ตอนที่ 35
ที่ไร่ลำไยของญาติลุงไกร แม่นางเข้านอนแล้ว ส่วนอาทีและอิทธิยังคงออกมานั่งพูดคุยกันตามปกติ
“มะรืนนี้ก็วันหยุดแล้วมึงจะกลับไปที่ไร่นั้นกะกูมั้ยอาที” อิทธิเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่งเมื่อนึกถึงว่ามันจวนเจียนเวลาที่ตนจะต้องตามไปเรียกร้องความยุติธรรมคืนให้มารดาตน เรื่องนี้เด็กหนุ่มยังไม่ได้บอกกับมารดา เพราะเชื่อว่าบอกไปมารดาคงไม่ยอมให้ตนทำอะไรบ้าบิ่นแบบนี้แน่
“ถามแปลกๆ กูเคยปล่อยให้มึงสู้กับอะไรเพียงลำพังเหรอ” อาทีเอ่ยตอบ แม้ลึกๆ จะรู้สึกหนักใจกับการเผชิญหน้ามารดาอยู่ก็ตาม แต่การที่จะปล่อยให้เพื่อนรักเดินเขาดงศัตรูเพียงลำพังก็ไม่อาจทำได้
“มึงนี่สมกับเป็นเพื่อนตายกูจริงๆ ไอ้อาที” อิทธิเอ่ยบอก รู้สึกซึ้งใจในน้ำใจเพื่อนจนอดไม่ได้ที่จะยกมือโยกศีรษะเจ้าตัวคลอนเล่นเบาๆ
“แล้วหากการไปครั้งนี้กูไม่ได้กลับมาที่นี่กับมึงอีกล่ะ มึงจะว่ายังไง” อาทีเอ่ยถามขึ้นเสียงสลด เป็นเหตุให้อิทธิต้องสลดตามก่อนเอ่ยถาม
“ทำไมวะ”
“ไม่รู้ดิ กูคิดว่าแม่กูกับพี่อาทิตย์คงไม่ปล่อยให้กูมาที่นี่อีกหากว่ากูกลับไปที่ไร่”
“เชี่ย เรื่องแค่นี้พูดซะกูตกใจ”
“มึงตกใจอะไร”
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร”
อิทธิปฏิเสธก็ไม่รู้จะให้บอกเพื่อนว่ายังไงว่าตัวเองรู้สึกสังหรณ์ใจและกังวลใจอยู่ลึกๆ ถึงเรื่องที่เข้าใจว่าเจ้าตัวมองหีบศพในวันนั้น
“งั้นก็ขึ้นนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า”
อาทีเอ่ยบอกแล้วเดินหายกลับเข้าไปยังเรือนก่อน อิทธิมองตามสักพักจึงค่อยเดินตามเข้าไป
************************************************************************
เช้าวันใหม่ที่โรงเรียน อิทธิกับอาทีเดินคู่กันขึ้นไปบนอาคารเรียน รู้สึกหน่ายใจหน่อยๆ เมื่อเห็นส้มเดินมาขวางหน้าพร้อมพูดจากระทบกระทั่งได้อย่างน่ารำคาญ
“ห่างกันไม่ได้สักวินาทีเลยนะสงสัยจังเลยว่าตอนนี้ใครเป็นผัวเป็นเมียกันแน่”
“อย่ามากวนประสาทกันแต่เช้าเลยส้ม” อาทีเป็นฝ่ายตอบโต้ อิทธินั้นได้แต่ยืนข่มอารมณ์ เป็นไปได้อยากให้คนตรงหน้าเป็นผู้ชายนัก เขาจะได้ลงทัณฑ์โทษฐานที่ปากไม่ดีได้สนิทใจ
“กวนประสาทอะไรส้มพูดตามที่ไอ้อิทธิมันประกาศปาวๆ ว่าพี่กับมันเป็นอะไรกัน ส้มพูดอะไรผิดเหรอ” ส้มลอยหน้าลอยตายั่วโมโหต่อ เพราะเชื่อว่าสองคนตรงหน้าคงไม่กล้าลงมือทำร้ายหล่อน
