยกันได้ยังไง”
“เดี๋ยวๆ เรื่องความรับผิดชอบนี่ขอเถียงได้มั้ย ถ้าฉันไม่มีความรับผิดชอบ ฉันไม่มีงานให้เดินแบบ ไม่มีหนังให้แสดงหรอกนะ” เรียวจันทร์ไม่ได้เถียง แค่บอกหน้าตาไม่สบอารมณ์และน้ำเสียงห้วนไปนิด
“งั้นก็เอาความรับผิดชอบนั้นมาใช้กับงานนี้หน่อย คุณเสนอตัวเข้ามาทำเองนะ ผมไม่ได้ขอให้มาทำ” คมเขี้ยวว่าหน้าเครียด แต่ก็ไม่ได้เครียดใหญ่โต เรียวจันทร์ย่นจมูกก่อนจะว่าเสียงนุ่มแต่แอบสะบัด
“ขี้บ่นจริงๆ เลย ก็ให้เวลาฉันปรับตัวหน่อยสิ โห่ ไอ้เคราครึ้ม” คมเขี้ยวถลึงตาจนเรียวจันทร์สะดุ้ง แต่ที่นางสะดุ้งคือนางเผลอว่าอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เดี๋ยวให้ม้าเตะปากซะหรอก” เรียวจันทร์ทำปากขมุบขมิบ เอาแฟ้มมากางตรงหน้าเพื่อจะเริ่มอ่านงานอย่างจริงจัง
“พักเอาไว้ก่อน คืนนี้ค่อยกลับมาอ่าน มานี่ ผมจะพาไปเดินดูฟาร์ม”
“คืนนี้ฉันต้องนอนนะ” เรียวจันทร์ว่าเสียงอ่อย
“ผมให้เวลาคุณทำงานแล้วแต่คุณไม่ทำ ก็เอาเวลานอนมาทำงานแล้วกัน พรุ่งนี้เช้าคุณต้องบอกผมได้ว่าอ่านอะไรไปบ้าง แล้วอย่าคิดตุกติกนะ ผมจำได้หมดว่าในนั้นมีอะไรบ้าง” เรียวจันทร์ขมวดคิ้วฉับมองหน้าคนตัวโตอย่างไม่เข้าใจ
“อ้าว ก็ถ้านายจำได้หมดแล้วจะให้ฉันจำอีกทำไมอะ นายก็บอกฉันสิ”
คมเขี้ยวเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นสูงก่อนจะว่าน้ำเสียงห้วนๆ “อ้าว แล้วคุณไม่คิดจะศึกษาอะไรด้วยตัวเองเลยรึไง”
คิ้วเรียวสวยของเรียวจันทร์ขมวดเข้าหากันอีกนิดแล้วก็อ้าปากหวอน้อยๆ “เอ๊า ก็นายรู้อยู่แล้วอะ ก็แค่เล่าให้ฟังสิ มันจะได้ประหยัดเวลา”
คมเขี้ยวเอียงหน้าไปทางขวา ไหวไหล่ข้างเดียวกันหนึ่งที “เอ๊า ก็ถ้าคุณไม่มัวแต่เล่นมือถือ คุณก็ทำเสร็จในเวลาไปแล้ว”
“เอ๊ะ?!” เรียวจันทร์กัดริมฝีปากล่าง ถลึงตามองไอ้คมเขี้ยวที่กำลังหน้าตาไม่สะทกสะท้านอยู่
“โอ๊ะ?!” คมเขี้ยวทำตาโตและทำทำปากเป็นรูปตัวโอ บิดไหล่ไปมาอย่างกวนๆ เรียวจันทร์จิ๊ปากก่อนจะลุกขึ้นยืนมองหน้าไอ้เคราอย่างนึกหมั่น
“เดี๋ยวปั๊ดทุบหน้าเลยนี่!” นึกอะไรไม่ออกก็ขู่ทำร้ายร่างกายไว้ก่อน เห็นท่าทางกวนโอ๊ยกับหน้าตากวนตีนแล้วมันเขี้ยวนัก!
“อันนี้คือวิถีของคนที่ชอบกันเขาปฏิบัติต่อกันใช่มั้ย” คมเขี้ยวยิ้มมุมปากกวนอารมณ์เรียวจันทร์ไม่หยุด พ่อหนุ่มหน้าสวยได้แต่กัดฟันและกำหมัดแน่น
“อยากมีเรื่องเหรอ ฮะ?! ฮะ?! ไอ้เขี้ยวกุด!” คมเขี้ยวหัวเราะขำขันอารมณ์ดีเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มคุมสติตัวเองไม่อยู่ เขาก็ไม่ได้มีนิสัยกวนตีนใครเป็นดั้งเดิม แต่กับเรียวจันทร์มันต้องคุยอย่างนี้แหละถึงจะเอาอยู่
“โอ๊ย กลัวแล้วครับคุณจังไร” เรียวจันทร์อ้าปากค้าง เบิกตากว้างมองไอ้เคราที่ยิ้มยียวนกวนไม่เลิก
“อะ… อะไรนะ ไอ้โคยเบี้ยว!”
“เคยเห็นแล้วเหรอถึงบอกว่าเบี้ยวอะ” เรียวจันทร์ได้ทีก็รีบชวนเข้าโซนล่อแหลมต่อทันที นางทำหน้าว่า โอ๊ะ?! แเอามือขวาป้องปาก หน้าตาว่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“นั่นสิ ยังไม่เคยเห็นเลย งั้นถอดโชว์ตอนนี้เลยดีกว่า ฉันอยากพิสูจน์ว่าตรงหรือเบี้ยว” เรียวจันทร์ทำท่าจะเดินเข้าไปหาคมเขี้ยว คนตัวโตขมวดคิ้วฉับแล้วถอยหลังหนีไปสองก้าวยาวๆ พร้อมกับยกสองมือเบรกไอ้หน้าหวานไว้ทันที
“อยู่ให้ห่างผมเลย” เรียวจันทร์ยิ้มเบ้ปาก เอามือซ้ายเท้ากับขอบโต๊ะทำงานไว้ ทิ้งสะโพกลงข้างหนึ่งอย่างมีลีลา
“จะตรงจะเบี้ยวฉันก็เคี้ยวได้ทั้งนั้นอะ ไม่ต้องกังวลนะพ่อรูปหล่อ” เรียวจันทร์ขยิบตาซ้ายให้อย่างมีจริต คมเขี้ยวทำหน้าหยีตอบกลับทันทีจนเรียวจันทร์มองค้อนไปหนึ่งยก
“ชีวิตไม่ปลอดภัยเข้าไปทุกทีละ ประกันเขามีชดเชยค่าเสียหายเวลาโดนตุ๊ดลวนลามป้ะเนี่ย” คมเขี้ยวไม่ได้ว่าแบบดูถูกหรือเหยียดเพศ เขาแค่พูดเอาฮาเท่านั้นแหละ ซึ่งเรียวจันทร์ก็จับน้ำเสียงนั้นได้เลยไม่ได้นึกโกรธเคือง
“แม๊! อย่าให้พลาดนะ เดี๋ยวจะมีเมียเป็นตุ๊ดไม่รู้ตัว!” เรียวจันทร์มองแรง มองจิกสุดพลัง คมเขี้ยวเบะปากพร้อมย่นจมูก ก่อนจะเรียกความจริงจังกลับมาหาตัวเอง คุยกับไอ้จันทร์ไรทีไรกลายเป็นเละเทะทุกที
“พูดมาก ตามมาได้แล้ว เดี๋ยวมืดค่ำก็ลำบากอีก เร็วๆ” ว่าจบก็เดินออกจากออฟฟิศไปทันที เรียวจันทร์มองตามแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแรง นึกในใจว่าประสาทจะกินก่อนทำงานให้ตาเสี่ยจอมทัพเสร็จรึเปล่า
คมเขี้ยวเดินนำเรียวจันทร์ไปที่แปลงกุหลาบข้างออฟฟิศเป็นที่แรก ก่อนจะเล่าให้ฟังว่าแปลงกุหลาบตรงนี้ไม่ได้ปลูกแค่เพื่อความสวยงาม แต่สามารถทำรายได้ให้กับฟาร์มด้วย ทุกวันอาทิตย์จะมีคนมารับไปขายที่ตลาด คมเขี้ยวเล่าว่าขายได้ราคาค่อนข้างดี เพราะแม่เขาเอาใจใส่ดูแลเป็นประจำเลยทำให้ดอกกุหลาบแต่ละดอกสีสดงดงาม