“ไปเถอะอาทีอย่าไปสนใจเลย” อิทธิหันมาเอ่ยชวนอาทีเพื่อเดินหนีเสีย เพราะขืนอยู่ต่อไปก็ไม่แน่ว่าตัวเองจะข่มอารมณ์เอาไว้ได้นานแค่ไหน เด็กหนุ่มเห็นเพื่อนยืนจ้องหน้าส้มนิ่งจึงเอื้อมมือไปฉุดแขนเจ้าตัวซึ่งส้มเองก็มองเห็นพอดีจึงร้องวี้ดว้ายขึ้นตามจริต
“ว้าย จับมือถือแขนกันด้วย จะลากกันไปไหนจ๊ะ ที่นี่มีแต่ห้องเรียนนะไม่มีห้องนอน”
“ขืนเธอพูดจาแบบนี้อีกคำเดียวเธอได้ไปนอนห้องพยาบาลแน่ส้ม” อิทธิหันมาเอ่ยเสียงนิ่งเมื่อนึกไม่ชอบใจท่าทีและคำพูดของคนที่เดินเข้ามาหาเรื่อง
“กล้าทำอะไรฉันเหรอไอ้ลูกขี้ข้า” ส้มลอยหน้าลอยตาท้าทาย อิทธิพยายามข่มอารมณ์ไว้ด้วยการกำหมัดแน่นมองจ้องหน้าส้มเขม็ง
“กูเข้าใจว่ามึงคงอยากกระทืบผู้หญิงคนนี้อิท แต่อย่ามามัวเสียเวลาเลยนะ เก็บแรงไว้จัดการนายศรกับนายสินดีกว่า” อาทีเอ่ยบอกเมื่อเกรงว่าเพื่อนจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ ส้มได้ยินเช่นนั้นแทนที่จะสลดกลับหัวเราะขึ้นเอ่ยบอก
“คิดว่าไอ้อิทธิมันจะมีโอกาสไปถึงตัวพี่สินกับพ่อส้มได้เหรอพี่อาที”
“เธอหมายความว่าไงส้ม” อาทีถามขึ้นทันควันแต่ส้มก็ยังยียวนตอบได้อย่างน่าหมั่นไส้เช่นเคย
“ก็ไม่ได้หมายความว่าไงหรอก แค่พูดให้ฟังเฉยๆ ทำไมเหรอคะ กลัวเหรอกับคำพูดส้มแค่นี้”
“แล้วเธอพูดให้เป็นปริศนาทำไม”
“ปริศนามีเอาไว้ให้หาคำตอบ พี่กับไอ้อิทธิลองใช้มันสมองของพวกผิดเพศคิดกันดูนะเผื่อจะนึกได้ ส้มไปล่ะ ยืนอยู่ด้วยนานๆ เดี๋ยวคนอื่นจะพาลว่าส้มคบค้ากับพวกวิปริต”
ส้มเดินหัวเราะร่าจากไปอย่างสะใจเมื่อเอ่ยจบ อาทีมองตามหลังเกิดอารมณ์ครุกรุ่นขึ้นจนอยากจะตามไปคุยกับฝ่ายนั้นให้รู้เรื่อง เด็กหนุ่มกำลังจะออกก้าวเดินตามไปจริงๆ แต่ต้องหยุดไว้เมื่อคนยืนข้างๆ ดึงแขนไว้พร้อมบอก
“อย่าไปสนใจมารยาของส้มเลยอาที ขึ้นห้องเรียนเถอะไป”
อาทียอมเดินตามอิทธิไปห้องเรียน แต่ตลอดการเรียนคาบเช้าเด็กหนุ่มคิดไปถึงคำของส้มตลอดจนเรียนไม่รู้เรื่องสักวิชา กระทั่งเที่ยงจึงมีโอกาสเจอกับส้มอีกครั้งที่โรงอาหาร หนุ่มน้อยจึงตามไปถามถึงเรื่องที่ข้องใจทันที
“คุยกันก่อนส้ม เมื่อเช้าที่เธอพูดเธอหมายความว่ายังไง พ่อเธอคิดจะทำอะไรไอ้อิทใช่มั้ย”