“แล้วตรงนี้ปลูกกุหลาบตลอดเลยเหรอ” คมเขี้ยวส่ายหัวก่อนจะว่า
“ไม่ แล้วแต่แม่ ดอกไม้ในฟาร์มแม่ก็เป็นคนคิดว่าจะปลูกอะไรในช่วงไหน” เรียวจันทร์พยักหน้าหงึกๆ มองดอกกุหลาบไปเรื่อยเปื่อย
“ไม่คิดจะเอาสมุดอะไรมาจดเลยรึไง คิดว่าจะจำหมดเหรอ ทั้งฟาร์มไม่ได้มีแค่แปลงดอกไม้ตรงนี้นะ”
“จดทำไม โทรศัพท์ก็มี อัดเสียงนายไว้ฟังสิ…” นางชะงักไปนิดก่อนจะทำหน้ากรุ่มกริ่ม
“…เอาไว้ฟังก่อนนอน ฉันคงหลับฝันดีน่าดู” เรียวจันทร์แอ๊บยิ้มเขินอายราวกับเด็กมัธยมต้นที่แอบชอบรุ่นพี่มอปลาย คมเขี้ยวทำหน้าเอือมระอา หมุนตัวเดินหนีไปทันที เรียวจันทร์มองตามแล้วขำคิกคักอยู่คนเดียวก่อนจะรีบก้าวเท้าเดินตามไป
“นี่ๆ ม้าหมุนอันนั้นหมุนได้จริงรึเปล่าอะ”
“จริง แต่ส่วนมากจะหมุนช่วงเทศกาลคาวบอย” เรียวจันทร์ทำตาโตนิดหนึ่ง เท้าก็ก้าวเดินไปข้างหน้า สายตาก็มองม้าหมุนแล้วเลยไปที่กระเช้าไม้ที่มีลักษณะคล้ายชิงช้าสวรรค์
“แต่กระเช้าไม้เปิดให้ใช้เป็นประจำเวลาวันเปิดให้เข้าชม”
“เออ อยากรู้อะว่า ทำไม… ว้ากกก!” เพราะมัวแต่มองกระเช้าไม้หมุนเลยทำให้เดินสะดุดหินหนึ่งก้อนแบบที่คราวนี้ไม่ได้ตั้งใจจะล้มจริงๆ ดีว่าคมเขี้ยวหันตัวมารับนางได้ทันเลยทำให้ไม่หน้าแหกไปกับพื้น เรียวจันทร์ซุกหน้าอยู่กับอกคมเขี้ยว สีหน้าโล่งอกโล่งใจที่ใบหน้าตัวเองไม่เป็นอะไร นางแหงนหน้าขึ้นมองใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของคมเขี้ยวแล้วยิ้มแฉ่ง
"เหมือนในละครเลยเนอะ ที่แบบนางเอกล้มใส่พระเอก แล้วพระเอกก็รับไว้ได้” เรียวจันทร์ยิ้มหวานตาหยี ส่วนคมเขี้ยวมองต่ำอย่างระอาใจ ค่อยๆ ดันร่างบอบบางออกจากตัวเอง แต่เรียวจันทร์กลับทำหน้าซื่อ ขืนตัวเองไว้กับตัวคนตัวสูง คมเขี้ยวกัดฟันแน่น ออกแรงงัดจนร่างเรียวจันทร์เด้งออกจากตัวเขาไป
“หูย! เกือบหงายหลังแล้วนะเนี่ย!” เรียวจันทร์แสร้งทำหน้ามุ่ย แต่คมเขี้ยวน่ะมุ่ยจริง
“มัวแต่เล่น ตามมา” พ่อเคราว่าเสียงเข้ม หมุนตัวเดินนำต่อไป เรียวจันทร์ย่นจมูกใส่ตามหลัง รีบเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างเร็ว
คมเขี้ยวถามถึงประเด็นที่เรียวจันทร์อยากถามก่อนหกล้มเมื่อกี้นี้ เจ้าของคำถามเลยถามต่อให้จบว่าทำไมฟาร์มนี้ถึงเปิดให้เข้าชมเป็นบางวัน ไม่ได้ให้เข้าชมตลอด