“ไม่ใช่แค่ไอ้อิทหรอกพี่เองก็ระวังตัวให้ดี ไม่มีส้มคอยคุ้มกะลาหัวแบบนี้ระวังจะเรียนไม่จบม.6” ส้มเอ่ยบอกออกมาเมื่อนึกแค้นเคืองถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่หล่อนโดนฉีกหน้าจนโดนหลายคนสุมหัวนินทาและมองด้วยสายตาแปลกๆ มาแล้ว
“มันจะมากไปแล้วนะส้ม กล้าดียังไงถึงมายืนขู่ไอ้อาทีแบบนี้ เธอเป็นใครแล้วไอ้อาทีมันเป็นใคร” อิทธิตรงเข้ามาต่อว่าถึงความโอหังของส้ม ซึ่งก็โดนโต้กลับทันควันเช่นกัน
“ตอนนี้คนที่ฉันจะเคารพในฐานะหลานเจ้าของไร่หรือลูกชายคุณจิตรคือพี่อาทิตย์คนเดียวเท่านั้น ส่วนลูกนอกคอกอย่างพี่อาทีหมดความสำคัญกับฉันนับตั้งแต่ฉันรู้ว่าเป็นพวกวิปริตแล้ว”
“ส้ม! ขอโทษไอ้อาทีเดี๋ยวนี้” อิทธิเอ่ยตวาดพลางชี้หน้าคนที่พูดจาไม่คิดอย่างส้ม นึกสงสารเพื่อนรักจับใจที่ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เจ้าตัวต้องมาโดนตราหน้าแบบนี้
“ฉันไม่ขอโทษ ฉันพูดเรื่องจริง พี่อาทีเคยฉีกหน้าฉัน ทำไมฉันจะต้องให้ความเคารพด้วย” ส้มตวาดกลับ อิทธิเองก็ขึ้นเสียงโต้
“แต่อาทีพูดมันเรื่องจริงทั้งนั้น เธอมันไม่ยอมรับความจริงแล้วเที่ยวมาพาลต่างหาก”
“เรื่องจริงอะไร พ่อฉันไม่ได้เป็นอันธพาล พ่อฉันไม่ได้เป็นกะเทย พ่อฉันไม่เคยโกงไร่ พ่อฉันเป็นคนสนิทคุณจิตรซึ่งเป็นแม่พี่อาที พ่อฉันคอยดูแลไร่ไม่ให้ยัยแม่นางขี้โกงขี้ประจบของแกเข้ามาหลอกคุณจันทร์ หากพี่อาทีจะว่าใครเป็นคนไม่ดีพี่อาทีควรจะว่ายัยแม่นางแม่แกที่มันขี้ประจบ ขี้ฟ้อง ตอแหลแกล้งอ่อนแอ ใสซื่อ ทั้งๆ ที่น่าจะร่านพอตัวไม่อย่างนั้นคงไม่หอบท้องหอบไส้ระหกระเหินตอนโดนพ่อแกทิ้งหรอก ไอ้ลูกไม่มีพ่อ”
“เพี๊ยะ!” เสียงฝ่ามือหนักๆ ดังสนั่นไปทั่วบริเวณตอนอิทธิตัดสินใจฟาดมันลงบนใบหน้าของส้ม เสียงส้มร้องกรี๊ดออกมาเรียกความสนใจให้หลายสายตาจ้องมองเหตุการณ์ แต่ ณ ตอนนี้อิทธิเหมือนมองไม่เห็นหรือนึกเกรงต่อสายตาใครแล้ว คำที่ส้มต่อว่ามารดาเขาเมื่อครู่มันทำให้ภายในใจเจ็บปวดจนคิดว่าต้องสั่งสอนคนปากดีให้หลาบจำว่าอย่ามาดูถูกผู้ให้กำเนิด เด็กหนุ่มตรงเข้าดึงแขนของส้มตอนเจ้าตัวหันมาเผชิญหน้าเหวี่ยงสะบัดจนฝ่ายนั้นล้มกลิ้งไปตามโต๊ะอาหาร
ส้มร้องกรี๊ดตกใจที่โดนอิทธิกระทำในสิ่งที่หล่อนคาดไม่ถึง หล่อนร้องเรียกให้หลายคนช่วยตอนเห็นอิทธิเดินเข้าหา หลายคนจะกรูเข้าห้ามแต่แล้วต้องชะงักเมื่ออิทธิตวาดลั่นขึ้น