“อะไรที่มันมีน้อยๆ คนก็ยิ่งต้องการมาก” คมเขี้ยวว่าสั้นๆ แค่นั้นแล้วเดินต่อไป ก่อนจะพูดถึงระเบียบเรื่องการค้าขายของร้านค้าในฟาร์มว่าก่อนทำสัญญาค้าขาย ต้องแน่ใจว่าพ่อค้าแม่ค้าพวกนั้นมีรายได้อื่นด้วย เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้คิดถึงขั้นเปิดร้านแบบนี้ แต่มีคนมาขอพ่อกับแม่ ทั้งสองคนเลยยอมให้ตั้งร้านค้าได้ แต่ก็ต้องคัดร้านที่มีรายได้ทางอื่น เพราะที่นี่ไม่ได้เปิดตลอด และไม่สะดวกที่จะให้เข้ามาขายตลอดเวลา เนื่องจากทางฟาร์มก็มีร้านอาหารอยู่ด้านนอกเช่นกัน
“แล้วนี่ก็คอกม้าที่คุณมาสร้างความพินาศเอาไว้” คมเขี้ยวชี้คอกม้าที่คราวก่อนเรียวจันทร์บุกเข้าไปทะลายจนพังเละไปหมด แต่ตอนนี้รั้วถูกซ่อมแซมแล้ว และดูเหมือนจะทำแน่นหนากว่าเดิมด้วย เรียวจันทร์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่พูดไม่เถียงอะไรเพราะเดี๋ยวมันจะย้อนเข้าตัวเอง
“แล้วนั่นไอ้เดือนหงายที่คุณไปทำร้ายมัน” คมเขี้ยวเกาะรั้ว ยื่นคางไปทางม้าสีดำเงางามตัวใหญ่ที่กำลังยืนกินหญ้าอยู่ เรียวจันทร์แอบสะดุ้งไปนิดตอนมันผงกหัวขึ้นมองมาทางตัวเองกับคมเขี้ยว สักพักคมเขี้ยวก็ผิวปากเสียงแหลมใส ก่อนที่เจ้าม้านั่นจะเดินเตาะแตะมาทางทั้งสองคน
“นายเรียกมันมาทำไมอะ” ถามไปก็เขยิบเข้าไปหลบข้างหลังคนตัวโต แต่ก็แอบโผล่หน้าจากตรงไหล่กว้างของคมเขี้ยวไปมองเจ้าม้าสีดำตัวใหญ่ซึ่งกำลังยืนให้เจ้านายมันลูบหัวเล่น
“เรียกเฉยๆ…” คมเขี้ยวหันมายิ้มกริ่มให้เรียวจันทร์ พ่อนายแบบมองด้วยความไม่ไว้ใจทันที
“…ไงไอ้หงาย จำได้มั้ยว่านี่ใคร” คมเขี้ยวกระเถิบไปทางซ้ายมือ เรียวจันทร์มัวแต่มองหน้าเจ้าม้าเลยลืมหลบ เจ้าม้าตัวใหญ่มองหน้าเรียวจันทร์สักพักก่อนที่จะทำเสียงฟึดฟัดจนร่างบางทำตาโตตกใจผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าว สร้างรอยยิ้มขำให้กับคมเขี้ยว
“มันออกมาดีดคุณไม่ได้หรอกน่า”
“ใครจะไปรู้?! ฉันยังพังรั้วเข้าไปหามันได้เลย” เรียวจันทร์ว่าเสียงแหว พยายามไม่สบตาสีดำของเจ้าม้าที่มองมาเหมือนมีความเคืองแค้นอยู่ในสายตา
“อ้าว รู้ตัวด้วยนี่ว่ามีความผิด” เรียวจันทร์ขมวดคิ้วแล้วมองค้อนอีกฝ่าย คมเขี้ยวยิ้มเบ้ปาก หันไปลูบหัวเดือนหงายสองสามทีก่อนที่จะเดินไปทางซ้ายมือ เรียวจันทร์รีบเดินตามไปทันที นางกำลังเดินผ่านหลังตึกไม้หลากสีสัน ครึ่งที่ติดกับคอกม้ามีระเบียงหลังห้องเหมือนกับอีกฝั่งหนึ่งที่เขาเคยเห็น มีนักท่องเที่ยวทั้งชายทั้งหญิงออกมายืนมองวิวของฟาร์ม บ้างก็ออกมานั่งคุยเล่นกัน
“เนี่ย หมู่บ้านคาวบอย พ่ออยากได้ ผมเลยสร้างขึ้นมาไว้ให้พวกคนงานอยู่ แล้วก็มีที่พักของนักท่องเที่ยวด้วย” เรียวจันทร์พยักหน้า กวาดตามองซุ้มประตูโค้งทางเข้าหมู่บ้าน