“ใครหน้าไหนอย่าได้เข้ามายุ่ง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของฉันกับส้มเท่านั้น” เอ่ยจบเด็กหนุ่มก็ตรงไปยังร่างของส้มที่ลุกขึ้นคิดจะวิ่งหนี มือข้างหนึ่งจึงรีบคว้าเอาแขนของฝ่ายนั้นไว้อีกพร้อมกับออกแรงกระชากมาหาตัวแล้วจัดการฟาดฝ่ามือลงไปบนใบหน้านั่นอีกหนึ่งฉาดตอนเจ้าตัวหันใบหน้ามาหา
“กรี๊ดด!” ส้มร้องกรี๊ดยกมือขึ้นลูบใบหน้าน้ำหูน้ำตาไหลเมื่อร่างล้มคะมำลงกับพื้น สาวน้อยคิดจะคลานหนีเมื่อเห็นอิทธิเดินเข้าหาแต่แล้วก็ร้องลั่นดิ้นพล่านๆ เมื่อโดนน้ำอุ่นๆ สาดเข้าที่ร่าง ซึ่งมารู้ทีหลังว่ามันคือน้ำซุปจากชามก๋วยเตี๋ยว
“ไอ้อิทธิ ฉันจะเอาเรื่องแกให้ถึงที่สุด ไอ้เลว ไอ้อันธพาล”
“เออ จะทำอะไรก็ทำเลย เธอมันวอนเจ็บตัวเองก็ช่วยไม่ได้ หากไม่ถึงที่สุดคิดเหรอว่าฉันจะทำกับเธอแบบนี้ หากเธอจะว่าฉันฉันยังพอทนได้แต่นี่เล่นถึงแม่ฉันเธอก็สมควรโดนแบบนี้แหละ” อิทธิเอ่ยออกมาอย่างคนขาดสติ นึกสาใจที่เห็นคนตรงหน้าร้องห่มร้องไห้ปัดเนื้อตัวพัลวัน ก่อนจากไปสายตามองเห็นชามพะโล้วางอยู่ใกล้ๆ มือจึงหยิบมันขึ้นมาสาดไปใส่ร่างนั้นอีกครั้ง
ส้มร้องกรี๊ดอีกรอบเมื่อโดนไข่สองฟองที่ลอยมากับน้ำต้มเครื่องเทศอุ่นๆ กระทบเข้าที่ปากตามด้วยชามพลาสติกเปล่าที่ลอยมากระทบหน้าซ้ำเข้าอีก
“หอบเรื่องนี้ไปฟ้องพี่ชายกับพ่อเธอเลยนะ และหากพวกมันแค้นก็บอกพวกมันด้วยว่าไม่ต้องตามหาฉัน พรุ่งนี้ฉันเข้าไปหาพวกมันแน่” อิทธิเอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินจากไป อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ช่างมันรู้เพียงแต่ว่าได้จัดการกับคนที่มาด่าว่ามารดาจนสิ้นฤทธิ์แบบนี้เขาก็พอใจแล้ว
“อิท รอกูด้วย” อาทีที่ยืนอึ้งกับการกระทำเพื่อนอยู่นาน พอสถานการณ์สงบจึงได้สติออกวิ่งตามเพื่อนไป ส่วนส้มนั่นทั้งหวีดร้องทั้งดิ้นพล่านๆ ด้วยความคับแค้นใจกับสิ่งที่ได้ยินคนที่ยืนมองดูหล่อนคุยกัน
“พวกเราพาส้มไปห้องพยาบาลหน่อยเร็ว”
“อย่าไปช่วยมัน มันหาเรื่องเอง”
“ใช่ เห็นมันตามแว้ดๆ ใส่พี่อิทและพี่อาทีตั้งแต่เช้าแล้ว ฉันแอบเห็น”
“สมน้ำหน้ามัน ฉันอยากให้มันโดนแบบนี้ตั้งนานแล้ว นิสัยไม่ดีมาหลายเรื่องแล้ว”
“กรี๊ดดด! อีพวกบ้า ไม่ช่วยแล้วยังมาว่ากูอีก กรี๊ดดด” ส้มกรีดร้องอย่างคับแค้นใจก่อนจะพยายามลุกขึ้นเองแล้ววิ่งกะเผลกหนีออกไปจากโรงอาหารและกลับไร่ไปรายงานบิดากับพี่ชายโดยทันที
*******************************************************************************
“มันหยามหน้ากูมาก ไอ้สินมึงสั่งให้พวกสมุนมึงลงมือกันเย็นนี้เลยนะ ก่อนที่กูจะหมดความอดทน” นายศรกร้าวใส่หน้าบุตรชายทันทีหลังเห็นสภาพบุตรสาวที่ใบหน้าชอกช้ำและเนื้อตัวเป็นรอยแดงจากโดนน้ำร้อนลวก
“แล้วถ้าไอ้อาทิตย์ไปดักรอมันสองคนอีกล่ะพ่อ อีส้มน่ะแหละทำเสียเรื่อง ไหนบอกว่าวันนี้จะคอยกันท่าให้ แล้วไปยั่วโมโหอะไรไอ้อิทมันล่ะถึงโดนมันเล่นงานมาแบบนี้” สินหันไปต่อว่าน้องสาวเมื่อเห็นเจ้าตัวทำอะไรผิดแผนที่วางไว้
“นี่พี่สิน ฉันโดนทำร้ายมาขนาดนี้แทนที่พี่จะโกรธแค้นแทนฉันนะ” ส้มแว้ดใส่หน้าพี่ชาย ก็หล่อนไม่คิดว่าอิทธิจะกล้าทำร้ายอะไรหล่อน หล่อนก็ตามยั่วตามกวนโมโหหวังให้เจ้าตัวอกแตกตายกับคำว่าผู้ชายไม่สมควรทำอะไรผู้หญิง
“โกรธแล้วยังไง มึงยอมให้กูลากตัวไอ้อาทิตย์ไปพร้อมไอ้เด็กสองคนนั่นมั้ยล่ะอีส้ม” สินโต้กลับ ส้มได้ยินจึงแย้งหน้าตาตื่น
“อย่านะ อย่าคิดแตะต้องพี่อาทิตย์ของส้มแม้แต่ปลายเล็บ”
“ก็ถ้าหากมันไปโรงเรียนเย็นนี้มันก็ไม่แน่หรอก”
“แล้วตอนนี้พี่อาทิตย์ออกไปหรือยังล่ะ ถ้ายังส้มจะรีบไปขวางทางไว้เดี๋ยวนี้แหละ”
“เอ็งทายาแล้วก็นอนพักเถอะอีส้ม สภาพเอ็งตอนนี้อย่าได้ไปเจอหน้าใครจะดีกว่า เดี๋ยวเรื่องนี้ข้าจัดการเอง” นายศรเอ่ยแย้งบุตรสาว
“ยิ่งส้มเป็นแบบนี้ส้มยิ่งต้องไปฟ้องคุณจิตรนะพ่อให้มันเกลียดชังไอ้อิทมากขึ้นไง” ส้มแย้งกลับ
“เกลียดชังมากขึ้นแล้วยังไง ตอนนี้ไอ้เด็กนั่นมันอยู่ให้อีจิตรจัดการหรือไง อีกอย่างเอ็งก็เผลอทำตัวให้อีนั่นชังน้ำหน้าเอ็งแล้ว มีแต่มันจะหัวเราะเยาะเอ็งน่ะแหละที่โดนทำร้ายมาแบบนี้อีส้ม” นายศรเอ่ยให้ได้คิด ส้มจึงยอมอยู่ติดเรือนตามคำสั่ง โดยปล่อยให้บิดาออกโรงในเรื่องนี้เอง
“ถึงมือพ่อแบบนี้ รับรองมึงได้เห็นคนที่มันทำมึงหายไปจากโลกนี้แน่อีส้ม”
สินเอ่ยกับน้องสาวหลังลับลังบิดาไปแล้ว สองพี่น้องมองหน้ากันได้สักพักก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจตอนที่นึกถึงว่าทั้งอิทธิและอาทีได้รับความทรมานก่อนสิ้นใจยังไง แน่นอนที่สุดว่าสินสั่งให้ลูกสมุนค่อยๆ ปลิดชีพเด็กสองคนนั้นอย่างใจเย็นให้พวกมันได้รสชาติความเจ็บปวดก่อนตายให้มากที่สุด!