“โซนนี้จะเปิดบริการตลอด เป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวจังหวัดนี้” เรียวจันทร์พยักหน้ารับไปเรื่อย สายตายังคงมองรูปทรงโค้งของซุ้มประตูอีกสักพักก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปมองคมเขี้ยวที่ยืนมองนางหน้านิ่งอยู่
“ก็คือเหมือนรีสอร์ท โรงแรมงี้ แต่ห้ามเข้าไปวุ่นวายในฟาร์มในเวลาปิดทำการใช่มั้ย”
“อือ ฉลาดดี” เรียวจันทร์พยักหน้ารับทันควัน แต่พอนึกได้ว่าโดนกัดก็เลยมองจิกไอ้เขี้ยวที่ยิ้มขำอยู่ไปหนึ่งยก
“เอ้อ แล้วเทศกาลคาวบอยมีอีกเมื่อไหร่อะ”
“ปลายปีนี้” คมเขี้ยวตอบแล้วพาเรียวจันทร์เดินเข้าไปด้านใน พอเดินเข้าไปด้านในเรียวจันทร์ก็รู้สึกเหมือนได้เข้ามาอยู่ในยุคคาวบอยกำลังรุ่งเรืองอย่างไรอย่างนั้น รูปทรงบ้าน รูปทรงตึก รูปแบบเสา ประตู พื้นไม้ ดีเทลต่างๆ ของแต่ละตึก แต่ละบ้านถอดแบบมาจากยุคนั้นอย่างจริงจัง ยังมีออพชั่นเสริมคือร้านอาหาร บาร์นั่งดื่ม ร้านของขายที่ระลึก ร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า ข้าวของเครื่องใช้ในยุคคาวบอย เหมือนหลุดมาอยู่ในยุคนี้จริงๆ ยิ่งผู้คนในหมู่บ้านเน้นแต่งตัวแบบเสื้อเชิ้ตลายสก็อต กางเกงยีน ยิ่งให้บรรยากาศที่ใช่มากเข้าไปอีก นำทีมโดยนายคมเขี้ยวนี่ไง
“อ้าวพี่เขี้ยว คนที่จูบกับพี่นี่” ใครสักคนเอ่ยแซวลูกพี่ตัวเอง คมเขี้ยวทำหน้าเซ็งที่เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในโจ๊กประจำตัวเขาไปแล้ว เรียวจันทร์ทำหน้าแอ๊บแบ๊วไม่รู้เรื่อง แต่ในใจน่ะแอบขำที่เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของไอ้เขี้ยวหัก
“เออ อยากจูบเท้ากูมั้ยล่ะ?!” พวกลูกน้องคมเขี้ยวที่นั่งอยู่ตรงร้านบาร์ไม้แบบเปิดโล่งร้านหนึ่งใกล้ๆ กับประตูทางเข้าทางออกของหมู่บ้านหัวเราะกันครื้นเครงผสมกับโห่ร้องเฮฮา
“โห่ อย่าอารมณ์เสียดิพี่ ใจเย็นๆ ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้หญิง แต่เขาก็สวยนะ” เรียวจันทร์หันควับไปมองคนที่พูดแล้วฉีกยิ้มกว้างดีใจ
“ตาถึง! ตาถึงมากพ่อหนุ่ม พูดจาได้ดี!” นั่นยิ่งสร้างเสียงหัวเราะให้กับพวกลูกน้องคมเขี้ยวเข้าไปอีก แถมยังมีเสียงโห่แซวผสมปนเปมาด้วย เรียวจันทร์ยิ้มกว้างอย่างเปรมปรี แต่สายตา (หาเรื่อง) เหลือบไปเห็นสองสายตาที่ทำให้ไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่นัก หนึ่งคือสายตาของผู้หญิงคนหนึ่งที่มองนางอย่างเฉยเมย แต่เซ้นส์ของเรียวจันทร์ก็สัมผัสได้ยิ่งกว่าเจน ญาณทิพย์ว่ามีความไม่ชอบใจในตัวนางอยู่ด้วย