********************************************************************************
ด้านนายศรไม่ค่อยมั่นใจนักว่าจิตราและบุตรชายจะอยู่ที่เรือนหรือว่าไปที่โรงพยาบาลกันแล้ว แต่ก็ลองเสี่ยงๆ ไปดูที่เรือน และก็คิดว่าตนเองโชคดีที่มาทันขณะสองแม่ลูกกำลังจะไปโรงพยาบาลจึงเดินเข้าไปทักพร้อมตีสีหน้าสลดแสดงให้เห็นว่าตัวเองยังตกในภาวะซึมเศร้าอยู่กับเรื่องที่จันทร์จวงเข้าโรงพยาบาล
“อ้าวนายศร มีอะไรรึทำไมหน้าตาดูไม่ดีเลย” จิตราเอ่ยทักชายหัวหน้าคนงานตอนเห็นเจ้าตัวเดินมาหยุดตรงหน้าขณะตัวเองกำลังจะขึ้นรถ
“คือผมเป็นห่วงคุณจันทร์น่ะครับ ตั้งแต่เกิดเรื่องผมยังไม่ได้มาถามไถ่ดูอาการท่านเลยเพราะตอนนี้งานในไร่ก็วุ่นวายเหลือเกิน แล้วนี่คุณจิตรจะไปโรงพยาบาลหรือครับ” นายศรเอ่ยตอบพร้อมตั้งคำถาม ชำเลืองมองดูท่าทีของอาทิตย์ที่บัดนี้จ้องมองดูตนด้วยสายตาที่แปลกเหลือเกิน
“อืม ฉันจะไปเยี่ยมพี่จันทร์ ช่วงนี้มันมีเรื่องวุ่นวายหลายอย่างนายศรอาจจะยุ่งๆ บ้างยังไงฉันก็ฝากไร่ด้วยนะ” จิตราเอ่ยตอบก่อนจะหันไปบอกให้บุตรชายขึ้นรถ นายศรรีบเอ่ยถามถึงบุตรชายคนเล็กของฝ่ายนั้นทันทีเผื่อจะรู้ได้บ้างว่าตอนเย็นอาทิตย์จะไปหาเจ้าตัวอีกหรือไม่
“ถามถึงลูกชายฉันทำไม” ในตอนนี้จิตราเสียงเขียวขึ้นมาทันที อาทิตย์ถอนหายใจที่นายศรมากวนอารมณ์มารดาของตนให้ฉุนเฉียวขึ้นได้ เข้าใจว่าที่มารดาเกิดอารมณ์นี้เพราะยังเคืองน้องชายอยู่จนไม่อยากที่จะได้ยินชื่อ ซึ่งตลอดทั้งวันเขาก็เลี่ยงที่จะเอ่ยให้ได้ยิน แต่สุดท้ายนายศรก็ดันมาเอ่ยซะเอง
“ก็ผมไม่เห็นคุณอาทีหลายวันแล้ว ผมก็นึกเป็นห่วงตามประสาคนงานที่ห่วงเจ้านายแหละครับ แม้คุณอาทีจะยังเด็กแต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นหลานชายคุณจันทร์” นายศรแสร้งทำสีหน้าสลด อาทิตย์จึงเอ่ยขึ้นบ้าง
“น้องฉันสบายดี ลูกสาวนายศรน่าจะเห็นน้องฉันที่โรงเรียนนี่นาเพราะน้องฉันยังไปเรียนอยู่ตามปกติ”
“อะ อ๋อ ปกติผมกับลูกไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากมายหรอกครับ ได้ยินแบบนี้ผมก็ดีใจ แล้ววันนี้คุณอาทิตย์จะไปรับคุณอาทีกลับมาที่ไร่มั้ยครับ”
“ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะมาตอบนายศร นายศรกลับไปทำงานต่อเถอะไป ฉันจะรีบพาแม่ฉันไปเยี่ยมป้าจันทร์” อาทิตย์บอกปัด นายศรนึกขัดใจที่ไม่ได้คำตอบที่ต้องการ จึงคิดอุบายใหม่โดยการขอติดรถไปเยี่ยมจันทร์จวงด้วยคน บอกว่านึกเป็นห่วงจริงๆ
“แล้วงานในไร่ล่ะ ใครจะคุม” จิตราเอ่ยถาม
“นี่มันก็จะหมดวันแล้ว เดี๋ยวผมฝากไอ้สินมันดูให้ก็ได้ครับ ผมขอติดรถคุณจิตรไปเยี่ยมคุณจันทร์ด้วยคนนะครับ ผมเป็นห่วงท่านเหลือเกิน” นายศรเอ่ยขอ อาทิตย์ล่ะกลัวใจมารดาจะโอนอ่อนตามจึงรีบแย้ง
“แม้นายศรไปก็ใช่ว่าป้าจันทร์จะตื่นมารับรู้ได้ ฉันว่ารอป้าจันทร์ฟื้นก่อนดีกว่าแล้วนายศรค่อยพาคนงานไปหากว่ายังอยากเยี่ยมจริงๆ”
“โธ่คุณอาทิตย์ ผมอยู่รับใช้คุณจันทร์มานานแม้คุณจันทร์จะไม่รับรู้ว่าผมไปเยี่ยมแต่อย่างน้อยก็ขอให้ไปเยี่ยมท่านเถอะนะครับ” นายศรไม่ยอมแพ้ โดยการเอ่ยอ้อนวอนทำหน้าสลดต่อ จิตราเห็นอาการก็นึกว่าคนงานหล่อนผู้นี้เป็นห่วงเป็นใยพี่สาวหล่อนจริงๆ จึงเอ่ยออกมาในที่สุด
“จะไปก็รีบกลับไปสั่งงานนายสินไว้ก่อนให้เรียบร้อย ฉันจะรอ”
“แม่” อาทิตย์เอ่ยเรียกมารดาอย่างนึกขัดใจ รู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลยกับการเห็นเจ้าตัวไว้อกไว้ใจคนที่ตนเริ่มสงสัยพฤติกรรมทุจริต
“งั้นเดี๋ยวผมรีบมานะครับ” นายศรนึกสมใจที่อุบายนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เหตุที่ขอติดสอยห้อยตามแม่ลูกคู่นี้ไปใช่ว่าจะไปดูอาการหญิงเจ้าของไร่จริงๆ ซะเมื่อไหร่ ที่ไปก็เพื่อต้องการกันท่าอาทิตย์ไม่ให้ไปดักพบเด็กน้อยชะตาขาดสองตัวนั่นต่างหาก แน่นอนที่สุดว่างานที่คิดจะฝากบุตรชายให้เรียบร้อยตามคำบอกของจิตราคือการบอกให้เจ้าตัวสั่งลูกสมุนชิงลงมืออุ้มทั้งอิทธิและอาทีไปเชือดทิ้งให้เร็วที่สุดโดยอย่าทิ้งร่องรอยอะไรให้ต้องสืบมาที่ตัวได้
ชายหัวหน้าคนงานหมุนเดินกลับมายังเรือนเพื่อสั่งบุตรชายอย่างที่คิด เดินไปได้สักพักก็ยิ้มร้ายสมเพชจิตราที่หลงเชื่อมารยาตนง่ายๆ รอให้บุตรชายคนเล็กมันพร้อมเพื่อนคู่หูอย่างไอ้อิทธิสิ้นชีพกันก่อนเถอะ ต่อไปถึงคราวมันกับบุตรชายคนโตบ้างล่ะ ที่ต้องตายตกไปตามกัน ถึงวันนั้นการเข้าครอบครองไร่นี้ก็คงจะง่ายนัก เชื่อเหลือเกินว่าหากตนครองไร่ได้สำเร็จอีนังแม่นางมันคงไม่กล้ามาวุ่นวายอะไร แต่จะว่าไปอีนังนั่นมันก็คงจะขาดใจตายก่อนใครเพื่อนน่ะแหละตอนที่มันได้รู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมันไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว ส่วนอีแก่จันทร์จวงหากมันฟื้นขึ้นมาพบว่าทั้งหลานทั้งน้องมันก็ล้มหายตายจากยกไร่ไปแบบนี้ มันก็คงจะฝืนวัยชราอยู่ได้ไม่นานนักหรอก