และสองคือสายตากรุ้มกริ่มจากผู้ชายหน้าตาเหมือนตัวร้ายในละครไทยคนหนึ่งที่ยืนมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ถ้าเป็นคนอื่นอาจไม่ชอบ กระเถิบเข้าไปหาคมเขี้ยวเพื่อความอุ่นใจแล้วละ แต่เรียวจันทร์กลับทำตรงข้ามด้วยการยืนอวดความสวยและความทรงเสน่ห์ของตัวเองให้มองเต็มที่ อยากมองก็ให้มอง จะไปห้ามเขาได้ยังไงกัน มองด้วยสายตาอยากกินนางไปทั้งตัวแบบนั้นก็แสดงว่านางมีเสน่ห์ทางเพศที่ดีน่ะสิ แบบว่าดึงดูดใจชาย และส่วนใครจะมองแบบไม่พอใจ ไม่ชอบใจ นางก็หาแคร์ไม่ รู้สึกดีด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้นางยิ่งดูมีค่า มีอะไรให้น่าอิจฉา เลยมีคนมองแบบไม่ชอบใจ เรียวจันทร์คิดแล้วก็เบ้ปากน้อยๆ ให้ผู้หญิงคนนั้น
“แบบนี้ไอ้น้อยหน่าก็อกหักดิวะ” พวกลูกน้องคมเขี้ยวหันไปหัวเราะแซวใส่ผู้หญิงคนที่มองเรียวจันทร์ด้วยสายตาไม่พอใจเล็กๆ เรียวจันทร์ทำหน้าเก็ททันทีว่าทำไมถึงได้โดนมองด้วยสายตาแบบนั้น พอหันไปมองคมเขี้ยว เจ้าตัวก็ทำหน้าเฉยๆ ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา
ถือว่าทางสะดวก ดูท่าทางแล้ว ไอ้เคราไม่ได้คิดอะไรกับแม่นั่นอย่างแน่นอน มีแต่ยัยนั่นคิดอยู่ฝ่ายเดียวสินะ หุๆ “เออ แซวกันพอยัง ถ้าพอแล้วกูจะบอกพวกมึงว่าฝากดูเขาด้วย ถ้าเกิดเขาเรียกใช้อะไรก็ช่วยเขาหน่อย เป็นง่อย ทำไรไม่ค่อยเป็นหรอก” เกือบจะดีอยู่ละ กำลังยิ้มสวยขอบคุณกับความมีน้ำใจของไอ้เขี้ยว แต่มีอันต้องหุบวืดอย่างเร็วจนพวกลูกน้องคมเขี้ยวต่างขำกันเสียงดังที่เห็นหน้าของเรียวจันทร์ตัดกับอารมณ์ก่อนหน้านี้ได้ไวมาก
“ไอ้เขี้ยวกุด” เรียวจันทร์ว่าเสียงกดต่ำ
“อะไรครับคุณนายจัญไร” เรียวจันทร์ขมวดคิ้วอ้าปากหวอ ก่อนจะแยกเขี้ยวใส่ไอ้เคราดก คมเขี้ยวเบ้ปากไม่สนใจหันไปมองพวกลูกน้องต่อ
“แล้วนี่ไม่ทำงานกันรึไง”
“โห่ พี่ ก็ทำเสร็จไปแล้วเปล่าล่ะ นี่ก็จะมืดค่ำแล้ว”
“เออๆ เสร็จแล้วก็ดี แยกไปอาบน้ำ ไปกินข้าวไป” พวกลูกน้องนับสิบคนที่นั่งอยู่ตรงบาร์ไม้ตอบรับลูกพี่เสียงยานคาง หันไปโบกมือลาให้กับเรียวจันทร์ที่โบกมือพลิ้วไหวราวกับนางงามพร้อมกับเดินตามคมเขี้ยวเข้าไปในหมู่บ้าน
“ไอ้พวกนี้มันรับผิดชอบโซนนี้แหละ” คมเขี้ยวว่าพลางเดินนำไปยังสุดทางของหมู่บ้าน มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยทั้งเทศที่มาพักบริการที่นี่ออกมาเดินเล่นในหมู่บ้าน นั่งชิลตามร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม บ้างก็เดินดูของฝาก บ้างก็ชวนกันมาถ่ายรูป หรือบางคนก็นั่งอยู่บนระเบียงหน้าห้องตนเองแล้วคุยกันไปเรื่อยเปื่อย
“ที่พักตรงนี้เปิดให้เข้าอยู่ตลอดเลยใช่ป้ะ” คมเขี้ยวขมวดคิ้วนิดหนึ่งแต่ก็พยักหน้ารับ หยุดเดินตรงประตูเหล็กบานใหญ่หนึ่งบาน
“ผมก็บอกไปตั้งแต่หน้าประตูแล้วป้ะ…” เรียวจันทร์ อ้าปากหวอน้อยๆ และกะพริบตาปริบๆ
“…ก็นั่นหน้าประตู อันนี้ท้ายประตู” คมเขี้ยวทำตาปรือ ส่ายหน้าอย่างระอา ไม่รู้จะต้องระอากับไอ้จัญไรไปอีกนานแค่ไหน
“ตรงนี้ไม่เหมือนแคมป์ เพราะตรงนั้นคิวจองเยอะแล้วที่พักมันน้อย แต่ตรงนี้มาได้เรื่อยๆ เพราะห้องพักมันเยอะ” เรียวจันทร์ขมวดคิ้วงงๆ มองไปรอบหมู่บ้านคาวบอยที่มีสีสันหลากหลายสีสลับกันไป ตรงกลางมีลานน้ำพุด้วย และตอนนี้ในนี้ก็เริ่มเปิดไฟรับยามเย็นแล้ว
“ฉันว่าระบบฟาร์มนายมันดูงงๆ นะ” คมเขี้ยวยักไหล่ทั้งสองข้างสีหน้าว่าไม่แคร์
“แล้วไงอะ ก็นี่ฟาร์มผม อยากจะเปิด อยากจะปิด อยากจะทำอะไรก็เรื่องของผม”
“อ๋อ ลืมไป ขอโทษๆ” เรียวจันทร์แสร้งว่าประชด แต่ก็รู้ดีว่าไอ้เขี้ยวกุดมันไม่สนใจหรอก คมเขี้ยวหันไปเปิดประตูเหล็ก พาเรียวจันทร์เดินออกมาข้างๆ โรงนาสีแดงที่นางเคยขับเอทีวีชนไปเมื่อคราวก่อน เดินลัดเลาะออกมาข้างคอกม้า โผล่ออกมาที่เดิม
“คุณก็ต้องดูแลรายรับรายจ่ายในส่วนนี้ด้วย ว่างๆ ก็มาเดินดูบ้างว่างานเป็นยังไง” เรียวจันทร์พยักหน้าขอไปที
ตอนที่คมเขี้ยวพาเดินมาโซนร้านอาหาร ร้านขายของฝากจากข้างนอก ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว แสงพระอาทิตย์เริ่มเลือนหายไป แสงไฟในฟาร์มเริ่มมาแทนที่ ดินมาตามทั้งสองคนให้ไปกินข้าวบนบ้านใหญ่ ทั้งสามคนเดินกลับไปพร้อมกัน ระหว่างทาง เรียวจันทร์มองเห็นแสงอาทิตย์สีส้มรำไรบนท้องฟ้าที่อยู่เหนือยอดภูเขาสีเขียวด้วยสายตาชื่นชม เพราะในเมืองหลวงไม่มีอะไรแบบนี้ให้เห็นแน่นอน
“อยู่ที่นี่เดี๋ยวก็ได้เห็นทุกวัน” คมเขี้ยวที่พอจะอ่านสายตาของอีกฝ่ายออกเอ่ยขึ้น เพราะเขามักจะเห็นนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ ประทับใจช่วงเวลายามเย็นในฟาร์มเขาแบบนี้ทั้งนั้นแหละ
“ฉันชอบจัง มันดูแบบแรร์ไอเท็มอะ” เรียวจันทร์ว่าด้วยสีหน้าปริ่มเปรม ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเพื่ออัพลงอินสตาแกรมของตัวเอง คมเขี้ยวมองเรียวจันทร์ที่กำลังก้มหน้าก้มตาตั้งใจอัพรูปลงโซเชียลแล้วส่ายหัวน้อยๆ