ลับหลังนายศรไปแล้วอาทิตย์เอ่ยปากต่อว่ามารดาทันทีที่ยอมโอนอ่อนตามคำพูดของฝ่ายนั้นง่ายๆ
“ก็นายศรจะไปเยี่ยมป้าของลูก มันเป็นความปรารถนาดีที่บ่าวมีต่อนาย ทำไมแม่จะต้องคิดเล็กคิดน้อยล่ะอาทิตย์” จิตราเอ่ยแย้งบุตรชายไปอย่างนั้น เป็นเหตุให้สองคนทะเลาะกันจริงๆ จังๆ
“แต่ตอนนี้ผมขอให้แม่ฟังหูไว้หูเกี่ยวกับนายศรและครอบครัวได้มั้ยครับ รอให้ผมพิสูจน์บางอย่างก่อนแค่นี้แม่รอได้มั้ย”
“พิสูจน์อะไร มันมีอะไรที่ต้องพิสูจน์อย่างนั้นเหรอ ปกติลูกไม่เคยขึ้นเสียงกับแม่นะอาทิตย์”
“ก็พิสูจน์ว่าแท้จริงคนที่โกงกินรายได้เราคือใครไงครับ ตอนนี้ผมกำลังไล่ดูบัญชีย้อนหลัง และรอที่จะพบแม่นางเพื่อปรึกษาเรื่องนี้อยู่”
“จะไปปรึกษาอีนั่นทำไม มันเป็นดูบัญชีของไร่ และบัญชีมันก็เพี้ยนไปอย่างที่ลูกเห็น แม่ว่าการที่ลูกจะไปปรึกษามัน ลูกพาตำรวจไปลากตัวมันเข้าคุกเลยดีกว่า”
“แม่ลองลดละเลิกทิฐิที่มีต่อตัวแม่นางตั้งแต่แรกเจอดูหน่อยก็ดีนะครับ แล้วแม่จะเห็นว่าคนอย่างแม่นางไม่น่าจะทรยศป้าจันทร์ได้”
“แม่จะบอกอะไรให้นะอาทิตย์ คนที่เราไว้ใจนั่นแหละคือศัตรูตัวร้ายที่สุด ป้าจันทร์น่ะไว้ใจยัยแม่นางเกินไปผลสุดท้ายมันก็แว้งกัดแบบนี้ ดีนะที่แม่ยังอยู่มันถึงทำอะไรได้แค่นี้”
“หากว่าวันนี้ผมจะบาปเพราะคำพูดผมผมก็ยอมนะครับแม่ ผมอยากให้แม่เอาคำที่แม่พูดเมื่อครู่บอกและเตือนตัวเองดูหน่อยก็ดีนะครับ เผื่อบางทีแม่จะได้ไม่เสียใจกับความจริงที่ปรากฏ”
“อาทิตย์ นี่ลูกกำลังสั่งสอนแม่มั้ย”
“ผมมิบังอาจครับผมแค่อยากให้แม่คิดได้ตามที่แม่พูดก็แค่นั้น ผมรอในรถนะครับ” เอ่ยจบอาทิตย์ก็เดินขึ้นไปนั่งรอมารดาบนรถ จิตรามองตามหลังด้วยอามณ์ที่เริ่มเคือง สักพักนายศรก็เดินมาถึงพอดี หล่อนจึงชวนขึ้นรถโดยสั่งให้เจ้าตัวเป็นคนขับให้หล่อนกับบุตรชายนั่ง
นาทีที่อาทิตย์ก้าวลงจากตำแหน่งคนขับเพื่อสลับที่ให้นายศร สองคนต่างวัยมีโอกาสมองจ้องหน้ากัน อาทิตย์เห็นรอยยิ้มเยาะนิดๆ ฉายชัดบนใบหน้าชายหัวหน้าคนงาน เป็นไปได้มั้ยที่เจ้าตัวจะมาแอบได้ยินสิ่งที่ตนเอ่ยทะเลาะกับมารดาเมื่อครู่ ถ้าเป็นแบบนั้นก็เท่ากับว่าเขาแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียแล้ว