“มัวแต่ก้มหน้า เดี๋ยวก็เดินหน้าคว่ำอีกหรอก” คนหน้าหวานเงยขึ้นมามอง ยิ้มยักคิ้วเพียงนิดก่อนจะก้มลงไปกดๆ จิ้มๆ ต่อ
“ไอ้ดิน ดูด้วย ถ้าหน้าคว่ำไปก็บอกเขาด้วยแล้วกัน” ดินรับคำด้วยรอยยิ้มจริงใจแล้วคอยมองเรียวจันทร์เอาไว้ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเดินสะดุดอะไรเข้า
“หูย สวยมากเลยอะ ฉันชอบที่นี่จัง…” เรียวจันทร์เงยหน้าขึ้นมาแล้วบอกด้วยสีหน้าประทับใจจริงๆ ก่อนจะมองหน้าคมเขี้ยวที่มองกลับมานิ่งๆ
“…แต่ฉันชอบเจ้าของฟาร์มมากกว่า” คมเขี้ยวขมวดคิ้วแน่น
“วู้!” ว่าแล้วก็รีบเดินหนีไปทางบ้านใหญ่อย่างรวดเร็ว เรียวจันทร์หัวเราะคิกคักอารมณ์ดี โดยมีดินมองสลับทั้งสองคนอย่างนึกสงสัย
“คุณเรียวชอบพี่เขี้ยวจริงๆ เหรอครับ” คนถูกถามเงยหน้าขึ้นไปมองคนถามแล้วยิ้มหวานก่อนตอบ
“จริงสิ…” ดินทำหน้าประหลาดใจอย่างใสซื่อ เรียวจันทร์เห็นแล้วก็อดยิ้มอดแซวไม่ได้
“…แต่ฉันก็ชอบดินด้วยนะ” พูดจบดินก็หน้าแดงแม้จะมองไม่ค่อยออกว่าแดงเพราะผิวดำไปหน่อยแต่ก็รู้ว่าดินกำลังอาย เรียวจันทร์เห็นแบบนั้นก็หัวเราะอ้าปากกว้างอย่างชอบใจ
“เอ้า! หัวเราะอยู่นั่นแหละ พ่อกับแม่รอกินข้าวอยู่ เดี๋ยวก็ให้กินขี้ม้าแทนหรอก!!” คมเขี้ยวหันมาตะโกนเรียกสีหน้ามุ่ย เพราะเขาเดินถึงรั้วบ้านแล้ว แต่แม่ตัวดียังเดินกินลมชมวิวไปเรื่อย
“แหม หึงก็บอกว่าหึงสิ ทำมาเป็น โห่ ไอ้เขี้ยวกุด” คมเขี้ยวขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก ก่อนจะส่ายหัวเอือมแล้วหมุนตัวเดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้เรียวจันทร์หัวเราะกับดินสองคนท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ของธรรมชาติ
หายไปนานม้ากกกก เกือบเดือนแน่ะ ใจหาย นึกว่าตัวเองจะไม่ได้อัพเรื่องนี้ละ ติดงานเยอะพอสมควรรร ไหนเลยจะต้องปิดต้นฉบับพี่วิคเตอร์กับน้องแมทอีก รู้ตัวเลยว่า เขียนนิยายสองเรื่องควบไม่ได้ ไม่งั้นพัง แต่ในเมื่อสลิดอยากเขียนเรื่องนี้เอง ก็ต้องต่อให้จบแน่นอนค่ะ ไม่ดอง แต่อาจจะอัพช้าไปสักนิ้ดดด
เอาล่ะ ตอนนี้นังเรียวได้เข้ามาอยู่ใกล้พี่เขี้ยวแล้ว ความปลอดภัยของพี่เขี้ยวเริ่มลดลงทีละนิดแล้วนะคะทุกคน 55555 นางจับพี่เขี้ยวกินแน่ๆ โดนแน่พี่เขี้ยววว อ้ากกกก
ใครตามอ่านเรื่องนี้อยู่ ตอมขอนับถือนะ 55555 คือเลวเวลทางใจต้องสตรองมากๆ แล้วอะ ถึงอ่านเรื่องนี้ได้ดีไม่มีปัญหา เนื่องจากนายเอกเราสาวมาก แล้วสาวเปรี้ยวด้วย 555555 เอาเป็นว่า Love the way Riewjan are! เนอะ
เจอกันตอนหน้านะคะ ใครเจอคำผิดบอกตอมได้เลยเน้อออ